ความคิดเห็นที่ 1 ผมว่าต้องดูระดับขั้นนะครับ โดยระดับลึกๆ (เช่น เรียนภาษาศาสตร์แบบจริงๆ จังๆ) ผมว่าหนังสือแกรมม่าร์ที่อธิบายถึงหลักภาษาคงเหมือนกัน แต่ถ้าให้เรียนเป็น textbook ผมไม่เคยเห็นว่าฝรั่งจะใช้หนังสือ grammar ในห้องเรียนะครับ เห็นแต่พวก writing handbook ที่อธิบายกฎเล็กๆ น้อยๆ เช่น การใช้เครื่องหมาย, run-on sentence, อะไรพวกนี้ ไม่พูดเรื่อง article หรือว่าสิ่งที่นักเรียน ESL เขียนผิดๆ กัน เช่น The boy he talks to his student. หรือเรื่อง tenses ทั้งหมดนี่มาจากประสบการณ์นะครับ ไม่รู้ว่ามีการวิจัยกันจริงๆ จังๆ หรือไม่ จากคุณ : เมื่อลมแรง...ใบไม้ก็ร่วง - [ 26 เม.ย. 51 00:18:04 ]

ความคิดเห็นที่ 2 มาช่วยกันขยายความ คือ  ต้องตั้งหลักมาจากตรงที่ว่า  เจ้าของภาษาเรียน ไวยากรณ์ "คนละแบบ" กับที่คนที่เรียนเป็นภาษาที่สองเรียน.... นั่นคือ เจ้าของภาษา ---> เรียนไวยากรณ์เพื่อ "วิเคราะห์" ว่าภาษาตัวเองนั้น "ทำงานอย่างไร"... คนที่มาเรียนเป็นภาษาที่สอง ---> เรียนไวยากรณ์เพื่อ "เอาไปใช้ให้ถูก"  หรือ พูดให้ได้ เขียนให้เป็น ฟังให้รู้เรื่อง อ่านให้ออก  (ในขณะที่เจ้าของภาษาทำได้อยู่แล้ว...) ดังนั้น ตำราของแต่ละฝ่ายก็ "ต้อง" ต่างกันอยู่แล้วครับ... เหมือนกับ  ตำราเรียนเกี่ยวกับรถ.... ตำราของช่างซ่อมรถ (กระปุกเกียร์มีส่วนประกอบอะไรบ้าง...ไฟเลีย้วมีฟิวส์อยู่ที่ไหน...จะปรับระยะการหักพวงมาลัยอย่างไร.....ก็ต้องต่างกับตำราของสำหรับผู้เรียนขับรถ (เข้าเกียร์อย่างไร เลี้ยวซ้ายอย่างไร  กะระยะอย่างไร).... คงไม่ต้องมีงานวิจัยนะครับ เพราะมันเห็นๆกันอยู่  กลุ่มเป้าหมายมันคนละกลุ่ม และแต่ละกลุ่มก็มีเป้าหมายการใช้สินค้าคนละอย่าง  เพราะฉะนั้นฟังก์ชั่นของสินค้าก็ต้องต่างกันไปสิครับ.. แก้ไขเมื่อ 26 เม.ย. 51 01:34:26 จากคุณ : texanprofessor (krisdauw) - [ 26 เม.ย. 51 01:16:37 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เหมือนตำราหลักภาษาไทยนั่นแหละครับ เราเรียนเพื่อให้รู้ว่า มันมีอะไรบ้าง และเรียกสิ่งเหล่านั้นว่าอย่างไร คนต่างชาติเรียนเพื่อให้รู้ว่า ต้องใช้อย่างไร จากคุณ : Roh_Z - [ 27 เม.ย. 51 00:38:58 ]