PANTIP.COM : K6577958 รู้จัก....เซเชลย์....สรวงสวรรค์ลอยน้ำแห่งมหาสมุทรอินเดีย [หน้าต่างโลก]

ความคิดเห็นที่ 3

ประวัติศาสตร์นิด ๆ หน่อย ๆ

...ฝรั่งเศสได้ทำการสำรวจเซเชลส์ ในปี ๒๒๘๔ จากนั้นได้อ้างกรรมสิทธิ์ครอบครองในปี ๒๒๙๙ จนกระทั่งปี ๒๓๓๗ อังกฤษได้แผ่อิทธิพลเข้ามาในดินแดนแถบนี้ และฝรั่งเศสได้ยอมแพ้แก่กองทัพเรืออังกฤษ อังกฤษจึงเข้าควบคุมหมู่เกาะเซเชลส์แทนฝรั่งเศส และมีการทำสนธิสัญญา Treaty of Paris กับฝรั่งเศสในปี ๒๓๕๗ ซึ่งสนธิสัญญานี้ยืนยันอำนาจอธิปไตยของอังกฤษเหนือหมู่เกาะเซเชลส์และมอริเชียส( ประเทศหมู่เกาะเพื่อนบ้าน ) โดยในระยะแรกนั้นอำนาจบริหารจะมาจากมอริเชียสจนกระทั่งปี ๒๔๔๖ เซเชลส์จึงเป็นอาณานิคมที่แยกออกจากมอริเซียสอย่างเป็นทางการ...

...ต่อมาชาวเซเชลส์ได้ตั้งพรรคการเมืองขึ้นคือ พรรค Seychelles People’s United Party (SPUP)( แปลเป็นไทยก็คงเรียกว่าพรรคสหประชาชนแห่งเซเชลส์ อะไรแนว ๆ นั้น ) นำโดยนายร็อง ออลแบร์ต เรเน และพรรค Seychelles Democratic Party (SDP)( พรรคประชาธิปัตย์แห่งเซเชลส์ ) นำโดยนายเจมส์ แมนแชม ซึ่งพรรค SDP มีนโยบายขอเข้าร่วมกับอังกฤษ ส่วนพรรค SPUP ต้องการเป็นเอกราช อย่างไรก็ตาม ในการเลือกตั้งปี ๒๕๑๗ พรรค SDP ได้รับชัยชนะ ส่งผลให้นายเจมส์ แมนแชมดำรงตำแหน่งหัวหน้ารัฐบาล และต่อมาได้เปลี่ยนท่าทีมาเป็นการเรียกร้องเอกราชด้วย....

...เซเชลส์ได้รับเอกราชเมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๑๙( เดือนหน้ามิถุนายนเซเชลส์จะมีอายุ ๓๒ ขวบปีพอดิบพอดี ) และมีการจัดตั้งรัฐบาลผสมปกครองประเทศ โดยมีนายแมนแชมเป็นประธานาธิบดี และมีนายฟร็อง เป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ในเดือนมิถุนายน ๒๕๒๐ ได้เกิดการปฏิวัติขึ้นโดยกลุ่มผู้สนับสนุนพรรค SPUP ได้สนับสนุนให้นายฟร็อง ขึ้นเป็นประธานาธิบดีแทนนายแมนแชม และจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ต่อมาในเดือนพฤษภาคม ๒๕๒๑ พรรค SPUP ได้เปลี่ยนชื่อเป็นพรรค (Seychelles People’s Progressive Front-SPPF) หรือพรรคประชาชนก้าวหน้าแห่งเซเชลส์และประกาศให้เป็นพรรคการเมืองที่ถูกกฎหมายเพียงพรรคเดียว นอกจากนี้ มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่เมื่อ ๒๖ มีนาคม ๒๕๒๒ ต่อมาในปลายเดือนมิถุนายน ๒๕๒๒ มีการเลือกตั้งทั่วไป โดยมีนายฟร็อง เป็นผู้สมัครสำหรับตำแหน่งประธานาธิบดีเพียงคนเดียว ทำให้นายฟร็อง ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีอีกครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นมีความพยายามที่จะปฏิวัติรัฐบาลของนายฟร็อง ๒-๓ ครั้งแต่ก็ประสบความล้มเหลว

...ในปี ๒๕๓๔ ประธานาธิบดีฟร็อง ได้ถูกแรงกดดันจากอังกฤษและฝรั่งเศสประกอบกับสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศแถบแอฟริกาตะวันออกได้เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ประธานาธิบดีฟร็อง ยินยอมเปลี่ยนแปลงท่าที โดยการยินยอมให้มีการลงมติเพื่อเปลี่ยนระบบการเมืองและการปกครองเป็นแบบหลายพรรคการเมือง และประธานาธิบดีฟร็อง ได้จัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นในเดือนกรกฎาคม ๒๕๓๕ ซึ่งผลปรากฏว่า พรรค SPPF ได้รับชัยชนะโดยได้รับคะแนนเสียงร้อยละ ๕๘.๔ ในขณะที่พรรค Democratic Party (DP) นำโดยอดีตประธานาธิบดีแมนแชม ได้รับคะแนนเสียงเพียงร้อยละ ๓๓.๗ และพรรคอื่น ๆ อีก ๖ พรรค ได้รับคะแนนเสียงรวมกันเพียงร้อยละ ๗.๙

...การเลือกตั้งทั่วไปครั้งต่อมามีขึ้นช่วงเดือนมีนาคม ๒๕๔๑ โดยผลการเลือกตั้งปรากฏว่า นายฟร็อง ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้งหนึ่ง โดยได้รับคะแนนเสียงคิดเป็น ร้อยละ ๖๑ ส่วนนายวาเวล รามกาลาวัน หัวหน้าพรรค United Opposition (UO) ได้รับคะแนนเสียงร้อยละ ๒๗ และนายแมนแชม หัวหน้าพรรค Democratic Party (DP) ได้รับคะแนนเสียงร้อยละ ๑๒ ต่อมาวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๔๒ ประธานาธิบดีฟร็อง ได้ปรับคณะรัฐมนตรี ซึ่งถือเป็นการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งแรกภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปในปี ๒๕๔๑

...อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีฟร็อง ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งในวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ ส่งผลให้ นายเจมส์ อริกส์ มิเชล รองประธานาธิบดีขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนต่อมาในวันที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๔๗

...ภายหลังจากรัฐบาลหมดวาระในปี ๒๕๔๘ มีการเลือกตั้งทั้วไปในเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๘ ซึ่งผลการเลือกตั้งปรากฏว่า นายมิเชล ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ด้วยคะแนนเสียงร้อยละ ๕๓.๗๓ และเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๔๙ ทั้งนี้ เป็นที่คาดการณ์ว่าการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งต่อไปจะมีขึ้นในปี ๒๕๕๔.....

จากคุณ : นกสุโขทัย - [ วันฉัตรมงคล 15:16:24 ]