ความคิดเห็นที่ 1 ก็นั่นแหละครับ เพราะเค้าปลูกข้าวได้น้อย เลยต้องการให้คนมาทำเยอะๆไง เพราะคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ จะทำงานในเครืออุตสาหกรรม ไม่ก็ค้าขาย บริการ ต่างๆ ทำให้เกษตรกรมีจำนวนน้อย อีกทั้งยังมีปัญหาเรื่องเนื้อที่อีก แต่ อาหารหลักของญี่ปุ่นคือข้าว เพราะฉนั้น ญี่ปุ่นที่ไม่ต้องการนำเข้าข้าวจาก ต่างประเทศเลยต้องมีนโยบายให้คนหันมาเป็นเกษตรกรบ้าง จะเห็นได้จาก ราคาเนื้อ หมู-ไก่ ที่มาจากในประเทศจะมีราคาสูงมาก แต่คนญี่ปุ่นก็ยังต้อง การอยู่ ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะ กระแสความรักชาติด้วยล่ะมั้งครับ จากคุณ : ดูดิ - [ 7 พ.ค. 51 00:57:58 A:118.174.116.134 X: TicketID:174972 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ต้องบอกว่าสวัสดิการโดยรวมของประเทศเขาดีมากค่ะ เพราะฉะนั้นต่อให้เป็นชาวนาชาวไร่แต่สภาพชีวิตจะอยู่ในเกณฑ์ที่ดีเมื่อเทียบกับชาวนาบ้านเรา อัตราการรู้หนังสือของประเทศเขาสูงกว่าบ้านเรามาก ความเจริญทางด้านเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกก็เข้าถึงเกือบหมด จากคุณ : นิคกับพิม - [ 7 พ.ค. 51 08:07:20 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เพราะชาวนาบ้านเราถูกกดขี่โดยทุนนิยมผูกขาด ของพวกนายทุน โรงสี พ่อค้า ฯลฯ จากคุณ : อุ้ย (digimontamer) - [ 7 พ.ค. 51 08:56:39 ]

ความคิดเห็นที่ 4 หลายเหตุผลครับ ที่ทำให้ชาวนาญี่ปุ่นมีคุณภาพชีวิตที่ดีมาก อย่างแรกคือนวัตกรรมการเกษตรที่ก้าวหน้ากว่าไทยมาก พื้นที่น้อยกว่า แต่ประสิทธิภาพการผลิตสูงกว่า ย่อมผลิตได้อย่างมีประสิทธิผลมากกว่า อย่างที่สองคือการค้าการขาย ญี่ปุ่นรู้จักสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าเกษตรมาก ๆ ข้าวญี่ปุ่นของแท้ ขายกระปุกเล็ก ๆ ราคาเท่ากับข้าวหอมมะลิไทยแบบถุง กำไรของชาวนาญี่ปุ่นก็มากกว่า อย่างที่สาม คือระบบโครงสร้างของภาคเกษตร ญี่ปุ่นมีสมาคม มีสหกรณ์ที่เข้มแข็ง ผลประโยชน์ระหว่างพ่อค้ากับเกษตรกร จึงมีความสมดุลกันมากกว่า อย่างสุดท้าย ถ้าใครเรียนการเมืองญี่ปุ่น หรือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จะรู้ว่าชาวนาและเกษตรกรของญี่ปุ่น มีอิทธิพลทางการเมืองมาก เพราะชาวนาถือเป็นกลุ่มรากฐานของสังคม แม้จะมีจำนวนชาวนาน้อย แต่ชาวนาญี่ปุ่นมีบทบาทในสังคมญี่ปุ่นมาก ดังนั้น รัฐบาลญี่ปุ่นจึงให้ความสำคัญกับชาวนา อุดหนุนชาวนา จะเห็นได้ว่า ญี่ปุ่น ไม่เคยเปิดเสรีภาคการเกษตร ให้สินค้าเกษตรราคาถูกจากประเทศอื่นเข้าไปตีตลาดของประเทศได้โดยง่ายเลย คร่าว ๆ ประมาณนี้แล ทุกอย่างมีเหตุมีผล มีที่มาที่ไปเสมอครับ จากคุณ : BLuEMaNiA - [ 7 พ.ค. 51 09:56:29 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เพราะชาวนาเขาน้อยยังไงล่ะ จากคุณ : Nexus - [ 7 พ.ค. 51 09:56:58 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ไปอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับหนังสือชื่อ The One-Straw Revolution เขียนโดย Masanobu Fukuoka ตาม link นี้ไป http://en.wikipedia.org/wiki/Masanobu_Fukuoka แล้วคุณจะเข้าใจว่า ทำไมชาวญี่ปุ่นจึง เข้าคิวกันยาวเหยียดจากห้างสรรพสินค้าออกไปติดขอบทางเท้า จนหล่นลงไปบนถนน เพื่อซื้อข้าวญี่ปุ่น ในยามที่ข้าวญี่ปุ่นขาดแคลน แต่จะซื้อข้าวไทยหรือข้าวจากประเทศอื่น เพื่อทดแทนแบบ "จำใจ" เท่านั้น ข้าวไทยขายได้ทั่วโลก ขายได้เฉพาะร้านอาหารจีน ร้านอาหารอินเดีย หมู่ชนชาวไทย จีน อินเดีย หรือฝรั่งที่นานๆกินที แต่คนที่ฝึก Macrobiotics ส่วนใหญ่จะไม่กินข้าวไทย แต่จะกินข้าวญี่ปุ่น เพราะอะไรก็ให้ย้อนกลับไปอ่านเรื่อง  The One-Straw Revolution เขียนโดย Masanobu Fukuoka  อีกรอบหนึ่ง ฝรั่งในยุโรปที่ฝึก Macrobiotics เลื่อมใสพันธ์ข้าวญึ่ปุ่น และวิธีการปลูกข้าวของญี่ปุ่นมากๆ (แต่ไม่เลื่อมใสข้าวไทย) พวกเขานำข้าวญี่ปุ่นไปปลูกบนภูเขา Alps ปลูกแบบ organic จริงๆ คือไม่ใส่ปุ๋ย ไม่ใส่ยาฆ๋าแมลง (คือทำการเกษตรตามแนวคิดของ Masanobu Fukuoka นั่นเอง)  แล้วส่งข้าวเหล่านั้น ไปขายทั่วยุโรป  ส่วนที่อเมริกา ก็มีการปลูกข้าวญี่ปุ่น (ตามแนวคิดของ Masanobu Fukuoka) แล้วขายกันในร้านแม็กโครไบออติกในอเมริกาด้วยเช่นก้น   แล้วอีกอย่างหนึ่งนะ ข้าวไทยไม่เหมาะแก่การบริโภคในประเทศหนาว เนื่องจากพืชที่เกิดในเมืองร้อน (หยาง) จะมีพลังหยิน แต่พืชเกิดในเมืองหนาว (หยิน) จะมีพลังหยาง นั่นก็หมายความว่า คนญี่ปุ่นหรือคนยุโรปที่อยู่ในอากาศหนาว (หยิน) ถ้ากินข้าวไทย (หยิน) ก็จะได้พลังความเย็นไป แทนที่จะได้พลังความร้อนไปต่อสู้กับพลังความหนาวเย็น   แต่การที่ข้าวไทยขายในต่างแดนที่ในเมืองหนาวได้ ก็เพราะว่า คนซื้อไม่มีความรู้เรื่อง Macrobiotics นั่นเอง จึงไม่เห็นอันตรายของการกินข้าวไทยในอากาศหนาว ...ข้าวไทยจึงขายได้ คือจริงๆแล้วข้าวไทยเหมาะสำหรับประเทศเพื่อนบ้านที่มีภูมิอากาศใกล้เคียงกับเราเท่านั้น แก้ไขเมื่อ 07 พ.ค. 51 19:41:39 แก้ไขเมื่อ 07 พ.ค. 51 19:39:31 แก้ไขเมื่อ 07 พ.ค. 51 19:38:36 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 7 พ.ค. 51 19:26:35 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ตอนกลับจากต่างแดนมาอยู่เมืองไทยใหม่ๆ เราเคยต้องทนทุกข์ทรมาณกับการกินข้าวไทยที่มีสารเคมีมากมาย นานพอสมควร แต่ก็ดีใจที่ช่วงหลังๆนี้ "ร้านเลมอนฟาร์ม" นำข้าวญี่ปุ่นเม็ดสั้น (ข้าวเม็ดสั้นมีพลังมากกว่าข้าวเม็ดยาว) แบบ organic มาขาย ซึ่งเป็นข้าวกล้องด้วย ส่วนเรื่องที่ชาวนาไทยยากจนนั้น คำตอบก็คือว่า ในหลายๆประเทศ การที่คนรวยหรือคนมีอำนาจกดขี่คนจนนั้น มันก็มีอยู่เป็นของธรรมดา ... แต่พอถึงที่สุด คนที่ไม่เกี่ยวข้องก็จะเห็นใจคนที่โดนกดขี่ และออกมาประท้วงช่วยผู้ที่โดนกดขี่  แต่ประเพณีไทย มีการสอนลูกสอนหลานว่า "เรื่องคนอื่นอย่าไปยุ่ง เพราะจะตายฟรี" ดังนั้น ผู้ด้อยโอกาสในประเทศไทยน่าจะโดนกดขี่มากที่สุดในโลก เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ เนื่องจากผู้คนส่วนใหญ่ที่เห็นความไม่ดี จะเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ นั่นเอง ดังเช่น คดีฆาตกรรมดังๆ ในเมืองไทย ซึ่งฆาตกร (ส่วนใหญ่ไม่ได้ฆ่าเองแต่บงการให้คนอื่นไปฆ๋าคน) เป็นคนรวยที่มีอิทธิพล (เป็นนักธุรกิจหรือนักการเมือง) ชาวบ้านอ่านข่าวเรื่องคดี คนตั้งหลายสิบล้านต่างก็รู้ว่า กฎหมายเอื้อมมือ ไปจัดการกับคนผิดไม่ได้ เพราะผู้บังคับใช้กฎหมายถูกเงินซื้อได้ ก็ตาม แต่คนไทยตั้งหลายสิบล้านต่างก็ไม่มีใครลุกฮือกันขึ้นมาช่วยผู้เคราะห์ร้าย  ซึ่งผิดกับคดีดังๆในสหรัฐที่ผู้คนไม่พอใจการตัดสินคดี และออกมาประท้วงกันจนเกิดการจลาจล ไปทั้งประเทศ พวกเราเรียนก้นในบทเรียนมาตั้งแต่เด็กๆแล้วเรื่องที่พ่อค้าคนกลางเอาเปรียบชาวนา เรียนกันมาหลายชั่วคนแล้ว แต่อีกหลายสิบปีต่อมา ก็ยังไม่มีคนไทยที่ไหนจับมือกัน รวมพลังกัน เพื่อช่วยเหลือชาวนา ....ก็เหมือนๆกับที่ไม่มีใครออกมาประท้วงเมื่อในคดีฆาตกรรม หรือคดีคอรัปชั่นสำคัญๆ คนผิดลอยนวลไปได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ชาวนาก็จะต้องยากจนต่อไปเรื่อยๆ เนื่องจาก เงินซื้อได้เกือบทุกอย่างในประเทศไทย มันทำให้ถูกเป็นผิด และผิดเป็นถูก เงินเป็นอำนาจสั่งการให้มีคนไปจัดการกับชาวนาที่รวมตัวกันประท้วง หรือคิดการใหญ่เพื่อปลดแอกพวกเขา ให้พ้นจากความยากจน นั่นเอง แก้ไขเมื่อ 09 พ.ค. 51 01:54:59 แก้ไขเมื่อ 07 พ.ค. 51 19:45:03 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 7 พ.ค. 51 19:42:09 ]

ความคิดเห็นที่ 8 คุณ tansy เหมือนที่ลูกฆ่าคนตาย แต่ก้อกลับมาเป็นใหญ่เป็นโตคับประเทศแบบนั้นหรือเปล่าครับ จากคุณ : Aeykun - [ 7 พ.ค. 51 20:53:43 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ......แล้วอีกอย่างหนึ่งนะ ข้าวไทยไม่เหมาะแก่การบริโภคในประเทศหนาว เนื่องจากพืชที่เกิดในเมืองร้อน (หยาง) จะมีพลังหยิน แต่พืชเกิดในเมืองหนาว (หยิน) จะมีพลังหยาง นั่นก็หมายความว่า คนญี่ปุ่นหรือคนยุโรปที่อยู่ในอากาศหนาว (หยิน) ถ้ากินข้าวไทย (หยิน) ก็จะได้พลังความเย็นไป แทนที่จะได้พลังความร้อนไปต่อสู้กับพลังความหนาวเย็น  ........ แล้วจะมีคนไทยสักกี่คน ที่คิดในมุมกลับได้ว่า   การบริโภคผลิตภัณฑ์หรือพืชผลจากเมืองหนาว   เท่ากับได้รับพลังหยาง เพิ่มเข้ามาอีก ทำให้ยิ่งร้อนยิ่งขึ้น ส่วนเรื่องนั้น ก็บอกแล้วว่า  ไอ้ปื๊ดมันทำ จากคุณ : นายช่างปลูกเรือน - [ 7 พ.ค. 51 21:34:59 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ผมชอบชื่อรายการนี้มาก "ที่นี่ประเทศไทย" สั้นๆ แต่สรุปความเป็นเมืองไทยไว้ได้ครบถ้วน ไม่ว่าใครจะถามว่า ทำไมบ้านเมืองเรา เป็นยังงั้นยังงี้ เช่น * เอากุ๊ย นักเลง มาบริหารบ้านเมืองทำไม ทำไมไม่ไปคุมบ่อนไก่ น่ะดีแล้ว * ทำไมเอาคนสวมสูท แล้วขัดกับหน้าตามากๆ มาเข้าสภา   พูดจาไม่ได้สมกับเป็น "ผู้นำ หรือ ชนชั้นปกครอง" เลยสักนิด * ทำไมคดีนั้น ไม่กระจ่าง บางคนเหมือนจะฆ่าคนตาย แต่คุกก็ไม่ได้เข้า   เอามาเชิดชูเป็นเกียรติอีก ห้ามพูดอีก เดี๋ยวโดนข้อหาหมิ่นฯ * โวยอยู่ได้ ว่าหวยล๊อกๆ แล้วจะเล่นทำทวนทำไม * เป็นข้าราชการ ไม่มีธุรกิจส่วนตัว มรดกรุ่นก่อนไม่มี พอตายมา   มีญาติมาทะเลาะกัน แย่งสมบัติกัน ทำงานกันยังไง ทำไมรวยแบบไม่มีเหตุผล * รู้มั้ยผมเป็นใคร ลูกใคร ถิ่นใครรู้มั้ย ทำไมต้องถามอะไรลึกซึ้งขนาดนั้น ไม่ว่าคำถามจะมาร้อยแปดพันเก้า เราสามารถตอบได้ทุกคำถาม ด้วยชื่อรายการนี้ครับ "ที่นี่ประเทศไทย" ปล. ผมเขียนสองครั้ง เพราะประทับใจมากๆ คิดได้ยังไง แก้ไขเมื่อ 08 พ.ค. 51 00:59:42 จากคุณ : hinanchai - [ 8 พ.ค. 51 00:57:05 ]

ความคิดเห็นที่ 11 แวะมาเก็บข้อมูลอ่าค่ะ.. .. ..^^~* จริง ๆ คือเราไม่ได้สงสัียเรื่องคุณภาพของข้าวไทยเลยอ่าค่ะ...แหะ แหะ สนใจก็แต่คุณภาพชีวิตของชาวนาไทยจริง ๆ .. .. .. อ่านที่ #4 คุณBLuEMaNiA โพสต์ให้แล้ว...ยังติดใจสงสัยต่อเล็กน้อย อ่าค่ะ แล้วทำไมชาวนาไทยเข้าไปมีอิทธิพลทางการเมืองมาก ๆ ไม่ได้ รากฐานและบทบาทของเราสู้เค้าไม่ได้หรอคะ ที่มาที่ไปประวัติศาสตร์ ชาวนาไทยทำไมต่ำต้อยด้อยค่ากว่าของเค้านัก .. .. .. ขออนุญาตอ่านทุกคอมเม้นต์อีกรอบนะคะ .. .. .. มีอะไรสงสัยคงมารบกวน ในกระทู้นี้อีกที .. .. .. เบื้องต้นขอบคุณทุกคอมเม้นต์อีกครั้งก่อนนะคะ จากคุณ : Sary - [ 8 พ.ค. 51 01:30:19 ]

ความคิดเห็นที่ 12 เพราะชีวิตคนญี่ปุ่น มีค่ากว่าชีวิตคนไทยครับ โดยรวม คิดเป็นมูลค่า ที่สามารถผลิตได้ ทำให้อาหารสำหรับพวกเค้า ย่อมมีค่ากว่า อาหารสำหรับคนไทย เลยแพงกว่าได้ และเรื่องอื่นๆอย่าง ผลผลิตข้าวต่อหัว ชาวนาไทยใช้เครื่องมือน้อยมาก มีลูกเยอะ คิดเฉลี่ยแล้ว ยากจนเพราะตัวหารเยอะ เรื่องนายทุนก็ใช่ แต่คิดเป็นผลมากเทียบไม่ได้กับที่บอก เพราะมันเป็นพื้นฐานของเศรษฐกิจเลย ค่าของคน ถ้าจะประเมิน ก็ประเมิน จากที่เค้าผลิตได้ จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน - [ 8 พ.ค. 51 07:56:48 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ทำไมคนญี่ปุ่นไม่นิยมข้าวไทย ง่ายๆก็เพราะว่ารสนิยมมันต่างกัน เช่นความเหนียวของข้าว ที่ใช้ตะเกียบคีบเป็นก้อนได้ หรือเวลาหุงข้าวญี่ปุ่นต้องแช่ซักครึ่งชั่วโมงก่อนหุง เหตุผลที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือการกีดกันทางการค้า ที่รุนแรงมากต่อข้าวต่างประเทศ สังคมญี่ปุ่นเป็น Ultra Conservative การที่จะให้เขาเปลี่ยนวัตรปฎิบัตินั้นเป็นเรื่องที่ยาก เรื่องพลังหยิน-หยางนั้น ถามจริงเคยมีการทดลองพิสูจน์แบบ Double Blind มายืนยันบ้างไหม? จากคุณ : Nexus - [ 8 พ.ค. 51 09:25:38 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ข้าวญี่ปุ่นชั้นดี ขายแพงกว่าข้าวไทยในญี่ปุ่นสองสามเท่านะคะ แต่ก็ขายได้ เทคโนโลยีเป็นเรื่องสำคัญค่ะ ญี่ปุ่นพยายามพัฒนาผลผลิตทุกรูปแบบ ทำให้คนซื้ออยากซื้อแม้ว่ามันจะแพงกว่าก็ตาม อย่างไรก็ตาม..ถ้าจะกินผัดกะเพรา ต้มยำกุ้ง ฯลฯ กินกะข้าวญี่ปุ่น ไม่ได้อารมณ์เท่ากินกับข้าวไทยค่ะ จากคุณ : dittaya - [ 8 พ.ค. 51 12:37:08 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ลองอ่านอันนี้ดูครับ ชัดเจนดี http://1001ii.wordpress.com/2008/04/17/012/ จากคุณ : house (panote_saechiew) - [ 8 พ.ค. 51 15:37:37 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ที่คุณ นายช่างปลูกเรือน พูดใน คคห9 ว่า แล้วจะมีคนไทยสักกี่คน ที่คิดในมุมกลับได้ว่า   การบริโภคผลิตภัณฑ์หรือพืชผลจากเมืองหนาว   เท่ากับได้รับพลังหยาง เพิ่มเข้ามาอีก ทำให้ยิ่งร้อนยิ่งขึ้น ตอบ คุณคิดถูกแล้ว ข้าวญี่ปุ่นเม็ดสั้นที่เราชอบกินมากๆน่ะ ฝรั่งเอาพันธ์ไปปลูกบนภุเขา Alps มันโตในหิมะ ในพลังหยิน (เย็น) ข้าวมันก็มีพลังหยาง (ร้อน) ส่วนข้าวญี่ปุ่นเม็ดสั้น ที่เราว่า เราโชคดี ได้กินเพราะมีคนเอามาปลูกในเมืองไทยนั้น ประวัติความเป็นมาก็คือ (พี่ nickycharles (ที่เพิ่งเสียไปไม่นานนี้) เล่าให้ฟัง)ว่า คนไทยซื้อเครื่องสีข้าวมือสองจากญี่ปุ่น แล้วพบเมล็ดข้าวญึ่ปุ่นพันธ์นี้หลงๆอยู่ในเครื่องสีข้าว  ก็เลยเอามาลองปลูกในเมืองไทย ปรากฏว่าได้ผล คือแพร่พันธ์ออกไปได้มากมาย และในเมื่อมันปลูกในอากาศหยาง (ร้อน) ดังนั้นมันก็มีพลังหยิน (เย็น) เมื่อใช้บริโภคในเมืองไทยก็คงไม่ร้อนมากเกินไปหรอก   ข้าวญี่ปุ่นเม็ดสั้นที่ว่านี้ ตอนนี้มีขายที่ "ร้านเลมอนฟาร์ม" เป็นข้าวกล้อง organic คือเขารับประกันว่าปลูกโดยไม่ใส่ปุ๋ยเคมี หรือยาฆ่าแมลง  ลองไปซื้อกินดูดิ แล้วจะติดใจ แก้ไขเมื่อ 08 พ.ค. 51 21:48:47 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 8 พ.ค. 51 21:27:45 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ที่คุณ Nexus พูดใน คคห 13 ว่า "ทำไมคนญี่ปุ่นไม่นิยมข้าวไทย ง่ายๆก็เพราะว่ารสนิยมมันต่างกัน..." ตอบ ก็น่าจะจริง แต่อีกเหตุผลก็คือ พวกเขาน่าจะเชื่อมั่นในวิธีการเกษตรของพวกเขาเอง ในแนวของ หนังสือเรื่อง The One-Straw Revolution ซึ่งเขียนโดย Masanobu Fukuoka  เนื่องจากว่า Masanobu Fukuoka มีชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั่วโลก ในด้านการเกษตรแบบธรรมชาติ ซึ่งตอนนี้คนที่ฝึกวิชา Macrobiotics ทั่วโลกยึดแนวการเกษตรตามแบบฉบับที่เขาสอนไว้ ประวัติ Masanobu Fukuoka อยู่ที่นี่ http://en.wikipedia.org/wiki/Masanobu_Fukuoka ส่วนเรื่องที่คุณถามว่า "เรื่องพลังหยิน-หยางนั้น ถามจริงเคยมีการทดลองพิสูจน์แบบ Double Blind มายืนยันบ้างไหม?" ตอบ คนที่เผยแพร่เรื่องนี้ก็คือ George Ohsawa  เขาเคยเป็นวัณโรค แต่พอเรียนรู้ทฤษฎีหยิน-หยางจากปรมาจารย์ญี่ปุ่นท่านหนึ่ง  George Ohsawa ก็ใช้ความรู้เรื่องหยิน-หยางรักษาวัณโรคให้ตัวเองได้เมื่ออายุ 19 โดยไม่ต้องพบแพทย์ ลองไปดูประวัติเขาได้ที่ http://en.wikipedia.org/wiki/Georges_Ohsawa ศิษย์เอกของ George Ohsawa ซึ่งเผยแพร่วิชา Macrobiotics ไปทั่วโลก มี 2 คนคือ Herman Aihara  และ Michio Kushi Michio Kushi ไม่ใช่รู้แต่ Macrobiotics และหยิน-หยางเท่านั่น แต่เขามีความรู้เรื่องการแพทย์แผนปัจจุบันอย่างเชี่ยวชาญด้วย ดังนั้นเขาจึงสามารถอธิบายทฤษฎีโบราณ เป็นภาษาแพทย์สมัยใหม่ได้ ส่งผลให้แพทย์แผนปัจจุบันเป็นจำนวนมากในหลายๆแห่งในโลกเกิดความเลื่อมใส จนหันมาเรียนรู้ และใช้ Macrobiotics กับทฤษฎีหยิน-หยางในการวินิจฉัยโรคและในการรักษาผู้ป่วยจริงๆ เคยมีการประชุมที่ Boston ซึ่งมีผู้ป่วยโรคมะเร็ง แพทย์ และพยาบาล ที่เคยใช้ Macrobiotics รักษามะเร็ง ไปร่วมการประชุมที่มีหัวข้อชื่อว่า  Nutritional Approach to Cancer  และมีการนำ case studies มาแลกเปลี่ยนกันในที่ประชุม ซึ่งมีเนื้อหาว่าผู้ป่วยมะเร็งในระดับที่น่าจะตายภายใน 6 เดือน เมื่อเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร (โดยหันมาปฏิบัติตามทฤษฎีหยิน-หยาง) หายป่วยและรอดตาย ได้อย่างน่ามหัสจรรย์ ...!!! นี่คือประวัติ Michio Kushi http://en.wikipedia.org/wiki/Michio_Kushi มีเว็บใน Egypt ที่เผอิญมันมีข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับ Macrobiotics หยิน-หยาง และเรื่องอาหาร ก็เลยเอามาแปะไว้ให้ ลองตาม link นี้ไป http://www.kushicenter.com/macrobiotic_en.htm อีกเว็บหนึ่ง น่าจะอยู่ใน Boston (สำนักงานใหญ่ของ Michio Kushi) หน้าเว็บที่ให้ไว้นี้ เป็น Tesimonials ของผู้ป่วยหลายคนจากโรคหลายชนิด ซึ่งเล่าประวัติให้ฟังว่าหายป่วยด้วย Macrobiotics และทฤษฎีหยิน-หยางได้อย่างไร ลองตาม link นี้ไปอ่านดู http://www.kushiinstitute.org/html/testimonials.html แก้ไขเมื่อ 08 พ.ค. 51 22:29:21 แก้ไขเมื่อ 08 พ.ค. 51 22:03:14 แก้ไขเมื่อ 08 พ.ค. 51 21:52:24 แก้ไขเมื่อ 08 พ.ค. 51 21:46:16 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 8 พ.ค. 51 21:37:55 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ขอบคุณ #15 คุณ house (panote_saechiew) นะคะ ... อ่านเข้าใจง่ายดีจังอ่าค่ะ ^^~* ลิงค์เวปนั้นเก่งจัง อธิบายให้เข้าใจง่ายเชียวอ่า .. .. .. ต้องหาคนหวังดีกับชาวนาไทย ไปริเริ่มแนวคิดคล้าย ๆ กันนี้ให้นะคะ เผื่อวันนึงคุณภาพชีวิตจะได้ไม่ด้อยไปกว่าชาวนาญีุ่ปุ่น จากคุณ : Sary - [ 8 พ.ค. 51 23:28:16 ]

ความคิดเห็นที่ 19 มัวอ่านกระทู้ เปิดไปอีกทีรายการตาสว่างเชิญ รมต.มิ่งขวัญ มาคุยเรื่องชาวนาไทย - ราคาข้าว...ใกล้จะจบซะแล้ว...( มีใครได้ดูไหมคะ ) ต้องไปหาลิงค์ดูรายการย้อนหลังเสียแล้ว .. .. .. ^^~* จากคุณ : Sary - [ 9 พ.ค. 51 00:06:41 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ความคิดส่วนตัวผม เหตุที่ชาวนาในญี่ปุ่นมีความเป็นอยู่ดี น่าจะเป็นเพราะเพื่อความมั่นคงของประทศที่ต้องการให้สามารถผลิตอาหารได้ด้วยตนเอง ดูได้จากประเทศอเมริกาทั้งที่ สามารถซื้อพืชผลทางการเกษตรได้ที่อื่นได้ราคาถูก  แต่ก็เลือกสนับสนุนสินค้าทางการเกษตรของตนเองเหมือนกัน... ด้วยเหตุนี้รัฐบาลญี่ปุ่นจึงช่วยชาวนาของตนอย่างเต็มที่ ประกอบกับความเป็นชาตินิยมที่รุนแรงมาก ต่างกับไทยที่ส่วนใหญ่ปลูกข้าวกันอย่างมากอยู่แล้ว ความช่วยเหลือจากรัฐบาลจึงไม่เต็มที่เหมือนกับที่ญี่ปุ่น... เรื่อง Macrobiotics และทฤษฎีหยิน-หยาง ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ยังไม่น่ามีความรู้เรื่องนี้นัก ที่สำคัญผลผลิตข้าวในญี่ปุ่นน้อยกว่าไทยมากๆ ในประเทศยังแทบไม่พอผมไม่แน่ใจว่าญี่ปุ่นส่งออกข้าวได้ถึง 1% ที่ข้าวไทยส่งออกรึเปล่า... แต่ถ้าเรื่องที่ผมอ้างเป็นจริง Macrobiotics และทฤษฎีหยิน-หยาง ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องข้าวนี่หรอกครับ... ps.ตอนกลับจากต่างแดนมาอยู่เมืองไทยใหม่ๆ เราเคยต้องทนทุกข์ทรมาณกับการกินข้าวไทยที่มีสารเคมีมากมาย นานพอสมควร ==> รุนแรงจังคับคำนี้ สงสารชาวนาไทยจัง พึ่งรู้ว่าข้าวที่เค้าปลูกต้องทำให้คุณทุกข์ทรมาณเลยทีเดียว จากคุณ : ChubbyGal - [ 9 พ.ค. 51 08:55:04 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ที่คุณ ChubbyGal บอกว่า "ps.ตอนกลับจากต่างแดนมาอยู่เมืองไทยใหม่ๆ เราเคยต้องทนทุกข์ทรมาณกับการกินข้าวไทยที่มีสารเคมีมากมาย นานพอสมควร ==> รุนแรงจังคับคำนี้ สงสารชาวนาไทยจัง พึ่งรู้ว่าข้าวที่เค้าปลูกต้องทำให้คุณทุกข์ทรมาณเลยทีเดียว" ตอบ เกรงว่าคนอ่านจะเข้าใจผิด แล้วมารุมด่าเรา เลยต้องขออธิบาย ความรู้สึกที่แท้จริงของเราก็คือ "ทนทุกข์ทรมาณ ในขณะที่ตัวเราเองก็สงสารชาวนาไทยด้วยเหตุผลที่ว่า ผืนที่นาของพวกเขาถูกปุ๋ยเคมี และยาปราบศัตรูพืชทำลายสภาพดินไปจนหมดแล้ว!!!" ส่วนคำว่า "ทรมาณ" นั้น เราพูดเกินความจริงหรือเปล่า? เราคงอธิบายให้ตัวเองพ้นมลทินได้ยาก เนื่องจากคงมีผู้อ่านเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้น (หรืออาจไม่มีเลยสักคนก็ได้) ที่เคยใช้ชีวิตกับการกินอาหาร organic (อาหารที่ในกระบวนการผลิตไม่ใช้ปุ๋ยเคมี และยาปราบสัตรูพืชเลย) มาเป็นเวลานานหลายสิบปีอย่างเรา   คำอธิบายก็คือว่า ไม่ได้พูดเกินความจริง มันทรมาณจริงๆ เนื่องจาก ทันทีที่เราต้องจำใจต้องกินอาหารซึ่งมาจากกระบวนการผลิตที่ใส่ปุ๋ยเคมีและยาปราบสัตรูพืชเป็นจำนวนมาก ระบบร่างกายเรา "มีปัญหาทันที" อาการป่วยเดิมของเราเช่น OCD (โรคย้ำคิดย้ำทำ) โรคนอนไม่หลับ อาการ panic attack ภูมิแพ้ และปวดหัวไมเกรน ที่เคยรักษาหายไปแล้วด้วย Macrobiotics มันกลับมารุมเร้าเราใหม่อีกรอบหนึ่ง...!!!!   เราต้องกลับมาป่วยในเมืองไทยอยู่นานค่อนข้างมาก  แต่เราก็พยายามดั้นด้น หาอาหารที่มีสารเคมีน้อยที่สุดรับประทานในช่วงนั้น แต่ในตอนนี้ เราไม่มีปัญหาแล้ว เนื่องจาก มีผู้ผลิตข้าว และผัก รายใหม่ๆเป็นจำนวนมาก ที่ทำการเกษตรอินทรีย์ คือปลูกข้าวและพืชผักอย่างอื่นแบบ organic นั่นเอง เมื่อเราได้อาหารดีๆในเมืองไทยตอนนี้ ร่างกายเราก็หายป่วยอีกรอบหนึ่ง เนื่องจากว่าสามารถฝึก Macrobiotics ได้อีกรอบหนึ่ง จากการที่ในเมืองไทยตอนนี้มีอาหารปลอดสารพิษมากมายนั่นเอง แก้ไขเมื่อ 09 พ.ค. 51 13:01:49 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 9 พ.ค. 51 12:20:38 ]

ความคิดเห็นที่ 22 กลุ่มผู้ผลิตอาหารปลอดสารพิษพวกนี้ จะทำการเกษตรแบบ organic ได้สำเร็จนั้น พวกเขาต้องไปหาที่ดินแปลงใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีการเพาะปลูกมาก่อน (รู้สึกข้าวญี่ปุ่นเม็ดสั้นจะไปปลูกที่บนดอยทางภาคเหนือ ซึ่งไม่เคยทำการเกษตรมาก่อน) เนื่องจากว่า ที่ดินแปลงเดิมที่เคยโดนปุ๋ยเคมี กับยาปราบศัตรูพืชมาแล้วเป็นเวลาหลายปีนั้น สภาพดินเสียหายไปเรียบร้อยแล้ว แบบยากที่จะเยียวยาได้ จึงไม่เหมาะกับการเกษตรอินทรีย์ ถามว่าตอนนี้เรายังสงสารชาวนาไทยอยู่หรือเปล่า  ตอบว่า "สงสารมากๆ" ชาวนาไทยที่เราสงสารมากๆ ก็คือพวกที่ยังต้องทำนาบนที่ดินแปลงเดิม ซึ่งมันโดนปุ๋ยเคมี และโดนยาปราบศัตรูพืชอย่างหนักมาแล้วเป็นเวลาหลายสิบปี จนสภาพดินเสียหายเกินกว่าที่จะเยียวยาได้  อีกทั้งสงสารชาวนาไทยที่ยังปลดแอกตัวเองไม่ได้จากการที่ต้องเสียเปรียบพ่อค้าคนกลาง เท่านั้นไม่พอ ในขณะนี้เรายังอ่านข่าวเจอบ่อยๆ เรื่องรัฐบาลไทยพยายามประมูลซื้อปุ๋ยเคมีจากต่างประเทศปีละหลายๆล้านตัน (อาจจะหลายหมื่นล้านตัน) ทำไมไม่ประหยัดเงินทองของประเทศชาติโดยการกลับไปหาวิธีการเกษตรแบบธรรมชาติ แบบที่ในหลายๆประเทศเขาทำกัน โดยศึกษาแนวทางตามหนังสือ The One-Straw Revolution ของ Masanobu Fukuoka จรืงๆแล้วปรมาจารย์ Masanobu Fukuoka ก็เคยมาประเทศไทย  เขาเคยไปที่อีสาน แล้วเขาบอกกับรัฐบาลไทยว่า "เขาสามารถทำให้อีสานเขียวได้ภายในเวลาไม่นานนัก" ซึ่งคนในหน่วยงานไทยคงหัวเราะขำจนงอหายว่า อีตาแก่ญี่ปุ่นคนนี้มันบ้าๆบอๆหรือเปล่า? หมายเหตุ:Masanobu Fukuoka มีเคราขาวยาวถึงท้อง เหมือนปรมาจารย์นิกายเซน ที่สอนวรยุทธ์ และสอนปรัชญาเซนซึ่งยากที่จะเข้าใจ แต่ถ้าใครลองอ่าน The One-Straw Revolution ของเขาดู แล้วจะรู้ว่า แนวคิดของเขาสามารถช่วยชีวิตมนุษย์ได้ทั้งโลก แก้ไขเมื่อ 10 พ.ค. 51 11:34:57 แก้ไขเมื่อ 09 พ.ค. 51 13:06:37 แก้ไขเมื่อ 09 พ.ค. 51 12:35:59 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 9 พ.ค. 51 12:34:33 ]

ความคิดเห็นที่ 23 รัฐบาลไม่เคยช่วยแก้สถานการณ์ชาวนายากจนได้สำเร็จ เพราะมัวแต่ไปสนับสนุนภาคอุตสาหกรรม  ทำให้ชาวนาต้องขายที่นา แล้วไปทำงานเป็นลูกจ้างในโรงงาน แล้วรัฐบาลไทยแหกตาคนไทยว่า ประเทศไทยกำลังพัฒนาเนื่องจากมีมูลค่าการส่งออกตั้งเท่านั้นเท่านี้ จริงๆแล้วเงินจำนวนนี้มันไปทำให้นายทุน (ที่กดขี่แรงงาน) ร่ำรวย แต่มันไม่ได้ทำให้คนไทยส่วนใหญ่มีชีวิตที่ดีขึ้นมาเลย จริงๆแล้วอาชีพที่ดีน่าจะเป็นการทำอาชีพอิสระ หรือ self employment และอาชีพอิสระที่ดี ก็น่าจะเป็นการทำนา เนื่องจากคนเป็นจำนวนมากต้องกินข้าว ...ชาวนาในประเทศที่เจริญแล้วต่างก็เป็นนายทุนกันเสียเองเป็นจำนวนมาก เนื่องจากไม่ต้องถูกเอารัดเอาเปรียบ และที่คนในรัฐบาลช่วยนายทุน เช่นเจ้าของโรงงานนั้น ก็เนื่องจากได้รับผลประโยชน์ทางด้านการเงิน แต่การช่วยชาวนานั้นไม่ทำให้คนในรัฐบาลได้เงิน รัฐบาลควรรีบพัฒนาการเกษตรแบบธรรมชาติโดยเร็ว  และถ้าเป็นไปได้ควรหาทางเยียวยาพื้นที่เกษตรเป็นจำนวนมากที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักไปแล้วเพราะปุ๋ยเคมีกับยาปราบศัตรูพืช แต่ถ้ามองโลกในแง่บวก เกษตรกรอาจมีชีวิตที่ดีขึ้นมาในเร็วๆวันนี้ ก็ได้ เนื่องจากในช่วงหลังๆนี้ หน่วยงานไทยที่เกี่ยวข้องก็เริ่มทำอะไรที่ดีๆขึ้นมา ดังเช่น ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกพืชที่ใช้เป็นพลังงานทดแทนได้ เพื่อเป็นการเพิ่มรายได้ แก้ไขเมื่อ 09 พ.ค. 51 13:09:55 แก้ไขเมื่อ 09 พ.ค. 51 13:09:17 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 9 พ.ค. 51 12:38:36 ]

ความคิดเห็นที่ 24 รัฐบาลเน้นการช่วยเหลือ คนกลาง โรงสี ผู้ส่งออกเป็นลำดับต้นๆ ชาวนา เอาไว้ทีหลัง จากคุณ : ฉั่วเป่งใช้ - [ 9 พ.ค. 51 13:52:47 ]

ความคิดเห็นที่ 25 การแก้ไขปัญหา น่าจะต้องเป็นการรวมกลุ่มเพื่อตั้งสหกรณ์ มิใช่สหกรณ์ที่มีเพียงการใหกู้ยืม แต่เป็นสหกรณ์ในรูปแบบบริษัทครบวงจร ที่รับซื้อข้าวจากชาวนา สีข้าว หาตลาดและทำการขาย บริหารโดยชาวนา ตั้งราคาอย่างยุติธรรมทั้งแก่ผู้ซื้อ-ผู้ขาย มีการประกันราคาขั้นต่ำและกักสินค้าในยามที่เกิดภัยพิบัติ เมื่อมีสหกรณ์ที่เป็นตัวกลางแทนพ่อค้าคนกลาง นายทุน ฯลฯ แล้ว การจัดขายข้าวก็จะอยู่ในมือของชาวนา (แต่สหกรณ์ต้องไม่แปรสภาพกลายเป็นนายทุนในภายหลัง) โดยสมบูรณ์ การจะเกิดสิ่งนี้ขึ้นได้นั้น รัฐคงต้องให้การสนับสนุน แต่รัฐที่รับใช้ผลประโยชน์ของนายทุนคงจะยากที่จะยอมให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น จึงต้องเป็นรัฐที่กำหนดบทบาทโดยชนชั้นกรรมมาชีพอย่างแท้จริงก่อน ส่วนการได้มาซึ่งอำนาจรัฐแบบนี้นั้น ผมมองไม่เห็นลู่ทางอื่น นอกจากชาวนาและกรรมกรทั้งประเทศจะลุกขึ้นมาล้มล้างรัฐของชนชั้นนายทุนทิ้งไป จากคุณ : อุ้ย (digimontamer) - [ 9 พ.ค. 51 21:23:36 ]

ความคิดเห็นที่ 26 เมืองไทยยังติดกับภาพที่ต้องรอให้รัฐ มาช่วยเหลือก่อน ...ถ้าเป็นเมืองนอก เป็นเอกชนจัดการกันเองทั้งนั้น ..อย่างที่พูดมาว่ามีสหกรณ์ ก็ไม่ต้องรอให้รัฐมาตั้งให้ ลูกหลานชาวนาไทยที่เรียนจบสูงๆกันมา มีใครคิดปรับปรุงระบบ อะไรบ้างรึเปล่า..หรือรอให้รัฐมาช่วยพ่อแม่ ปู่ยาตายาย กันอย่างเดียว จากคุณ : walnutsoda - [ 10 พ.ค. 51 05:37:57 ]

ความคิดเห็นที่ 27 นั่นนะสิ เรื่องเอกชนจัดการกันเอง ตามที่ คคห26 พูด เราก็เคยคิดเหมือนกันนะ   เวลานั่งแท็กซี่ แล้วเห็นคนขับมาจากครอบครัวชาวนา เราเคยถามเขาว่า ทำไมคนขับแท็กซี่หลายๆคนไม่เอาเงินที่ขับแท็กซี่ได้ ไปลงขันกันซื้อเครื่องสีข้าว แล้วเช่าแผงที่ห้างสรรพสินค้า หรือแผงแบกะดิน จากนั้นจึง ขนข้าวไปวางขายที่แผงบ้างล่ะ คนที่ขายก็คือภรรยาของพวกเขานั่นแหละ ซึ่งทุกวันนี้ก็ได้แต่อยู่บ้านไม่ทำอะไร คำตอบที่ได้รับ ก็คือรู้สึกว่า พวกเขาจะบอกว่า ขับแท็กซี่ก็แทบจะไม่ได้เงินอยู่แล้ว แถมยังมีปัญหาอย่างอื่นอีกรอบด้าน ...เราก็เลยคิดว่า เป็นไปได้หรือเปล่าว่า ส่วนแบ่งที่ชาวนาได้รับหลังจากพ่อค้าคนกลางกินหัวคิวไปแล้ว มันไม่เหลือเงินมากพอให้ชาวนาระดมเงินกันแบบเอกชนในประเทศอื่น...คือแค่เป็นรายจ่ายในครอบครัวก็ไม่เหลือเก็บแล้ว....??? จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 10 พ.ค. 51 11:46:08 ]

ความคิดเห็นที่ 28 มีเรื่องหนึ่งที่เราคิดไว้นานแล้ว จะบอกให้ฟัง อีกวิธีหนึ่งนะที่จะช่วยชาวนา ในทางทฤษฎีมันเป็นไปได้ แต่ในทางปฏิบัติคงทำได้ยาก   นั่นก็คือว่า เราเคยเห็นเครื่องสีข้าวขนาดเล็กในต่างแดน รู้สึกว่ามันจะผลิตในประเทศอิตาลี  อันมันใหญ่สูสีกับเครื่องบดเนื้อ หรือเครื่องปั่นขนาดย่อมๆ  มันทำงานแบบ manual นะ คือเอาข้าวเปลือกใส่ลงไปในเครื่อง แล้วก็เอามือหมุนๆก็จะได้ข้าวกล้องพอหุงมื้อสองมื้อ  มีคนนำมาขายในร้านที่ขายอาหารแม็คโครไบออติกในต่างแดน จุดขายก็คือ ข้าวที่สีออกมาจะเป็นข้าวกล้องที่มีรำข้าวติดมากขึ้น เครื่องนี้มันทำได้ เนื่องจากกลไกที่ดึงเปลือกข้าวออกนั้น มันไม่ใช่โลหะ แต่มันเป็นยาง จึงไม่ไปขูดรำข้าวออกไป วิธีการช่วยชาวนา ทำได้ดังนี้ ซื้อเครื่องสีข้าวขนาดเล็กอย่างที่ว่านี้ มาแค่ไม่กี่เครื่อง แล้วส่งไปให้พวกสถาบันเทคโนโลยีเก่งๆ ทำเลียนแบบมันขึ้นมาเพื่อขายในเชิงพาณิชย์ แต่ต้องดัดแปลงหน่อยๆ เพื่อไม่เป็นการละเมิดสิทธิบัตร ...แต่จริงๆแล้วเราว่า ต้นแบบการประดิษฐ์เครื่องสีข้าวชนิดนี้นะ มันอาจเป็นภูมิปัญญาคนโบราณชาติใดชาติหนึ่งมาตั้งหลายร้อยปีแล้วก็ได้ ซึ่งอาจไม่มีสิทธิบัตร (ต้องศึกษารายละเอียดดูเพื่อหาทางหนีทีไล่) พอผลิตเครื่องสีข้าวขนาดเล็กได้สำเร็จ ก็ต้องมี campaign เพื่อปลุกระดม ให้คนไทยทั้งประเทศ ช่วยกันกำจัดพ่อค้าคนกลาง นั่นก็คือ ให้ทุกคนหันมากินข้าวกล้องเพื่อสุขภาพ โดยการใช้เครื่องสีข้าวขนาดเล็กสีข้าวกันเองทุกๆครัวเรือน  ในเนื้อหาของ campaign เราต้องพยายามกระตุ้น ให้คนไทยมีจิตสำนึกที่จะออกแรงสีข้าวเองเพื่อช่วยชาวนา หากทำ campaign นี้ได้สำเร็จ ชาวนาก็แค่ทำนา เก็บเกี่ยว แล้วส่งข้าวเปลือกมาขายโดยตรง ถึงมือผู้บริโภค (ที่มีเครื่องสีข้าวขนาดเล็กกันอยู่ทุกครัวเรือน) เนื้อหาหลักๆของ campaign  คือ 1. ออกกำลังสีข้าว บริหารร่างกาย ดีต่อสุขภาพ หมุนๆเครื่องไปนั่งสมาธิไป จิตใจสงบ แผ่เมตตาให้ชาวนา 2. เป็นการทำบุญช่วยเหลือชาวนา 3. เป็นการกำจัดพ่อค้าคนกลาง 4. เป็นการกินข้าวกล้องซึ่งเป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ ซึ่งดีต่อสุขภาพ ในกรณีที่มีผู้บริโภคสนับสนุนแนวคิดตาม ข้อ 1- 4 เราอาจขยายวงกว้างโดยการช่วยๆกันหาทางให้ชาวนาทั้งหมดแก้ไขสภาพพื้นดิน ด้วยวิธีการเพาะปลูกแบบธรรมชาติตามแนวคิด ในหนังสือ The One-Straw Revolution ของ Masanobu Fukuoka ซึ่งถ้าทำได้สำเร็จ ข้าวไทยทั้งหมดก็จะเป็น ข้าว organic คือปลอดปุ๋ยเคมี และปลอดยาปราบศัตรูพืช โครงการที่เราคิดๆ เล่นๆ แบบฝั่นเฟื่องน่ะ จะประสบความสำเร็จได้นั้น เราต้องมี campaign มากล่อมคนไทยทั้งประเทศให้เชื่อเรื่องประโยชน์ของการกลับไปกินข้าวกล้องเหมือนในอดีต อยากฟังความคิดเห็นจากผู้อ่านรายต่อๆไปว่าเรื่อง campaign ที่เราฝันไว้เนี่ย มันพอที่จะนำไปปฎิบัติให้เป็นจริงได้หรือไม่?   โปรดช่วยๆกันแสดงความคิดเห็นด้วย แก้ไขเมื่อ 10 พ.ค. 51 12:13:59 แก้ไขเมื่อ 10 พ.ค. 51 12:13:28 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 10 พ.ค. 51 12:05:01 ]

ความคิดเห็นที่ 29 จากคคห 28 ทำไมถึงไม่ให้ชาวนาสีข้าวแล้วบรรจุขายเองล่ะคะ ผู้บริโภค โดยเฉพาะคนในเมือง อาจจะชอบความสำเร็จรูปมากกว่านะคะ ปัญหาคือ การขนส่ง กับ ตลาด ค่ะ ถ้าชาวนาสามารถทำสองอย่างนี้เองได้ ก็ไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลางค่ะ (เพราะมันเป็นหน้าที่คนกลาง น่ะนะ) ทางออกคงเหมือน คคห 25 ที่ให้ใช้ระบบสหกรณ์ ถ้ารัฐช่วย ก็คงง่ายขึ้น แต่ถ้ารัฐไม่ช่วย ชาวนาก็คงต้องพยายามด้วยตัวเองก่อนแล้วล่ะค่ะ การหาตลาดแบบไม่ต้องใช้ทุนมากนัก คือ ใช้ระบบขายตรง ลูกค้าสั่งข้าวหนึ่งถุง ของส่งถึงบ้าน ไม่ต้องไปแบกเอง แต่การค้าขายระบบนี้ต้องสร้างความน่าเชื่อถือให้ได้ก่อน ไม่งั้นก็คงยากค่ะ จากคุณ : dittaya - [ 10 พ.ค. 51 20:48:01 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ชอบไอเดียคุณ tansy4 ครับ ผมเองเป็นชาวนาคนหนึ่ง แต่เป็นชาวนาแบบเลื่อนไหล มีชีวิตสลับไปมาระหว่างเมืองกับบ้านนอก หนักไปทางอยู่เมือง... เพิ่งเคยเห็นกระทู้แบบนี้ครับ อยากเสนอไอเดียและชักชวนทำอะไรสนุกๆ บ้าง เช่น โครงการ EFS ( esan field service ) เลียนแบบทุน AFS : ) ไปเที่ยว ลองนอนกระท่อมปลายนาฟังเสียงลมล่องกลางดึก ลองจับเคียวเกี่ยวข้าว กินข้าวปลาแบบที่เรียกว่าข้าวใหม่ปลามันดูว่ามันเป็นยังไง อร่อยมากครับโดยเฉพาะปลาหมอ โรยเกลือแล้วปิ้งไฟ เนื้อนุ่มมม มีมันแทรกในเนื้อเยอะ ตัวอ้วนนนน อาจอร่อยกว่าปลาทุกอย่างที่เคยกินก็ได้ ปลาดิบของญี่ปุ่นชิดซ้ายครับ : ) เล่าให้ฟัง... ความทุกข์อย่างหนึ่งของผมสำหรับชีวิตที่กรุงเทพก็คือเรื่องข้าวครับ นอกจากเรื่องอื่นๆ เกี่ยวกับข้าวที่รู้สึกชาชินไปแล้วก็คือ ข้าวตามร้านอาหาร ร้านข้าวแกงซึ่งมักไม่ใช่ข้าวหอมมะลิซึ่งอาจเป็นเพราะราคาแพง กินทีไร สงสารหลายคนที่ต้องกินข้าวคุณภาพแบบนี้ สงสารตัวเองด้วย คนบ้านนอกยากดีมีจนยังไงก็ยังได้กินข้าวดีๆ เพราะปลูกเอง ข้าวหอมมะลิใหม่นั้นหอมกลิ่นมะลิจริงๆครับ หลายคนอาจไม่เคยรู้ อาจไม่เคยกินมาก่อน โดยเฉพาะคนรายได้น้อย ความสัมพันธ์แบบที่เป็นอยู่ระหว่างชาวนากับคนกินข้าวนั้นซับซ้อน ขึ้นไปตามสภาพสังคมอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ห่างไกลจากระบบแลกเปลี่ยนสินค้ากันซื่อๆ สำหรับคนที่ไม่เคยทำนาเลย ชาวนาไม่ใช่ทั้งญาติพี่น้อง ไม่ใช่อะไรเลย บางทีในสำนึกของคนทั่วไป การดำรงอยู่ของชาวนาใน สำนึกของหลายคนอาจไม่ต่างอะไรจากชาวแอฟริกัน คือมีอยู่แต่แทบไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วยเลย ในสังคมเกษตรสมัยก่อนทุกคนเป็นญาติกัน ดูแลกันไป แต่เดี๋ยวนี้ซับซ้อนขึ้นจนไม่รู้จะนับญาติกันยังไง คนนั้นก็เป็นเจ้าหนี้ คนนั้นก็เป็นลูกค้า ผ่านความสัมพันธ์ทางการผลิตและการบริโภค เราสัมผัสกันแค่นั้น แต่บางทีครับ บางทีเราอาจเป็นเพื่อนกันได้... บางทีลูกชายลูกสาวคุณอาจไปนอนลองกระท่อมปลายนา ไปรู้จักวิธีดำนาตอนปิดเทอมแทนการกวดวิชา ให้ญาติๆ ลองเที่ยวที่อื่นดูนอกจากทะเล กับภูเขา ลองไปงมหอยแม่น้ำ หรือเดินขึ้นภูไปเก็บดอกกระเจียวมาจิ้มป่น แล้วลองคุยแลกเปลี่ยนปัญหาต่างๆ ของชาวนาและคนที่ไม่เคยทำนาที่นั่น ลองเอาข้าวหอมมะลิใหม่ไปกินดู อาจซักกระสอบกินได้สองเดือน อาจเป็นความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวต่อครอบครัว เครือญาติต่อเครือญาติ คุณ tansy4 ครับ ผมจะกลับต่างจังหวัดครับ อาทิตย์หน้า จะขนข้าวมาถุงนึงจะเอามาแบ่งครับ ขอบคุณที่คุณตั้งกระทู้ที่ชวนคิด อยากฝากทุกคนครับ อาจเป็นคนละเล็กละน้อยถ้าหลายคน รวมทั้งคุณ dittaya และทุกคนข้างบนด้วยครับที่ไม่ได้เอ่ยนาม ฟังดูแปลกดีไหมครับ และจะเป็นจริงได้ไหม จริงๆ บางทีได้หลุดไปจากความคิดเรื่องต้นทุนกำไรบ้างก็น่าจะดีเหมือนกัน แบ่งปันกันครับ แจ้งความจำนงมานะครับ ที่นี่ ลืมไป... แล้วจะยังมีคนเข้ามาดูไหมเนี่ย เอาเป็นว่าแจ้งมานะครับ : ) จากคุณ : บัวลอยลำดวน - [ 11 พ.ค. 51 01:23:03 A:124.121.12.112 X: TicketID:161371 ]

ความคิดเห็นที่ 31 อ้อลืมบอกไปคุณwalnutsoda ใน คคห 26 ที่คุณว่า "เมืองไทยยังติดกับภาพที่ต้องรอให้รัฐ มาช่วยเหลือก่อน ...ถ้าเป็นเมืองนอก เป็นเอกชนจัดการกันเองทั้งนั้น..." ที่เราตอบแค่ว่า ชาวนาไทยอาจรายได้น้อยจากการโดนกินหัวคิวจนแทบไม่มีเงินเหลือพอที่จะระดมทุนกันประกอบธุรกิจของตัวเองกันนั้น เราลืมบอกไปว่า เมื่อเทียบกับต่างประเทศ เท่านั้นยังไม่พอ แท้จริงแล้วในหลายๆประเทศเขามีเงินทุนช่วยเหลือคนยากจน เช่นในประเทศอังกฤษรัฐบาลมีเงินช่วยเหลือคนตกงาน ที่จับกลุ่มกันเป็นทีม แล้วเสนอโครงการขึ้นมา ถ้าโครงการดูท่าทางมีอนาคต รัฐบาลอังกฤษจะ 1. ให้เงินทุนจัดตั้งบริษัท เพื่อดำเนินโครงการ 2. จัดการฝึกอบรมด้านเทคนิค เช่นการผลิต การตลาด ภาษีอากร ฯลฯ ยกตัวอย่างเช่นครอบครัวชาวอินเดียบางครอบครัวที่อพยพจากสภาพที่แร้นแค้นในอินเดียไปตั้งรกรากที่อังกฤษ พวกเขามาจากครอบครัวซึ่งปลูกกระเทียมในอินเดีย ซึ่งก็คงแย่พอๆกับชาวสวนไทยนั่นแหละ แต่ชาวอินเดียกลุ่มนี้ พอไปอยู่อังกฤษได้ไม่นานนัก ก็สังเกตเห็นว่าอังกฤษต้องนำเข้ากระเทียมจากประเทศอื่นๆ ทั้งๆที่มีตลาดใหญ่รองรับเนื่องจากว่า มีชาวเอเซียไปอยู่ที่นั่นกันมากมาย ดังนั้น ชาวอินเดียกลุ่มนั้นจึงเสนอโครงการเพาะปลูกกระเทียมภายในประเทศ และรัฐบาลอังกฤษก็ได้ช่วยเหลือทางด้านการเงินและการฝึกอบรมต่างๆ จนชาวอินเดียกลุ่มนั้นกลายเป็นผู้ผลิตกระเทียมที่ประสบความสำเร็จร่ำรวยไปได้ในที่สุด ส่วนคุณ dittaya ที่เสนอใน คคห 29 ที่ว่า "ทำไมถึงไม่ให้ชาวนาสีข้าวแล้วบรรจุขายเองล่ะคะ ผู้บริโภค โดยเฉพาะคนในเมือง อาจจะชอบความสำเร็จรูปมากกว่านะคะ" ตอบ ก็นับว่าเป็นความคิดที่ดี หากแต่ว่า "เครี่องสีข้าวขนาดใหญ่มันคงเป็นเงินไม่ใช่น้อยๆ จนป่านนี้ชาวนาถึงยังไม่มีเงินซื้อเครื่องสีข้าวมาสีเอง" ดังนั้น เราจีงเสนอใน คคห 28 เรื่องเครื่องสีข้าวขนาดเล็กที่ทุกครัวเรือนในทุกจังหวัด หาซื้อได้ง่ายๆ ไม่แพงนัก และให้ชาวนาแพ็คข้าวเปลือกส่งตรงไปยังผู้บริโภคเลย หรือไปเช่าแผงที่ห้างสรรพสินค้า หรือตามตลาดนัดเพื่อขายข้าวเปลือกที่ขนส่งตรงจากที่เก็บเกี่ยวจากนาของพวกเขาเลย แล้วให้คนกินเอาไปสีกันเองง่ายๆ ซึ่งโครงการของเรานี้จะประสบผลสำเร็จได้นั้น ก็คงต้องกล่อมผู้บริโภคว่า "โปรดช่วยกันสีข้าวเองเพื่อทำบุญให้แก่ชาวนาไทยเถิด และในการสีข้าวเองเฉกเช่นที่ว่านี้ พวกท่านทั้งหลายก็จะกลับไปกินข้าวกล้องกันหมด เหมือนบรรพบุรุษเราสมัยโบราณ ซึ่งก็จะทำให้สุขภาพดีขึ้น" (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมใน คคห 28) ตอบคุณบัวลอยลำดวน คคห 30 ยินดีมากๆที่ชาวนาคนหนึ่งมาช่วยแสดงความคิดเห็น ถ้ากลับบ้านนา ก็ลองเล่าให้เพื่อนๆฟังเรื่องที่เราเสนอไว้ ว่าพอที่จะระดมพลกัน แล้วยกพล (ไม่ใช่เดินขบวนนะ) กันไปยื่นหนังสือให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า พอที่จะช่วยพวกเขาดำเนินโครงการตามที่เราเสนอให้ใน คคห 28 จะได้หรือเปล่า? (คล้ายๆกับที่รัฐบาลอังกฤษช่วยครอบครัวอินเดีย แต่กรณีของคุณมันโครงการระดับประเทศเลยนะ) นั่นก็คือเรื่องการให้รัฐบาลรณรงค์ให้คนไทยทั้งประเทศมาสีข้าวกันเองทุกครัวเรือนด้วยเครื่องสีข้าวขนาดเล็กที่สีง่ายๆ เพื่อช่วยปลดแอกชาวนาจากพ่อค้าคนกลาง และเพื่อสุขภาพที่ดีของผู้บริโภคข้าวเนื่องจากจะกลับไปกินข้าวกล้องกันหมดนั่นเอง ชักน่าสนใจแล้วสิ อยากให้มีคนช่วยแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมอีกว่า วิธีของเรา (ในคคห 28) จะช่วยชาวนาได้หรือไม่ หากตั้งใจทำกันจริงๆ หรือใครมีวิธีอื่นใดอีก โปรดเสนอมา... แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 51 06:38:38 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 11 พ.ค. 51 06:33:36 ]

ความคิดเห็นที่ 32 แหะๆ คุณ tansy คะ หมายถึงว่า ให้ชาวนาซื้อเครื่องสีข้าวเล็กๆนั่นไว้กับตัว แล้วส่งขายเป็นข้าวสารเลยน่ะค่ะ ไม่ต้องสีทีละเยอะๆก็ได้ จากคุณ : dittaya - [ 11 พ.ค. 51 15:58:26 ]

ความคิดเห็นที่ 33 โอยแบบนั้นไม่ไหวหละ คุณ dittaya นั่นก็เพราะว่า เครื่องสีข้าวจากอิตาลีที่เราเคยเห็นนี้มันเล็กขนาดสีข้าว ออกมาเป็นข้าวกล้อง ได้ทีละเพียงแค่หุงได้ 3-4 หม้อใหญ่ๆเอง (แล้วแต่จะเอามือหมุนนานแค่ไหน)  ซึ่งสะดวกพอสมควรสำหรับแต่ละครัวเรือนที่จะสีข้าวเก็บใส่ภาชนะอะไรขนาด 5 ลิตร (ประมาณข้าวถุงใหญ่ๆที่ขายกันทั่วๆไปน่ะ) เอาไว้กินเอง แค่ไม่กี่วัน แล้วก็ยอมออกแรงสีเองใหม่ คือว่าเป็นการเสียสละความเหนื่อยในการสีข้าวเอง ก็เพื่อช่วยเหลือชาวนายังไงล่ะ ส่วนชาวนานั้นจะได้เงินมากพอ จะต้อง "ผลิตมวลมาก" คือ mass production นั่นเอง นั่นก็หมายความว่า มัวแต่ไปสีเครื่องเล็กๆ ไม่ได้แน่ๆ ดังนั้น เมื่อไม่มีโรงสี (เพราะไม่มีปัญญาซื้อเอง) ก็ต้องเก็บเกี่ยวข้าวเปลือกแล้วส่งไปขายทีเยอะๆ มันจึงจะได้กำไรในเชิงพาณิชย์ได้ ยังไงล่ะ แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 51 16:39:09 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 11 พ.ค. 51 16:37:42 ]

ความคิดเห็นที่ 34 เกษตรกรเมืองไทยก็มีอิทธิพลทางการเมืองสูง(มากๆ)นะ ทำทั้งผลิต, ขนส่ง, ร้านสะดวกซื้อ, สื่อสาร ฯลฯ สุดยอดจะไทคูน อยู่เบื้องหลังพรรคาการเมืองทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้าน มีบารมีขนาดท่านประัธานองคมนตรีมาเป็นที่ปรึกษาให้อีกต่างหาก อะไรจะใหญ่ขนาด จากคุณ : masked v - [ 13 พ.ค. 51 07:35:37 ]