ความคิดเห็นที่ 1 ในบรรดาติวเตอร์ทั้งหลายเท่าที่เห็นมานะ คนที่เก่งภาษาอังกฤษมากที่สุด แล้วรวยจากการติวภาษาอังกฤษมากที่สุด เห็นทีจะต้องเป็นอาจารย์สงวน วงศ์สุชาติ เป็นแน่แท้ เขาติวภาษาอังกฤษ จนได้เงินตั้ง 40 ล้านบาทมาตั้งโรงเรียนเสริมหลักสูตร ที่เสาชิงช้า เป็นแห่งแรกเมื่อหลายสิบปีก่อน เราไม่ใช่ลูกศิษย์เขา และก็ไม่ใช่หน้าม้านะ  แต่เมื่อก่อนเราเคยติวภาษาอังกฤษ และลูกศิษย์เราบางราย ที่เรียนกับ อ.สงวน อยู่ด้วย และบางรายที่เรียนกับ อ.ดวงใจ อยู่ด้วย เคยเอา sheets ของติวเตอร์ทั้งสองคน ติดตัวมาให้เราดู เราอ่านเปรียบเทียบกันแล้วพบว่า อ.สงวน มีความรู้ภาษาอังกฤษที่แข็งแกร่งน่ากลัวมากๆ ทั้งด้าน grammar และคำศัพท์ (แกรู้ศัพท์พอๆกับที่จะเป็น dictionary เคลื่อนที่ได้เลย) อีกคนหนึ่งที่ยืนยันเรื่องความเก่งของ อ.สงวน นั้นคือบรรณาธิการบริหารของสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งที่เคยทำงานร่วมกับเรา ในโครงการผลิตหนังสือแปล เขาเคยเป็นลูกศิษย์ อ. สงวน แล้วชมว่า อ.สงวนเก่งสุดยอดเลย ต่างๆนาๆมากมายก่ายกอง แล้วชมว่าทุกวันนี้ที่เขาเป็นบรรณาธิการหนังสือแปลได้ก็เพราะอ.สงวน สอนอะไรดีๆเขาไว้หลายอย่าง ส่วนฝีไม้ลายมือของ อ.ดวงใจนั้น (จากการอ่าน sheets ของเธอ ที่ลูกศิษย์เราเอามาให้เราดู) แล้วประเมินด้วยตัวเราเองนะ เราคาดว่า ถ้าเธอจะทาบรัศมีของ อ.สงวนได้ ละก็ เธอต้องไปเรียนภาษาอังกฤษอย่างหนักๆมาอีกอย่างน้อย 10 กว่าปี แต่ก็อย่าเชื่อเราให้มากนัก เนื่องจากว่า สิ่งที่เราประเมินนั้น เราเทียบฝีไม้ลายมือของติวเตอร์ 2 คนนี้ เมื่อ 15 ปีมาแล้ว  และ อ.ดวงใจ ทำอะไรที่มหัสจรรย์มากๆหลายอย่าง ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา นั่นก็คือ เธอสอนภาษาอังกฤษจนร่ำรวย มีเงินไปเปิดโรงเรียนใหม่อีกตั้งหลายสาขา มีเงินซื้อบ้านใหม่เรื่อยๆ จนรู้สึกว่าได้เงินจากการสอนภาษาอังกฤษเป็นจำนวนมหาศาลในช่วงหลังๆนี้ จนน่าจะทำเงินได้สูสี อ.สงวน ไม่รู้ว่า อ.ดวงใจ มีดีอะไรเหมือนกันนะ อาจสอนสนุก หรือการตลาดเก่ง หรือตอนนี้ปรับปรุงการสอน? หรือตัวเธอเก่งขึ้นมามากๆแบบไร้เทียมทานในภายหลัง เราไม่แน่ใจอ้ะ? ต้องลองไปหาข้อมูลเปรียบเทียบกันดู และดูที่เรียนที่อื่นด้วย ทำไมไม่ลองที่มหาลัยล่ะ รู้สึกบางมหาลัยก็มีสอนเขียนนะ สอนให้คนนอกด้วยก็มี แก้ไขเมื่อ 10 พ.ค. 51 21:43:19 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 10 พ.ค. 51 21:36:45 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เราจะแนะนำวิธีเรียน writing ด้วยตนเองตามขั้นตอนให้นะ 1. แรกเริ่มก็คือ คุณต้องเก่ง conversation ในระดับหนึ่ง เนื่องจากถ้ายังพูดไม่ได้ แล้วพยายามที่จะเขียน ทุกอย่างมันก็จะ fail หมด เนื่องจากในการเขียนนั้น คุณจะต้องคิดเป็นภาษาอังกฤษนั่นเอง  ดังนั้น ถ้าคุณยังพูดไม่คล่องนัก อย่าเพิ่งไปลงเรียน writing จะเสียเงินเปล่าๆ 2. ขั้นต่อไปก็คือว่าคุณต้องรู้ว่า การเขียนภาษาอังกฤษมันไม่ใช่เอาคำมาเรียงๆกันแบบเขียนภาษาจีน แต่การเขียนภาษาอังกฤษมันจะมีกฎกติกามากมายเกี่ยวกับคำศัพท์แต่ละคำ นั่นก็คือว่า คนไทยเรียนภาษาจีน แค่เอาคำศัพท์  มาเรียงกันตามกติกาง่ายๆ ก็เรียนภาษาจีนแล้วเขียนได้ภายในเวลา 5 ปี แต่ คนไทยเรียนภาษาอังกฤษมา 5 ปี แล้วสมมุติว่ารู้คำศัทพ์ 5,000 คำ แล้วไปเรียงมันแบบเรียนภาษาจีนนะ ประโยคภาษาอังกฤษที่ออกมา มันจะผิดธรรมชาติหมดเลย ...นี่คือยาขมหม้อใหญ่ของคนไทยในการเรียน writing ....!!! สิ่งที่จะช่วยคุณได้นั้น ก็คือ esl dictionaries (หมายเหตุ esl ย่อมาจาก English as a second language ) ลองไปดู และหัดใช้ esl dictionaries ได้ โดยการตาม links เหล่านี้ไป เอามาแปะไว้ให้ 4 ยี่ห้อ Cambridge Advanced Learner's Dictionary http://www.dictionary.cambridge.org/ Longman Dictionary of Contemporary English http://pewebdic2.cw.idm.fr/ Oxford Advanced Learner's Dictionary http://www.oup.com/elt/catalogue/teachersites/oald7/?cc=th Collins Cobuilds Advanced Learner's English Dictionary http://eedic.naver.com/ เนื่องจาก esl dictionaries 4 เล่มนี้ช่วยคนที่ไม่ใช่ native speakers ให้แก้ไขข้อผิดพลาดในการใช้คำศัพท์สร้างประโยคในระดับพื้นฐานได้   และนี่คือ grammar ที่คนไทยซึ่งเรียนภาษาอังกฤษเกือบทั้งประเทศไทย “ลืมเรียน” ดังนั้น เรียนเขียนแทบตายก็เขียนออกมาแล้วผิดธรรมชาติหมด ...!!! 3. ขั้นตอนถัดไปคุณต้องเรียนเรื่อง simple sentences, compound sentences และ complex sentences กับเนื้อหาอะไรทำนองนั้นน่ะ....ซึ่งมันจะเกี่ยวข้องกับการเชื่อมประโยคหรือ clauses ต่างๆ ด้วย punctuation marks และ/หรือ coordinating conjunctions หรืออะไรต่อมิอะไรอื่นๆ  และเนื้อหาอื่นๆอีก ซึ่งความรู้แบบนี้ มหาลัยฝรั่งสอนเด็กฝรั่งเจ้าของภาษาแค่ 2-3 เดือน เด็กฝรั่งก็เขียนภาษาอังกฤษได้ดี เนื่องจากพวกเขาไม่มี non-native speaker's errors (ข้อผิดพลาดของคนที่ไม่ใช่เจ้าของภาษา) เหมือนพวกเราชาวไทย   มหาลัยไทยหลายๆแห่งนำหลักสูตรการเขียนแบบนี้ (ของฝรั่ง) มาสอนนักศึกษาไทยที่เรียนเอกอังกฤษในช่วงปี 3 ปี 4  แต่นักศึกษาไทยส่วนใหญ่เรียนจบไป  ก็เขียนภาษาอังกฤษไม่ได้ดี กันเสียเป็นส่วนใหญ่ (เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นอัฉริยะทางด้านภาษามาตั้งแต่เด็กๆ)   ทั้งนี้ เนื่องจาก  ก่อนเรียนขั้นตอนที่ 3 นี้  นักศึกษาส่วนใหญ่ยังไม่รู้วิธีเรียนรู้เพื่อแก้ไข non-native speaker’s errors เสียก่อน  ดังนั้น เราจึงแนะนำคุณเรื่อง esl dictionaries เอาไว้ในขั้นตอนที่สอง แก้ไขเมื่อ 10 พ.ค. 51 22:49:07 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 10 พ.ค. 51 22:23:26 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เพื่อให้คุณปฏิบัติการในขั้นตอนที่ 3 สำเร็จได้ง่ายยิ่งขึ้น เราหามาบทเรียน writing มาให้อันหนึ่ง อันนี้ดีมากๆเลย  เขาแบ่งหลักสูตร (ของฟรี) ออกเป็น week #1 ถึง week #5 เริ่มตั้งแต่ grammar พื้นฐานง่าย แต่เรื่องที่เกี่ยวกับการเขียนคือการเชื่อม clauses หรือการใช้ punctuation น่าจะอยู่ที่ประมาณ week #4 นะ .... เราก้อยอมรับว่าเราก็ไม่ค่อยแม่นนักในเรื่องนี้ บางทีเราอาศัยเคยอ่านหนังสือนิยายผ่านๆมาก้อพอจำได้นิดหน่อย แล้วเอาไปดำน้ำพอไหว... เราว่าจะเรียน writing แบบยกเครื่องใหม่หมดเลย แต่ก้อมัวแต่ไปจีบสาวอยู่ก้อเลยไม่ได้เรียน เรียนๆแล้วหยุดๆไป เอาไว้ถ้าใครสนใจ ก็มาชวนกันลงเรียน แล้วบางทีเราจะมาร่วมลงแขก...เอ้ยลงเรียนด้วยน่ะ ลองตาม link ข้างล่างนี้ไปอ่านดูนะ แล้วไม่ต้องไปเสียเงินให้โรงเรียนสอนภาษาก็ได้ http://grammar.uoregon.edu/toc.html หมายเหตุหนังสือเรียน writing หาบนเว็บก็มี หรือซื้อเอาก็มี  ส่วนใหญ่บทเรียนดีๆมันจะเขียนเป็นภาษาอังกฤษหมด  คุณไม่ต้องไปหาตำราพวกนี้เป็นภาษาไทยเลย ... เพราะอะไร? รู้ไหม?  คำตอบก็คือว่า หากคุณอ่านตำราพวกนี้เป็นภาษาอังกฤษยังไม่รู้เรื่องก็แสดงว่าภาษาอังกฤษคุณยังไม่พร้อมที่จะเรียน writing และวิธีเยียวยา ก็คือ กลับไป ปฏิบัติตามข้อ 2. ใหม่  นั่นก็คือ เรียนวิธีเอาคำศัพท์พื้นฐานง่ายๆ มาเรียนให้เข้าใจ และนำไปหัดสร้างประโยคง่ายๆสั้นๆ จากการดูตัวอย่างประโยคใน esl dictionaries ที่เราแนะนำไว้ในข้อ 2  ให้เก่งก่อนแล้วค่อยกลับไปอ่านตำรา writing ใหม่ ถ้าอยากรู้ว่าคำศัพท์พื้นฐานที่คุณต้องเรียนให้เข้าใจ และนำไปหัดสร้างประโยคได้นั้นมีอะไรบ้าง ก่อนที่จะขยับไปเรียนเรื่องยากๆ เราก็เอามาแปะไว้ให้คุณด้วย มันคือ defining vocabulary 2,000 คำ  ลองตาม link ข้างล่างนี้ไปดู http://www.cs.utexas.edu/users/kbarker/working_notes/ldoce-vocab.html ถ้าคุณลองเปิด esl dictionary แต่ละเล่มดู แล้วคุณจะตกใจว่า คำศัพท์ง่ายๆ แค่ 2,000 คำนี้นะ ถ้าเป็นภาษาจีน คุณเรียนเป็นคำๆ แล้วเอาไปต่อๆเรียงๆกันเป็นประโยค มันพออ่านรู้เรื่องนะ แต่ถ้าเป็นภาษาอังกฤษ คุณไม่มี esl dictionaries ละก้อ คุณไม่มีทางที่จะใช้คำศัพท์สร้างประโยคสั้นๆ ได้อย่างถูกต้องให้เหมือนฝรั่งเจ้าของภาษาเลยแม้แต่นิดเดียว เว้นเสียแต่ว่าคุณจะไปเกิดที่ประเทศซึ่งใช้ภาษาอังกฤษหรือไปอยู่ที่นั่นตั้งแต่อายุสิบขวบต้นๆ เนื่องจากว่าคำศัพท์ภาษาอังกฤษเกือบทุกคำมันจะแปลเป็นกลุ่มคำ นั่นก็คือว่าเมื่อเปลี่ยนกลุ่มคำที่มันอยู่ด้วย  คำศัพท์แต่ละตัว มันก็จะเปลี่ยนความหมายไปเรื่อยๆ เราเรียกกลุ่มคำนี้ว่า collocation ถ้าคนเรียน writing ไม่รู้ collocations มากพอ เวลาเขียนประโยค หากจัดกลุ่มคำโดยมีคำศัพท์ขาดไปหรือเกินมาตัวสองตัว มันก็จะสื่อความหมายผิดไปแล้ว...!!! ตกลงตอนนี้คุณไม่ต้องไปเสียเงินเรียน writing แล้วนะ เนื่องจากติวเตอร์ทั้งหลายท่านต่างก็รวยๆกัน มีเงินกันเป็นร้อยๆล้าน ไปแล้ว  แต่ตัวเรานั้นยากจนเพราะพยายามกลับไปติวภาษาอังกฤษใหม่ให้รวย แต่ทำไม่สำเร็จ  ทำการตลาดไม่สำเร็จ แล้วก็ไม่มีใครเลื่อมใสอยากเรียนภาษาอังกฤษกับเราด้วย....555+++... เราก็เลยไม่รู้จะเอาความรู้เราไปทำอะไร ก็เลยมาบอกเคล็ดลับในการเรียนภาษาอังกฤษให้ผู้คนทั่วไปรู้ ทั้งๆที่เราไม่เคยเอาเคล็ดลับนี้ ไปเรียนเองเลย (เราใช้วิธีเรียนลัดโดยการอ่านนิยายภาษาอังกฤษหลายๆเรื่อง แล้วจำๆเอา)  นั่นก็หมายความว่าถ้าคุณเรียนตามที่เราแนะนำเอาไว้ อย่างหนักๆนะ คุณก็อาจจะเก่งกว่าเราเสียอีก (เนื่องจากว่ามันเป็นการเรียน writing ตามขั้นตอนที่ถูกต้อง)...ตลกดีไหมล่ะ...555+++... แก้ไขเมื่อ 10 พ.ค. 51 23:28:06 แก้ไขเมื่อ 10 พ.ค. 51 23:00:15 แก้ไขเมื่อ 10 พ.ค. 51 22:58:50 แก้ไขเมื่อ 10 พ.ค. 51 22:55:11 แก้ไขเมื่อ 10 พ.ค. 51 22:53:48 แก้ไขเมื่อ 10 พ.ค. 51 22:36:53 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 10 พ.ค. 51 22:33:17 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ขอบคุณสำหรับคำแนะนำดีๆ นะคะ คุณ tansy  :) แต่ก็ยังอยากทราบอยู่ดีอ่ะคะ :) ว่าตอนนนี้ที่อ.ดวงใจ คอร์ส writing เป็นยังงัยบ้าง เพื่อนคนอื่นที่เคยเรียนกับอ.ดวงใจ   ดีไม่ดียังงัย ก็รบกวนด้วยนะคะ  :) จากคุณ : rokugatsu - [ 10 พ.ค. 51 22:50:37 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ตำรา writing (เขียนเป็นภาษาอังกฤษ) ที่อ่านเข้าใจง่ายๆอีกเล่มหนึ่ง คือ EN302 ของมหาลัยราม เขียนโดย Dr. Donald A. Leuschel เราซื้อมาเมื่อ 15 ปีมาแล้ว ไม่แน่ใจว่าตอนนี้มหาลับรามยังคงใช้ textbook เล่มนี้อยู่หรือเปล่า?  ใครเรียนรามอยู่โปรดตอบด้วย?   คือทีแรกเราเห็นนิติภูมิ รวยออก รวยออก เพราะติว EN 101, EN102, EN201 และ EN202 เราก็อยากจะรวยเหมือนเขาบ้าง เราก็เลยซื้อ textbooks ของนักศึกษารามที่เรียนเอกอังกฤษมาศึกษาดูทุกเล่มเลย แต่ตอนจบไม่ได้ไปเปิดติวหน้ารามเนื่องจากเพื่อนเราไปเปิดติวแถวๆนั้นเล่าให้ฟังว่า “มาเฟียหน้ารามดุมากๆ” ...555+++ จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 11 พ.ค. 51 00:30:18 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เราเอาเนื้อหาการสอน writing  ของ EN302  ช่วงต้นๆมาสรุปให้ฟังเคร่าๆ คนที่จะไปเรียน writing อย่าง จขกท จะได้คาดหวังได้ว่าเนื้อหามีอะไรบ้าง เริ่มต้นด้วยเรื่อง simple sentences A. It rained. B. The yard was flooded. A และ B เป็น simple sentences. ในตัวอย่าง A นั้น "it" เป็น subject ส่วน "rained" เป็น predicate ในตัวอย่าง B นั้น "the yard" เป็น subject ส่วน "was flooded" เป็น predicate เวลาเอา simple sentences มาเชื่อมกันเป็น compound sentence เจ้า simple sentence แต่ละอัน มันเรียกว่า  clause นี่คือตัวอย่างการนำ simple sentences มาเชื่อมกันเป็น compound sentences 1.  It rained; the yard was flooded. (เชื่อมด้วย semicolon... กฎในหนังสือเล่มนี้ เขาระบุเอาไว้ว่า หากต้องการเชื่อมด้วย punctuation mark แต่อย่างเดียว สิ่งที่อนุญาตให้ใช้ได้ ก็คือ semicolon แต่เพียงเท่านั้น ...แต่เราก็เคยเห็นนักเขียนฝรั่งเก่งๆ เล่นอะไรพิเรนๆ แหกกฎนี้ ในนิยายที่เราเคยอ่านมาแล้วบ่อยๆ อ้ะ) 2. It rained, and the yard was flooded.  (เชื่อมด้วย coordinate conjunction (หรือ coordinating conjunction) คือ “and" และวาง comma ไว้หน้า "and” ) 3. Not only did it rain, but also the yard was flooded. (เชื่อมด้วย comma กับ correlative conjunction คือ “not only but (also)”) 4. It rained; moreover, the yard was flooded. (เชื่อมด้วย semicolon กับ conjunctive adverb คือ “moreover” แล้วตามด้วย comma) ไม่ว่าจะเชื่อม กันเพื่อสร้าง compound sentence ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง จาก 4 รูปแบบตามที่ว่ามานี้  simple sentences หรือ clauses จะเรียกว่า “independent clauses”  เนื่องจากว่า หากเอา conjunction และ/หรือ punctuation ออกไป แต่ละ clause ก็จะกลายเป็น simple sentence ได้   อ่านแล้ว มึนหรือเปล่า?  ถ้ามึนก็ไม่ต้อง worry เพราะว่า เราเองก็มึนเหมือนกันน่ะ...555+++... แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 51 04:27:27 แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 51 01:57:41 แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 51 00:35:13 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 11 พ.ค. 51 00:31:32 ]

ความคิดเห็นที่ 7 คราวนี้เรามาดู complex sentences กันบ้าง The yard was flooded because it rained. นี่เป็น complex sentence ที่สร้างโดยการเชื่อม clauses 2 clauses คือ “the yard was flooded" กับ "it rained" เข้าด้วยกัน    โดยการนำ subordinator คือ “because” มาวางไว้หน้า “it rained” subordinator (subordinate conjunction) เป็น conjunction ที่ใช้เชื่อม clauses ใน complex sentences   การใช้ subordinator เชื่อม clauses แสดงให้เห็นว่า clauses ทั้งสองนั้น มีความสำคัญไม่เท่ากัน ซึ่งใน complex sentence นี้   clause แรก คือ “the yard was flooded” มีความสำคัญกว่า clause ที่สอง คือ “it rained” เราเรียก “because it rained” ว่า “dependent clause” หรือเรียกว่า “subordinate clause” เนื่องจากว่าต้องขึ้นอยู่กับ อีก clause หนึ่ง คือ “the yard was flooded” dependent clause นั่นก็คือ subordinator + subject + predicate ไม่มีทางที่จะเป็น simple sentence ได้ เราเรียกอีก clause หนึ่งคือ "the yard was flooded” ว่า “independent clause” หรือ “main clause”  ซึ่ง clause เช่นนี้ สามารถ อยู่โดดๆ เป็น simple sentence ได้โดยตามลำพัง ในตัวอย่างข้างบนนี้  subordinator ตามด้วย complete clause (คือ clause ซึ่งมี subject และpredicate อยู่ในตัวของมันเอง) คำว่า because นำหน้า complete clause (subject คือ "it” และ predicate คือ “rained”) อีกทั้งแสดงความสัมพันธ์กับส่วนที่เหลือของประโยค  แต่ไม่มีหน้าที่อื่นใด ใน dependent clause แต่ subordinator ก็อาจเป็นส่วนหนึ่งของ complete clause ได้ และอ้างอิงถึงคำที่อยู่ข้างหน้าได้ด้วยเช่นกัน เช่น John, who passed his examination with the highest grade, had studied a lot for it. ในประโยคนี้ คำว่า "who” เป็น subordinator ซึ่งนำหน้า dependent clause และตัวมันเองก็เป็นส่วนหนึ่งของ dependent clause ด้วย “who” เป็น subject ของ dependent clause  และอ้างอิงไปถึงคำที่อยู่ข้างหน้า คือ "John” ในขณะที่ “passed the examination with the highest grade” คือ predicate จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 11 พ.ค. 51 00:36:05 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ก๊ากกก ตกลงเลยยังไม่รู้ว่า อ.ดวงใจ เป็นไง จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 11 พ.ค. 51 00:43:41 ]

ความคิดเห็นที่ 9 หมายเหตุ EN302 ประกอบไปด้วยบทเรียนเรื่อง writing กับ conversation แต่เราฉีกบทเรียน conversation ทิ้งไป ให้หนังสือมันบางๆดูไม่น่ากลัว และเนื่องจากว่าเราคล่อง conversation อยู่แล้ว เราเคยอ่านบทเรียนส่วนที่เป็น writing ใน EN302 ผ่านๆไปแล้ว แล้วก็ลงเอยขี้เกียจอ่าน แล้วเล่น "เรียนลัด" โดยการอ่านนิยายภาษาอังกฤษ แล้วดูว่าคำศัพท์ตัวไหนใช้สร้างประโยคที่มีโครงสร้างแบบไหน แล้วใช้ punctuation แบบไหน ได้บ้าง ซึ่งวิธีการเรียนของเราแบบดำน้ำเช่นนี้ มันพอมั่วๆไหว แต่บางทีมันทำให้เขียนประโยคได้ไม่แม่นยำ และไม่ค่อยมั่นใจนัก แต่ครั้นพอจะพยายามกลับไปเรียน writing ตามกฎ grammar อีก เราก็เจอบทเรียน writing ดีๆ บนเว็บอีกตั้งหลายแห่ง จนสับสน ลงเอยไม่รู้จะเรียนอันไหนดี อ้ะ..ก็เลยลองใช้วิธีดำน้ำลูกเดียว...555+++ ...เนื่องจากเวลาเราแปลไทยเป็นอังกฤษลูกค้าเร่งมากๆ เราแทบไม่มีเวลาตรวจสอบความถูกต้องของ grammar เลย...คือพลิกตำราไม่ทัน ว่างั้นเหอะ ... เราจึงพักสมองโดยการหยุดแปลเอกสารไทย-อังกฤษไปค่อนข้างนาน แล้วหันมาแปลแต่หนังสืออังกฤษ-ไทย เพื่อหัดจำรูปแบบประโยคภาษาอังกฤษ และ punctuation จากวิธีการที่นักเขียนฝรั่งเก่งๆ หลายๆคน เขียนกัน เพื่อที่จะเอาไว้เป็นรูปแบบ ในการเขียนภาษาอังกฤษของตัวเอง เพื่อให้ตัวเองเขียนได้ดีกว่าเดิมได้ในภายภาคหน้า แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 51 16:56:45 แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 51 16:50:47 แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 51 16:46:34 แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 51 00:49:38 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 11 พ.ค. 51 00:46:20 ]

ความคิดเห็นที่ 10 อ้าทั่นซียนแอ็ด ทั่นนอนดึกจริงๆนะ ปั่นงานแปลราคาเป็นล้านอยู่หรือ? เราชอบตื่นกลางคืนหมู่นี้น่ะ ทั่นมีงานแปลราคาเป็นล้านๆบาท ให้เราช่วยไหมล่ะ จะได้ช่วยยำให้ หมู่นี้เราไม่ค่อยจะมีเงินกิน wine เลย มีแต่เงินกินเบียร์...555+++... จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 11 พ.ค. 51 00:52:36 ]

ความคิดเห็นที่ 11 หลายปีก่อนผมเคยเรียน อาจารย์ดวงใจ กับ ดร.ศุภชัย (สามี)  ที่ร่วมสอนด้วยกันในบางคอร์สนั้น ผมว่า อาจารย์ทั้งสองท่าน มีแววตาความเป็น "ครู" สูงมาก และ ที่สำคัญคือ มีความหวังดีต่อศิษย์มาก ๆ ครับ ตรงนี้แหละที่ผมรู้สึกว่า น่าจะทำให้ อาจารย์ดวงใจ อยู่มาน้านนนนานนน จากคุณ : KK Tay - [ 11 พ.ค. 51 01:00:51 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ก็เลยอยากถามคนที่เรียนเอกอังกฤษที่รามอยู่ว่า ตอนนี้มหาลัยรามยังคงใช้ EN302 อยู่หรือเปล่า และถ้าไม่ใช้ เขาใช้อะไรสอน writing ในขณะนี้ เรารับรองว่า EN302 นับว่า ไม่แพ้ textbooks เล่มอื่นๆเรื่อง writing ของมหาลัยปิดที่เอ็นเข้ายากๆเลย แม้แต่น้อย แถม EN302 ยังมีข้อดีอยู่อีก นั่นก็คือ "เรียนด้วยตัวเองได้สบายๆเลย" เนื่องจากอาจารย์ Dr. Donald A. Leuschel  ใช้คำศัพท์ไม่เกิน defining vocabulary 2,000 คำ (หมายถึงคำอธิบายนะ ไม่รวม technical terms แปลกๆที่ใช้ในเรื่อง grammar) ในการเขียน textbook เล่มนี้ แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 51 06:47:09 แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 51 01:31:06 แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 51 01:09:50 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 11 พ.ค. 51 01:07:30 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ^ ู^ เห็นด้วยค่ะ ส่วนตัวไม่เคยเรียน อาจาร์ยสงวนนะ ไม่รู้เก่งกว่าป่าว แต่เคยเรียนกับ อาจาร์ยศุภชัย ท่านใจดีจริงๆ เป็นห่วงนักเรียนทุกคน อาจาร์ยเค้าไม่ได้เน้นทำธุรกิจเลยนะ ถ้าจะทำ คงเก็บค่าเรียนแพงมากๆไปแล้วละ แต่อาจาร์ยเค้าชอบสอนเด็กจิงๆ เลยทำให้มีลูกศิษย์เลื่อมใสหลายคนหน่ะค่ะ ถ้าไปเรียนแล้ว ขยันทำการบ้าน หมั่นเอาไปให้อาจาร์ยดู เราว่าก็น่าจะดีนะ อาจาร์ยเค้าตรวจงานเขียนเด็กด้วยอ่ะ :) จากคุณ : hi_tidty - [ 11 พ.ค. 51 01:15:32 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เป็นเด็กรามเก่าค่ะ เรียนเอกอังกฤษ คิดว่า  EN 302 ที่คุณแทนสี พูดถึง น่าจะเป็น EN 205  นะคะ เพราะว่าตอนที่เรียน (สิบปีที่แล้ว) ไม่มีรหัสวิชานี้อ่ะค่ะ ขอยืนยันค่ะว่า ตำรานี้ดีจริงๆ ค่ะ จากคุณ : amore mio - [ 11 พ.ค. 51 03:07:20 ]

ความคิดเห็นที่ 15 อ. ศุภชัยสอนยดีครับ สอนแบบจับมือเขียน คะแนน TWE ผมขยับจาก 3 ขึ้นมาได้เพราะแก จากคุณ : Berlin116 - [ 11 พ.ค. 51 08:46:33 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ขอบคุณเพื่อนๆ ทุกคนนะคะ :)   ดีจัง... เดี๋ยววันนี้จะลองไปที่เรียนดูค่ะ   ทีแรกดูจากเวบ ไม่แน่ใจว่าตารางเรียนบนเว็บของอ.ดวงใจอัพเดทรึเปล่า เห็นเอกสารบางอันยังเป็นปี 2006 อยู่เลย -*- ขอบคุณเพื่อนๆ อีกครั้งค่ะ (^o^)/ จากคุณ : rokugatsu - [ 11 พ.ค. 51 09:47:36 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ตรรกะที่สลาย myths (ความเชื่อที่ผิดๆ) เกี่ยวกับการลงเรียน writing (ตอน 1) *****กระทู้ที่เห็นบ่อยมากๆก็คือเรียน writing ที่ไหนดี?....***** แล้วก็มีคนมาแนะนำที่นั่นที่นี่กันใหญ่ (บางทีคนตั้งกระทู้เป็นหน้าม้าโรงเรียนสอนภาษา หรืออาจถามเพราะไม่รู้จริงๆก็ได้) แล้วก็เลยแห่ไปเรียนกันใหญ่ แต่จะอย่างไรก็ตามนะ ส่วนใหญ่ (เราคาดว่า ประมาณ 90% ของผู้เรียน) เมื่อเรียนwriting ที่สอนกันแค่ไม่กี่สิบชั่วโมง (ประมาณ 40 - 60 ชม)  พอจบมาแล้ว ก็เขียนภาษาอังกฤษไม่ได้ดี  หรือบางทีเขียนออกมาแล้วอ่านไม่เป็นภาษาคนด้วยซ้ำไป  ...แล้วก็เสียเงินเปล่าๆอย่างแน่นอน... เพราะอะไร?   เรามาดูเหตุผลกันก่อนที่จะไปเสียเงินเรียน ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน หรือใครเก่งมาจากไหน มาสอน ก็ตามเถิด...ว่า *****"มันเป็นไปได้หรือไม่ที่จะสอน writing ให้ผู้เรียนเขียนกันได้จริงๆ ภายในระยะเวลาหลักสูตร 60 ชม หรืออะไรทำนองเนี้ย....!!!!!!??????"***** โปรดตั้งใจอ่านให้ดีๆ แล้วคุณจะเข้าใจกลไก ในการเรียนการสอน writing แล้วคุณจะประหยัดเงินไปได้มากมาย... บางคนอาจคิดว่า เราไม่มีปัญญาหาเงินหลายๆร้อยล้านจากการติวภาษาอังกฤษ เราจึงพูดให้ติวเตอร์รวยๆคนอื่นรายได้น้อยลง แต่คุณลองอ่านดูให้ดีๆ แล้วคุณอาจเรียน writing ได้ด้วยตนเองก็ได้  ซึ่งสิ่งที่เราเขียนเป็นประโยชน์แก่ผู้อยากเรียน writing อย่างแน่นอน... ก่อนอื่นขอบอกก่อนว่า  การที่คนเราจะเขียนได้นั้น จะต้องมีอาวุธในมือ (นอกจาก grammar แล้วคือรู้คำศัพท์)  และคำศัพท์ภาษาอังกฤษง่ายๆ ที่ใครๆก็รู้ๆกันอยู่  ส่วนใหญ่รู้กันว่าแปลว่าอะไร ในความหมายง่ายๆ แต่พอเอาไปสร้างประโยคกันเข้าจริงๆ ปรากฏว่า สร้างประโยคแล้วผิดธรรมชาติไปหมด   ลองมาเริ่มดูตั้งๆแต่ Basic English core vocabulary คือศัพท์ง่ายๆที่สุดที่ใช้พูดในชีวิตประจำวันจริงๆ มีประมาณ 850 คำ ... ตามไปดูที่ link นี้ http://en.wiktionary.org/wiki/Appendix:Basic_English_word_list ถัดจากนั้นก็จะเป็น defining vocabulary ประมาณ 2,000 คำ ที่จำเป็น  เนื่องจากการรู้ศัพท์พวกนี้ จะเปิดประตูให้ผู้เรียนสามารถใช้ dictionaries อังกฤษ-อังกฤษได้  ซึ่งสามารถหาคำศัพท์ยากๆกว่านั้นได้อีกด้วย (จนถึงขั้นสามารถขว้าง dictionaries อังกฤษ-ไทย ทิ้งไปหมดได้เลย ...เว้นเสียแต่ว่าจะยังต้องทำงานแปล)  และแท้จริงแล้วการใช้คำศัพท์ เพียงแค่ 2,000 คำนี้ ก็เกือบจะสามารถพูดถึงเรื่องอะไรทั่วๆไปได้จนเกือบหมดแล้ว defining vocabulary ประมาณ 2,000 คำ  ให้ไปดูที่ link นี่ http://www.cs.utexas.edu/users/kbarker/working_notes/ldoce-vocab.html จากนั่นก็จะขยับไปเรียน 5,000 คำ ซึ่งถ้าใครรู้ 5,000 คำที่ว่านี้  ก็จะอ่านนิยายภาษาอังกฤษส่วนใหญ่ได้โดยไม่ต้องเปิด dictionaries ให้เหนื่อยแรงมากนัก   ศัพท์ 5,000 คำ ไปดูหน้าตามันได้ ตาม link ข้างล่างไป http://www.freevocabulary.com/ แต่สำหรับคนไทยที่เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองนั้น การรู้ศัพท์ 5,000 คำแล้วเข้าใจได้  เป็นคำโดดๆ  น่าจะทำได้ง่ายๆ   แต่ตามที่บอกแล้วว่า ศัพท์ภาษาอังกฤษ แต่ละคำนั้น ส่วนใหญ่จะแปลเป็นกลุ่มคำ  นั่นก็หมายความว่า การเรียน writing ในภาษาอังกฤษ โดยใช้คำศัพท์ 5,000 คำ (แต่อย่าลืมว่านักเขียนฝรั่งเก่งๆ รู้ และใช้ศัพท์หลายหมื่นหรือนับเป็นแสนๆคำในการเขียน) นั้นมันไม่เหมือนกับเรียนภาษาจีน 5,000 คำ ซึ่งเอาคำศัพท์ที่แปลเป็นคำๆโดดๆไปใช้ได้โดยง่าย  แต่ในภาษาอังกฤษ ไอ้ 5,000 นี้ ถ้าเรียนมา แล้วไม่รู้ collocations มากพอ (ซึ่งต้องใช้เวลาจำหลายปีมากๆ)  ก็เขียนประโยคผิดอยู่ดี   *****แต่ถ้าจะจำ collocations ทั้งหมดได้นั้น  จะเห็นได้ว่าจำนวน permutations ของมัน (คือลองเอามาจับกลุ่มกันวางสลับไปสลับมา)  จะออกมาเป็นตัวเลขที่น่าตกใจมากกว่า 5,000 หลายๆเท่าเลย....!!!!!*****   นั่นก็หมายความว่า พฤติกรรมเฉพาะตัวของคำศัพท์แค่ 5,000 คำ นี้  ถ้าจะเรียนให้หมด คงต้องใช้เวลาหลายๆปีมากๆ   และนั่นก็เป็นข้อพิสูจน์ว่า   “ไม่มีใครในโลกที่จะสอน writing ให้กับคุณได้ภายในเวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง (เหมือนที่โฆษณากันอยู่ตามโรงเรียนสอนภาษาทั่วๆไป) เว้นเสียแต่ว่าคุณจะไปเกิดในประเทศที่พูดภาษาอังกฤษหรือไปโตที่นั่นตั้งแต่อายุสิบขวบต้นๆ........... หรือเว้นเสียแต่ว่า คุณเรียนวิธีการใช้คำศัพท์เพื่อสร้างประโยคอย่างถูกต้องมาแล้วจาก esl dictionaries 4 เล่มที่แนะนำให้ โดยเรียนรู้พฤติกรรมเฉพาะของคำศัพท์แต่ละตัวนั่นเอง (ซึ่งก็จะต้องใช้เวลาศึกษานานหลายปี)อ้อ แล้วอย่าลืม grammar เรื่องอื่นๆด้วยล่ะ ที่ถ้าคุณยังไม่คล่อง ก็ไม่มีใครสอนคุณให้แก้ไขข้อผิดพลาดได้ภายในเวลาเพี่ยงแค่ไม่กี่ชั่วโมงสมดั่งคำโฆษณา.... !!!" แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 51 15:58:50 แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 51 15:44:35 แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 51 12:47:27 แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 51 12:11:17 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 11 พ.ค. 51 11:58:56 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ตรรกะที่สลาย myths (ความเชื่อที่ผิดๆ) เกี่ยวกับการลงเรียน writing  (ตอน 2) นอกจากอันตรายของการใช้คำศัพท์สร้างประโยคที่ผิดธรรมชาติแล้ว (บางทีง่ายๆก็ยังใช้ผิดเลย)  writing เมื่อปรากฏบน computer file, หน้ากระดาษ หรือกระดานข่าว pantip ในกรณีที่มีคนหัดเขียนภาษาอังกฤษแล้วเอามาให้เพื่อนๆสมาชิกแก้  ยังมี non-native speaker’s errors (ข้อผิดพลาดของคนที่ไม่ใช่เจ้าของภาษา) ที่เห็นบ่อยที่สุดดังต่อไปนี้ 1. conjugation (กระจาย verbs)  ผิด  เช่นบางคนยังพูดในชีวิตประจำวันโดยใช้กริยา 3 ช่อง (บางทีเปลี่ยน verb forms เมื่อเปลี่ยน active sentences เป็น passive sentences หรือในทางกลับกัน ก็ยังเปลี่ยนไม่ถูก) นั่นก็คือ conjugate verbs (ผันกิริยา) ยังไม่แม่นเลย แต่ขยับไปเรียนเขียนเสียแล้ว 2. ใช้ prepositions ผิด  (อันนี้จะเรียนให้ถูกได้ต้องอาศัยเปิด esl dictionaries) 3. ใช้ tenses ผิด 4. เลือกคำที่ไม่สื่อความหมายตามที่ผู้เขียนต้องการที่จะสื่อ 5. ข้อผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุดก็คือ grammar พื้นฐานระดับ ม.1-3  ยังไม่คล่อง แต่เรียนวิ่งก่อนเรียนเดิน  นั่นก็คือดันเรียนคำศัพท์ ไป 5,000 คำเรียบร้อยแล้ว โดยที่ นอกจากจะไม่รู้ collocations แล้ว แถมยังไม่รู้ grammar ระดับ ม. 1-3 อีกด้วย!....และยังมีข้อผิดพลาดอย่างอื่นอีกมากมาย สุดที่จะพรรณนาให้หมดได้... การสอนเขียนที่โรงเรียนสอนภาษาแต่ละแห่งสอนกัน วิธีการก็คงมีแตกต่างกันออกไปบ้าง แต่มันก็คงไม่หนีแนวคิดแบบ EN302 ที่สาธิตไว้ให้ดูหรอก  เนื่องจากว่า หากไม่ครอบคลุมเนื้อหาสาระ ในแนวนี้ มันก็ไม่ใช่เรื่องราวเกี่ยวกับ writing ด้วยเหตุเช่นนี้  writing course ที่น่าจะมีเนื้อหาสาระดังที่สาธิตให้ดู จาก EN302 จึงใช้สอนเด็กฝรั่งเจ้าของภาษา ที่มีความร็แค่ระดับปีหนึ่งมหาลัย หรือแค่ high school  ได้สบายๆเสียด้วยซ้ำไป  โดยใช้เวลาสอนภายในเวลาเพียงแค่ไม่กี่เดือนเอง   *****เนื่องจากเด็กฝรั่งเจ้าของภาษาไม่มี non-native speaker’s errors ให้ต้องแก้ไขกัน เป็นเวลาหลายๆปี (หรือหลายๆสิบปี) แบบคนไทย...!!!!!*****   ดังนั้น concept ที่ว่า โรงเรียนนั้นสอน writing ดี เรียนแค่ไม่กี่เดือนก็เขียนได้นั้น  เราว่ามันเป็น myth (ความเชื่อที่ผิดๆมากกว่า)  หรือไม่ก็คนที่เรียนจบมาแล้ว หลงคิดว่าตัวเองเขียนได้ แต่ไม่เคยลองเขียนให้ฝรั่งดูว่ามันผิดกี่แห่ง   พออ่านมาแล้วบางคนถามว่า “แล้วถ้าเกิดมีคนไทยสักคน ซึ่งไม่มีข้อบกพร่องต่างๆ ที่เราสำแดงรายการมาให้ดู  นั่นก็คือ คนๆนั้น รู้พฤติกรรมเฉพาะตัวของคำศัพท์แต่ละคำ แถมยังไม่มีข้อผิดพลาดที่แสดงไว้ใน ข้อ 1- 5 ล่ะ เขาก็คงจะไปเรียน writing ที่โรงเรียนสอนภาษาได้ผลภายในเวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง...สมดั่งคำล่ำลือว่าโรงเรียนนั้น โรงเรียนนี้สอน writing เก่งจริงๆ ใช่หรือไม่?” คำตอบก็คือ “ใช่” โดยมีข้อแม้ว่าโรงเรียนสอนถูกหลักการจริงๆ  แต่   ......... มีแต่อะไร อีกล่ะ...(แหมชอบขัดลาภจริงๆนะเชียว...555+++)  โรงเรียนสอนภาษาเกือบจะได้เงินแล้ว รีบๆพูดออกมาสิ ชักหงุดหงิดแล้วนะ...ฮึ่มๆๆๆๆ..!!!! แต่อะไรหรือ?  คำตอบมัน "ironical มากๆ" ....  นั่นก็คือว่า   หากคุณไม่มีข้อบกพร่องใดๆดังที่กล่าวมาแล้ว หรือมีแต่มีน้อยมากๆ นั้น  ...........นั่นก็หมายความอีกด้วยว่า ***** “คุณพร้อมแล้วที่จะซื้อหน้งสือ (ที่คล้ายๆ EN302) หรือหาบทเรียน writing ของฟรีจากบนเว็บ (เช่นที่เราแนะนำไว้ที่ http://grammar.uoregon.edu/toc.html หรือจากเว็บอื่นๆอีกมากมาย)  เพื่อที่จะเอามาเรียน writing ด้วยตนเองได้ โดยไม่ต้องเสียเงินให้โรงเรียนสอนภาษานั่นเอง.......!!!" ***** แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 51 18:20:25 แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 51 12:17:49 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 11 พ.ค. 51 12:04:05 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ตอบคุณ amore mio คคห 14 หรือว่าเขาเปลี่ยนชื่อเป็น EN205? หรือว่ามันเป็น textbook เล่มอื่นที่คล้ายๆกัน?  ....คุณดูเนื้อหาว่ามันคล้ายๆกันกับเนื้อหาบทแรกๆที่เราเอามาสรุปไว้ให้ดูข้างบน หรือเปล่า? หรือว่าเหมือนเป๊เลยล่ะ....???  เพราะได้ข่าวว่า อาจารย์ Dr. Donald A. Leuschel ไม่ได้สอนที่มหาลัยรามตั้งนานนมแล้ว เราไม่ใช่เด็กรามหรอก แต่เรามีญาติเรียนเอกอังกฤษที่นั่นเมื่อ 15 ปีที่แล้ว เราก็เลยให้เธอซื้อหนังสือทุกเล่มสำหรับหลักสูตรเอกอังกฤษอีกชุดมาให้เรานั่งบริกรรม เพราะเราฝันเฟื่องจะเป็นติวเตอร์วิชา EN ทั้งหลาย ...ที่ร่ำรวย แบบ "ติวเตอร์หมู (นิติภูมิ)" แต่ก็ฝันค้าง เพราะไม่ค่อยกล้าไปติวแถวๆนั้น ตามที่บอกแล้วว่ามาเฟียแถวๆนั้นดุมากๆ เรื่องการขัดผลประโยชน์ธุรกิจการติวน่ะ... แต่เราก็ชอบไปเดินเล่นแถวๆนั้นนะ... เรามีเพื่อนคนหนึ่งไปเปิดติวแถวๆนั้น เล่าให้ฟังว่าโดนคน (คู่แข่ง) มารบกวนพอสมควร อยู่มาวันหนึ่งเปิดโรงเรียนมาปรากฏว่าป้ายชื่อโรงเรียนหายไป  ก็เลยสงสัยว่าหายไปไหน อีก 2-3 วันต่อมา ลูกศิษย์แกบอกว่า "อาจารย์ครับ ผมเจอแล้วครับ ป้ายอาจารย์  มันไปลอยอยู่ในคลองแสนแสบครับ...!!!" ... โหคิดๆดูแล้ว ป้ายมันก็ไปได้จริงๆนะ เพราะรู้สึกมันมีวิธีไปรามด้วยเรือได้ด้วยนิ...แต่ป้ายมันว่ายน้ำไปแน่ๆ...555+++... แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 51 12:51:12 แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 51 12:44:43 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 11 พ.ค. 51 12:41:11 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ตรรกะที่สลาย myths (ความเชื่อที่ผิดๆ) เกี่ยวกับการลงเรียน writing  (ตอน 3) เราพล่ามมายาว คนที่ยังเชื่อว่าเรียน writing ไม่กี่สิบชั่วโมงที่โรงเรียนสอนภาษา ก็เขียนภาษาอังกฤษได้ บางคน หรือหลายๆคนก็อาจไม่เข้าใจแล้วพาลคิดว่า “ไอ้บ้าคนนี้มัน พูดเรื่องอะไรกันเนี่ย?  โรงเรียนสอนภาษาเขากำลังจะได้เงินกัน แล้วไปขัดลาภเขาทำไมกัน?” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเราพูดว่า คำศัพท์ภาษาอังกฤษ เกือบทุกคำ จะมีพฤติกรรมเฉพาะตัวของมัน ในการนำไปใช้สร้างประโยค ซึ่งคนไทยหรือคนชาติอื่นที่เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองนั้น ไม่มีทางที่จะใช้มันได้ถูกต้อง ได้ง่ายๆ เว้นเสียแต่ว่า จะเคยเจอเจ้าของภาษาใช้มัน *****ซึ่งถ้าพยายามหาทางพูดกับฝรั่งหรือนั่งอ่านหนังสือเอาให้เรียนรู้พฤติกรรมทุกรูปแบบของคำศัพท์ทั้งหมดในภาษาอังกฤษ ก็คงชาติหน้าบ่ายๆ กว่าจะเรียนได้หมดสิ้น จนถึงขั้นที่เรียกว่าจะขจัด non-native speaker’s errors (ข้อผิดพลาดของคนที่ไม่ใช่เจ้าของภาษา) ให้หมดสิ้นซากไปได้***** ดังนั้น เราจึงได้แนะนำไว้แล้วว่า ให้เรียนการเขียนในระดับพื้นฐานมากๆ จาก esl dictionaries เสียก่อน โดยการศึกษาดูว่า คำศัพท์ง่ายๆ แต่ละคำนั้น มันเอาไปสร้างประโยคพลิกแพลงอย่างไรได้บ้าง นั่นเอง และศึกษาจดจำ collocations ทั้งหลายเอาไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้   *****ซึ่งหลักสูตรนี้ โรงเรียนสอนภาษาที่ไหนจะสอนให้ได้ผล ภายในเวลาเพียงแค่ไม่กี่สิบชั่วโมงตามเวลาใน course ที่ขายกันเกร่ออยู่ทุกวันนี้  มันเป็นไปไม่ได้... นั่นก็เพราะว่า กว่าจะครอบคลุมเนื้อหาได้นั้น มันกินเวลาหลายๆปีมากๆ บางทีกินเวลาเกิน 10 ปีขึ้นไป...!!!!" เพื่อให้ชัดเจนมากยิ่งๆขึ้น เราจะนำคำศัพท์ง่ายๆ มาตัวหนึ่ง เพื่อสาธิตให้คุณดูว่า คำศัพท์ง่ายๆ แค่คำเดียวนี้ จะใช้พลิกแพลง ให้ถูกต้องเหมือนเจ้าของภาษาได้นั้น มันมีอะไรให้จำ มากมายแค่ไหน (ซึ่งมันยากมากกว่าเรียนคำศัพท์ในภาษาไทยหรือภาษาจีนหลายๆเท่า เลยทีเดียว) เรามาศึกษาจาก esl dictionary ที่มีชื่อเสียงเล่มหนึ่งกัน นั่นก็คือ Oxford Advanced Learner’s Dictionary ว่า คำว่า "suggest" เพียงแค่คำเดียวนี้ มีพฤติกรรมเฉพาะตัวอะไรบ้าง ที่ต้องจดจำกันไม่หวัดไม่ไหว หากต้องการเขียนภาษาอังกฤษให้ถูกต้องเหมือนเจ้าของภาษา   พฤติกรรมอันแรกของศัพท์ตัวนี้คือ [VN] คือ verb + noun นั่นเอง และเขาก็ให้ตัวอย่างประโยคไว้คือ May I suggest a white wine with the dish, Sir?   ซึ่งก็เป็น [VN] จริงๆ นั่นก็คือ suggest = V ส่วน wine = N นั่นเอง  ซึ่งในประโยคนี้ suggest แปลว่า “แนะนำ” ทีนี้ดิก เขาก็ให้ตัวอย่างอีกประโยคหนึ่งคือ A solution immediately suggested itself to me (= I immediately thought of a solution. = ฉันคิดคำตอบขึ้นมาได้ทันที)  อันนี้ ถ้าใครท่องศัพท์เป็นคำโดดๆว่า suggest แปลว่า “แนะนำ” หรือ “เสนอ” มาโดยตลอด ก็จะไม่มีทางเขียนประโยคให้คำว่า suggest มันมีความหมายอย่างในประโยคนี้ได้เลย คราวนี้เรามาดูพฤติกรรมของคำนี้ต่อไป  นั่นก็คือ [V (that)]   คือ verb (+ that) นั่นเอง เมื่อนำ “สูตร” นี้ไปใช้ ก็จะแต่งประโยคได้ ดังนี้ I suggest (that) we go out to eat. พฤติกรรมต่อไปที่ต้องจำก็คือ [V -ing]  นั่นก็คือ  suggest + verb-ing นั่นเอง เมื่อเขียนประโยคก็ได้แบบนี้ I suggested going in my car. พฤติกรรมต่อไปที่ต้องจำก็คือ [VN that]   เมื่อเขียนประโยคก็ได้ประมาณนี้ It has been suggested that bright children take their exams early. หรือถ้าจะเขียน แบบคนอังกฤษ ก็จะเติม should เข้าไป It has been suggested that bright children should take their exams early. พฤติกรรมต่อไปคือ suggest somebody (for something) ลองเขียนมาก็จะได้ประมาณนี้ Who would you suggest for the job?  คุณจะเสนอให้ใครทำงานนี้? พฤติกรรมต่อไปคือ suggest something (as something) ลองเขียนมาก็จะได้ประมาณนี้ She suggested Paris as a good place for the conference. เรามาดูพฤติกรรมแบบ [VN] กันใหม่ เช่น   Can you suggest a good dictionary?   คุณจะแนะนำดิกดีๆสักเล่มได้ไหม?  เขียนแบบนี้ถูก แต่ถ้าเขียนแบบนี้นะ คือ Can you suggest me a good dictionary?  มันจะผิด grammar ทันที เนื่องจากว่า “พฤติกรรมเฉพาะตัว” ของคำว่า suggest (ตามที่ดิกเขาอธิบายไว้นะ) นั่นก็คือว่า มันใช้ไม่ได้ในรูปแบบ ‘suggest somebody something’ นั่นเอง   เป็นไง เป็นไง มึนหรือเปล่า?  ถ้าคุณมึน เราก็มึนด้วยเหมือนกันน่ะ ....555++++.... พฤติกรรมต่อไปก็คือ [V wh-]  คือ verb + who,  what, why, when, อะไรทั้งหลายนั่นแหละ เมื่อเขียนประโยคดู จะได้ประมาณเนี้ย Can you suggest how I might contact him?  (หรือถ้าเปลี่ยน how เป็น when (ซึ่งเป็นหนึ่งในตระกูล wh-  ก็น่าจะใช้ได้นะ  แต่ถ้าดันใส่ what เข้าไปแทน ละก็ อ่านไม่รู้เรื่องไปเลย อ้ะ...!!!!) คราวนี้ พฤติกรรม [V (that)] All the evidence suggests (that) he stole the money. หลักฐานทั้งหมด “แสดงให้เห็นว่า เขาขโมยเงินไป" คราวนี้เรามาดูพฤติกรรม [V (that)] กลายเป็นความหมายพลิกแพลงไปได้อีก Are you suggesting (that) I’m lazy?  คุณกำลัง "ส่อความว่า = “หาว่า” ฉันขี้เกียจหรือ? เรามาดูข้อพึงระวังเรื่อง non-native speaker’s errors กัน อีก ตัวอย่างหนึ่ง อันนี้คัดจาก esl dictionary อีกเล่มคือ Longman Dictionary of Contemporary English นั่นก็คือ เขียนสรุปมาสั้นๆ ก็คือ He suggested us to go for a drink.  อย่างนี้ผิด grammar  คือคำศัพท์ตัวนี้ไม่มีพฤติกรรมเช่นนี้นั่นเอง แต่ที่ถูกต้องเป็น He suggested that we go for a drink.   หรือจะเขียนว่า He suggested we go for a drink.  ก็ถูกต้องเหมือนกัน What do you suggest us to do?  อย่างนี้ผิด grammar  คือคำศัพท์ตัวนี้ไม่มีพฤติกรรมเช่นนี้นั่นเอง แต่ที่ถูกต้องเป็น What do you suggest we do? I suggest to wear something warm.  อย่างนี้ผิด grammar  คือคำศัพท์ตัวนี้ไม่มีพฤติกรรมเช่นนี้นั่นเอง ที่ถูกต้องเป็น I suggest wearing something warm. เรารีบๆพิมพ์ ถ้าใครเห็นมีข้อผิดพลาดอะไร ก็ทักท้วงได้  ไม่ว่ากัน เราจะแก้ไขให้  แต่เราไม่ได้พิมพ์ความเป็นไปได้ของพฤติกรรมทั้งหมดของคำว่า suggest นะ  เนื่องจากว่า *****“แค่นี้ก็จะปวดหัวตายหะอยู่แล้ว...555+++”***** แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 51 15:26:37 แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 51 14:58:18 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 11 พ.ค. 51 14:49:48 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ตรรกะที่สลาย myths (ความเชื่อที่ผิดๆ) เกี่ยวกับการลงเรียน writing  (ตอน 4) คราวนี้ เข้าเรื่องแล้วนะ ....นั่นก็คือว่า ใครก็ตาม ที่กำลังจะไปลงเรียน writing ไม่กี่สิบชั่วโมง ก็ให้ลองตรวจสอบความรู้คุณก่อนว่าเรียนมาแล้วจะได้ผลหรือไม่  ลองทำอย่างนี้นะ ลองไปที่   defining vocabulary 2,000 คำ  ตาม link ข้างล่างนี้ดูนะ http://www.cs.utexas.edu/users/kbarker/working_notes/ldoce-vocab.html พอเข้าไปแล้วเลือกคำศัพท์ตัวไหนก็ได้ แบบสุ่มมา แล้วลองเขียนประโยคพลิกแพลง แบบที่เราใช้ suggest ทำตัวอย่างให้ดู ดิ   พอเขียนพลิกแพลง (ด้วยตัวเองนะ) เสร็จแล้ว ก็ลองเปิดดู esl dictionaries หลายๆเล่มตรวจสอบดู  แล้วดูว่า จาก  defining vocabulary 2,000 คำ (ซึ่งถือว่า เป็นจำนวนคำศัพท์ที่น้อยกว่า ที่นักเรียน ม.6 จะต้องรู้เสียอีก)   ....คุณเขียนผิดกี่เปอร์เซ็นต์ ...??? เราท้าพนันได้เลยว่า คนหลายๆคนที่อยากเรียน writing นัก แต่ในระหว่างการเรียนภาษาอังกฤษมาเกิน 10 ปี ไม่เคยเปิด esl dictionary เลยแม้แต่นิดเดียว   เมื่อลองเอาคำศัพท์ง่ายๆ ไปสร้างประโยค  ก็จะผิดเพี้ยนไปจากธรรมชาติ จนเละเทะ ไปหมด   นั่นก็หมายความว่า หากคุณมีความรู้ภาษาอังกฤษ เพียงแค่นี้เอง แล้วดันไปลงเรียน writing ซึ่งก็น่าจะมีเนื้อหาสาระ คล้ายๆ กับ EN302 ที่เราเอามาแปะ ไว้ให้ดูในกระทู้นี้นั้น  เมื่อคุณเรียน writing อะไรของคุณครบ 40 ชม หรือ 60 ชม ...(เอ้าต่อให้เรียน 3 เดือนด้วย) ...คุณก็ “ไม่มีทาง” ที่จะเขียนภาษาอังกฤษให้อ่านเป็นภาษาคนได้เลย....ด้วยเหตุผลที่ง่ายๆก็คือว่า การแก้ไข non-native speaker's errors ระดับที่ผิดแบบ serious มากๆนั้น "ต้องใช้เวลาหลายปีมากๆ"  อาจทำได้โดยการเรียนอ่านเพื่อเขียน หรือที่เรียกว่า reading towards writing นั่นก็คือ หัดอ่านมากๆ แล้วเปิด esl dictionaries ไม่เพียงแต่จะเพื่อทำความเข้าใจความหมายของศัพท์เท่านั้น แต่ต้องเรียนวิธีนำคำศัพท์ไปใช้ให้ถูกต้องอีกด้วย หรือที่เรียกว่า "learn to understand and compose นั่นเอง" โปรดใช้ตรรกะนี้ไปสลาย myths เกี่ยวกับเรื่องการลงเรียน writing course เพียงแค่แห่กันไปเรียนตามคำล่ำลือ.... และโปรดตรวจสอบตัวเอง ว่าพร้อมหรือยัง ที่จะไปเรียน หากว่า คุณยังไม่พร้อมนะ อาจารย์อะไร เก่งวิเศษแค่ไหน ก็ไม่มีปัญญาที่จะสอนคุณได้ภายในระยะเวลาหลักสูตร แค่ 60 ชั่วโมง หรือต่อให้ 3 เดือนก็สอนไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ... โปรดเข้าใจอีกด้วยว่า  หากคุณพร้อมแล้ว ที่จะไปเรียน writing course  มันก็หมายความอีกด้วยว่า คุณก็พร้อมแล้วเหมือนกัน ที่จะซื้อหน้งสือ (ซึ่งคล้ายๆ EN302) หรือหาบทเรียน writing ของฟรีจากบนเว็บ (เช่นที่เราแนะนำไว้ที่ http://grammar.uoregon.edu/toc.html หรือจากเว็บอื่นๆอีกมากมาย)  เพื่อที่จะเอามาเรียน writing ด้วยตนเองได้ โดยไม่ต้องไปเสียเงินให้โรงเรียนสอนภาษานั่นเอง.......!!!" ***** “นี่คือสัจธรรม”  .......ซึ่ง ironical เอาเสียมากๆเลยทีเดียว...!!!!!" แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 51 15:25:34 แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 51 15:19:36 แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 51 15:05:14 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 11 พ.ค. 51 14:51:01 ]

ความคิดเห็นที่ 22 เป็น ลูกศิษย์ อ. ดวงใจ คอร์สเอ็น ปี 2538 13 ปีผ่านไป ทำงานเป็น expat ข้ามชาติสาย hospitality ย่างเดือนที่7th บนรากแก้ว สตูดิโอพูด ฟังอิงลิช , เยอรมัน อิงลิช, ข่าว-นสพ. แมนดาริน-อิงลิช จะชงออกมาเริ่ม หลังดูงาน Singapore Schools August onwards, เราว่า การเรียนกับอาจารย์ คนไหน ก็เหมือนลางเนื้อ ชอบลางยา ขึ้นอยู่กับ จะผูกหัวใจ เด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ ให้เกิด Royalty ในตัวผู้สอนได้ตลอด ยั่งยืนอย่างไร การแข่งขัน ในโลก ของ กวดวิชา เป็นเหมือน ม้าแข่ง ที่กวาดหัว ทำ Tolls ให้ได้ Maximum profit ในขณะที่มือขวา ตลาด Niche Market ของนักลงทุนข้ามชาติ กว่า 8 ปีอย่างเรา ทำสวนกระแส บนรากฐานที่ สายป่านยาว ผู้ใหญ่ดัน อุปถัมภ์ การถือหลัก CRM กับผู้ปกครองนักเรียน ความเอาใจใส่ หวังดี ทุ่มเท ในกรอบ กติกา ที่ผุ้ปกครอง นักเรียน ทั้งรัก ทั้งเกรง และสร้าง คน ให้มีวินัย เต็มส่วน ถามว่า การยอมรับ จากลูกค้า และเติบโตในบันได ธุรกิจจะมา จาก ชิ้นส่วนเล็กๆ คือ นักเรียนคนแรก การทำตลาดในก้าวต่อไป คือ การผูกหัวใจ หล่อเลี้ยงความภักดีของลูกค้าไว้ ส่วนใหญ่ pattern ก็จะเหมือนๆ กันหมดคือ มีเงินมาเริ่ม จ้างคนมาสอน แต่ คนที่จะทำให้ ธุรกิจ ขึ้น ลง อยู่ยืนยง คือ เจ้าของตึก เจ้าของธุรกิจ เจ้าของความคิด ที่บุกเบิก เริ่มรังสรรค์ ผลักดันมันมากับมือ หลายคน ที่แป๊กกลางทาง ก็เพราะพอเริ่มกำไร สุขสบาย ก็ปล่อยให้ คนอื่นดูแล ธุรกิจ จะดิ่งเหว หรือ พุ่งทะยาน ก็อยู่ที่หัวเรือ ต้องมาคุม บังเหียนเอง ความใส่ใจ ไม่มีใคร รู้สึก รักษา พัฒนา ได้ดีเท่า เจ้าของเอง ศักยภาพหลายอย่างในตัว ก่อนก้าวมาเป็น ผู้ประกอบการ มันจะถูกนำ ออกมาใช้ หลายอย่าง  Vision ที่มาก่อนตลาด และ Talent ในตัวที่มา ถูกที่ ถูกเวลา ถูกจังหวะ กับธุรกิจที่เลือก การเติบโต จาก Middle ขึ้นสู่ Premium แบบลูกค้าดึง ตลาดดัน กลับไป สู่ ตลาดบน ในสายงานเดิม ก่อนมา มันเป็นดรรชนี ที่ต้องมาขบคิด การรุก ก้าวต่อไป ว่า Treat Targets กลุ่มไหน ด้วย " Gesture ท่าที ที่เปลี่ยนไป" ในฐานะอดีตลูกศิษย์ วันวาน เราชอบครูดวงใจ คอร์ส Ent ดร. ศุภชัย ในคอร์ส Toefl ที่เคยไปแจม  ได้ให้ฐานชีวิต แนวทาง การศึกษา ในมหาลัย ต่างประเทศ . . .ได้ดีเยี่ยม โลก Global นอกจากตลาด Essence เนื้อหาสาระของความรู้แล้ว สิ่งที่ ตลาด คนฐานพีระมิดบน แตกต่าง คือ คอนเนคชั่น หนทาง และ การนำเสนอความแตกต่าง ที่คนกลุ่มกลางไปไม่ถึง โดย ยอมจ่าย " ซื้อราคา โอกาส " จากคุณ : kuddle - [ 12 พ.ค. 51 01:44:55 ]

ความคิดเห็นที่ 23 กระทุ้ยอดเยี่ยมครับ นับถือจริงๆ ได้ความรุ้เพิ่มขึ้นอีกเพียบ   บทความดีๆ ขอให้มีออกมาเรื่อยๆนะครับ จากคุณ : THIS SIDE UP - [ 12 พ.ค. 51 05:58:02 ]

ความคิดเห็นที่ 24 เข้ามาชื่นชมคุณแท่นสี ช่วงหลังไม่ค่อยเห็นตอบกระทู้เลย แอบติดตามการให้ความรู้ทางภาษาอ. ของคุณแท่นสี ผ่านเวบบอร์ดพันทิปมาตลอด และนับถือในความสามารถค่ะ เข้ามาบ่อยๆนะคะ เชื่อว่ามีหลายคนเป็นแฟนประจำคุณแท่นสีอยู่ค่ะ จากคุณ : Incrisis - [ 12 พ.ค. 51 09:21:38 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ไม่เคยเรียนกับ อ.ดวงใจ แต่เคยเรียนกับอ.สงวน ที่รร.เสริมหลักสูตร ใกล้เสาชิงช้า และเห็นด้วยตามคหห1 ตอนที่กำลังเรียนกับอ.สงวน เคยลงเรียนที่เอยูเอ ที่สอนแบบสนทนา 15 เล่ม แต่เรียนไม่จบ หากจะเรียนให้จบต้องใช้เวลานาน และต้องเรียนแบบต่อเนื่องด้วย ในขณะที่เรียนที่รร.เสริมหลักสูตร ของอ.สงวน แถวถนนราชดำเนิน ก็มีสถาบันสอนภาษา หลายแห่ง โดยดูจากโฆษณา ในหนังสือพิมพ์ เคยเข้าไปสอบถาม และขอดูหลักสูตร พอเปรียบเทียบ ก็เห็นว่าหากเรียนเพื่อใช้ในระดับมหาลัย เพื่ออ่านหนังสือ text book ประกอบ เรียนของอ.สงวน ดีกว่า แล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆ เรียนกับอ.สงวน นำไปต่อยอดได้ อ่าน-เขียน เพิ่มเติม ได้ เรียนกับอาจารย์ สงวนในวันนั้น ทำให้มีพื้นฐานภาษาอังกฤษ ที่ดี นำมา ศึกษาเพิ่มเติมได้จนทุกวันนี้ แม้ว่าในตอนนั้น ตำราที่ใช้เรียนที่รร. อาจารย์ จะสอนไม่หมดเล่มก็ตาม และตำราที่เรียนตอนนั้น ยังเก็บ นำมาสอนคนรุ่นหลังได้อีก จากคุณ : เคบิน - [ 12 พ.ค. 51 15:38:35 A:10.192.1.109 X:10.192.253.226, 58.137.129.220 TicketID:158734 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ขอบคุณมากครับ คุณ tansy เป็นกระทู้ดีมากครับขอก็อปไปอ่านต่อ ยังไงเข้ามาเขียนให้ความรู้ทางภาษาอังกฤษบ่อยๆๆนะครับจะติดตามอ่านครับ จากคุณ : Benzema - [ 12 พ.ค. 51 16:07:29 ]

ความคิดเห็นที่ 27 คุณ tansy หายไปนานเลย มาคราวนี้ยังคงสไตล์การโพสต์ไว้เหมือนเดิม ขอบคุณสำหรับคำแนะนำค่ะ เข้าไปดูเว็บไซต์ที่แนะนำแล้วค่ะ ฝากนิดนึงค่ะ เวลาเพื่อนๆ เจอกระทู้ไหนน่าสนใจ ช่วยคลิก "เก็บเข้าคลังกระทู้" ด้วยนะคะ ไม่งั้นพอกระทู้ถึงอายุอันสมควรและไม่มีใครโพสต์ต่อก็จะโดนลบไป ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อนสมาชิกบางท่านบอกมาว่าหากระทู้ไม่เจอ ดูในคลังกระทู้ก็ไม่มี จึงขอเชิญชวนเพื่อนๆ ช่วยกันคลิก "เก็บเข้าคลังกระทู้" หน่อยนะคะ ขอบคุณค่ะ จากคุณ : Flowery - [ 12 พ.ค. 51 16:58:03 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ถึงคุณ tansy เราหาเจอแต่คอร์ส EN205 หา EN302 ไม่เจอค่ะ EN205 ชื่อวิชาภาษาไทย : การเขียนประโยคต่าง ๆ และอนุเฉท ชื่อวิชาภาษาอังกฤษ : Sentences and Short Paragraph จากคุณ : Flowery - [ 12 พ.ค. 51 18:15:51 ]

ความคิดเห็นที่ 29 อ่านเพลิน เกินห้ามใจเลยครับพี่ จากคุณ : ไข่ต้มกะนมอุ่น - [ 13 พ.ค. 51 11:42:49 ]