ความคิดเห็นที่ 6
ไทยต้องเสีย จ.พระวิหาร แลกกับ จ.จันทบุรี ที่ฝรั่งเศสยึดไว้ ไทยต้องยกพื้นที่ฝั่งขวาของแม่น้ำโขงให้กับฝรั่งเศส คือ บริเวณทิวเขาหลวงพระบาง ทิวเขาพนมดงรัก ตามสนธิสัญญา วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ค.ศ. ๑๙๐๔ (พ.ศ. ๒๔๔๗) จากนั้นมีการตั้งคณะกรรมการปักปันเขตแดนกันขึ้น โดยฝ่ายไทยมีพลตรีหม่อมชาติเดชอุดม เป็นข้าหลวงปักปัน ฝ่ายฝรั่งเศส มีพลตรี เอฟ แบร์นารด์ (Colonel F.Bemerd) เป็นข้าหลวงปักปัน แต่ข้อเท็จจริงการสำรวจทำแผนที่นั้นฝรั่งเศสเป็นผู้ทำแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าไทยจะเรียนการทำแผนที่จากอังกฤษ แต่ก็รู้จักการแสดงสัญลักษณ์แผนที่ของภูเขาด้วยลายขวางสับ ซึ่งมีสัญลักษณ์คล้ายกับตัวหนอน ส่วนฝรั่งเศสทำแผนที่ในลักษณะเขียนสัญลักษณ์แทนภูเขาด้วยเส้นชั้นความสูง
การปักปันเขตแดนในครั้งนั้นจะทำเฉพาะส่วนที่ไม่ใช่แม่น้ำโขง แผนที่จึงมี ๒ ตอน คือ ทิวเขาหลวงพระบาง และแม่น้ำเหือง มีอยู่ ๕ ระวาง คือ Mg.khop Mg.XienG Lom,Huat Mc.Nam,Mg.Nan, Pak Layc และNam Heung ส่วนทางทิวเขาพนมดงรัก และเขตในกัมพูชา มีอยู่ ๖ ระวาง คือ Bassac,Khong,Dangrek,Phnom Coulen,Grand Lac และMg.krad สำหรับในส่วนของกัมพูชา จะเป็นเขตแดนครึ่งระวางของระวาง Khong ส่วนระวาง Dangrek นั้นเส้นแดนมาตามสันปันน้ำของทิวเขาพนมดงรักเพียงครึ่งระวางเช่นเดียวกัน เมื่อถึงจุดแบ่งเขต จ.ศรีสะเกษ กับ จ.สุรินทร์ ตรงช่องสะงำ เส้นเขตแดนจะหักลงทางทิศใต้ตัดไปที่ทะเลสาบเขมร แล้วลากไปตามเขตแดนของ จ.อุดรมีชัย เสียมราฐ และพระตะบอง กับจ.พระวิหาร ก้มปงทม โพธิสัต และเส้นเขตแดน จะกัน จ.ตราด ไว้ในกัมพูชา แผนที่ทั้ง ๑๑ ระวาง ชื่อว่าแผนที่คณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างอินโดจีนกับสยามมาตราส่วน๑:๒๐๐,๐๐๐ จากนั้นฝรั่งเศสก็ถอนกำลังจาก จ.จันทบุรี ไปยัง จ.ตราด
ต่อมาเพื่อแลกกับเปลี่ยนกับอำนาจศาล อ.ด่านซ้าย และ จ.ตราด จึงมีการทำหนังสือสัญญาลงวันที่ ๒๕ มีนาคม ค.ศ. ๑๙๐๗ (พ.ศ. ๒๔๕๐) ฝ่ายไทยยกพื้นที่ จ.อุดรมีชัย จ.เสียมราฐ และจ.พระตะบอง ให้กับฝรั่งเศส และได้มีการปักปันเขตแดนเพิ่มเติมจากส่วนที่ทำไปแล้ว การปักปันเขตแดนจะเริ่มจากทิวเขาพนมดงรัก ตรงช่องสะงำ หรือตรงจุดแบ่งเขตระหว่าง จ.ศรีสะเกษ กับ จ.สุรินทร์ ไปตาม"สันปันน้ำ"ของทิวเขาพนมดงรัก ทำให้เส้นแดนบนแผนที่คณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างอินโดจีน-สยาม ชุดแรก Dangrek ต้องถูกยกเลิกไปครึ่งหนึ่ง และตั้งแต่ระวาง Phnom Coulen,Grand Lac และMg.krad ถูกยกเลิกไปโดยอัตโนมัติ
คณะกรรมการปักปันเขตแดนใหม่ทำการปักปันเขตแดนตาม"สันปันน้ำ"ของทิวเขาพนมดงรัก จากช่องสะงำ โดยการปักปันเขตแดนด้วยไม้ และทำแผนแดนไว้ แต่เป็นที่น่าเสียดายที่แผนที่ชุดนี้แสดงเฉพาะเส้นเขตแดน แต่ไม่ได้แสดงตำแหน่งหลักเขตแดนไว้ และไม่มีการแสดงเส้นละติจูต และลองจิจูตไม่ได้ตีกรอบระวาง ส่วนชื่อระวางนั้นใช้หมายเลขแทน คือ หมายเลขที่1 จากชายฝั่งทะเลขึ้นไป สำหรับลำดับหมายเลขหลักเขตที่ปักไว้สวนทางกับลำดับหมายเลขระวางแผนที่ คือ ปักหลักเขตที่ ๑ ตรงช่องสะงำ ปักไปตามสันปันน้ำทิวเขาพนมดงรัก จนถึงหลักที่ ๒๘ จึงวกลงพื้นที่ราบใน อ.ตาพระยา อรัญประเทศ คลองหาด จ.สระแก้ว อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบรี จนถึงหลักเขตที่ ๖๘ เส้นเขตแดน จึงไปตามสันปันน้ำทิวเขาบรรทัด ในเขต อ.บ่อไร่ อ.เมือง อ.คลองใหญ่ จ.ตราด จนสุดปรายทิวเขาบรรทัดเป็นหลักที่ ๗๒ จึงหักไปทางตะวันตก ตัดชายฝั่ง เป็นหลักเขตที่ ๗๘ ตรงบ้านหาดเล็ก อ.คลองใหญ่ จ.ตราด
ขณะเดียวกันคณะกรรมการปักปันก็ได้เขียนเส้นเขตแดนใหม่บนแผนที่ ๘ ฉบับ ส่วนอีก ๓ ฉบับยังปล่อยไว้เช่นเดิม แผนที่ทั้ง ๑๑ ฉบับ พิมพ์เสร็จใน ค.ศ. ๑๙๐๘ (พ.ศ. ๒๔๕๑ ) และได้ส่งมาให้ไทย ๕๐ ชุด ซึ่งฝ่ายไทยได้ตอบรับขอบคุณไป
แต่สนธิสัญญาปี ค.ศ. ๑๙๐๗ ระบุไว้ว่า เส้นเขตแดนไปตามสันปันน้ำทิวเขาพนมดงรัก แต่ตรงบริเวณที่ตั้งปราสาทเขาพระวิหาร เส้นเขตแดนบนระวาง Dangrek กลับเขียนผิดสภาพความจริงตัดเอาส่วนที่เป็นปราสาทไว้ในเขตของฝรั่งเศส ถ้าเขียนตามสันปันน้ำแล้วปราสาทเขาพระวิหารต้องอยู่ในเขตไทย ฝ่ายไทยไม่เคยสังเกตแผนที่ที่ฝรั่งเศสเขียนอย่างไร แต่ประเทศไทยก็เข้าใจไปครอบครองเขาพระวิหารตลอดมา
เมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ค.ศ. ๑๙๒๕ (พ.ศ. ๒๔๖๘) จ.ศรีสะเกษ ประกาศขึ้นเป็นทะเบียนเป็นโบราณสถาน และนำกำลังทหารประจำอยู่ตามจุดต่างในปราสาทเขาพระวิหาร ใน พ.ศ. ๒๕๐๑ รับรัฐบาลได้รายงานจากสถานฑูตไทยประจำกรุงพนมเปญว่าฝ่ายกัมพูชากำลังรวบรวมหลักฐานที่จะฟ้องร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศว่าไทยยึดปราสาทเขาพระวิหารของกัมพูชาไป
ในที่สุดวันที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๒ รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ได้ยื่นคำร้องต่อศาลสำนักทะเบียนศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เพื่อนำข้อพิพาทระหว่างกัมพูชากับไทยขึ้นสู่ศาล โดยขอให้ศาลพิพากษาและแถลงไม่ว่าราชอาณาจักรไทยจะปรากฏตัวหรือไม่ คือ
๑.ว่าเป็นราชอาณาจักรไทยอยู่ภายใต้พันธกรณีที่จะถอนกำลังทหารที่ได้ส่งไปประจำการในปราสาทเขาพระวิหาร ๒.ว่าอธิปไตยแห่งดินแดนเหนือปราสาทเขาพระวิหารเป็นขอราชอาณาจักรกัมพูชา ส่วนคำร้องกัมพูชาได้ยื่นต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในวันที่ ๒๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๓
พ.อ.พยนต์ ทิมเจริญ ข้าราชการบำนาญ อดีตหัวหน้าแผนกเขตแดนระหว่างประเทศ กองภูมิศาสตร์ กรมแผนที่ทหาร บอกว่า ในอดีตประเทศไทยเคยทักท้วงเรียกร้องดินแดนมาตลอด สมัยนั้นปราสาทเขาพระวิหาร มีต้นไม้ปกคุ้มอยู่เป็นจำนวนมาก และยังไม่มีใครรู้จักว่ามีปราสาทเขาพระวิหารตั้งอยู่ จนเกิดสงครามอินโดจีน ฝรั่งเศสเข้ามายึด จ.จันทบุรี และ จ.ตราด ประเทศไทยจึงต้องทำสัญญาปักปันเขตแดนกับฝรั่งเศส ในสัญญาระบุให้ใช้สันปันน้ำเป็นปักปันเขตแดน ตามแผนที่ลำห้วยโอตาเซ็ญ เป็นเส้นทางน้ำในการแบ่งสันปันน้ำ แต่ลำห้วยโอตาเซ็ญ กลับมีความยาวเกินความเป็นจริงทำให้ใต้สันปันน้ำบนแผนที่เบี่ยงเบนไปจากความเป็นจริง จึงทำให้ห้วยโอตาเซ็ญ เปลี่ยนทิศทางน้ำรุกล่ำกินพื้นที่เข้ามายังประเทศไทยไป
สมัยนั้นประเทศไทยเรียนการเขียนแผนที่จากประเทศอังกฤษ ซึ่งวิชาแผนที่ไม่เหมือนกันการเขียนแผนที่ของฝรั่งเศส จึงทำให้ไม่เข้าใจแผนที่ฝรั่งเศส จนปราสาทเขาพระวิหาร ตกไปอยู่กับฝรั่งเศส แต่ยังคิดว่าปราสาทเขาพระวิหารเป็นของประเทศไทย จึงมีการนำกำลังเขาประจำการ จนกัมพูชา ฟ้องร้องต่อศาลโลก ประเทศไทยได้เสนอคำท้วงติง คือ ชี้ให้เห็นว่าฝรั่งเศสทำแผ่นที่เพียงคนเดียว และตัวประสาทที่กัมพูชาอ้างว่าเป็นฝีมือขอม เช่นเดียวกับปราสาทนครวัด ดังนั้นจึงเป็นของเขมร แต่ขอมกับกัมพูชา ไม่มีหลักฐานชี้ว่าเป็นชนชาติเดียวกัน และอรยะธรรมขอมได้เผยแพร่เข้ามายังประเทศไทยอีก การที่กัมพูชาตู่ขอมสร้างต้องเป็นของเขมรสร้างไม่ถูกต้อง
แต่การที่ประเทศไทยคำท้วงติงฟังไม่ขึ้นศาลโลก ตัดทิ้งแต่ละประเด็น แต่ประเด็นที่ใช้ในการตัดสินคดีปราสาทเขาพระวิหาร และมีผลตามกฎหมายระหว่างประเทศ คือ สนธิสัญญา ค.ศ. ๑๙๐๔ และ๑๙๐๗ กำหมดไว้ว่า จากจุดบนเขาดงรักที่ว่านี้เป็นเส้นแดนเดินตามสันปันน้ำ
การที่ไทยต้องสูญเสียเขาพระวิหารนับเป็นสิ่งสูญเสียอันยิ่งใหญ่ที่ชาวไทยทุกคนยังคงจดจำอยู่ทุกวัน ไทยนำหลักฐานท้วงติงสู้คดีหลายอย่าง แต่มีเรื่องราวหลายอย่างของการสู้คดียังมีอีกมาก จนเป็นที่มาของสูญเสียทรัพยากรอันมีค่า ต้องติดตามต่อไป
เส้นทางสูญเสียเขาพระวิหาร (2) แลกกับอิสรภาพของจันทบุรี-ตราด (สกู๊ปแนวหน้า) โดย ชำนาญ ไชยศร
http://vivaldi.cpe.ku.ac.th/~note/newscrawler/view_news.php?id=389069
จากคุณ :
เพ็ญชมพู
- [
14 พ.ค. 51 10:32:57
]
|
|
|