ความคิดเห็นที่ 1 "ถ้าเทียบกับเด็กฝรั่ง เค้าจบมา แน่นอน จบHigh School มาเค้าจะไปค้นหาตัวเองก่อนเลย 1 ปี แล้วค่อยเข้ามหาวิทยาลัย" หมายถึงเด็กฝรั่งประเทศไหนหรือคะ สำหรับอเมริกาแล้วไม่จริงค่ะ เด็กเกรด 12 ใน high school ที่ตั้งใจจะเรียนมหาวิทยาลัยก็เตรียมสอบ SAT เตรียมเลือกมหาวิทยาลัย หาข้อมูลเกี่ยวกับสาขาที่อยากเรียนและข้อมูลเกี่ยวกับมหาวิทยาลัย รวมทั้งรวบรวมเอกสารสำหรับสมัครเข้าเรียนกันแล้วค่ะ มีก็แต่เด็กที่ไม่ได้ตั้งใจจะเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยมาแต่ต้นเท่านั้นแหละค่ะที่ไม่สนใจจะหาที่เรียน แต่จะหางานทำ หรือเข้าเรียนใน community college หรือเรียนคอร์สวิชาชีพสั้นๆก่อน จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) - [ 17 พ.ค. 51 05:26:31 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ^ ^ agree with rep #1  also, the quality of life in developed countries is far better than  our country ka, thats why all the careers/jobs are as important.Also, there is lesser gap between rich and poor people, their citizens have the same access to the government's social welfare. Therefore if Thai people want to change Thailand's education system altogether for  better , more equal future of all Thai citizens, we have to be able to stop all kinds of corruption in our country and our government has to put more emphasis on education and human development. จากคุณ : nu yim (sweetkiwi) - [ 17 พ.ค. 51 12:01:32 ]

ความคิดเห็นที่ 3 น่าจะเป็นเด็กยุโรปนะครับ เหมือนเคยอ่านเจอจากหนังสือสักเล่ม จากคุณ : 3 3 5 (3 3 5) - [ 18 พ.ค. 51 20:34:23 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ระบบกดขี่แรงงานหมดไปแล้วจากประเทศที่เจริญแล้ว นั่นก็หมายความว่าเด็กที่รู้ว่าเรียนไม่เก่ง ไม่พยายามเรียนให้จบปริญญา แต่รีบไปฝึกวิชาชีพ เช่นไปทำงานก่อสร้าง ซึ่งได้ค่าแรงมากกว่าคนเรียนจบปริญญาบางสาขามาเสียอีก ยกตัวอย่างเช่น ในประเทศอังกฤษ มีคนที่เรียนแพทย์หรือวิศวะไม่ไหว ก็เลยไปทำงานก่อสร้างจนรวยเป็นมหาเศรษฐีไปแล้วเป็นจำนวนมาก เพราะอาศัยฝีมือก่อสร้าง ไปซื้อบ้านเกือบพังๆมาซ่อม (ซื้อเงินผ่อน) พอซ่อมเอง ตกแต่งเองสวยงาม เอาไปขายต่อ ได้เงินกลับมา 2-3 เท่า เอาเงินไปใช้ธนาคาร เอาเงินที่เหลือมาซื้อใหม่อีกหลัง ซ่อมอีก ตกแต่งอีก ทำเช่นนี้เรื่อยๆไปเป็นเวลาหลายๆปี ..เงินสะสมไว้ทวีคูณมากยิ่งๆขึ้น จนลงเอยกลายเป็นราชาบ้านที่ดินไปเลย คนเรียนไม่เก่งมีอนาคตได้ เพราะสังคมเขา "ไม่กดขี่แรงงาน" เพราะช่างก่อสร้างในอังกฤษค่าแรงแพงมากๆ เนื่องจากระบบเขามีคุณธรรมสูง รู้ว่าเป็นงานหนักจึงให้ค่าแรงสูงกว่าคนทำงานแต่งตัวสวยๆในสำนักงาน  แต่ลองมองคนงานก่อสร้างไทยบ้างสิ ว่ามีโอกาสแบบนี้เสียที่ไหนกันเล่า? เมื่อเป็นเช่นนี้ ประเทศอังกฤษจึงไม่มีธุรกิจการศึกษาไว้ขายฝรั่ง (แต่มีไว้ขายคนไทยกับคนเอเซียรวยๆที่ต้องใช้ปริญญาหางานดีๆทำ) สถาบันต่างๆของอังกฤษ จึงยังมีที่เหลือพอให้คนอังกฤษเข้าไปเรียนได้ ดังนั้น ฝรั่งที่เรียนไม่เก่ง หากไปทำงานใช้แรงงานแล้วไม่ร่ำรวย และอยากกลับไปเรียนหนังสือตอนโตแล้ว รัฐบาลเขาก็มีทุนให้เรียน โดยมีการสอบคัดเลือกง่ายๆ ไม่แข่งกันจนเป็นบ้าเป็นหล้งแบบของไทย ยกตัวอย่างเช่น ข้อสอบเข้าเรียนสาขา electronic engineering ในระดับปริญญาตรีในอังกฤษ สำหรับเด็กๆที่พลาดโอกาสในวัยจากมัธยมปลาย จนพลาดโอกาสที่จะเข้ามหาลัย แล้วไปทำงานมาแล้ว และจะกลับมาเรียนใหม่ เขาไม่สอบกันโหดๆแบบคนไทยสอบเอ็นเข้ามหาลัย (ที่คนไทยสอบกันโหดๆเพราะที่เรียนมีให้น้อย เนื่องจากคนไทยต้องแย่งชิงกันเรียนเพื่อให้พ้นจากการเป็นผู้ใช้แรงงาน) แต่เขาสอบแค่ทดสอบอ่านเขียนภาษาอังกฤษพอรู้เรื่อง และรู้คณิตศาสตร์แค่ระดับมัธยมต้นของไทยเอง...!!! แล้วให้โอกาสคนเหล่านั้นกลับเข้าไปเรียนต่อระดับปริญญาตรีได้....(หมายเหตุ หลักสูตรพวกนี้ต่างจากหลักสูตรปริญญาตรีในมหาลัยที่เด็กมัธยมปลายสอบตรงเข้าไปเรียน ที่ยอมลดหย่อนความยากง่ายของข้อสอบที่สอบเข้า ให้ก็เพราะว่าอนุโลมให้เนื่องจากผู้เข้าไปเรียนมีประสบการณ์การทำงานมาแล้ว และการเรียนการสอนจะเป็นภาคปฏิบัติมากกว่าทฤษฎี ซึ่งมนุษย์ที่มีไอคิวปกติไม่ต้องฉลาดปราดเปรื่องมากนักก็เข้าไปเรียนได้สบายๆ และนำไปพัฒนาประเทศชาติได้) ที่เรารู้เพราะเราเคยใช้สิทธิของการเป็น UK resident ไปสอบได้มาแล้ว ทั้งข้อเขียนและสัมภาษณ์ แต่เราสละสิทธิ์ ไม่ได้ไปเรียน แนวคิดเหล่านี้ ไม่สามารถเกิดขึ้นในประเทศไทยได้ เนื่องจากว่า คำว่าพัฒนาประเทศของไทยนั้น แท้จริงแล้วเป็นการพัฒนาอุตสาหกรรมโดยใช้แรงงานราคาถูกๆ เพื่อความได้เปรียบในการส่งออก นั่นเอง ซึ่งเงินที่เข้ามา ไปอยู่ที่นายทุนเพียงแค่ไม่กี่คน ซึ่งจะประกอบธุรกิจได้ก็ต้องกดขี่แรงงานกับมีเอี่ยวกับคนในหน่วยงานของรัฐ และในเมื่อการกดขี่แรงงานมีมาโดยตลอด ใครๆก็ไม่อยากเป็นผู้ใช้แรงงาน ดังนั้น ทุกคนก็จะต้องฝืนใจเรียนวิชาที่ตัวเองไม่เคยชอบ ดังนั้น สถาบันที่มุ่งหวังทำกำไรจากการศึกษาจึงผุดขึ้นรวดเร็วราวกับดอกเห็ดในประเทศไทย โดยการคิดค่าเรียนแพงๆ และมีการวัดผลที่ต่ำกว่ามาตรฐาน คือเรียนอย่างไรก็ผ่าน เพราะถ้าวัดผลโหดๆ นักศึกษายกรุ่นสอบตกกันหมด ต่อไปก็จะไม่มีใครเรียน (เพราะรู้ว่าจะไม่ได้ปริญญา) สถาบันการศึกษาแห่งนั้นก็จะล้มละลาย กระบวนการหรือวงจรเช่นนี้ ทำให้ผลิตบัณฑิต มหาบัณฑิต หรือแม้กระทั่งดุษฎีบัณฑิต ที่ไร้คุณภาพออกมาเป็นจำนวนมาก ..ซึ่งนับว่าเป็นการสวมหน้ากากเข้าหากันในสังคม.. เมื่อเป็นเช่นนี้ การพัฒนาประเทศชาติเพื่อให้มีสังคมที่น่าอยู่ ก็จะประสบความล้มเหลวไปเรื่อยๆ เนื่องจากว่า "ระบบทั้งระบบมันมีพื้นฐานมาจากความเอารัดเอาเปรียบ และความเห็นแก่ตัว" นั่นก็คือ แย่งกันเรียน ถ้าเรียนไม่เก่งก็ซื้อปริญญา หรือมีการซื้อขายข้อสอบกัน ไปจนถึงมีพรรคพวกฝากลูกหลานเข้าเรียนหนังสือ หรือฝากเข้าทำงาน ซึ่งเป็นการติวเข้มให้เยาวชนเรียนรู้เรื่องคอรัปชั่นตั่งแต่เด็กๆ แก้ไขเมื่อ 20 พ.ค. 51 23:14:18 แก้ไขเมื่อ 20 พ.ค. 51 23:08:17 แก้ไขเมื่อ 19 พ.ค. 51 16:42:52 แก้ไขเมื่อ 19 พ.ค. 51 16:33:20 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ วันวิสาขบูชา 16:25:26 ]

ความคิดเห็นที่ 5 วิธีการแก้ไข ต้องให้โอกาสผู้ใช้แรงงาน ให้โอกาสเกษครกร ให้โอกาสผู้ด้อยโอกาส ให้มากกว่านี้ เช่นในอังกฤษ รัฐบาลจะมีเงินทุนให้กับกลุ่มหรือคณะบุคคลที่มีโครงการดีๆ นำมาเสนอ รัฐบาลจะอบรมให้มีความรู้ในการทำโครงการนั้นจนประกอบธุรกิจที่ร่ำรวยได้ ยกตัวอย่างเช่น ครอบครัวชาวอินเดีย(ที่เคยทำไร่กระเทียมยากจนในอินเดีย คงเหมือนในไทย) ซึ่งอพยบไปอยู่อังกฤษ ไปเสนอโครงการปลูกกระเทียมในอังกฤษ โดยอ้างว่ามีความต้องการกระเทียมในตลาดในประเทศอังกฤษมากเพราะมีคนเอเซียอพยพไปอยู่ที่นั่นกันมาก รัฐบาลอังกฤษก็ให้เงินช่วยเหลือและให้การฝึกอบรมในเรื่องการประกอบธุรกิจ จนประสบความสำเร็จได้ในที่สุด หรือเด็กๆที่ไม่เข้าเรียนมหาลัย แต่ไปทำงานจนมีทักษะวิชาชีพบางอย่างมา แล้วรวมตัวเป็นคณะบุคคลก็ไปขอทุนจากรัฐบาลอังกฤษเพื่อตั้งบริษัทของตนเองได้ โดยรัฐบาลจะฝึกอบรมในทุกด้านให้ ถ้าพิจารณาเห็นว่าโครงการน่าจะประสบความสำเร็จได้ ถ้าประเทศไทยเราช่วยเหลือคนไทยที่เอ็นไม่ติดมหาลัยดีๆ ซึ่งเคยต้องไปทำงานวิชาชีพจนมีทักษะอะไรพอจะประกอบธุรกิจโดยการจัดตั้งบริษัทของตนเองได้ จะเป็นการลดปริมาณคนที่แย่งกันเข้าไปเรียนในมหาลัย  มหาลัยการค้าก็จะลดลง และจะมีก็แต่มหาลัยที่ผลิตแต่บัณฑิต มหาบัณฑิต และดุษฎีบัณฑิต ที่มีคุณภาพจริงๆ ออกมา แต่เท่าที่เห็นอยู่ในเมืองไทยในขณะนี้นะ คนที่ได้เงินทุน ส่วนใหญ่จะเป็นคนมีเส้นสายในระบบการเงิน และในระบบการเมือง บางคนกู้เงินได้เป็นร้อยๆล้านแต่มีหลักทรัพย์เป็นที่ดินไปวางแค่ราคาไม่กี่แสนบาทเอง มันน่าหัวร่อมากๆ ....พอกู้เงินไปแล้วไปก็จงใจทำธุรกิจให้ล้มละลาย แบบที่เราเรียกว่า "ล้มบนฟูก" แล้วไม่มีใครเอาผิดได้ สังคมเราจะน่าอยู่มากกว่า ถ้ามีคนที่เรียนไม่ค่อยเก่งแต่ซื่อสัตย์และมีคุณธรรม ดีกว่ามีคนเรียนเก่งมากๆฉลาดผิดมนุษย์มนา แล้วก็เลยโกงเก่งจนไม่มีใครจับได้ ให้สังเกตดูดิ ประเทศที่แข่งโอลิมปิก วิทยาศาสตร์ หรือวิชาอะไรยากๆ น่ะ ส่วนใหญ่จะเป็นประเทศที่แย่งกันเรียน พ่อแม่รวยๆติวเข้มลูกจนลูกแทบเป็นบ้าในแถบเอเซีย  แต่ประเทศฝรั่งที่เขียน computer programs เก่งๆ หรือคิดค้นสิ่งประดิษฐ์อะไรที่ไฮเทคมากๆได้จนมีชื่อเสียงนะ เด็กนักเรียนของเขากลับไปแข่งโอลิมปิกวิชาการไม่ชนะ...??? !!! แล้วประเทศที่ไปแข่งชนะ พอลงมือทำงานจริงๆกลับไม่เก่งในงานที่ทำเท่าเขา เพราะอะไรกัน..!!!??? แก้ไขเมื่อ 21 พ.ค. 51 06:05:14 แก้ไขเมื่อ 19 พ.ค. 51 16:39:56 แก้ไขเมื่อ 19 พ.ค. 51 16:33:37 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ วันวิสาขบูชา 16:25:45 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ขอตอบคห.1 นะครับ เด็กที่อังกฤษครับ มักจะมีเว้น gap year 1ปี ก่อนจะเรียนต่อ แต่ไม่ทราบว่าเด็กยุโรปเหมือนกันหมดหรือไม จากคุณ : virtuousism - [ 21 พ.ค. 51 02:27:15 ]