ความคิดเห็นที่ 1 ลองอ่านพวกวรรรกรรมภาษาอังกฤษดูสิคะ หรือไม่ก็ดูหนัง ฟังเพลง ดูข่าวซีเอ็นเอ็น หรืออ่านพวกข่าวเนชั่นภาษาอังกฤษก็ได้ เป็นอะไรก้ได้ เริ่มต้นที่เราชอบไปก่อน การ์ตูนก็ได้นะคะ จิปาถะค่ะ เรื่องพวกนี้อาศัยประสบการณ์ ต้องใช้เวลา ทักษะการแปลการเขียน มันไม่จำเป็นว่าต้องสอนอยู่ในหนังสือตายตัว แต่อาศัยว่าเราเคยชินเคยเจอ เข้าใจอย่างค่อยเป็นค่อยไปค่ะ ถ้า Grammar Vocab ได้แล้วก็ดีใจด้วย เพราะมันเป็นพื้นฐานที่ควรรู้ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เราเองก็ไม่ได้เก่งมาจากไหน พออ่าน พอแปล ได้ แต่ศัพท์บางตัว ก็ยังไม่รู้เลย อาศัยคำว่า ช่างมัน อ่านผ่านไปเรื่อยๆ พอเดาความหมายจากรูปประโยคได้ ทำให้บางครั้งศัพท์ที่เราไม่รู้ก็พอจะเดาทางออกโดยไม่จำเป็นต้องเปิดดิกตลอดเวลาค่ะ แต่การจะใช้วิธีนี้ ไม่ใช่เรื่องยาก แต่อาศัยเวลา ประสบการณ์ และความพยายาม เพราะบางคนพอแค่นี้ไม่ได้ก็ไม่อยากจะเริ่มเสียแล้ว ขอแค่เป็นคนที่มีความตั้งใจ และอดทน อย่าง ''สม่ำเสมอ'' เรื่องนี้ไม่ยากเกินคำว่า พยายาม หรอกค่ะ :) จากคุณ : nippin - [ 30 มิ.ย. 51 12:30:38 A:158.108.76.241 X: ]

ความคิดเห็นที่ 2 ถามว่าเมื่อไรเก่ง ฟันธงได้เลยว่า ชั่วชีวิต ถ้าถามว่าพอไปวัดไปวาได้นี่นานไหม ขึ้นกับตัวคน ขึ้นกับประสบการณ์ ขึ้นกับวิธีการ ขึ้นกับความพยายาม อย่างผมนี่เริ่มเรียนตอนสิบขวบ พอสิบเจ็ดขวบก็ใช้การขนาดสอบมิชิแกนได้ เรียนบ้านนอกนี่แหละ ไม่ได้เข้ากรุง ส่วนตัวคุณจะนานแค่ไหนก็ขึนกับตัวแปรดังกล่าวมาแล้ว เอาแน่ไม่ได้หรอก มุมมองของผมต่อการเรียนภาษาอังกฤษก็คือ อย่าไปเรียนมันเพราะมันเป็นการเรียน ให้เรียกมันมาใช้งานเพราะมันเป็นเครื่องมือ เครื่องมืออะไร? เครื่องมือสื่อสาร คุณอ่านเพราะคุณอยากอ่าน อยากรู้เรื่อง อยากสนุก ไม่ใช่อ่านเพราะจะไปแข่งกับใครหรืออวดใครหรือเพราะถูกบังคับ ถ้าคุณสนุกกับการอ่าน คุณจะได้ input ที่ดี ได้ศัพท์ ได้สำนวน ได้วิธีการใช้ โดยอัตโนมัติ อ่านรู้เรื่องเมื่อไร คุณก็แปลได้เมื่อนั้นแหละ ขอร้องว่าอย่าไปเสียเวลาท่องศัพท์ ได้ประโยชน์น้อยมาก การท่องศัพท์เป็นการจำการเทียบศัพท์คำต่อคำ ซึ่งการใช้ภาษาจริงๆมันไม่ได้คำต่อคำอย่างนั้น ศัพท์คำหนึ่งๆหมายความได้หลายอย่าง ยกตัวอย่างคำง่ายๆเช่น come คุณไปเปิดดิค อังกฤษ-อังกฤษ มันจะมีความหมายเป็นสิบๆอย่าง ถ้าคุณท่องแต่ come = มา ก็เตรียมตัวพบกับคววมผิดหวังครั้งใหญ่ได้เลยเวลาคุณอ่านภาษาอังกฤษ หรือแม้แต่ถ้าคุณท่องความหมายของมันทั้งหมดได้ คุณก็จะงงอยู่ดีเวลาเจอการใช้เพราะถ้าคุณไม่แม่นโครงสร้าง คุณก็จะนึกไม่ออกว่าจะใช้มันในความหมายไหน ถ้าการแปลมันง่ายขนาดคำต่อคำ เขาใช้ให้คอมพิวเตอร์มันแปลให้แล้ว เขาไม่มาจ้างนักแปลหรอกครับ ตอนนี้คอมพิวเตอร์มันไปไม่เป็นก็เพราะมันเก่งแต่เทียบคำต่อคำ ดังนั้นผมจึงไม่เห็นประโยชน์ที่จะพยายามเลียนแบบคอมพิวเตอร์ด้วยการจำศัพท์ นอกจากจำได้ไม่เก่งเท่ามันแล้ว ถึงจำได้แล้วก็ไปไม่เป็นแบบคอมพิวเตอร์อยู่ดีแหละเพราะแปลไม่ได้เรื่องเท่าๆกับโปรแกรมแปลด้วยคอมพิวเตอร์ ขำกลิ้ง วิธีการอ่านภาษาอังกฤษให้รู้เรื่องนั้น เขาว่ามันมีศัพท์พื้นฐานอยู่จำนวนหนึ่ง ผมจำไม่ได้แน่ว่ากี่คำแต่คงประมาณได้สักสองพันคำที่ใช้นิยามคำอื่นๆในพจนานุกรม คุณรู้สองพันคำนี้คุณก็ไปต่อได้เอง พอจะเดาความหมายคำใหม่ๆที่ไม่เคยเจอได้ ดังนั้นเริ่มอ่านจุดที่คุณอ่านออกก่อน แล้วค่อยๆเพิ่มศัพท์ด้วยการอ่านของที่ยากขึ้นไปเรื่อยๆ มันจะจำไปเอง ทักษะอื่นๆด้านการฟัง การพูด การเขียน มันเกียวเนื่องกันกับการอ่าน ฝึกไปพร้อมกันก็ได้ แต่ว่าถ้าไม่มีเวลาพอก็อ่านไว้ก่อน ถ้ายังอ่านไม่รู้เรื่องแสดงว่ากัดคำโตเกินไป อาจจะรู้ศัพท์ แต่ว่าถ้าจับโครงสร้างไม่ได้ก็ไม่รู้เรื่อง ให้ถอยกลับไปจุดที่คุณรู้เรื่องดีที่สุดแล้วเริ่มออกจากจุดนั้น ถ้าจำเป็นก็ถอยไปจนถึง I am a boy. You are a girl. This is a cat. That is a rat. โน่นแหละ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 30 มิ.ย. 51 13:35:51 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ขอเพิ่มเติมจากท่านคห. บนๆ นิดนึงว่า ผู้แปลควรมีการใช้ภาษาไทย (หรือภาษาที่เป็นผลลัพธ์จากการแปล) ในระดับพอใช้ได้ด้วยนะครับ ไม่ใช่แค่ภาษาที่จะเป็นตัวใช้แปลอย่างเดียว อาจจะลองหางานที่ใช้ภาษาไทยสวยๆ มาอ่านก็ได้ จากคุณ : หญิงหน้าเศร้า - [ 30 มิ.ย. 51 14:26:29 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ขอบคุณมากๆ ครับ สำหรับคำแนะนำ จะบอกไปก็อายอ่ะ กลัวจะไม่มีใครมาแนะนำ -..- คือ อยากอ่านซับการ์ตูนรู้เรื่องอ่ะครับ การ์ตูนญี่ปุ่นที่โหลดมาดูส่ว่นมากเป็นซับอังกฤษ ผมก็ดูไป pause ไป ค่อยๆ เปิดทีละตัว มันลำบาก เลยอยากจะอ่านออก ทีแรกคิดว่า ถ้ารู้ศัพท์เยอะๆ แล้วเราจะแปลออก ก็เลยลองฝึกเองด้วยกาหาบทความมาอ่าน แล้วเอาดินสอเขียนคำแปล ไว้บนศัพท์ แล้วค่อยมานั่งแปลอีกที ปรากฎว่าทำไม่ได้ T_T ก็เลยไปต่อไม่เป็นอ่ะครับ ไม่รู้จะเริ่มยังไง ผมก็พยายมคิดตามที่เคยๆ(ไม่ตั้งใจ)เรียนมา ว่าประโยคมันต้องมีประธาน กิริยา กรรม แต่ไปเจอบ้างอันมันมึนไปเลยอ่าครับ เช่น What is time of the fold communication lag with Gallia-4? fold ในทีนี้มันเหมือนการวาร์ปไปดาวอื่นๆอ่ะครับ ส่วน Gallia-4 เป็นชื่อดาว ผมแปลเอาเองว่า เวลาที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารระหว่างดาวเนี่ย ช้าไปเท่าไหร่ มั่วสุดๆ เลย T^T ตอนนี้ผมซื้อหนังสือไวยากรณ์เล่มเล็กๆ มาลองอ่านดูแล้วอ่าครับ คิดเอาเองว่ามันน่าจะช่วยได้ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำมากๆ ครับ *-* จากคุณ : แมนครับ - [ 30 มิ.ย. 51 14:31:57 A:58.64.55.227 X: ]

ความคิดเห็นที่ 5 เอ่อเรากำลังแปลหนังสือเล่มหนึ่งโครตยากเลย เลยพิมพ์(คำแปลหนังสือ) เหมือนเต่าคลาน หงุดหงิด ก็เลยมาปั่นกระทู้นี้เล่นเพื่อ unleash my typing skills.....555++++....... กรณีแปล อังกฤษ-ไทย ภาษาอังกฤษเรียกว่า source text (ภาษาต้นทาง) ภาษาไทยเรียกว่า target text (ภาษาปลายทาง) ในทางกลับกัน กรณีแปล ไทย-อังกฤษ ภาษาไทยเรียกว่า source text (ภาษาต้นทาง) ภาษาอังกฤษเรียกว่า target text (ภาษาปลายทาง) จะพูดถึงการเรียนแปลอังกฤษ-ไทยก่อน เพราะยุ่งยากน้อยกว่า (ยุ่งยากน้อยกว่าสำหรับคนไทยทั่วๆไปนะ แต่สำหรับเรานะ  อยู่ดีๆเราแปลไทยเป็นอังกฤษได้เองโดยธรรมชาติโดยไม่ต้องเรียนเลย แต่เรากลับต้องเรียนแปลอังกฤษเป็นไทยอย่างหนักตั้งหลายปีแน่ะ กว่าจะแปลได้...แต่ก็เรียนด้วยตัวเองนะ) สำหรับคนทั่วๆไปแล้วนะ การแปลอังกฤษ-ไทย ต้องเริ่มจากฝึกทักษะ reading comprehension ให้แม่นๆเสียก่อน คือ 1. จะต้องรู้ว่าภาษาอังกฤษระดับไหน สาขาอะไร จะเขียนด้วยคำศัพท์กี่คำมีอะไรบ้าง (อันนี้พวกนักแปลรุ่นลายครามจะแนะนำให้ได้ในระยะเวลาอันสั้น จะได้ตั้งเป้าหมายในการเรียนในแต่ละระดับได้อย่างถูกต้อง)  ซึ่งในขั้นตอนนี้ เราก็จะต้องเรียนรู้ด้วยว่ามี dictionaries กี่อย่าง ที่จะนำมาใช้งานได้ และเรียนรู้ว่าจะใช้มันอย่างมีประสิทธิภาพอย่างไร ซึ่งในการลงมือแปลจริงๆ คุณจะต้องใช้ dictionaries ให้มากเล่มที่สุดเท่าที่จะมากได้ โดยมีกฎเหล็กว่า จะต้องใช้ dictionaries อังกฤษ-อังกฤษ (หลายๆเล่ม) ในการตีความต้นฉบับภาษาอังกฤษ สถานเดียว แต่ให้ใช้ dictionaries อังกฤษ-ไทย (หลายๆเล่ม) เพื่อช่วยในการหาคำภาษาไทยที่เหมาะสมเท่านั้น   หากคุณใช้ dictionaries อังกฤษ-ไทย ในการตีความต้นฉบับภาษาอังกฤษ โอกาสที่จะ “แปลผิด” จะมีมากมาย เนื่องจากมันจุคำศัพท์ไม่มากพอนั่นเอง นอกจากนี้แล้ว นักแปลจำเป็นต้องเรียนรู้การใช้ google ให้ชำนาญอีกด้วย เนื่องจากว่า “การไม่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่เราแปลมันทำให้เราตีความต้นฉบับไม่ได้” สมัยนี้ ถ้านักแปลไม่มี google การแปลหนังสือแค่เล่มเดียว อาจแปลผิดนับร้อยๆแห่ง ก็เป็นไปได้ วันไหนที่ google ล่ม คุณอาจได้ยินเสียงนักแปลทั่วโลกร้องกรี๊ดกันลั่น...!!! แก้ไขเมื่อ 30 มิ.ย. 51 16:16:07 แก้ไขเมื่อ 30 มิ.ย. 51 15:30:20 จากคุณ : agelesstansy - [ 30 มิ.ย. 51 15:19:37 ]

ความคิดเห็นที่ 6 2.จะต้องรู้ว่าคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ส่วนใหญ่ไม่ได้แปลเป็นคำต่อคำ แต่มักจะแปลเป็นกลุ่มคำ ที่เรียกว่า collocation นั่นเอง  ซึ่งผู้เรียนก็จะต้องหมั่นจดจำ collocations เอาไว้ สะสมกันมากๆ 3.  จะต้องรู้ว่า source text กับ target text มีความแตกต่างกันมากๆ นั่นก็หมายความว่า “การที่เราจะพูดอะไรอย่างหนึ่งในภาษาอังกฤษนั้น เมื่อจะถ่ายทอดออกมาเป็นภาษาไทย อาจ “ไม่จำเป็นต้อง” หรืออาจจะ “ต้องไม่” ใช้คำแปลที่เป็นคำแปลตรงๆก็ได้ ซึ่งความแตกต่างที่ว่านี้ อาจหมายถึงความหมายของคำเป็นคำๆ หรือเป็น phrase หรืออาจหมายถึง “ลำดับคำ (word order)” ที่แตกต่างกันราวกับฟ้ากับดิน เนื่องจากว่าเป็นภาษาของคนๆละทวีปและต่างวัฒนธรรมกันนั่นเอง   4. ให้ระวัง simile กับ metaphor ซึ่งสร้างปัญหามากๆ ......กว่าจะถ่ายทอดสิ่งเหล่านี้ข้ามไปยังอีกภาษาหนึ่งได้ translator ก็ต้อง พยายามฝึกฝนตนเอง ให้ย่างก้าวเข้าไปสู่ความเป็น bilingual ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ 5. การเป็นนักแปลได้นั้น จะต้องหมั่นฝึกฝนเสมอ เช่นหัดเขียน source language กับ target language ในหลายๆ patterns โดยหัดเปลี่ยน sentence structures ให้หลากหลาย 6. เรื่อง grammar มีความสำคัญในระดับหนึ่ง  ภาษาอังกฤษบางประโยค ถ้านักแปลไม่รู้ grammar ก็ตีความไม่ออกเหมือนกัน แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเก่ง grammar ในระดับผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากว่า หากมีปัญหาในการตีความ เราใช้ google ช่วยได้ ยกตัวอย่างเช่น verb บางตัวถ้าไม่มี preposition มันจะตีความไม่ได้ แล้วครั้งหนึ่งเราแปลเอกสารกฎหมายแล้วเจอ ประโยคทีเด็ดเข้า  เจอแต่ verb แต่หา preposition ไม่เจอ ก้อเลยนั่งงงอยู่นาน จนเซ็งต้องเดินออกไปซื้อเบียร์กิน แล้วกลับมาแปลใหม่  แล้วพบว่า ฝรั่งนักกฎหมายที่เขียนเอกสารชุดนี้ แทนที่จะวาง preposition เอาไว้ทางขวามือติดๆกับ verb นะ พี่แกดันเอาไปวางไว้ทางซ้ายมือ แล้วแถมยังอยู่อีก 2 บรรทัดก่อนหน้า verb ตัวนั้น ....ด้วยเหตุผลอันง่ายๆก็คือว่า “เขาต้องการหลีกเลี่ยงการใช้ dangling modifier” จากคุณ : agelesstansy - [ 30 มิ.ย. 51 15:20:46 ]

ความคิดเห็นที่ 7 7. ถึงแม้ว่าจะอยากแปลแต่หนังสือ (อังกฤษไทย) เท่านั้นก็ตาม แต่นักแปลควรหมั่นศึกษาการเขียนภาษาอังกฤษ ไว้บ้างพอสมควร เนื่องจาก ในบางครั้ง ไปเจอประโยคภาษาอังกฤษที่เหลือขอเอามากๆ การไม่รู้ทักษะการเขียนภาษาอังกฤษเลย (รู้แต่ทักษะการอ่าน) จะทำให้ “แยกส่วนประโยคไม่ถูก” แล้วก็อ่านไม่รู้เรื่อง แล้วก็แปลผิด ในที่สุด 8. หลักการแปล จะต้องไม่แปลผิด ไม่แปลขาด ไม่แปลเกิน (กฎเหล็กของ ทั่น แอ๊ด ปากเกร็ด นักแปลระดับเซียนถือแซ่เหาะมา) แต่บ่อยครั้ง เราจะแปลให้ถูกต้อง ไม่แปลตก ไม่แปลเกิน นั้น เราอาจจะไม่แปลตาม literal meanings ของคำศัพท์ในประโยคก็ได้   ซึ่งในส่วนนี้เราจะสาธิตให้ดูด้วยประโยคนี้ ซึ่งจะเป็นการสอนให้ผู้เรียน เรียนรู้จากกระบวนความคิดของนักแปลคนอื่นนั่นเอง (เปลี่ยนชื่อตัวละครนะ ม่ายงั้นเจ้าของงานเขาจะมาเหยียบเราเข้า)   Carol slowed to an exasperating crawl, squinting to read each road sign in the fleeting clarity provided by the swipe of the windshield wipers. ขั้นตอนแรก ก่อนจะแปลได้เราต้อง อ่านให้เข้าใจ แล้วเลือกคำศัพท์ที่ถูกต้องก่อน ตัวที่ค่อนข้างจะยุ่งคือ exasperating = แย่ลง, เลวร้ายลง, น่าโมโห fleeting มาจาก fleet เอมันอะไรกันหว่า...”กองเรือ” หรือเปล่า ถ้าดันเลือกความหมายนี้ก็ กลับบ้านเก่าไปเรียบร้อย Chinese school ไปแล้ว  ...เพราะความหมายที่ถูกต้อง “ตามบริบท” คือ move quickly หรือ pass quickly swipe = การตีกระหน่ำ...(คำนี้มีความหมายอื่นอีกด้วย) แก้ไขเมื่อ 30 มิ.ย. 51 19:02:59 จากคุณ : agelesstansy - [ 30 มิ.ย. 51 15:21:57 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เอาหละ พอตีความเสร็จ ขั้นตอนถัดไปคือการจัดเรียงลำดับคำใน target text Carol slowed to an exasperating crawl, squinting to read each road sign in the fleeting clarity provided by the swipe of the windshield wipers. (เอ้าลองแกล้งแปลแบบปัญญาอ่อนให้ดู) แครอลชลอความเร็วลงจนถึงกับค่อยๆคลานไปอย่างน่าหงุดหงิด เธอทำตาหยีเพื่ออ่านป้ายบอกทางแต่ละป้ายในความชัดเจนที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งจัดหาให้โดยการตีกระหน่ำของที่ปัดน้ำฝน เป็นไง เป็นไง?  อ่านแล้วประสาทกลับหรือเปล่า ...555++...นี่เขาเรียกว่า การแปลแบบ faithful to the source text แบบว่า “พอจะรู้คำศัพท์ แต่ไม่รู้ศาสตร์ และไม่มีศิลป์” แปลแบบนี้ คนอ่านขว้างหนังสือทิ้งแน่ๆเลย ....555+++....แต่เราก็ยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานว่า สมัยที่เราเป็นนักอยากแปลนั้น เราไม่ได้ไปลงเรียนการแปลที่ไหน แต่เราอยู่ดีๆคว้าหนังสือมาเล่มหนึ่ง แล้วตะลุยแปลมันจนหมดเล่มไปเลย แล้วแปลแบบนี้แหละ แบบที่แปลให้ดู ใน คคห นี้แหละ ...555+++...แล้วก้อเอาคำแปลไล่แจกให้เพื่อนๆอ่านดู แล้ว comment ปรากฏว่า พวกเขาอ่านแล้วหัวเราะกันงอหายขำกลิ้งไปตามๆกันเลยอ่ะ....เล่นเอาเราท้อใจไปพักใหญ่ แต่ก็ตั้งสติแล้วเริ่มเรียนการแปลใหม่... แก้ไขเมื่อ 30 มิ.ย. 51 19:03:44 แก้ไขเมื่อ 30 มิ.ย. 51 16:21:55 แก้ไขเมื่อ 30 มิ.ย. 51 15:25:34 จากคุณ : agelesstansy - [ 30 มิ.ย. 51 15:23:57 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เอ้าลองพยายามแปลใหม่อีกรอบหนึ่งนะ Carol slowed to an exasperating crawl, squinting to read each road sign in the fleeting clarity provided by the swipe of the windshield wipers. แครอลชลอความเร็วของรถลง จนถึงกับค่อยๆคลานต้วมเตี้ยมไปอย่างน่าหงุดหงิด เธอชำเลืองมองดูป้ายบอกทางทุกป้าย แต่ที่ปัดน้ำฝน ที่ปัดอยู่ ก็ช่วยให้มองเห็นป้ายได้เพียงแค่แว่บเดียวเท่านั้นเอง อันนี้ "แปลเกิน" นะ เพราะว่า มีคำว่า "รถ" แถมมาด้วย และมีคำว่า "ป้าย" ซ้ำอีกรอบหนึ่ง ...555+++.....นี่ถ้าลูกพี่แอ๊ด ปากเกร็ดเห็นเข้า เราต้องโดนทำโทษ ฐานละเมิดกฏ โดยการ "แปลเกิน" แน่ๆเลยเชียว ...แหะๆๆๆ.... แต่พูดก็พูดไปเหอะ เราว่า ไอ้ประโยคที่เราแปลใหม่นี้นะ มันก็ยังออกมาไม่ค่อยจะสวยนัก...ตอนนี้ก็ยังพยายามเรียบเรียงใหม่ ให้ดีกว่านี้ แต่ก็ยังคิดไม่ออก เพราะตั้งแต่เช้า ยังไม่ได้กินเบียร์เลยอ้ะ...ใกล้จะลงแดงอยู่แล้ว...ฮือๆๆๆ...ถึงมาปั่นกระทู้นี้เล่นแก้กลุ้มยังไงล่ะ...555+++... หมายเหตุ target text ที่ edited แล้ว (แบบไม่ค่อยพิถีพิถันนัก) และพิมพ์ออกมาให้เห็นในขั้นตอนสุดท้ายนี้ ทำไว้ให้ดูเพื่อเป็นการสาธิตเท่านั้นว่า เวลาแปลให้ถูกต้อง ครบถ้วน ไม่ขาดไม่เกินนั้น เราจะใช้คำอื่นหรือเรียงลำดับคำใหม่ก็ได้ ตราบเท่าที่เรา “สื่อความหมายตามที่ผู้เขียนตั้งใจเอาไว้ได้นั่นเอง” อีกทั้งยังเป็นการแสดงให้เห็นว่า ถ้าไปเจอประโยคยากๆแบบนี้ กว่าจะ edit ให้คำแปลสวยงามได้นั้น มันต้องใช้ความชำนาญที่สะสมไว้เป็นเวลาหลายปี เลยทีเดียว จริงๆแล้วนักแปลที่อ่านภาษาอังกฤษรู้เรื่องมากเท่าเรา แล้วเขียนภาษาไทยได้เก่งกว่าเราก็จะต้องแปลประโยคนี้ได้สวยงามกว่าเราอย่างแน่นอน ... นั่นก็หมายความว่า ถ้าเราเปิด course สอนการแปลอังกฤษเป็นไทย แล้วแนะนำผู้เรียนว่ากระบวนการเรียนรู้การแปลนั้น เป็นอย่างไร พอเรียนเสร็จ ผู้เรียน (ที่เก่งภาษาไทยมากกว่าเรา) ก็ย่อมแปลได้ดีกว่าเราอย่างแน่นอน ...555+++..... แก้ไขเมื่อ 30 มิ.ย. 51 17:23:08 จากคุณ : agelesstansy - [ 30 มิ.ย. 51 15:26:36 ]

ความคิดเห็นที่ 10 9.  ขั้นตอนต่อไปก็คือ ผู้เรียนควรหมั่นหาผลงานแปลที่แปลมาแล้ว ทั้งที่แปลดี และแปลห่วยมากๆ (เหมือนผลงานแปลของเรา ...555+++...) พร้อมต้นฉบับ เอามาอ่านเทียบกันดู เพื่อศึกษาลีลาการแปล ของนักแปลแต่ละคน ในกรณีของผลงานแปลหนังสือ ก็ให้ลองหาต้นฉบับภาษาอังกฤษให้ได้เสียก่อน แล้วก็ไปหาผลงานแปลมา (เช่าจากร้านเช่าหนังสือประหยัดที่สุด)  กรณีของผลงานแปลเอกสาร ก็ลองหาพวกงานแปลกฎหมายมาดูก็ได้ ที่มีอังกฤษกับไทยเทียบกัน หรือเอกสารอื่นๆที่พอจะหาได้จากแหล่งต่างๆ พอเขียนมายาวๆ แล้วก็จะมาสรุป โดยการถามคำถามง่ายๆที่นักอยากแปลถามกันมากที่สุด เข้าขั้น FAQ เลยหละ ก็คือว่า “ก่อนที่จะมาเป็นนักแปลได้นั้น จะต้องมีความรู้ต่ำสุดแค่ไหน” พอเจอคำถามแบบนี้บนกระดานข่าว ผู้คนส่วนใหญ่ที่ไม่เคยทำงานแปล ก็มักจะตอบเป็นเรื่องระดับการศึกษา สาขาที่เรียนมา หรืออะไรต่อมิอะไร แต่คำตอบที่ถูกต้องที่สุดน่าจะเป็น “จะต้องรู้ภาษาอังกฤษมาพอที่จะใช้ dictionaries อังกฤษ-อังกฤษ ได้ดีพอสมควร"   นั่นก็คือ ถ้าติดศัพท์แล้วเปิด dictionaries อังกฤษ-อังกฤษ แล้วอ่าน definitions ที่เป็นภาษาอังกฤษ รู้เรื่อง แล้วเข้าใจดีพอที่จะช่วยทำให้ตีความต้นฉบับภาษาอังกฤษได้ ก็แปลได้...แต่ถ้าอ่าน definitions ภาษาอังกฤษ แล้วไม่เข้าใจ ก็จบเห่กัน เพราะถ้าพึ่ง dictionaries อังกฤษ-ไทย กว่าจะแปลหนังสือจบเล่มหนึ่ง อาจแปลผิด หลายร้อยแห่ง หรือนับเป็นพันๆแห่ง ก็เป็นไปได้ แก้ไขเมื่อ 30 มิ.ย. 51 16:27:21 แก้ไขเมื่อ 30 มิ.ย. 51 15:29:14 จากคุณ : agelesstansy - [ 30 มิ.ย. 51 15:27:38 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ข้อมูลอีกอย่างที่เป็นประโยชน์ในการเรียนการแปล อาวุธอันทรงพลังที่สุดของนักแปล นอกจากจะเป็น dictionaries ดีๆ กับ google แล้ว ยังมีอีกอย่างหนึ่งคือ ทักษะในเรื่อง variation of sentence structures หรือ variation of sentence patterns (คือทักษะในการแปรรูปประโยค ให้มีโครงสร้าง หรือรูปแบบอันหลากหลาย อย่างไร้ขอบเขต ไร้เทียมทาน (สำนวนกำลังภายใน)) นั่นเอง เนื่องจากว่า มันทำให้นักแปล “ดิ้นเหมือนปลาไหลได้” มันทำให้ 1. ในกรณีที่ตีความ source text ที่ซับซ้อนไม่ได้  ก็จะเขียน source text ขึ้นมาใหม่ได้ด้วยตนเอง ให้มันมีความซับซ้อนน้อยลง ก็จะทำให้แปลได้ง่ายยิ่งขึ้น 2. ในกรณีที่ตีความ source text ได้เรียบร้อยแล้ว แต่ render target text ออกมา แล้วดู ugly มากๆ ก็จะใช้ทักษะที่ว่านี้ แปลงโฉมหน้ามันให้ดีขึ้นได้ ที่เรียกว่า การ edit คำแปล นั่นเอง วิธีฝึก ให้ทำอย่างนี้นะ เวลาอ่านเจอข้อความใดๆเจอ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตาม ถ้ามันซับซ้อน (ทุเรศ) หรือแยบยล (มีเสน่ห์) ก็ให้เก็บสะสมไว้ แล้วเอามาหัดเขียนใหม่  ให้ประโยคใหม่ที่เขียนขึ้นมา มีความหมายใกล้เคียงกับประโยคเดิมมากที่สุด  จากประโยคเดิมที่เก็บมามีแค่ประโยคเดียว พยายามสร้างประโยคใหม่ขึ้นมาอีก หลายๆสิบประโยค ให้มันมีความหมายเหมือนเดิม ให้หัดทำแบบนี้กับทั้งประโยคภาษาไทย และประโยคภาษาอังกฤษ รู้สึกว่าข้อสอบ CPE ของ University of Cambridge จะมีการทดสอบทักษะในการแปรรูปประโยคภาษาอังกฤษด้วย ถ้าอยากฝึกทักษะการแปรรูปประโยคภาษาอังกฤษ ก็ให้ไปซื้อข้อสอบ CPE เก่าๆ มาฝึกทำดูก็ได้ ข้อสอบ CPE นับว่าโหดกว่า TOEFL และโหดกว่าข้อสอบภาษาอังกฤษสำหรับเข้าเรียนปริญญาโทในมหาลัยของรัฐของไทยหลายเท่า  ...แต่อนิจจาข้อสอบ CPE ตามมาตรฐานมหาลัยอังกฤษแล้ว เขาถือว่าต่ำกว่าเนื้อหาสาระที่เรียนปริญญาตรีเอกอังกฤษปีหนึ่งในมหาลัยในประเทศอังกฤษเสียอีก  ....ลองไปดูตัวอย่างข้อสอบวัดทักษะในการแปรรูปประโยคภาษาอังกฤษได้ที่  คคห 2 ในกระทู้นี้   http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K6748535/K6748535.html แก้ไขเมื่อ 30 มิ.ย. 51 16:31:03 จากคุณ : agelesstansy - [ 30 มิ.ย. 51 15:52:39 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ภาษาเป็นทักษะครับ... ทักษะคือการใช้ / ทำบ่อย ๆ ยิ่งบ่อยยิ่งดี นึกถึงตอนที่คุณเกิดมา แล้วคุณเรียนรู้ภาษาไทยสิครับ =) ผมก็ใช้วิธีการเดียวกันกับการเรียนรู้ภาษาอังกฤษอยู่ เดี๋ยวนี้สื่อสารพัดทำให้เราได้ฟัง พูด อ่านเขียนง่ายกว่าแต่ก่อนมาก ๆ แล้ว หมดข้ออ้างเรื่องคำว่าไกลตัวไปได้เลย อยู่ที่คุณจะเอาเค้าให้มาอยู่เป็นธรรมชาติของคุณอีกภาษาหนึ่งได้มากน้อยแค่ไหนครับ ฟังมันทุกวัน อ่านมันทุกวัน พูดมั่ว ๆ มันทุกวัน เหมือนตอนที่คุณยังเป็นเด็กแล้วพยายามออกเสียงนั่นล่ะ พอคุ้น มันจะเป็นไปเองตามธรรมชาติครับ ขอให้โชคดีครับ แก้ไขเมื่อ 30 มิ.ย. 51 16:53:13 จากคุณ : kaynekok (KayneKok) - [ 30 มิ.ย. 51 16:50:56 ]

ความคิดเห็นที่ 13 หลักหลักก็ต้องฝึกแยกน่ะค่ะ ว่าประโยคนั้น แต่ละคำ มี part of speech อะไร ส่วนไหนประธาน กริยา กรรม ส่วนขยาย พออ่านกระจ่างแล้ว ก็เป็นเรื่องของการเลือกใช้คำ จากคุณ : ลัลลา - [ 30 มิ.ย. 51 23:30:37 ]

ความคิดเห็นที่ 14 อ่าน wikipedia เล่นไปก่อนก็ได้ อย่าไปดูศัพท์จาก anime มาก บางอันมันมั่ว จากคุณ : ธีรภัทร์2 - [ 1 ก.ค. 51 00:07:49 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ส่วนตัวเราเองแล้ว แปลเป็นไทย นั้่นยากกว่า แปลไทยเป็นอังกฤษมากมาย เพราะภาษาไทยดิ้นได้มากกว่าภาษาอังกฤษ และสะกดยากซะด้วยสิ เหอๆๆ เรานะ เปิ็ดดิกไืทยประมาณ 4-6 เล่ม ทุกครั้งเพื่อ double check triple check quadruple check การสะกดภาษาไทย เพราะยากโครตๆ เหอๆๆ จะให้บ่นต่อ ก็คงอีกยาวนะคะ อิอิ ว่าถึงแปลไทยเป็นอังกฤษ ส่วนตัวเราเองรู้คำเป็นทางการของภาษาอังกฤษมากกว่าภาษาไทย บางทีอ่านภาษาไทย ยังงงเอง เจอคำที่ไม่ใช้ทุกวันจะยากมาก นี่ยังไม่รวมถึงคำราชาศัพท์นะ นั่นก็เอาหัวโขกโต๊ะไปหลายรอบเลย ยกตัวอย่างคำืที่ออกจะทางการนิด ที่ตัวเราเองไม่ค่อยจะมีการศึกษาทางภาษาไทยถึงขั้นนี้เืท่าไหร่ แฮะๆๆๆ มีอยู่ทีนึง เจอคำว่า ทิฐิ ... เอ๋อไป 10 วิ ทิฐิ แปลว่าไรฟละ.. เปิด ท่านกู(เกิ้ล)กว่าจะรู้ - ตามคุณagelesstansy ที่บอกว่าถ้าท่านกูเกิ้่ลล่ม กรี๊ดกันสนั่นโลกแน่ๆ เราก้อคงจะเป็นคนหนึ่งที่ช่วยกรี๊ดดดดดดด้วยคนนะคะ และบางทีเจอคำภา่ษาไทยที่เขียนได้หลายแบบ หรือ คำที่สะกดผิดกันมานานก็เลยใช้มันผิดๆทั้งยั่งงั้นๆแหละ เช่น หิริโอตัปปะ... อ่านออกค่ะ แต่แปลไม่ออก(อีกแล้ว) ขอดิก ไทย-ไทย ด่วน!!!!!! ปรากฏว่า ไปรู้ว่า การสะกดอย่างถูกต้อง ต้องเป็น หิริ"โต"ตัปปะ เปิดดิกหลายเล่ม บวกกะท่านกูเกิ้ลก็กว่าจะรู้เรื่องได้ เหอๆๆ ภาษาไทยยากมากมาย อ่านที สะดุดหัวทิ่มโต๊ะไปหลายทีเลยค่ะ ว่าถึงเรื่องงาน สมัยนี้สำนักงานแปลมีมาก แล้วก้อขี้งกซะด้วยสิ คือ ปรกติการแปลมีหลายขั้นตอน ไม่งั้นแปลผิด เรื่องที่สำคัญๆอาจเกิดสงครามได้นะคะ เช่น ปาเทดกุ๊กไก่พูดไรไปเกี่ยวกะปาเทดจุ๊กจิ๊ก ผู้แปล(รวมถึงล่ามด้วย)คนกลางแห่งกา่รสื่อสาร แปลไรมาผิดกะติ๊ดดดดดนึง อาจม ีลูกน้อยหน่าหางยาวลอย มาเป็นของฝากได้นะค่ะ ระวังกันนิด ไม่นิดสิ มากด้วย มากๆๆๆๆๆเลย การแปลระหว่างประเทศไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ถ้าแปลหนังสือหรือแฟนตาซีก้อโอเคอยู่ ไม่ซีเรียส ผิดนิดผิดหน่อยมีการให้อภัยด๊ายยย กลับมาืีที่เดิม ขั้นตอนของการแปลอย่างมีระบบที่น่าเชื่อถือ ควรมีอย่างน้อย(ที่สุด) 3 คนในแต่ละขั้น คือ Verbatim translator > Editor > Proofreader Verbatim translator - ผู้แปลคนแรก แปลโลด ตามตรงๆตาม source text ห้ามเปลี่ยนคำ ห้ามแต่งคำ ห้ามขาด ห้ามเกิน ห้ามๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ มีปัญหาไร เขียนโน๊ตไว้ให้ คุณ Editor เด๋วท่านจัดการเอง จะบ่นไร ว่ามา จะอธิบายอาราย คอมเม้นไว้โลด Editor - ผู้จัดเรียงความ ต่อจา่กนู๋น้อยนักแปลให้ภาษามันงามขึ้น เข้าใจง่ายมากขึ้น ให้คงความหมายเดิม แต่จะภาษาจะแรดและหรูขึ้นเยอะถึงเยอะมาก ขั้นนี้ อาจมีหลายคนได้ ยิ่งเยอะยิ่งดี แต่ คนเดียว(ที่มีประสบการณ์และความรู้มาก)ก็พอได้ค่ะ Proofreader - ตามชื่อเลยค่ะ ตรวจการสะกด ไวยกรณ์ และอื่นๆ อีกมากมาย ตรวจทานสารพัด ให้แน่ใจว่ามีคุณภาพที่แน่นอนแล้ว ก่อนที่จะไปถึงมือคุณลูกค้านะค่ะ  เช่นกันมีหลายคนตรวจก้อดีค่ะ ยิ่งเยอะยิ่งดี หมายเหตุ บุคคลในสามระบบนี้ห้ามเป็นคนๆเดียวกันนะึคะ ไม่งั้นล่ม นี่คือระบบการแปลที่น่าเชื่อถือได้ แต่ปัจจุบันถ้าไปสำนักงานแปล ส่วนมาก จะมีคนเดียว คือคนแปลผู้เดียว ไม่มีมืออื่นมาตรวจงานให้ หรือ สำนักงานแปลตรวจเอง ตรวจก้อแบบลวกๆ ไม่อ่าน source text ก่อนตรวจ หรือ อ่านไม่ได้ในกรณีที่สำนักงานแปลหลายภาษา แต่ไม่รู้ภาษานั้นๆ ฯลฯ แต่ส่วนมากจะตรวจแค่ตัวสะกด แล้วส่งคืนลูกค้่าเลย ไม่ดีค่ะ งกเกินไป ไม่ยอมจ่ายให้ editor หรือ proofreader เลย ให้ผู้แปล ทำหมดเลยควบเลย 3 ขั้น คนเดียว ทุเรศมากค่ะ งานก้อเห่ยมาก ถึงผู้แปลจะดีเลิศประเสิฐศรีแค่ไหน ไม่มีใึครเพอเฟกค่ะ ต้องผ่านหลายๆตานะึคะ แต่ ณ บัดนี้ เหตุแห่งความงกของกระดาษเงินมีมาก เลยออกมาเป็นแบบนี้กันแทบทุกสำนักงานแปลเอกชนค่ะ เห็นมามากแล้ว หน่ายใจแทน แต่พวกที่มีระบบ ก้อมีนะค่ะ แต่ส่วนมากจะเป็นยักษ์ใหญ่ มีกฎมีระเบียบการทำงาน ไม่ใช่บริษัทกิ๊กก๊อกเล็กๆทั่วไปที่แสนจะงก และกดขี่นักแปลอย่างมากค่ะ ให้บ่นก้อคงอีกยาว ไปทำงานต่อก่อนะค่ะ บ๊ายบายย จากคุณ : Kryta (kryta) - [ 1 ก.ค. 51 02:14:31 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ^ ^ ^ ไม่นะ คุณ kryta ไม่นะ....เราเคยต้องทนทุกข์ทรมาณอย่างแสนสาหัส กับการ edit หนังสือที่คนแปล เล่นใช้วิธีแบบที่เรียกว่า verbatim translation มาแล้วนะ ก็เลยจะมาเล่าให้ฟัง แล้วก็บอกว่า "ไม่นะ ไม่นะ ได้โปรดเถิด" ....!!! คือว่าเรา edit หนังสือแปลเหมือนกันนะ แล้วบ่อยครั้งที่เจอนักแปล แปลมาแบบที่เรียกว่า verbatim translation เลยหละ ....เจอแบบนี้ทีไร เราแทบจะบ้าแน่ะ...เพราะแก้กับเกือบทุกบรรทัดเลยหละ...!!!   ขอโทษที ที่ต้องชี้แจงเรื่องที่คุณพูดไว้ใน คคห 15 ว่า "Verbatim translator - ผู้แปลคนแรก แปลโลด ตามตรงๆตาม source text ห้ามเปลี่ยนคำ ห้ามแต่งคำ ห้ามขาด ห้ามเกิน ห้ามๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ มีปัญหาไร เขียนโน๊ตไว้ให้ คุณ Editor เด๋วท่านจัดการเอง จะบ่นไร ว่ามา จะอธิบายอาราย คอมเม้นไว้โลด" เราจำเป็นต้องชี้แจง เพราะเกรงว่า ผู้ที่กำลังเรียนการแปล จะเรียนรู้อะไรที่ผิดๆไป... คืออย่างนี้นะ ...เราว่าอะนะ verbatim translation แล้วเอาคน edit น่ะ แย่แน่ๆเลย...!!!   แค่เจอนิยายฝรั่ง ที่มีนักเขียนสติเฟื่อง จอมจินตนาการ เขียน metaphors จนหลุดโลกมาทุกหน้านะ (หนังสือยากๆมีแบบนี้จริงๆ รับรองว่าเราเคยเจอมาแล้ว)... ถ้านักแปลใช้วิธีที่เรียกว่า verbatim translation นะ editor ประสาทกลับแน่ๆ  ...แล้วยิ่งไปเจอภาษากฎหมายที่ซับซ้อนเข้า ละก้อ รับรองว่า editor อาการสาหัส ถึงตายแน่ๆ “ตายแบบคางคกเลย ยิ่งกว่าเขียดอีก...(เพราะคางคกโดนรถทับมากกว่าเขียด)... !!!” ประเทศสยามเกือบเป็นเมืองขึ้นฝรั่ง ก็คงเป็นเพราะ verbatim translation นี่แหละ เท่าที่จำได้นะ สมัยมีกรณีพิพาทเรื่องพรมแดนกัน สยาม ไม่มีคนรู้ภาษาอังกฤษ ก็เลยพูดไทยใส่ลูกหลานไทยที่เป็นลูกครึ่งไทยกับ Dutch แล้วลูกครึ่งไทยกับ Dutch (ที่รู้ภาษาอังกฤษ) ก็แปลเป็นอังกฤษ แปลหลายทอดแบบนี้ ขนาดเป็นจดหมายรักง่ายๆ คู่กรณี (คู่รัก) ยังจะลงเอยตีกันตายอยู่แล้ว ยิ่งถ้าเป็นเอกสารกฎหมายที่ซับซ้อนมากๆ ซึ่ง source text กับ target text มีโครงสร้างภาษา (และ word order) ที่แตกต่างกันมากๆ....รับรองว่า ลงเอย แปลผิดเพียบเลย....!!! เราจะสาธิตให้ดูว่า “verbatim translation =  แปลผิดอย่างจัง !!!” แล้วก้อ ถ้ามีแบบนี้ให้แปล 300 หน้านะ editor ไปผูกคอตายแน่ๆเลยอ้ะ...!!! Source text (ภาษาต้นทาง) On April 12, 2000, before me, Adele Yoshioka, Notary Public, personally appeared Martha Mikita personally known to me or proved to me on the basis of satisfactory evidence to be the person whose name is subscribed to the within instrument and acknowledged to me that she executed the same in her authorized capacity, and that by her signature on the instrument the person, or the entity upon behalf of which the person acted, executed the instrument. Target text (ภาษาปลายทาง แปลแบบแกล้งโง่ คือ verbatim translation เพื่อให้ faithful to the original มากๆนะ เราแถม punctuation ให้ด้วยเอ้า...!!!) เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2543, ต่อหน้าข้าพเจ้า, แอดเดอเล โยชิโอกะ, นิติกร, ปรากฏตัวโดยเป็นการส่วนตัว มาธา มิกิตะ รู้จักโดยเป็นการส่วนตัวโดยข้าพเจ้า หรือได้รับการพิสูจน์ต่อข้าพเจ้า ตามเกณฑ์ของหลักฐานอันเป็นที่น่าพึงพอใจว่าเป็นบุคคลซึ่งชื่อถูกลงนามไปยังเอกสารข้างใน และถูกรับรู้โดยข้าพเจ้าว่า เธอจัดทำสิ่งเดียวกัน ในตำแหน่งที่ได้รับมอบอำนาจของเธอ, และว่า โดยลายเซ็นของเธอบนเอกสารดังกล่าว บุคคล, หรือองค์กร ซึ่งแทน บุคคลดังกล่าวกระทำการ จัดทำเอกสาร. ***** อ่านไม่รู้เรื่อง ใช่ไหมล่ะ ...???? ....นี่แหละคือเหตุผลที่ว่าทำไมสยามจึงเกือบจะเป็นเมืองขึ้นฝรั่ง ก็เพราะ verbatim translation = แปลผิดอย่างจัง  และถ้าจะ edit นะ ...”แปลใหม่ง่ายกว่าจ้าาาาาาาาาา”****** แก้ไขเมื่อ 01 ก.ค. 51 13:06:55 แก้ไขเมื่อ 01 ก.ค. 51 06:51:15 แก้ไขเมื่อ 01 ก.ค. 51 04:23:55 แก้ไขเมื่อ 01 ก.ค. 51 03:45:06 แก้ไขเมื่อ 01 ก.ค. 51 03:41:22 จากคุณ : agelesstansy - [ 1 ก.ค. 51 03:32:47 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ลองแปลแบบรู้ทางหนีทีไล่นะ Source text (ภาษาต้นทาง) On April 12, 2000, before me, Adele Yoshioka, Notary Public, personally appeared Martha Mikita personally known to me or proved to me on the basis of satisfactory evidence to be the person whose name is subscribed to the within instrument and acknowledged to me that she executed the same in her authorized capacity, and that by her signature on the instrument the person, or the entity upon behalf of which the person acted, executed the instrument. Target text (ภาษาปลายทาง แปลแบบ จัดลำดับคำใหม่ โดยที่ผู้แปล  bilingual พอที่จะรู้ว่า ภาษา 2 ภาษา มีโครงสร้างที่แตกต่างกันอย่างไร จึง แปลและแปลง sentence structures ด้วย ซึ่งไม่ถือว่าเป็นการแปลผิด แต่อย่างใด) เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2543 มาธา มิกิตะ มาปรากฏตัวต่อหน้าข้าพเจ้า แอดเดอเล โยชิโอกะ ซึ่งเป็นนิติกร  ข้าพเจ้ารู้จักบุคคลผู้นี้โดยเป็นการส่วนตัว หรือมีหลักฐานเพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ว่า บุคคลผู้นี้ เป็นบุคคลที่ลงนามในเอกสารซึ่งแนบมานี้  จากลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าว ข้าพเจ้ายังรับรองอีกด้วยว่า บุคคลผู้นี้ ได้จัดทำ (ลงนามใน) เอกสารฉบับดังกล่าว หรือองค์กร ซึ่งบุคคลผู้นี้กระทำการแทน ได้จัดทำ (ลงนามใน) เอกสารดังกล่าว หมายเหตุ 1. ในเอกสาร มีข้อความยืนยันว่า Notary Public คนนี้เป็น "นิติกร" จริงๆ แต่ถ้ามิเช่นนั้นแล้ว Notary Public ก็น่าจะแปลว่า " พนักงานรับรองเอกสาร" 2. ต้นฉบับเขียนว่า the within instrument ซึ่งในที่นี้ within  เป็นภาษาโบราณแปลว่า enclosed 3. ให้สังเกตดูดีๆว่า ในส่วนของคำแปลคือ   ตรงส่วนของ and that by her signature  แทนที่จะแปล "that" เป็น "ว่า" เฉยๆ จะต้อง แปลเป็น "รับรองว่า" ตรงส่วนของ “....บุคคลผู้นี้ ได้จัดทำ (ลงนามใน) เอกสารฉบับดังกล่าว หรือองค์กร ซึ่งบุคคลผู้นี้กระทำการแทน ได้จัดทำ (ลงนามใน) เอกสารดังกล่าว....”   มีการย้ำกริยาสองรอบ ดูเหมือนกับว่า “แปลเกิน” และที่ต้องทำเช่นนั้น ก็เพื่อ “ป้องกันไม่ให้คนไทยอ่านแล้วหลงประโยค”  นั่นเอง แก้ไขเมื่อ 01 ก.ค. 51 03:54:22 จากคุณ : agelesstansy - [ 1 ก.ค. 51 03:33:47 ]

ความคิดเห็นที่ 18 นักแปลที่ยังไม่ชำนาญ ถ้าเปรียบเทียบ source text กับ target text ชุดที่สอง จะงงมากๆ ว่า “มันเป็นมาได้อย่างไรกัน” ก่อนที่จะเป็นมาได้เช่นนั้น  มันเป็นมาอย่างนี้  นั่นก็คือ ใช้ทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ ในการ restate the source text differently นั่นก็คือ จาก Source text แบบนี้นะ On April 12, 2000, before me, Adele Yoshioka, Notary Public, personally appeared Martha Mikita personally known to me or proved to me on the basis of satisfactory evidence to be the person whose name is subscribed to the within instrument and acknowledged to me that she executed the same in her authorized capacity, and that by her signature on the instrument the person, or the entity upon behalf of which the person acted, executed the instrument. เราแปลอังกฤษเป็นอังกฤษก่อน  เพื่อให้ได้ใจความที่แปลเป็นไทยได้ง่าย และจะได้อะไรแบบข้างล่างนี้ *****A restatement of the source text: On April 12, 2000, Martha Mikita personally appeared before me, Adele Yoshioka, Notary Public. I personally know her or have satisfactory evidence to prove that she is the person who subscribed her name to the enclosed instrument. By her signature on the instrument, I also acknowledge that the person or the entity, on behalf of which she acted, executed the instrument.***** ให้สังเกตดูดีๆว่า source text มีแค่ประโยคเดียว แต่ a restatement of the source text มีตั้ง 3 ประโยค แน่ะ แต่ลำดับคำ มันแปลเป็นไทยได้ง่ายกว่า ทีนี้ พอดูแล้วคงหายงง แล้วนะว่าทำไมคำแปลมันถึงออกมาได้อย่างนี้ Target text: *****เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2543 มาธา มิกิตะ มาปรากฏตัวต่อหน้าข้าพเจ้า แอดเดอเล โยชิโอกะ ซึ่งเป็นนิติกร  ข้าพเจ้ารู้จักบุคคลผู้นี้โดยเป็นการส่วนตัว หรือมีหลักฐานเพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ว่า บุคคลผู้นี้ เป็นบุคคลที่ลงนามในเอกสารซึ่งแนบมานี้  จากลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าว ข้าพเจ้ายังรับรองอีกด้วยว่า บุคคลผู้นี้ ได้จัดทำ (ลงนามใน) เอกสารฉบับดังกล่าว หรือองค์กร ซึ่งบุคคลผู้นี้กระทำการแทน ได้จัดทำ (ลงนามใน) เอกสารดังกล่าว***** ================================================ และข้อความใน คคห นี้เป็นการพิสูจน์เรื่องที่เราพูดเอาไว้ใน คคห 7 ข้างบน ที่เราพูดไว้ว่า "7. ถึงแม้ว่าจะอยากแปลแต่หนังสือ (อังกฤษไทย) เท่านั้นก็ตาม แต่นักแปลควรหมั่นศึกษาการเขียนภาษาอังกฤษ ไว้บ้างพอสมควร เนื่องจาก ในบางครั้ง ไปเจอประโยคภาษาอังกฤษที่เหลือขอเอามากๆ การไม่รู้ทักษะการเขียนภาษาอังกฤษเลย (รู้แต่ทักษะการอ่าน) จะทำให้ “แยกส่วนประโยคไม่ถูก” แล้วก็อ่านไม่รู้เรื่อง แล้วก็แปลผิด ในที่สุด" แก้ไขเมื่อ 01 ก.ค. 51 04:18:36 แก้ไขเมื่อ 01 ก.ค. 51 03:57:59 จากคุณ : agelesstansy - [ 1 ก.ค. 51 03:34:53 ]

ความคิดเห็นที่ 19 สรุป ในกรณีนี้นะ Verbatim translation doesn’t work! ตามที่บอกไปแล้ว ว่าถ้า source text เป็นแบบนี้นะ แล้วใคร translate verbatim มานะ  แล้วมีเอกสารต้องแปล 300 หน้านะ ข้าพเจ้าขอรับรองได้เลยว่า “editor ไปผูกคอตายอย่างแน่นอน...!!!” จากคุณ : agelesstansy - [ 1 ก.ค. 51 03:37:43 ]

ความคิดเห็นที่ 20 มีวิธีดีกว่านั้นโดยที่ Editor ไม่ต้องทำอัตวินิบาตกรรม นั่นคือ Editor ทำปฏิเสธกรรมแต่ต้น อย่าไป edit มันเลยก็สิ้นเรื่อง ไม่เสียสุขภาพจิต จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 1 ก.ค. 51 06:23:09 ]

ความคิดเห็นที่ 21 อย่าพูดแทงใจดำ ให้ร้องให้สิ ทั่นเซียนแอ๊ด ก้อบางทีมันปฏิเสธไม่ได้นี่น่า เพราะว่าเผอิญบางช่วงอะนะ ข้าพเจ้าหางานแปลเอกสารไม่ได้ ถึงต้องยอมเสียสุขภาพจิต edit ไอ้พวกงาน verbatim translation กันตายยังไงล่ะ... อย่างนี้เขาเรียกว่า They made an offer I couldn't refuse.   ....555+++... แค่ edit บทเดียวก้อจ๋อยไปแล้ว...ซึมเศร้าไปทั้งวันเลยหละ... จะเอามาแปะให้ดูก้อผิดจรรยาบรรณ แต่เดี๋ยวจะหางานที่ตัวเองแปล หรือหนังสือที่ตัวเองอ่าน แล้วเจอประโยคที่มี metaphors แบบเจ้าฝรั่งอัฉริยะ มันเขียน แบบจินตนาการหลุดโลก ไม่รู้ว่าพี่แกเอา cells สมองส่วนไหนคิดประโยคพวกนี้ออกมาได้ น่าทึ่งจริงๆเลยหละ...!!! พอว่างๆ แล้วจะหาประโยคพวกเนี้ย มาแปะ ให้ดู แล้วจะลองแปล word-for-word หรือ verbatim ให้ดู ว่ามันจะออกมาเป็นภาษามนุษย์ต่างดาว ได้มากแค่ไหน...กัน จากคุณ : agelesstansy - [ 1 ก.ค. 51 07:10:50 ]

ความคิดเห็นที่ 22 เหอๆ คุณagelesstansy ขา ดิฉันไม่ได้หมายความว่า แปลตัวต่อตัวขนาดน๊านนนนนน อารายมานจาตรงแด่วๆขนาดน๊านนนน โดนไล่ออกหมดเรยสิคร๊าาาา ดิฉันเอง เคยดรวจงานของภาษาอังกฤษมาไทยแล้ว ต้องมา edit เป็นเช่นว่า แปลใหม่ไปเลยง่ายกว่าเยอะค่ะ ไม่รู้ไผ๋ผู้ใด๋แปลไทยมา ตรงตัวต่อตัว verbatim จิงๆค่ะ literally เลยค่ะ เหอๆๆปวดกบาลอย่างแรง คือว่า verbatim ที่เราหมายถึงนี้ ไม่ใช่แปลแข็งซะยัีงงั้น ต้องปลิ้นด้าน ตีลังกา ซัมเมอร์ซอล ของประโยค รึจะทำไร ก้อทำไป ตามไวยกรณ์ของแต่ละภาษา มีสำนวนไีร ถึงจะไม่ตรงหรือ ไม่มีคำเทียบกะ target language ก้อยังต้องแปลไปอย่างนั้น แล้วค่อยมาโน๊ตให้ หรือ จะอธิบาย(กรณีที่ท่านeditorไม่รู้ภาษาหรือวัฒนธรรมของsource text)ให้ผู้ editor มาตัดสินใจเองว่า จะเปลี่ยนคำ หรือไงก้อว่าไป ตอนต่อไปน่ะค่ะ  แต่อย่างไรก็ตาม ต้องให้คงความหมายเดิมด้วยค่ะ ไม่ใช่แปลตัวทีละตัวต่อตัวเลยนะงิ๊ แง๊วววว ห้่ามขาดห้ามเกินด้วย มีเท่าไหร่แปลเท่านั้่น จะเพิ่มไร เด๋วท่าน editor แก้เอง editor เนี๊ย ปวดหัวใช่เล่น เห็นใจค่ะ ถ้าไทยไปอังกิด จะง่าย ความเห็นส่วนตัวนะ เพราะเราส่วนมากเจอภาษาอื่นมาเป็นอังกิดซะปามาน 95% แปลเป็นไทยนี่ไม่ค่อยจาชำนาญเท่าไหร่ แฮะๆ คือถ้าให้เจ้าของภาษาอ่านเข้าใจได้โดยไม่ต้องรู้หรืออ่านภาษาsource แล้วอ่านโอเช ถึงจะเห่ยไปนิด ก้อพอทำใจได้ เด๋ว edit ห๊ายยย แต่แปลมาเห่ย editor เืทพๆ ขนาดไหนก้อแก้ให้ไม่ได้หรอกค๊าาาาา มีอยู่ทีหนึ่ง เราเองเนี๊ยแหละ เจองานแปล จากอังกิดเปงไทย แต่ ไอ่เวร text อังกิดนะปรากฎว่ามันไม่ได้ edit มาค๊าาาาา เอ๋อไปพักหย่ายยยยยย อ่านไปสะดุดหัวทิ่มไปหลายรอบ เราคาดเดาว่า มันคงแปลมาจากภาษาสเปนิช รึโปรตุกีสนะ ดีว่าพอรู้มากะจึ๋งนึง เลยพอตีความได้ว่ามันจะพูดไรว๊าาา ปวดหัว 3 ตลบ กรี๊ดดดดดดดด ทำไมใครอนุญาตให้ text นี้มันออกมาได้เนี๊ยยยยยยยย อยากจะไปตบๆๆๆๆๆๆๆๆ สรุปงานเสด ต้องแอบไปแช่หัวในตู้่เย็นแล้วออกมาอ่านใหม่ ต้องแปลอังกิดเปงอังกิด ต่อด้วย ไทยเป็นไทยอีกประมาน 5 รอบก่อนจะส่งงานกลับได้ เฮ่อ คิดแล้วก้อเหนื่อย ทีหลังไม่รับแปลไทยแีระ ปวดหัวโจ๊ะๆ ยิ่งเก่งๆภาษาไทยอยู่ซะด้วยสิเรา กร๊ากกกกก อย่างที่บอก ถ้ามีนักแปลอยู่คนเดว ไม่มี editor, proofreader เลย เกิดคนแปลนั้นแปลแบบ verbatim จริงๆ (มันเอาจิงวุ๊ย แปลตรงเป๊ะๆๆเด๊ะๆๆ)ขึ้นมา ตร๊ายยยยยยยยยยยยย ตายๆๆๆๆๆๆๆ ยิ่ง ณ บัดนี้ ปัจจุบัน มีนักแปลที่ไม่มีการศึกษาด้านนี้ทำงานแปลมากมายค่ะ นึกว่าตัวเองเก่งแล้วรู้หลายภาษา อ่านรู้เรื่อง แต่หารู้ไม่....... -.-* คิดเอาเอง ไม่บ่นต่อแระ บวกกะสำนักงานแปล และอื่นๆ ที่เป็นสาวกของกาดาดเงินทอง แล้วภาษาการสื่อสารวิบัติลงทุกวัน เฮ่ออออ นี่ยังไม่เคลียร์ค่ะ ระบบระเบียบของงานแปลมีอีกมากมาย และลึกกว่านี้อีก นี่ที่บ่นมาแค่พื้นๆ มีการเรียงความต่างๆ แล้วแต่หัวข้องานต่างๆ ภาควิชาการ ศัพท์เฉพาะทาง เช่น ทางกฎหมาย ทางการเมือง การปกครอง การแพทย์ วิทยาศาสตร์ native ระดับภาษาของหัวข้อนั้นๆ บลา บลา บลา ฯลฯ ให้สาธยายอีกก้อคงอีกยาว รอคนอื่นมาบ่นต่อน๊าาาา จากคุณ : Kryta (kryta) - [ 1 ก.ค. 51 07:58:40 ]

ความคิดเห็นที่ 23 เขาบ่นกันมานานแล้วละ ป้า ยินดีต้อนรับมาร่วมวงไพบ่น เอ๊ย วงไพบูลย์ อีกคน จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 1 ก.ค. 51 12:01:28 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ว๊ายยยย แอบโดนเรียกป้่า กรี๊ดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ นู๋เพิ่งจาฉลอง ๒๔ ขวบเองนะคร๊าาาาาาาา กี๊ดดดดดด ว่าแต่ ขอบคุนที่ให้ร่วมวงไพบ่น เอ๊ะ ไำพบูลย์ด้วยค่าาา จ่ายค่า+กรอกใบสมัครแกงค์ที่หนายค่ะเนี๊ย เอ๊า ฉลองหน่อย เฮ้ๆๆๆ เชียร์ๆๆๆๆๆ คัมปายยยยๆๆๆๆ คาราวะท่านผุ้สูงคุณวุฒิ *โค้งให้งามๆ 3 ที โค้ง ๆๆ* จากคุณ : Kryta (kryta) - [ 1 ก.ค. 51 12:21:36 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ใครเรียกป้าไม่ต้องกลัว The older the better. และในทำนองเดียวกัน The older the more beautiful.  ในนิยายกำลังภายในของจีนนะ ผู้หญิงที่ถูกเรียกว่า "ท่านทวด" ยังคงสวยพริ้งอยู่เลยนะ เพราะเธอมีวรยุทธ์อันสูงส่งนั่นเอง...จึงคงไว้ซึ่งความอ่อนวัยตลอดกาล...อิๆๆๆ.... เรื่อง verbatim translation นี้เราถนัดนัก เอามาฝากอีกประโยคหนึ่ง Source text: The radio station she'd switched on to take her mind off where she was going—and who was waiting for her—dissolved into asthmatic white noise, the signal blocked by the surrounding mountains. Target text (verbatim translation พร้อมด้วย punctuation ครบถ้วน): สถานีวิทยุซึ่งเธอเปิดสวิตช์เพื่อเอาจิตเธอออกไปจากสถานที่ซึ่งเธอกำลังจะไป --และผู้ซึ่งกำลังรอเธอ --ละลายกลายเป็นเสียงหนวกหูแบบเป็นโรคหืดสีขาว, สัญญาณถูกปิดกั้นโดยภูเขาหลายๆลูกที่ล้อมรอบอยู่. เจอแบบนี้เข้า faithful to the original ไม่ไหวแล้ว ต้องขอ cheat บ้าง ลองใหม่ Source text: The radio station she'd switched on to take her mind off where she was going—and who was waiting for her—dissolved into asthmatic white noise, the signal blocked by the surrounding mountains. Target text (unfaithful translation): เธอต้องเปิดวิทยุฟังเพื่อให้เลิกคิดว่าจะไปที่ไหน และใครรอเธออยู่ แต่สถานีเจ้ากรรมนั้นก็ล่มเสียแล้ว ได้ยินแต่เสียงค่อกแค่ก (คำว่า "เหมือนคนเป็นหืด"...จะใส่ดี ไม่ใส่ดีหว่า...เง็งว่ะ...???)  นั่นก็เป็นเพราะว่าภูเขาที่อยู่รอบๆปิดกั้นคลื่นสัญญาณเอาไว้นั่นเอง โหคำแปล version ที่สองนี้ มีแปลขาดแปลเกินเพียบเลยอ้ะ...555+++.... แก้ไขเมื่อ 02 ก.ค. 51 15:06:29 จากคุณ : agelesstansy - [ 2 ก.ค. 51 14:31:20 ]

ความคิดเห็นที่ 26 เก็บกระทู้เข้าคลังเรียบร้อยแล้วครับ จากคุณ : ไข่ต้มกะนมอุ่น - [ 2 ก.ค. 51 15:18:48 ]

ความคิดเห็นที่ 27 แปลดีออกค่ะคุณไม่มีวันแก่ เคยได้ยินคนหอบหืดหายใจ "ครืดคราด" ไง --> ได้ยินแต่เสียงครืดๆ คราดๆ ไอค่อกไอแค่ก ไอกระด๊อกกระแด๊ก คงไม่ไหวละมัง จากคุณ : Guga - [ 2 ก.ค. 51 15:29:20 ]

ความคิดเห็นที่ 28 มันไม่เห็นขาดไม่เห็นเกิน ที่ผมบอกว่าไม่ผิดไม่ขาดไม่เกินก็คือไม่ผิดไม่ขาดไม่เกินไปกว่าเจตนารมณ์คนเขียนเขาต่างหาก ไม่ได้จำกัดที่คำพูด สมมุติ He looks ageless. จะแปลว่าไง? เขาดูไม่มีอายุ???? ก๊ากกกกกกก หน้าตาเขาเดาเดาอายุไม่ออก เออ อย่างนี้ค่อยเป็นภาษาผู้คนหน่อย ถึงแม้ว่าถ้าแปลคำต่อคำนี่แปลไม่ได้เรื่องเอาเลย ว่าแต่ tansy ภาค ageless นี่ตอนนี้หน้าตาเป็นไงหว่า สวยขึ้นหรือเปล่า? จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 3 ก.ค. 51 13:14:09 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ในคคห 5 ที่เราพูดว่า "1. จะต้องรู้ว่าภาษาอังกฤษระดับไหน สาขาอะไร จะเขียนด้วยคำศัพท์กี่คำมีอะไรบ้าง (อันนี้พวกนักแปลรุ่นลายครามจะแนะนำให้ได้ในระยะเวลาอันสั้น จะได้ตั้งเป้าหมายในการเรียนในแต่ละระดับได้อย่างถูกต้อง)  ซึ่งในขั้นตอนนี้ เราก็จะต้องเรียนรู้ด้วยว่ามี dictionaries กี่อย่าง ที่จะนำมาใช้งานได้ และเรียนรู้ว่าจะใช้มันอย่างมีประสิทธิภาพอย่างไร" lists คำศัพท์พื้นฐานที่ควรเรียนรู้ในระดับต้นๆ เพื่อเตรียมพร้อมที่จะเป็นนักแปล นั้น เราเอาไปแปะไว้ในกระทู้นี้ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K6791965/K6791965.html แก้ไขเมื่อ 16 ก.ค. 51 14:36:47 จากคุณ : นักแปลตกงาน...555+++... (agelesstansy) - [ 16 ก.ค. 51 14:31:44 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 23 ก.ค. 51 17:07:04 ]