เอามาให้ดูครับ อันไหนจริงไม่จริงอย่างไร

นักเขียนสวมวิญญาณนักอนาคตศาสตร์ชี้แนวโน้มวรรณกรรมไทยในทศวรรษหน้า
เรียบเรียงจาก : ผู้จัดการรายวัน
ประจำวันที่ : 25 ก.ค. 39
ในการเสวนา "วรรณกรรมไทยในทศวรรษหน้า" ซึ่งสถาบันวิจัยสังคม สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม สำนักหอสมุด ภาควิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และกลุ่มวรรณกรรมกาแล ได้ร่วมกันจัดขึ้นเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคมที่ผ่านมา มีสุชาติ สวัสดิ์ศรี ไพลิน รุ้งรัตน์ จำลอง ฝั่งชลจิตร และชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ มาร่วมกันปะทะสังสรรค์เสวนา โดยมีรศ.เอมอร ชิตตะโสภณ แห่งภาควิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์เป็นผู้ดำเนินรายการ ถือได้ว่าเป็นการเปิดมิติใหม่ในการมองวรรณกรรมไทยยุคสังคมข่าวสารสารสนเทศ ในยุคสมัยศตวรรษที่ 21 ได้อย่างน่าสนใจ อีกทั้งยังเป็นการช่วยฟื้นฟูบรรยากาศอันซบเซาทางด้านวรรณกรรมของเมืองใหญ่ ในภูมิภาคเช่นเชียงใหม่ได้อีกโสตหนึ่ง
ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ อาจารย์ภาควิชาวรรณคดีอังกฤษ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้จำแนกวรรณกรรมไทย โดยเฉพาะนวนิยายออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ นวนิยายชาวบ้าน นวนิยายยอดนิยม และนวนิยายสร้างสรรค์โดยกล่าวว่า วิธีแบ่งดังกล่าวมิได้ตัดสินเพียงแค่มองจากการเสพและการสร้างเท่านั้น
สำหรับนวนิยายชาวบ้าน มีกลุ่มคนอ่านกว้าง แต่ไม่ค่อยมีการศึกษาสูงนัก เนื้อเรื่องผูกขึ้นอย่างง่ายๆ มักเป็นเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ในบทสนทนา ดำเนินเรื่อง
ส่วนนวนิยายยอดนิยมมักลงพิมพ์เป็นตอนๆในนิตยสาร เช่น สกุลไทย ขวัญเรือน โลกนวนิยาย มีหลายแนวทั้งชีวิตครอบครัว รักกระจุ๋มกระจิ๋ม อิงประวัติศาสตร์ บู๊ นักเขียนแต่ละคนจะมีแฟนประจำของตน เช่น กฤษณา อโศกสิน ทมยันตี วสิษฐ เดชกุญชร
ด้านนวนิยายสร้างสรรค์ อันเป็นประเภทสุดท้าย มักมีเนื้อหาซับซ้อน อ่านแล้วคนอ่านต้องคิดตาม และจะมียอดพิมพ์ไม่เกิน 3,000 เล่ม ผู้อ่านสนใจตัวนวนิยายเป็นหลักไม่ติดผู้เขียน มุ่งเน้นเนื้อหาสาระเป็นสำคัญ กลุ่มผู้อ่านมักเป็นปัญญาชน
ชูศักดิ์มองแนวโน้มของวรรณกรรมไทยในทศวรรษหน้าว่า เนื้อหาสาระของวรรณกรรมชาวบ้านอาจมีเปลี่ยนแปลงบ้างในเรื่องแนวการเขียน เช่น แต่ก่อนนิยมแนวตลก ตอนนี้หันนิยมแนวรักกระจุ๋มกระจิ๋ม และความเป็นเด็กวัยรุ่นเช่นเดียวกับที่เป็นอยู่ในวงการภาพยนตร์ไทย
สำหรับวรรณกรรมยอดนิยมจะมีการปรับเปลี่ยนเนื้อหาให้ทันสมัยสอดคล้องกับ สังคมทุนนิยมมากขึ้น เปลี่ยนไปจากนวนิยายประเภทบ้านทรายทอง เช่น พระเอกอาจเป็นนักเล่นหุ้น นางเอกเป็นพนักงานบริษัท โบรกเกอร์ที่สนใจการเมือง ออกไปเดินขบวน ทั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องทั้งหมดสรุปเป็นสูตรสำเร็จได้ว่า ชายพบหญิง หญิงงอนชายง้อ หญิงใจอ่อน ชายใจแข็ง ชายตั้งแง่ หญิงขอโทษชายให้อภัย แล้วก็แต่งงานกันในที่สุด แม้รายละเอียดจะเปลี่ยนไป แต่ว่าโครงหรือแกนก็ยังคงมีสูตรอันนี้อยู่ บางเรื่องอาจจะนำเอากระแสสังคมเข้ามาเกี่ยวบ้าง เช่น พระเอกเป็นพนักงานป่าไม้ นางเอกเป็นลูกสาวของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่คอร์รัปชั่น แต่แกนของเรื่องยังคงผูกติดอยู่กับความรัก
ส่วนวรรณกรรมสร้างสรรค์จะมีการเปลี่ยนแปลงเร็วมาก โดยธรรมชาติมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ไม่หยุดนิ่ง มีความเป็นต้นแบบสร้าง สิ่งใหม่ทั้งในด้านเนื้อหา วิธีการนำเสนอภาษา มีการคาดหวังทั้งในตัวผู้อ่านและผู้เขียนที่จะสร้างสิ่งใหม่ เนื้อหาและรูปแบบการนำเสนอจะมีการปรับเปลี่ยนการประเมินการอ่าน ค่านิยมของการอ่านจะเปลี่ยนไปด้วย
สำหรับวรรณกรรมแนวสร้างสรรค์ของไทยในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา แนวสัจนิยมเป็นแนวเดียวที่โดดเด่น มาโดยตลอด ทั้งที่จริงแล้วมีอีกหลายแนว ช่วงนี้มีแนวสัจนิยมเชิงสังคมที่ วิพากษ์วิจารณ์สังคมเป็นหลัก และมีการพูดถึงการนำเอาเรื่องราวของพื้นบ้าน มาผสมผสานกับแนวชีวิตจริง ซึ่งเป็นแนวที่นิยมอยู่ในประเทศแถบ ละตินอเมริกา หรือที่เรียกว่า Magic Realism ดังเช่น "ร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว" บ่งบอกว่าโลกเหนือธรรมชาติกับโลกในความเป็นจริงนั้นอยู่ด้วยกันได้
อีกแนวหนึ่งเป็นสัจนิยมเชิงอัตวิสัย ที่มุ่งเสนอความเป็นจริงโดย ผ่านอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครเอก ดังเช่นที่ แดนอรัญ แสงทอง เขียน "เงาสีขาว" ซึ่งมีทั้งความสับปลับหยาบ ช้าความหน้าไหว้หลังหลอกของสังคม
"ในอีก 10 ปีข้างหน้าจะมีปัจจัยอื่นมาบีบด้วย การเขียนแต่แนวสัจนิยมเชิงสังคมเพียงอย่างเดียวนั้นไม่พอ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรทัศน์จะเข้ามาเป็นคู่แข่ง การเขียนแนวสัจนิยมจะสู้ไม่ได้ ต้องปรับเปลี่ยนให้ทันกับสื่อต่างๆ ด้วย"
นอกจากนี้ ปัจจัยภายนอก เช่น การปฏิวัติรัฐประหารอาจจะก่อให้เกิดวรรณกรรมแนวต่อต้านรัฐบาล อีกทั้งแนวคิดการสร้างงานของประเทศ ในโลกตะวันตกจะเข้ามามีอิทธิพลต่อนักเขียน แรงผลักดันในการหาแนวใหม่ๆ มาเขียนผสานกับแรงกดดันจากสื่ออิเล็กทรอนิกส์ในยุคสมัยโลกานุวัตร ในสังคมสารสนเทศ จะทำให้วรรณกรรมไทยพัฒนาตัวเองไปไม่มากก็น้อย
ไพลิน รุ้งรัตน์ ชี้ถึงแนวโน้มอนาคตของแวดวงวรรณกรรมไทยในอีก 10 ปีข้างหน้าว่า ที่แน่นอนก็คือ หนังสือยังคงมีอยู่ แต่หน้าตาจะเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต คนจะอยู่อย่างตัวใครตัวมัน วรรณกรรมก็คงมีส่วนคล้ายคลึงเกี่ยวข้องอยู่บ้างกับสภาพสังคม
"พี่อาจินต์พูดอยู่เสมอว่างานเขียนเป็นงานที่โดด เดี่ยวทำคนเดียวและเป็นเรื่องของสังคม แต่ต่อไปงานเขียนจะเป็นงานที่โดดเดี่ยว ทำคนเดียวและเป็นเรื่องส่วนตัว"
อีก 10 ปีข้างหน้างานที่มีวรรณศิลป์ใช้ภาษาพราวพราย อาจไม่เป็นที่ต้องการของตลาดเท่างานที่ง่าย แต่อ่านแค่ประโยคเดียวก็หัวเราะกับภาษาได้ งานที่เกี่ยวข้องกับสื่ออิเล็กทรอนิกส์ทั้งโทรทัศน์และวิทยุจะสอดคล้องกับ ความต้องการของประชาชนมากขึ้น เช่น นวนิยายที่นำไปทำเป็นละครโทรทัศน์จะเป็นนวนิยายขายดี หรืองานที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับดาราจะขายดี เช่น อุดม แต้พานิช และศุ บุญเลี้ยง
ไพลินกล่าวด้วยว่า การให้รางวัลกลายเป็นเรื่องของธุรกิจไปแล้ว และจะช่วยให้หนังสือที่มีการตีตราขายได้เป็นไปโดยระบบ อนาคตก็คงมีการตั้งรางวัลที่หลากหลายในสภาพที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน ขณะที่นักอ่านก็จะมีการแบ่งเป็นกลุ่มๆ ใครสนใจนักเขียนคนไหนก็จะเข้าไปอยู่ในกลุ่มนักอ่านงานของนักเขียนคนนั้น มีความรัก ความผูกพันกับนักเขียน คนโปรดของตน
สุชาติ สวัสดิ์ศรี พี่ใหญ่แห่งแวดวงวรรณกรรมร่วมสมัยของไทย และผู้ก่อตั้งสำนักช่างวรรณกรรมแสดงความเห็นว่า แนวโน้มของวรรณกรรมไทยในทศวรรษหน้า นักเขียนจะมีค่าย มีกลุ่มมีสังกัดเหมือนดารา มีลักษณะที่ต้องพึ่งบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้ตนเอง อยู่ในตลาดการบริโภคมากกว่า ซึ่งโยงไปถึงสำนักพิมพ์ร้านหนังสือว่ามีลักษณะการผลิตอย่างไร มีการรวมกลุ่มทุนสร้างความเป็นปึกแผ่นเพื่อ ต่อสู้ให้อยู่รอดกลางกระแสการแข่งขันแบบสังคมทุนนิยม ร้านหนังสือจึงเป็นสำนักพิมพ์ สำนักพิมพ์ก็เป็น ร้านหนังสือด้วย
บรรณาธิการจะเป็นบรรณาธิการ ประจำการ สังกัดสำนักพิมพ์นิตยสาร การคัดเรื่องอยู่ในเงื่อนไขบางอย่างที่เป็นระบบมากขึ้น นักเขียน บรรณาธิการ และสำนักพิมพ์ทำให้เกิดผลอย่างไรในแง่ของการสร้างสรรค์วรรณกรรมในอีก 10 ปี ข้างหน้า รวมทั้งนักอ่าน ทั้งระดับการอ่านและรสนิยมการอ่านว่าจะเปลี่ยนเป็นเช่นไร ที่ผ่านมาดูเหมือนเมืองไทยเราระบบห้องสมุดล้มเหลว เพราะฉะนั้นลักษณะการอ่านของคนจึงกระจัด กระจายไปตามรสนิยมส่วนตัวของตลาดในลักษณะผู้บริโภค งานเขียน สร้างสรรค์ซึ่งมีลักษณะแปลกแหวกแนวจึงถูกจำกัดไปด้วย
สถาบันวรรณกรรมไม่ว่าจะเป็นครูบาอาจารย์ นักวิจารณ์รางวัลทางวรรณกรรม ในอนาคตจะมีลักษณะ ที่ไม่ตรงไปตรงมามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในขณะนี้ อีกสิบปีหรือยี่สิบปีข้างหน้า จะมีความซับซ้อนมากขึ้นเรียกว่าเป็นระบบที่ไร้ระบบ
"ในอีก 10 ปี ข้างหน้าวรรณกรรมไทยยังเป็นสื่อนำเสนอภาพสะท้อนทางสังคมเนื้อหาไม่ว่าจะมี อะไรใหม่หรือไม่ใหม่ ก็ยังเป็นเรื่องที่วนเวียนเกี่ยวข้องกับมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสร้าง สรรค์หรือเรื่องตลาด ก็ยังคงวนเวียนอยู่กับรัก โลภ โกรธ หลง รักริษยา พยาบาท ตัณหา ราคะ เมื่อ 2000 ปี เขาเขียนกันมาอย่างไร ทุกวันนี้ก็ยังคงเขียนอย่างนั้น แต่ถ้าไม่มีมุมมองใหม่ๆ วรรณกรรมไทยต่อไปในอนาคตก็จะมีเพียง 2 แบบ คือขยะวรรณกรรมกับวรรณกรรมขยะ"
สุชาติกล่าวต่อไปว่า เทคโนโลยีข่าวสารทำให้งานเขียนต้องยึดอิงข้อเท็จจริงมากขึ้น มีการขีดคั่นพรม แดนของนวนิยายและที่ไม่ใช่นวนิยาย สารคดี สารนิยาย และหนังสือพิมพ์ เชิงวรรณกรรม บทความในหนังสือพิมพ์และนิตยสารในลักษณะที่เป็นงานวรรณกรรมมากขึ้น คนอ่านรับรู้ข้อมูลข่าวสารมากขึ้น นักเขียนต้องทำการบ้าน
"สิ่งที่เห็นและเป็นอยู่ในยุคปัจจุบันยุคเทคโนโลยี สื่อสารสารสนเทศ ทำให้เกิดการรับรู้แบบแยกย่อยตามความสนใจ มีการใช้สื่อผสมทดลองใช้สื่อภาษามากขึ้น ทำให้การยึดอิงในรูปแบบเก่าเริ่มถูกท้าทายมากขึ้น รางวัลวรรณกรรมจะมีส่วน ในการก่อกระแสการรับ-ไม่รับสิ่งใหม่ ๆ มากขึ้น เราต้องตามให้ทันว่าการแยกย่อยมีรูปแบบอย่างไร เมื่อเรียนรู้วรรณศิลป์ ศิลปะ การเรียนรู้กายวิภาคด้วย เรียนรู้โลกของความดีงามจริงลวง"
นอกจากนี้ สุชาติยังให้ความเห็นว่า ในอนาคตนักเขียนจำเป็นต้องมีความรู้ภาษาอังกฤษมากขึ้น เพื่อที่จะเขียนงานเป็นภาษาอังกฤษ อันจะทำให้วรรณกรรมของไทยเผยแพร่ไปสู่สายตานักอ่านต่างชาติได้ เนื่องจากไม่มีสถาบันใดคิดจะแปลงานเขียนของนักเขียนอย่างจริงจัง
จำลอง ฝั่งชลจิตร ชี้แนวโน้มของวรรณกรรมไทยในอนาคตอีก 10 ปีข้างหน้าว่า วรรณกรรมไทยคงต้องเปลี่ยนไป วิธีการเปลี่ยนเนื้อหาสาระ เปลี่ยนตัวละคร เปลี่ยนการวิพากษ์วิจารณ์จะมีมากขึ้น เช่นเดียวกับการให้รางวัลจะมีมากขึ้น นักเขียนจะเกิดมากขึ้น พร้อมกันนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายในสมาคมนักเขียน สมาคมภาษาและหนังสือ และในสถาบันการศึกษาที่มีการเรียนการสอนในด้านนี้
ในการมองแนวโน้มอนาคตของนักเขียนในระดับแถวหน้าของสังคมไทยทั้งสี่ท่านล้วน อยู่ในทิศทางเดียวกัน จะแตกต่างกันบ้างก็เพียงมุมมองเฉพาะด้านและรายละเอียด ปลีกย่อย พร้อมกันนี้ก็สอดคล้องต้องกันกับคำกล่าวของอี.เอช.คาร์นักประวัติศาสตร์ สังคมที่กล่าวไว้ว่า
"มนุษย์มีหน้าที่สำคัญในชีวิต คือสืบค้นสัจธรรม ดังนั้นความเข้าใจที่เขามีอยู่ หรือความประพฤติที่เขาปฏิบัติ จึงมิได้เป็นไปเพื่อสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น หากแต่เป็นไปเพื่อตัวของเขาเองด้วย"
จากคุณ :
เชษฐา
- [
15 ก.ค. 51 00:01:24
]