ความคิดเห็นที่ 1 ครับ  เจ้าของกระทู้ตั้งใจหรือเปล่าก็ไม่รู็นะครับที่เขียนว่า "หน้า"เป็นห่วง  ครับ น่าเป็นห่วงจริงๆ จากคุณ : นักเรียน ม ปลาย - [ วันอาสาฬหบูชา 18:57:39 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ค่ะเราก็ว่านะนี่ลองเข้าแชทหัดเล่นนะค่ะสุดยอดเลยเราพูดรงนะเขาบอกทำไมพี่เรียบร้อยจัง  ต้องแบบนี้เลยบอกทำไมทำให้ภาษาเป็นแบบนี้เขากลับบอกพี่อย่าอะไรเลยสนุกๆๆๆๆนะนี่ค่ะที่เล่นนะ จากคุณ : หมวยโต (หมวยโต) - [ วันอาสาฬหบูชา 19:05:05 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ตอบคุณ นักเรียน ม ปลาย ตั้งใจครับ จากคุณ : กะหล่ำปลีลวกกินกับขนมจีนน้ำยา - [ วันอาสาฬหบูชา 19:19:19 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ภาษาไม่วิบัติหรอกครับ  ที่น่าวิบัติคือพวกอนุรักษ์นิยมมีอำนาจในราชบัณฑิตต่างหาก ภาษาจีนก็มีการลดรูป (เขียนง่าย)เพื่อให้ประชาชนเขาอ่านออกเขียนได้กันเยอะขึ้น  มันเป็นธรรมดาของภาษาที่ยังไม่ตายครับ  คิดใหม่เป็นว่าเป็นไอเดียและการพัฒนาของภาษาให้ง่ายขึ้น  อย่าไปยึดติดกับมันครับ  ปล่อยพวกแก่ๆเขาโวยวายไปเถอะครับ ตัวอย่างการพัฒนาการของภาษาไทย มะรุจิ = ไม่รู้ซิ เดวมานะ = เดี๋ยวมานะ ทอสับหาน่อด้ายมะ  = โทรศัพท์หาหน่อยได้ไหม ภาษาอังกฤษก็เป็นนะครับ  เช่น Wat u mean?  What's you mean?  จริงๆแล้วหลักที่ถูกคือ What does it mean? ภาษาค่อนข้างอังกฤษโบราณ Luv u แปลว่า Love you เป็นแค่การลดรูปเท่่านั้นเองครับ   ส่วนบางคำเขียนผิดบ่อยเลย เช่น เปล่า  ชอบเขียนว่า ปล่าว กอปรกับ  ชอบเขียนว่า กอบกับ มันเป็นภาษาโบราณมากเลยครับ  การสูญเสียภาษาชาติก็ไม่ล่มจมครับ  ลองย้อนกับไปดูกฎหมายเมื่อ 50 ปีที่แล้ว คุณจะขำ่ว่าเขาเขียนยังไง  เช่นคำว่า พะยาน(พยาน), ดำเนิร(ดำเนิน), ผะเชิญ(เผชิญ), ตะลาการ(ตุลาการ), กระซวง(กระทรวง), เปน(เป็น),รัถธัมนูญ(รัฐธรรมนูญ) เพิ่มเติมอีกนิดครับ  ต้องเข้าใจนะครับว่าสำเนียงในการพูดภาษาไทยเราเปลี่ยนไปจากการสื่อสาร เช่น เราจะพูดคำว่า "มั้ย"  คือเราจะยกเสียงให้สูงขึ้น  แต่คำที่ถูกต้องคือ ไหม  ชึ่งเสียงมันก็จะเหมือนเราพูดว่า "ผ้าไหม"  เสียงคำว่า "ค่า"  ก็คือสำเนียงการพูดแบบสมัยใหม่ไงครับ <<< นั่นลดรูปอีกแล้ว(ยังไงครับ)  เพราะสมัยใหม่เราเลิกพูดเสียงต่ำๆกันแล้วครับ แก้ไขเมื่อ 17 ก.ค. 51 19:29:36 แก้ไขเมื่อ 17 ก.ค. 51 19:28:24 แก้ไขเมื่อ 17 ก.ค. 51 19:24:21 แก้ไขเมื่อ 17 ก.ค. 51 19:23:29 จากคุณ : กบินทร์บุรี - [ วันอาสาฬหบูชา 19:23:11 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ไม่ได้ว่าภาษาที่มีการลดรูป ดังที่คุณกล่าวมาครับ (ผมเรียกภาษาวิบัติ) เพราะทำใจแล้วครับ ลำพังตัวเองคงแก้ไขอะไรไม่ได้ ประเด็นของกระทู้นี้ ที่ผมหงุดหงิดคือ การใช้ หน้า และ น่า ต่างหากครับ ผมไม่เห็นว่าจะเป็นการลดรูปตรงไหน เสียงก็เสียงเดียวกัน ไม่ใช่เขียนตามการออกเสียงเสียหน่อย หน้าสงสาร หน้ารัก หน้าดู เขียน น่า สั้นกว่า ง่ายกว่าตั้งเยอะ แก้ไขเมื่อ 17 ก.ค. 51 19:44:04 จากคุณ : กะหล่ำปลีลวกกินกับขนมจีนน้ำยา - [ วันอาสาฬหบูชา 19:43:31 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เสด็จให้มาถามเสด็จว่าเสด็จจะเสด็จไหมถ้าเสด็จจะเสด็จเสด็จจะเสด็จด้วย จากคุณ : อืมมม.... - [ วันอาสาฬหบูชา 20:02:06 A:58.136.224.147 X: TicketID:133565 ]

ความคิดเห็นที่ 7 "..ตัวอย่างการพัฒนาการของภาษาไทย มะรุจิ = ไม่รู้ซิ เดวมานะ = เดี๋ยวมานะ ทอสับหาน่อด้ายมะ  = โทรศัพท์หาหน่อยได้ไหม.." >> ครับ รับทราบครับ พัฒนาการครับ ที่บ้านผมหนองหมาว้อเขาเรียก มักง่าย จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ วันอาสาฬหบูชา 21:58:00 ]

ความคิดเห็นที่ 8 พัฒนาตรงไหนคะ เราว่าเป็นความมักง่าย คิดอะไรง่ายๆมากกว่า มะรุจิ = ไม่รู้ซิ เดวมานะ = เดี๋ยวมานะ ทอสับหาน่อด้ายมะ  = โทรศัพท์หาหน่อยได้ไหม ขอโทษนะคะ ที่จะพูดกันตรงๆว่า การพูดชนิดนี้เหมือนการพูดของเด็กเล็กที่ระบบการออกเสียงไม่พัฒนาเต็มที่และมีความสามารถเพียงแค่การพยายามเลียนเสียง หรือเหมือนคนพูดอย่างลิ้นไก่สั้น ดิฉันคิดว่าเด็กอายุเจ็ดขวบก็ไม่พูดแบบนี้แล้ว จะพูดได้ชัดทีเดียว ไม่ชัดคือเด็กที่ฟันน้ำนมหัก ทำให้เกิดช่องโหว่ในปาก เด็กเจ็ดขวบสามารถเขียนได้ระดับหนึ่งแล้ว และรู้ว่ามันเป็น โทระสับ ไม่ใช่ ทอสับ ปัจจุบันคนใช้ภาษาเช่นนี้อายุใช่จะน้อยๆ เกินสิบห้าเสียเป็นส่วนใหญ่ ที่เป็นผู้ใหญ่ก็มาก บางทีดิฉันต้องคุยกับเพื่อนก็แทบจะเลิกคุยไปเลย เพราะเธอพูดด้วยภาษาเช่นนี้และดิฉันไม่สามารถจะประมวลผลได้ว่า "เทอม่ายปายเที่ยวด๊ะแกนเหรอ" "ม่ายยู้จิ" "เออ เดวราวก้อปาย" "เปงยังงั้นจิ" "ม่ายอ่ะ เลาก้อคึดว่าม่ายปายหลอก" มันไม่ใช่การพัฒนาแน่นอนค่ะ นึกถึงว่าคนใช้คนพูดแบบนี้เป็นคนที่มีระดับความสามารถในการสื่อสารไม่เกินอายุเจ็ดขวบ ซึ่งคนอายุมากกว่าเจ็ดขวบควรจะพูดได้ชัดเจนและไม่พูดยานคางแล้ว ไม่ใช่พูดเต็มคำไม่ได้ หรือพูดเหมือนคนลิ้นไก่สั้น การพัฒนาแบบลดรูปก็อย่างเช่น หมากม่วง หมากพร้าว เป็นมะพร้าว สายดือเป็นสะดือ เป็นต้น ในอดีตการสะกดคำว่า "เป็น" นั้นใช้คำว่า "เปน" แต่เวลาที่ออกเสียงนั้นสั้นกว่า จึงเพิ่มไม้ไต่คู้เพื่อให้รู้ว่าคำนี้ออกเสียงสั้น นี่คือการพัฒนาค่ะ  ทุกวันนี้เสียง"เปง"เข้ามาได้อย่างไรไม่ทราบ นึกถึงคำว่า เป่ง หรือ เป้ง ทุกที สาเหตุที่จีนยอมลดรูปการเขียนลงมาไม่เรียกว่าวิบัติ แต่เป็นการเปิดการเรียนรู้ให้มันง่ายขึ้น ติดต่อง่ายขึ้น ทำไมเป็นแบบนั้นคะ ก็เพราะภาษาเขา หนึ่งคำ คือ หนึ่งตัวอักษร ไม่เหมือนภาษาไทยที่ผสมพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ให้เป็นคำ ภาษาจีนเรียกมังกรว่า หลง คำเดียว เขียนรูปแล้วคล้ายมังกร แต่มันก็เขียนยาก จึงลดรูปลงมาเป็นตัวที่เขียนง่าย แต่ภาษาไทยเรามีให้แค่ "มังกร" จะไปย่นไปย่ออย่างไรคะ (อาจจะเป็น..มางกอง) ส่วนภาษาอังกฤษ นั้นที่เขามีรูปสั้นแบบนั้นก็เรื่องของเขา มันเป็นส่วนหนึ่งของสำเนียงถิ่น (ไปหาMy fair lady มาดูนะคะ) ภาษาเฉพาะกลุ่ม ภาษาวัยรุ่น เราเองใช้ภาษาอังกฤษอยู่ทุกวันที่มหาวิทยาลัยก็ใช้ค่ะ ใช้กับเพื่อนๆ แต่ก็ไม่ได้เป็นภาษาที่ถูกต้องอย่างที่ควร บางทีเป็นสำเนียงกุ๊ยเขาพูดกันด้วยซ้ำค่ะ คำว่า luv u เขียนสั้น ง่าย แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนความชอบธรรมและความถูกต้องของคำว่า "I love you." What does it mean? ไม่โบราณนะคะ ยังใช้กันปกติ อาจารย์เราก็ใช้ เพื่อนเราก็ยังใช้   Wat u mean?  What's you mean? <<< พูดงี้หมายฟามว่างายฟะ นายหมายถึงอะไรวะ ภาษาวิบัติ ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายทุกวันนี้ไม่ได้เป็นภาษาที่แสดงการพัฒนาเลย แล้ว เรื่องการใช้ภาษาวิบัติไม่ได้มีเฉพาะในInternetแต่มันลามออกมาถึงโลกในความเป็นจริง ดิฉันได้ตรวจงานของรุ่นน้อง ตรวจเรียงความ เรื่องสั้นเอาคะแนน ให้ศูนย์คะแนนแบบไม่ต้องพิจารณาเนื้อหาค่ะ (เพราะมันเริ่มต้นมาเหมือนกัน จบเหมือนกัน เรื่องสั้นก็ไม่ต้องเดาว่ามีอะไรต่อไป นางเอกโดนนางร้ายตบ พระเอกโง่ นางเอกโดนข่มขืน สุดท้ายรักพระเอก บางเรื่องลอกจากถนนนักเขียน หรือ เด็กดี เจเจ เห็นชัดจะๆตา) กระทั่งรุ่นน้องที่สนิทกันและเก่งภาษาไทยมันยังพลาดเพราะเขียนภาษาวิบัติลงไปในเรียงความส่งประกวด!! พนักงานบริษัทพ่อเขียนโน้ตเป็นภาษาวิบัติ ส่วนความสามารถในการสะกดคำก็ตกต่ำค่ะ โอเค คำยากๆไม่คุ้นเคย หรือคำเทียบเสียงภาษาอังกฤษผิดพลาดได้ไม่แปลก ดิฉันก็พลาดบ้างเพราะคนเรามันไม่ใช่พจนานุกรม แต่ขนาดใบสมัครงานยังกรอกชื่อสถานศึกษาขึ้นต้นเป็น หมาลัย....... หรือ มหาลัย.... มันน่ารับหรือคะ ขอยกตัวอย่างคำที่คุณยกมา เช่น ตุลาการ เมื่อพิจารณาแล้วคำนี้มีที่มาจากคำว่า ตุล ที่หมายถึงคันชั่ง ตราชู ที่หมายถึงความยุติธรรม ค่ะ ตะละการ นั้นดิฉันความรู้อาจไม่กว้างจึงไม่เคยเห็น เห็นแต่คำว่า ตระละการที่แปลว่า ตําแหน่งพนักงานศาลผู้มีหน้าที่ชําระเอาความเท็จจริง รัถธัมนูญ มาเป็น รัฐธรรมนูญ หากอ่านให้ดีจะพบว่า รัฐธรรมนูญ มีความหมาย แต่รัถธรรมนูญนั้นเขียนตามเสียงอ่านค่ะ ในสมัยก่อนเขียนให้ได้คำตามเสียงก็ใช้ได้ แต่ปัจจุบันนี้มีการบัญญัติคำเอาไว้แล้ว ในภายภาคหน้าคุณจะเรียกคอนสติทิวชั่น ออฟ ไทยแลนด์ ก็ตามใจคุณ ดิฉันคงไม่เรียกค่ะ ของเรียกว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ค่ะ ระหว่างเชื่อคนทั่วไป หรือเชื่อคำสมัยนิยม ดิฉันขอเลือกเชื่อ ราชบัณฑิต กับ อาจารย์ของดิฉัน และผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้มอบความรู้ให้ดิฉันค่ะ อย่างน้อยพวกท่านก็มีความรู้ และมีเหตุผลที่ดีสำหรับดิฉัน ที่ดิฉันจะเคารพพวกท่านค่ะ ดิฉันก็อายุไม่มากค่ะ เรียนมหาวิทยาลัยอยู่ อาจจะเพราะโตมาในครอบครัวที่พ่อดิฉันทำงานสื่อ ดิฉันโตมากับผู้ที่ใช้ภาษาเป็นเครื่องมือสื่อสารตลอด เช่น ผู้อ่านบทบรรยายสารคดี (ดิฉันรักท่านผู้หนึ่งเหมือนคุณปู่แท้ๆ นึกถึงนักอ่านบทบรรยายสารคดีที่เก่งที่สุดของเมืองไทยนะคะ ท่านนั้นแหละค่ะ) ดิฉันจึงเห็นว่ามีความจำเป็นที่ตัวดิฉันซึ่งเรียนด้านสื่อสารมวลชนด้วยจะต้องใช้ภาษาไทยให้ถูกต้องเป็นอันดับแรก เพราะการนำเสนอสู่มวลชนด้วยภาษาที่ผิด อาจนำให้มวลชนใช้ภาษาผิดตาม ลองเปิดหนังสือพิมพ์ข่าวบันเทิงนะคะ จะพบว่ามีการใช้ภาษาวิบัติลงเขียนข่าว(มันควรจะเรียกว่าข่าวหรือเปล่า) หรือนิตยสารดารา นิตยสารวัยรุ่นก็เป็นค่ะ เยอะเชียว เทียบกับนิตยสารรุ่นใหญ่อย่าง พลอยแกมเพชร แพรว ELLE หนังสือพิมพ์เ ช่น คม ชัด ลึก โพสต์ ทูเดย์ จะไม่มี หรือมีก็น้อยและเป็นความจงใจของผู้เขียน บทบรรณาธิการก็ใช้ภาษาได้ดีค่ะ ทิ้งท้ายนิด เสียภาษาไม่เสียชาติ  แต่เสียชาติเกิด ดิฉันคิดว่าภาษาไทยต่างจากภาษาอื่นอย่างเดียว....เป็นภาษาแผ่นดินเกิดของดิฉันค่ะ จากคุณ : kurika - [ วันอาสาฬหบูชา 23:17:52 ]

ความคิดเห็นที่ 9 คิดว่าลักษณะภาษาวิบัติแบบนั้นแค่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปค่ะ จะไม่วันเข้ามาเปลี่ยนแปลงอะไรได้เพราะการใช้จริงๆจำกัดอยู่แต่ในอินเตอร์เน็ตและในกลุ่มคนที่รู้จักสนิทสนมกันเท่านั้นเอง ใครเอาไปใช้ในวงกว้างกว่านั้นจะถูกสังคมพิพากษาเองนั่นแหละค่ะ เพราะเอาไปใช้นอกเหนือจากนั้นไม่ได้เลย ที่สำคัญมันเป็นตัวสะท้อนวุฒิภาวะและการรู้จักหรือไม่รู้จักที่ทางของผู้ใช้เองนั่นแหละค่ะ มีใครให้ความเคารพคนที่ใช้ภาษาแบบนั้นบ้าง มีใครรับคนที่ใช้ภาษาแบบนั้นจนเป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าเวลาไหน ในโอกาสไหนก็ใช้ เข้าทำงานบ้าง มีครูคนไหนให้นักเรียนที่ตอบข้อสอบ หรือเขียนรายงานส่งด้วยภาษาแบบนั้น สอบผ่านบ้าง จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) - [ วันอาสาฬหบูชา 23:20:14 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เฮ้อ บ่นกันอยู่ได้ ผมเห็นด้วยกับ คห.9 ครับ จากคุณ : Knipod - [ วันเข้าพรรษา 00:25:33 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ภาษาอย่างนี้ผมยอมรับว่ามันเกิดมาจากในเน็ตนี่แหละ มันมีที่ไปที่มาว่าเป็นความพยายามของคนเราที่จะทดแทนอวัจนะภาษาที่ขาดหายไปในการสื่อสารในเน็ต เนื่องจากการสื่อสารในเน็ตเป็นการใช้ภาษาเขียนมาแทนภาษาพูด มันเห็นแต่ตัวหนังสือ ไม่ได้ยินเสียง ไม่เห็นสีหน้า ไม่เห็นท่าทาง ก็ต้องหาวิธีชดเชยจนได้ มันก็เป็นวิวัฒนาการของภาษาอย่างหนึ่ง เราในฐานะผู้สังเกตุการณ์ก็บันทึกเอาไว้เป็นหน้าหนึ่งแห่งประวัติศาสตร์การวิวัฒนาการภาษา ก็แค่นั้นแหละ ภาษาอย่างนี้ผมยอมรับได้ครับอย่างมีเงื่อนไข เงื่อนไขคือมันก็ควรจะอยู่ในที่ๆมันควรจะอยู่ อย่าให้มันล้นมาอยู่ในที่ๆมันไม่ควรจะอยู่ ก็เหมือนกับที่หลายๆท่านพูดมานั่นเอง ดังนั้นใครที่ไม่แยกแยะกาละเทศะการใช้และอ้างแต่การวิวัฒนาการของภาษาอย่างเดียวก็ต้องขออนุญาตโวยกันบ้าง คุณ Knipod คงไม่ว่านะครับ ผมเห็นด้วยกับคุณกุลธิดาเหมือนกับคุณครับ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ วันเข้าพรรษา 00:44:39 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ฝรั่งพูด There isn't any.  ถ้าพูดช้าๆช้าๆทีละคำจะพูดว่า แดร์ อีส นอท(หรือ นาท ถ้าเป็นอเมริกัน) เอนิ แต่ในชีวิตจริงไม่มีใครพูดช้าๆแบบนั้นกันหรอก เว้นเสียแต่จะเน้น แต่เขาจะพูดเร็วๆเป็น แดริสเซิ่นเทนิ Do it.  พูดช้าๆเป็น ดู อิท พูดเร็วๆ เป็น ดูวิท See it. พูดช้าๆเป็น ซี อิท พูดเร็วๆ เป็น ซียิท ซึ่งก็นับว่าเป็นธรรมชาติของภาษา เราขึ้นมอเตอร์ไซค์รับจ้างเราก้อพูดเร็วๆว่า "ไปซอยยีบเก้า" ไม่เคยพูดว่า "ไปซอยยี่สิบเก้า" (เว้นเสียแต่ว่าเราจะพูดช้าๆเพื่อเน้น) เพราะเวลาพูดเร็วๆ มันมี elision (เสียงหาย) และ/หรือ assimilation (เสียงเปลี่ยน) ซึ่งก็นับว่าเป็นธรรมชาติของภาษา   และในทำนองเดียวกัน การพูดคำว่า "มหาวิทยาลัย" เร็วๆ มันก็กลายเป็น "มหาลัย" ได้ ซึ่งมันก็เป็นธรรมชาติของภาษาเหมือนกัน ที่ในวิชา phonetics ของฝรั่งมีการศึกษาและกำหนดกฎเกณฑ์เอาไว้อย่างแน่ชัดว่าเมื่อพูดช้าๆ (strong form) จะออกเสียงแบบไหน และเมื่อพูดเร็วๆ (weak form) จะออกเสียงแบบไหน แท้จริงแล้วการพูดเร็วๆโดยพยายามพูดให้ชัดๆ ไม่ใช่การแสดงความรักชาติ แต่กลับเป็นการ "พูดผิดธรรมชาติ" และเป็นการทำลายภาษาต่างหาก และมันทำลายจริงๆด้วยดิ เพราะอะไร? มีคนแสดงความรักชาติโดยไม่เข้าใจธรรมชาติของภาษา ออกมาแสดงความเป็นพลเมืองดี โดยการตำหนิพวกโฆษกหรือ DJ ว่าออกเสียงอักขระไม่ชัดเจน ดังนั้น พวกโฆษกหรือ DJ จึง "หลงเชื่อ" เพราะพวกเขาไม่รู้ว่า คนที่ออกมาปราม แท้จริงแล้ว ไม่รู้ธรรมชาติของภาษา  ดังนั้น พวกโฆษกและDJ จึง "ร่วมกันทำลายภาษา" โดยการพูดเร็วๆ แต่พยายามทำให้ชัดถ้อยชัดคำจนผิดปกติ จนถึงขั้นที่ว่า ถ้อยคำที่พูด มันไม่ไหลไป แต่มัน "กระตุก" ความอยากกระทำตนเป็นพลเมืองดีที่น่าคลื่นใส้ ก็คือการออกเสียง "ร" จนรัวสะเทือนไปหมด ราวกับคน Scottish ออกเสียงตัว r เช่น Afore you go.  เขาจะพูดเป็น  เออะฟอรรรรรรรรรรรเยอะโกว  ซึ่งเป็นธรรมชาติของสำเนียง Scottish แต่ ถ้าจะพูดว่า "ปรรรรรรรรรรระชาชนชาวไทยที่รรรรรรรรรรักทั้งหลาย"   มันฟังแล้วทุเรศมากๆเลยหละ ทุกทีที่เรานั่งแท็กซี่ แล้วได้ยินเสียงโฆษกหรือDJ รัวเสียง "ร" เพราะอยากเป็นพลเมืองดี อยากเป็นคนรักชาติด้วยวิธีการโง่ๆแบบนี้นะ (คือคิดเองไม่เป็น แต่ตามเขาไปเป็นฝูงๆเหมือนแพะ เหมือนแกะ) เราจะรีบบอกให้คนขับหมุนเปลี่ยนสถานีทันที เพราะปวดหัว ทนฟังไม่ไหว ถ้าไม่เปลี่ยนสถานี เราจะจ่ายตังแล้วลงทันทีเลยหละ แก้ไขเมื่อ 18 ก.ค. 51 07:00:25 แก้ไขเมื่อ 18 ก.ค. 51 06:42:40 จากคุณ : agelesstansy - [ วันเข้าพรรษา 06:36:17 ]

ความคิดเห็นที่ 13 แล้วการที่มีตัวสะกดภาษาไทย แบบแปลกๆ ในการ chat หรือในการเขียนกระทู้บนอินเตอร์เน็ตนั้น  ก็คงเป็นเพราะว่า คนไทย “เก็บกด” เพราะโดนคนโง่ๆที่ไม่เข้าใจธรรมชาติของภาษา มาพูดจา กดดัน ให้พวกเขาพูดชัดเจนตลอดเวลา...คงเป็นเพราะเหตุผลนี้เอง ที่ทำให้ คนไทยเป็นจำนวนมาก relax and enjoy เมื่อพิมพ์แล้วสะกดคำแบบง่ายๆในกระทู้บนอินเตอร์เน็ตหรือในโปรแกรม chat ... ก็เลยโดน(คนที่อยากอวดว่าเป็น) พลเมืองดี หาว่า “มักง่าย” แล้วก็ทะเลาะกันอยู่เรื่อยๆ  จริงๆแล้วนะ ถ้ามองกันให้ดีๆ จะเห็นได้ว่า แม้ฝรั่งบางคนจะขี้เกียจออกเสียงให้ชัดๆ จนถึงกับพูดห้วนๆ อย่างเช่น ออกเสียง That’s it. จนกลายเป็น แอ๊ะสิ ซึ่งเราท้าพนันได้ว่า มีฝรั่งพูดภาษาอังกฤษกันแบบนี้นับเป็นล้านๆคน แต่ไม่เห็นภาษาอังกฤษจะวิบัตไปได้เลย แต่กลับยิ่งทรงพลังมากยิ่งๆขึ้นทุกวัน จนทำให้สามารถใช้ภาษาอังกฤษเขียนเรื่องที่ยากๆซับซ้อนให้คนเข้าใจได้ง่าย ในขณะที่คนไทยเป็นจำนวนมาก ที่พยายามทำตนเป็นพลเมืองดีออกเสียงอักขระชัดเจน(จนผิดธรรมชาติ) หรือสะกดถูกทุกแห่ง กลับเขียนหนังสือพูดเรื่องง่ายๆ แต่ก็ไม่มีใครอ่านรู้เรื่อง...เพราะเขียนมาด้วยระบบตรรกะที่ชำรุด...!!! และการที่ฝรั่งพูดเร็วๆแล้วเสียงหาย (elision) กละ/หรือเสียงเปลี่ยน (assimilation)นั้น มันก็ไม่ได้ทำให้ตัวสะกดใน dictionaries อังกฤษเป็นอังกฤษ เปลี่ยนแปลงไปได้ง่ายๆ  กว่าจะเปลี่ยนไปได้จริงๆ คงต้องใช้เวลานับร้อยปี ...!!! และในทำนองเดียวกัน การที่คนไทยสะกดสั้นๆแบบขี้เกียจ เพื่อแสดงเสียงพูด แบบ weak form ที่มีเสียงหาย (elision) กละ/หรือเสียงเปลี่ยน (assimilation) ในภาษาไทยนั้น มันก็ไม่ได้หมายความว่า อยู่ดีๆ ราชบัณฑิตสถานจะยอมเปลี่ยนตัวสะกดไปตามนั้น อย่างกระทันหัน กว่าจะเปลี่ยนตัวสะกดไปได้ก็ต้องใช้เวลานานนับร้อยปีเช่นกัน  เว้นเสียแต่ว่าจะมีจอมพล ป. กลับชาติมาเกิด แล้วมาเป็นนายกอีก ดังนั้น โปรดหยุดแสดงความรักชาติในทางที่ผิดๆ และหยุด ทะเลาะกันได้แล้ว และโปรดเข้าใจว่า  ถ้าคนไทยพูดแบบ weak form แล้วสะกดเล่นๆ แบบ weak form ในกระทู้อินเตอร์เน็ต หรือในการ chat แล้วเขาไม่เอาไปเขียนจดหมายธุรกิจเรื่องสำคัญๆ มันก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกน่ะ ก็เหมือนๆกับที่ฝรั่งพูด weak form แต่ก็ไม่ได้เอาไปเขียน จดหมายถึงท่านทูตหรือรัฐมนตรี ที่ไหน นี่น่า เราเขียนเรื่องนี้ไว้หลายครั้งแล้ว แต่ก็มีคนตั้งกระทู้เรื่องภาษาไทยวิบัติเพราะคนไทยพูดไม่ชัดหรือสะกดเพี้ยนอยู่เรื่อยๆ   จริงๆ แล้ว ความกลัวคน (โง่ๆ) ว่าเอานี่แหละ ทำให้คนอ่านข่าวด่วนเร็วๆ แต่พยายามพูดชัดถ้อยชัดคำ ซึ่งมันเป็นการทำลายภาษาไทยต่างหากล่ะ เพราะว่า ภาษาทุกภาษา มี strong form กับ weak form ด้วยกันทั้งนั้น คนที่ชอบแสดงความรักชาติผิดๆ ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการเช่นนี้ จะทำให้คนไทยอีกเป็นจำนวนมาก ต้องหลงผิด จนกลายเป็นช่วยๆกันทำลายภาษาไทย จนภาษาไทยกลายเป็นภาษาประหลาดๆภาษาเดียวในโลก ที่ไม่มี weak form และถ้าคนชาติอื่นมาศึกษาประวัติรู้ว่าเป็นเพราะคนไทยกลัวโดน (คนที่เสแสร้งว่าเป็น) พลเมืองดีตำหนิเอาได้ และถ้าเป็นเช่นนี้จริงๆนะ ก็นับว่า พวกเราจะต้องขายหน้าชนชาติอื่นมากๆ ที่โง่อยากอวดว่าตัวเองเป็นพลเมืองดี จนผู้อื่นคล้อยตามและช่วยๆกันทำลายภาษาประจำชาติของตนเองเสียจนย่อยยับ อัปลักษณ์ผิดธรรมชาติ...!!! ตกลงเป็นอันว่า ใครทำลายภาษา และใครไม่รักชาติกันแน่....!!!??? แก้ไขเมื่อ 18 ก.ค. 51 07:08:27 แก้ไขเมื่อ 18 ก.ค. 51 06:59:24 แก้ไขเมื่อ 18 ก.ค. 51 06:54:31 จากคุณ : agelesstansy - [ วันเข้าพรรษา 06:37:16 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ที่พูดกันทั้งหมดนี่คือภาษาเขียนนี่คะ ตัวอย่างที่คุณ agelesstansy ยกมาและที่อธิบายมาทั้งหมดคือภาษาพูดนะคะ จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) - [ วันเข้าพรรษา 10:03:18 ]

ความคิดเห็นที่ 15 เห็นด้วยกับ คห.๗ - ๘ ที่จริงแล้วก็เคยเตือนน้องบางคน เรื่องการเขียนภาษาแชต เพราะเวลาไปใช้งานจริงมันจะติดตัวไปด้วย แต่เขากลับคิดว่าเราไปบ่นซะงั้น ผมว่า นักศึกษาเดี๋ยวนี้ หลายคนเขียนคำศัพท์ไม่ค่อยถูก และยิ่งด้วยความมักง่ายในการใช้ภาษาแชตด้วย เลยทำให้กลายเป็นสิ่งติดตัวไป . แก้ไขเมื่อ 18 ก.ค. 51 10:21:26 จากคุณ : HudchewMan - [ วันเข้าพรรษา 10:16:43 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เฮียแท่น จะ weak form หรือ elision อย่างไร คงไม่มีใครว่าหรอก รู้หรอกว่ามันเป็นธรรมชาติของภาษา หรือแม้แต่ภาษาแช๊ทอย่างว่ามาแล้ว มันมีที่ทางของมัน ประเด็นของความ "มักง่าย" ก็คือ คนที่เอาความง่ายเข้าว่าไว้เป็นที่ตั้ง อยากสะกดอย่างไรก็สะกด ไม่ได้สนใจหรือไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าที่ถูกมันเป็นอย่างไร แล้วก็ลากเอาความง่ายทุกกาลอากาศอย่างนี้มาเป็นสรณะ เราก็รู้จักกัน เฮียแท่นก็รู้ว่าผมไม่ใช่คนเรื่องมาก แต่เรื่องนี้ผมถือ จริงๆแล้วผมก็มีการงานอาชีพอย่างอื่น แต่โชคชะตามันชักนำมาให้ต้องเล่นกับถ้อยคำ ต้องอาศัยถ้อยคำหากินเป็นบางครั้ง ต้องเล่นบทเป็นช่างเรียงร้อยถ้อยคำ ผมชอบใช้คำภาษาอังกฤษว่า wordsmith มันได้ภาพดีถึงคนทื่ต้องนั่งเลือกสรรรูปแบบความวิจิตของภาษาเพื่อสื่อความคิดให้ได้ดีที่สุด เฮียแท่นก็ต้องทำเหมือนกันน่ะแหละ ว่าไปทำไมมี ถ้าเราหากินเป็นนักแปล มันก็คนเล่นกับคำเหมือนๆกันนั่นเอง ให้ผมใช้ถ้อยคำแบบวัยรุ่นแช๊ดในเน็ตอย่างที่ผมท้วงเขา ผมก็ใช้ได้ ให้ผมแต่งกวีนิพนธ์อย่างที่เฮียแท่นเห็น ผมก็ทำได้ ให้ผมแต่งเรียงความ เขียนบทความวิชาการ ผมก็ทำได้ ผมเล่นกับคำ ผมเลือกคำ ผมพยายามเลือกมันให้เหมาะกับกาละเทศะและบทบาทของมัน พยายามทำให้ดีทีสุดเท่าที่จะทำได้ ดังนั้นโปรดเข้าใจที่ผมโวย ผมไม่ได้โวยเพราะภาษาแอ๊บแบ๊ว per se แต่ผมโวยคนที่ใช้ภาษาแอ๊บแบ๊วเพราะทำอย่างอื่นไม่เป็นหรือขี้เกียจหรือไม่สนใจกาละเทศะ แล้วก็อ้างวิวัฒนาการ ไหนๆก็อ้างว่าตัวเองพยายามเป็นช่างเรียงคำ ก็ขอเลือกคำมาคำหนึ่งก็แล้วกัน "มักง่าย" เป็นคำที่ขอเลือกอีกครั้งหนึ่ง ภาษาไทยเป็นภาษาของมหากวีสุนทรภู่ ศรีปราชญ์ เป็นภาษาของเสถียรโกเศสและนาคะประทีป ของแสงทอง ของอังคาร กัลยาณพงศ์ ของเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ของจิรนันท์ พิตรปรีชา ของนักประพันธ์เช่นพนมเทียน ทมยันตี กฤษณา อโศกสิน และของท่านอื่นๆที่ใช้ภาษาไทยได้อย่างดีเยี่ยม คนที่รู้จักสิ่งเหล่านี้และใช้ถ้อยคำอย่างนี้เป็นหากท่านพอใจจะเลือกใช้ภาษาแอ๊บแบ๊ว ผมไม่ว่าสักคำเดียวเพราะผมเชื่อในวิจารณญาณของท่านว่าท่านมีเหตุผลของท่าน เพราะท่านรู้จักทางเลือกและชั่งน้ำหนักแล้วว่าต้องใช้อย่างนี้ แต่ใช้เพราะเอาง่ายเข้าว่าเนื่องจากไม่รู้อย่างอื่นและไม่ขวนขวายจะรู้ ไม่สนใจจะรู้ ไม่อยากจะรู้สิ่งที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของตัว ไม่เรียกว่า "มักง่าย" จะให้เรียกว่าอะไร? อย่างไรก็ตาม ถ้ารู้แล้วยังเลือกจะใช้ เขาเรียกว่าอะไร? เขาเรียกว่า "เอกลักษณ์ของเอกบุรุษ" ครับ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ วันเข้าพรรษา 10:18:16 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เรียนย้ำอีกที ผมไม่เห็นว่า หน้า และ น่า จะเป็นการลดรูป หรือเป็น weak form ตรงไหน ไม่เชื่อท่านลองออกเสียงทั้งสองคำดูครับ ออกเสียงเหมือนกัน ที่สงสัยคือมันไปอยู่ผิดที่ผิดทางได้อย่างไร และพบเห็นได้บ่อยมาก ราวกับว่าไม่ได้เรียนมา จากคุณ : กะหล่ำปลีลวกกินกับขนมจีนน้ำยา - [ วันเข้าพรรษา 11:41:28 ]

ความคิดเห็นที่ 18 คคห 12 กับ 13 ที่พูดถึง strong form กับ weak form ว่า ทุกภาษา มีแน่ๆ เป็นการชี้แจงเรื่องที่ว่า "อย่าไปเชื่อพลเมืองดีที่พยายามจูงจมูกคนว่า ให้ออกเสียอักขระชัดเจนทุกคำ" โดยยกตัวอย่างว่า ถ้าอ่านข่าวด่วน ก็ต้องอ่านแบบ weak form ไม่ใช่ stong form ไม่ต้องเสแสร้งพยายามพูดชัดทุกคำ แล้วก็โยงใยมาว่า การพูดเร็วๆ แล้วออกเสียงเป็นธรรมชาติ แบบ weak form ไม่ว่าจะเป็นในภาษาใดๆในโลก มันไม่ทำให้ภาษาวิบัติจนตัวสะกดของคำศัพท์เปลี่ยนไปอย่างแน่นอน และตัวสะกดแบบลดรูปที่ใช้ในอินเตอร์เน็ต ซึ่งแพร่หลายกันอย่างรวดเร็วนั้น น่าจะเกิดจากความที่คนไทย "เก็บกด" ว่าต้อง "ออกเสียงอักขระอย่างชัดเจนตลอดเวลา ซึ่งมันผิดธรรมชาติ"  ก็เลยสะกดสบายๆเวลาเขียนกระทู้บนอินเตอร์เน็ต หรือ chat กัน ซึ่งพฤติกรรมเช่นนี้ เราก็ขอรับรองได้เช่นกันว่า ไม่ทำให้ภาษาวิบัติจนราชบัณฑิตยอมเปลี่ยนตัวสะกดภาษาไทยไปเป็นสะกดภาษา chat อย่างแน่นอน เหมือนๆกับที่ dictionaries อังกฤษ-อังกฤษของฝรั่งก็ไม่เปลี่ยนตัวสะกด ไปเป็น สะกดให้ออกเสียงแบบ weak form อย่างแน่นอน ส่วนเรื่องตัวสะกด ไม่ว่าจะเป็นภาษาใดก็ตาม เราก็เห็นด้วยว่า ควรอยู่ในที่ของมัน เช่นคุยเรื่องไร้สาระกับเพื่อน หรือเขียนจดหมายราชการ ประเด็นที่พูดนี้ เราหมายถึง คนที่แสดงความรักชาติผิดๆ เพราะ "อยากได้ชื่อว่าเป็นพลเมืองดี" เช่น 1. ไอ้คนที่มันออกเสียง "ร" จนรัวผิดธรรมชาติ 2. ไอ้คนที่เที่ยวไปว่าเขาว่า "ออกเสียงอักขระไม่ชัดเจนเวลาพูดเร็วๆ" 3. ไอ้คนที่บอกว่า "สะกดภาษาไทยผิดๆ จะนำไปสู่ความวิบัติของภาษาไทย" 4. ไอ้คนที่พอเห็น คนใน 1.,2. และ 3. เสแสร้งเป็นพลเมืองดี ก็เลยเข้ามา join ด้วย (แบบไร้สติ) โดยการพูดว่า "ใช่ เห็นดัวย ไอ้คนพวกนี้ทำให้ภาษาวิบัติ" จริงๆแล้ว ไม่มีใครทำให้ภาษาวิบัติ ภาษามันอยู่ของมันดีๆ กว่าจะเปลี่ยนตัวสะกดไปมันใช้เวลาเป็นร้อยปี ส่วนคนจะออกเสียงเวลาพูดเร็วๆโดยการลดรูปมันก็เรื่องของเขา เป็นสิทธิส่วนบุคคล   นักการเมืองจะหาเสียง ก้อพูดช้าๆ ชัดๆ แต่เพื่อนพูดกับเพื่อน ถ้าจะพูดว่า "มหาลัย" มันไม่ผิดตรงไหน เราว่าพวกที่พยายามทำตนเป็นพลเมืองดี พูดในวิทยุ ทีวี และเปิดกระทู้ ตำหนิชาวบ้านว่า "ทำลายภาษา ไม่รักชาติ" พวกนี้ มีความคิดเหมือนแพะเหมือนแกะ ที่วิ่งตามไปกันเป็นฝูง ไม่รู้จักแยกแยะว่า แท้จริงแล้วควรพูดให้เข้าประเด็นต่างหาก ว่า "ให้ใช้ภาษาให้ถูกกาละเทศะ" นั่นก็คือภาษาระดับไหน ของกลุ่มไหน ซึ่งใช้ในสถานการณ์ไหน ก็ให้มันอยู่เป็นที่เป็นทางของมัน ถ้าจะตำหนิกันจริงๆ หรือรณรงค์กันจริงๆนะ ควรหาตัวอย่างของการเขียนที่เป็นทางการ เช่น "จดหมายราชการ" หรือข้อความที่เขียนเพื่อใช้งานอย่างเป็นทางการ ที่มีการสะกดว่า "มหาลัย" หรือ "ซอยยีบเก้า" เอามาตำหนิ และประจาน ให้คนดู มันจะดูสมเหตุผลมากกว่า แต่ที่ไหนได้ปัญหาที่แท้จริงแล้ว มันเป็นเรื่องที่คนไทยเขียนภาษาไทยอ่านไม่รู้เรื่องต่างหากล่ะ ยกตัวอย่างเช่นเอกสารที่เพิ่งช่วยเพื่อนเราแปลไปนะ (แปลไทยเป็นอังกฤษ)  ต้นฉบับภาษาไทยเขียนว่า "มิเตอร์ประธานรวมสับมิเตอร์(submeters)" นักแปลจะตีความเป็น "The main meter plus the submeters" ก็เลยกลายเป็นแปลผิด (เพราะความผิดของคนเขียนภาษาไทย) พอแปลไทยเป็นไทย (แปลโดยคนที่รู้ความวิบัติของภาษาไทยในหน่วยงานนั้น) ก็ออกมาได้ใจความว่า "มิเตอร์ประธานรวมสับมิเตอร์(submeters)" แปลไทยเป็นไทยได้ความว่า "เอาค่าที่อ่านได้จากมิเตอร์ประธาณบวกกับค่าที่อ่านได้จากสับมิเตอร์(submeters)" นักแปลก็เลยแปลถูกเป็น "The readings from the main meter and the submeters shall be added up" คนในหน่วยงานนั้นเขียนภาษาไทยบ้าๆแบบนี้ ถ้าส่งเอกสารไปแปลนอกหน่วยงาน ใครมันจะอ่านรู้เรื่อง  แปลมาผิดระบบที่ราคาแพง อาจพังพินาศไปเลย เพราะการใช้งานที่ผิด กรณีนี้ต่างหากล่ะ ที่เป็นการทำลายภาษา ให้มันวิบัติ และสร้างความเดือดร้อนให้แก่ประเทศชาติ มีใครบ้างไหม ที่จะคิดเอง ได้อย่างสร้างสรรค์ ว่านี่เป็นกรณีของการทำภาษาให้วิบัติอย่างแท้จริง แทนที่จะไปพูดตามขี้ปากชาวบ้าน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วพวกเราก็จะได้ไม่เห็นกระทู้น่าเบื่อเดิมๆ ที่เขียนโดยพวกอยากได้ความรัก ความดีความชอบ โดยการพยายามเป็นพลเมืองดี อีกต่อไป แก้ไขเมื่อ 22 ก.ค. 51 18:24:41 แก้ไขเมื่อ 18 ก.ค. 51 15:13:38 แก้ไขเมื่อ 18 ก.ค. 51 15:10:36 จากคุณ : agelesstansy - [ วันเข้าพรรษา 14:56:10 ]

ความคิดเห็นที่ 19 อย่าประมาทไปค่ะว่าภาษานี้จะไม่ลุกลามเข้าไปถึงในห้องเรียน เคยเห็นรุ่นน้องเขียนรายงานว่า "10 สถานที่ท่องเที่ยวหน้าสนใจของไทย" จริงๆ นะคะ แล้วในเล่มรายงานนั้นก็เต็มไปด้วยคำผิดมากมาย ผิดแบบที่คิดว่า ไม่น่าจะผิดมันก็ยังผิดอีก บางคนใช้ภาษาวิบัติจนเคยตัว จนไม่รู้ว่าที่ถูกเขียนยังไงแล้วค่ะ เดี๋ยวนี้เด็กไทยใช้ภาษาไทยกันไม่ค่อยจะถูกแล้วค่ะ เพราะอ่านหนังสือน้อย เล่นแชทมากกว่า จากคุณ : PJ-Studio - [ วันเข้าพรรษา 15:03:21 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ภาษา chat ที่สะกดเพื่ยนๆไม่ได้มีอิทธิพลต่อการเขียนภาษาไทยอย่างเป็นทางการ การสะกดผิดแบบ "10 สถานที่ท่องเที่ยวหน้าสนใจของไทย" ที่ยกมาใน คคห 19 เป็นปัญหาเฉพาะรายบุคคล ฝรั่งที่สะกดผิดแบบนี้ก็มี คนที่สะกดผิดแบบนี้ "ไม่ชอบอ่านหนังสือ ไม่ให้ความสนใจกับข่าวสาร หรือเรื่องอะไรรอบๆตัว" และ/หรือบางที เข้าข่ายอาการป่วย แบบที่เรียกว่า word-blindness การที่คนไม่กี่คนป่วย ไม่สามารถนำมาสรุปได้ว่า ภาษา chat จะทำให้คนไทย 60 ล้านคนป่วยเป็น word-blindness กันหมด และมันไม่สามารถนำมาสรุปได้ว่า ภาษา chat จะสร้างความวิบัติให้กับภาษาไทย หรืออีกนัยหนึ่ง มันไม่สามารถสรุปได้ว่า เด็กทุกคน ที่มีสติสมประกอบ เมื่อเรียนจบมาแล้วจะเขียนหนังสือราชการหรือเขียนเอกสารที่เป็นทางการมากๆ ว่า "10 สถานที่ท่องเที่ยวหน้าสนใจของไทย" คนพวกนี้ ถ้าไม่เรียนรู้ และแยกแยะให้ดีๆ ว่า ภาษาระดับไหน ก็ควรอยู่ในที่ของมัน ก็จะไม่ได้งานดีๆไปทำ ถ้ามีคนพวกนี้อยู่บ้าง ก็ไม่น่าเชื่อว่า มันจะเป็นโรคติดต่อจนคนไทยทั้งประเทศเพื้ยนกันไปตามๆหมด จากคุณ : agelesstansy - [ วันเข้าพรรษา 15:29:02 ]

ความคิดเห็นที่ 21 คุณagelesstansy ได้มีโอกาสแวะเวียนไปอ่านตามนิยายออนไลน์ใน Dek-D ไหมคะ แนะนำว่าลองไปดู เรารู้สึกว่ามันจะสะท้อนบางอย่างเกี่ยวกับสถานการณ์ทางภาษา หรืออ่านนิตยสารบันเทิง ก็พบคำที่มันกลายเป็นคำนิยมไปแล้ว ไม่ใช่คนไทยอ่านน้อยนะคะ แต่ในสื่อก็ยังใช้ภาษาได้ไม่ถูกต้อง อีกประการคือคนไทยสามารถเข้าถึงอินเตอร์เนทได้มากขึ้น ที่นี่แหละค่ะที่คนใช้เวลาในการอ่านมากกว่าหนังสือ หรือลองไปคุยกับอาจารย์ในสถานศึกษานะคะ ว่าสถานการณ์ในห้องเรียนเป็นอย่างไร เวลาเด็กส่งเรียงความใช้ภาษาแบบไหน เจอประกาศแบบเขียนให้คนมาช่วยกันเขียนกอซซิปลงหนังสือรุ่นที่คณะหนึ่ง ของจุฬาฯ "ครือว่าหยักห้ายทู้กโคนมาช่วยๆกานเขียนอ่า จาอารายก้อด้ายที่อยากจาพรูด ขำๆกานนะ" เป็นไปได้ว่าเป็นระดับปีสามหรือปีสี่....อันนี้เรียกว่าวิกฤตไหมคะ เข้าใจว่าอยากให้เหมือนภาษาพูด...แต่พูดแบบนี้มันคือคนพูดยานคาง กว่าจะอ่านรู้เรื่องนี่แปลแล้วแปลอีกเลยค่ะ เห็นด้วยว่ามันน่ารำคาญพวกที่ออกเสียงแบบกระแทก ร ล เคยเป็นหมอภาษาอยู่ก็รู้ว่าพวกนี้มันอักเสบขั้นรุนแรง กว่ารายการพ่อเราจะหาพิธีกรสักคนนี่ลำบากค่ะ สอบใบผู้ประกาศมากันได้อย่างไร คำว่ามหาวิทยาลัย -- มหา วิทยา อาลัย สถานศึกษาขนาดใหญ่ที่รวมวิทยาลัย (ที่อยู่ของวิชาการ=คณะ) มหาลัย = ที่อยู่ใหญ่ๆ หมาลัย = ที่อยู่ของหมา เรื่องแบบนี้เถียงกันไปก็ไม่ช่วยอะไรจริงๆเสียเวลาเปล่า ไว้ผลออกมาอย่างไรก็คงจะรู้กันเอง แต่เราไม่อยากเห็นลูกและหลานตัวเองเขียนการ์ดบอกว่า "คุนอาคัฟ สุกสันวานเกิดคัฟ มีฟามสุกมั่กๆนาคัฟ" จากคุณ : เกาลัด (kurika) - [ วันเข้าพรรษา 15:53:58 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ที่ว่าห้าสิบปีก่อน คำบางคำเขียนไม่เหมือนปัจจุบัน ใช่ยุคภาษาวิบัติหรือเปล่าครับ ที่เป็นเรื่องของผู้นำที่ต้องการให้สะกดคำตรงมาตราเหมือนภาษาลาว หรือยังไง ผมก็ไม่แน่ใจนะ แต่การไปนำคำเหล่านั้นมาพูดอ้างเพื่อเป็นตัวอย่างว่า คำในปัจจุบันก็ใช่ว่าจะเขียนเหมือนสมัยก่อน มีการเปลี่ยนแปลงมาแล้ว ฯลฯ ผมว่าเป็นคำพูดอ้างที่ทึกทักเอาแบบฟังไม่ได้ศัพท์จับมากระเดียดนะ แล้วก็ เป็นคนละประเด็นกับเรื่องการใช้ภาษาเขียนแบบผิด ๆ ของสมัยนิยมด้วย ขอร่วมอนุรัาษ์การใช้ภาษาที่ถูกต้องด้วยคนครับ ใช้ภาษาได้ถูกก็มองว่าน่ารักได้น้า :o) จากคุณ : พลายแป้ง - [ วันเข้าพรรษา 18:04:08 A:128.178.254.104 X: TicketID:120371 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ตอบ คคห 21 เรื่อง "นิยายออนไลน์ใน Dek-D" เด็กเขียนให้พวกเด็กๆด้วยกันอ่านสนุกๆ อย่าไปคิดอะไรมาก แต่เด็กพวกนี้ พอโตมา ถ้าทำงานตำแหน่งสูงๆ ไม่กล้าเขียนแบบนั้น "ในเอกสารที่เป็นทางการ" อย่างแน่นอน เรือ่ง กอซซิปลงหนังสือรุ่นที่คณะหนึ่ง ของจุฬาฯ "ครือว่าหยักห้ายทู้กโคนมาช่วยๆกานเขียนอ่า จาอารายก้อด้ายที่อยากจาพรูด ขำๆกานนะ"  เป็นไปได้ว่าเป็นระดับปีสามหรือปีสี่....อันนี้เรียกว่าวิกฤตไหมคะ ไม่วิกฤต ไม่ต้องกังวล พวกเขาต้องการสื่อกันเล่นๆระหว่างเพื่อนฝูง ให้มันมีสีสัน ไม่ serious แล้วก็ในทำนองเดียวกัน ก็เป็นจริงอีกด้วยว่า เมื่อนักศึกษาพวกนี้จบไป แล้วเป็นนักวิชาการ หรือเป็นรัฐมนตรี ก็คงไม่มีใครสะกดแบบนี้ เวลาเขียนรายงานทางด้านวิชาการ หรือเขียนสุนทรพจน์อย่างแน่นอน คนพวกนี้สนุกของเขา ในกลุ่มของเขา ไม่มีอะไรที่ต้องกังวล ไม่มีใครจำเป็นต้องตั้งตัวเป็นตำรวจโลกทางด้านภาษา แก้ไขเมื่อ 18 ก.ค. 51 18:27:44 แก้ไขเมื่อ 18 ก.ค. 51 18:24:54 แก้ไขเมื่อ 18 ก.ค. 51 18:24:31 จากคุณ : agelesstansy - [ วันเข้าพรรษา 18:24:00 ]

ความคิดเห็นที่ 24 สรุปว่ากระทู้ผมโดนเบี่ยงประเด็นใช่มั้ยเนี่ย? ประเด็นคือต้องการมาบ่นสองคำ คือ หน้า กับ น่า แค่นั้นเองครับ เรื่องอื่นถือว่าเป็นผลพลอยได้ละกันนะครับ จากคุณ : กะหล่ำปลีลวกกินกับขนมจีนน้ำยา - [ วันเข้าพรรษา 19:44:30 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ระดับเด้กเล้กๆ ที่เขียนผิด มีมากระดับนึงจริงๆนะครับ ไม่คิดว่า เด็กๆตั้งใจทำให้มันผิดหรอก แต่เพราะไม่รู้มากกว่า อาจจะเพราะลืมว่า คำที่ถูกต้อง เป็นเช่นไร เป็นไปได้ว่า อ่านน้อยเกินไป ถ้าคำมันจะเพี้ยน เปลี่ยนแปลง แต่เข้าใจกันทั้งสังคม มันไม่มีอะไรเสียหายน่ากังวลหรอก ที่น่ากลัวสำหรับผมในอนาคต คือ ต่างคน ต่างเพี้ยน  ไม่รู้ว่าอันที่ถูกต้องมันคืออะไร กลายเป็นว่า ไม่สามารถสื่อสารให้ตรงกันได้โดยง่าย อาจจะเข้าใจผิดเพี้ยน คล้ายๆกับ คำที่ใช้ในกลุ่ม เช่น พวก ฉายา หรือ คำบางคำที่ใช้เฉพาะในกลุ่ม แต่อนาคตอาจเป็นคำที่มีความหมายทั่วๆไป แต่ใช้กันผิดๆหลายแบบ แล้วมันอาจจะเกิดการสื่อสารไม่รู้เรื่อง เพราะเข้าใจคลาดเคลื่อน ผมไม่แน่ใจนัก แต่คิดว่า คงไม่มีเหตุการณ์แบบนี้ในประวัติศาสตร์ เออ จะว่าไป ตัวอย่างที่ยกมา มันคล้ายๆ สำเนียง และ ภาษาถิ่น ที่แตกต่างระหว่างกัน เพียงแต่ มันอาจจะมีมากมายกว่า เท่านั้น จากคุณ : Loss of Divinity - [ 19 ก.ค. 51 07:57:44 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ไม่ได้มีการเบี่ยงประเด็นแต่อย่างใด ถึง จขกท จะตัดพ้อต่อว่าเรื่อง "หน้า" กับ "น่า" ก็ตาม แต่ที่เราพูดถึงการที่คนพูดเร็วกับพูดช้า สะกดแบบภาษา chat มีความตั้งใจก็คือว่า บางทีคนที่ทำตัวเป็น "พลเมืองดี" พยายามอนุรักษ์ภาษาไทยนั้น พูดไปทำไป โดยไม่ได้คิดอะไรสร้างสรรค์ใหม่ๆ ไม่ได้วิเคราะห์ และสังเคราะห์ให้ลึกๆ ในหลายๆมุมมอง จนบางที กลายเป็นมีอิทธิพลต่อ โฆษก DJ คนอ่านข่าว ให้กลายเป็นพวกเขาทำลายภาษาไป โดยการพูดเร็วๆ แต่ออกเสียงอักขระให้ชัดถ้อยชัดคำ ซึ่งมัน "ผิดธรรมชาติของภาษา" และกลายเป็นผลิตคนพูดเสียง "ร" รัวจนผิดธรรมชาติของภาษาไทย ส่วนเรื่องความกังวลว่ามีคนสับสนกับการสะกดคำว่า "น่า" และ "หน้า" นั้น หรือเรื่องความกังวลที่มีคนเขียนว่า ""10 สถานที่ท่องเที่ยวหน้าสนใจของไทย" หรือเขียนว่า "ครือว่าหยักห้ายทู้กโคนมาช่วยๆกานเขียนอ่า จาอารายก้อด้ายที่อยากจาพรูด ขำๆกานนะ" มันเข้าข่าวว่า 1. อ่านหนังสือไม่พอ 2. เป็นอาการของ word-blindness 3. เขียนสนุกๆเล่นๆกับเพื่อนๆ ซึ่งอาการแบบนี้ ประชากรในประเทศอื่นๆ ก็มี แต่คนที่ใช้ภาษาผิดๆแบบนี้ ไม่มีทางที่จะมีอิทธิพลจนถีงกับภาษาของแต่ละประเทศต้องเพี้ยนไปตามคนกลุ่มน้อยเช่นนี้ การแสดงตนเป็นพลเมืองดี มันไม่จำเป็น แถมบางครั้งกลายเป็นอันตรายเสียอีก เนื่องจากคนอ่านบางคน มีสมองคิดได้แค่แพะกับแกะ คือวิ่งตามกันไปเป็นฝูงๆ จนตอนนี้ พวกพลเมืองดึ ได้ทำลายภาษาไทยไปกันจนประสบความสำเร็จเสียแล้ว เนื่องจากว่า นักอ่านข่าวออกเสียง "ร" รัวผิดธรรมชาติของภาษาไทย  และอ่านข่าวด่วนเร็วๆ แบบชัดถ้อยชัดคำ โดยไม่ใช้ weak form ซึ่งเป็นการทำลายธรรมชาติของภาษา ดังนั้น ควรตระหนักว่า คนที่พูด มีเสียงหาย (elision) มีเสียงเปลี่ยน (assimilation) หรือสะกดแบบ chat หรือสะกดผิดจริงๆ เพราะไม่รู้ ไม่มีทางที่จะมีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้ภาษาของประเทศชาติต้องเปลี่ยนตัวสะกด จะเพี้ยนไปหมดได้ ดังนั้น จึงควรเลิกกังวลได้แล้ว แก้ไขเมื่อ 19 ก.ค. 51 13:42:02 จากคุณ : agelesstansy - [ 19 ก.ค. 51 13:39:55 ]

ความคิดเห็นที่ 27 "ทุกทีที่เรานั่งแท็กซี่ แล้วได้ยินเสียงโฆษกหรือDJ รัวเสียง "ร" เพราะอยากเป็นพลเมืองดี อยากเป็นคนรักชาติด้วยวิธีการโง่ๆแบบนี้นะ (คือคิดเองไม่เป็น แต่ตามเขาไปเป็นฝูงๆเหมือนแพะ เหมือนแกะ)" ^ ^ ^ รุนแรงจัง จากคุณ : เจ๊นอม...พาเม้าท์ - [ 19 ก.ค. 51 19:54:02 ]

ความคิดเห็นที่ 28 น่าจะผิดส่วนหนึ่งที่หลักสูตรภาษาไทยของกระทรวงศึกษาฯ ค่ะ เพราะเดี๋ยวนี้เด็กๆ เรียนภาษาไทยจากการจำเป็นคำๆ เอาค่ะ ไม่เน้นการแจกลูกคำเพื่อการสะกดอย่างแต่ก่อน (ข้อมูลจากคุณแม่ของเพื่อนซึ่งเป็นคุณครูสอนเด็กอนุบาล) แถมในรายวิชาอื่นๆ เช่น คณิตศาสตร์ ถ้าเด็กสามารถบวกลบคูณหารเกินกว่าหลักสูตร ครูผู้สอนก็จะถูกผู้ประเมิน ตำหนิว่ากดดันหรือบีบคั้นเด็กมากเกินไป ทั้งๆ ที่เด็กอยากเรียนรู้เองด้วย เจริญค่ะ.. แก้ไขเมื่อ 20 ก.ค. 51 19:28:39 จากคุณ : La_Bohemienne - [ 20 ก.ค. 51 19:28:06 ]

ความคิดเห็นที่ 29 สำหรับตัวเอง ที่กลัวเรื่องภาษาวิบัติ ก็เห็นจะเป็น การสะกดด้วยความไม่รู้ และไม่คิดจะใช้หลักภาษาที่ถูกต้อง แล้วจะกลายเป็น ภาษาไทยได้นิดหน่อย ภาษาอังกฤษไม่ได้เลย คำยากๆ ไม่เท่าไหร่ แต่คำ ง่ายๆ เช่น มันต้องทามจัย แบบนี้ เกินเลยมากไปจริงๆ คำย่อ กับ ภาษาวิบัติเป็นคนละกรณีกันค่ะ คำย่อ ก็เหมือนกับการใช้หลักชวเลข เป็นการใช้ภาษาในอีกลักษณะหนึ่ง เป็นการใช้ที่เกิดจากหลักการที่เป็นข้อกำหนดไว้ มิใช่ที่ใช้กันเพราะตามๆ กัน แบบไม่เข้าใจ และให้โก้เก๋ เข้าไว้ จากคุณ : หน้าใหม่ - [ 22 ก.ค. 51 14:12:59 A:58.136.95.112 X: ]

ความคิดเห็นที่ 30 คำว่า "หน้า" และ "น่า" ที่เจอบ่อยมักเป็นคนที่พิมพ์คำอื่นถูกต้อง ไม่ใช่พิมพ์ภาษาแชท "วันนี้เจอคนน่าตาหน้ารัก แต่ถ่มน้ำลายลงพื้น หน้าเกียจมากๆ" จากคุณ : vilandra - [ 22 ก.ค. 51 16:07:38 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ตอบให้ตรงเฉพาะประเด็นที่ผู้ตั้งกระทู้ว่ามา คำว่า "น่า" ใน ที่ใช้อย่าง "น่ารัก" "น่ารังเกียจ" "น่าเปนห่วง" จริงๆ แล้ว เปนคำเฉพาะถิ่นที่ใช้ผิดเพี้ยน ภาษาท้องถิ่นภาคกลาง โดยเฉพาะภาษากรุงเทพ อักษรต่ำที่ใช้วรรณยุกต์เอก กับอักษรสูง (หรืออักษรที่ใช้ ห นำ) วรรณยุกต์โท ออกเสียงเหมือนกัน ทำให้แยกแยะไม่ได้ ว่าคำใดจะต้องใช้ไม้เอก คำใดใช้ไม้โท แต่ภาษาไทยโดยรวมในท้องถิ่นอื่น ตลอดจนภาษาไทที่พูดกันนอกประเทศไทย สองเสียงนี้จะต่างกัน คำที่ใช้เปนคำขยาย วางไว้ข้างหน้ากริยานั้น ในภาษาไทยส่วนใหญ่ ออกเสียง "หน้า" ส่วนคำที่ออกเสียง "น่า" นั้นใช้วางเสริมฅวามท้ายประโยค ในภาษาภาคกลาง ก็ควรจะออกเสียงเช่นนั้นด้วย แต่เนื่องจากแยกแยะเสียงไม่ได้ จึ่งทำให้เขียน "หน้า" เปน "น่า" ไป ปัญหาเกิดเมื่อเราถูกบังคับให้เรียนภาษาไทย โดยยึดหลักการเขียนจากภาษาที่บกพร่องด้านเสียงอย่างภาษากรุงเทพ ถึงจะจับให้นั่งผันเสียงวรรณยุกต์ห้าเสียงแบบกรุงเทพตั้งแต่เด็ก เสียงวรรณยุกต์หกเจ็ดเสียงอย่างที่พูดกันที่บ้านไม่ได้เรียน แต่พอมาใช้ภาษากันจริงๆ มันก็ย่อมมีแนวโน้มอย่างมากที่จะหลุดเขียนออกไป ตามอย่างที่ตัวเองได้พูดได้ฟังมา ไม่ต้องแปลกใจถ้ามีใครเขียนวรรณยุกต์ "ผิด" อยู่ มันมีมานานแล้ว และยังจะมีต่อไปอีกนาน ตราบเท่าที่ยังมีการบังคับเรียนภาษากรุงเทพอยู่ จากคุณ : นู๋เองง่ะ - [ 27 ก.ค. 51 13:28:42 ]