ความคิดเห็นที่ 1 คิดว่าน่าจะ scan กันเอง เพราะบุคลากรเองก็มี ประหยัดค่าใช้จ่ายไปเยอะ ค่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็เสร็จ ข้อแนะนำ คือ ถ้าหน้าไหนเป็นตัวหนังสือล้วนๆ ไม่มีสกรีน ไม่มีรูปภาพ ควรสแกนเป็นแบบ bitmap เพราะจะทำให้ได้ไฟล์ขนาดเล็ก หรือถ้ารูปเป็นลายเส้นธรรมดาก็ใช้เป็น bitmap ได้เช่นกัน ที่เคยเห็นส่วนมากเขาจะสแกนเป็น gray scale ทั้งๆ ที่มีแต่ตัวหนังสือล้วนๆ ซึ่งไฟล์แบบ gray scale กับ bitmap ขนาดไฟล์จะต่างกันหลายเท่า ส่วนความละเอียดก็ใช้สัก 300 dpi ก็พอ จากคุณ : udom_su - [ วันเข้าพรรษา 22:07:30 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เราใช้ scanner ค่อนข้างชำนาญ เลยพอจะแนะนำได้ว่า scanners มี 2 ประเภทคือแบบ flatbed ที่เปิดฝาแล้ววางเอกสาร scan ทีละแผ่น  และ อีกประเภทก็คือแบบ sheetfed ที่วางเอกสารทีหนึ่งหลายๆแผ่นแล้วเครื่อง scanner ก็จะดูดเข้าไปเหมือนกับ printer นั่นหละ scanner ชนิดนี้ scan ได้ทีละหลายสิบหน้า หรืออาจทีหนึ่งเป็นร้อยๆหน้าก็ได้ ขึ้นอยู่กับรุ่นของมัน sheetfed scanner ทำงานได้รวดเร็วกว่านับเป็นสิบเท่าได้เลย หากแต่ว่า "ต้องฉีกหนังสือ" จึงจะ scan ได้ ในขณะที่ flatbed scanner ถึงจะไม่ต้องฉีกหนังสือ แต่มันก็ scan ได้แค่ manual เล่มบางๆโดยไม่ฉีกหนังสือ แต่ถ้าเป็นนิยายเล่มใหญ่ๆ มันก็ scan ไม่ได้เหมือนเครื่องถ่ายเอกสารอยู่ดี เนื่องจากว่า มันไม่มีมุมรับสัญญาณภาพมากเท่ากับเครื่องถ่ายเอกสาร  ถ้า scan หนังสือเล่มหนาๆ จึงต้องฉีกหนังสืออยู่ดีนั่นแหละ นอกจากนี้แล้วข้อด้อยของมันก็คือว่า "มันช้ามากๆ" แต่ในขณะเดียวกันก็มี scanner ที่เป็นได้ทั้ง flatbed scanner และ sheetfed scanner อยู่ในตัวเดียวกัน มือโปรที่ scan หนังสือทั้งที่มีและไม่มีลิขสิทธิ์ เป็นจำนวนมาก (นับพันๆเล่ม)  เพื่อเอาไปไล่แจกฟรีให้คน download ไปอ่านกันนั้นส่วนใหญ่จะ scan และ save ข้อมูลไว้เป็น *.pdf file เนื่องจากหา software มาอ่านมันได้ง่ายที่สุด  และ OCR (แปลงจาก image file ให้เป็น text file) ได้ง่ายที่สุด software ที่มีขีดความสามารถสูงมากๆ ที่ใช้ scan ก็คือ Adobe Acrobat Professional รู้สึกโดยทั่วไปตอนนี้เขาจะใช้กัน version 7 หรือ 8 นี่หละ ในกรณีที่เป็นเอกสารที่มีตัวหนังสือหน้าเดียว software ตัวอื่นๆก็ทำได้ดีพอใช้ได้ แต่ถ้าเป็นเอกสารที่มีตัวหนังสือ 2 หน้า หรือกรณีที่เป็นหน้าที่ฉีกจากหนังสือเป็นเล่ม ที่มีตัวหนังสือ 2 หน้า Adobe Acrobat Professional มี function พิเศษที่จะ scan หน้าคี่รวดเดียว แล้วพลิกกองเอกสาร แล้ว scan หน้าคู่ จากนั้น โปรแกรม มันจะจัดเรียงหน้าให้อย่างถูกต้องใน file โดยอัตโนมัติ *.pdf files ส่วนใหญ่จะ zip หรือบีบข้อมูลไปก็ไม่มีประโยชน์นัก เนื่องจากว่ามันเล็กอยู่แล้ว (ถ้าไม่เป็นเอกสารที่เป็นสีนะ)  แต่ถ้าจะประหยัดพื้นที่จัดเก็บ ก็ต้อง OCR มันคือ แปลงจาก image ให้เป็น text file ในกรณีนี้เราจะบีบ text files ให้เล็กลงได้ด้วยโปรแกรม WinRaR software ที่ใช้ OCR ที่มีขีดความสามารถสูงสำหรับแปลง *.pdf file ให้เป็น text file ก็คือ PDF Converter Professional มันมีความแม่นยำสูงมากๆ แต่มัน convert ได้แต่ file ภาษาอังกฤษ จริงๆแล้ว OCR ภาษาไทยก็มี แต่ไม่แนะนำให้ใช้เนื่องจากว่า มันมีเปอร์เซ็นต์การผิดพลาดสูงมากๆ ต้องมาแก้ตัวสะกดกันยุ่งยากพอสมควร สรุปแล้ว เพื่อความไม่เสี่ยง และเพื่อลดเวลาในการทำงาน ก็ควร scan แล้ว save เป็น *.pdf files ให้หมด แต่ถ้าใครต้องการ files พวกนั้นไป edit (ตรวจแก้ ดัดแปลงแก้ไข) จึงค่อยคิดที่จะมา OCR มัน เป็น jobๆ ไป ในกรณีที่คุณมีเอกสารที่มีสีสวยงาม และต้องการเก็บความสวยงามและความละเอียด (resolution) สูงสุดเอาไว้ ขนาด file จะใหญ่มากๆ ทำให้กินเนื้อที่จัดเก็บ  ในกรณีที่สุดโต่งแบบนี้ เราจะใช้ software ในตระกูล deja vu เนื่องจากมีขีดความสามารถสูงสุดสำหรับงานนี้โดยเฉพาะ (แต่โดยทั่วไปแล้วก็ไม่ค่อยจะจำเป็นนัก แค่เก็บเป็น  *.pdf files ก็เหลือกินแล้ว) sheetfed scanner ที่เรามีอยู่ขณะนี้  ถ้าฉีกหนังสือ 300 หน้ามา scan จะใช้เวลา scan จริงๆ (ไม่นับเวลาฉีกหนังสือ) ก็คงไม่ถึงครึ่งชั่วโมง  ซึ่งความเร็วน่าจะนาทีละเกิน 10 แผ่น (ขึ้นอยู่กับขนาดของเอกสาร และขึ้นอยู่กับว่าเป็นสีหรือขาวดำ) ซึ่งเร็วกว่า scanner ตัวที่คุณกำลังจะซื้อหลายเท่าเลยหละ ตกลงคุณ จขกท จะจ้างเรา scan ให้ไหมล่ะ เผอิญเราเป็นนักแปลที่กำลังตกงานพอดี ...เปลี่ยนมาเป็นรับจ้าง scan เอกสารก้อดีเหมือนกันนิ...555+++.... ถ้าได้ค่าจ้างดีๆ เราจะไปซื้อ scanner ตัวที่เร็วกว่านี้อีกหลายเท่ามาให้บริการคุณเลยหละ  แล้วเผลอๆคุณมีงานแปลก้อส่งมาให้เราทำบ้างก็ได้นะ....อิๆๆๆๆ..... แก้ไขเมื่อ 19 ก.ค. 51 00:30:05 จากคุณ : agelesstansy - [ 19 ก.ค. 51 00:24:52 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ในการ handle archive ขนาดใหญ่เช่นนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีระบบ backup ที่ปลอดภัยสูงสุด การจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ใน hard disk ลูกเดียวมันไม่ปลอดภัย จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง มีการเก็บสำรองข้อมูลเอาไว้ น่าจะเก็บสำรองเอาไว้ 2 ชั้นนะ คือ 1. archive ที่เป็น backup ชุดแรก จัดเก็บไว้บน hard disk ความจุสูง อีกตัวหนึ่ง ที่ใส่กล่องต่อสาย USB 2. archive ที่เป็น backup ชุดที่สอง จัดเก็บแบบ online โดยเช่าพื้นที่ซึ่งจะ upload files ขึ้นไปจัดเก็บเอาไว้ได้เป็นจำนวนมาก (บางแห่งมีให้บริการพื้นที่จัดเก็บมากถึง 500 GB) โดยใช้ ADSL Internet ที่มีความเร็วสูงมากๆ backup ชุดแรก (บน hard disk อีกลูกหนึ่ง) จะกู้สถานการณ์ได้ในกรณีที่ระบบคอมพิวเตอร์พังหรือ hard disk ตัวแรกพัง backup ชุดที่สอง (แบบ online)  จะช่วยกู้สถานการณ์ได้ในกรณีที่มีอุบัติเหตุห้องเก็บคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยถูกโจรกรรมหรือถูกไฟไหม้ ทั้งหมดนี้ จะให้บริการและให้คำปรึกษาได้ หากว่าจ้างให้เราเป็นผู้รับเหมานะ อิๆๆๆ....... แก้ไขเมื่อ 19 ก.ค. 51 00:52:19 จากคุณ : agelesstansy - [ 19 ก.ค. 51 00:48:35 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เอ... เมื่อไม่นานมานัก ผมเห็นข่าวของห้องสมุดนี่นึงครับ จำไม่ได้ว่าที่ไหน เค้าคิดเครื่องแสกนหนังสือ โดยไม่ทำให้หนังสือเสีย หน้าตามันจะเป็นรูปหน้าจั่วอ่ะคับ พอวางหนังสือลงไปมันก็จะเข้ามุมพอดี ไม่ต้องแบะ ไม่ต้องกด ของไทยเนี่ยแหล่ะครับ ถ้าไงลองหาข้อมูลดูนะคับ เพิ่มเติมนะครับ software ocr ของไทยมีชื่อว่าอ่านไทย ของเนคเทคครับ ถ้าเอกสารสะอาด ไม่เหลือง หมึกคม ก็แปลงเป็น text ได้โอเคนะครับ ผมเคยลักไก่ใช้สมัยเรียน เวลาพิมพ์รายงานไม่ทัน จากคุณ : เซียงหยาง (xiangyang) - [ 19 ก.ค. 51 06:05:27 ]

ความคิดเห็นที่ 5 scanner ที่ว่า รูปหน้าจั่ว ถ้ามันพลิกหน้าหนังสือได้เองเร็วๆ ก็คงจะดีมากๆ แต่ถ้าให้เอามือคนพลิก มันก็คงดีแค่ไม่ต้องฉีกหนังสือ แต่คง scan ได้ไม่เร็วนัก ทีแรกเราหัดใช้ scanner เพราะต้องแปล manuals การใช้งานอุปกรณ์ ที่ต้องมีการสอดแทรกรูปภาพ  พอใช้ชำนาญแล้ว ต่อมาเมื่อใช้จอ LCD สบายตาก็กลายเป็นอยากอ่าน ebooks มากกว่าอ่านหนังสือเป็นเล่มๆ เพราะมันสะดวกดี เพราะถ้าติดศัพท์ก็เปิด dictionaries ที่เป็น software บนคอมฯ หรือเปิด online dictionaries ได้ง่าย (เพราะส่วนใหญ่เราอ่านแต่หนังสือภาษาอังกฤษ และใช้ ADSL Internet แล้ว online อยู่ตลอดเวลา) อีกเหตุผลหนึ่งที่ต้อง scan หนังสือ นั่นก็เพราะว่า หนังสือเก่าๆเราหลายเล่มหน้ามันกำลังจะเหลืองไปหมด ...เราก้อเลยมีโครงการใหญ่ที่จะฉีก และ scan หนังสือภาษาอังกฤษของเราทุกเล่มเก็บไว้เป็น files อย่างปลอดภัย ...แต่... แต่เรื่องตลก ก็คือว่า พอฉีกหนังสือไปได้แค่ 2-3 เล่ม เผอิญเราท่องเวปไป แบบเล่นซอกแซ่ก แล้วเรียนรู้วิธี download หนังสือภาษาอังกฤษของฟรีได้เพียบเลย เลย downloaded ebooks มาได้ตรงกับหนังสือของตัวเอง ก็เลยหนังสือของตัวเองรอดพ้นจากการโดนฉีกไปเป็นจำนวนมากเลยหละ เราว่า ocr ภาษาไทยน่ะ ถึงจะเก่งยังไง มันยังต้องแก้ตัวสะกดอยู่มากพอสมควร สู้ของภาษาอังกฤษไม่ได้ ของภาษาอังกฤษ ถ้าต้นฉบับชัด หน้าไม่เหลือง เปอร์เซ็นต์ความถูกต้องสูงมากๆ เกือบ 100% แน่ะ แก้ไขเมื่อ 19 ก.ค. 51 12:44:54 จากคุณ : agelesstansy - [ 19 ก.ค. 51 12:42:46 ]

ความคิดเห็นที่ 6 scanner รุ่นที่เจ้าของกระทู้ว่านั้นเขาออกแบบมาให้สแกนหนังสือเล่มหนาๆได้โดยหนังสือไม่ช้ำมากและไม่ต้องฉีกหนังสือ เขาออกแบบมาให้พื้นที่จอสแกนด้านข้างขอบมันแคบลงมากกว่าสแกนเนอร์ธรรมดาทำให้สามารถสแกนได้ชิดขอบหน้าหนังสือเกือบถึงสันกลาง นี่คงเป็นเหตุผลหนึ่งที่เจ้าของกระทู้เลือกใช้ รู้สึกว่ามันจะเป็นสแกนเนอร์รุ่นเดียวในท้องตลาดขณะนี้ที่ทำได้ อย่างไรก็ตาม อ่านรีวิวแล้วมีดีบ้างไม่ดีบ้าง บางคนก็บอกดีไม่มีปัญหา บางคนถล่มเสียยับ อย่างไรก็ตาม ดูจะเห็นตรงกันว่าถ้าเอามาสแกนหนังสือละก็ใช้ได้ดี แต่ว่าสแกนอย่างอื่นไม่ได้เรื่อง ซื้อยี่ห้ออื่นรุ่นอื่นดีกว่า ผมก็หาข้อมูลอยู่เหมือนกันเพราะมีหนังสือต้องสแกนเก็บตลอดจนต้องทำ OCR เวลาแปลหนังสือ ถ้าราคาไม่แพงมากว่าจะถอยมาสักตัวเพราะรำคาญเครื่องเก่าที่มันสแกนหนังสือเล่มหนาๆยากเย็น จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 20 ก.ค. 51 00:05:03 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ปัญหารเรื่องแปลหนังสือนะ ก็คือว่า มันฉีกหนังสือเขาไม่ได้น่ะสิ...คุณแอ๊ด นี่หมายถึงแปลให้สำนักพิมพ์นะ ดังนั้น พอได้งานแปลหรืองาน edit หนังสือมา เราจะพยายาม search อย่างสุดความสามารถเพื่อที่จะ download ebook ของฟรีเล่มที่ต้องใช้ทำงานให้ได้   ถ้าหาไม่ได้ก็ต้องลงทุนไปจ้างเขาถ่ายเอกสาร แล้วก็เอาตัวถ่ายเอกสารมา scan ที่ต้องทำเช่นนี้ก็เพราะว่าเราเคยชินกับการแปล จาก soft copy มาหลายปีแล้ว จนไม่สามารถที่จะแปลจาก hard copy ได้อีกต่อไปแล้ว  (ไม่ชอบก้มๆเงยๆน่ะ)  แปลจาก soft copy เปิด *.pdf file ต้นฉบับครึ่งจอ เปิด *.doc file ที่จะพิมพ์คำแปลอีกครึ่งจอ  หรือถ้าได้ต้นฉบับเป็น text file ก้อสบายเลย เราก้อพิมพ์คำแปล ลงไปใน text file นั้นได้เลย หน้ามองตรง ไม่ต้องก้มๆเงยๆ ก็เลยได้ความคิดใหม่ว่า คราวนี้ ถ้าได้งานแปลหรืองาน edit จากสำนักพิมพ์ ก็จะขอร้องให้สำนักพิมพ์ขอ ebook จาก publisher แล้วเอา ebook มาให้เราทำงานแทน ซึ่งมันจะสะดวกกว่า ทางสำนักพิมพ์ก็บอก OK แต่ก็ไม่แน่ใจว่า ebook ที่จะให้นั้น เขาจะใส่รหัสป้องกันเราทำ copy และป้องกันเรา edit ไว้หรือเปล่า น่ะสิ  แล้วถ้าใส่รหัสป้องกันแบบนั้นนะ เราจะ ocr มันได้หรือเปล่า  เอ่อ พอพูดถึงนะ เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่า downloaded ebook ที่เป็น *.pdf file มาได้เล่มหนึ่ง  แล้วมันใส่รหัสป้องกัน edit ป้องกัน copy (มีบ้าหลงมาเล่มหนึ่งที่ใส่รหัส นอกนั้นไม่ใส่รหัส)  เอ่อ เราจะลอง ocr มันดูดิ ว่าจะได้หรือไม่ ...น่าสนแฮะ... แก้ไขเมื่อ 20 ก.ค. 51 02:23:58 จากคุณ : agelesstansy - [ 20 ก.ค. 51 02:21:35 ]

ความคิดเห็นที่ 8 จริงๆแล้ว *.pdf file ถ้าไม่ใช่ file ที่ได้จากการ scan หนังสือ แต่เป็น file ที่แปลงมาจาก *.doc file นะ ไอ้ *.pdf file ตัวนั้น มันยังคงสภาพเป็น text อยู่ แต่ถ้ามันเป็นภาษาอังกฤษอยู่เดิม มันแก้ภาษาอังกฤษให้เป็นภาษาอังกฤษอย่างอื่นได้ แต่เราจะพิมพ์ภาษาไทยทับไป มันออกมาเป็นภาษาขอมน่ะ   ลองไปถามห้อง tech exchange ดูแล้วเขาตอบมาแล้วว่า ให้ใช้  Adobe Acrobat Professional v.8 แต่เมื่อก่อนเราเคยใช้ version นี้แต่ก็ไม่มี button ที่เขาบอก แล้วตอนนี้เราก้อใช้ Adobe Acrobat Professional v.7 แต่ก็ไป download Thai fonts ตามที่เขาแนะนำให้ แต่ก็ยังแก้ไขปัญหาไม่ได้  ลองไปอ่านกระทู้นี้ดูดิ http://www.pantip.com/tech/software/topic/SA2606518/SA2606518.html แก้ไขเมื่อ 20 ก.ค. 51 02:33:27 จากคุณ : agelesstansy - [ 20 ก.ค. 51 02:30:29 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ขอบคุณ คุณ agelesstansy คุณแอ๊ด ปากเกร็ด คุณเซียงหยาง และคุณ udom_su ข้อมูลที่คุณให้เป็นประโยชน์มาก ๆ ผมคงเอาข้อมูลเหล่านี้สรุปให้ผู้บริหารอ่านอีกครั้งครับ และก็จะอ้างอิงมาที่นี่โดยตรงด้วย เพราะข้อมูลเหล่านี้มีประโยชน์มาก ๆ ต้องขอบคุณมาก ๆ จริง ๆ ครับ จากคุณ : @power - [ 22 ก.ค. 51 10:30:55 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เรื่องปัญหาในการ edit *.pdf file ในลักษณะของการพิมพ์ภาษาไทยทับภาษาอังกฤษลงไป ตามที่เราพูดถึงใน คคห8 นั้น เราไปทดลองดูอีกรอบหนึ่งด้วย Acrobat Professional 8 โดยการเปิด file ภาษาอังกฤษที่มีรูปภาพขึ้นมา แล้วพยายามพิมพ์ภาษาไทยทับลงไปด้วยปุ่ม Typewriter มันพิมพ์ภาษาไทยได้จริงๆ แต่มันไม่เข้าท่า เนื่องจากว่ารูปภาพ และการจัดย่อหน้าเลื่อนไปหมดเลย...!!  ทำให้ต้องเสียเวลามาจัดหน้าใหม่ ถ้าเป็นงานแปล manual ละก้อ นักแปลจัดหน้ากันคางเหลืองเลยหละ... เราจึงต้องพยายามคิดต่อไปว่า น่าจะหาวิธีเอา fonts ใส่เข้าไปที่ไหนสักแห่งในตัวโปรแกรม Acrobat Professional 8 เพื่อที่จะได้ใช้ปุ่ม TouchUp Text Tool ให้ได้ ... แต่อ้า....เดี๋ยวก่อน ...!!!...เพิ่งนึกขึ้นมาได้ เรามี Trados นิหว่า  มีคนบอกว่าโปรแกรมนี้ handles files ต่างๆได้หลายประเภท  เราเคยใช้ Trados กับโปรแกรม Word เท่านั้น ...เอ เป็นไปได้หรือเปล่าว่า ถ้าเราใช้ Trados ทำการ edit ภาษาอังกฤษใน *.pdf file เราอาจพิมพ์ภาษาไทยทับภาษาอังกฤษลงไปได้ ....!!!???... แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 51 04:44:25 จากคุณ : agelesstansy - [ 15 ส.ค. 51 04:41:43 ]

ความคิดเห็นที่ 11 แฟ้มข้อมูลสกุล *.pdf ใส่เข้าำไปใน Trados โดยตรงไม่ได้ครับ แต่ให้แปลงจากแฟ้มของ pdf เป็นแฟ้มของ word ก่อน แล้วใส่เข้าไปใน TagEditor ของ Trados เมื่อแปลเสร็จแล้วให้ clean up ออก แล้วเปลี่ยนตัวอักษรทั้งหมดเป็นภาษาไทย แล้วเอางานที่ได้ไปเปลี่ยนกลับเป็น pdf เหมือนเดิม ก็จะได้เอกสารหน้าตาเหมือนเดิมเปี๊ยบ Trados รับแฟ้มข้อมูลได้ประมาณ 100 ฟอร์แมท ต้นฉบับมาแบบไหนกลับไปแบบนั้น OCR ภาษาไทย รุ่นล่าสุดได้รับรางวัลชนะเลิศประเภทสร้างสรรค์ในงาน Thailand (ทำไมไม่ใช้ว่า Thai เฉยๆก็ไม่รู้) ICT Award เมื่อปี 2007 (เดือนตุลาคม) รุ่นเดียวกับที่ผมส่ง เมกาดิก เข้าประกวด (www.megadict.com) ความแม่นยำสูงมา ผู้พัฒนาเป็นเยาวชนชายและนิสัยดีน่ารักด้วย จากคุณ : ลุดวิก - [ 25 ส.ค. 51 18:03:27 ]