ความคิดเห็นที่ 1 ปรัชญาหรือการเมืองอ่ะครับ จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม - [ 19 ก.ค. 51 22:52:19 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เราเรียนปรัชญาจีนเอาไปใช้รักษาอาการป่วย และบำรุงสุขภาพให้แข็งแรงหน้าตาอ่อนวัยตลอดกาล  The Law of the Five Elements หรือทฤษฎีธาตุทั้ง 5 ของนักพรตเต๋า ใช้รักษาอาการป่วยทางกายและป่วยทางจิตได้   แพทย์จีนโบราณไม่มีแบ่งเป็นแพทย์เฉพาะทาง ไม่มีจิตแพทย์  เนื่องจากอาการป่วยทางจิตทุกอย่างมีความสัมพันธ์กับอาการป่วยของอวัยวะสำคัญๆ  ใครป่วยทางจิตแพทย์จีนโบราณก็จะรักษาอวัยวะภายในที่เกี่ยวข้อง ทฤษฎีธาตุทั้งห้า กล่าวไว้ว่า ธาตุน้ำ คือไตและหรือกระเพาะปัสสาวะ ถ้าป่วย ผู้ป่วย จะมีอาการ "กลัวโดยไม่มีเหตุผล (phobia)" ความรู้เช่นนี้ ใช้รักษา   OCD (โรคย้ำคิดย้ำทำ) ได้  เพราะผู้ป่วยจะ perform rituals (ทำอะไรย้ำคิดย้ำทำ) เนื่องจากความกลัวโดยไม่มีเหตุผล  ดังนั้น ตรรกะ ที่แม่นยำ ก็คือว่า ผู้ป่วย OCD ไตและหรือกระเพาะปัสสาวะป่วยอย่างแน่นอน วิธีรักษา OCD ทำง่ายมากๆ นั่นก็คือ กินอาหารที่บำรุงธาตุน้ำ และฝึกโยคะ หรือฝึกลมปราณ หรือแทงเข็ม เพื่อกระตุ้นลมปราณให้ไหลเวียนถูกทิศทาง และถูกสัดส่วนของปริมาณ  แทนที่จะไปหาจิตแพทย์ แล้วเอายาแรงๆมากิน จนผู้ป่วย (ถ้าเป็นผู้ชาย) กลายเป็นกามตายด้านไป เพราะยาแรงๆ มันลงไต เมื่อลงไต ไตก็ไม่ทำงานตามปกติเพราะฤทธิ์ยา อวัยวะเพศก็ไม่ทำงาน เนื่องจากการแพทย์โบราณของจีนกล่าวไว้ว่า พลังที่ทำให้ “นกเขาขัน”ได้นั้น มาจากพลังลมปราณของไตทั้ง 2 ข้าง ผู้ป่วย manic depression (หรือ bipolar) ก็เช่นกัน ถ้าไปให้จิตแพทย์รักษา ก็จะโดนจิตแพทย์ใช้  lithium carbonate  รักษา ทำให้คนไข้ทนทุกข์ทรมาณ เป็นอย่างมาก   แต่ถ้าใช้ความรู้เรื่อง The Law of the Five Elements ก็จะรู้ว่า ธาคูไม้คือ ตับและถุงน้ำดี ถ้าป่วย ผู้ป่วยจะมีอาการโกรธมากๆ โดยไม่มีเหตุผล และธาตุโลหะ คือปอด กับลำไส้ใหญ่ เมื่อป่วย ผู้ป่วยจะมีอาการ depression คือซึมเศร้า หดหู่ อยากฆ่าตัวตาย และ ผู้ป่วย manic depresion หรือ bipolar จะมีอาการโมโหอยากทำร้ายผู้อื่น สลับกับซึมเศร้าอยากทำร้ายตนเอง   อีกนัยหนึ่งก็คือ เมื่อมีปรากฏการณ์ของพลังลมปราณ ที่บำรุงรักษาตับและถุงน้ำดี ออกอาละวาด ก็คนไข้ก็โมโห เมื่อพลังลมปราณโคจรเปลี่ยนทิศทาง ก็กลายเป็นพลังลมปราณที่บำรุงรักษาปอดและลำไส้ใหญ่ออกอาละวาด ผู้ป่วยก็กลายเป็นซึมเศร้า  และกระแสลมปราณจะไหลเวียนสลับไปเรื่อยๆตามวันและเวลาดุจดั่งน้ำขึ้นน้ำลงถูกพลังของดวงจันทร์กำกับดูแล วิธีรักษา manic depression หรือ bipolar ถ้าไปหาจิตแพทย์ ส่วนใหญ่ผู้ป่วย จะลงเอยเพี้ยน ถึงขั้นที่ว่า The mental disorder has become iatrogenic.   นั่นก็คือ อาการป่วยทางจิตเลวร้ายลงเพราะการรักษาและเพราะแพทย์ วิธีรักษา manic depression หรือ bipolar โดยใช้ปรัชญาจีน ทำได้ง่ายมากๆ ถ้าไม่ใช้ symptomatic medicine คือไม่ใช้การแพทย์ที่มุ่งแต่จะทำลายอาการ  ก็ให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารเจแบบ macrobiotic และเน้นแต่สารอาหารที่บำรุงตับ ถุงน้ำดี ปอด และลำไส้ใหญ่ ฝึกโยคะ และฝึกพลังลมปราณ ชนิดที่กระตุ้นกระแสลมปราณของ อวัยวะ ทั้ง 4 อวัยวะ ของธาตุทั้ง 2 ธาตุที่ป่วย ให้ไหลเวียนถูกปริมาณ และถูกทิศทาง หรือถ้าจะใช้ symptomatic medicine จริงๆ แต่ไม่รุนแรง มากเท่า lithium carbonate ก็คือ ใช้ เข็มแทงเข้าจุดต่างๆ ที่เปลี่ยนกระแสลมปราณ ให้ไหลเวียนถูกทิศทาง และถูกสัดส่วนของปริมาณ จริงๆ แล้วชาวจีนโบราณ ไม่ได้เพียงแค่คิดค้นปรัชญาจีนมาเพื่อเขียนเป็นบทกวีสวยๆ ให้คนอ่านเล่น แล้วทึ่งในความงดงามของบทกวี  หรือทึ่งในตรรกะที่ซับซ้อนของมัน จนถึงกับเอาไปถกกันเป็น discourse แบบนักปรัชญาชาวตะวันตก จนฟังดูราวกับว่า philosophers ชาวตะวันตกท่าทางจะฉลาด   หากแต่ปรัชญาจีน กลับพูดอะไรประหลาดๆ ที่เรียกว่า paradox  ให้คนที่ไม่รู้เคล็ดวิชา หัวเราะเยาะเอาว่า “โง่” แทนที่จะชมว่าฉลาดเหมือนชมนักปรัชญาชาวตะวันตก  แต่แท้จริงไซร้ ปรัชญาจีน กลับยังเอาไปใช้ประโยชน์ได้ในชีวิตจริง อย่างเห็นๆได้แบบ ตรงๆ  (direct applications) มากกว่าปรัชญาของชาวตะวันตก หลายๆเท่า แก้ไขเมื่อ 20 ก.ค. 51 03:06:16 แก้ไขเมื่อ 20 ก.ค. 51 00:24:25 แก้ไขเมื่อ 20 ก.ค. 51 00:00:59 จากคุณ : agelesstansy - [ 19 ก.ค. 51 23:43:45 ]

ความคิดเห็นที่ 3 อะฮ้า! คุณ tansy ฝึกเรื่องนี้ด้วยหรือครับ ผมก็ฝึกนะ เป็นแนว pranic healing ความคืบหน้าถึงขณะนี้ก็พอรักษาการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ ของตนเองได้เท่านั้น ตามตำรานะ เขาว่าถ้าฝึกไปถึงระดับสูงสุด สามารถรักษาการเจ็บป่วยของผู้อื่นจากระยะไกล (distance healing) ได้ด้วย วันหน้า ถ้าได้เจอตัวตนกันจริงๆ คงได้คุยกันสนุก จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม - [ 20 ก.ค. 51 00:11:29 ]

ความคิดเห็นที่ 4 โดยแท้แล้วปรัชญา ก็คือ วิธีคิดหาความจริงของคนโบราณ   ในปัจจุบันการหาความจริงโดยปรัชญา หมดสมัยไปตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 แล้ว   เพราะมีวิธีการทางวิทยาศาสตร์เข้ามาแทนที่ อ่า...แน่ใจเหรอครับ...??? Descartes ผู้วางรากฐานให้ปรัชญาสมัยใหม่ ก็มีชีวิตอยู่ตอนศตวรรษที่ 17 เข้าไปแล้วนะครับ ไม่ต้องพูดถึงนักปรัชญารุ่นหลัง ๆ Descartes มาเลยว่ามีมากมายขนาดไหน... จากคุณ : ฮกหลงผู้หยั่งรู้ฟ้ามหาสมุทร - [ 20 ก.ค. 51 00:15:44 ]

ความคิดเห็นที่ 5 วิธีปราบ mobs ตามคำสอนในภาพยนตร์ที่ทำจากหนังสือเรื่อง The Secret เขาบอกว่าเราเกลียดอะไรก็ได้อย่างนั้น   เรารณรงค์เพื่อต่อต้านการก่อการร้าย เราก้อเจอแต่ผู้ก่อการร้าย เรารณรงค์เพื่อต่อต้านยาเสพติด เราก้อเจอแต่ผู้ค้ายาเสพติด รารณรงค์เพื่อต่อต้านการสงคราม เราก็เจอแต่การสู้รบกัน แต่แม่ชี Theresa พูดได้ฉลาดกว่า ท่านบอกว่า ให้พวกเรามารณรงค์ว่าให้มีแต่ความรักและสันติภาพกันจะดีกว่า   ซึ่งก็เข้าข่ายว่า Thoughts become things  คือแทนที่จะไปคิดถึงว่า "เราเกลียดอะไร" แต่กลับไปคิดถึง "เรื่องที่เรารัก" เสียแทน ในทำนองเดียวกัน เราเกลียดนักการเมืองคนไหนเราก็ได้นักการเมืองคนนั้น ยิ่งเกลียดต่อไปเราก็ยิ่งได้นักการเมืองคนนั้น เราเกลียด mobs เราก็ได้ mobs ถ้าใครกำลังตกงาน หรือกำลังจะตกงานเพราะ mobs ก็ลองเพ่งกระแสจิตดูว่า ให้เทวดาฟ้าดินที่ปกปักรักษาบ้านเมือง บันดาลให้ฝนตกกระหน่ำลงมาห่าใหญ่ทุกวัน ลงมาชะล้างความสกปรกโสมม จน mobs เป็นไข้หวัดใหญ่ตายกันหมด   หรือไม่ก็ให้เทวดาปลอมเป็นผีมาหลอกพวกมันทุกวัน จนกว่าพวกมันจะหยุดก่อความวุ่นวายให้แก่ประเทศชาติ ให้เทวดาดลใจให้ทุกคน “ไม่ให้ความสนใจกับ mobs" หากทุกคนเลิกสนใจกับ mobs มันจะไม่เข้าข่ายว่า Thoughts become things นั่นก็คือ ถ้าไม่มี mobs อยู่ในใจ mobs ก็กลายเป็น"ไม่มีตัวตนไป" ในที่สุด แก้ไขเมื่อ 20 ก.ค. 51 00:19:40 จากคุณ : agelesstansy - [ 20 ก.ค. 51 00:17:18 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ในปัจจุบันการหาความจริงโดยปรัชญา หมดสมัยไปตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 แล้ว   เพราะมีวิธีการทางวิทยาศาสตร์เข้ามาแทนที่  ????? - ช่วงปลาย คศ 18 -  ต้น คศ 19 มีการนำการศึกษาพฤษติกรรมมนุษย์ มาศึกษาควบคู่กับผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์ เกิดเป็นศาสตร์แขนงใหม่ คือ จิตวิทยา ทฤษฏีพฤติกรรม ของซิกมัน ฟรอย ก็เกิดช่วงนั้น ทฤษฏีความต้องการของมนุษย์ก็เกิดช่วงนั้น คุณคิดว่า เรารู้ความจริงของโลกครบทุกเรื่องแล้วหรือ ??? จากคุณ : THE_NGAK - [ 20 ก.ค. 51 01:09:25 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เอ...ไปไปมามา เนื้อความเจ้าของกระทู้จะเป็นเขียนเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการมีฝักมีฝ่ายไหมหนอ ผมไม่เชื่อเรื่องการต้องเลือกฝ่ายเสมอนะ ผมไม่เชื่อว่าโลกนี้มี"ฝักฝ่ายเสมอ" จากที่ว่า มนุษย์มีเสรีภาพที่จะเลือก คือมนุษย์สามารถกำหนดตนได้ว่าจะเอาทางเลือก หรือไม่เอาทางเลือก การมีฝักฝ่ายคือทางเลือก และการไม่มีฝักฝ่ายคือการไม่เลือก พอเห็นดังนี้ผมก็ไม่เชื่อแนวคิดท่านเจ้าของกระทู้ การที่มนุษย์กำหนดตนว่าจะมีฝ่าย(ซึ่งคนส่วนใหญ่ๆเลยก็เลือกกำหนดตนเช่นนี้แม้จะอยู่ฟากตรงข้ามกันและกัน)เพราะเขามีเหตุผลสนับสนุนว่าตนได้ประโยชน์จากการเลือกฝ่ายซึ่งนั่นก็ไม่แปลก แต่การที่คนอีกประเภทหนึ่งมีเหตุผลสนับสนุนว่าตนได้ประโยชน์จากการไม่เลือก ก็ไม่แปลกเช่นกัน ใช่ว่าจะมีแต่ฝ่ายผู้ได้เปรียบและเสียเปรียบ แต่ฝ่ายไม่ได้และไม่เสีย(ลอยตัวอยู่เหนือเหตุการณ์)ก็มี ส่วนเรื่องที่ว่าปัจจุบันการหาความจริงโดยปรัชญาหมดสมัยไปตั้งแต่ศตวรรษที่16 แล้ว อันนี้ผมไม่เชื่อเด็ดขาด ทุกวันนี้ผมยังหางานของนักเขียนปรัชญาร่วมสมัยอ่านได้สบายๆอยู่เลยและพบว่างานของเขาสามารถอธิบายปรากฏการณ์ทางสังคมได้อย่างเฉียบแหลม แม้กระทั่งสาขาวิทยาศาสตร์ก็ยังต้องยืมปรัชญาเพื่อใช้อธิบายทฤษฏีทางวิทยาศาสตร์ในบางบทบางตอน อย่าเพิ่งมอบโลกนี้ให้วิทยาศาสตร์สิครับ จากคุณ : kappasai - [ 20 ก.ค. 51 14:06:21 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เรียนเพื่อรู้จักคิด แทนที่จะใช้แต่ศัทธราอย่างเดียว จากคุณ : แม่ตานน้อย - [ 20 ก.ค. 51 17:17:48 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ส่วนตัวแล้วไม่รู้สึกว่าแนวทางการหาความรู้ด้วยปรัชญาจะถึงคราวหมดอายุไปแล้วนะครับ ลองมาหาความหมายของคำว่าปรัชญาจริงๆ กันก่อนดีกว่า .. ปรัชญาคืออะไร ผมเรียนปรัชญามา ก็ยังไม่สามารถตอบได้ว่าปรัชญาคืออะไร .. แต่พอจะบอกได้ว่าผู้ที่ศึกษาปรัชญาจะมีความคิดที่เป็นระบบและเป็นเหตุเป็นผล อธิบายง่ายๆ ก็คือ นอกจากจะบอกได้ว่าคุณคิดยังไงแล้ว ยังต้องสามารถบอกได้ว่าสิ่งที่สนับสนุนความคิดของคุณที่มีปรากฏการณ์ต่างๆ นั้นคืออะไร ซึ่งวิธีการทางปรัชญาแบบเดิมนั้นก็มีวิธีการอธิบายตามแนวทางของเขา ทางวิทยาศาสตร์(ปรัชญาวิทยาศาสตร์ ที่เรียก Philosophy of Science ไง) หรือวิธีการไหนๆ ก็มีคำอธิบายแนวคิดของเขาเช่นกัน .. ไม่ว่าจะวิธีไหน ยุคไหน สมัยไหน ก็มีความเป็นปรัชญาอยู่เสมอ ขึ้นอยู่กับว่าเนื้อหาและวิธีการทางปรัชญาของแต่ละสมัย หรือคนแต่ละคน แต่ละกลุ่มนั้นจะเป็นอย่างไร การเรียนปรัชญา ไม่ว่าจะเรียนอย่างอ่อนหรืออย่างเข้มข้นก็มีประโยชน์ในแง่ที่ช่วยให้คุณคิด วิเคราะห์ และตัดสินใจได้ด้วยความคิดที่เป็นระบบ ยุติธรรม และ "มีความเป็นกลาง" ต่อความคิดตัวเอง .. เรียนรู้ที่จะมองปรากฏการณ์ต่างๆ ตามสิ่งที่มันเป็น จากคุณ : เด็กชายหัวหอม - [ 21 ก.ค. 51 19:21:24 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เมื่อเปรียบเทียบระหว่างนักปรัชญาตะวันตกกับนักปรัชญาตะวันออกแล้วนะ สิ่งที่น่าทึ่งก็คือว่า เวลามี discourse กันนะ นักปรัชญาตะวันตก พอพูดแล้วคนฟังจะ "เลื่อมใสมากๆว่าเขา intellectual มากๆเลยหละ" แต่ในทางกลับกันแล้วนะ นักปรัชญาตะวันออก เช่นนักพรตเต๋าจีน จะ (แกล้ง) พูดเป็น paradox (ปฏิทรรศน์) เช่นปรมาจารย์เล่าจื้อพูดว่า ให้ใฝ่หาที่ต่ำเยี่ยงน้ำ ให้ถ่อมตน ให้ทำตัวให้อ่อน คนเลยหัวเราะเยาะ แล้วคิดตรงกันข้าม คือ "ทำตนให้ผึ่งผายเหมือนนักเรียนเตรียมทหาร" แล้วสาวๆที่ไม่เข้าใจ paradox ก็มองดูคนเดินยึดอก (หนีแรงโน้มถ่วงของโลก) แล้วสาวๆยิ้มให้เขาด้วยความเสน่หา  แต่อนิจจา นักพรตเต๋าแกล้งโง่ เพราะไม่อยากให้คนได้วิชาไป (คือพวกเขาไม่พยายามพูดอะไรให้เหมือนนักปรัชญาตะวันตก คือไม่พยายามดู intellectual) แท้จริงแล้วการเดินผึ่งผาย เป็นการ "ปิดกั้น ไม่ให้ลมปราณก่อนเกิด(ที่อยู่ตรงท้องส่วนล่าง) ไปผสานกับลมปราณหลังเกิด (ที่อยู่ที่หน้าอก) นั่นเอง ดังนั้น paradox ที่สาวๆไม่เข้าใจ (หากไม่รู้ลัทธิเต๋า) ก็คือว่า   "ผู้ชายที่ไม่เดินผึ่งผาย (คือไม่เดินแข็งทึ่งเหมือนักเรียนเตรียมทหาร) จะมีลมปราณก่อนเกิดกับลมปราณหล้งเกิดผสานกัน และทำให้เขา มีพลังทางเพศมากกว่า ผู้ชายที่เดินตัวแข็งทื่อเหมือนนักเรียนเตรีมทหาร ผู้ชายที่ไม่เดินตัวแข็งทื่อ ไม่ยืดหน้าอกมากเกิน จะทำรักได้ดีกว่า และนานกว่าผู้ชายที่ทำตัวแข็งทื่อเหมือนพวกนักเรียนเตรียมทหาร" ดัวยเหตุผลอันง่ายๆก็คือว่า "ความแข็งมีความสัมพันธ์กันกับความตาย ให้ดูมวลไม้สิ เมื่อมันตาย มันจะแข็ง แต่มวลไม้ที่ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อต้องลม มันก็จะพริ้วไปตามกระแสลม" ผลก็คือ ผู้ชายที่เดินแล้วตัวพริ้วไปตามกระแสลม จะมีสมรรถภาพทางเพศเหนือชั้นกว่าผู้ชายที่เดินตัวแข็งทื่อเหมือนนักเรียนเตรีมทหาร ทหารที่ตัวพริ้วไปตามกระแสลม จะเป็นทหารที่ต่อสู้ได้เก่งกว่าทหารที่ตัวแข็งทื่อเหมือนหุ่นยนต์ ...นี่คือ paradox ของนักพรตเต๋า...!!! จากคุณ : agelesstansy - [ 21 ก.ค. 51 22:40:28 ]

ความคิดเห็นที่ 11 อีกตัวอย่างหนึ่งของการ "แกล้งโง่" ของนักปรัชญาจีน (แทนที่จะทำตัว intellectual แบบนักปรัชญาตะวันตก) ก็คือ Dao De Jing ที่ปรมาจารย์เล่าจื้อเขียนไว้ นี่เป็นการตีความบทที่ 3 ของ Dao De Jing ที่เราตีความ แบบ "ถอดรหัส" ที่บ่งบอกถึงการที่นักปรัชญาจีน "แกล้งโง่" แทนที่จะพยายามอวดฉลาดแบบนักปรัชญาตะวันตก  เราเขียนไว้ใน blog เก่าเรา และลบทิ้งไปแล้ว เราจะค่อยๆเอามาแปะให้อ่านกันดูเล่นๆ เพื่อให้เห็นว่า "ทำไมเราจึงหลงไหลปรัชญาจีน แต่กลับไม่ค่อยสนใจปรัชญาตะวันตก" การแปล Dao De Jing บทที่3 (โดยการถอดรหัส) นี่เป็นคำแปล คำสอนของปรมาจารย์เล่าจื๊อใน Dao De Jing (บทที่ 3) จากภาษาจีน มาเป็นภาษาอังกฤษ โดย Dr.James Legge (Oxford University) 3 Not to value and employ men of superior ability is the way to keep the people from rivalry among themselves; not to prize articles which are difficult to procure is the way to keep them from becoming thieves; not to show them what is likely to excite their desires is the way to keep their minds from disorder. Therefore the sage, in the exercise of his government, empties their minds, fills their bellies, weakens their wills, and strengthens their bones. He constantly (tries to) keep them without knowledge and without desire, and where there are those who have knowledge, to keep them from presuming to act (on it). When there is this abstinence from action, good order is universal. ทั้งบัณฑิตจีนและฝรั่งแปล Dao De Jing ออกมาหลาย versions ด้วยกัน ของคนไทยที่แปลออกมาได้ไพเราะก็มีของ คุณพจนา จันทรสันติ กับของ ด.ร. ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์ บทที่ 3 ที่เอามาแปะไว้นี้ คัดมาจากของอาจารย์ฉัตรสุมาลย์ (ซึ่งดูเหมือนว่าจะแปลจากภาษาอังกฤษของ Dr.James Legge) ท่านอาจารย์ฉัตรสุมาลย์ตีความแบบผู้เชี่ยวชาญด้านศาสนาเปรียบเทียบ แต่เดี๋ยวจะบอกให้ว่า ข้าพเจ้าตีความไว้อย่างไร....... บทที่ 3: Not to value and employ men of superior ability is the way to keep the people from rivalry among themselves; อย่าแต่งตั้งยศฐาบรรดาศักดิ์ ประชาชนจะได้ไม่เกิดความริษยาแก่งแย่ง not to prize articles which are difficult to procure is the way to keep them from becoming thieves; อย่าตีราคาสมบัติที่หาได้ยาก ประชาชนจะได้ไม่ลักขโมย not to show them what is likely to excite their desires is the way to keep their minds from disorder. อย่านำเอาทรัพย์สมบัติที่ต้องตาต้องใจออกมาอวด ประชาชนจะได้ไม่มีจิตใจเป็นกังวล Therefore the sage, in the exercise of his government, ดังนั้นเมื่อมุนีปกครองบ้านเมือง empties their minds, เขาจะทำใจให้ว่าง fills their bellies, ทำให้ท้องอิ่ม weakens their wills, ลดความทะเยอทะยานทั้งปวง and strengthens their bones. ให้มีร่างกายแข็งแรง He constantly (tries to) keep them without knowledge and without desire, เลื้ยงดูให้ประชาชนปราศจากความรู้และความอดอยาก and where there are those who have knowledge, to keep them from presuming to act (on it). ทำให้คนฉลาดไม่กล้าลงมือทำการใดๆ When there is this abstinence from action, good order is universal. เมื่อปฏิบัติโดยไม่มีการกระทำเช่นนี้ ทุกสิ่งก็จะอยู่ในระเบียบ นั่นคือการตีความโดย ดร.ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านศาสนาเปรียบเทียบ แก้ไขเมื่อ 22 ก.ค. 51 10:22:49 จากคุณ : agelesstansy - [ 22 ก.ค. 51 10:00:36 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ต่อไปนี้ข้าพเจ้าขอตีความบนที่ 3 ของ Dao De Jing ในฐานะผู้ที่ฝักใฝ่ในวรยุทธ์ของ Wu Dang (เขียนจีนกลางแบบ pinyin (หวังว่ามั่วถูกนะ ...555+++)...ถ้าอ่านแบบแต้จิ๋วก็คือ “(สำนัก)บู๊ตึง" นั่นเอง) แต่ก่อนอื่นก็ต้องขอขอบคุณ Dr. James Legge ที่แปล Dao De Jing เอาไว้ได้อย่างซื่อสัตย์ต่อต้นฉบับจริงๆจนทำให้ข้าพเจ้าพอมองเห็นหนทางได้ว่าปรมาจารย์เล่าจื้อพูดว่าอะไร และทำไมนักพรตเต๋าหลายท่านจึง "อ้างว่า" วิชากำลังภายในของ Wu Dang  แท้จริงแล้วคิดขึ้นมาได้โดยการตีความ Dao De Jing โดยการ "ถอดรหัส" ช่วงแรกๆ คือ Not to value and employ men of superior ability is the way to keep the people from rivalry among themselves; not to prize articles which are difficult to procure is the way to keep them from becoming thieves; not to show them what is likely to excite their desires is the way to keep their minds from disorder. น่าจะตีความโดยสรุปได้ว่า "ให้ละกิเลศ เลิกการยึดมั่นถือมั่น และ "...จะได้ไม่มีจิตใจเป็นกังวล..." หมายถึง " ต้องทำสมองให้ว่าง ทำจิตให้สงบ" ทีนี้เรามาดู Therefore the sage, in the exercise of his government, empties their minds, fills their bellies, weakens their wills, and strengthens their bones. เริ่มน่าสนใจมากยิ่งขึ้นตรง ".......in the exercise of his government...." หรือ"....ปกครองบ้านเมือง....????" ถ้อยคำเหล่านี้เล่าจื้อ "ใส่รหัส" เอาไว้ เพราะไม่อยากให้ผู้คนหลายคนตีความได้ ......จริงๆแล้วข้าพเจ้าตีความมันว่า "Du Mai = the governing channel (governing = ปกครอง) คือเส้นลมปราณด้านหลังในและตามแนวกระดูกสันหลังนั่นเอง ดังนั้นจึงต้องตีความ ต่อไปว่า เขาจะทำใจให้ว่าง = ตั้งสมาธิ ทำให้ท้องอิ่ม = จริงๆแล้ว (ท้องผู้ฝึก) อิ่มด้วยลมปราณ (ไม่ใช่หมายถึงทำให้ประชาชนอิ่มท้องหรือมีกินก่อนปกครอง...คือจะตีความเช่นนั้นก็ไม่ผิดหลักจริยธรรมหรือรัฐศาสตร์ แต่ก็จะไม่ได้วิชากำลังภายในไป....!!!) นั่นก็คือหายใจลึกจนลมปราณลงไปอยู่ที่ท้องส่วนล่างจนเกิดแรงขับเคลื่อนพลังให้ "ปกครองบ้านเมือง = ให้ขับเคลื่อนพลังเข้าไปใน Du Mai" นั่นเอง หมายเหตุ: คำว่า Du Mai เป็นศัพท์ในสายจีน แต่ในสายอินเดีย (Tantra) เขาเรียก Du Mai ว่า Kundalini (มาจากภาษาสันสกฤต แปลว่า "งู" เป็น serpentine force มีลักษณะแบบ spiral คือเป็นเกลียว) ช่วงต่อไป "weakens their wills" คือ "ลดความทะเยอทะยานทั้งปวง" คือเมื่อพลังไปสู่ Bai Hui(จุดกลางกระหม่อม) แล้ว gravitational force (แรงโน้มถ่วง) ก็จะส่งพลังลงมาตามเส้นทางเดินเส้นกลางด้านหน้า (คือ Ren Mai = the channel of function) เอง "keep them without knowledge" "ปราศจากความรู้" หมายถึง block all the five senses = ปิดกั้นการรับรู้ทั้ง 5 คือภาพ, เสียง, กลิ่น, รส, และสัมผัส.... ".....and where there are those who have knowledge, to keep them from presuming to act (on it)." "ทำให้คนฉลาดไม่กล้าลงมือ" ต้องตีความว่า Let nature take its own course. By doing nothing everything is done and taken care of. คือ จงปล่อยให้ธรรมชาติเป็นไปตามวิถีทางของมัน โดยการไม่ทำอะไร (การกระทำโดยไม่กระทำ) ทุกสรรพสิ่งก็จะถูกกระทำไปเองและจะได้รับการดูแลจากเต๋าหรือมรรควิถีนั่นเอง ..... นั่นก็คือ ปล่อยให้พลังถูกแรงโน้มถ่วงนำมันลงมาตาม Ren Mai คือเส้นกลางด้านหน้าเอง....โดยไม่ไปบังคับมัน... แก้ไขเมื่อ 22 ก.ค. 51 21:24:42 แก้ไขเมื่อ 22 ก.ค. 51 10:31:12 แก้ไขเมื่อ 22 ก.ค. 51 10:28:53 แก้ไขเมื่อ 22 ก.ค. 51 10:27:27 จากคุณ : agelesstansy - [ 22 ก.ค. 51 10:06:57 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ดังนั้นในช่วงเกือบๆจะสุดท้ายของบทนี้จึงมักจะมีคำพูดว่า "ทำการ" และ "การกระทำ" แท้จริงมันก็คื Ren Mai หรือ the channel of function ซึ่งเป็นเส้นลมปราณเส้นกลางด้านหน้านั่นเอง (function = ปฏิบัติการ, ทำการ, การกระทำ" ) ในภาษาอังกฤษหลายๆ versions เขามักจะใช้คำว่า non-action action ซึ่งคุณพจนา จันทรสันติ แปลเป็นไทยเอาไว้ว่า "การกระทำโดยไม่กระทำ" .......ส่วน "weakens their wills" หรือ "ลดความทะเยอทะยานทั้งปวง" คือ เมื่อพลังไปจนถึงจุดสูงสุด (Bai Hui) แล้ว มันก็ต้องไหลลงมาเอง "ทุกสิ่งก็จะอยู่ในระเบียบ = The Order of the Universe is achieved = ระเบียบแห่งจักรวาลก็คือเต๋านั่นเอง..... Ren Mai หรือ the channel of function ซึ่งเป็นเส้นลมปราณเส้นกลางด้านหน้า นักพรตเต๋าถือว่าเป็น "สายดิน" แต่สายอินเดียไม่มีสายดินข้างหน้าที่ใช้ลดแรงดันของพลัง (ในกรณีระบบประสาทยังรับพลังไม่ได้ อาจมีปัญหา) หากแต่จะเจาะทะลวงให้ผ่านจุดกลางกระหม่อม เพราะสายอินเดีย (ฮินดู) เชื่อกันว่า ตรง Hui Yin (สายอินเดียเรียกจุดนี้ว่า Muladhara) มี Shakti (หรือ Sakti ภาษาไทยคงเป็น ศักติ คือ "ภรรยา"...จริงๆแล้ว "Shakti" คือ "เจ้าแม่กาลี" นั่นเอง)อยู่ที่จุดนี้ และที่ Bai Hui (สายอินเดียเรียกจุดนี้ว่า Sahasrara) มี Shiva (คือ "พระศิวะ")อยู่ที่จุดนี้ และ Kundalini ซึ่งเป็นพลังเป็นเกลียวเหมือนงู ก็จะเป็นเสมือนหนึ่งว่า Shakti ไปหา Shiva เพื่อผสานกันเป็นหนึ่ง เพราะว่าเป็นคู่ครองกัน การฝึกสายอินเดียนับว่าอันตรายมากๆ เพราะว่าถ้าระบบประสาทในสมองยังรับพลัง Kundalini ไม่ได้ผู้ฝึกจะมีปัญหาทางจิตอย่างรุนแรง แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 51 16:31:06 แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 51 06:13:07 แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 51 06:11:13 แก้ไขเมื่อ 22 ก.ค. 51 10:33:25 จากคุณ : agelesstansy - [ 22 ก.ค. 51 10:08:39 ]

ความคิดเห็นที่ 14 Kundalini นี้เปรียบเสมือน serpent ใน The Garden of Eden และการที่ Adam กิน apple เข้าไป เปรียบเสมือนการปลุกพลัง Kundalini เร็วเกินกำหนด เร็วเกินกว่าที่ระบบประสาทของผู้ฝึกจะรับได้....... พวกที่อ่านหนังสือกำลังภายในหลายๆท่านคงเคยได้ยินคำว่า "ไฟธาตุเข้าแทรก" ......มันอาจเป็นการปลุกพลัง Kundalini เร็วเกินกำหนดก็ได้ ดังนั้นในบทที่ 3 ของ Dao De Jing เมื่อปรมาจารย์เล่าจื้อพูดถึงเรื่อง "การปกครอง" แท้จริงแล้วท่านพูดถึงพลัง Kundalini นี้เอง แท้จริงแล้วในบทที่ 3 นี้ปรมาจารย์เล่าจื้อสอนวิธีการโคจรลมปราณรอบ Microcosmic Orbit โดยมีหลักการสำคัญดังต่อไปนี้ ตัดกิเลศ ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งมีค่าใดๆ ....นั่นก็คือสมัยโบราณคนจะฝึกวิชานี้ได้ต้องละทิ้งสมบัติพัสถานไปจำศีลอยู่บนภูเขา ทำสมาธิ ทำจิตให้สงบ หายใจลึกๆให้ลมปราณไปรวมตัวที่จุด dantian (อ่านว่า "ตานเถียน" แปลว่าทุ่งนาที่ใช้เพาะปลูกยาอายุวัฒนะ) จุดนี้นักวรยุทธ์บางท่านก็บอกว่าอยู่ใต้สะดือ 1.3 นิ้ว บางท่านก็บอกว่าอยู่ที่สะดือเลยก็มี กำหนดลมปราณเพื่อกระตุ้นไฟธาตุในร่าง ไฟธาตุในร่างจะขับเคลื่อนพลังหลังเกิด (ลมปราณที่หายใจเข้ามา) กับพลังก่อนเกิด (sexual energy (พลังที่ใช้สืบพันธ์) ที่ได้มาจากบิดามารดา) The union of heaven and earth (การผสานกันของลมปราณหลังเกิดกับ sexual energy ณ จุด dantian) ให้เป็นพลังขับเคลื่อนไป จาก dantian ทะลุไปที่ Hui Yin (perineum หรือ ฝีเย็บ) แล้วเจาะทะลวงเข้ากระดูกสันหลังพุ่งขึ้นผ่านจุด Ming Men (จุดที่อยู่ระหว่างไต) ผ่านแกนกระดูกสันหลัง จนขึ้นไปถึงจุด Bai Hui (จุดกลางกระหม่อม) คือปล่อยให้พลังเคลื่อนขึ้นไปเอง "โดยไม่บังคับมัน" คำแปลบาง versions เขาว่า "ปกครองโดยไม่ปกครอง" หรือ "ปกครองโดยไม่กดขี่" คือแค่ be mindful of it but do not force it แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 51 06:24:02 แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 51 06:21:37 แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 51 06:15:11 แก้ไขเมื่อ 22 ก.ค. 51 21:32:20 แก้ไขเมื่อ 22 ก.ค. 51 10:11:21 จากคุณ : agelesstansy - [ 22 ก.ค. 51 10:10:26 ]

ความคิดเห็นที่ 15 คือแค่มีสติว่ามีพลังนี้โคจรไป แต่ต้องไม่บังคับมัน ..... และเมื่อพลังพุ่งไปถึงจุดสูงสุดบนกลางกระหม่อมแล้วก็ให้ปล่อยให้มันไหลลงมาข้างล่างเอง โดยไม่ไปบังคับมัน ซึ่งเท่ากับ "การกระทำโดยไม่กระทำ" จนพลังมันกลับไปที่จุดเริ่มต้นจนครบวงโคจรของมันที่เราเรียกว่า วงโคจรนี้เราเรียกว่า Microcosmic Orbit (ที่ใช้ศัพท์นี้ก็เพราะว่านักพรตเต๋าเชื่อว่าร่างกายมนุษย์เป็นจักรวาลที่ย่อส่วนมา) บางทีพวกซามูไรที่ฝึกตามแนวคิดของเซนโดยอาศัยการปรับเปลี่ยน posture (ท่าทาง, อิริยาบท, การเคลื่อน ไหวตัว) ให้ be in harmony with the universal force = ให้ผสมผสานกลมกลืนกับพลังของจักรวาล ถึงแม้ผู้ฝึกจะไม่รู้จักว่าหน้าตา Microcosmic Orbit เป็นอย่างไร แต่ก็ยังบรรลุเป้าหมายในการขับเคลื่อนพลังรอบ Microcosmic Orbit ได้เช่นกัน ซึ่งอาจฝึกได้ง่ายกว่าเสียด้วย "เนื่องจากกลายเป็น "....เลื้ยงดูให้ประชาชนปราศจากความรู้...." = block all the five senses = ปิดกั้นการรับรู้ทั้ง 5 คือภาพ, เสียง, กลิ่น, รส, และสัมผัส...จนกระทั่ง "ทำให้คนฉลาดไม่กล้าลงมือ" = Let nature take its own course. By doing nothing everything is done and taken care of. คือ จงปล่อยให้ธรรมชาติเป็นไปตามวิถีทางของมัน โดยการไม่ทำอะไร (การกระทำโดยไม่กระทำ) ทุกสรรพสิ่งก็จะถูกกระทำไปเองและได้รับการดูแลจากเต๋าหรือมรรควิถีนั่นเอง ..... สรุปประเด็นสำคัญก็คือ พลังที่โคจรใน Microcosmic Orbit นั้นผู้ฝึกต้องเพียงแค่ be mindful คือแค่มีสติในเรื่องพลังนี้เท่านั้น (คือมองเห็นมันโคจรไปโดยธรรมชาติ) แต่จะต้องไม่ force the energy up and down คือ "ไม่ปกครองโดยกดขี่" และ "จะต้องกระทำโดยไม่กระทำ" นั่นก็ คือ "ไม่พยายามตั้งใจ" ที่จะพลักดันมันโดยการบังคับมันนั่นเอง แต่ให้เป็นธรรมชาติขับเคลื่อนมันไปเอง (energy + gravitational force) หลักการที่ฟังๆดูเหมือนจะพูดกวนๆขัดแย้งกันแบบนี้ซึ่งเล่าจื้อใช้บ่อยมากๆเราเรียกมันว่า paradox ราชบัณฑิตสถานเขาบัญญัติศัพท์เอาไว้ว่า "ปฏิทรรศน์" (อย่าจำสับกับ "ปริทัศน์" = review นะ....ตัวเราเองยังงงเลยบางที) ส่วนคุณพจนา จันทรสันติแปลคำว่า paradox ได้ไพเราะดี เขาแปลมันไว้ว่า "ตรรกวิทยาแห่งความขัดแย้ง" แท้จริงแล้วปรมาจารย์เล่าจื้อสติเฟื่องใช้ paradoxes มากมายใน Dao De Jing จนทำให้คนอ่านเอือมระอาจนเอาคัมภีร์ไปทิ้งถังขยะกันเสียเป็นส่วนใหญ่.... วิชาเร้นลับจึงถูกสงวนไว้ให้คนเพียงแค่บางคน (ที่ฟ้าลิขิตมา) เท่านั้น แก้ไขเมื่อ 22 ก.ค. 51 21:37:41 จากคุณ : agelesstansy - [ 22 ก.ค. 51 10:21:26 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ลองคิดดูใหม่นะครับ ลองไปหา วารสารทางปรัชญาตามห้องสมุดของมหาวิทยาลัย หรือ ในอินเตอร์เน็ทดูนะครับ จะเห็นว่ามีแต่บทความที่อ่านแล้วเข้าใจยาก หรือถ้าไปฟังเรื่องกรรมในกำมือมา ก็จะพอเห็นภาพว่าปรัชญาทำอะไรกันอยู่ การเรียนปรัชญาเป็นเรื่องของการคิดก็จริงครับ แต่ที่แน่ๆ มันไม่ใช่การคิดแล้วไปนั่งนึกเอาเอง การเรียนปรัชญาจึงมีความสำคัญในฐานะการปูพื้นฐานในการคิดปรัชญาและ ได้เปิดหูเปิดตา เปิดความคิดให้กว้างขึ้นบ้างว่า เดี๋ยวนี้ประเด็นทางปรัชญามันไปถึงไหนแล้ว แต่ที่ปรัชญากลายเป็นวิชาพื้นฐานและไม่ค่อยมีคนสนใจ ก็เพราะว่า มันเข้าใจยากซะมากกว่า จากคุณ : เงอะ (philosophism) - [ 24 ก.ค. 51 14:50:37 ]