ความคิดเห็นที่ 1 เวลาแปลผมจะถามตัวเองว่า คนไทยพูดภาษาไทยกันอย่างนี้หรือเปล่า   ไม่ถึงกับแก้ความหมายให้ผิดไปนะครับ   แต่เรียบเรียงให้เป็นภาษาไทยแบบที่เราใช้กันในชีวิตประจำวัน   ส่วนการจะคงความหมายเดิมไว้ได้แค่ไหน   ขึ้นกับฝีมือแล้วครับ   ยอมรับว่าบางทีผมก็ทำหายหกตกหล่นบ้าง   หรือขยายขึ้นมาบ้าง   สุดแท้แต่เนื้อหา จากคุณ : Tanis - [ 4 ส.ค. 51 10:03:05 ]

ความคิดเห็นที่ 2 หลักการของแอ๊ด หรือ Add's Principles ซึ่งแอ๊ดขอรับผิดชอบแต่ผู้เดียว ไม่เกี่ยวกับคนอื่น การแปลที่ดีคือ 1.ถ่ายทอดสาระ ไม่ผิด ไม่ขาด ไม่เกิน จากต้นฉบับ 2.มีความสละสลวยงดงาม เหมาะสมกับกาละเทศะ ของภาษาปลายทาง โดยลำดับความเร่งด่วนตามนั้น คือ 1 มาก่อน 2 เสมอ ทำไม? คนแปลทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างคนเขียนกับคนอ่าน ไม่ได้มีหน้าที่ไปเขียนคิ้วทาปากเติมหนวดเติมเคราให้เขา กุ๊กส่งออกจากครัวมาจืด หน้าที่ของบริกรคือยกไปประเคนให้คนกินมันทั้งจืดๆอย่างนั้นแหละ ไม่ได้มีหน้าที่ไปคอยดมคอยชิมเติมนั่นเติมนี่ให้เขา อาจจะบอกคนกินก็ได้ว่า อ่อนเค็มนะครับ แต่คุณต้องเติมเอาเอง ไม่ใช่เติมให้เขาเสร็จจนเขานึกว่ามันออกจากครัวมาอย่างนั้น คนแปลเปรียบเหมือนบริกรครับ จัดใส่จานใส่ชามยกให้ถึงคนกินก็พอ การแปลโดยตรงต่อความหมายไม่เหมือนกับการแปลคำต่อคำนะครับ ดังนั้น การแปลในอุดมคติต้องเป็นอย่างนั้น ในทางปฏิบัติ เนื่องจากข้อจำกัดของภาษาปลายทางซึ่งยังไงๆมันก็เข้ากันไม่ได้ร้อยเปอร์เซนต์กับภาษาต้นทาง การเลือกใช้ถ้อยคำศัพท์แสงและสำนวนให้เหมาะสมที่สุดกับสถานการณ์เป็นสิ่งจำเป็นครับ ก็คงไม่ได้ครบถ้วนทั้งหมดหรอก อนุโลมได้ แต่ผมเห็นว่ามันต้องยึดหลักการไว้ก่อน และข้างต้นคือหลักการของผมครับ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 4 ส.ค. 51 11:20:16 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ยึดตามหลักการคุณแอ๊ดเหมือนกันค่ะ แต่เข้าใจคุณจขกท. นะ เพราะมือใหม่มักจะสงสัยว่าควรจะคงไว้แค่ไหน ที่สำคัญที่สุดคือความหมาย ต้องยังพูดเรื่องเดียวกันไม่ผิดเพี้ยน และรสภาษา ถ้าเขาเเสบมาก็ต้องแสบไป หวานมาก็ต้องหวานไป ไม่ใช่ภาษาต้นทางเฮมมิงเวย์ แต่แปลออกเป็นยี่เกใส่ชฎารำป้อ รูปประโยคมาที่สอง จริงๆ แล้ว passive ไม่ใช้กันในภาษาไทยนัก นอกจากจะหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ และอีกข้อคือ ภาษาไทยเรามักละประธานไว้ ไม่ he, she ,it ทุกประโยคเหมือนภาษาอังกฤษ เวลาแปลก็ตัดๆ ไปได้ ถ้ายังได้ความอยู่ ข้อต่อมาคือแปลให้เป็นภาษาปลายทางที่ใช้กัน พยายามปัดเนยออกอย่าให้เยิ้มนัก พูดมาแล้วก็นั่นแหละ เวลาลงมือจริงๆ ก็ต้องคอยถามตัวเอง อ่านทวนไปเรื่อยๆ นานเข้ามันก็เข้าเกียร์ออโต้ไปเองแหละ ลองค่ะ ลองทำดู ไม่แน่ใจก็ลองเอาตัวอย่างมาให้เพื่อนๆ ที่นี่ช่วยดูก็ได้นะคะ แถวนี้คนใจดีเยอะ :-) จากคุณ : lilymay - [ 4 ส.ค. 51 12:48:27 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ในฐานะที่เคยเป็นมือใหม่ (แต่ยังไม่กล้าเรียกตัวเองว่านักแปล แม้จะมีหนังสือออกมาห้าหกเล่มแล้วก็ตาม เพราะยังคิดว่าต้องฝึกวิทยายุทธอีกเยอะ) และมิได้จบด้านภาษาหรือการแปล เหมือน จขกท. เห็นด้วยกับ คุณ Tanis น้าแอ๊ด (ขออนุญาตเรียกตามคนอื่นนะครับ) และคุณ lilymay ทุกอย่างครับ และอยากให้ จขกท. ยึดตามหลักของทั้งสามท่านไว้นะครับ เพราะว่าถ้าขืนคุณแปลไปตามต้นฉบับเด๊ะแบบคำต่อคำ มีหวังทาง บก. เก็บงานคุณเข้าลิ้นชักแน่นอน (ไม่รู้ว่าทาง สนพ. ให้งานคุณมารึยังครับ) แต่ถ้าคุณได้เจอ บก. ใจดีและเก่งๆ แนะนำข้อผิดพลาดให้คุณกลับมาแก้ไขก็จะนับว่าโชคดีมาก ผมเดาเอาเองว่าคุณคงอ่านหนังสือแปลมาพอสมควร หรือไม่งั้นก็อ่านหนังสือภาษาอังกฤษมามาก เลยนึกอยากเป็นนักแปล ถ้าเป็นกรณีแรก ผมว่าคุณแปลต้นฉบับของคุณไปได้แค่สองสามหน้า แล้วลองมาอ่านดู ก็น่าจะพอดูออกนะครับว่า แปลออกมาตรงเป๊ะ แต่ไม่สละสลวยคงอ่านไม่สนุกแน่ (ผมจะขอพูดถึงหนังสือนิยายนะครับ เพราะถ้าเป็นเอกสารคงต้องรอคุณ agelesstansy มาให้ความกระจ่าง) แต่ถ้าเป็นอย่างกรณีที่สอง คืออ่านหนังสือภาษาอังกฤษ หรือภาษาต้นฉบับมามาก แล้วเกิดความอยากจะถ่ายทอดให้คนอื่นได้อ่านด้วย ก็แนะนำให้ลองซื้อหนังสือแปลมาอ่านซักหลายๆเล่มหน่อย สุดท้าย ไม่ว่าคุณจะเกิดอยากแปลไม่ว่าด้วยกรณีไหนก็ตาม แต่ยังไม่รู้ว่าจะแปลมาเป็นสำนวนไทยยังไงให้มันสละสลวยดี น่าอ่าน ขอแนะนำให้ซื้อหนังสือแปลแนวที่เราชอบมาซักสองสามเล่ม แล้วก็ซื้อต้นฉบับมาด้วย เปิดเทียบกันเลยครับ เอาของนักแปลดังๆก็ได้ครับ ดูว่าท่านเหล่านั้นแปลกันยังไง แล้วดูไว้เป็นแนวครับ ผมเคยใช้วิธีนี้ตอนที่ได้งานมาเล่มหนึ่ง ห้าร้อยห้าสิบหน้า แต่คนเขียนๆได้เก่งมาก กว่าจะตีความได้แต่ละประโยค หรือแต่ละย่อหน้าเลือดตาแทบกระเด็น (มือใหม่หลายคนคงต้องเจอ) แปลได้วันละห้าหน้า มองเห็นนรกอยู่รำไรเลยล่ะครับ โอ...วันละห้าหน้า ห้าร้อยห้าสิบหน้า ก็คือสี่เดือน กว่าหนังสือจะออกอีก เราจะเอาอะไรกินล่ะหว่า โชคดีที่ บก. ของผมเคยแปลของนักเขียนคนนี้เอาไว้ ผมก็เลยขอต้นฉบับ มาเทียบกับฉบับแปล...นั่นแหละครับ ถึงได้เห็นสวรรค็ จากสี่เดือนก็เลยเหลือสองเดือนกว่า... จะเป็นนักแปลต้องอึดหน่อยนะครับ...ขอให้โชคดีครับ...อย่าลืมยึดหลักของทั้งสามท่านนะครับ จากคุณ : OUTSIDER - [ 4 ส.ค. 51 20:31:09 A:58.9.195.109 X: ]

ความคิดเห็นที่ 5 แปลตรงในที่นี้หมายถึงตรงกับความหมายและอรรถรสค่ะ ไม่ใช่ตรงกับโครงสร้างไวยากรณ์เดิม ส่วนอย่างอื่นก็อย่างที่ท่านบนๆว่าไว้ค่ะ จากคุณ : มณฑารัตน์ - [ 4 ส.ค. 51 20:52:40 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ขอบคุณทุกท่านมากนะคะ  เป็นคำแนะนำที่มีประโยชน์มากเลยค่ะ  ตอนนี้จขกท.แปลภาษาเยอรมัน-ไทยค่ะ มีอังกฤษไทยบ้างเล็กน้อย  แปลแค่เอกสารซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์  ยังมิอาจหาญแปลนิยายค่ะ  แปลให้ดีนี่ยากเหมือนกันนะคะ บางประโยคเหมือนง่าย เราอ่านภาษาต้นฉบับเข้าใจ แต่กว่าจะแปลเป็นภาษาไทยได้ก็ใช้เวลา  จริง ๆ ไม่เคยคิดเป็นนักแปลค่ะ  แต่เราชอบภาษา และมาอยู่เยอรมันนานหลายปี ภาษาเยอรมันอยู่ในขั้นดี จึงลองไปโพสโปรไฟล์เราในเว็บ proz.com มีคนติดต่อมาบ้าง เลยคิดว่าน่าจะลองฝึกฝนฝีมือแปลไปเรื่อย ๆ ค่ะ จากคุณ : Sonnenschein - [ 5 ส.ค. 51 04:39:56 ]

ความคิดเห็นที่ 7 จะเปรียบเทียบการ “แปลถูกต้อง ไม่ขาด ไม่เกิน” ในหลายๆสถานการณ์ให้ดู แปลอังกฤษเป็นไทย หนังสือที่ไม่ค่อยยาก “แปลถูกต้อง ไม่ขาด ไม่เกิน” ทำได้ง่ายมากๆ  แต่ถ้าไปเจอหนังสือที่นักเขียนฝรั่งใช้ metaphors แบบหลุดโลกเลย ไม่รู้ว่าเขาเอา cells ส่วนไหนในสมองเขียนออกมา จะแปล “แปลถูกต้อง ไม่ขาด ไม่เกิน” ทำได้ยากมากๆ  เราเคยช่วยเพื่อนแปลหนังสือแบบนี้ไปเล่มหนึ่ง บทต้นๆ  เราแปลไปก็ด่าคนเขียนไป เพราะเราไม่ชอบอ่านหนังสือแบบนี้ แต่พอเพื่อนเรา ที่เคยแปลหนังสือสำนวนแบบนี้จนชำนาญ อธิบายให้ฟัง  บทหลังๆเราพอจะหาทางหนีที่ไล่ได้ดีกว่าเดิม แต่นั่นมันแปลอังกฤษเป็นไทย แปลไทยเป็นอังกฤษ ส่วนใหญ่แล้วเอกสารที่มาจากหน่วยงานไทย หลายๆชิ้น  จะแปล “แปลถูกต้อง ไม่ขาด ไม่เกิน” ทำไม่ได้เลย  ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า คนเขียน “ระบบตรรกชำรุด”  ยกตัวอย่างเช่น เราช่วยเพื่อนแปลเอกสารฉบับหนึ่ง เจอประโยคแปลกๆ นับเป็นร้อยๆประโยคเลย  ยกตัวอย่างมาประโยคหนึ่งคือ “ให้เอามิเตอร์ประธานบวกสับมิเตอร์(submeter)" เราแปลไปว่า “The main meter and submeters should be added together.” เพราะเราตีความว่า ให้เอามิเตอร์เป็นเครื่องๆ (ใน storage หรือ inventory) มาบวกกันว่ามีกี่เครื่อง เพื่อนเรานั่งข้างๆหัวเราะก๊ากออกมาเลย  เธอแปลไทยเป็นไทยว่า “ให้เอาค่าที่อ่านได้จากมิเตอร์ประธานบวกกับค่าที่อ่านได้จากสับมิเตอร์(submeters)” ที่ตีความได้เพราะเธอทำงานในหน่วยงานนั้นมาก่อน เราเลยต้องเปลี่ยนคำแปลเป็น “The readings taken from the main meter and submeters should be added together.” ทีนี้มาเข้าประเด็นที่สำคัญแล้วนะ งานแปลที่หน่วยงานต่างๆของไทย ส่งออกไปแปลข้างนอก (outsource) นั้น ถ้าแปลไทยเป็นอังกฤษ โอกาสที่จะแปลผิดแบบหน้ามือเป็นหลังมือ มีมากๆเลยหละ เพราะถ้าหน่วยงานไม่ยอม deal กับ freelance translator เป็นรายบุคคล เขาก็จะส่งไปให้บริษัทแปล  บริษัทแปลก็จะไม่ยอมให้นักแปลติดต่อกับหน่วยงาน นักแปลพออ่านต้นฉบับภาษาไทยไม่เข้าใจก็จะต้องแปลผิดแหงๆเลย  แล้วถึงบริษัทแปลจะยอมให้นักแปลติดต่อกับหน่วยงาน หรือจะยอมลงทุนถามหน่วยงาน แต่ในเชิงปฏิบัติ ทำไม่ได้แน่ๆ  คือเคยทำแล้ว แล้วต้องทะเลาะตบตีกัน เนื่องจาก เอกสาร 500 หน้าที่ต้องแปล เขาเขียนแบบนี้ (แบบคนอ่านเข้าใจคนเดียว) ถ้าถามละก้อคนเขียนต้องหงุดหงิดหาว่าเราไปไล่เบี้ยเขา ...เพราะนักแปลก็โมโหเหมือนกันว่า เมื่อไหร่จะได้เงินกัน ถ้ามัวแต่ต้องโทรไปถามให้คนเขียนแปลไทยเป็นไทย ก่อนที่นักแปลจะแปลเป็นอังกฤษได้ ... เราเคยเขียนกระทู้บ่นๆบนเวป  คนอ่านไม่เคยทำงานแปลก็เข้ามาตอบว่า “ข้อความแบบที่เราเจอ มันเป็น jargon ในหน่วยงานนั้น"  คำตอบของเราก็คือว่า "No.” มันไม่ใช่ jargon แต่คนไทยเป็นจำนวนมาก เขียนหนังสือแบบนี้ เนื่องจาก “ระบบตรรกะชำรุด” แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 51 05:08:44 จากคุณ : agelesstansy - [ 5 ส.ค. 51 05:06:05 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เราคิดว่าคนไทยเป็นจำนวนมากเขียนภาษาไทยแล้วอ่านไม่รู้เรื่องเพราะระบบตรรกะชำรุด เราคิดเช่นนั้น เพราะอะไร?   ตอบ จากการทำงานต่างแดนในบริษัทฝรั่งหลายๆบริษัท (เราเปลี่ยนงานบ่อยๆ) มา 15 ปี  เราไม่เคยพบฝรั่งคนไหนที่เขียนภาษาอังกฤษเกี่ยวกับงาน แล้วเราอ่านไม่รู้เรื่อง เลยแม้แต่สักคนเดียว แต่จากการทำงานแปลเอกสารในเมืองไทย มา 15 ปี  เราเจอคนไทยที่เขียนภาษาไทยเกี่ยวกับงาน แล้วเราอ่านไม่รู้เรื่อง ไม่รู้เรื่องแบบมืดแปดด้านเลยหละ  เจอมากจนน่ากลัวว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนไทย...!!! สรุปแล้วนะ ถ้าคุณทำงานแปลไทยเป็นอังกฤษ เป็นอาชีพหลัก โอกาสที่จะ “แปลถูกต้อง ไม่ขาด ไม่เกิน” ให้ได้ทุกครั้ง มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เนื่องจาก "ประโยคภาษาไทยที่คนไทยเขียนกัน ส่วนใหญ่จะมีข้อบกพร่องในเชิงตรรกะ ทำให้คนไทยกับคนไทยสื่อสารกันไม่ค่อยจะได้"   แม้กระทั่งเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องยาก แต่เป็นแค่เรื่องธรรมดาๆนะ บางทีอ่านไปแล้วก็ทำให้เข้าใจผิด เช่นเจ้าหน้าที่อำเภอเขียนบันทึกการหย่า เขียนมา แค่ว่า หย่ากันแล้วมีลูกกี่คน ฝ่ายไหนนเอาลูกคนไหนไปเลี้ยงบ้าง  เขียนมาง่ายๆ เราอ่านไม่เข้าใจแปลผิดหมดเลย จนลูกค้าไปถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองที่อเมริกาแล้ว และมีปัญหากับ immigration officer จึงต้องโทรมาเมืองไทยว่าทำไมแปลผิด  บริษัทแปลก็โทรมาต่อว่า เราก็งัดภาษาไทยขึ้นมา บอกว่าภาษาไทยมันเป็นแบบนี้ เราก็ต้องแปลแบบนี้ เราไม่ใช่มีหน้าที่เดาใจคนเขียน แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 51 05:17:32 จากคุณ : agelesstansy - [ 5 ส.ค. 51 05:14:48 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เรายอมรับว่าในรอบ 15 ปีของการทำงานแปลเอกสาร เราเคยต้องแปลเอกสารภาษาไทย ยาวนับร้อยๆหน้า ไปเป็นอังกฤษทั้งๆที่เรารู้ว่าเราอ่านต้นฉบับภาษาไทยไม่รู้เรื่องเลย ถ้ามัวแต่ยึดหลักคุณธรรมที่ว่า “อ่านต้นฉบับไม่รู้เรื่องก็ไม่ต้องแปล” นั่นก็หมายความว่า เอกสารภาษาไทยทั่วประเทศไทย จะโดนนักแปลทุกคนปฏิเสธที่จะแปลกันหมด   ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า จากการพูดคุยกับเพื่อนๆนักแปลที่ต้องแปลไทยเป็นอังกฤษเป็นประจำนั้น ทุกคนก็มีปัญหาเหมือนกับเรา ตอนเราหัดแปลใหม่ๆ เวลาเจอประโยคภาษาไทยที่เราอ่านไม่เข้าใจ เราจะเอาไปถามนักแปลรุ่นพี่ๆของเราในบริษัท  นักแปลคนที่เก่งที่สุด (ระดับที่เรานับถือ คารวะถึงขั้นเรียกอาจารย์เลยหละ) พอได้ยินคำถามเรานะ เขายิ้มด้วยอารมณ์ดีๆ แล้วสอนเราไว้ว่า “คุ๊ณณณณณณ....เวลาคนไทยเขาเขียนอะไรน่ะ อย่าไปเชื่อให้มันมากนักนะ....ฮ่าๆๆๆๆ.....เวลาผมอ่านภาษาไทยไม่รู้เรื่อง ผมก็แต่งประโยคให้เขาใหม่ แล้วเขียนประโยคภาษาอังกฤษสวยๆ เพราะแปลให้ถูกต้อง ไม่ขาด ไม่เกิน มัน impossible อยู่แล้วหละครับ” ในขณะที่เราอ่านหนังสือภาษาอังกฤษยากๆที่นักเขียนฝรั่งเล่นคำ ตอนแรกนึกด่า แต่พออ่านๆไปเราคิดว่าก็สวยหรูดีนี่นา เราเลยช่วงหลังๆ  ตัดประโยคภาษาอังกฤษยากๆสวยๆมาแปะไว้ใน file และอ่านไปแล้วชื่นชมคนเขียนไป แต่ในทางกลับกัน ทุกครั้งที่เราแปลไทยเป็นอังกฤษ แทบจะไม่มีครั้งใดในชีวิตเลยที่เราอ่านไปแล้วชื่นชอบคนไทยที่เขียนเอกสารมา ซึ่งเราเคยทำงานในบริษัทแปลใหญ่ แบบทำงานรับเงินเดือน แล้วนั่งอยู่ในห้องที่มีนักแปลนั่งรวมกัน 4 -5 คน วันๆหนึ่งพวกเราจะมีกิจกรรมคลายเครียด โดยการอ่านประโยคภาษาไทยในเอกสารที่พวกเราแปล ให้กันและกันฟัง  พออ่านเสร็จ คนที่กำลังแปลเรื่องนั่นอยู่ ก็จะ “ด่าแม่คนเขียน” แล้วนักแปลคนอื่นๆก็จะหัวเราะ แล้วรอถึงตาตัวเอง อ่านให้คนอื่นฟัง แล้วด่าแม่คนเขียนบ้าง แล้วรอให้เพื่อนๆนักแปลคนอื่นช่วยๆกันหัวเราะขำ  นี่เป็นเรื่องจริง ที่ว่า “เวลาแปลอังกฤษเป็นไทยเวลานักแปลเจอประโยคแปลกๆพิสดาร นักแปลพอค้นดีๆจาก dictionaries หรือ google แล้วมักจะลงเอยเกือบ 100% ที่ต้องสรุปว่านักเขียนฝรั่งเขียนมายากแต่มีเหตุผลจริงๆ  และนักแปลก็จะ appreciate ที่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ แต่เวลาแปลไทยเป็นอังกฤษ แล้วเจอประโยคแปลกๆพิสดารจนถึงชั้นมืดแปดด้าน ต่อให้ค้นหรือถามนักแปลด้วยกันอีก 10 คน ทุกคนก็ลงความเห็นว่า อ่านไม่รู้เรื่องหมด ก็เลยส่วนใหญ่นะ จะแปลไปด่าแม่คนเขียนไป ตามประเพณีที่ถือปฏิบัติกันในหมู่นักแปล (ที่แปลงานด่วน) ด้วยกัน” แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 51 13:28:36 แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 51 13:27:34 แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 51 05:30:57 จากคุณ : agelesstansy - [ 5 ส.ค. 51 05:28:39 ]

ความคิดเห็นที่ 10 คราวนี้เราจะมาพูดถึง แปลอังกฤษเป็นไทยที่ เราแปลถอดรหัสแจนกลายเป็น "แปลเกิน แต่เป็นประโยชน์แก่ผู้อ่าน" มันคือคำแปลบนที่ 3 ของ Dao De Jing ที่เขียนโดยปรมาจารย์เล่าจื้อ แล้วแปลโดย Dr. James Legge  จากจีนเป็นอังกฤษอย่างซื่อสัตย์ต่อต้นฉบับจนทำให้เราพอที่จะ "ถอดรหัส" ได้ เนื่องจากว่าเราเคยอ่านคัมภีร์อีกเล่มหนึ่งที่เนักพรตเต๋าจีน เขียนไว้ไว้เมื่อ 300 ปีที่แล้ว (คัมภีร์แปลจากจีนเป็นอังกฤษ) ที่เขาคิดวิชาการนั่งสมาธิและการเดินลมปราณได้จาก Dao De Jing แล้วเขียนอธิบายไว้เป็นหลักวิชา Alchemy ซึ่งเป็นวิชาที่ผสาน jing (sexual energy), qi (พลังลมปราณ) และ shen (วิญญาณ) ให้กลายเป็น elixir of life (ยาอายุวัฒนะ) เพื่อ attain immortality (กลายเป็นเซียน) .......แต่ถ้าฝึกไม่ถึงระดับถอดวิญญาณออกไปเป็นเซียนได้ อย่างน้อยๆก็แค่คงไว้ซึ่งความอ่อนวัยตลอดกาลได้ จะเห็นได้ว่า การแปลซื่อสัตย์ต่อต้นฉบับ กับการแปลเกิน มันก็มีประโยชน์กันไปคนละอย่าง 1. การแปลแบบซื่อสัตย์ต่อต้นฉบับ Dr. James Legge  (1815-97) เป็นชาว Scottish (สอนที่ Oxford University) เคยทำงานในฮ่องกงนานถึง 25 ปี น่าจะเก่งภาษาจีนมากๆ อาจรู้ว่า ปรมาจารย์เล่าจื้อ ตั้งใจเขียนคลุมเคลือเพื่อหลอก ให้คนตีความผิดเป็น "รัฐศาสตร์ หรือจริยธรรม" ด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่ต้องการให้คนชั้นต่ำได้วรยุทธ์อันล้ำเลิศไป ดังนั้น นักแปลท่านนี้จึงสานต่อเจตนารมย์ของปรมาจารย์เล่าจื้อเอาไว้ 2. เราแปลเกิน เพราะเราคิดว่า มันหมดสมัยที่จะสอน "เต๋า" แบบโบราณๆแล้ว และในโลกนี้ มันยังมีผู้คนที่ทุกข์ยากมากๆ อีกเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยที่ไม่มีเงินไปรักษาโรคร้ายๆ ด้วยการแพทย์แผนปัจจุบันที่มีค่าใช้จ่ายสูงมากๆ ซึ่งถ้าอ่านคำแปลของเรา ก็จะได้ประโยชน์จากการแปลเกินของเรา  เนื่องจากว่า Dao De Jing มี medical implications มากมาย จนถึงขั้นที่ว่าชาวจีนโบราณ ตีความ Dao De Jing แล้วสร้างวิชาการแพทย์แผนโบราณขึ้นมาได้อย่างน่ามหัสจรรย์...จริงๆแล้วในรอบ 23 ปีที่ผ่านนี้ เราเคยป่วยจนแทบปางตายหลายครั้ง แต่เราไม่ยอมไปหาหมอ เนื่องจากว่า เราเสียดายเงินที่จะเอาไปให้หมอ (คือกล้วไมมีเงินซื้อเหล้ากินน่ะ ...555++...) เราจึงรักษาตัวเองมาได้ตลอดอย่างน่ามหัสจรรย์ โดยอาศัยคัมภีร์โบราณพวกนี้หละ... คำแปลของเรา ที่แปล Dao De Jing บทที่ 3 เราเคยแปะไว้บน blog เดิมของเรา แล้วลบทิ้งไปแล้ว แล้วมีคนเอาคำแปลของเรา ไปแปะไว้บน blog เขาคือที่นี่ (แต่คำแปลนั้น ยังไม่ได้แก้ต้วสะกดนะ) ตาม link นี้ไปอ่านดู http://www.weloveshopping.com/template/w07/show_article.php?shopid=27909&qid=19058 เมื่อเร็วๆนี้เราแปะไว้ในห้องสมุดรวมใหม่  (แล้วแก้ตัวสะกดไปรอบหนึ่ง) อยู่ที่นี่ ตาม link นี้ไปอ่านดู http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K6891893/K6891893.html แก้ไขเมื่อ 19 ส.ค. 51 10:12:30 แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 51 14:46:40 แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 51 13:23:10 แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 51 06:06:06 จากคุณ : agelesstansy - [ 5 ส.ค. 51 06:04:52 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ขอลอกข้อสอบท่านทั้งหลายทีอยู่ด้านบนก็แล้วกันค่ะ แหะ ๆ ง่าย ๆ เลยนะคะคุณเจ้าของกระทู้ ภาษาต้นทางเขาว่ามาอย่างไร เราก็แปลไปให้ถูกต้องตามนั้นนั่นล่ะค่ะ อย่างที่หลาย ๆ ท่านบอกว่า ถ้าต้นฉบับเขาแรง ฉบับแปลก็ต้องแรงด้วย แปลแล้วก็ลองดูว่าถูกต้องตามหลักภาษาปลายทางหรือเปล่า  อ่านแล้วแปลก ๆ มั้ย ถ้าอ่านแล้วไม่ผิดไม่แปลกไม่แปร่งก็เป็นอันใช้ได้ค่ะ คุณ agelesstansy คะ สับมิเตอร์(submeter) ภาษาไทยเรียกว่า มิเตอร์ย่อยค่ะ เรื่องแปลต้นฉบับภาษาไทยโดยเฉพาะเอกสารและสื่อสิ่งพิมพ์เป็นภาษาอื่น เรายอมรับว่ายากค่ะ (จากที่เคยทำมาอยู่บ้าง) ไม่ใช่เพราะระบบตรรกะชำรุดหรอกค่ะ ในกรณีของหน่วยงาน เป็นเพราะว่าแต่ละวงการเขาก็มีภาษาที่เขาเข้าใจกันดี พูดสั้น ๆ ก็รู้กัน เวลาเขียน เขาก็เลยเขียนตามแบบภาษาที่เขารู้ เขาไม่ได้คิดนี่คะว่า วันหนึ่งจะมีคนเอาไปแปล หรือถ้าวันหนึ่งมีคนเอาไปแปลจริง เขาก็คาดหวังว่าคนแปลจะเข้าใจและรู้เรื่องค่ะ เราเองถ้าไม่รู้เรื่องก็ต้องถามค่ะ แปลผิดแปลถูกไป มีหวังโดนสกรัมแน่ จากคุณ : ปลาทองอัลไซเมอร์ (zaida, film mania) - [ 5 ส.ค. 51 10:11:04 ]

ความคิดเห็นที่ 12 #10 คุณแท่นไม่ได้แปล คุณแท่นไปเรียบเรียงใหม่ให้เขาเพราะคุณรู้มากกว่าเขา อย่างนี้ไม่นับเป็นการแปลตามนิยามของผมอ้ะ เป็นการเรียบเรียงขึ้นใหม่ที่ดี แต่ไม่ใช่การแปลที่ดี ต้นฉบับมันเพี้ยนอยู่แล้วก็เป็นเรื่องความเพี้ยนของต้นฉบับ คุณแท่นไปแก้ไขความเพี้ยนให้เขา ถือว่าเป็นบุญกุศลกับคนที่ได้อ่านเรื่องจริงดั้งเดิมที่คนรู้จริงมาเรียบเรียงให้อ่าน แต่มันก็ไม่ใช่การแปลที่ดีเพราะมันผิดกติกาการแปลเนื่องจากฉบับแปลของคุณมันถูกแก้ไขให้เพี้ยนจากต้นฉบับ อันที่จริง ถ้าคุณจะเขียนหนังสือขึ้นใหม่ทั้งเล่มเลยก็ยังได้เพราะคุณรู้จริง คุณเขียนเป็นหนังสือวิพากษ์วิจารณ์หนังสือเล่มที่เขียนมาผิดก็ได้ ยกเอาตำราของจริงมาเทียบจากหลายๆต้นตอ คนอ่านก็จะได้รับความรู้ ในกรณีที่ต้นฉบับมันผิดตรรกะ อ่านไม่รู้เรื่อง ใช้ถ้อยคำไม่เหมาะสม เป็นการเขียนที่ไม่ดี อย่างที่เฮียแท่นว่ามา ก็ขอแสดงความเห็นใจต่อเพื่อนๆที่จำเป็นต้องแปลเอกสารห่วยๆเหล่านี้นให้ได้เพราะปากท้องบังคับ ผมเข้าใจเพราะผมก็เคยเจอ โชคดีสำหรับผมที่ผมพอมีทางเลือกและทางออกดีกว่าเพื่อนๆ โดยมากผมสามารถโยนมันลงถังขยะได้ หรือไม่ก็เรียกคนเขียนมาเตะตูดอบรมไล่ให้ไปเขียนใหม่ได้อ้ะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 5 ส.ค. 51 14:08:11 ]

ความคิดเห็นที่ 13 55 เมื่อตะหานมาเป็นนักแปล ต้องขึ้นป้าย "เขียนดี เราช่วย ...เขียนห่วย โดนเตะ..." จากคุณ : พ่อโปรเจ็กต์ - [ 5 ส.ค. 51 17:24:36 ]

ความคิดเห็นที่ 14 นอกจากสองข้อข้างบนแล้ว ยังมีที่สำคัญอีกอย่างก็คือบก.ค่ะ อ้าว จริงนะ บางที่เขาก็ชอบให้คงรูปประโยค บางที่ก็ชอบให้เรียบเรียงใหม่ ก็ต้องปรับๆให้เข้ากันไป แต่เรื่องแปลครบความ ไม่ขาด ไม่เกิน นี่มาก่อนอยู่แล้วค่ะ จากคุณ : ทินา - [ 5 ส.ค. 51 21:50:33 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ขอกัดคุณปลาทองฯหนึ่งทีเหอะ อย่าง US military jargon เขาก้อมีเป็นเรื่องเป็นราว หาจาก google ยังมีเลย แต่ไอ้ประโยคของพี่ไทยน่ะ  มันไม่ใช่ jargon มันเขียนหลอกกันชัดๆเลย ยังไม่ทันตายเลยหลอกกันได้กลางวันแสกๆ  เพราะคนเขียนๆไปเรื่อย หรือพูดไปเรื่อยเช่นประโยคนี้นะจำจนขึ้นใจเลยว่า โดนหลอกจังๆ เป็นงานประมูลจัดซื้อจัดจ้างระบบคอมพิวเตอร์ของธนาคารออมสิน ตั้งแต่สมัยเขาจะเริ่มซื้อระบบคอมพิวเตอร์ชุดแรกน่ะ เขาเขียนมาแบบนี้ "เครื่องพิมพ์จะต้องสามารถพิมพ์ สมุดคู่ฝาก ใบฝาก และใบถอนได้" พอแปลไปนะว่า The printers must be capable of printing passbooks, payin slips and withdrawal slips. แล้วอ่านคำแปลเรานะ มันก้อเป็นธรรมชาติของโครงสร้างภาษาอังกฤษนิหว่า แต่มัน "เพี้ยนๆในเชิงตรรกะ พิกล พิกล ยังไง ยังไง บอกไม่ถูกว่ะ" นั่งเพ่งอยู่ตั้งนานแน่ะ แล้วถามเพื่อนๆนักแปลตั้งหลายคน พวกเขาก้อบอกว่า "แปลถูกแล้วนิหว่า???" พอเราคิดออกแล้ว เฉลยเท่านั้นหละ ใครที่กำลังดื่มเบียร์อยู่ก้อสำลักเบียร์ ใครที่กำลังสูบบุหรี่อยู่ก็สำลักควัน คำเฉลยง่ายๆก็คือว่า The printers must be capable of printing passbooks, payin slips and withdrawal slips. ถ้ายังงั้นนะ supplier ประสาทกินแน่ๆ เพราะไม่รู้จะไปหา printer ที่ไหนมา ให้มันมีขีดความสามารถเท่ากับแท่นพิมพ์ใหญ่ๆที่พิมพ์หนังสือ หรือ พิมพ์brochures ในโรงพิมพ์น่ะ เพื่อเอามาให้ tellers ในธนาคารใช้ คือว่าเราโดนไอ้คนเขียนต้นฉบับภาษาไทย มันหลอกเอาเสียโง่ไปเลยอ้ะ ... แท้จริงแล้วคำแปลที่ถูกต้อง ต้องเป็น The printers must be capable of printing all types of transactions onto passbooks, payin slips and withdrawal slips. แปลกลับไปเป็นไทยได้ว่า เครื่องพิมพ์จะต้องสามารถพิมพ์รายการธุรกรรมทุกประเภท ลงบน สมุดคู่ฝาก ใบฝาก และใบถอนได้ โธ่ไอ้เวร (หมายถึงไอ้คนเขียน) มีที่ไหนกันวะ computer printer ที่ไหนจะพิมพ์สมุดคู่ฝาก ออกมาเป็นเล่มๆได้ หรือพิมพ์ใบฝาก ใบถอนออกมาเป็นแผ่นๆได้...เอ็งมาหลอกข้าทำไมกันวะ...บ้าจริงๆเชียว... เราเคยแปล due deligence 500 หน้า จากไทยเป็นอังกฤษ เจอภาษาไทยแบบเนี้ย หน้าละ 2-3 ประโยค ทุกหน้าเลยหละ ....แปลไปก้อสาปแช่งไอ้คนเขียนไป ท้าพนันได้เลยว่า มันไม่ใช่ jargon ในหน่วยงาน แต่ที่คนในหน่วยงานเดียวกัน เขียนเพี้ยนๆกันทุกคน แล้วก็ยังดันสื่อสารกันได้ นั่นก็เพราะพวกเขามี cells ในสมองที่ชำรุดเหมือนๆกัน... และที่นักแปลรุ่นพี่เราพูดไว้ ที่เราเล่าให้ฟังใน คคห 9 ที่เขาพูดว่า “คุ๊ณณณณณณ....เวลาคนไทยเขาเขียนอะไรน่ะ อย่าไปเชื่อให้มันมากนักนะ....ฮ่าๆๆๆๆ.....เวลาผมอ่านภาษาไทยไม่รู้เรื่อง ผมก็แต่งประโยคให้เขาใหม่ แล้วเขียนประโยคภาษาอังกฤษสวยๆ เพราะแปลให้ถูกต้อง ไม่ขาด ไม่เกิน มัน impossible อยู่แล้วหละครับ” จริงๆแล้วนักแปลระดับเซียนคนนั้น เขาพูดตลกๆ แต่เขารู้ว่าจะแปลไทยเป็นไทยอย่างไร ก่อนที่จะแปลเป็นอังกฤษ เวลาเจอพวกบ้าๆเขียนภาษาไทยมาแบบ "เขียนอย่างหนึ่งแต่หมายถึงอีกอย่างหนึ่ง" เราแปล concept นี้ เป็นอังกฤษได้ว่า Many Thais do not mean what they say and do not say what they mean! และนั่นก็คือเหตุผลที่ว่า เด็กรุ่นหลังๆที่เรียนภาษาอังกฤษจากเมืองนอกมาจนเขียนภาษาอังกฤษเก่ง แต่พอมาแปลไทยเป็นอังกฤษแข่งกับนักแปลรุ่นลายครามแบบนักแปลรุ่นลูกพี่เรา ก็ยังแย่งงานจากนักแปลระดับรุ่นลูกพี่เราไปไม่ได้ เนื่องจาก ลูกพี่เรารู้วิธีแก้ภาษาไทยต้นฉบับที่เพี้ยนๆ ให้กลายเป็นภาษาอังกฤษที่อ่านรู้เรื่องได้ นั่นก็คือว่า เขาเดาถูกว่าไอ้คนเขียนภาษาไทยมันมาโง่แบบไหนบ้าง คือรู้ทัน จนครบจบกระบวนท่าเพลง นั่นเอง คำแปลภาษาอังกฤษของเขาจึง อีกหลายปีต่อมา หาเด็กรุ่นหลังๆ ทาบรัศมียังไม่ได้เลย จนกระทั่งถึงวันนี้นะ เขาจากโลกนี้ไปแล้วหละ...แต่ขณะที่ทำงานใกล้ๆกับเขานะ เราเรียนรู้อะไรจากเขาไว้มากมายเลยหละ...ไม่ว่าจะเป็นวิชาเทพหรือวิชามาร....!!! แก้ไขเมื่อ 06 ส.ค. 51 01:28:59 จากคุณ : agelesstansy - [ 6 ส.ค. 51 01:22:17 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ขอบคุณคุณ agelesstansy และท่านที่มาให้ความเห็นเพิ่มเติมนะคะ  ไม่ผิดหวังเลยที่มาโพสที่นี่ จากคุณ : Sonnenschein - [ 6 ส.ค. 51 05:18:06 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ^ ^ ^ จิ้มไปที่ความคิดเห็นที่ 15 กัดสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ดูตาม้าตาเรือ ระวังฟันหักนะจ๊ะ หนุ่มน้อย จากคุณ : ปลาทองอัลไซเมอร์ (zaida, film mania) - [ 6 ส.ค. 51 10:40:06 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ^ ^ ^ It doesn't matter so long as the person who is bitten develops a lovebite, ei, ei, ei. จากคุณ : agelesstansy - [ 6 ส.ค. 51 13:16:45 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ลูกป้าระเบียบรัตน์มาติดเรตให้ จากคุณ : Guga - [ 6 ส.ค. 51 14:49:41 ]

ความคิดเห็นที่ 20 อิจฉาว่ะ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ วันรพี 14:44:05 ]

ความคิดเห็นที่ 21 มีหลักการแปลแบบหนึ่งที่ผมใช้อยู่ เรียกว่า Meaning-Based Translation เป็นการแปลแบบเน้นความหมาย ประกอบด้วยหลัก 3 ข้อ 1. Accuracy ความหมายต้องถูกต้อง ตรงตามต้นฉบับจึงจะนับเป็นงานแปลที่ดี 2. Clarity ภาษาที่แปลเสร็จแล้ว ต้องอ่านเข้าใจชัดเจนดี ความหมายไม่กำกวม ไม่รู้ว่าต้องการสื่อว่าอะไร 3. Naturalness มีความเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่เป็นแบบฝรั่งพูดไทย พูดง่ายๆ คือ เราต้องสามารถถ่ายทอดภาษาต้นทาง ให้เป็นภาษาปลายทางได้ตรงความหมาย ชัดเจน และสละสลวย เป็นธรรมชาติในภาษาปลายทาง เรื่อง Active/Passive หรือโครงสร้างทางภาษาอย่างอื่นๆ นั้น เป็นแค่ฟอร์ม หรือรูปแบบภายนอก ซึ่งแต่ละภาษามีวิธีการสื่อไม่เหมือนกัน เราจึงไม่จำเป็นต้องรักษาฟอร์มของภาษาไว้ หน้าที่ของนักแปลตามความคิดของผมคือ เราต้องถ่ายทอดความหมายเป็นหลักครับ ดังนั้น ถ้าจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนฟอร์ม ต่างๆ ไปเพื่อความเป็นธรรมชาติของภาษาที่แปล ก็ควรทำ รวมทั้งการเปลี่ยนคำกล่าว คำพังเพยต่างๆ ให้เป็นแบบไทยๆ ด้วย (ตามแนวที่ลุงแอ๊ดถนัด) จากคุณ : compassion - [ 8 ส.ค. 51 16:31:33 ]

ความคิดเห็นที่ 22 มาดูกระทู้อีกที ขอบคุณคุณ compassion นะคะ จากคุณ : Sonnenschein - [ 9 ส.ค. 51 05:51:22 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ชื่อภาษาเยอรมัน แปลว่าไรครับ? ที่จริง มีอีกท่านหนึ่งในห้องนี้ ที่ถนัดภาษาเยอรมัน คือคุณลุดวิก พักนี้สงสัยงานยุ่ง ไม่ค่อยเห็นแวะเข้ามา จากคุณ : compassion - [ 9 ส.ค. 51 09:43:11 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ที่ทั่นประธานพูดใน #12 ว่า "....ในกรณีที่ต้นฉบับมันผิดตรรกะ อ่านไม่รู้เรื่อง ใช้ถ้อยคำไม่เหมาะสม เป็นการเขียนที่ไม่ดี อย่างที่เฮียแท่นว่ามา ก็ขอแสดงความเห็นใจต่อเพื่อนๆที่จำเป็นต้องแปลเอกสารห่วยๆเหล่านี้นให้ได้เพราะปากท้องบังคับ ....." ตอบ ขอบอกว่า ตอนที่เจอต้นภาษาไทยห่วยๆ แล้วแปลไปด่าแม่คนเขียนต้นฉบับภาษาไทยไปนั้น มันเป็น "งานแปลก๋วยเตี๋ยวเรือ"( คืองานแปลที่รับจากร้านแปลแล้วโดนร้านแปลกินหัวคิวไปแล้ว 50% แล้วเราได้ค่าแปลนิดเดียวเอง) แต่ในช่วงหลังๆที่ได้งานราคาแพงๆจากลูกค้าโดยตรงเพราะเพื่อนฝูงหามาให้โดยไม่กินหัวคิวเรานั้น ลูกค้าเขียนภาษาไทยแย่แค่ไหน เราก็แปลไป ยิ้มไป และพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะแก้ภาษาไทยแย่ๆของลูกค้า ให้กลายเป็นภาษาอังกฤษที่ดีๆ เนื่องจากว่า "เงินที่ได้ มันคุ้มค่า นั่นเอง" สรุป If you pay peanuts you will only attract monkeys. แต่ในทางกลับกัน มันก็มีนักแปลที่ "ลักไก่ลูกค้า" คือ "คิดค่าแปลแพงๆ เกินความสามารถของตัวเอง" แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 51 10:48:16 แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 51 10:43:10 จากคุณ : agelesstansy - [ 9 ส.ค. 51 10:38:39 ]

ความคิดเห็นที่ 25 คุณ compassion: ชื่อล็อกอินเราแปลว่าแสงแดดค่ะ เรายังรับงานไม่ค่อยเยอะ เท่าที่เจอปัญหามาจะเป็นงาน proofread ค่ะ คนที่แปลจากต้นฉบับมา มักไม่ค่อยมีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ ก็เลยแปลชื่อสารเคมีหรือชื่อเฉพาะทางวิทยาศาสตร์ผิด เราต้องมานั่งแก้ใหม่ เหมือนกับแปลใหม่เลย ทั้ง ๆ ที่ทำ proofread ได้เงินน้อยกว่าแปลอีก  เรารับงานจากบริษัทแปลที่ติดต่อมาทาง proz.com ค่ะ ถึงเราจะตั้งเรทของเราไว้ แต่เวลาบริษัทแปลให้งานมา เค้าจะตั้งราคาของงานแปลนั้นไว้อยู่แล้ว ถ้าเราเรียกสูงไป เค้าก็หาคนแปลใหม่ซึ่งมีให้เลือกมากมาย  เหมือนที่หลาย ๆ ท่านในหลาย ๆ กระทู้บอกไว้จริง ๆ ว่า ควรหางานประจำหรืองานที่มีรายได้สม่ำเสมอทำ แล้วทำงานแปลควบคู่ไปด้วย ถ้าทำงานแปลอย่างเดียวแรก ๆ คงมีปัญหาเรื่องรายรับ-รายจ่ายแน่ ๆ จากคุณ : Sonnenschein - [ 11 ส.ค. 51 03:23:10 ]

ความคิดเห็นที่ 26 proofread ผมเคยได้ประมาณ 30เปอร์เซ็นต์ของค่าแปล แต่ทำใจปล่อยงานไม่ค่อยได้เหมือนกัน เลยต้องทำซัก 110 เปอร์เซ็นต์ได้มั้ง 55555555 ทำหนักกว่าคนแปลเหมือนกันครับ สุดท้ายผมเลยไม่รับ เคยลองแปลให้เขาดูซัก 4-5 หน้า แล้วให้เจ้าของงานเปรียบเทียบดูเอง เชื่อไหม เขาดูแล้วบอกว่า โอเค งั้นแปลใหม่ไปเลยก็ได้ ยินดีจ่ายค่าแรงใหม่ จากคุณ : compassion - [ 11 ส.ค. 51 20:47:49 ]

ความคิดเห็นที่ 27 เราเคยหลงเข้าไปที่ http://www.proz.com/ ตั้งหลายปีมาแล้ว ทีแรกคิดจะลงทะเบียนไว้ที่นั่น แต่ก็แค่คิดๆแล้วก็ลืมไปทุกที ไม่เคยไปลงทะเบียนไว้เลย แต่สิ่งที่เห็นแล้วน่าทึ่งมากๆที่สุด นั่นก็คือว่า มีนักแปลชาวไทยเป็นจำนวนมาก ไปลงทะเบียนไว้ที่นั่น แล้ว quote ค่าแปลเป็นอัตราต่อคำ เอาไว้แบบอลังการมากๆเลยหละ บางอัตรานะ พอคิดเป็นหน้าแล้วได้หน้าหนึ่งตั้ง 2,000 บาทแน่  แต่พออ่านๆภาษาอังกฤษที่เขียน profile ตัวนักแปลเองนะ เขียนว่ามีวุฒิการศึกษาจากต่างประเทศสูงๆ มีประสบการณ์แปลสาขายากๆเพียบพร้อม แต่อนิจจา ภาษาอังกฤษที่พวกเขาเขียน มันมี non-native speaker's errors อยู่เพียบเลยหละ...!!  เราไม่รู้ว่าทำไมเขาจึงคิดแพงขนาดนั้น ทั้งๆที่ความสามารถต่ำขนาดนั้นนะ...??? แสดงว่า นักแปลพวกนี้ใจกล้ามากๆจริงเลยหละ...!! เอาไว้ว่างๆเราจะลองไปลงทะเบียนที่นั่นดูบ้าง ...555+++... ซึ่งเวลาเราเห็นนักแปลชาติอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักแปลชาวรัสเซีย เขาเขียนภาษาอังกฤษนะ น่าทึ่งจริงๆว่าเขาเขียนภาษาอังกฤษได้ดียังกับคนอังกฤษหรืออเมริกันจริงๆเลยหละ เราเลยคิดแปลกใจเหมือนกันว่า ประเทศรัสเซียมีระบบการเรียนการสอนภาษาอังกฤษยังไงกันหว่า คนของเขาจึงเก่งขนาดนี้นะ...??? เรื่อง proofread ที่คุยกัน ใน 25 และ 26 นั้นนะ  proofread หมายถึง "แก้ตัวสะกด" เราว่าพวกคุณคงหมายถึง edit (ตรวจแก้) คำแปลมากกว่า ในกรณีที่เป็นการ edit หนังสือแปลให้สำนักพิมพ์นะ นักแปลๆมาแย่ยังไง editor (บรรณาธิการต้นฉบับ) ก็ต้อง "กัดฟันแก้" ไป ทั้งๆ ที่แปลใหม่หมดมันจะง่ายกว่า  ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า สำนักพิมพ์เขาบังคับตายตัวไปเลยว่า ให้แสดงร่องรอยการแก้ไขให้หมด (ใช้ track changes) แต่เราเคย cheat โดยการแปลใหม่ทั้งประโยค แล้วแกล้งทำเป็นลบๆ แทรกๆ ไว้เป็นช่วงๆ เพราะเวียนหัวแก้ไม่ไหว เนื่องจากต้องแก้มันทุกบรรทัด ..นั่นเอง.... แก้ไขเมื่อ 13 ส.ค. 51 22:59:27 จากคุณ : agelesstansy - [ 13 ส.ค. 51 22:57:28 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ใช่ครับคุณสาวน้อยแท่นสี หมายถึง edit ครับ แต่เท่าที่ทำมานั้น บังคับว่าต้องตรวจแก้ไขตัวสะกดไปพร้อมๆ กันด้วย แก้ไขตัวสะกด แก้สำนวน เรียบเรียงใหม่ ซึ่งสุดท้ายแก้ (เปลี่ยน) คนแปลกลับจะง่ายกว่า 55555 (ขออภัย) จากคุณ : compassion - [ 14 ส.ค. 51 11:07:49 ]