ความคิดเห็นที่ 1 ดุ๊กออฟเจนัวพระองค์นี้ ทรงเป็นพระสหายสนิท ซึ่งเคยเสด็จมาประเทศสยามก่อนหน้านี้ ซึ่งก่อนที่รัชกาลที่ ๕ จะเสด็จมายังประเทศอิตาลี ท่านทรง ส่งพระราชหัตถเลขาถึงดุ๊กออฟเจนัวพระองค์นี้ เนื้อความในจดหมายน่าสนใจมากครับ ทรงปรารถว่าทรงอยากพบเจอดุ๊ก และหวังจะพบที่ซานเรโมแห่งนี้ ดุ๊กเองก็มีพระราชไมตรีตอบรับที่ดีเยี่ยม และเสด็จเยี่ยมพระองค์ท่าน ณ วิลลาโนเบลแห่งนี้ นี่คือภาพในมุมเดียวกัน ในอีก ๑๐๐ ปีต่อมา ที่ทีมงานถ่ายไว้ครับ แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 51 12:40:12 แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 51 12:34:36 จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 4 ส.ค. 51 12:31:29 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เราศึกษาข้อมูลและเดินทางตามรอย “ไกลบ้าน” ไปยังเมืองซานเรโม โดยใช้รถไฟเป็นพาหนะในการเดินทางเช่นเดียวกับที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงใช้เพื่อเสด็จประพาส แต่สถานีรถไฟปลายทางเมืองซานเรโมในปัจจุบันที่เราเดินทางไปถึง กลับกลายเป็นสถานีรถไฟแห่งใหม่ไปเสียแล้วนะครับ โดยสถานีรถไฟในครั้งนั้นได้ถูกปรับปรุงและใช้เป็นห้องสมุดของเมืองซานเรโมไปเป็นที่เรียบร้อย และเมื่อเราเดินทางไปถึงห้องสมุดแห่งนี้ก็พบว่า ยังคงเก็บรักษาหนังสือพิมพ์เก่าไว้มากมาย ซึ่งหลายฉบับเมื่อ ๑๐๐ ปีก่อน ปรากฏเรื่องราวโดยละเอียดเมื่อครั้งที่สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จฯ ประทับเมืองซานเรโม   นี่คือภาพในวันที่พระองค์ท่านเสด็จถึงซานเรโมครับ เป็นภาพถ่าย ณ สถานีรถไฟเมืองซานเรโม เมื่อ ๑๐๐ ปีก่อน จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 4 ส.ค. 51 12:39:17 ]

ความคิดเห็นที่ 3 สถานีรถไฟในวันนั้น เปลี่ยนมาเป็นแบบนี้ (ในภาพ) ทำให้เรานึกแปลกใจว่า สมัยนั้น สถานีรถไฟใช้สีชมพูอย่างนี้หรือเปล่า สอบถามจากเจ้าหน้าที่พนักงานแล้ว ก็ไม่มีใครทราบถึงเรื่องสีของอาคารครับ อย่างที่บอกว่า สถานที่นี้ได้เปลี่ยนเป็นห้องสมุดของเมืองไปเป็นที่เรียบร้อยครับ จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 4 ส.ค. 51 12:43:37 ]

ความคิดเห็นที่ 4 สารคดีนำเสนอเรื่องราวในช่วงที่พระองค์ท่านเสด็จมายังเมืองซานเรโมไปบ้างแล้วนะครับ ในส่วนของเนื้อหาที่ปรากฏในไกลบ้าน ช่วงระหว่างการประทับยังเมืองซานเรโม ติดตามได้ในสารคดีที่จะออกอากาศในวันนี้ตอน 20.20 น. ทางช่อง Thaipbs นะครับ อยากขอเสนอช่วงหนึ่งของการตามรอยพระองค์ท่านครับ ผมเองมีโอกาสได้เจอโปสการ์ดใบหนึ่งเข้าโดยบังเอิญ เป็นความบังเอิญที่เหมือนมีอะไรดลใจอย่างที่เราเองก็บอกไม่ถูก โปสการ์ดที่ว่า เป็นโปสการ์ดที่ปรากฏอยู่ในไกลบ้านครับ เป็นพระราชหัตถเลขาความตอนหนึ่งว่า “ คนมาดูอยู่ที่น่าร้านเต็มเสียแล้ว เพราะรู้จักเหลือที่จะรู้จัก ไปเจอโปสต์ก๊าดรูปพ่อเอง ขายอยู่เสียที่ร้านนั้นแล้ว ” “โปสต์ก๊าดรูปพ่อเอง”  ปรากฏอยู่ตรงหน้าของผม ในวันที่เดินทางเพื่อชมตลาดของเมืองในแบบที่ไม่คาดคิด ในร้านขายภาพแห่งหนึ่ง! เป็นโปสการ์ดอายุ ๑๐๐ ปีเต็ม สวยงามมากครับ อยากเห็นที่มาชัดๆ โปรดติดตามในสารคดีคืนนี้ครับ จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 4 ส.ค. 51 12:56:47 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ขอนำเสนออีกเรื่องที่ผมคิดว่าน่าสนใจมาก และเป็นการต่อความในไกลบ้านได้ดีครับ เนื่องจากเวลาผ่านมา ๑๐๐ ปีแล้ว เจ้าของวิลลาโนเบลในเวลานั้นที่พระองค์ท่านเสด็จมีชื่อว่านายปาโรดี ชายคนนี้ได้มีโอกาสถวายการรับเสด็จรัชกาลที่ ๕ ด้วยครับ มีภาพซึ่งเป็นภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ทรงถ่ายนายปาโรดี ครั้งที่พระองค์เสด็จเยี่ยมครับ นั่นคือภาพนี้ แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 51 13:03:45 จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 4 ส.ค. 51 13:02:00 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เข้ารายงานตัวว่าได้ติดตามชมสารคดีชุดนี้อย่างใจจดจ่อ และ ด้วยความปลื้มเป็นพิเศษครับ คือติดตามดูทั้งที่ออกอากาศวันจันทร์ / วันเสาร์ / และ วันอาทิตย์ครับผม จากคุณ : ทนายอ้วน - [ 4 ส.ค. 51 13:02:13 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ในช่วงที่พระองค์ท่านเสด็จเมืองซานเรโม ชายผู้นี้ถือเป็นคนใหญ่คนโตของเมืองเลยทีเดียวครับ เพราะด้วยความร่ำรวย และที่สำคัญ โปสการ์ดที่เราห็นด้านบน และพระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นเมื่อ ๑๐๐ ปีก่อน เป็นฝีมือของชายผู้นี้ที่จัดพิมพ์เพื่อถวายการรับเสด็จครับ นี่คือความในไกลบ้านที่ทรงกล่าวถึงนายปาโรดีครับ “ ตาปะโรดีนี้อยู่ข้างจะเปนคนมีศรัทรามาลา สร้างวัดที่ริมบ้านนั่นเอง เมื่อพิจารณาดูทั้งหมดแล้วให้รฦกถึงพระภาษี (เล็ก) จริงๆ อัธยาไศรยกว้างขวางคล้ายคลึงกัน เมียนั่นท่าทางเหมือนเศรษฐินีสมบุญบ้านผักไห่ เปนเศรษฐีชั้นนั้นสำหรับเมืองนี้ตรงทีเดียว ” แต่เรื่องน่าเศร้าก็คือว่า ชายผู้นีเสียชีวิตในปี ค.ศ. ๑๙๕๒ ภายหลังจากการเสียชีวิตเพียง ๕ ปี ลูกชายคนเดียวของเขาก็ทำการผลาญทรัพย์สมบัติอันมหาศาลจนหมด เหลือเพียงชื่อตระกูลที่ติดอยู่ตรงหน้าโบสถ์เล็กๆ หลังนั้นให้เป็นที่จดจำ ซึ่งโบสถ์แห่งนี้ รัชกาลที่ ๕ เสด็จทอดพระเนตรด้วยนะครับ จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 4 ส.ค. 51 13:20:20 ]

ความคิดเห็นที่ 8 นำเสนออีกเรื่อง น่าสนใจและทำให้ทีมงานภูมิใจและติ้นเต้นมากกกกก ลองดูภาพนี้นะครับ สำหรับคำบรรยายภาพ เป็นภาพพระบรมรูปขณะทรงปิกนิกระหว่างเสด็จประพาสเมืองแถบซานเรโมครับ บริเวณที่อยู่ในภาพคือแหลเมเลครับ เห็นภาพนี้แล้ว คิดว่าตอนไปถึงแหลมเมเล จะหาเจอได้ไงเนี่ยยยยย แต่แล้ว... จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 4 ส.ค. 51 13:28:16 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับ ผมเองเจอสถานที่เดียวกับพระองค์ท่านมาก็มาก เพราะเราเดินตามรอยพระองค์แบบละเอียดยิบ สถานที่นี้ก็ต้องทำใจครับ เพราะภาพไม่บอกอะไรมาก แค่ผาหินที่ทรงจอดรถพระที่นั่งเท่านั้น แต่เมื่อไปถึง... เราเดินเท้ากว่า ๗ กิโลเมตร เพราะสถานที่บริเวณนี้ ไม่มีรถ Taxi ให้เรียก ไม่มีรถประจำทางให้โดยสาร เรามีเพียงหนังสือไกลบ้านและภาพๆ นี้อยู่ในมือเท่านั้น เมื่อเดินทางไปถึงก็พบกับทัศนียภาพอันสวยงาม บางครั้งทำให้เราคิดว่าภาพบางภาพ ถ่ายออกมา สวยไม่เท่าตาเห็นจิงๆ ครับ ความสวยงามนี้เองที่ทำให้พระองค์ทรงจอดรถพระที่นั่งเพื่อเสวยพระกระยาหารแบบปิกนิกที่นี้ครับ เราเดินทางไปพบสถานที่จอดรถดังกล่าว เป็นจุดเดียวเท่านั้นที่สามารถจอดรถได้ในบริเวณนี้ ที่สำคัญ ผาหินในลักษณะที่ปรากฏในพระบรมรูปฯ ยังคงเป็นเช่นเดิม น่าเสียดายที่เราไม่มีข้าวกล่องอยู่ในมือ มีเพียงน้ำเปล่าคนละขวดแก้กระหาย แต่อยากบอกว่าเมื่อพบสถานที่แห่งนี้ อย่าว่าแต่กระหายเลยครับ ที่เหนื่อยๆ เพราะต้องเดินเท้ามาไกลมาก ก็หายเป็นปลิดทิ้ง แถมยังต้องเดินกลับทางเดิมอีก ๗ กิโล... เดินยิ้มกันจนฝรั่งต้องเหลียวมอง จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 4 ส.ค. 51 13:36:54 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ความสวยงามที่มองเห็นจากจุดที่ทรงจอดรถพระที่นั่งครับ จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 4 ส.ค. 51 13:39:02 ]

ความคิดเห็นที่ 11 มีอีกสิ่งที่อยากนำเสนอครับ ก่อนหน้าการเสด็จจะเกิดขึ้น ได้มีสำเนาเอกสารแจงรายละเอียดของสถานที่ประทับในเมืองซานเรโม โดยมีมาจากหม่อมเจ้าจรูญศักดิ์กฤษฎากร ซึ่งถวายแด่สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมขุนนครสวรรค์วรพินิต เพื่อแจ้งถึงรายละเอียดของบ้านที่สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงจะทรงใช้เป็นที่ประทับ จากวันที่ปรากฏในจดหมายระบุไว้ก่อนการเดินทางถึง 4 เดือน เชื่อว่าสถานที่ประทับเมืองต่างๆ ก็ทรงเตรียมการเช่นนี้ แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 51 13:58:53 จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 4 ส.ค. 51 13:58:20 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ความในจดหมายฉบับเต็มนั้น มีสถานที่ให้ทรงเลือกอยู่ 4-5 ที่ครับ แต่ได้พิจารณามาแล้ว เหลือเพียงสองแห่ง หนึ่งในนั้นคือวิลลาโนเบล ภายในจดหมายได้เปรียบเทียบจุดเด่นของแต่ละสถานที่ไว้ อย่างไรก็ตาม พระองค์ท่านได้ทรงเลือกวิลลาโนเบลในที่สุดครับ จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 4 ส.ค. 51 14:01:22 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ขออภัยทุกท่านที่ขาดๆ หายๆ นะครับ แต่ผมจะเข้ามาเพื่อโพสกระทู้ทุกเช้าวันจันทร์ครับ แต่จะเข้ามาตอบคำถามทุกๆ วันครับ อย่าลืมโหวตให้กระทู้ด้วยนะครับ ขอบพระคุณครับ จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 4 ส.ค. 51 14:03:00 ]

ความคิดเห็นที่ 14 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระสหายเป็นพระบรมวงศานุวงศ์อิตาเลียนอยู่มาก  ที่เคยเสด็จมาเยือนสยาม และกลายเป็นพระสหายที่ทรงรู้จักมักคุ้น ในจำนวนนี้ก็มีดุ๊กออฟเยนัว (Duke of Genoa) ซึ่งทรงเป็นถึงพระอนุชาของพระราชินีแมคริตา (Queen Margherita) ซึ่งเป็นพระมเหสีของพระเจ้าอุมแบรโต (King Umberto) พระเจ้าแผ่นดินอิตาลี ดุ๊กออฟเยนัวเคยเสด็จมากรุงสยามตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๒๓ จึงทรงสนิทกันเป็นพิเศษ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวตรัสเล่าให้สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถฟัง ครั้งเสด็จฯ ประพาสยุโรปครั้งแรก พ.ศ. ๒๔๔๐ ว่า ดูแก่ไปกว่าแต่ก่อนมาก เพราะหัวล้านแลหนวดหงอกมาก แต่ท่าทางก็อย่างเก่านั้นเอง แต่พูดกระซี้กระซ้อมากขึ้นกว่าแต่ก่อน นั่งพูดกันสองต่อสองปิดประตูอย่างโก้หร่าน นอกจากดุ๊กออฟเยนัวแล้ว พระสหายอื่นก็มีดุ๊กออฟอาบรุซซี่ (Dule of Abuzzi) พระอนุชาของพระเจ้าอุมแบรโต ดุ๊กออฟอาวออสเตอร์ (Duke of Auauster) เคานต์ออฟตูริน (Count of Turin) เจ้าชายเฟอร์ดินานโดออฟอูดิน (Ferdinando of Udin) และเจ้าชายเฮนรี่ออฟบูร์บอง (Prince Henry of Bourbon) เจ้านายอิตาเลียนทั้งหมดที่กล่าวพระนามนี้ เคยเสด็จมาเยือนกรุงเทพฯทุกพระองค์                                                            Prince Tommaso Alberto Vittorio of Savoy,  2nd Duke of Genoa แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 51 09:58:58 แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 51 15:06:04 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 4 ส.ค. 51 14:59:28 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ริเวียร่าของอิตาลี สวยมากๆๆๆๆ เป็นถิ่นที่ไฮโซ และคนมีสตังค์เขาอยู่กัน ใครที่อยากชมว่า ริเวียร่า สวยอย่างไง คืนนี้ จันทร์และอังคาร 20.20 น. ทางทีวีไทยนะคะ จากคุณ : ใบนท - [ 4 ส.ค. 51 15:19:53 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ขอบคุณคุณเพ็ญชมพูที่ติดตามกระทู้ค่ะ ข้อมูลเกี่ยวกับพระราชประวัติของดุ๊กออฟเจนัว ทีมงานจะนำเสนอในสัปดาห์หน้า ซึ่งรัชกาลที่ 5 จะเสด็จฯ ไปวังของดุ๊กที่เมืองตูรินด้วยค่ะ มีสิ่งของให้ทีมงานตื่นเต้นกันอีกแล้ว ไว้สัปดาห์หน้าค่อยตามอ่านกันต่อนะคะ จากคุณ : ใบนท - [ 4 ส.ค. 51 15:22:36 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ขอบคุณคุณเพ็ญชมพูนะครับ เรื่องของการเสด็จประพาสครั้งที่ ๑ สามารถติดตามอ่านได้ในผลงานของพี่ไกรฤกษ์ นานา นะครับ เพราะพี่เขาเขียนรายละเอียดต่างๆ ไว้อย่างน่าสนใจ ผมเองมีโอกาสได้คุยกับพี่เขาบ่อยๆ ข้อมูลบางส่วนก็ได้รับคำแนะนำจากพี่ไกรฤกษ์ครับ ก่อนจะเดินทางครั้งนี้ก็สอบถามข้อมูลไปเยอะพอสมควร กลับมาก็ยังรบกวนอยู่ไม่ขาด ถือโอกาสขอบคุณพี่ไกรฤกษ์อีกครั้งครับ จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 4 ส.ค. 51 15:24:50 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ภาพวิลล่าโนเบลสองภาพเหมือนภาพมหัศจรรย์ ขาดเพียงผู้อยู่ในรูป นอกนั้นก็ยังเหมือนเดิม รู้สึกตอนสงครามโลก อิตาลีไม่ค่อยเสียหายเท่าเยอรมัน สถานีรถไฟยุโรปสมัยก่อนจะคล้ายๆกัน สถานีรถไฟของเราก็ได้แบบมาจากเขา(แต่ไม่รู้ใครเป็นแม่แบบ) เวลาเห็นสถานีรถไฟของยุโรปทำให้นึกถึงหัวลำโพงทุกที (ภูมิใจที่เราไม่น้อยหน้าเขา เพราะร.5 แท้ๆ) ขอบคุณทีมงานทุกท่าน จากคุณ : วสันดิลก - [ 4 ส.ค. 51 15:25:12 ]

ความคิดเห็นที่ 19 อยู่ที่ห้องก็มีหนังสือคุณไกรฤกษ์ นานา หนังสือท่านรูปภาพประกอบหายากเยอะดี ซื้อแล้วคุ้ม ตระกูลนานาสมัยก่อนอยู่ฝั่งธนบุรี ที่ดินบริเวณเรือนจำลองของสมเด็จย่า(อุทยานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จย่า) ก็ตระกูลนานานี่แหล่ะบริจาค แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 51 15:42:25 จากคุณ : วสันดิลก - [ 4 ส.ค. 51 15:37:32 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ความสำคัญของวิลล่าโนเบลในครั้งนี้ นอกจากเป็นที่ที่พระองค์ประทับนานที่สุดแล้ว ยังเป็นที่แรกที่มีการถวายการตรวจรักษาพระวรกายขึ้นในวันที่ 29 เมษายน 2450 โดยมีหมอชาวเยอรมันชื่อโปรเฟสเซอร์ไฟลเนอร์ และหมอชาวลอนดอน ชื่อแปตริก แมนซัน ซึ่งผลการตรวจในวันนั้น ปรากฎในพระราชโทรเลขลงวันที่ 3 พฤษภาคม รศ 126  โดยรัชกาลที่ห้าได้พระราชทานไปถึงสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร  ความตอนหนึ่งว่า เซอแปตริกแมนสอน หมอเมืองลอนดอน และโปรเฟสเซอ ไฟลเนอ หมอเมืองไฮเดลเบิก ตรวจพ่อโดยถ้วนถี่แล้ว เขาว่าไม่มีโรคอย่างไรที่จะเกิดอันตราย เขาตรวจเห็นว่า พ่อมีโลหิตไม่บริบูรณ์ และอ่อนกำลัง เพราะกระเพาะอาหารพิการเรื้อรัง และเปนด้วยเสมหะกำเริบในคอและในจมูก และเพราะเหตุที่มีความเหน็ดเหนื่อยมากว่าปี จึงเปนเหตุให้นอนไม่หลับเปนปรกติ และแพทย์ได้ถวายคำแนะนำให้พระองค์เสด็จฯ ไปรักษาพระวรกายที่เมืองบาเดนบาเดน ซึ่งมีกระบวนการรักษาโรคนี้โดยเฉพาะ จากคุณ : ใบนท - [ 4 ส.ค. 51 15:46:28 ]

ความคิดเห็นที่ 21           ตามมาด้วยความซื่อสัตย์ มาโหวตทุกวันค่ะ  ถ้ามีเวลาก็อ่านซ้ำ และดูรูป ดูได้อย่างไม่รู้เบื่อ ขอบพระคุณ  ทีมงานสารคดีชิ้นนี้ เป็นอย่างมาก .. จากคุณ : Oncidium. - [ 4 ส.ค. 51 20:26:02 ]

ความคิดเห็นที่ 22 แง....คืนนี้ไม่ได้ดูค่ะ  คืนนี้พรุ่งนี้ไม่พลาดแน่ ตอนนี้ขอเสพผ่านตัวหนังสือแทน  น่าติดตามไม่แพ้กัน   ฉายซ้ำอีกครั้งวันเสาร์อาทิตย์เวลาเท่าไหรนะคะ ขอบคุณค่ะ จากคุณ : la liga fan - [ 5 ส.ค. 51 00:12:07 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ฉายซ้ำวันเสาร์และอาทิตย์ เวลา 10 โมงเช้าค่ะ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามรายการ ขอบคุณคุณทนายอ้วนด้วยค่ะ จากคุณ : ใบนท (ใบนท) - [ 5 ส.ค. 51 08:03:21 ]

ความคิดเห็นที่ 24 คุณใบนท # ๒๐ ขณะที่พระองค์ท่านประทับอยู่ที่วิลล่าโนเบล เมืองซานเรโม ทรงได้รับการตรวจเบื้องต้นโดยแพทย์ ๒ คน ซึ่งได้รับการแนะนำจากพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยุรศักดิ์ ผลการตรวจพบว่า ยังไม่อาการน่าเป็นห่วง พระอวัยวะภายในยังเป็นปกติ ไม่มีโรคร้ายแรงดังที่วิตกกัน ดังพระราชนิพนธ์ไกลบ้านในพระราชหัตถเลขาฉบับที่ ๑๐ จากซานเรโม อิตาลี วันที่ ๒๙ เมษายน ร.ศ. ๑๒๖ ความว่า แก (หมายถึงแพทย์) เลยทุ่มเหว (หมายความว่า ยอ) ว่าที่พ่อกลัวจะตายในสามปีนั้นไม่ตาย ถ้าผ่อนทำงานให้น้อยลงหน่อย นอนให้มากขึ้นอีกหน่อย จะอยู่ได้ถึง ๘๐ พ่อก็บอกแกว่านี่เปนการทุ่มเหวของหมอตามเคย พ่อไม่เชื่อ แกไม่ยังฟังดันทุ่มไปอีก แกว่าที่ว่านี้ตามลักษณะกำลังร่างกายที่จะเปนไปได้ตามที่แลเห็น เช่นกับรูปร่างและหัวใจปอดหนุ่มกว่าอายุ เว้นแต่ถ้ามีโรคภัยอันใดกระแทกกระทั้นมา นั่นก็เปนธรรมดาอยู่เองที่จะอยู่ไปไม่ถึง ตาหมอคนนี้เปนคนโปรดของแกรด์ดุ๊กและแกรด์ดัสเชสออฟบาเดน การวินิจฉัยโรคของแพทย์ทั้งสอง ดูจะเป็นการทุ่มเหวตามที่พระองค์ทรงกล่าวจริง ๆ และคำทำนายของพระองค์แม่นยำเป็นอย่างยิ่ง  คือเสด็จสวรรคตในวันอาทิตย์ที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๓ สามปีนับจากเสด็จพระราชดำเนินกลับจากประพาสยุโรป แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 51 08:24:38 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 5 ส.ค. 51 08:23:42 ]

ความคิดเห็นที่ 25 วิลล่าโนเบล (Villa Nobel)  ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงประวัติของนายอัลเฟรด โนเบล (Alfred Bernhard Nobel) นักเคมีชาวสวีเดน วิศวกร นักประดิษฐ์ ผู้ผลิตอาวุธและผู้คิดค้นดินระเบิดไดนาไมท์ อัลเฟรด โนเบล ถึงแก่กรรมด้วยโรคเส้นโลหิตในสมองแตกเมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๙ ที่เมืองซานเรโม ประเทศอิตาลี จำนวนทรัพย์สินที่มอบให้แก่กองทุนรางวัลโนเบลมีมูลค่าในขณะนั้นเป็นจำนวน ๓๑ ล้านโครนหรือ ๔,๒๓๓,๕๐๐ เหรียญสหรัฐฯ แก้ไขเมื่อ 06 ส.ค. 51 09:50:05 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 5 ส.ค. 51 09:10:52 ]

ความคิดเห็นที่ 26 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพร้อมพระบรมวงศานุวงศ์ ทรงฉายบริเวณสวนด้านหลังวิลล่าโนเบล จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 5 ส.ค. 51 09:19:18 ]

ความคิดเห็นที่ 27 จะมี DVD ออกจำหน่ายมั้ยคะ  รออุดหนุนค่ะ จากคุณ : soomchon - [ 5 ส.ค. 51 15:37:06 ]

ความคิดเห็นที่ 28 เรียนคุณ soomchon มีดีวีดีจำหน่ายแน่นอนค่ะ คนโทร.มาถามที่บริษัทเยอะมาก แต่ยังตกลงเรื่องรูปแบบกันไม่เรียบร้อย ผู้ใหญ่บางท่านอยากให้ทะยอยขายเป็นชุด คือออกอากาศไปประมาณ 2 เดือน ก็ขายไปก่อน 1 ชุด แต่บางท่าน ก็อยากให้ขายทีเดียวสิ้นปีไปเลย เพราะไม่อยากวุ่นวายเรื่องการจัดการ ก็กำลังหาข้อสรุปกันอยู่ และจะทำ Package ให้สวยงาม และสมพระเกียรติพระองค์ท่านที่สุดค่ะ จากคุณ : ใบนท - [ 5 ส.ค. 51 18:49:09 ]

ความคิดเห็นที่ 29    ....  เรียน คุณใบนท ทราบ ในฐานะลูกค้า  คงเบื่อน่าดูเลย ถ้าจะต้องคอย  ท ะ ย อ ย ซื้ อ   (ถ้า)อยู่ในฐานะคนทำงานคงจะ..เซ็งจิต..เลยถ้าต้องทำงานไม่รู้จักเสร็จซักที ขอเสนอให้ จำหน่ายทีเดียวเบ็ดเสร็จไปเลยค่ะ   และ ถ้าทอดเวลา(การจำหน่าย) ออกไป อาจทำให้ความกระตือรือร้น ของผู้ซื้อ ลดน้อยถอยไป (มั๊ยคะ?)  .... เป็นเพียงความเห็นหนึ่งเท่านั้นนะคะ ......   จากคุณ : Oncidium. - [ 5 ส.ค. 51 19:38:17 ]

ความคิดเห็นที่ 30 เรียนคุณ Oncidium จริงๆ แล้วแผนเดิมของเรา คือวางจำหน่ายก่อนปีใหม่ ซึ่งรายการจะออกอากาศครบ 52 ตอนประมาณปลายธ.ค.ค่ะ แต่ปรากฎว่า พอออกอากาศไปแล้ว มีแฟนรายการโทร.เข้ามาขอซื้อเยอะ  แต่ละท่านก็ให้เหตุผลต่างๆ นานา ซึ่งเราจะนำมาพิจารณาทั้งหมด ถ้ามีความคืบหน้าจะรีบรายงานนะคะ ขอบคุณที่ติดตามกระทู้ค่ะ จากคุณ : ใบนท - [ 5 ส.ค. 51 21:25:37 ]

ความคิดเห็นที่ 31 นอกจากดุ๊กออฟเยนัวแล้ว ยังมีชาวอิตาเลียนคนสำคัญอีกท่านหนึ่งที่คอยต้อนรับการเสด็จมาเยือนดินแดนริเวียร่าของอิตาลี ท่านผู้นี้คือ พันเอกพระสารสาสน์พลขันธ์ หรือ เยโรลาโม เอมิลิโอ เยรินี (Gerolamo Emilio Gerini) ข้าราชการสยามชาวอิตาเลียนในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อดีตเจ้ากรมยุทธศึกษา กระทรวงยุทธนาธิการ  นักวิชาการสยามวิทยา (Siamology) ผู้ร่วมก่อตั้งสยามสมาคม และผู้ศึกษาค้นคว้าวิจัยเรื่องประวัติศาสตร์วัฒนธรรมสยาม ระหว่างที่ทรงพำนักอยู่ที่วิลล่าโนเบล เมืองซานเรโม เยรินีได้เชิญพระองค์เสด็จเยือนบ้านเกิดของท่านที่เมืองอัลเบงกาด้วย ปัจจุบันอยู่ในเขตจังหวัดซาโวนา (แต่ในสมัยที่เยรินีเกิดยังอยู่ในแขวงเมืองเยนัว) ผมเกิดที่เมืองชิซาโน ซูลเนวา อำเภออัลเบงกาที่บ้านของเราซึ่งอยู่หัวมุมถนนตรงจตุรัสใหญ่ของโบสถ์เมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ค.ศ. ๑๘๖๐  เป็นวันพฤหัสบดี สำหรับคนสยามถือว่าเป็นวันดี เพราะเป็นวันแห่งเทพพฤหัสบดี (Brihaspati) เทพเจ้าแห่งศิลปะตามความเชื่อโบราณตามคติพราหมณ์ ผู้อุปถัมภ์วิทยาการ การศึกษา การสอน เช่นเดียวกับเทพีพัลลา อเธน่า (Palla Athena) หรือเรียกชื่อแบบกรีกว่า มิเนร์วา (Minerva) จากไดอารีของ เยโรลาโม เอมิลิโอ เยรินี ภาคการสำรวจบางตะพาน และเพชรบุรี ประเทศสยาม, ๘ พฤศจิกายน ค.ศ. ๑๘๘๘ - มิถุนายน ค.ศ. ๑๘๙๐, สมบัติส่วนตัวของลูชาโน เยโรลาโม เยรินี                                                 เขต Liguria ริเวียร่าของอิตาลี จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 6 ส.ค. 51 14:52:11 ]

ความคิดเห็นที่ 32 พันเอกพระสารสาสน์พลขันธ์ หรือ เยโรลาโม เอมิลิโอ เยรินี (Gerolamo Emilio Gerini) จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 6 ส.ค. 51 15:00:29 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ส่งความศุข  ส.ค.ศ. ร.ศ. ๑๑๗ จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 6 ส.ค. 51 15:07:10 ]

ความคิดเห็นที่ 34 เรื่องของกุหลาบ “King of Siam” และ กุหลาบ “จุฬาลงกรณ์” ท่านผู้หญิงมณฑินี มงคลนาวิน ได้เขียนบทความเรื่อง ถวายบังคมบรมบาท “พระปิยะมหาราช” ด้วยกุหลาบพระนาม “จุฬาลงกรณ์” ในนิตยสารสกุลไทย ฉบับที่ ๒๕๙๔ ปีที่ ๕๐ ประจำวันอังคารที่  ๖ กรกฎาคม  พ.ศ. ๒๕๔๗ ไว้ดังนี้ เป็นที่ทราบกันดีว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว “พระปิยะมหาราช” ของปวงชนชาวไทยนั้น โปรดดอกกุหลาบมากกว่าไม้ดอกอื่นใด จะเห็นได้จากพระตำหนักที่ประทับก่อนขึ้นเสวยราชย์ ยังมีนามว่า พระตำหนักสวนกุหลาบ ดังนั้นในปัจจุบัน ผู้ที่ไปกราบถวายบังคมที่พระบรมรูปทรงม้า ณ ลานพระราชวังดุสิต หรือที่พระบรมราชานุสาวรีย์ ซึ่งประดิษฐานอยู่ตามสถานที่ราชการต่าง ๆ ส่วนใหญ่จะนำกุหลาบสีชมพูไปถวายเป็นเครื่องราชสักการะ แต่จะทราบกันหรือไม่ว่า มีกุหลาบสีชมพูพันธุ์หนึ่ง ได้รับพระบรมราชานุญาตให้ตั้งชื่อว่า กุหลาบ “King of Siam” หรือ กุหลาบ “จุฬาลงกรณ์” จากหนังสือพระราชนิพนธ์เรื่อง “ไกลบ้าน” ทำให้เราทราบว่า กุหลาบสายพันธุ์นี้ผสมขึ้นเป็นครั้งแรกในโลกเมื่อ พ.ศ.๒๔๕๐ ที่สวนกุหลาบของชาวเยอรมันชื่อ มิสเตอร์บรอยเออ (๑) สวนกุหลาบนี้อยู่ที่เมืองซานริโม เขตมณฑลปอโตมอริโซ แถบริเวียร่า เขตต่อแดนประเทศอิตาลี และประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันจันทร์ที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๔๕๐ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จฯไปทอดพระเนตรถึงสวนของมิสเตอร์บรอยเออ ที่ผสมต้นกุหลาบสำหรับขายพันธุ์ทรงเล่าว่า วันนี้จับร้านดอกไม้ได้ ตัวผู้วิเศษ ที่ผสมดอกกุหลาบจะให้เปลี่ยนสี สลับกันอย่างไร จะให้ซ้อน ให้ลา อย่างไรอยู่ในอำนาจ (๒)... มีกุหลาบที่ตานี่ผสมใหม่อย่างหนึ่ง ดอกโตเท่าดอกบัวสัตตบงกช กลีบซ้อนจนไม่แลเห็นเกสร สีเกือบเป็นบานเย็น เป็นพันธุ์ซึ่งยังไม่มีชื่อ เขาขอตั้งชื่อว่า พระเจ้าแผ่นดินสยาม (King of Siam) พ่อได้อนุญาตให้แกตั้ง ยังไม่สู้พอขอให้เขียนลงให้ในสมุดด้วย (๓)... ในพระราชหัตถเลขาเดียวกันนี้ ทรงบรรยายโดยละเอียด แสดงให้เห็นถึงความสนพระทัยอย่างยิ่งถึง เรื่องกุหลาบ ตั้งแต่การเตรียมดิน วิธีฝากหนาม วิธีต่อกุหลาบ ตลอดจนวิธีการจัดส่งไปทางไกล บางตอนทรงเขียนเล่าไว้ทำให้นึกภาพตามได้อย่างชัดเจน เช่น ที่นี่มีดอกไม้หรูหลายอย่าง ที่วิเศษแท้นั้นคือกุหลาบ กุหลาบอย่างที่ ดุ๊ก (๔) เรียกว่า มอญ แต่ที่แท้ของไทยนั้น มันโตเท่ากุหลาบที่เย็บกันเล่น ดอกโตเท่าขนาดใหญ่ของเราสามดอกรวมกัน กลิ่นก็หอมเป็นกุหลาบไทย (๕)... มีผู้หญิงแต่งหมวกด้วยกุหลาบสด แล้วถือกิ่งกุหลาบดอกเดียวกึ่งหนึ่ง เป็นกุหลาบสีชมพูเหมือนอย่างกุหลาบเรา แต่ความที่มันโต และซ้อนหนาเท่าดอกทานตะวัน เอาถือบังไม่ให้แดดถูกหน้าได้ ดังนี้จะเชื่อ ฤๅไม่ (๖)... กุหลาบต้นหนึ่ง มีดอกพร้อมกันหมดตั้งยี่สิบ สามสิบดอก ตูมบ้าง แย้มบ้าง บานบ้าง ทยอยกันไป ต้นอื่น ๆ ที่มีดอกเป็นช่อใหญ่ๆ ดอกติดกันหมดเหมือนจัดพุ่มเครื่องนมัสการเป็นแต่เตี้ย งามกว่าจัดดอกไม้หัวโล้นเช่นที่จัดกัน...งามจนหลับตาลงก็เห็นเป็นดอกไม้ เหตุที่มันสดใสงามเช่นนี้ เพราะอะไร เพราะแสงแดดที่นี่ไม่แรง สีไม่ตกดอกไม้ของเรางามสักเท่าใด เช่น กุหลาบสีชมพู ฤๅเหลือง ฤๅขาว มันมาปรากฏแก่นัยน์ตาว่าสีตก เหมือนอย่างกับเอาผ้าแพรฤากำมะหยี่ ออกทิ้งค้างไว้ในกลางแจ้ง สีตก เช่นนั้น อีกอย่างหนึ่งมันสดจริง ๆ กลีบชุ่มน้ำ ถ้าจะเอามาขยี้บีบจะได้น้ำในนั้นมากกว่าดอกไม้เมืองเราถ้าจะมีดอกไม้ที่จะเปรียบในทางสด กับดอกไม้เมืองฝรั่งได้ เห็นจะมีแต่ดอกบัวซึ่งเพิ่งแย้มในเวลาต้องพระอาทิตย์ (๗)... เรื่องต้นกุหลาบนี้ ที่จริงไม่ควรเรียกว่า สวน น่าจะเรียกว่า ไร่ คือตามพื้นที่ข้างเขาตั้งแต่ทะเลขึ้นมาจนถึงถนน มีกำแพง ฤๅรั้วกั้นริมถนน...ฤๅทางขึ้น ทางลงข้างเขานั้นฟันเป็นคั่น กว้างบ้าง แคบบ้างตามรูปเขา ก่อศิลาเป็นก้อน ๆ เป็นคันกันดินขึ้นมาเป็นขั้น ๆ ตามในท้องคันเหล่านั้น เกือบจะไม่มีอื่น นอกจากปลูกกุหลาบทั้งนั้น ปลูกเป็นกอกลม ๆ มีระยะเหมือนดำนา สูงต่ำ ขนาด ๆ กัน พ้นทางขึ้นไปข้างบน เหนือค้นกันดินริมทาง ก็ก่อก้อนศิลาเป็นคัน บั้ง ๆ ขึ้นไปอย่างนั้นจนตลอดยอดเขา เต็มไปด้วยต้นกุหลาบเท่า ๆ กัน เหมือนกอข้าวในนา บ้างก็ผลิบ้างก็ตูม บ้างก็แย้ม แดงครืดไปเป็นสีเหมือนกับเอาผ้าลายดอกกุหลาบตาก ผ้าลายอย่างที่ดอกเป็นช่อกุหลาบรูปเป็นพุ่มข้าวบิณฑ์ (๘)... ซึ่งพ่อคลั่งพูดถึงไม้ดอกร่ำไปนั้น เพราะมันแลไปข้างไหน ก็เป็นดอกไม้เต็มไปทั้งเมือง สวนก็เป็นดอกไม้ ไร่ก็เป็นดอกไม้เต็มไปทั้งนั้น จะไม่เคยเห็นเมืองอื่นในประเทศยุโรป ซึ่งจะมีดอกไม้มากอย่างแถบนี้ (๙)... พ่อไปถึงที่ไหน เป็นบริบูรณ์ด้วยดอกไม้ทุกหนทุกแห่ง เพราะรู้กันเสียแล้วว่าชอบโต๊ะกินข้าวเป็นสวนดอกไม้เปลี่ยนทุกวัน ไม่ใช่เป็นแต่ปักขวด ทำเป็นรางกระถางมาตั้งแล้วให้เลื้อยพ่านเต็มทั้งโต๊ะ (๑๐)... แน่นอนว่าคราวเสด็จพระราชดำเนินกลับจากยุโรปครั้งนั้น ต้นกุหลาบพันธุ์ใหม่ที่มีดอกสีบานเย็น มีกลีบซ้อนกันแน่น ดอกใหญ่งดงามอันมีนามว่า “คิงออฟไซแอม” ทรงนำกลับมากับขบวนเสด็จเป็นแน่ พระราชชายา เจ้าดารารัศมี ซึ่งทรงเป็นเจ้านายฝ่ายเหนือจากนครเชียงใหม่ เวียงพิงค์ที่มีภูมิประเทศเป็นเทือกเขาสลับซับซ้อน มีอากาศเย็นใกล้เคียงกับอากาศในฤดูใบไม้ผลิ และฤดูร้อนของทวีปยุโรปตอนใต้ ต้องเป็นเจ้านายพระองค์หนึ่ง ซึ่งได้รับพระราชทานต้นกุหลาบอันมีค่าหายากนี้ไปปลูกที่พระตำหนัก ณ เมืองเชียงใหม่ พื้นที่อันเป็นที่สูง ดินตามไหล่เขา และอากาศเย็นของนครพิงค์ ให้กุหลาบคิงออฟไซแอม เจริญเติบโต ผลิดอกงดงาม ขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็วในเวลาต่อมา เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต ในปีพุทธศักราช ๒๔๕๓ พระราชชายา เสด็จฯกลับไปประทับ ณ เมืองเชียงใหม่ เป็นการถาวร ทรงสร้างพระตำหนักขึ้นใหม่ คือพระตำหนักดาราภิรมย์ ที่ อ.แม่ริม (๑๑) และพระตำหนักพระราชชายาฯบนดอยสุเทพ (๑๒) บริเวณโดยรอบพระตำหนักทั้งสองแห่งนั้น ทรงขยายพันธุ์กุหลาบที่ได้รับพระราชทานจากพระราชสวามีปลูกไว้มากมาย และเพื่อเป็นพระบรมราชานุสรณ์ จึงทรงเปลี่ยนชื่อกุหลาบ คิงออฟไซแอม เป็นกุหลาบพระปรมาภิไธย “จุฬาลงกรณ์” (๑) พระราชหัตถเลขาฉบับที่ ๑๔-หนังสือพระราชนิพนธ์ไกลบ้านเล่มที่ ๑ หน้า ๒๓๐ (๒) พระราชหัตถเลขาฉบับที่ ๑๔-หนังสือพระราชนิพนธ์ไกลบ้านเล่มที่ ๑ หน้า ๒๒๘ (๓) พระราชหัตถเลขาฉบับที่ ๑๔-หนังสือพระราชนิพนธ์ไกลบ้านเล่มที่ ๑ หน้า ๒๓๓ (๔) ดุ๊ก-พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสาตรศุภกิจ (๕) พระราชหัตถเลขา ฉบับที่ ๙-พระราชนิพนธ์ไกลบ้าน เล่มที่ ๑ หน้า ๑๒๕ (๖) พระราชหัตถเลขา ฉบับที่ ๓๖-พระราชนิพนธ์ไกลบ้าน เล่มที่ ๒ หน้า ๓๗๑ (๗) พระราชหัตถเลขา ฉบับที่ ๑๐-พระราชนิพนธ์ไกลบ้าน เล่มที่ ๑ หน้า ๑๓๘ (๘) พระราชหัตถเลขา ฉบับที่ ๑๒-พระราชนิพนธ์ไกลบ้าน เล่มที่ ๑ หน้า ๑๖๕-๑๖๖ (๙) พระราชหัตถเลขา ฉบับที่ ๑๒-พระราชนิพนธ์ไกลบ้าน เล่มที่ ๑ หน้า ๒๐๔ (๑๐) พระราชหัตถเลขา ฉบับที่ ๑๒-พระราชนิพนธ์ไกลบ้าน เล่มที่ ๑ หน้า ๓๗๐ (๑๑) ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์พระตำหนักดาราภิรมย์ ในความดูแลของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (๑๒) ภายหลังได้ทรงยกพระตำหนักที่ดอยสุเทพถวายเป็นสมบัติของวัดพระบรมธาตุดอยสุเทพ หนังสือดารารัศมี เรียบเรียงโดย นงเยาว์ กาญจนจารี หน้า ๙๖                             กุหลาบพระนามจุฬาลงกรณ์ที่พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ แก้ไขเมื่อ 07 ส.ค. 51 10:35:00 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ วันรพี 10:27:41 ]

ความคิดเห็นที่ 35 . จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ วันรพี 10:29:07 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ในหนังสือ พระประวัติพระราชชายาเจ้าดารารัศมี  ที่จัดพิมพ์เป็นอนุสรณ์ทำบุญ  ๑๐๐ วัน  เจ้าแสงดาว  ณ เชียงใหม่  เมื่อวันที่ ๑๘  สิงหาคม  พ.ศ. ๒๕๑๗  กล่าวถึงที่มาของชื่อ กุหลาบ "จุฬาลงกรณ์" ไว้อีกอย่างหนึ่งว่า ทางด้านไม้ดอกนั้น ได้ทรงปลูกไม้ดอกไม้ใบทุกชนิด  โดยเฉพาะในเรื่องของกุหลาบแล้ว  พระองค์ทรงเป็นสมาชิกสมาคมกุหลาบแห่งประเทศอังกฤษ  ทางสมาคมได้ส่งกุหลาบพันธุ์ใหม่ ๆ  มาถวายเป็นประจำทุกปี   พระองค์ทรงนำเอากุหลาบพันธุ์ต่างประเทศไปปลูกไว้ที่ตำหนักบนดอยสุเทพ (พระราชชายา ฯได้ถวายเป็นสมบัติของพระธาตุดอยสุเทพแล้ว) มากมายหลายพันธุ์ด้วยกัน กุหลาบพันธุ์ที่พระองค์โปรดที่สุดนั้น ได้ทรงตั้งชื่อเพื่อถวายเป็นพระบรมราชานุสรณ์แด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า  "จุฬาลงกรณ์" แก้ไขเมื่อ 07 ส.ค. 51 12:19:05 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ วันรพี 10:30:42 ]

ความคิดเห็นที่ 37 กุหลาบ “King of Siam” และ กุหลาบ “จุฬาลงกรณ์” จะเป็นกุหลาบพันธุ์เดียวกันหรือไม่ น.อ.คัมภีร์ คัมภีรญาณนนท์ ได้ให้ความเห็นไว้ดังนี้ ประเด็นที่ว่า ชาวต่างประเทศได้ถวายพระนามว่า "King of Siam" นั้น ไม่ปรากฏหลักฐานยืนยันว่า คือพันธุ์เดียวกันกับ ที่ "พระราชชายาฯ" ทรงปลูกและถวายพระนามว่า "จุฬาลงกรณ์" อย่าลืมว่า กุหลาบสายพันธุ์นี้ ต้องปลูกในสภาพอากาศค่อนข้างเย็น จึงเป็นสาเหตุให้ พระราชชายาฯ ทรงสร้างแปลงเพาะพันธุ์ บนพระตำหนักบนดอยสุเทพ หากพิจารณาว่าเป็นไปได้หรือไม่ ที่ "สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง" ทรงนำพันธุ์กลับมาจากการเสด็จประพาสยุโรปและทรงพระราชทาน "พระราชชายาฯ" ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะในห้วงดังกล่าว พระราชชายาฯ มิได้เสด็จนิวัตินครเชียงใหม่ ซึ่งถ้าเช่นนั้น ก็ต้องปรากฏหลักฐานการปลูกกุหลาบ "จุฬาลงกรณ์" ใน "พระราชวังสวนดุสิต" หรือ "พระบรมมหาราชวัง" หรือสถานที่ใดในพระนครกรุงเทพฯ ซึ่งไม่มี แต่ปรากฏหลักฐานยืนยันว่า มีการปลูกกุหลาบ สายพันธุ์ "Hybrid Perpetual" ที่พระตำหนักของ "พระราชชายาฯ" ที่นครเชียงใหม่ ๒ พระตำหนัก โดยเฉพาะ ณ พระตำหนักบนดอยสุเทพ ที่ทรงโปรดให้สร้างแปลงเพาะพันธุ์ ซึ่งสภาพอากาศเหมาะสมต่อสายพันธุ์ดังกล่าว อย่าลืมว่า "พระราชชายาฯ" ได้เสด็จประทับเป็นการถาวร ณ นครเชียงใหม่ ภายหลัง "สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง" ได้เสด็จสวรรคตไปแล้ว (พ.ศ. ๒๔๕๗) และขณะที่ประทับนครเชียงใหม่นี้เอง ที่ได้ทรงเริ่มสนพระทัยด้านการเกษตรอย่างจริงจัง ดังนั้น กุหลาบ "King of Siam" จึงไม่น่าใช่พันธุ์เดียวกับ กุหลาบ "จุฬาลงกรณ์" และที่สำคัญไม่มีใครเคยเห็น กุหลาบ "King of Siam" (แบบรูปธรรม) ในเมืองไทยเลย นอกจากได้ยินชื่อดังกล่าว (แบบนามธรรม) ในพระราชนิพนธ์เรื่อง "ไกลบ้าน" เท่านั้น แต่ ในวงการผู้รักกุหลาบต่างรู้จักกุหลาบสายพันธุ์ "Hybrid Perpetual" ในเมืองไทยดีว่า คือ กุหลาบที่ "พระราชชายาฯ" ทรงถวายพระนามว่า "จุฬาลงกรณ์" เพียงอย่างเดียวเท่านั้น อาจเป็นไปได้ว่า เนื่องจากบางท่านอาจเห็นว่าเป็นพระนามของ "สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง" จึงอาจเป็นกุหลาบสายพันธุ์เดียวกับกุหลาบ "King of Siam" ก็เป็นได้ แต่ในกรณีนี้ ภาษาอังกฤษของกุหลาบ "จุฬาลงกรณ์" ควรใช้ "King Chulalongkorn" ในลักษณะเดียวกับ กุหลาบ "ควีนสิริกิติ์" ที่ใช้ว่า "Queen Sirikit" มากกว่า แก้ไขเมื่อ 07 ส.ค. 51 12:20:45 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ วันรพี 11:04:55 ]

ความคิดเห็นที่ 38 กุหลาบจุฬาลงกรณ์ ที่พระตำหนักดาราภิรมย์ เชียงใหม่ ครับ จากคุณ : akkarachai - [ วันรพี 23:15:25 ]

ความคิดเห็นที่ 39 พระราชชายาเจ้าดารารัศมี  และ กุหลาบจุฬาลงกรณ์ ที่พระตำหนักดาราภิรมย์ จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 8 ส.ค. 51 09:18:48 ]

ความคิดเห็นที่ 40 เพลงทยอยนอก ๓ ชั้น กลิ่นกุหลาบซาบนาสาพาระลึก เมื่อยามดึกเคยชมดมกลิ่นหอม น้ำอบปรุงจรุงรสต้องอดออม ถือถนอมบุปผากระสาจน กลีบกุหลาบทาบกระดาษวาดรูปไว้ จะส่งให้โฉมตรูรู้เหตุผล ชมดอกไม้แสนเบื่อเหลือจะทน คิดสุคนธ์เคยรื่นชื่นใจเอยฯ ข้างบนเป็นพระราชนิพนธ์ในพระราชหัตถเลขา พระราชทาน มาจากเมืองซานเรโมพร้อมกลีบกุหลาบทาบมาบนกระดาษ ถึงโฉมตรูผู้หนึ่ง  คือเจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ ลดาวัลย์ เจ้าจอมคนสุดท้ายในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้า อยู่หัว อ่านพระราชนิพนธ์บทนี้แล้วนึกถึงเนื้อเพลงตอนหนึ่งในเพลงปี่ ของพระอภัยมณีซึ่งบรรเลงขับกล่อมสามพราหมณ์ ในเรื่องพระ อภัยมณีของสุนทรภู่ ที่ว่า ถึงร้อยรสบุปผาสุมาลัย จะชื่นใจเหมือนสตรีไม่มีเลย แก้ไขเมื่อ 11 ส.ค. 51 10:08:40 แก้ไขเมื่อ 11 ส.ค. 51 09:24:07 แก้ไขเมื่อ 11 ส.ค. 51 09:12:29 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 11 ส.ค. 51 09:04:02 ]

ความคิดเห็นที่ 41 มาต่อที่เรื่องราวภายหลังการเสด็จประทับรถไฟพระที่นั่งออกจากเมืองซานเรโม เข้าสู่เมืองตูริน ตามคำฑูลเชิญของดุ๊กออฟเจนัว พระสหายสนิทแห่งอิตาลีครับ ผมจะนำเสนอสถานที่ประทับ ณ เมืองแห่งนี้ก่อนนะครับ นั่นคือพระราชวังเมืองตูริน ซึ่งในส่วนที่ประทับคือในส่วนที่เรียกว่า ปาลาสโซ เคียเบเซ่ ครับ นี่คือพระราชวังเมืองตูริน ซึ่งรัชกาลที่ ๕ เสด็จมาประทับทันทีที่ถึงเมืองตูรินครับ จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 11 ส.ค. 51 10:56:50 ]

ความคิดเห็นที่ 42 พระราชวังแห่งนี้ได้เคยรับเสด็จพระองค์ท่านเมื่อคราวเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ ๑ และทรงบรรยายไว้ว่าได้สด็จมาประทับที่ห้องเก่าที่เคยประทับเมื่อครั้งที่แล้ว นี่คือหน้าตาของส่วนที่ประทับนะครับ หน้าต่างตรงกลางรูปที่เปิดอยู่ จากคำบอกเล่าของคุณ Maria Luisa ผู้ใจดีที่เราพบโดยบังเอิญ แจ้งว่าคือหน้าต่างห้องที่ประทับ ซึ่งเราได้รับความช่วยเหลืออย่างดีจากคุณ Maria ซึ่งเธอเป็นทายาทของศิลปินที่เข้ามารับใช้งานในสมัยรัชกาลที่ ๕ ครับ เธอผู้นี้ช่วยให้เราได้เข้าไปถ่ายทำภายในวังแห่งนี้ จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 11 ส.ค. 51 11:02:19 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ปัจจุบัน สภาพภายในของพระราชวังเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อแสดงถึงประวัติศาสตร์ของเมืองตูริน โดยเฉพาะราชวงศ์ซาวอยอันเลื่องชื่อครับ หน้าตาของสภาพภายใน ซึ่งเป็นส่วนที่ประทับ โดยปกติไม่สามารถถ่ายภาพได้นะครับ แต่เราได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษ และไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้เข้าไปชมแบบนี้ครับ จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 11 ส.ค. 51 11:05:22 ]

ความคิดเห็นที่ 44 นี่คือคุณ Maria Luisa ผู้ใจดีครับ จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 11 ส.ค. 51 11:06:14 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ความน่าสนใจในพระราชหัตถเลขาไกลบ้าน ณ เมืองตูริน อยุ่ที่พระราชวังฤดูร้อนอาเย ซึ่งต้องออกนอกเมืองตูรินครับ โดยรัชกาลที่ ๕ เสด็จเยี่ยมเยียนพระสหายสนิทอย่างดุ๊กออฟเจนัว พระสหายสนิทพระองค์นี้เคยเสด็จสยามประเทศ และโปรดที่จะสะสมสิ่งของต่างๆ ภายในพระราชวังยังมีทั้งสิ่งของพระราชทาน รวมทั้งสิ่งของที่ดุ๊กทรงซื้อมาจากสยามมากมาย ปัจจุบัน สถานที่แห่งนี้ได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงประวัติศาสตร์เช่นกัน บนทางเดินสีเขียว ณ ห้องแสดงห้องหนึ่ง ปรากฏพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ ๕ ด้วยครับ ทำเอาผมขนลุก อีกทั้งยังมีของที่ระลึกจากงานพระศพพระนางเจ้าสุนันทาอีกด้วย นี่คือความสวยงามของพระราชวังฤดูร้อน (Chateau Argli) ซึ่งทรงมีพระราชหัตถเลขาเปรียบเทียบว่าเป็นตึกใหญ่ทรงสี่เหลี่ยม คล้ายกระทรวงกลาโหมของไทย และโบสถ์ด้านข้างพระราชวังตามที่ทรงบรรยายไว้ในไกลบ้าน จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 11 ส.ค. 51 11:15:05 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ส่วนตัวของการตามรอยไปยังเมืองตูรินครั้งนี้ ผมกลับชื่นชอบอนุเสารีย์ของดุ๊กออฟเจนัว (บิดาของดุ๊กองค์ที่เป็นพระสหายนะครับ) พระราชหัตถเลขาทำให้เราทราบว่าการจะสร้างอนุเสาวรีย์แห่งนี้ว่าจำเป็นยิ่งที่จะต้องฆ่าม้าถึงสามตัว เพื่อเป็นแบบในการขึ้นรูป ดังความตอนหนึ่งว่า “ มาแวะดูมอนิเมนต์รูปดุ๊กออฟเจนัวบิดาดุ๊กคนนี้ ซึ่งอยู่ในสนามสวนดอกไม้ กลางสี่กั๊กถนน เปนรูปขี่ม้าในสนามรบ กำลังม้าถูกปืนจะล้มซวนลง ดุ๊กกำลังชี้ดาบเร่งทหารงามแปลกเต็มที ในการที่จะทำรูปนี้ว่าต้องฆ่าม้าถึงสามตัว เพื่อจะให้ช่างเห็นว่าม้าจะตายนั้นเปนอย่างไร” นี่คืออนุเสาวรีย์ที่ว่าครับ สวยงามมากครับ บอกนิดหนึ่งว่า พระองค์ทอดพระเนตรอนุเสาวรีย์แห่งนี้ก่อนจะเสด็จต่อไปยังเมืองเวนิศในเช้าวันเดียวกันครับ จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 11 ส.ค. 51 11:20:20 ]

ความคิดเห็นที่ 47 มาต่อที่เมืองเวนิศนะครับ ครั้งที่เสด็จถึงเมือง พระองค์ทรงให้เกียรติเมืองนี้ด้วยพระราชหัตถเลขาความตอนหนึ่งว่า “ พ่อว่าถ้าลงเรือโมเตอลอนช์ก็เปนการหมิ่นประมาทเมืองเวนิศ จึงได้ลงเรือคอนโดเลอมา สเตชั่นนั้นลงที่ครองด์คะนัล คือคลองใหญ่ที่เปนรูปตัวเอส ” นี่คือภาพในวันที่เสด็จมาถึงเมืองเวนิศครับ และเป็นภาพขณะเสด็จประทับเรือกองโดล่า แก้ไขเมื่อ 11 ส.ค. 51 11:28:16 จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 11 ส.ค. 51 11:24:52 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ภาพพระบรมรูปเสด็จประพาสเมืองเวนิศครับ จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 11 ส.ค. 51 11:30:05 ]

ความคิดเห็นที่ 49 เรื่องจริงที่ผมอยากนำเสนอเรื่องหนึ่งก็คือว่า การเสด็จทอดพระเนตรสิ่งต่างๆ ในเมืองอิตาลีในช่วงต้นของเสด็จนี้ หากมองแล้วคล้ายการท่องเที่ยวเพื่อเพลิดเพลิน การมองในลักษณะนี้ทำให้มีคนโจมตีพระองค์ต่างๆ นานา แต่ด้วยข้อมูลที่เราได้มามากมาย ซึ่งจะนำเสนอในสารคดีให้ได้ชมกันครับ การทอดพระเนตรที่เห็นนี้ ความจริงที่จุดประสงค์เพื่อการฆ่าเวลาและรอวันลงสัตยาบันในฝรั่งเศสที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ ความเป็นจริงที่ทรงปรารภมากมายถึงกรมพระยาดำรงก็ดี หรือกรมหลวงวชิรญาณก็ดี ทุกลายพระหัตถ์แสดงชัดว่ายังมีเรื่องของการเมืองให้ขุ่นข้องหมองพระทัยพระองค์ครับ ช่วงที่ผมมองว่า พระองค์ทรงประพาสได้อย่างสนุกจริงๆ คงเป็นช่วงของประเทศเดนมาร์กและนอร์เวย์ เนื่องด้วยพระราชกรณียกิจที่สำคัญยิ่งได้สำเร็จลุล่วง ทั้งในส่วนประเทศฝรั่งเศส อังกฤษ และเยอรมัน สำหรับเมืองเวนิศนี้ ความสวยงามของเมืองต้องพระทัยพระองค์อยู่แล้ว เนื่องด้วยเป็นเมืองที่มีความคล้ายคลึงกับสยามนะครับ (เป็นเมืองติดคลอง) เวนิศในวันนี้ไม่แตกต่างจากเมื่อ ๑๐๐ ปีก่อนที่ทรงบรรยายไว้ในไกลบ้านเลยครับ ผมนำภาพเวนิศในช่วงค่ำ ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่พระองค์เสด็จถึงมาให้ได้ชมบรรยากาศครับ จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 11 ส.ค. 51 11:43:18 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ความสำคัญอีกสิ่งของเมืองเวนิศตามที่ทรงบรรยายไว้ในไกลบ้าน นอกเหนือจากความสวยงาม และเอกลักษณ์อันโดดเด่นของเมืองเวนิศอย่างเรือกองโล่ หรือความคึกคักของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกแล้ว ความสนพระทัยในงานศิลปะคือสิ่งที่พระองค์ทรงตั้งพระทัยเพื่อเสด็จทอดพระเนตร และในวันที่เสด็จก็มีงานที่ทางเมืองจัดขึ้นในชื่อว่า เวนิศ เบียนนาเล่ นี่คือหน้าตาของป้ายทางเข้างานเวนิศ เบียนนาเล่ ในอีก ๑๐๐ ปีต่อมาครับ จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 11 ส.ค. 51 11:46:57 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ในงานนี้เมื่อ ๑๐๐ ปีก่อน มีความสำคัญอย่างไร นอกเหนือจากการทอดพระเนตรศิลปะจากทั่วโลก เวนิศ เบียนนาเล่ คืองานแสดงศิลปะในช่วงฤดูร้อนที่จัดให้มีขึ้นสองปีครั้ง โดยเป็นการรวบรวมเอาศิลปะทั่วทุกแขนงจากทุกสารทิศมาแสดงกันบนสวนสาธารณะของเมืองเวนิศ ปัจจุบันอาณาเขตของพื้นที่จัดงานยังกินพื้นที่ออกมาภายนอกสวนสาธารณะ นั่นเพราะงานเทศกาลเบียนนาเล่ ถือเป็นเทศกาลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกศิลปะ ซึ่งครั้งหนึ่งในชีวิต ของศิลปิน ต่างก็ต้องการนำผลงานของตนเองมาจัดแสดงในงานนี้ และหนึ่งในศิลปินที่นำผลงานเข้าแสดงในปี พ.ศ. ๒๔๕๐ ก็คือ กาลิเลโอ คีนิ (Galileo Chini) นี่คือที่มาของจิตรกรผู้มีความสามารถและทรงมีพระบรมราชโองการให้มารับงานตกแต่งพระที่นั่งอนันตสมาคมในเวลาต่อมา อันเป็นปลายรัชสมัยของพระองค์ สืบเนื่องถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว กาลิเลโอ คินี จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 11 ส.ค. 51 11:53:03 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ตัวอย่างศิลปะที่แสดง ซึ่งมีอาณาเขตออกมายังตัวเมืองเวนิศให้ได้พบเห็น จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 11 ส.ค. 51 11:54:24 ]

ความคิดเห็นที่ 53 มาถึงเวนิศ ไม่มีภาพเรือกองโดล่าก็จะสบประมาทเวนิศตามที่พระองค์ท่านทรงบรรยายไว้ครับ จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 11 ส.ค. 51 11:55:47 ]

ความคิดเห็นที่ 54 “ ในสนามนี้ปูศิลาแผ่นใหญ่ๆ เลี่ยนไปตลอด ตั้งเก้าอี้เปนที่สำหรับคนมานั่งเล่นนั่งกินเข้า เลี้ยงนกพิราบสามัญไว้ตั้งพัน นกนั้นเชื่องอย่างยิ่ง มีสพานข้ามทุกลำคลองถี่ๆ เปนสพานศิลาทำโค้งทั้งสิ้น ” พระราชหัตถเลขาในเมืองเวนิศครับ และภาพที่สะท้อนพระราชหัตถเลขาข้างต้น จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 11 ส.ค. 51 11:59:08 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ออกจากเวนิศ เข้าสู่เมืองฟลอเรนส์นะครับ ขอนำเสนอภาพเพื่อเรียกน้ำย่อยก่อน เป็นภาพเปรียบเทียบไปรษณียบัตรทรงซื้อส่งมาถึงกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ในวันที่เสด็จประพาสมาชมที่แห่งนี้ครับ บริเวณนี้มีชื่อเรียกว่าจัตุรัสไมเคิลแองเจลโล (Palazzo Michael Angelo) ซึ่งมีรูปปั้นเดวิด (David Monument) จำลองอันมีชื่อเสียงไปทั่วโลก ยืนตระหง่านอยู่ใจกลางจัตุรัส จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 11 ส.ค. 51 12:05:43 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ภาพเปรียบเทียบที่เราถ่ายครับ จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 11 ส.ค. 51 12:06:40 ]

ความคิดเห็นที่ 57 เมืองฟลอเรนส์สำหรับเราแล้ว พระราชหัตถเลขาไกลบ้านสะท้อนความและภาพที่เราเจอได้อย่างมีมิติ เมืองแห่งนี้สวยงามและโรแมนติกมากครับ พระองค์เสด็จเพื่อเยี่ยมเยียนนายช่างชาวอิตาลีผู้ถวายงานพระองค์ท่าน ๒ ท่าน นั่นคือ โปรเฟสเซอร์ เซซาเร่ ฟานตาคิออสตี (Professor Cesare Fantagioti) และโปรเฟสเซอร์เอดูอาร์โด เยลลี (Professor Edouardo Gelli) ๒ท่านนี้ ปรากฏงานเขียนและงานปั้นพระบรมรูปเยอะแยะมากมายในประเทศของเราตามพระราชวังต่างๆ ของประเทศไทยครับ ภาพที่คนไทยได้เห็นกันบ่อยๆ อาทิเช่นภาพนี้(ภาพจากหนังสือของอาจารย์อภินันท์นะครับ) ภาพนี้เป็นภาพที่โปรเฟสเซอร์เยลลีถวายการเขียนเมื่อคราวเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ ๑ ครับ และทรงโปรดปรานเป็นพิเศษ ความพิเศษที่เพ่มเติมคือพระองค์ทรงเป็นเจ้านายพระองค์เดียวที่ทรงเป็นแบบในการวาดจริง ส่วนองค์อื่นๆ นั่นได้ทำการส่งพระรูปเพื่อใช้เป็นแบบในการวาดครับ จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 11 ส.ค. 51 12:18:11 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ทรงถ่ายโปรเฟสเซอร์เยลลี ขณะเสด็จเยี่ยมที่ห้องทำงานของโปรเฟสเซอร์เยลลี จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 11 ส.ค. 51 12:19:56 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ภาพผู้หญิงเปลื้อยด้านหลังนี้ รัชกาลที่ ๕ ทรงโปรดเป็นพิเศษและได้ทรงซื้อกลับมายังประเทศไทย โดยปัจจุบันอยู่ที่พระที่นั่งอัมพรสถาน พระองค์ท่านทรงบรรยายความงามของภาพนี้ไว้ว่า “ รูปภาพที่มีอยู่ในนั้นพ่อชอบรูปหนึ่ง เปนผู้หญิงยืนเปลือยกายพิงตู้ ตู้นั้นเปนตู้ไม้ดำฝังงา มีนกยูงจับอยู่บนหลังตู้ตรงหัวผู้หญิง ผู้หญิงนั้นแต่งตัวสรวมสร้อยคอนิลเรือนเพ็ชรสายหนึ่ง ประคำไข่มุกยาวสายหนึ่ง มีถ้วยแก้วตั้งอยู่ริมมือซ้าย หม้อทองเหลืองตั้งอยู่ข้างขวา ในชั้นตู้มีนาฬิกาทรายแลกระโหลกศีสะ อรรถาธิบายว่าความงามของเนเชอ ถึงจะเปลือยกายอยู่ ก็งามได้ รับรองกันกับเครื่องประดับเพ็ชรพลอย จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 11 ส.ค. 51 12:22:22 ]

ความคิดเห็นที่ 60    .......  สวัสดี คุณออกหลวงมงคล ค่ะ จากคุณ : Oncidium. - [ 11 ส.ค. 51 15:32:43 ]

ความคิดเห็นที่ 61 โอโห...รูปเปรียบเทียบ 55-56   ต้นไม้ด้านหลังอาคารทางซ้ายของรูปในวันที่เสด็จประพาสที่นี่เมื่อ 100 ปีก่อน  ยังเหมือนเดิมเปะ จากคุณ : la liga fan - [ 11 ส.ค. 51 16:08:19 ]

ความคิดเห็นที่ 62 สวัสดีครับคุณ Oncidium. ยังไงรบกวนทางคุณ Oncidium. ติดต่อมาทางหลังไมค์เพื่อแจ้งที่อยู่ให้หน่อยได้มั้ยครับ เนื่องจากเห็นถึงความสนใจของคุณ Oncidium. ที่เข้ามาโพสและช่วยโหวตอยู่ตลอด จึงมีของเล็กๆ น้อยๆ ที่อยากให้นะครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 11 ส.ค. 51 16:21:39 ]

ความคิดเห็นที่ 63  ......   ขอบพระคุณค่ะ   ...... จากคุณ : Oncidium. - [ วันแม่แห่งชาติ 15:40:47 ]

ความคิดเห็นที่ 64 เข้ามาขอบคุณอย่างหนักหน่วงครับ ทรงคุณค่าและทรงพลังมากครับ ยังไม่หมดใช่มั้ยครับ จะแว้บเข้ามาดูเรื่อยๆนะครับ อยากได้หนังสือมาไว้ในครอบครองจังครับ อยู่ต่างประเทศจะสั่งซื้อทางไหนได้บ้างครับ ราคาเท่าไหร่ด้วยครับ จากคุณ : ผมก็ไกลบ้าน (Finnegan 'Finn' Bell) - [ 17 ส.ค. 51 01:52:49 ]

ความคิดเห็นที่ 65 มาต่อกันนะครับ ภายหลังการประพาสเมืองในอิตาลี ซึ่งนับเป็นช่วงของการสเจประพาสยุโรปครั้งที่ ๒ โดยอิตาลีอาจเรียกได้ว่าเป็นช่วงของการประพาสเพื่อเยี่ยมพระสหายเก่า รวมทั้งทอพระเนตรวิทยาการสมัยใหม่ เพื่อนำมาปรับใช้กับสยามนะครับ กำหนดการภายหลังการเสด็จประพาสอิตาลี จุดหมายต่อไปคือประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่มีพรมแดนติดต่อกับอิตาลี ประเทศนี้ พระองค์ทรงใช้เวลาประทับเพียง ๕ วัน ซึ่งเมืองแรกที่เสด็จประทับคือเมืองเตริเตร์ ขอนำพระราชปรารภที่ไม่อยู่ในไกลบ้าน แต่ทรงส่งมาถึงกรมพระยาดำรงราชานุภาพในวันที่เสด็จมาถึงเตริเตร์ให้ได้ชมนะครับ ซึ่งความในช่วงนี้เป็นคำปรารภถึงพระยาดำรงฯ ว่าอย่าหยุดที่จะส่งโปสการ์ดแลกเปลี่ยนไปมา เนื่องด้วยพระองค์ทรงคิดถึงบ้าน และอยากบอกเล่าความเป็นอยู่ผ่านโปสการ์ดนั่นเอง “ ขออ้อนวอนอย่าให้หยุดส่งโปสตก๊าด ผู้ที่มาไกลเช่นนี้ ย่อมกระหายข่าวบ้านแลอยากเหนบ้านเปนที่สุด แต่เพียงได้เห็นโปสตก๊าดก็เป็นที่ชื่นใจ ” จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 18 ส.ค. 51 13:19:28 ]

ความคิดเห็นที่ 66 ทัศนียภาพระหว่างทางจากเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี ไปยังเมืองเตริเตร์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เป็นความงดงามที่ผมเองได้มีโอกาสไปเห็น และรัชกาลที่ ๕ ทรงบรรยายความรู้สึกส่วนพระองค์ไว้อย่างน่าฟังว่า “ การที่จะเอนตัวลงนอนในเวลามาตามทางรถไฟทางนี้เปนเอนลงไม่ได้ เพราะดูแผนที่เพลิดเพลิน เหมือนหนึ่งว่านั่งอยู่ในห้อง ที่มีรูปภาพแลนด์สเคป แลยกรูปนั้นเปลี่ยนมาดูทีละแผ่นทีละแผ่น เปนได้ต่างๆ บางแห่งงามจนพูดไม่ออกว่าจะว่ากะไรดี ” นาทีที่ผมอยู่บนรถไฟ แทบจะอดชื่นชมพระอัจฉริยภาพไม่ได้ เพราะสิ่งที่ทรงบรรยายตลอดเส้นทางที่ทอดพระเนตร ตรงกับสิ่งที่สายตาของผมกำลังจ้องมองไปทุกหมดครับ จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 18 ส.ค. 51 13:23:52 ]

ความคิดเห็นที่ 67 ขอนำเรื่องราวบางตอนของพระราชหัตถเลขาไกลบ้านช่วงระหว่างการเสด็จฯ จากเมืองมิลาน ถึงเมืองเตอร์ริเตร์มาเสนอพร้อมภาพประกอบดังนี้ “ รถไฟเดินเลียบมาตามข้างทเลสาบงามเสียจริงๆ มีหมู่บ้านฤาจะเรียกว่าเมืองก็ควร เปนหมู่ใหญ่ๆ มีตำบลอาโรนาเปนต้น ตามฝั่งทเลสาบนั้นมีเขาสูงๆ น้ำในทเลสาบใสเหมือนน้ำทเลเรียบเปนน่ากระจก..." นี่คือป้ายเมื่อรถไฟหยุดจอดที่สถานีเมืองอาโรนาครับ จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 18 ส.ค. 51 13:25:47 ]

ความคิดเห็นที่ 68 นี่คือภาพที่บอกว่า "...น้ำในทเลสาบใสเหมือนน้ำทเลเรียบเปนน่ากระจก..." จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 18 ส.ค. 51 13:26:38 ]

ความคิดเห็นที่ 69 อีกช่วงของคำที่ทรงบรรยายไว้ครับ "...ปลายแหลมหว่างที่แยกนั้นเปนที่ตั้งเมืองเรียกว่าพลันซา ใต้แหลมพลันซาลงมาในหว่างกลางทเลสองแยกมีเกาะสามเกาะ ว่าเปนสมบัติมาคิส์บอเมียว จึงเรียกเกาะนั้นว่าเกาะบอเนียวตามชื่อตระกูล เกาะสามเกาะนี้มีตึกใหญ่น้อยบ้านเรือนเต็มทั้งเกาะ แลดูเหมือนตึกลอยอยู่ในกลางน้ำ..." และนี่คือภาพเกาะกลางทะเลที่มีชื่อว่าเกาะบอเนียว จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 18 ส.ค. 51 13:27:57 ]

ความคิดเห็นที่ 70 ความเร็วของรถไฟที่วิ่ง กลายเป็นอุปสรรคในการถ่ายภาพมากครับ แต่ก็พยายามและตั้งใจกันสุดชีวิต เพราะคิดเสมอว่าพลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง อีกบทหนึ่งที่ทรงบรรยายนะครับ "...เขาที่สูงที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์คือมองตาโรซา ที่แท้ถ้าในหมู่เขาอัลปส์แล้ว เขามองต์บลองค์เปนสูงกว่ายอดอื่นหมด แต่อยู่ในแดนฝรั่งเศส จึงนับเอามองตาโรซาเปนสูงในสวิตเซอแลนด์ เขานี้แลเขาอื่นๆ ทั่วไปในสวิตเซอร์แลนด์มีสะโนหุ้มยอดขาวอยู่ทังนั้น ปากปล่องซิมปลองข้างฝ่ายสวิตเซอแลนด์เรียกว่าบริก พอหลุดปากปล่องออกมาก็แลเห็นต้นแม่น้ำโรน ” จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 18 ส.ค. 51 13:29:45 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ผมจะนำเข้าสู่เมืองเตริเตร์เลยนะครับ ตามหมายกำหนดการเมืองในสวิตนี้ ความจริงแล้วพระองค์ท่านทรงต้องการประทับยังเมืองมองตรือ แต่เหตุที่โรงแรมในเมืองเต็ม ไม่สามารถจองได้ทัน ทำให้พรองค์ทรงเลือกเอาโฮเตลเดสอัลปส์  เมืองเตริเตร์เป็นที่ทรงประทับครับ เมื่อไปถึงเมืองนี้จริงๆ ก็จะเข้าใจว่า การย้ายเมืองไม่ใช่อุปสรรคแต่อย่างใด เพราะเขตของสองเมืองนี้อยู่ติดกันจนแทบจะแยกไม่ออกว่ามีอยู่สองเมืองในพื้นที่นี้ ผมนำหน้าตาโฮเตลเดสอัลปส์ ในปัจจุบันมาให้ชมก่อนครับ ปัจจุบัน สถนที่แห่งนี้ไม่ได้เป็นโรงแรมเหมือนในอดีตนะครับ แต่เปลี่ยนมาเป็นพิพิธภัณฑ์วิทยุโทรทัศน์ของเมืองมองตรือ จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 18 ส.ค. 51 13:38:25 ]

ความคิดเห็นที่ 72 จริงๆ แล้วมีภาพโปสกาดที่ทรงซื้อและภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ที่ทรงถ่ายเยอะมากครับที่เมืองนี้ แต่อยากให้ชมในรายการนะครับ ย้ำนะครับว่าออกอากาศทุกวันจันทร์ และอังคาร เวลา 20.20 น ทางช่อง Thaipbs ครับ อีกภาพที่ผมพยายามสะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่ทรงบรรยายในพระราชหัตถเลขาไกลบ้านครับ “ โฮเตลนี้ดูข้างนอกเหมือนวิลลา ซึ่งเข้าใจว่าเหมือนเปนวิลลา ปลูกต่อๆ กันหลายเจ้าของ แต่ที่จริงไม่เปนเช่นนั้น ตั้งแต่หาดฝั่งทเลสาบขึ้นมา ลงเขื่อนแล้วมีถนนเล็กสายหนึ่ง เดินตลอดข้างริมน้ำ ในถนนเข้ามารั่วกั้น กะทู้รั้วเปนต้นไม่ตัดพุ่มกลม ในรั้วเข้ามามีลานสำหรับเล่นลอนเตนิสสองลานจึงถึงเตอเรส คือก่อเปนเขื่อนถมดิน ดาดปูนสิเมนต์..." ลานเทนนิสที่ว่าก็ยังคงอยู่ครับ จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 18 ส.ค. 51 13:41:41 ]

ความคิดเห็นที่ 73 ภาพต่อไปนี้คือภาพถ่ายเปรียบเทียบภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ทรงถ่ายทางรถไฟหน้าโรงแรมครับ จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 18 ส.ค. 51 13:44:29 ]

ความคิดเห็นที่ 74 ภาพที่แล้วให้เครดิตสำหรับหนังสือ "ให้ดำรง" เล่ม ๑ ของท่านชายศุภวัฒย์ เกษมศรีนะครับ ส่วนภาพนี้คือภาพเปรียบเทียบครับ จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 18 ส.ค. 51 13:45:43 ]

ความคิดเห็นที่ 75 “เรื่องการที่เขาเรียกว่าเฟตนาซีซัสนี้ เปนงานประจำปีของชาวเมืองนี้ ดอกนาซีซัสนั้นคล้ายดอกจุ๊ยเซียนอย่างลา ก้านเปนโพรงงอกในใต้ต้นไม้ใหญ่ เปนไม้ป่า สูงประมาณสักสิบห้าสิบหกนิ้ว หกกลีบสีขาว เกษรข้างในเปนจอกเหลืองเหมือนจุ๊ยเซียน ขอบจอกเปนสีแดง ไส้กลางเปนสีม่วง ฤดูนี้แล้วออกเต็มไปทั้งนั้น จึงเปนเวลาที่เล่นสนุกกันปีละครั้ง ครั้งละสองวัน ” พระราชหัตถเลขาที่ทรงกล่าวถึงงานเทศกาลเฟตนาซีซัส ซึ่งปัจจุบันได้มีการยกเลิกเทศกาลนี้ไปแล้วนะครับ นี่คือดอกนาซีซัสที่พระองค์ทรงบรรยายไว้ครับ จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 18 ส.ค. 51 13:53:28 ]

ความคิดเห็นที่ 76 นี่คือหน้าตาดอกจุ๊ยเซียน ที่ทรงบรรยายเปรียบเทียบให้สมเด็จหญิงน้อยได้เข้าพระทัย ทรงเปรียบเทียบได้อย่างชัดเจนครับ จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 18 ส.ค. 51 13:56:17 ]

ความคิดเห็นที่ 77 เรื่องราวการเสด็จประพาสเมืองในสวิตช่วงนี้ ความโดดเด่นคงอยู่ที่ยอดเขาแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่ายอดเขาโรเชอเดอเนย์ ซึ่งพระองค์ท่านเสด็จในวันที่สองของการประทับเมืองเตริเตร์ โดยทรงบรรยายเรื่องราวระหว่างการเสด็จไวโดยละเอียด ผมนั่งรถรางขึ้นไปยังยอดเขาโรเชอเดอเนย์ โดยรู้สึกทึ่งในพระอัจฉริยภาพที่ทรงบรรยายผ่านตัวอักษรในไกลบ้าน ทุกบรรทัดสะท้อนภาพเมื่อ ๑๐๐ ปีให้เห็นอย่างชัดเจน จนบางครั้งเสมือนหนึ่งได้ตามรอยพระยุคลบาทพระองค์ท่านในวันนั้นจริงๆ ความพิเศษคือผมได้รับอนุญาตให้เข้าไปยังที่นั่งของคนขับรถไฟเพื่อเก็บภาพบรรยากาศการตามรอยครั้งนี้ให้สมบูรณ์แบบที่สุด จากนั้นเมื่อเดินทางไปถึงยังยอดเขาโรเชอเดอเนย์ เรามีเวลาเพียง ๔๕ นาทีก่อนที่รถไฟคันที่ใช้เดินทางขึ้นมาจะกลับไปยังจุดเริ่มต้นอีกครั้ง แต่เวลาอันน้อยนิดก็เพียงพอให้เราได้ซึมซับภาพบรรยากาศความสวยงามของยอดเขาแห่งนี้  สร้างความประทับใจต่อทีมงานและหวังจำไว้ว่าจะกลับมาเยือนยอดเขาอันงดงามแห่งนี้อีกครั้งให้จงได้ครับ นี่คือหน้าตารถรางที่เราใช้เดินทางครับ แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 51 14:01:58 จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 18 ส.ค. 51 14:00:46 ]

ความคิดเห็นที่ 78 เริ่มต้นการเดินทาง เมื่อได้เข้าไปยังที่นั่งของคนขับ ทำให้เรามองเห็นทัศนียภาพอย่างชัดเจน และสิ่งที่ทรงบรรยายไว้ในไกลบ้านก็ยังคงเหมือนเมื่อ ๑๐๐ ปีก่อน จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 18 ส.ค. 51 14:03:30 ]

ความคิดเห็นที่ 79 “รถออกจากโค ตั้งต้นที่จะผ่านสะโนอันกองเรี่ยราดอยู่ตามทางขึ้นไป มากขึ้นมากขึ้นทุกที เปนสะโนอ่อนที่กำลังละลายอยู่ ไม่สู้แขงเช่นที่เคยเห็นครั้งก่อน แลลงมาในอ่าวเห็นตำบลที่ริมทเลทุกแห่งเหมือนเรือนตุ๊กตา..." ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ ณ ตำบลโค ระหว่างทางเสด็จครับ จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 18 ส.ค. 51 14:06:35 ]

ความคิดเห็นที่ 80 ภาพเปรียบเทียบภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ตำบลโคนะครับ รถรางที่เราใช้เดินทางจอดที่นี้เพียง ๕ นาที ก็เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกันครับ เพื่อจะหามุมให้เจอ ในที่สุดก็เจอ แต่เข้าใจว่า พระองค์ท่านทรงยืนถ่ายจากรถรางนะครับ เพราะผมถ่ายภาพนี้ ตอนนั้นตัวผมอยู่นอกรถรางครับ จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 18 ส.ค. 51 14:09:15 ]

ความคิดเห็นที่ 81 เมื่อไปถึงยังยอดเขาโรเชอเดอเนย์ เรามีเวลาเพียง ๔๕ นาทีเพื่อโดยสารรถรางกลับไปยังเมืองเตริเตร์ครับ สิ่งที่เราโฟกัสที่สุดคือภาพพระบรมฉายาลักษณ์ที่ทรงฉาย ณ หลักยอดเขาแห่งนี้ครับ จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 18 ส.ค. 51 14:13:15 ]

ความคิดเห็นที่ 82 หลักยอดเขาที่เราเดินทางไปพบ ยังคงอยู่ยืนยงมานานกว่า ๑๐๐ ปี จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 18 ส.ค. 51 14:14:48 ]

ความคิดเห็นที่ 83 อยากบอกว่าทัศนียภาพบนยอดเขาแห่งนี้งดงามมากนะครับ อยากให้ติดตามในสารคดีที่จะออกอากาศครับ ภายหลังการเสด็จมายังเมืองเตริเตร์ เมืองต่อไปที่พระองค์เสด็จคือเมืองนอยเฮาเซน เขตแดนระหว่างประเทศเยอรมนีกับสวิตนะครับ ที่นี้มีเรื่องของน้ำตกไรน์ฟอลให้ได้ติดตามชมครับ วันที่เราเดินทางไปถึงน้ำตกแห่งนี้ ความยิ่งใหญ่ที่ทรงบรรยายไว้ในไกลบ้านก็ยังคงปรากฏให้พบเห็นครับ สิ่งสำคัญคือภาพถ่ายเปรียบเทียบภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ทรงถ่ายน้ำตกแห่งนี้ครับ แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 51 14:20:02 จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 18 ส.ค. 51 14:19:21 ]

ความคิดเห็นที่ 84 ภาพที่ผมถ่ายเมื่อเดินทางไปถึงครับ จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 18 ส.ค. 51 14:20:37 ]

ความคิดเห็นที่ 85 ช่วยโหวตกระทู้ให้คุณออกหลวงมงคล จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 18 ส.ค. 51 14:47:41 ]

ความคิดเห็นที่ 86 ขอบคุณนะครับ คุณเพ็ญชมพู จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 18 ส.ค. 51 14:56:06 ]

ความคิดเห็นที่ 87    ................ จากคุณ : Oncidium. - [ 18 ส.ค. 51 17:00:24 ]

ความคิดเห็นที่ 88 สวัสดีค่ะ  คุณออกหลวงมงคล เมื่อเช้าเข้ามารอบนึงแล้วบังเอิญรีบ เลยเซ็นต์ชื่อไว้เฉยๆ  แล้วก็โหวต ขอเสนอความเห็นว่า น่าจะตั้งกระทู้ใหม่ไปเลยนะคะ เผื่อบางท่านหากระทู้ไม่เจอ ของดิฉัน  save ไว้ใน Favorite ค่ะ ขอเสนอภาพเกาะเดียวกับ ความเห็นที่ 69 สักนิดนะคะ เกาะชื่อ บอร์โรมีโอ ค่ะ  (Isola  Borromeo) อยู่ในทะเลสาปชื่อ  Lago(lake) Maggiore จากคุณ : Oncidium. - [ 18 ส.ค. 51 21:55:38 ]

ความคิดเห็นที่ 89 ภาพนี้เป็นภาพ ทะเลสาป มาจจอเร่  ช่วงเมือง Arona ถ่ายเมื่อปีที่แล้ว ค่ะ (ภาพบนมาจาก เวบเมืองอโรน่า) จากคุณ : Oncidium. - [ 18 ส.ค. 51 22:01:00 ]

ความคิดเห็นที่ 90 ขอบพระคุณครับ ออกหลวงมงคล   คุณ เพ็ญชมพู  และทุกๆ ท่าน จากคุณ : กัมม์ - [ 19 ส.ค. 51 09:07:33 ]

ความคิดเห็นที่ 91 ทรงบรรยายถึงน้ำตกไรน์ (Rhine Falls-Rheinfall) ไว้ว่า น้ำตกนี้ต้องเข้าใจว่าไม่ใช่น้ำพุฤๅน้ำธารที่ไหลตกลงมาจากภูเขา แลมีลำธารต่อไปอิก น้ำตกนี้เปน แก่งศิลาเกิดขึ้นขวางในแม่น้ำ คือเทือกเขาจากฝั่งทั้งสองข้าง ตั้งเปนคันเหมือนทำนบกั้นไว้........ ในระหว่างกลางที่น้ำตกนั้นมีก้อนศิลาใหญ่ ตั้งเปนเขาย่อม ๆ สูงพ้นน้ำเฉภาะอยู่ได้กึ่งกลาง มีต้นไม้ ขึ้นบริบูรณ์ น้ำที่ตกลงมาเปนฝอยฟองเสียงโครม ๆ ไปรอบข้าง กำลังน้ำที่ตกลงมากระทบที่ต่ำกลับ เปนฝอย ฟุ้งขึ้นไปสูงกว่าก้อนศิลาที่เปนเกาะอยู่กลางนี้เสียอิก แต่เกาะกลางนี้เปนที่สำหรับคนข้าม ไปดูน้ำตกเหมือนหนึ่งว่ายืนอยู่บนปากทำนบที่ขวางกลางแม่น้ำ.. ภาพจากวิกิพีเดีย http://en.wikipedia.org/wiki/Rhine_Falls แก้ไขเมื่อ 20 ส.ค. 51 08:19:49 แก้ไขเมื่อ 19 ส.ค. 51 13:50:18 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 19 ส.ค. 51 11:41:34 ]

ความคิดเห็นที่ 92 ทรงบรรยายต่อไปว่า ข้างขวามือมีตึกใหญ่ มีท่าที่จะขึ้นไปดูน้ำตกได้ แต่พ่อยังไม่ได้ไปถึงที่นั้น ตึกใหญ่นั้นคงหมายถึง The castle Schloss Laufen  ของ Barons of Laufen ต่อมาเปลี่ยนเจ้าของเป็นทางการเมือง Zurich  ปัจจุบันเป็นภัตตาคารและโรงแรม ภาพโดยคุณ TeeLeX จากเว็บสยามนาฬิกา http://www.siamnaliga.com/forum/index.php?act=ST&f=7&t=83588&s=d7792fae6a85ec585598089f8ba3b1cb แก้ไขเมื่อ 19 ส.ค. 51 14:22:59 แก้ไขเมื่อ 19 ส.ค. 51 14:18:23 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 19 ส.ค. 51 11:54:09 ]

ความคิดเห็นที่ 93 สุดท้ายทรงบรรยายถึงการดูน้ำตกนี้ว่า การดูน้ำตกที่นี่มีสามประเภท ประเภทหนึ่งดูกลางวัน อิกประเภทหนึ่งดูเมื่อเดือนหงาย ประเภทที่สุดนั้นดูฉายไปให้เป็นสีแดงสีเขียว มาวันนี้ชอบด้วยการกำหนดที่จะได้เห็นที่ ๑ แลที่ ๒ เพราะเปนวันเดือน ๗ แรมค่ำหนึ่ง แต่พระจันทร์ตอนหัวค่ำขึ้นมาจากเมฆเหมือนอย่างกับพระจันทร์แหว่ง ค่อย ๆ ใหญ่ขึ้นใหญ่ขึ้นจนหมดดวง แต่ยังเปนเมฆหมอกมัวไม่แจ่มแจ้งดี บางทีตอนดึกจะได้เห็นเวลาพระจันทร์แจ่ม บางทีภาพประเภทที่ ๒ ซึ่งพระองค์ทรงได้ทอดพระเนตร คงเป็นเช่นนี้ ภาพจาก http://www.imageenvision.com/free_picture/0003-0707-0916-1856.html จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 19 ส.ค. 51 12:03:24 ]

ความคิดเห็นที่ 94 ประเภทที่สุดนั้นดูฉายไปให้เป็นสีแดงสีเขียว ภาพจาก http://www.photochromstockphotos.com/ จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 19 ส.ค. 51 12:07:27 ]

ความคิดเห็นที่ 95 ตามอ่าน ตามดูค่ะ มากดโหวตค่ะ ขอขอบคุณ คุณ ออกหลวงมงคล  คุณ เพ็ญชมพู และทีมงานสารคดี ไกลบ้าน THAI PBS ที่ทำสารคดีดีๆ มาให้คนไทยได้ดู และรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระราชกรณียกิจให้แก่ประเทศชาติ และปวงชนชาวไทย จากคุณ : หมีน้อย แสนขยัน - [ 19 ส.ค. 51 14:12:10 ]

ความคิดเห็นที่ 96 may i??? just saw this topic from klaiban kub.. i've got these great things in my first year in switzerland (97) i got 2 sets in 1 envelope ps.sorry i cant pim pasa thai nakub..hope u understand my poor english จากคุณ : constantin (vacheron) - [ 21 ส.ค. 51 05:25:36 ]

ความคิดเห็นที่ 97 already 11 years i'm super happy tho have these special phone cards and i never used all of them kub จากคุณ : vc (vacheron) - [ 21 ส.ค. 51 05:31:09 ]

ความคิดเห็นที่ 98 sorry if pics are not so nice nakub..i like the stamp จากคุณ : constantin (vacheron) - [ 21 ส.ค. 51 05:32:51 ]

ความคิดเห็นที่ 99 Royal visit จากคุณ : vc (vacheron) - [ 21 ส.ค. 51 05:33:43 ]

ความคิดเห็นที่ 100 2 sets 4 cards จากคุณ : vc (vacheron) - [ 21 ส.ค. 51 05:34:37 ]

ความคิดเห็นที่ 101 like this จากคุณ : vc (vacheron) - [ 21 ส.ค. 51 05:35:32 ]

ความคิดเห็นที่ 102 front จากคุณ : constantin (vacheron) - [ 21 ส.ค. 51 05:36:27 ]

ความคิดเห็นที่ 103 back จากคุณ : vc (vacheron) - [ 21 ส.ค. 51 05:37:11 ]

ความคิดเห็นที่ 104 cover จากคุณ : vc (vacheron) - [ 21 ส.ค. 51 05:38:08 ]

ความคิดเห็นที่ 105 inside จากคุณ : vc (vacheron) - [ 21 ส.ค. 51 05:39:30 ]

ความคิดเห็นที่ 106 i would like to ตามรอยพระยุคลบาทรัชกาลที่ ๕ in switzerland too from the pics in cardphones when i have enough time and would love to have this  DVD too. please let me know nakub when finished.i'm now living and working in Basel since 1997 kub จากคุณ : constantin (vacheron) - [ 21 ส.ค. 51 05:45:41 ]

ความคิดเห็นที่ 107 อ่านด้วยความปลื้มเปรม ที่มีคนตามรอยเบื้องพระยุคลบาท ทำให้เราได้เห็น now and then อีกอย่างคือเราได้เห็นถึงพระอัจฉริยะในการเขียนของพระองค์ ท่านช่างบรรยายให้ได้เห็นภาพชัดเจน อ่านแล้วคิดถึงสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ท่านเก่งในเรื่องเขียนเหมือนๆกัน รักพระองค์ท่านมากค่ะ จากคุณ : PatPDX - [ 21 ส.ค. 51 09:01:03 ]

ความคิดเห็นที่ 108 การเสด็จประเทศสวิตเซอร์แลนด์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวครั้งแรก พ.ศ. ๒๔๔๐ เสด็จอย่างเป็นทางการ ภาพใน # ๑๐๐, ๑๐๔ และ ๑๐๖ ของคุณ  constantin เป็นภาพเดียวกับที่ลงในหนังสือพิมพ์ ลา ปาตรี ซูอิส (La Patrie Suisse) ค.ศ. ๑๘๙๗  เป็นภาพฝูงชนเฝ้ารับเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ สถานีรถไฟกรุงเบอร์น ในพิธีรับเสด็จ เมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๔๐ เหล่าทหารตั้งแถวรับเสด็จอย่างสมพระเกียรติ จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 22 ส.ค. 51 14:08:03 ]

ความคิดเห็นที่ 109 ตามมาอย่างขาด ๆ หาย ๆ แต่ก็ยังยืนยันว่าตามอยู่เสมอค่ะ จากคุณ : ถ้าใจเราจะยิ้มได้ทุกวัน - [ 22 ส.ค. 51 17:11:18 ]

ความคิดเห็นที่ 110 -ขอเข้ามาชื่นชมด้วยคนค่ะ จากคุณ : South East Bangkok - [ 23 ส.ค. 51 12:03:49 ]

ความคิดเห็นที่ 111 น่าสนใจเป็นอย่างมาก ขอบคุณค้ะ จากคุณ : พนอจัน - [ 23 ส.ค. 51 13:20:44 ]

ความคิดเห็นที่ 112 ดีจัง เพิ่งอ่านจบไปไม่นานนี้เอง ทำให้เห็นภาพขึ้นเยอะเลยค่ะ แต่คงจะไม่ได้ดูที่จะออกทีวี ตามอ่านกระทู้นี้ไปก่อน จากคุณ : peppa_mint - [ 24 ส.ค. 51 15:59:50 ]

ความคิดเห็นที่ 113 คุณ peppa_mint ติดตามรายการสารคดีชุดนี้ย้อนหลังได้ที่นี่เลย http://www.thaipbs.or.th/klaibaan/clip.asp จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 24 ส.ค. 51 16:21:36 ]

ความคิดเห็นที่ 114 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 24 ส.ค. 51 18:08:20 ]

ความคิดเห็นที่ 115 ขอโทษนะครับที่หายไป... วันนี้จะตามรอยเข้าสู่ประเทศเยอรมนีครับ โดยเมืองแรกที่เสด็จประทับคือ เมืองบาเดนบาเดน เมืองบาเดน-บาเดน เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงอันโด่งดัง อันเกิดจากคุณสมบัติของน้ำพุร้อนที่ถูกค้นพบในเมือง ซึ่งเป็นน้ำพุร้อนที่มีแร่ธาตุสำคัญๆ หลายอย่างที่ช่วยฟื้นฟูร่างกาย หรือบำบัดโรคภัยไข้เจ็บได้   เมืองบาเดน-บาเดนจึงเป็นจุดหมายปลายทาง “สปา” ที่สำคัญในทวีปยุโรป แม้เมื่อ ๑๐๐ ปีที่แล้ว ก็มีผู้คนจากทั่วโลกต่างเดินทางมายังบาเดน-บาเดน เป็นจำนวนมากถึง 7 หมื่นคนต่อ วันพุธที่ ๒๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ รัชกาลที่ ๕ เสด็จฯ ถึงสถานีรถไฟเมืองบาเดนบาเดนครับ สถานีรถไฟในวันนั้นเปลี่ยนมาเป็นโรงละครโอเปร่าในชื่อว่า Festspielhuas ครับ แก้ไขเมื่อ 25 ส.ค. 51 10:19:24 จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 25 ส.ค. 51 10:18:49 ]

ความคิดเห็นที่ 116 สภาพภายในสถานีรถไฟเก่าแห่งนี้ แม้จะเปลี่ยนมาเป็นโรงละครแล้ว แต่ภายในยังคงศิลปะและการตกแต่งเมื่อ ๑๐๐ ปีก่อนไว้อย่างครบถ้วนครับ ในภาพคือช่องขายตั๋วรถไฟที่ปรับมาใช้เป็นช่องขายตั๋วชมโอเปร่าครับ จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 25 ส.ค. 51 10:21:28 ]

ความคิดเห็นที่ 117 เสด็จฯ มาเมืองบาเดนบาเดนในครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ ๒ สำหรับรัชกาลที่ ๕ ครับ ความคุ้นเคยในเมืองจึงมีมาก เพราะพระองค์ทรงจดจำทุกสิ่งได้เป็นอย่างดีครับ ช่วงระหว่างเสด็จฯ ประทับ จึงมีข่าวการเสด็จฯ ลงทุกวันครับ จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 25 ส.ค. 51 10:24:20 ]

ความคิดเห็นที่ 118 เรียนคุณออกหลวงมงคล เห็นด้วยกับคุณ Oncidium # ๘๘ ขอเสนอความเห็นว่า น่าจะตั้งกระทู้ใหม่ไปเลยนะคะ เริ่มต้นเสด็จเข้าประเทศเยอรมัน น่าจะตั้งเป็นกระทู้ใหม่ เพื่อง่ายต่อการติดตาม จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 25 ส.ค. 51 10:25:52 ]

ความคิดเห็นที่ 119 ย้อนความไปในช่วงเมืองซานเรโม ประเทศอิตาลีนะครับ (จริงๆ อยากให้ชมในรายการครับ) ช่วงที่ประทับในเมืองซานเรโม รัชกาลที่ ๕ ทรงมีพระราชโทรเลขถึงมกุฏราชกุมารในเวลานั้น (รัชกาลที่ ๖) โดยทรงมีรายงานการตรวจพระวรกายจากแพทย์นายหนึ่งที่มีชื่อว่า นายแพทย์ไฟล์เนอร์ นายแพทย์เยอรมัน ชาวเมืองไฮเดลแบ็คผู้นี้ถือเป็นหัวหน้าคณะแพทย์ที่ได้รับความไววางใจจากพระองค์นะครับ และถวายคำแนะนำให้รัชกาลที่ ๕ เสด็จเพื่อรักษาพระวรกายด้วยวิธีการสรงน้ำ (อาบน้ำ) ที่เมืองบาเดนบาเดน ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ทรงถ่ายนายแพทย์ไฟล์เนอร์เมื่อครั้งประทับที่วิลลาโนเบล เมืองซานเรโม ประเทศอิตาลีครับ จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 25 ส.ค. 51 10:30:51 ]

ความคิดเห็นที่ 120 ตามรอย ๑๐๐ ปี ไกลบ้าน ตามเสด็จพระพุทธเจ้าหลวง ณ ประเทศเยอรมนีกันต่อที่กระทู้ใหม่นะครับ จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 25 ส.ค. 51 10:35:35 ]

ความคิดเห็นที่ 121 ถ้ามีดีวีดี ออกจำหน่ายเมื่อไหร่ แจ้งข่าวด้วยนะคะ   จากคุณ : soomchon - [ 25 ส.ค. 51 10:41:41 ]