ความคิดเห็นที่ 9
"ขออัญเชิญพระบาทสมเด็จพระอนุชาธิบดีเจ้าฟ้ามงกุฎฯและสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้า กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ เถลิงถวัลยราชสมบัติ"
นี่เป็นคำกราบบังคมทูลถวายราชสมบัติแด่ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าทั้งสองพระองค์ จากคำกราบบังคมทูลนี้ จะเห็นได้ว่าราชสมบัติเป็นของสมเด็จเจ้าฟ้าทั้งสองพระองค์ (ตามนิตินัย)
แต่ตามพฤตินัย ก็เป็นอย่างที่เข้าใจครับ ทรงยกย่องสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชให้เป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์เดียว
สำหรับในแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระเอกาทศรฐมหาราชก็ทรงปกครองข้าราชการเมืองเหนือ (กินเมืองกึ่งหนึ่ง) เห็นได้จาก ทรงมีอำนาจกำหนดพระราชบัญญัติบังคับข้าราชส่วนนั้นได้
ศุภมัสดุ ศักราช ๙๕๕ พยัคฆสังวัจฉรมาฆมาสกาฬปักษ์ เอกาทศมีดิถีครุวารกาลบริเฉทกำหนด พระบาทสมเด็จพระเอกาทศรถอิศวรบรมนาถบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว เสด็จออกพระที่นั่งมงกุฎพิมานสถานพิมุขไพชยนต์ปราสาทมีพระราชโองการมานพระบัณฑูรสุรสิงหนาทดำรัสแก่พระยาศรีธรรมาว่า พระหลวงเมืองขุนหมื่นข้าทูลละอองธุลีพระบาท ฝ่ายทหารพลเรือนเกณฑ์เข้ากระบวนทัพ ได้รบพุ่งด้วยสมเด็จบรมบาทบงกชลักษณอัครปุริโสดม บรมหน่อนราเจ้าฟ้านเรศวรเชษฐาธิบดี มีชัยชำนะแก่มหาอุปราชหน่อพระเจ้าไชยทศทิศเมืองหงสาวดีนั้น ฝ่ายทหารพลเรือนล้มตายในการรณรงค์สงครามเป็นอันมาก และรอดชีวิตเข้ามาได้เป็นอันมากนั้น ก็ได้ทรงพระกรุณาพระราชทานพูนบำเหน็จแล้ว และซึ่งขุนหมื่นนายอากรภาษีและนายหมวดค่าส่วยขึ้น ณ พระคลังหลวง และส่วยสาอากรนั้น เข้าการณรงค์รบพุ่งล้มตายในที่รบเป็นอันมาก จึงทรงพระกรุณาตรัสประภาษว่า มันทำการรณรงค์สงครามมีบำเหน็จความชอบอยู่นั้น ถ้าและหนี้สินส่วยสาอากรขึ้นแก่พระคลังหลวงติดค้างอยู่มากน้อยเท่าใดให้ยกไว้ มีลูกหลานให้รับราชการแทนเลี้ยงไว้สืบไป ถ้าและขุนหมื่นนายอากรภาษีนายค่าส่วยซึ่งขึ้นพระคลังติดค้างอยู่ ก็ให้ยกเป็นบำเหน็จผู้ตายในการรณรงค์ผู้เป็นเจ้าแล้วอย่างให้บุตรภรรยาใช้หนี้เลย ถ้าและมีพี่น้องลูกหลานให้เลี้ยงเป็นข้าเฝ้าและเลี้ยงไว้ในที่ทหารใช้ราชการสืบไป อนึ่ง ผู้ใดมีน้ำใจจัดแต่งลูกหลานพี่น้องอาสาเข้ากองทัพได้รบพุ่งล้มตายในที่รบ ถ้าหาหนี้สิน ณ พระคลังหลวงติดค้างมิได้ ให้พระราชทานบุตรภรรยาโดยพระราชกฤษฎีกา ถ้าหนี้สินพระคลังหลวงติดค้าง ก็ให้ยกพระราชทานให้แก่บุตรภรรยามิได้เอาเลย และรอดคืนมาหาหนี้สินหลวงติดค้างมิได้นั้น ให้พระราชทานโดยพระราชกฤษฎีกา เลี้ยงไว้ในที่ทหาร
สำหรับพระนาม "จอมเกล้า" ไม่ได้แปลว่า ศรีษะ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงพระสหายอธิบายพระนามของพระองค์ไว้แล้วครับ
To The Gentlemen G.W. Eddy &C &C &C
Sir,
The names by which the common people of Siam call me are Thun Kramom Fa Yai. By these two names I find I am generally known in foreign countries. The former is a title expressive of great respect, and is chiefly used by those who are, in law and custom, my inferiors and dependents; as younger brothers and sisters, children, servants and people. The latter is used by those who are nominally my superiors and those who do not feel themselves particularly dependent on me, or accountable to me. The word Thun means to put in a high place: kramom is the middle of the top or crow of the head: chau corresponds to the English word Lord, or the Latin Dominus: Fa is sky: but when used in a persons name, it is merely an adjective of exaltation, and is equivalent to the phrase as high as the sky. The remaining word Yai means great, or elder; and I am so called to distinguish me from my brother
But the name which my father, who prededed His Majisty the present king of Siam, gave me and caused to be engraved in a plate of Gold is Chau Fa Mongkut Sammatt Wongs. Only the first three of these words, however, are commonly used in public Documents at the present time. Mongkut means Crow. The name Chau Fa Mongkut means The high Prince of the Crown or His Royal Highness the Crown prince. I prefer that my friends, when the write me letters, or send parcels to me, will use this name, with the letters T.Y prefixed as being that by which I am Known in the Laws and Public Documents of Siam.
But some of my friends at Ceylon who are Mugadhists, have called my name Wajiranneano which my preceptor had given me to be used in Budhism: it means thus he has lightness of skill like a diamond. Therefore the Singallese generall address me thus Makuto Wajiraneano Thero. Makuto is changed from a Siamese name to mugadhism: Thero is a term for Chief Priest who are venerable in religious knowledge.
I have the honour to be, Your sincere friend, T.Y. Chau Fa Mongkut.
Wat Pawarnives Northern King Street, Bangkok, Siam July 14th. A. Ch. 1848
ซึ่งมหามงกุฎราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์ แปลและจัดพิมพ์ ในงานฉลองครบ ๘๔ ปี มหามงกุฎราชวิทยาลัย เมื่อ เดือนตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๑ ดังนี้
จดหมายมายังนาย ยี. ดับลยู. เอ๊ดดี ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ ให้ทราบ
นามซึ่งคนธรรมดาในสยามเรียกข้าพเจ้านั้นคือ ทูลกระหม่อมฟ้าใหญ่ แล เจ้าฟ้าใหญ่ ทั้งสองนามนี้ข้าพเจ้าทราบว่ามักใช้เรียกข้าพเจ้าในต่างประเทศ นามต้นเป็นคำแสดงความนับถืออย่างสูง แลใช้กันโดยมากในพวกที่มียศต่ำกว่า แลผู้ที่พึ่งพำนักข้าพเจ้าตามกฎหมายแลประเพณี เช่นอนุชา ขนิษฐา โอรส มหาดเล็ก แลราษฎรเป็นต้น นามท้ายเป็นนามใช้กันตามพวกที่สมมติว่ามียศสูงกว่าข้าพเจ้า แลผู้ที่ไม่สู้รู้สำนึกตนว่าต้องพึ่งพำนักข้าพเจ้า หรือผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อข้าพเจ้า คำว่า ทูล แปลว่าวางไว้ที่สูง กระหม่อม แปลว่ากลางยอดแห่งศีรษะ คำว่า เจ้า นั้นตรงกับคำอังกฤษว่า ลอร์ด หรือคำลาตินว่า โดมินัส ฟ้า คือ สไก แต่ถ้าใช้กับชื่อบุคคลก็เป็นคุณศัพท์เพื่อแสดงบรรดาศักดิ์สูง แลมีใจความเท่ากับประโยคว่า สูงเท่าฟ้า คำอีกคำหนึ่งคือ ใหญ่ แปลว่าโตหรือแก่กว่า แลการที่เขาเรียกข้าพเจ้าเช่นนั้น ก็เพราะจะให้ผิดกับพระอนุชาผู้มีชนมายุอ่อนกว่าข้าพเจ้า
แต่นามซึ่งสมเด็จพระชนกนาถของข้าพเจ้า คือพระเจ้าแผ่นดินสยามก่อนพระองค์เดี๋ยวนี้ พระราชทานข้าพเจ้า แลได้จารึกลงไว้ในแผ่นทองคำนั้นคือ เจ้าฟ้ามงกุฎสมมุติวงษ์ คำทั้งหมดนี้ คำต้นสามคำเท่านั้น เป็นคำซึ่งในเวลานี้มักใช้กันในหนังสือสำคัญทางราชการ มงกุฎ แปลว่า เคราน์ นามซึ่งเรียกว่า เจ้าฟ้ามงกุฎ จึ่งแปลว่า เจ้าชายทรงยศสูงแห่งมงกุฎ หรือ เจ้าฟ้าผู้เป็นรัชทายาท เมื่อมิตรของข้าพเจ้าเขียนจดหมายหรือส่งห่อของมายังข้าพเจ้า ๆ ชอบให้ใช้นามนี้ แลให้มีอักษร ท.ญ. นำหน้าเป็นที่หมายดั่งซึ่งเขาย่อมเรียกข้าพเจ้าอยู่แล้วตามกฎหมาย แลตามหนังสือสำคัญทางราชการแห่งสยาม
แต่มิตรของข้าพเจ้าบางคนซึ่งอยู่ประเทศลังกาผู้รู้ภาษามคธ เรียกนามข้าพเจ้าว่า วชิรญาโณ อันเป็นนามซึ่งพระอุปัชฌาย์ให้ข้าพเจ้าใช้ในพุทธศาสนา คำนั้นแปลว่า ผู้มีความสามารถอันสว่างประดุจเพ็ชร เหตุฉะนั้นชาวสิงหลจึงออกนามข้าพเจ้าดังนี้ มกุโฎ วชิรญาโณ เถโร มกุโฎ นั้นเปลี่ยนจากนามภาษาสยามเป็นภาษามคธ เถโร เป็นคำใช้เรียกหัวหน้าพระสงฆ์ผู้บุคคลพึงนับถือโดยความรู้ทางศาสนา
ข้าพเจ้ามีเกียรติเป็นมิตรอันมีความจริงต่อท่าน (พระอภิธัย) ท.ญ. เจ้าฟ้ามงกุฎ
วัดบวรนิเวศ ถนนหลวงด้านเหนือ กรุงเทพฯ สยาม วันที่ ๑๔ กรกฎาคม ค.ศ. ๑๘๔๘ (พุทธศักราช ๒๓๙๑)
พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=rattanakosin225&month=19-09-2007&group=1&gblog=37 เมื่อแผ่นดินทรงสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๒ พระองค์ http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=rattanakosin225&month=21-03-2007&group=2&gblog=38 ราชสกุลในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=rattanakosin225&group=5&date=16-03-2007&gblog=10 เฟิ้สท์คิงและสกันด์คิง http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=rattanakosin225&group=11&date=10-05-2007&gblog=10 พระจอมเกล้า - พระจอมปราชญ์ ตอนที่ ๕ ปลายแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=rattanakosin225&month=08-04-2008&group=13&gblog=5 พระจอมเกล้า - พระจอมปราชญ์ ตอนที่ ๑ เมื่อทรงพระเยาว์ http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=rattanakosin225&month=08-04-2008&group=13&gblog=1 แผ่นดินสมเด็จพระเอกาทศรฐมหาราช http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=rattanakosin225&date=14-06-2007&group=2&gblog=62
จากคุณ :
กัมม์
- [
9 ส.ค. 51 13:26:55
]
|
|
|