ความคิดเห็นที่ 1 - แนวคิด "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่" มีความเป็นมาอย่างไร ตอบ  มาจากกลุ่มตลกคาเฟ่  รู้สึกว่าได้ยินครั้งแรกจากหนู เชิญยิ้ม - ทำไมคนบางกลุ่มจึงต่อต้านแนวคิดนี้ ตอบ  มาจากห้องหว้ากอ  แต่จำไม่ได้ว่ามาจากใคร  คุ้นๆ ว่ามาจากหมอ JFK จากคุณ : หนุ่มฝั่งธน - [ 13 ส.ค. 51 00:27:05 ]

ความคิดเห็นที่ 2 มาจากคนที่รำคาญการวิพากษ์วิจารณ์ความเชื่อของเขา ซึ่งคนที่ต่อต้าน เพราะต้องการอยากจะพิสูจน์ว่าเป็นจริง สมควรเชื่อถือหรือไม่ ดังนั้น เมื่อมีคำกล่าวห้ามย่อมไม่ค่อยพอใจ มันเป็นสิทธิส่วนบุคคล ใครไม่เชื่อหรือแม้ว่าตนเองจะรู้ว่าไม่ควรเชื่อ ก็ไม่ต้องไปท้าขอพิสูจน์กับคนที่เชื่อ เพราะความเชื่อนั้น อยู่ที่ใจไปแล้ว คนเชื่อก็ไม่อยากรู้เหมือนกันว่าจริงหรือเปล่า จากคุณ : adial - [ 13 ส.ค. 51 00:34:47 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ไม่เชื่อต้องพิสูจน์ ^^ จากคุณ : ratta - [ 13 ส.ค. 51 00:42:31 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ทำไมคนบางกลุ่มจึงต่อต้านแนวคิดนี้ เพราะมันไม่ส่งเสริมปัญญาเลยครับ ยิ่งถ้าใครเป็นพุทธแล้วถืออย่างนี้ยิ่งผิดหลักพุทธใหญ่ http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2007/02/X5179600/X5179600.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/02/X6374161/X6374161.html http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2007/03/X5196791/X5196791.html แก้ไขเมื่อ 13 ส.ค. 51 08:34:13 จากคุณ : Nexus - [ 13 ส.ค. 51 08:32:37 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ห้องหว้ากอ ประโยค ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ กับ ไม่ชอบประทศไทยก็ออกไปอยู่ประเทศอื่นซะ ประโยคไหนส่งผลเสียต่อการพัฒนาประเทศมากกว่ากันครับ http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/02/X6374161/X6374161.html "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่" ควรเปลี่ยนเป็น "ไม่เชื่อต้องพิสูจน์" มากกว่า http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2007/02/X5179600/X5179600.html "ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่". คิดยังไงกับคำพูดข้ออ้างยอดฮิตนี้ครับ(จิตวิทยา) http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2007/03/X5196791/X5196791.html ห้องสมุด คำว่า "ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่" http://209.85.175.104/search?q=cache:xKZktA5VPmoJ:www.pantip.com/cafe/library/topic/K6642361/K6642361.html+%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%9A%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B9%88+%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B9%87%E0%B8%8D%E0%B8%8A%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B9+%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%B9%E0%B9%89&hl=th&ct=clnk&cd=2&gl=th จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 13 ส.ค. 51 08:41:53 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เราชอบคำว่า "ไม่เชื่อต้องพิสูจน์ " ใน คคห 3 ... เราจะเล่าเรื่องจริงในชีวิตเราให้ฟัง... เรื่อง “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” นี้นะ มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เราพยายาม eradicate คือ “ขุดมันทิ้ง” ไปจากจิตใต้สำนึกเรา แต่ อีกหลายสิบปีต่อมา “ก็ยังทำไม่สำเร็จ” จะเล่าให้ฟัง เราเคยป่วยหนักมากๆ เป็นโรค OCD (ย้ำคิดย้ำทำ), ภูมิแพ้ และปวดหัวไมเกรนอย่างรุนแรง แต่ไม่ไปหาจิตแพทย์ เพราะรักษายังไงก็ไม่หาย  แล้วอยู่ดีๆ ไปรู้จักผู้หญิงอเมริกันคนหนึ่ง เธอพาเราไปฟัง lecture วิชา Macrobiotics (ช่วงนั้นเราตกงาน เพิ่งโดนไล่ออกจากงาน แล้วเรารับเงิน social security อยู่ในลอนดอน)  จากนั้นมากเราลองฝึก Macrobiotics ดูกินอาหารเจที่เป็นอาหารธรรมชาติแบบญี่ปุ่น (พวกข้าวกล้อง ผักปลอดสารพิษ หยุดกินนมเนย หยุดกินสารเคมีทั้งหลาย) แล้วเรานั่งสมาธิ จิตสงบ แล้วหาวิธีอันแยบยลจนหางานใหม่ได้ ...เราหางานใหม่ได้ แล้วรักษาอาการป่วยเราได้หมดอย่างน่ามหัสจรรย์...!!! จากการคลุกคลีกับคนที่ฝึก Macrobiotics มีเรื่องเล่าระหว่างพวกเขาที่ประหลาด นั่นก็คือว่า พวกเขาทุกคนมักจะเจออะไรที่ไม่ดี จากแค่เรื่องกวนใจนิดๆ ไปจนถึงกับประสบเคราะห์กรรมอย่างรุนแรง ทุกครั้งที่กินเนื้อวัวเข้าไป...!!!   พวกคนเอเชียที่นับถือพุทธอธิบายเรื่องนี้ในทำนองคล้ายๆพวกนับถือเจ้าแม่กวนอิมว่าร่างของคนกินเจจะมีเทวดามาคุ้มครอง พออยู่ดีๆไปกินเนื้อวัวเข้า เทวดาโกรธ หรือพวกคนจีนอธิบายว่า วัวควายมีพระคุณต่อเรา มันเป็นบาปที่ไปกินสัตว์ที่มีพระคุณ หรืออะไรทำนองนั้น แต่ในขณะเดียวกันนะ ชาวญี่ปุ่นที่สอน Macrobiotics ให้ฝรั่ง ต้องพยายามสอนฝรั่งแบบ scientific ทำนองว่า สารเคมีที่ใช้เลี้ยงวัว เข้าไปในตัวคน และวัวตอนจะโดนฆ่า มันหวาดกลัวจนคัดหลั่งเคมีบางอย่างที่ไม่ดีออกมา ซึ่งพอคนกินเข้าไป ก็จะมี bad judgment คือดุลยพินิจที่ไม่ดี และก็จะตัดสินใจผิดๆ แล้วก็จะมีเรื่องยุ่งๆเกิดขึ้นในชีวิต จนบางกรณีกลายเป็นความหายนะได้...!!! แก้ไขเมื่อ 13 ส.ค. 51 13:00:23 จากคุณ : agelesstansy - [ 13 ส.ค. 51 12:31:07 ]

ความคิดเห็นที่ 7 หลังจากฟังผู้หญิงฝรั่งคนหนึ่ง ซึ่งเป็นอาจารย์สอนวิชาการทำอาหารแม็กโครไบออติกให้เรา  เธอเล่าเรื่องราวในชีวิตเธอที่ประหลาด คือตอนเธอกินเจ เธอมีธุรกิจที่รุ่งเรืองอยู่กับสามีอย่างมีความสุข อยู่ดีๆเธอมี craving คืออยากกินอะไรสักอย่าง แล้วเธออยากกินเนื้อวัว พอกินไปแล้วทะเลาะกับสามีเลิกกัน แล้วธุรกิจพังยับเยิน  เราฟังแล้วก็ อยากพิสูจน์ คืออยากลบหลู่ คือ "ไม่เชื่อต้องพิสูจน์" เหมือนที่คคห 3 กล่าวไว้ เราเลยทดลองกลับไปกินเนื้อวัวเหมือนเดิม  และก็ประหลาดแฮะ เราโดนไล่ออกจากงานอีกรอบหนึ่ง  เราจึงกลับไปกินเจอีก แล้วก็ได้งานทำอีก แล้วเราก็กลับไปกินเนื้อวัวอีก แล้วก็โดนไล่ออกจากงานอีกรอบหนึ่ง เพราะ "ไม่เชื่อต้องพิสูจน์" เราจึงเจอฉากเหตุการณ์ที่หางานใหม่ได้ แล้วโดนไล่ออกจากงานอีก ซ้ำๆกันแบบนี้ มากถึง 13 ครั้งด้วยกัน อย่างต่อเนื่อง...!!! ตอนกลับมาเมืองไทย ตอนแรกๆ เราเคร่งมากๆเรื่องการกินเจ เราได้สาวกมาคนหนึ่ง มาเป็นแฟนเราด้วย และเธอฝึก Macrobiotics ตามเรา  เรากับเธอทั้ง 2 คนมีธุรกิจร่วมกัน ที่กำลังจะงอกเงยเป็นเงินมหาศาล แต่อยู่ดีๆคืนหนึ่ง เรา กับแฟน และฝรั่งชาวอเมริกัน(เพื่อนร่วมงาน) รวมเป็น 3 คน ไปนั่งที่ร้านเหล้าดึกๆแถวๆศรีย่าน สั่งเนื้อย่างติดมันมากินกับเบียร์ กันทั้ง 3 คนอย่างเมามัน ยิ่งกินก็ยิ่งมันมากๆ วันนั้นสวาปามเนื้อย่างติดมันเข้าไป 20 จาน...!! พอวันรุ่งขึ้น เรากับแฟนเราทะเลาะกันบ้านแตก แบ่งสมบัติกัน แยกทางกัน แล้วธุรกิจพังย่อยยับไปในพริบตา....ให้ตายสิ...เหลือเชื่อจริงๆว่ะ...!!! เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อ 15 ปีที่แล้ว...จนป่านนี้ เรายังจับต้นชนปลายไม่ถูกว่า มันเกิดอะไรขึ้น? แก้ไขเมื่อ 13 ส.ค. 51 13:12:04 แก้ไขเมื่อ 13 ส.ค. 51 13:10:04 แก้ไขเมื่อ 13 ส.ค. 51 13:04:14 แก้ไขเมื่อ 13 ส.ค. 51 12:51:59 แก้ไขเมื่อ 13 ส.ค. 51 12:51:06 จากคุณ : agelesstansy - [ 13 ส.ค. 51 12:32:53 ]

ความคิดเห็นที่ 8 อีกหลายปีต่อมา ถึงเราไม่กินเจเคร่ง แต่ถ้าเรากินแต่ธัญพืช ผักปลอดสารพิษ กับอาหารทะเล (บางครั้งกินเป็ดไก่บ้าง) เราไม่เป็นอะไร แต่ถ้ากินเนื้อวัว จะได้เรื่องทุกครั้ง เราก้อกล้าๆกลัวๆที่จะกินเนื้อวัวอีก  แต่ก็จะกินบ้างไม่กินบ้าง และทุกครั้งที่กิน ก็จะประสบความหายนะ เช่น เมื่อ 6 เดือนที่แล้ว อยู่ดีๆเราสวาปามเนื้อวัว กับ wine เข้าไป พออีกวันถัดมา อยู่ดีๆ กระดูกสันหลังเราเคลื่อนที่ (ทั้งๆที่ไม่ได้ไปโดนกระแทกเลย) จนขาขวาเกือบพิการเดินไม่ได้  ต้องเดินกะเผลกไป 3 เดือน  เราไม่ยอมไปหาหมอ แต่กลับไปกินเจ แล้วนั่งสมาธิเดินลมปราณ จนรักษาตัวเองหายในที่สุด จากคุณ : agelesstansy - [ 13 ส.ค. 51 12:34:42 ]

ความคิดเห็นที่ 9 หลังจากนั้น เราอ่านหนังสือ The Secret แล้วเจอคำสอนที่ว่า thoughts become things ความคิดกลายเป็นสิ่งที่มีตัวตนได้จริงๆ นั่นก็คือ คิดอะไรก็ได้อย่างนั้น  เราจึงนั่งบริกรรมปัญหาเรื่องกินเนื้อวัวไม่ได้ของเรา  แล้วได้ข้อสรุปว่า มันเป็นเหมือน psychopictography ในเชิงลบ นั่นเอง เคยมีศิลปินฝรั่งที่ประสบความสำเร็จให้สัมภาษณ์เรื่อง pyschopictography ในเชิงบวกว่า เธอ visualized (มองเห็นเป็นภาพ) ตัวเธอเอง ร้องเพลงบนเวที แล้วมีคนฟังนับพันๆคนตบมือให้เธอเซ็งแซ่...จนในที่สุดเธอดังขึ้นมาได้จริงๆ เราจึงพยายามใช้คำสอนในหนังสือ The Secret มา eradicate คือขุดรากถอนโคนปัญหาเรื่องเรากินเนื้อวัวไม่ได้  เราไปซื้อเนื้อวัวเสือร้องไห้มาทอดกิน แล้วขณะทอดเนื้อวัว ขณะกินเนื้อวัว เราแผ่เมตตาให้กับวัวตัวนั้น แล้วทำสมาธิว่า เราได้พลังจากวัวตัวนั้น มาทำให้ตัวเรามีพลัง ในขณะที่ visualize คือพยามเพ่งเห็นเป็นภาพว่าพลังจากเนื้อวัวจะทำให้เราร่ำรวยและประสบกับความสุขความเจริญ... นั่นก็คือว่า เราทำตัวเราเองให้เป็นสถานีทีวีส่งคลื่นดีๆไปในจักรวาล ให้คลื่นดีๆ วิ่งกลับมาเครื่องรับ ก็คือตัวเราอีกนั่นแหละ ตามที่หนังสือ The Secret สอนเรื่อง the law of attraction (กฎแห่งการดึงดูด) ไว้ว่า  like attracts like สิ่งที่เหมือนๆกันมันถึงดูดกันเอง..... คราวนี้นะ เราหวังว่า จะได้อะไรดีๆจากการกินเนื้อวัวบ้าง เพื่อ “แก้เคล็ด”  อยากจะเป็นเหมือนอย่างที่ George Ohsawa พูดเอาไว้ว่า "A free man can eat anything."   ..........และแล้วผลออกมาเป็นอย่างไรล่ะ  ...??? เราเขียนแค่นี้ แล้ว keep you in suspense เหมือนๆกับเขียนนิยาย (แต่นี่เป็นเรื่องจริง ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี้เอง) แล้วให้คนอ่านสงสัยอยากรู้ ด้วยความตื่นเต้น  ...ลองให้ผู้อ่านเข้ามาลงชื่อทายกันสิว่า เราแก้เคล็ดได้สำเร็จหรือเปล่า?  และเกิดอะไรขึ้นกับเรา หลังจากเรากินเนื้อวัวเข้าไปอีก ในรอบสุดท้าย ล่าสุดในชีวิตเรา กินกับ wine ชนิดเดิมเหมือนกัน....???!!! ....555+++.... แก้ไขเมื่อ 13 ส.ค. 51 12:56:09 แก้ไขเมื่อ 13 ส.ค. 51 12:47:42 จากคุณ : agelesstansy - [ 13 ส.ค. 51 12:38:25 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ขึ้นอยู่กับว่าเฮียแท่นไปกินกับใครด้วยอะค่ะ!! ถ้าแอบไปกินคนเดียว...   ก็จะเป็นเหมือนเดิมอีก แต่ถ้าเฮียป่าวประกาศว่าเฮียจะเลี้ยงเสือร้องให้ พร้อมไวน์ Bordeaux แล้วให้พวกเราไปพิสูจน์ด้วย  เฮียก็จะแก้เคล็ดได้ชิลๆค่ะ   จากคุณ : Gasalong - [ 13 ส.ค. 51 22:26:51 ]

ความคิดเห็นที่ 11 เรียน คุณ agelesstansy              ผมคิดว่า คุณไปสร้างเงื่อนไขหรือปมให้กับตนเองว่า จะไม่กิน เนื้อวัว หากกินเนื้อวัวแล้วเป็นผิด จะเกิดโทษนั้น ก็จะกลายเป็นกลไกอย่าง หนึ่ง ที่อาจทำให้ต้องประสบตามโปรแกรมหรือเงื่อนไขที่ตนวางไว้              ผมเป็นคนที่กินเนื้อวัวและชอบมากกว่าเนื้อทุกชนิด โดยไม่เชื่อ ว่าคำสอนของเจ้าแม่กวนอิมที่คนมาถ่ายทอดว่า ท่านจะห้ามเฉพาะทานวัว ในเมื่อพระโพธิสัตว์จะต้องเมตตาสรรพสัตว์เท่าเที่ยมกันนั้นจึงถูก                ปัจจุบันผมกลับไม่ค่อยทานหมู เพราะเห็นว่าการเลี้ยงหมูใช้ สารเคมีมากเกินไป เว้นแต่เลี่ยงไม่ได้ ก็ทานนิดหน่อย ขณะเดียวกันทาน ปลา ไข่ มากขึ้น จากคุณ : adial - [ 13 ส.ค. 51 22:49:14 ]

ความคิดเห็นที่ 12 เอ จริงๆ ข้อความ "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่" มันมีความหมายได้หลายนัยหรือเปล่าครับ สำหรับความหมายที่ใช้ในการพูดกับตัวเอง ก็อาจจะไม่ค่อยดีตรงที่เราไม่รู้จริงซะที ควรพูดกับตัวเองว่า "ไม่เชื่อต้องพิสูจน์" มากกว่า แต่ความหมายที่ใช้เวลาที่ใครพูดกับเรา คงจะดีตรงที่สามารถช่วยป้องกันความขัดแย้งได้ คือสำหรับตัวเราเองอยากรู้ความจริงมันก็คือเรื่องของเรา คนอื่นเขาอาจจะอยากเชื่อของเขา ก็เลยมีความหมายของข้อความนี้ในทำนองที่ว่า เรารู้ความจริงแล้วไม่เชื่อ ก็อย่าไปบอกว่าคนที่เชื่อความเชื่อนี้เป็นคนโง่เขลาหรืองมงาย กระมังครับ :) แก้ไขเมื่อ 14 ส.ค. 51 13:13:11 จากคุณ : Zero_Zero - [ 14 ส.ค. 51 13:12:27 ]

ความคิดเห็นที่ 13 มันมาจากโฆษณาซีอิ๊ว หรือ เต้าเจี้ยวขาว อะไรสักอย่างในทีวีไม่ใช่เหรอ แล้วมันก็ดังเปรี้ยงปร้างขึ้นมาเลย เฉพาะวลี "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่" นะคะ จากคุณ : มรกตนาคสวาท - [ 14 ส.ค. 51 19:32:46 ]

ความคิดเห็นที่ 14 อาจารย์เล่าให้ฟังว่า อีกด้านนึงเชื่อ แต่อีกด้านนึงไม่เชื่อ เมื่อเกิดการคิดเห็นไม่ตรงกัน ก็พูด ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ เพื่อลดความขัดแย้งที่อาจจะเกิดขึ้นค่ะ จากคุณ : เค้าบอกมาอีกที (][NuUnAn--) - [ 14 ส.ค. 51 19:51:13 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ทำไมไม่ถือเป็นอจิณไต จากคุณ : แม่ตานน้อย - [ 16 ส.ค. 51 23:32:05 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เป็นคำพูดเอาไว้ปกป้องความยึดมั่นถือมั่นของตัวเอง ... จากคุณ : นายอึเหม็น - [ 17 ส.ค. 51 15:13:25 ]

ความคิดเห็นที่ 17 โดยส่วนตัว ไม่ชอบ เพราะเหมือน พยายามกดคนอื่นไม่ให้ สงสัย หรือตั้งคำถาม ส่วนคนที่ติดอยู่ในกรอบนี้นานๆ ก็อาจจะไม่กล้าคิด หรือ ขาดความสามารถในการคิดนอกกรอบ หรืออย่างน้อยก็ ไม่กล้าตั้งคำถาม ส่วนเรื่องทานเนื้อวัว เป็นความเชื่อส่วนบุคคล แต่อ่านแล้วเหมือนเรื่อง Secret อะไรนั้นแหล่ะ ที่ประมาณว่า(ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด) ถ้าคิดถึงสิ่งดีๆ มันก็จะมีแต่เรื่องดีๆ จากคุณ : kiox - [ 18 ส.ค. 51 13:34:20 ]

ความคิดเห็นที่ 18 มันขึ้นอยู่กับบริบทที่จะใช้ ถ้าซับเจ็คนั้นๆมันมีความสำคัญส่งผลดีผลร้ายต่อผู้อื่น การแก้ไขความเข้าใจผิดก็จำเป็น แต่ก็ต้องตีความผลดีผลร้ายให้กระจ่าง ว่าซับเจ็คนั้นๆมันดำรงเกี่ยวพันกับมิติด้านใดๆบ้าง มันทำงานในด้านใดๆบ้าง จากคุณ : Wiz - [ 18 ส.ค. 51 23:18:05 ]