ความคิดเห็นที่ 1 พระอีกหนึ่งรูปที่ผมสงเกตุเห็น และก็เชื่อตามนี้ แต่ไม่แสดงว่าทีอย่างสุดกู่ก็คือ พระพยอม กัลยาโนครับ จากคุณ : โบโซ่จำแลง - [ 15 ส.ค. 51 01:13:33 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ตามหลักการ ผมเห็นด้วยครับ เพราะเซนก็เป็นแนวๆ นี้ แต่วิธีการ ไม่เห็นด้วยครับ การหักด้านพร้าด้วยเข่าแบบนี้ แทนที่คนจะคิดตาม กลายเป็นแอนตี้ด้วยอคติไปซะก่อน จากคุณ : ชาเขียว - [ 15 ส.ค. 51 01:59:18 ]

ความคิดเห็นที่ 3 จริงๆก้อเห็นด้วยนะคะ  เรื่องสิ่งสมมติหรือวัตถุบูชา  เพราะในสมัยพระพุทธเจ้าท่านก้อไม่ได้บัญญัติไว้  เราเพิ่งมีรูปเคารพเมื่อสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช  โดยเป็นการนำศิลปะมาเผยแพร่ของชาวตะวันตก  ในยุคแรกรูปปั้นพระพุทธเจ้าจึงออกมาแบบเทพเจ้ากรีก ในสังคมที่ไม่ได้ถูกสอนให้คิดถึงเหตุผล  ที่มาที่ไป  ถูกโปรแกรมมาตั้งแต่เกิดยังไง  เราก้อจะเชื่ออย่างไม่คิดหาเหตุผลไปตลอดชีวิตค่ะ  ทั้งๆที่พระพุทธองค์ก้อไม่ได้สอนเราแบบนี้ด้วยซ้ำ  กาลามสูตรไงคะ จริงๆถ้าเรายึดมั่นในหลักคำสอน ดำเนินชีวิตด้วยสติ  ก้อไม่จำเป้นต้องยึดมั่นกับสิ่งสมมติ  ไม่ต้องให้มายึดเหนี่ยวจิตใจกันลืมหรอกค่ะ  เพราะเราจะระลึกถึงอยู่ตลอดเวลา แต่..เรื่องความเชื่อจึงยากที่จะเปลี่ยน และยากที่จะพูดค่ะ วัตถุบูชา  เป็นศาสนธุรกิจที่ทำเงินมหาศาล  ก่อนจะมีกระแสการสร้างจตุคาม(ที่อ้างว่า เป็นพุทธ) ก้อมีการสร้างวัตถุมงคล สร้างพระสร้างโน่น สร้างนี่  ที่เป็นการหากินกับความศรัทธา   ถ้าจะให้พูดถึงข้อเสีย  ก้อพูดได้เรื่อยๆค่ะ เหรียญมี 2 ด้านเสมอคต่ะ  ไม่มีอะไรดีไปหมดหรือเลวไปหมดค่ะ  ข้อดีก้อมีอยู่ค่ะ  หากไม่คิดในแง่ของความศรัทธา  ก้อคิดในแง่ประวัติศาสตร์ได้  เพราะเมื่อดูจากพระพุทธรูป  ก้อจะรู้ถึงศิลปะในยุคนั้นๆ ทีนี้พระรูปที่ออกรายการไปเมื่อตอนดึก  ก้อดูรุนแรงไปค่ะ  ยิ่งแววตา วิธีการพูด  ยิ่งทำให้ดูรุนแรง  ท้าทาย ของแบบนี้จะปุ๊บปั๊บไม่ได้  ต้องค่อยเป้นค่อยไป  ขนาดค่อยๆทำมา 20 ปี  ก้อยังพลาดให้สังคมประนามได้  คนไทยจิตใจอ่อนไหวค่ะ  ทำแบบนี้รุนแรงไป  มันกระทันหันไปด้วย  เรายังรู้สึกแปลกๆเลยค่ะ จากคุณ : Auguri - [ 15 ส.ค. 51 02:50:20 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ขออนุญาตเล่านิทานเซ็นให้ฟังเรื่องหนึ่ง ในขณะที่สังฆปริณายกองค์ที่ ๕ กำลังเผยแผ่ศาสนาอยู่... มีเด็กหนุ่มกำพร้าคนหนึ่งชื่อ "เว่ยหล่าง" มีอาชีพตัดฟืนขายเลี้ยงมารดาผู้ชรา ที่ตำบลชุนเชา มณฑลกวางตุ้ง ภาคใต้ของจีน.. เว่ยหล่างได้ยินอุบาสกคนหนึ่ง สวดวัชรปรารมิตาสูตร หรือที่ภาษาจีนเรียกว่า "กิมปังปัวเยียปอล่อมิกเก็ง" พอได้ยินเท่านั้น ก็เกิดขนลุกชูชัน เกิดศรัทธาอยากจะศึกษาธรรมะเหลือเกิน แต่ติดขัดที่ไม่มีใครดูแลมารดา จึงรออยู่พักหนึ่ง จนในที่สุดมีผู้ให้เงิน ๑๐ ตำลึงเพื่อมอบให้มารดาใช้สอยขณะเขาไม่อยู่ เว่ยหล่างจึงเดินทางไปเมืองวองมุย ใช้เวลาเดินทางถึง ๑ เดือน พอไปถึงก็เข้าไปนมัสการพระสังฆปริณายก ขอเรียนธรรมะด้วย "เธอมาจากไหน" ท่านอาจารย์ถาม "มาจากปักษ์ใต้ครับ" "คนทางใต้เป็นคนป่าคนดง จะหวังเป็นพุทธะได้อย่างไร" "คนอาจจะมาจากภาคเหนือภาคใต้ แต่พุทธภาวะไม่มีเหนือ ไม่มีใต้ มิใช่หรือครับ" เด็กหนุ่มย้อน ท่านสังฆปริณายกรู้ทันทีว่าเด็กหนุ่มบ้านอกคนนี้ ได้รู้สัจธรรมระดับหนึ่งแล้ว แต่เพื่อมิให้เป็นภัยแก่เขา จึงแสร้งดุให้เขาเงียบเสียง แล้วให้ไปช่วยทำงานในครัว วันหนึ่งท่านอาจารย์เรียกประชุมศิษย์ทั้งหมด ให้แต่ละคนเขียนโศลก บรรยายธรรมคนละบท เพื่อทดสอบภูมิธรรม ชินเชา (ชินชิ่ว) หัวหน้าศิษย์เป็นผู้ที่ใคร ๆ ยกย่องว่าเป็นผู้เข้าใจธรรมะอย่างลึกซึ้งกว่าคนอื่น และมีหวังจะได้รับมอบบาตรและจีวรจากท่านอาจารย์แน่ ๆ ได้แต่งโศลกบทหนึ่ง เขียนไว้ที่ผนังว่า "กาย คือต้นโพธิ์ ใจ คือกระจกเงาใส จงหมั่นเช็ดถูเป็นนิตย์ อย่าปล่อยให้ฝุ่นละอองจับ" ท่านอาจารย์อ่านโศลกของชินเชาแล้ว ชมเชยต่อหน้าศิษย์ทั้งหลายว่าเป็นผู้เข้าใจธรรมอย่างลึกซึ้ง (แต่ตอนกลางคืนเรียกเธอเข้าไปพบตามลำพัง บอกว่าชินเชา "ยังไม่ถึง" ให้พยายามต่อไป) เว่ยหล่างได้ฟังโศลกของหัวหน้าศิษย์แล้ว มีความรู้สึกเป็นส่วนตัวว่าผู้แต่โศลกยังเข้าใจไม่ลึกซึ้ง จึงแต่โศลกแก้ เสร็จแล้ววานให้เพื่อนช่วยเขียนให้ เพราะเว่ยหล่างอ่านหนังสือไม่ออกเขียนไม่ได้ โศลกบทนั้นมีความว่า "เดิมที ไม่มีต้นโพธิ์ ไม่มีกระจกเงาใส เมื่อทุกอย่างว่างเปล่าตั้งแต่ต้น ฝุ่นละอองจะลงจับอะไร" ท่านอาจารย์รู้ทันทีว่า ผู้เขียนโศลกเป็นผู้เข้าถึงสัจธรรมสูงสุดแล้ว จึงถามใครเป็นคนแต่ง พอทราบว่าเว่ยหล่างเด็กบ้านนอกแต่ง จึงสั่งให้ลบทิ้ง พร้อมดุด่าต่อหน้าศิษย์อื่น ๆ ว่า หนังสือยังอ่านไม่ออกสะเออะจะมาเขียนโศลก แต่พอคล้อยหลังศิษย์อื่น ท่านอาจารย์เรียกเว่ยหล่างเข้าพบมอบบาตรและจีวรให้ (มอบตำแหน่ง) แล้วสั่งให้รีบหนีไปกลางดึก ศิษย์ในสำนักรู้ข่าว พากันออกตามล่าเอาบาตรและจีวรคืน เดชะบุญหนีรอดไปได้ เว่ยหล่างหลบซ่อนอยู่ในป่าเป็นเวลา ๑๕ ปี ได้อุปสมบทเป็นภิกษุเมื่ออายุ ๓๕ ปี แล้วออกเผยแผ่ศาสนาจนกระทั่งอายุ ๗๖ ปี ก็มรณภาพ ท่านเว่ยหล่างไม่รู้หนังสือ แต่สามารถเข้าถึงธรรมะได้เร็วกว่าคนที่เรียนแตกฉาน จากประสบการณ์นี้เอง ท่านจึงเชื่อมั่นว่า การศึกษาธรรมะกับการบรรลุธรรมเป็นคนละเรื่องกัน นักศึกษาที่ "พลิกตำรา" ทีละหน้า ๆ ไม่นานอาจถูกตำรามัน "พลิก" เอาได้ เทคนิกการสอนเซ็นของท่านเว่ยหล่างจึงไม่เน้นตำรา ไม่ติดตำรา แม้ระบบการถ่ายทอดเซ็นโดยการมอบบาตรและจีวร ที่สืบทอดกันมาแต่โบราณกาล พอถึงยุคท่านเว่ยหล่าง ท่านยกเลิกหมด ท่านเห็นว่าการมอบวัตถุให้แก่กัน ทำให้คนเบาปัญญา ไม่บรรลุธรรม คิดโลภอยากได้แล้วแย่งกัน ดังที่ท่านเคยประสบมาด้วยตัวเอง การถ่ายทอดควรใช้วิธี "จากจิตสู่จิต" มากกว่า ใครได้บรรลุธรรม ก็นับว่าเป็นสังฆปริณายกสืบต่อศาสนาทุกคน มีภาพที่รู้จักดีในหมู่ชาวพุทธเซ็นภาพหนึ่ง เป็นภาพท่านเว่ยหล่างฉีกคัมภีร์ทิ้งกระจุยกระจาย แเสดงว่าการจะเข้าถึงสัจธรรม ต้องทำลายความยึดติดคัมภีร์เสียก่อน นับเป็นภาพที่ท้าทายเอาการทีเดียว ศิษย์ของท่านคนหนึ่งชื่อ ลินซิ (รินไซ) ไปไกลยิ่งกว่านั้น คำพูดของท่าน ถ้าชาวพุทธไทยผู้เคร่งครัดได้ฟัง อาจสะดุ้งแปดกลับหาว่าคนพูดเช่นนั้นไม่บ้าก็เมา ท่านพูดว่าไงนะหรือครับ "ถ้าคุณพบพระพุทธเจ้ากลางทาง จงฆ่าเสีย" จาก พุทธศาสนา:ทรรศนะและวิจารณ์   โดย ศาสตราจารย์ (พิเศษ) เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิตสาขาศาสนศาสตร์ แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 51 10:06:24 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 15 ส.ค. 51 08:54:47 ]

ความคิดเห็นที่ 5 จากกรุงเทพไปถึงเชียงใหม่ยาวไกลนัก จะไปทางสายเอเซียตรงแน่วขึ้นไปก็ได้ จะแวะไปพิษณุโลก อุตรดิตถ์ เด่นชัย ลำปาง ก็ได้ หรือทางอื่นๆก็ได้ ถ้ารู้แน่ว่าจะไปเชียงใหม่ เดี๋ยวก็ถึง ทางที่ไป ในเมื่อก็พาไปถึงเหมือนกัน จะไปวิตกวิจารณ์ทำไมเล่าว่าทางฉันถูกทางเธอผิด ขอให้รู้เถิดว่าเราจะไปเชียงใหม่ เราตั้งใจจะไปเชียงใหม่ เราตั้งใจจะไปทางนี้ด้วยเห็นว่าเป็นทางตรงที่สุด ถูกจริตของเรา เราถนัดทางนี้เราก็ตั้งหน้าตั้งตาเดินทางนี้ คนอื่นเขาอยากไปทางอื่นก็เรื่องของเขา เขาก็อยากไปเชียงใหมเหมือนกับเราน่ะแหละ ว่าไปทำไมมี ต่างก็เป็นเพื่อนร่วมเดินทางด้วยกันน่ะครับ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 15 ส.ค. 51 09:17:04 ]

ความคิดเห็นที่ 6 นับถือคำสอนเช่นกันครับ จากคุณ : ย่ามฝัน - [ 15 ส.ค. 51 09:40:29 ]

ความคิดเห็นที่ 7 "ถ้าคุณพบพระพุทธเจ้ากลางทาง จงฆ่าเสีย" ถูกต้องครับ   เพราะพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว องค์ใหม่ก็ยังไม่ถึงวาระที่จะประสูติ ที่อ้างว่าเป็น พระพุทธเจ้า เวลานี้ คือตัวปลอม เหมือนกับคนที่อ้างว่า เคยเป็นกษัตริย์กลับชาติมาเกิด จากคุณ : นายช่างปลูกเรือน - [ 15 ส.ค. 51 10:19:27 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ผมก็พยายามไม่ยึดติดวัตถุครับ เดิมทีบ้านผมไม่มีพระพุทธรูปไว้กราบไหว้ จนแม่ผมมาเยี่ยมทีไรก็จะบ่นๆ จนในที่สุดแกก็หิ้วมาวางไว้เองเลย  ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร  หลังๆก็ผมก็ซื้อดอกไม้พวงมาลัยมาถวาย เพราะเมื่อมองพระพุทธรูปแล้วรู้สึกถึงความสบายใจ สงบ และนึกถึงคนๆ หนึ่ง เมื่อสองพันกว่าปีก่อน เขาสามารถคิดอะไรได้ลึกซึ้ง มีเหตุ มีผล และสามารถปฎิบัติได้จริง จากนั้นก็ก้มกราบอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ จากคุณ : วอหลักสี่ - [ 15 ส.ค. 51 11:12:32 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ถ้าคุณพบพระพุทธเจ้ากลางทาง จงฆ่าเสีย พระป่าของเราก็มีคำสอนในเรื่องนี้แนวเดียวกับเซ็น ลองอ่าน บันทึกไม่ลับอุบาสกนิรนาม โดย สันตินันท์ (หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช เมื่อครั้งยังครองเพศเป็นฆราวาส)   http://www.bangkokmap.com/pm/content/view/27/36/ พบผู้รู้ ให้ทำลายผู้รู้ ผู้เขียนมีวาสนาได้ศึกษาธรรมอยู่กับหลวงปู่ดูลย์เพียงปีเศษ. และได้ไปกราบท่านครั้งสุดท้ายในเดือนกันยายน ๒๕๒๖. เป็นเวลาเพียง ๓๖ วันก่อนท่านจะละขันธ์. ผู้เขียนได้ฟังธรรมของท่านในช่วงเย็น จนกระทั่งค่ำ. สังเกตเห็นว่าหลวงปู่เหนื่อยมากแล้ว ถึงขนาดเริ่มหอบนิด ๆ. เห็นสมควรแก่เวลาแล้วก็ลงกราบท่าน เรียนท่านว่าจะลากลับเพราะท่านเหนื่อยมากแล้ว. หลวงปู่ผู้มีวัยกว่า ๙๖ ปี กลับมองหน้าผู้เขียนแล้วกล่าวว่า "จะกลับหรือ". แล้วไม่อนุญาตให้กลับ แต่กล่าวธรรมต่อไปอีก. ด้วยธรรมที่แปลกประหลาด ไม่เคยได้ยินได้ฟัง กระทั่งคิดมาก่อน. คือท่านกล่าวว่า "พบผู้รู้แล้ว ให้ทำลายผู้รู้ จิตจึงจะถึงความบริสุทธิ์อย่างแท้จริง". ท่านสอนอีกว่า "ถ้าเมื่อใดเข้าใจชัดเจนแจ่มแจ้งด้วยปัญญา. ว่าจิตไม่ใช่จิต. เธอจะเข้าใจความจริงอันลึกซึ้งนั้นได้ในพริบตาเดียว". ท่านถามว่า เข้าใจไหม. ก็กราบเรียนท่านว่า ผมจำได้แล้ว แต่ไม่เข้าใจ จะขอลองนำกลับไปปฏิบัติดูก่อนครับ. หลวงปู่กล่าวว่า "ดีแล้ว เอ้า ไปได้แล้ว". ตอนที่กราบลาท่านนั้น ไม่ได้เฉลียวใจเลยว่า จะไม่มีโอกาสได้ฟังธรรมจากท่านอีกแล้ว. วันรุ่งขึ้นผู้เขียนแวะไปกราบหลวงพ่อพุธ ฐานิโย ที่วัดป่าสาลวัน โคราช. อันเป็นสิ่งที่ปฏิบัติตลอดมาเมื่อไปกราบหลวงปู่ดูลย์ที่สุรินทร์. เมื่อหลวงพ่อเห็นผู้เขียนก็ร้องทักว่า "เอ้าว่าอย่างไรนักปฏิบัติ คราวนี้หลวงปู่สอนอะไรให้อีกล่ะ". ก็กราบเรียนว่า หลวงปู่สอนว่า พบผู้รู้ให้ทำลายผู้รู้. หลวงพ่อพุธทวนคำสอนของหลวงปู่ว่า. "อือ พบผู้รู้ให้ทำลายผู้รู้ อันนี้เป็นสุดยอดของกรรมฐานแล้ว. เมื่อไม่กี่วันนี้หลวงพ่อไปกราบหลวงปู่. ท่านก็กล่าวกับหลวงพ่อว่า..เจ้าคุณ การปฏิบัติจะยากอะไร พบผู้รู้ให้ทำลายผู้รู้ ก็เพียงเท่านี้เอง". แล้วหลวงพ่อก็ขยายความให้ฟังว่า "การทำลายผู้รู้ ก็คือการไม่ยึดมั่นในตัวผู้รู้". จากนั้นท่านก็แสดงธรรมเรื่องอื่นๆ ต่อไป. ก่อนที่ผู้เขียนจะลากลับ ท่านได้มอบหมายงานให้เรื่องหนึ่ง. คือสั่งว่า "หลวงพ่ออยากให้คุณเขียนประสบการณ์การปฏิบัติของคุณเองออกเผยแพร่". ท่านให้เหตุผลว่า "หลวงพ่อเป็นพระ ติดด้วยพระวินัย จะกล่าวธรรมที่ลุ่มลึกนักก็ไม่ได้. คนที่เขามีจริตนิสัยแบบคุณ และเป็นผู้มีอุปนิสัยยังมีอยู่. ถ้าเขาได้ฟังแล้ว เขาอาจจะทำตามได้ต่อไป". หลายปีต่อมาผู้เขียนจึงเข้าใจได้ว่า. ถ้าไม่เคยฟังธรรมเรื่องการทำลายผู้รู้มาก่อน. ผู้เขียนคงไม่มีปัญญาผ่านด่านสุดท้ายที่พระอนาคามีพากันไปติดอยู่ได้. สิ่งที่หลวงปู่สอนไว้นั้น เป็นมรดกธรรมที่จะต้องเอาไว้ใช้ในอนาคต. ไม่ใช่ธรรมที่จะสามารถปฏิบัติได้ในขณะนั้น. นับเป็นความเมตตา และความละเอียดรอบคอบของครูบาอาจารย์อย่างยิ่ง. ที่มอบมรดกธรรมชิ้นนี้ไว้ให้ในนาทีสุดท้ายที่จะลาจากท่าน และไม่ได้พบกันอีกแล้วในสังสารวัฏนี้. (๑๒ มิถุนายน ๒๕๔๒) แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 51 18:23:53 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 15 ส.ค. 51 12:16:44 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ก็จริงนะครับ ชาวไทยพุทธ จริงๆ ก็ไม่เชิงเป็นพุทธศาสนิกชนหรอกครับ ออกจะเป็นผู้นับถือพราหมณ์ปนๆ ไปด้วย พระไทยพุทธก็ใช่ว่าเป็นพุทธบริษัทแท้ๆ นะครับ ต้องเรียกว่าเป็นพราหมณ์เสียบ้างบางส่วน (แต่ใช่ว่าไม่มีพระที่เป็นพุทธสาวกแท้ๆ ในไทยนะครับ) จากคุณ : Zero_Zero - [ 15 ส.ค. 51 13:19:50 ]

ความคิดเห็นที่ 11 - จริตใครก็จริตมัน..ขอรับ ไม่มีที่ยึดเหนี่ยวอาจหลงทาง ยึดมั่นถือมั่นอาจจะงมงาย จากคุณ : นายหนอน - [ 15 ส.ค. 51 14:49:00 ]

ความคิดเห็นที่ 12 เราเกิดในครอบครัวคนนับถือพุทธแบบเถรวาท พ่อเรามีพระหลายองค์ เขาเอาให้เรา แล้วบอกว่าองค์นั้นทำให้แคล้วคลาด องค์นี้ทำให้คนรักนับถือ องค์นี้ทำให้บลาๆๆๆๆ....พ่อเราแขวนพระทีตั้งหลายองค์แน่ะ... อยู่มาวันหนึ่งเราอ่านหนังสือที่ซามูไรญี่ปุ่นคนหนึ่งเขียนเกี่ยวกับเรื่องการทำสมาธิและฝึกลมปราณแบบเซน (จริงๆอ่านหนังสือเล่มนี้ตั้งหลายปีมาแล้ว และเพิ่งมาอ่านทวนอีกหลายๆรอบ จนกระทั่งเรากล้าทำสิ่งที่เรากำลังจะทำ...) เขาสอนวิธีทำสมาธิตรงจุดที่ญี่ปุ่นเรียกว่า tanden (ภาษาจีนคือ dantian) ซึ่งอยู่ประมาณ 1.3 นิ้วใต้สะดือ (นักวรยุทธ์บางท่านบอกว่าอยู่ที่สะดือ) เพื่อการโคจรลมปราณ  แล้วเขาเล่าให้เราฟังว่า ตอนเขาไปรบในสงคราม เขาคุมกองกำลังทหารระดับย่อยๆ แล้วลูกน้องเขาหวาดกลัวมากๆ เมื่อมีลูกกระสุนปืนกับสะเก็ดระเบิดปลิวผ่านไปผ่านมา เขาจึงสอนลูกน้องเขาให้ทำสมาธิที่จุด tanden ผลปรากฏว่า ทุกคน "แคล้วคลาดกันหมด" ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บเลย...!!!??? พอเราอ่านหนังสือให้เข้าใจมากๆเข้า เราก็รู้ว่า จุด tanden หรือ dantian เป็นจุดที่มนุษย์จะแลกเปลี่ยนลมปราณของตนเองกับลมปราณของจักรวาลได้ ทำให้สื่อสารกับพลังของจักรวาล ที่มีอิทธิพลต่อชะตากรรมของมนุษย์...!!!!! ตอนนั้นเราเคยนึกฝันอยากจะรวยพอที่จะเช่าพระสมเด็จที่คนรวยๆเช่ากันองค์ละหลายๆล้านนะ ซึ่งในขณะนั้นเราแขวนพระระดับราคาแพงรองๆมา ที่พ่อเราคุยว่าดีนักดีหนา (พ่อบอกพ่อรอดตายตอนรถคว่ำเพราะพระองค์นี้) แต่พออ่านเจอเรื่องเซนเข้า เราเลยเอาพระองค์ที่เราแขวนอยู่ คืนพ่อไปเลย แล้วเราบอกว่าเราเรียนเซนเพิ่มขึ้น จนกระทั้งเราเข้าใจแล้วว่า  แท้จริงเราก็มีพระอยู่แล้วที่จุด tanden (dantian) เราไม่จำเป็นต้องเอาวัตถุอะไรมาห้อยคอ...ปรากฎว่า พ่อเราโมโหมากๆและทะเลาะกับเรายกใหญ่เลยหละ ...!!!! นอกจากนั้นนะ เราฝักใฝ่ในเซนกับเต๋าอย่างมากมายเนื่องจากว่า ทั้ง 2 อย่างนี้ สอนเรื่องราวตรงกับแนวที่เราชอบ นั่นก็คือ เราชอบเรื่องการดูแลสุขภาพ และการคงไว้ซึ่งความอ่อนวัยตลอดกาล และในคำสอนของเซนกับเต๋า มีเรื่องราวที่เกี่ยวโยงกับการแพทย์ทางเลือกมากๆเลย และเราก้ออ่านพบสิ่งที่ดีๆในพระคัมภีร์ Bible ของศาสนาคริสต์ ที่เรานำมาใช้ได้อีกด้วยเช่นกัน ที่เกี่ยวกับสุขภาพ เช่นการอดอาหารเพื่อรักษาโรค เป็นต้น และในช่วงหลังๆเราก็ฝักใฝ่ในเรื่องราวของฮินดู เนื่องจากว่ามันมีวิชา tantra เป็นวิชาโยคะระดับสูงคือการการฝึกลมปราณ การฝึกพลัง kundalini  การดูแลสุขภาพ และการแพทย์ทางเลือกอีกด้วยเช่นกัน ดังนั้น เราจึงใช้คำสอนของศาสนาหลายๆศาสนา หรือหลายๆลัทธิ ให้เป็นประโยชน์ และในครั้งล่าสุดที่เราไปต่ออายุบัตรประชาชน เราได้ขอร้องให้ที่ว่าการอำเภอ ลบคำว่าศาสนาพุทธ ออกไปจากบัตรประชาชนของเรา และเขาก็ยอม ซึ่งก็ทำให้เราดีใจมากๆ ที่เราเป็นคนไม่มีศาสนาไปแล้ว ทั้งๆที่เราใช้คำสอนที่เป็นประโยชน์จากหลายๆศาสนา และหลายๆลัทธิ แต่เราไม่ยึดติดว่าเรานับถือศาสนาอะไร เราคิดว่า ถ้ามีคนแบบเราอีกเป็นจำนวนมากในโลกนี้ การรบราฆ่าฟันกันเพราะเรื่องศาสนาก็จะหมดไปจากโลกนี้ แก้ไขเมื่อ 16 ส.ค. 51 04:39:57 แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 51 15:12:56 แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 51 15:08:13 จากคุณ : agelesstansy - [ 15 ส.ค. 51 15:03:07 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ทำไมเซนจึงมีอิทธิพลมากๆ จนกระทั่งเราเลิกแขวนพระที่คอ...??? เราเคยเรียนวิชาการต่อสู้มาหลายแขนง แต่เราไม่เคยสามารถนำมันไปใช้การได้เลย เนื่องจากว่า เราป่วยเป็นโรค panic attack นั่นก็หมายความว่า หากเราเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ เราจะหัวใจเต้นแรงเหงื่อไหลเต็มไปหมด แล้วมือไม้สั่น จนป้องกันตัวเองไม่ได้ เราเป็นโรคนี้ตั้งแต่อายุน้อยมากๆ ตอนอยู่ ม.ต้น เราเคยยอมรับคำท้าชกจากเพื่อน แล้วไปชกกับเขา แล้วพอเพื่อนเราทำหน้าดุๆ เราปอดแหก เลยโดนเพื่อต่อยเอาข้างเดียว แบบเละเทะเลยหละ... และเราพลาดโอกาสที่จะเป็นนักกีฬา ก็เพราะ panic attack นี่แหละ ...คือโรงเรียนเรามีนักปิงปองทีมชาติอยู่หลายคน มันทำให้เรามีโอกาสที่จะฝึกซ้อมกับนักปิงปองระดับประเทศได้ทุกวัน จนเราเก่งมากๆ เล่นได้ทั้งตบเป็นชุดๆ และตั้งรับอย่างเหนึยวแน่น  และแล้ววันลงแข่งจริงเป็นครั้งแรก เราตบลูกออก 2 ที มือสั่น ทำอะไรไม่ถูก ต้องหยุดตีกลางคัน แล้วยอมแพ้คู่แข่งไปเลย แล้วเราไม่ได้เล่นปิงปองอีกตั้งแต่นั้นมา...!! หลังจากเราไปอยู่ต่างแดน แล้วอ่านหนังสือเกี่ยวกับเซนเล่มนั้นแล้วนะ เผอิญเราต้องชกกับชาวอิตาเลี่ยนคนหนึ่งที่ตัวใหญ่กว่าเรามากๆ แปลกแต่จริงเลยหละ การทำสมาธิที่จุด tanden หรือ dantian มันระงับอาการ panic attack ได้อย่างน่ามหัศจรรย์ จิตใจเราสงบมากๆ พอเขาพุ่งเข้ามาหาเราพร้อมด้วยหมัดขวาตรง เราฉากออกข้างๆให้พ้นรัศมี แล้วใช้ side kick (ใช้สันเท้าด้านนอก) คือถีบเข้าไปที่หัวเข่าของเขา...เขาชะงักไป...แล้วเรายังคิดท่าเพลงอื่นไม่ออก เราก้อเลยถีบซ้ำไปที่เดิมอีกที ผลปรากฏว่า การต่อสู้จบลงอย่างง่ายดายในครั้งนั้นเนื่องจากว่าขาข้างหนึ่งของเขาใช้การไม่ได้ไปเสียแล้ว จนถึงกับเดินกระเผลกหมดสภาพการต่อสู้ไป นั่นจึงเป็นชัยชนะครั้งแรกของเราในการต่อสู้ข้างถนน ที่รอดจากการเจ็บตัวมาก็เพราะความเข้าใจในเรื่องจุด tanden หรือ dantian นี่แหละ... แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 51 15:49:40 แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 51 15:48:16 จากคุณ : agelesstansy - [ 15 ส.ค. 51 15:45:43 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ไอ้พวกทำลายสิ่งที่บรรพชนเคยสร้างมามาลบเลือนบิดเบือนให้คนหลงผิดจะขอสาปแช่งให้พวกมันตกนรกอเวจีหมกไหม้อย่าได้ผุดได้เกิดเลยถึงได้เกิดมาอย่าได้เป็นคนจงอยู่ในสภาพเดรัจฉาน ไอ้พระเลวถ้าเจอมันที่ไหนจะเหยียบมันให้จมธรณีไม่ต้องรอให้พระแม่ธรณีสูบมันหรอก และไอ้พวกที่หลงตามมันชาติหน้าก็เกิดมาให้ปัญญาอ่อนไร้สมองทนทุกข์ร่วมกับไอ้พระเลวนั้นด้วย จากคุณ : p (amikamis2) - [ 15 ส.ค. 51 15:49:50 ]

ความคิดเห็นที่ 15 อีกครั้งหนึ่งที่การสื่อสารกับพลังจักรวาลทำให้เราแคล้วคลาด นั่นก็คือว่าเราเดินๆไปใน Chinatown ในลอนดอน แล้วเรามักจะลงไปห้องใต้ดินที่เป็นก๊วนพนันของคนจีน เพื่อลงไปเล่นหมากรุกจีนกับเพื่อนชาวจีน อยู่มาวันหนึ่งเราขยับจะลงไป พอเอาปลายเท้าสัมผัสกับขั้นบันได แล้วส่งพลังจากจุด tanden หรือ dantian กระจายไปคลุมจักรวาล (เหมือนที่ในหนังสือเขาสอนไว้นะ) เรารับรู้ "กระแสอะไรประหลาดๆอ้ะ" แล้วเปลี่ยนใจ กลับหลังหันเดินจากไป แล้วเดินรอบตึกทั้งบล็อก พอวนกลับมาที่ก๊วนพนันแห่งนั้น เราตกใจมากที่เห็นความสับสนอลหม่าน พอถามคนที่อยู่รอบๆว่าเกิดอะไรขึ้น ก็มีคนบอกเราว่า ชาวเวียดนามตีกันกับคนจีน แล้วชาวเวียดนามเอาลูกระเบิดขว้างเข้าไปในก๊วนพนัน...!!! โหเรารอดมาได้ เพราะแค่ได้รับรู้กระแสอะไรประหลาดๆจริงๆเลยว่ะ...แท้จริงแล้วนะ กระแสจิตนี่สื่อสารกับพลังจักรวาลได้จริงๆเลยหละ.... แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 51 15:57:34 จากคุณ : agelesstansy - [ 15 ส.ค. 51 15:55:31 ]

ความคิดเห็นที่ 16 แนวคิดดี ก็เท่านั้น การปฏิบัติ ไม่เห็นเป็นการคิดจากคำสอน เพราะคำสอน ก็ว่า ไว้เรื่อง ... //"ทางสายกลาง" ไม่ตึงไป ไม่หย่อนไป //พบพระพุทธฯ กลางทางให้ฆ่าเสีย >>> จิตไม่บริสุทธิ์ดังแก้วหรือ น้ำกางหาว นี่หรือจะนั่งสมาธิ พร้อมเกิดสติ วิเคราะห์เหตุ การเกิด แก่ เจ็บ ตายได้ เพราะการหลายๆ อย่าง ไปทำเสียให้มันเกิด ด้วยการ "ฆ่า" เกิดอยู่ในใจตนเอง แนวนี้หรือ จะมีหน้าสั่งสอนคนอื่นๆ ไม่อยากกล่าวให้ลึกกว่านี้ จะช้ำใจเปล่าๆ ************************** การไหว้พระพุทธรูป ก็เป็นเพียงแค่ ศิษย์ที่ทำการเผยแพร่ศาสนา ได้แค่ พระอรหันต์ ซ้ายขวา ได้กล่าวไว้ เป็นเครื่องรำลึกถึง ไม่ได้ให้หัวปักหัวปำไป ไว้ ถู สร้างด้วยทอง ด้วยแก้ว อันนี้ ไม่มีในพระไตรฯ หรอก แต่มีในฉบับอื่นๆ อ่านแต่พระไตรฯ ก็อ้างได้ซิ ศาสนาพุทธ มีแค่ พระไตรปิฏก แล้วยึดพระไตรฯ แบบหัวปักหัวปำ พร้อมแปลไป จนใช้ความรุนแรงสั่งสอน สอนว่า **เด็กอย่ากินเหล้า แต่ตัวเอง นั่งซดทุกเย็น นี่หรือ คนจะสอนคน** โถ ศาสนาพุทธ โถๆๆๆ จากคุณ : กองปราบ - [ 15 ส.ค. 51 16:10:04 A:58.9.81.99 X: TicketID:103401 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เรื่องสิ่งสมมติ อย่าสำคัญผิดก็พอ จากคุณ : หลับตา - [ 15 ส.ค. 51 16:20:18 A:58.64.70.224 X: TicketID:173601 ]

ความคิดเห็นที่ 18 จริงๆแล้วเต๋า ก็สอนเรื่องจริยธรรม และศีลธรรมเหมือนๆกับพุทธ หากแต่คำสอนของเต๋านั้นมีเสน่ห์มากๆเนื่องจากว่า multilevel คือเขียนทีเดียวให้คนตีความได้หลายระดับ Dao De Jing ที่ปรมาจารย์เล่าจื้อเขียนไว้เมื่อหลายพันปีมาแล้ว สอนทีเดียว อ่านเป็นเรื่องจริยธรรมก็ได้ ศีลธรรมก็ได้ หรือรัฐศาสตร์ก็ได้ แต่คนจีนใช้ข้อความใน Dao De Jing นี้สร้างการแพทย์แผนโบราณขึ้นมา โดยมองเห็นว่า Dao De Jing สอนว่าร่างกายคนเราเปรียบเสมือนจักรวาลที่ย่อส่วนมา และสอนเรื่อง harmony with the universal force นั่นก็คือเมื่อ qi (พลังลมปราณ) ของมนุษย์ผสานกลมกลืนกับพลังจักรวาล อย่างเป็นไปตามวิถีแบบธรรมชาติ (และธรรมชาติ = ธรรมะ ซึ่งก็เป็นการปฏิบัติธรรมนั่นแหละ) คนเราก็จะไม่ป่วย ตกลงแพทย์จีนรักษาอาการป่วยของคนโดยการแก้ไข ระบบการไหลเวียนของ qi หรือพลังลมปราณนี้เอง ... ลองไปอ่านการตีความ บทที่ 3 ของ Dao De Jing ที่เราตีความไว้ แล้วจะเห็นว่า "หลักศาสนาหรือลัทธิอะไรที่ดีๆนั้น ควรปฏิบัติแล้ว นอกจากจะเป็นคนดีมีศีลธรรมแล้ว ก็ควรทำให้สุขภาพดีอีกด้วย" ตาม link นี้ไปอ่านดูได้ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K6813048/K6813048.html แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 51 16:52:55 แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 51 16:27:58 จากคุณ : agelesstansy - [ 15 ส.ค. 51 16:25:37 ]

ความคิดเห็นที่ 19 เรื่องการทำสมาธิของเซนที่เราเรียนจากซามูไร ระดับ sensei (ปรมาจารย์  ภาษาญี่ปุ่น และเรียกว่า shifu ภาษาจีน) คนนั้นนะ ช่างมหัศจรรย์จริงๆ  เขาบอกว่า ร่างกายตามวิญญาณไป เวลาเราจะเคลื่อนตัวไปทางไหนก้อตาม หากเราส่งวิญญาณไปก่อนแล้วร่างมันจะตามไปเอง และในการต่อสู้ถ้าเราชักนำวิญญาณคู่ต่อสู้เราก็จะสามารถส่งคู่ต่อสู้เราให้ปลิวไปในทางทิศใดก็ได้ ... พออ่านเจอตรงนี้นะ เราจำได้ว่าดูหนังกำลังภายในของจีน เขามีการฝึกการทรงตัวที่ดี เช่นรำมวยหรือฝึกการต่อสู้บนพื้นที่มีน้ำแข็งจับที่ลื่นๆ ไม่ให้หกล้ม และฉากที่ประทับใจเรามากที่สุด นั่นก็คือ wuxia (นักวรยุทธ์) จีน กระโดดขึ้นไปต่อสู้กันบนตอไม้หลายๆตอ ที่มีหอกดาบมีคมปักอยู่ข้างล่าง (เอาด้านมีคมแหลมๆหันขึ้นมา) ซึ่งถ้าใครพลาด (การทรงตัวไม่ดี) ขณะกำลังแลกอาวุธกันอยู่ แล้วหล่นลงไปนะ ตายแบบศพไม่สวยแน่ๆเลย ....555++... อยู่มาวันหนึ่งเราเข้าไปในที่หน้า ice rink (ลานสเก็ตน้ำแข็ง) แล้วไปดูฝรั่งเขาเล่นสเก็ตน้ำแข็งกัน เราไม่เคยเล่นแฮะ...แต่พอดูๆคนอื่นเล่นไปแล้วมันทำให้เราฉุกคิดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง “การทรงตัวที่ดี” กับจุด tanden หรือ dantian ได้ ซึ่งแท้จริงแล้วที่มันมีความสัมพันธ์กัน นั่นก็เพราะว่า “เผอิญ” จุด tanden หรือ dantian มันเป็นจุด CG (center of gravity) ของร่างกายมนุษย์นั่นเอง  เราเลยอยากทดลองทฤษฎีการทำจิตให้สงบแบบเซน “ที่สงบจนการทรงตัวดีมากๆ”  เราเลยไปเช่ารองเท้าเสก็ตมา ฝรั่งถามเราว่า จะเอาครูฝึกไหม เราบอกว่า “ไม่หรอก...เราอยากจะลองเสี่ยงคอหัก ...555+++...”  พอเราสวมรองเท้าเสก็ต แล้วค่อยๆเดินดู ฝรั่งมันมองดูเรา แล้วลุ้นว่าเราคงเดิน 2-3 ก้าวแล้วล้มก้นจ้ำเบ้านะ แต่อยู่ดีๆเราวิ่งพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว แล้วหมุนตัวกลับอย่างสง่างาม  ...แปลกว่ะ...??? ไม่หกล้มแฮะ.... แล้วอยู่ดีๆนะ มันมีไอ้พวกเด็กวัยรุ่นที่มันเล่นเก่งกว่าเรา มันแฉลบมาแกล้งเรา โดยการแกล้งหยุดแล้วใช้หัวรองเท้าสเก็ตจิกน้ำแข็งแรงๆให้เศษน้ำแข็งกระเด็นใส่ตาเรา เราคิดในใจว่า “รอกรูถอดรองเท้าสเก็ตก่อนแล้วกรูจะลงไปผลักแมร่ง (จากนอกลานสเก็ต โดยเรายืนบนพื้นที่มั่นคง) ให้ล้มเลย แต่อยู่ดีๆไอ้เด็กวัยรุ่นร่างยักษ์จอมกวนมันก้อวิ่งพุ่งเข้ามาชนเรา เราไม่มีทางเลือก ก็เลยต้องเบี่ยงตัวผลักมันทั้งๆที่เรายังใส่รองเท้าสเก็ตอยู่ โหได้ผลว่ะ มันล้ม แต่เราไม่ล้ม แต่เพื่อความไม่เสี่ยงเรารีบออกไปจากลานสเก็ตแล้วถอดรองเท้าสเก็ตเตรียมอัดแมร่งจังๆที่นอกลานสเก็ต จะมันกว่าว่ะ...555+++.... แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 51 20:47:34 แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 51 20:45:34 แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 51 17:40:24 แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 51 17:37:25 แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 51 17:35:52 จากคุณ : agelesstansy - [ 15 ส.ค. 51 17:32:43 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ส่วนตัวนะครับ ผมมองเช่นเดียวกัน เพราะเรารู้ที่ไปที่มา ว่าคำสอนที่แท้คืออะไร พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ยึดอะไร พระพุทธรูปเกิดขึ้นเพราะอะไร ตอนแรกที่อินเดียสัญลักษณ์ของพระศาสนาคือพระธรรมจักร ส่วนตัวผมก็มองว่าการที่คนไทยนับถือศาสนาโดยยึดที่วัตถุเป็นที่ตั้งนั้นก็็ถือว่าไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้น แต่อาจจะมากเกินจนละเลยแก่นของศาสนา เป็นนับถือพุืทธแบบพราหมณ์ หรือถือทั้งพุทธทั้งพราหมณ์ไปเลย ขาดเหตุและผล ที่เป็นจุดเด่นของศาสนาพุทธ ทุกวันนี้ความเชื่อแบบนี้ตรึงอยู่ในสังคมไทยเป็นอย่างมากครับ ผมเองก็เจอบ่อยๆ(พอดีว่าเรียนวรรณคดีก็รู้ด้านศาสนาบ้าง ปรัชญาบ้าง ต้นกำเนิดตำนานต่างๆที่ไปที่มาบ้าง)แล้วก็แตะต้องไม่ได้อย่างเด็ดขาด ผมก็มักจะโดนคุณแม่โวยอยู่บ่อยๆ ในทุกครั้งที่ดูอะไรแล้วตั้งคำถามต่างๆขึ้นมา เช่นทำไปทำไม ไหว้ราหู แล้วราหูคืออะไรละ ไหวทำไม มีคราสหรือ (ตัวเราเองก็ยวนนิดๆ - -") คคห 14 ลองใจเย็นๆแล้วพิจารณาดูนะครับ พระที่กล่าวอาจจะไม่เหมาะสมบ้าง แต่พอดูให้ดีถือว่าท่านกล่าวไม่ผิดอะไรนะครับ วิธีท่านอาจจะไม่ถูกนัก การกล่าวบริภาษเช่นนั้น ต้องพิจารณาให้ดีๆนะครับ จากคุณ : Alovera - [ 15 ส.ค. 51 23:17:17 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ผมกลับมองว่า การที่เราเคารพบูชา หรือ ไหว้พระพุทธรูปนั้น ถ้าเรากราบไหว้อย่างมีสติ ไม่ใช่กราบไหว้เพราะความเชื่อว่าจะทำให้ได้ลาภ ยศ สรรเสริญ แต่เรากราบไหว้เพื่อเจริญสติ ให้เราระลึกถึง "คำสอน" ของพระพุทธเจ้า(โดยมีพระพุทธรูปเป็นตัวแทนของพระองค์) ก็น่าจะเป็นอีกวิธีหนึ่ง การแขวนพระก็เช่นเดียวกัน จากคุณ : praphrut608 - [ 15 ส.ค. 51 23:18:23 ]

ความคิดเห็นที่ 22 โพสถูกห้องและ คือ หลวงพี่แก มีเหตุผลตามพระไตรปิฏกดีมาก อะ แต่คงซวย อิกเยอะ อะ จากคุณ : บิวตี้เสี่ยว - [ 16 ส.ค. 51 00:32:16 A:125.26.142.57 X: TicketID:184507 ]

ความคิดเห็นที่ 23 คนที่นับถือศาสนาฮินดู ซึ่งปฏิบัติธรรมจนถึงขั้น enlightenment แบบชาวพุทธ ก็มีหลายท่านด้วยกัน แต่พวกเขาตีความคำว่า "เดินสายกลาง" ไม่เหมือนพุทธแบบเถรวาท คำสอนในวิชา kundalini yoga ของฮินดู กล่าวไว้ว่า ที่แกนกระดูกสันหลังมีสายลมปราณหลักอยู่ 3 สาย คือ ida, sushumna และ pingala สายลมปราณที่เรียกว่า ida โยงจากโคนกระดูกสันหลังถึงรูจมูกข้างซ้าย สายลมปราณที่เรียกว่า pingala โยงจากโคนกระดูกสันหลังถึงรูจมูกข้างขวา คนที่ฝึกสมาธิและลมปราณตามแบบฉบับฮินดู จนถึงระดับสูงสุด จะปิดสายลมปราณ (ภาษาแขกเรียกว่า nadi) ida กับ pingala ได้ และจะส่งพลังไปตามสายลมปราณสายกลางคือ sushumna  เมื่อเกิดปรากฏการณ์นี้ขึ้น เราเรียกว่า awaken kundalini คือ "ปลุกพลัง kundalini" ซึ่งเป็นเหมือนงูที่นอนอยู่ที่โคนกระดูกสันหลัง ให้ไปที่จุดกลางกระหม่อม   เมื่อพลัง kundalini เดินทะลุผ่านเส้นกลาง (sushumna) เพื่อที่จะไปยังจุดกลางกระหม่อม ผู้ฝึกสมาธิจะมองเห็นแสงสว่างเจิดจ้าราวกับดวงอาทิตย์นับพันๆดวงเปล่งประกาย  ตามแนว sushumna ซึ่งมีพลัง kundalina เดินผ่าน คือเดินสาย (nadi) กลาง นั่นเอง...!!! และสิ่งที่น่าประหลาดก็คือว่า การบรรลุแจ้งเห็นจริงนั้น เผอิญภาษาอังกฤษ ใช้ enlightenment ซึ่งตีความได้ว่า "เห็นทางสว่าง" แล้วยังตีความได้อีกด้วยว่า "เห็นแสงสว่าง (จากพลัง kundalini)" ในคัมภีร์บางเล่มของฮินดู กล่าวไว้ว่า พลัง kundalini นั้นเมื่อปลุกขึ้นมาก็ sparkles like jewel (ส่องแสงสว่างเปล่งประกายดุจดั่งเพชรพลอย) แก้ไขเมื่อ 16 ส.ค. 51 08:35:17 แก้ไขเมื่อ 16 ส.ค. 51 08:30:29 แก้ไขเมื่อ 16 ส.ค. 51 07:58:46 แก้ไขเมื่อ 16 ส.ค. 51 07:51:15 แก้ไขเมื่อ 16 ส.ค. 51 07:49:02 แก้ไขเมื่อ 16 ส.ค. 51 07:46:21 จากคุณ : agelesstansy - [ 16 ส.ค. 51 07:42:07 ]

ความคิดเห็นที่ 24 บริเวณรอบๆ ปล้องกระดูกสันหลังทั้ง 32 ปล้อง มีสายลมปราณ (ภาษาจีนเรียก mai ภาษาแขกเรียก nadi) อยู่หลายสายที่ส่ง qi หรือ prana (พลังลมปราณ) ไปยังอวัยวะสำคัญๆ หลายๆอวัยวะ การตีความคำสอนของเซน ของเต๋า และของฮินดู ให้ถูกต้อง จะทำให้ผู้ฝึกมี posture (ลักษณะท่าทาง) ที่ถูกต้อง และมีระบบการหายใจที่ถูกต้อง จัดแนวกระดูกสันหลังได้ถูกต้อง ซึ่งเป็นไปตาม gravitational force (แรงโน้มถ่วงของโลก) คือตามเต๋า หรือมรรควิถี ทำให้สุขภาพดีและคงไว้ซึ่งความอ่อนวัยตลอดกาล หลักคำสอนของลัทธิหรือศาสนาเช่นนี้ นับว่ามีเสน่ห์มากๆ เนื่องจากว่า นอกจากจะสอนให้คนมีศีลธรรมแล้วยังกลายเป็นต้นกำเนิดแห่งวิชาการแพทย์แผนโบราณของจีน ของญี่ปุ่น และวิชา Ayurveda (อายุรเวช) ซึ่งเป็นวิชาการแพทย์ชั้นสูงของอินเดียอีกด้วย นับว่าเป็นศาสนาหรือลัทธิที่ทำให้คนมีสุขภาพดีอีกด้วย ดังนั้น เราจึงเลิกบูชาวัตถุ แล้วหันไปศึกษาคำสอนของศาสนาหลายๆศาสนา และลัทธิหลายๆลัทธิ (โดยเลือกเอาแต่เฉพาะคำสอนที่ออกแนวนิยายกำลังภายใน ที่เราหลงไหล เพราะคิดว่ามีเสน่ห์...555+++...) ทั้งนี้ ก็เพื่อปรับปรุงสุขภาพของตนเอง และเพื่อพัฒนาขีดความสามารถของตนเอง และเพื่อพัฒนาวิญญาณก่อนที่จะจากโลกนี้ไป แก้ไขเมื่อ 16 ส.ค. 51 08:40:40 แก้ไขเมื่อ 16 ส.ค. 51 08:27:35 จากคุณ : agelesstansy - [ 16 ส.ค. 51 08:15:17 ]

ความคิดเห็นที่ 25 คุณ tansy เคยอ่านตำราของ Choa Kok Sui หรือเปล่าครับ The Ancient Science & Art of Pranic Healing ผมฝึกตามตำรานี้อยู่ ก็ได้ผลครับ จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม - [ 16 ส.ค. 51 09:34:02 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ภาพพุทธประวัติจากหินสลัก ยุคก่อนมีพระพุทธรูปในประเทศอินเดีย พ.ศ. ๓๐๐–๗๐๐ ถ่ายจากภาพปั้นที่จำลองขึ้นใหม่ เพื่อกิจการแห่งโรงมหรสพทางวิญญาณ ณ สวนโมกขพลาราม อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี พุทธทาสภิกขุ รวบรวมและอธิบาย ภาพการตรัสรู้ของพระสิทธัตถะ ในสมัยพวกเรานี้ เขียนเป็นภาพคนนั่งโคนต้นไม้ริมแม่น้ำ มีอาทิตย์เวลารุ่งอรุณ, ส่วนภาพในหินสลักชิ้นแรกของโลก ได้สลักเป็นภาพดังภาพข้างบนนี้, คือบนบัลลังก์มีเครื่องหมายซึ่งเรียกว่า "ตรีรตนะ" อยู่ที่โคนต้นโพธิ์ ซึ่งมีกิ่งแยกออกเป็น ๓ ทาง มีฉัตรกั้นข้างบน มีเทวดาถือมาลาขนาบสองข้าง มีคนบูชาข้างละสอง รวมเป็น ๔ คน มีห่าฝนดอกไม้ของทิพย์. ทั้งหมดนั้นมีความหมายอย่างหนึ่ง ๆ โดยเฉพาะ ซึ่งล้วนแต่เป็นสัญลักษณ์ ไม่ใช่ภาพเหมือน (จากหินสลัก แบบสาญจี สมัยสุงคะ พ.ศ.๔๐๐-๕๐๐) คำอธิบายภาพ http://www.buddhadasa.org/html/life-work/theatre/sculpture/sculpture41.html แก้ไขเมื่อ 16 ส.ค. 51 11:44:40 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 16 ส.ค. 51 11:42:11 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ภาพการประกาศธรรมจักร หรือธัมมจักกัปปวัตตนะ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ซึ่งเต็มไปด้วยเทวดาและกวาง บัลลังก์ที่ว่างนั้น หมายความว่าพระองค์ประทับบนนั้น ธรรมจักรคือสัญลักษณ์ของพระองค์ในที่นี้. (จากหินสลักแบบสาญจี สมัยสุงคะ พ.ศ.๔๐๐-๕๐๐) คำอธิบายภาพ http://www.buddhadasa.org/html/life-work/theatre/sculpture/sculpture42.html จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 16 ส.ค. 51 11:49:37 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ในประเทศอินเดีย มีภาพพุทธประวัติในหินสลักอยู่ประเภทหนึ่งซึ่งกล่าวได้ว่า เป็นพุทธประวัติยุคแรกที่สุดในโลก และน่าสนใจที่สุด หรือมีค่าที่สุดในโลกด้วย, คือชุดที่ได้จำลองเอามาพิมพ์ไว้ในสมุดเล่มนี้จำนวนหนึ่งนั่นเอง, และเป็นภาพพุทธประวัติที่ยังไม่เคยมีในประเทศไทยเรา. ที่ว่าเป็นครั้งแรกในโลกนั้น หมายความว่า ก่อนหน้าพุทธประวัติชุดนี้ ยังไม่เคยมีใครที่ไหนได้ทำภาพพุทธประวัติขึ้น ไม่ว่าในประเทศไหนในโลก. พุทธประวัติชุดที่กล่าวนี้ เริ่มทำขึ้นในประเทศอินเดีย ระหว่าง พ.ศ. ๓๐๐ เศษ ถึง พ.ศ. ๖๐๐ เศษ เป็นระยะเวลาสามร้อยปีเท่านั้น โดยเป็นภาพพุทธประวัติที่ไม่ยอมทำรูปพระพุทธองค์อยู่ยุคหนึ่ง, หลังจาก พ.ศ. ๖๐๐ เศษเป็นต้นมาก็มีการทำภาพพุทธประวัติในยุคที่สอง คือมีพระพุทธรูปและมีเรื่อยมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ก่อนหน้า พ.ศ.๓๐๐ เศษขึ้นไปทางหลัง ก็ยังค้นไม่พบว่าได้มีการสลักภาพพุทธประวัติไว้ ณ ที่ใดเลย. ที่ว่าน่าสนใจที่สุดหรือมีค่าที่สุดนั้น ก็เพราะมุ่งแสดงพระพุทธองค์ในทางนามธรรมยิ่งกว่าทางรูปธรรม, แสดงความสูงในทางจิตใจของพุทธบริษัทแห่งยุคนั้น ยิ่งกว่าในยุคนี้, จึงไม่ทำรูปของพระพุทธองค์ในลักษณะที่เป็นรูปมนุษย์ ซึ่งเป็นการแสดงความเขลาและความขลาดออกมาในที่สุด, แต่ได้แสดงด้วยสัญลักษณ์ที่ทำขึ้นเฉพาะเหตุการณ์นั้น ๆ ในพระชนม์ชีพของพระองค์ อย่างมีความหมายลึก ชนิดที่รูปภาพคนแสดงเช่นนั้นไม่ได้ ซึ่งจะได้วิจารณ์กันต่อไปตามสมควร. อ่านบทวิจารณ์ของท่านพุทธทาสต่อได้ที่นี่ http://www.buddhadasa.org/html/life-work/theatre/sculpture/sculpture-pre.html แก้ไขเมื่อ 16 ส.ค. 51 11:53:28 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 16 ส.ค. 51 11:52:54 ]

ความคิดเห็นที่ 29 บทคำวิจารณ์บางส่วนของท่านพุทธทาส พระพุทธองค์ทรงบังเกิดขึ้นในยุคอุปนิษัทนี้ ทรงค้นคว้าและสั่งสอนในเรื่องความสูงทางวิญญาณ หรือทางนามธรรม. คำสอนของพระองค์นี้มีเนื้อหาสาระอยู่ที่การบังคับตัวเองหรือกิเลส. ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ ได้ทรงย้ำอยู่แต่เรื่องการทำความเพียรเพื่อเป็นที่พึ่งของตัวเอง โดยไม่ต้องเกี่ยวกับคนอื่นนอกจากตน, แม้ว่าพระองค์จะทรงช่วยสาวกให้พ้นจากความทุกข์ได้ด้วยพระปรีชาสามารถของพระองค์ พระองค์ก็มิได้ทรงประสงค์ที่จะให้ใครถือว่าพระองค์เป็นพระเป็นเจ้าผู้ช่วยสัตว์นอกเหนืออำนาจธรรมชาติ, พระองค์ทรงขอร้องให้สาวกทุกคนมองหา "ผู้นำ" ที่ตัวธรรมะ, และมองตนเองในฐานะเป็นสรณะที่พึ่ง, แต่มหาชนส่วนใหญ่ในกาลต่อมา เป็นคนเขลาและขลาด จึงรู้สึกว่าธรรมะนั้นเป็นของยาก ไม่อาจจะเกี่ยวข้องด้วยได้, จึงหันมาติดแจในตัวพระองค์ ถือพระองค์ว่าเป็นพระเจ้า ยิ่งกว่าที่จะถือว่าพระองค์เป็นมนุษย์ที่เป็นพระศาสดา; และมองไปแต่ในทางที่ว่า พระกรุณาของพระองค์นั้นสำคัญยิ่งไปกว่าความมั่นใจในการพยายามปฏิบัติเพื่อหลุดพ้นจากความทุกข์ของตัวเอง เพื่อตัวเอง ด้วยตัวเอง, ดังที่พระองค์กำชับไว้อย่างแน่นแฟ้น แม้ในวาระสุดท้ายที่เสด็จปรินิพพาน ในฐานะที่เป็นพินัยกรรมแก่สาวกทั้งหลาย. ความหวังแต่จะให้พระองค์ทรงเป็นผู้ช่วยให้รอด (Saviour) เสียเรื่อยไปนี้เอง ได้นำไปสู่ลัทธิที่บูชาพระองค์อย่างพระเจ้า; ในชั้นแรกก็กราบไหว้สถานที่ศักดิ์สิทธิ์อันเกี่ยวกับพระองค์ด้วยความรู้สึกเช่นนั้นไปก่อน จนกระทั่งยึดมั่นในพระสารีริกธาตุของพระองค์นานาชนิด เพราะความเขลาและขลาดมาก จนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร และมีความพอดีหรือถูกต้องเพียงไหนอย่างไร ยิ่งขึ้นทุกที ในที่สุดก็กล้าทำพระพุทธรูปขึ้นบูชาในลักษณะที่เป็นการถอยหลังเข้าคลองของตนเอง ในทางธรรมะหรือทางวิญญาณ, จนรกรุงรังไปด้วยพิธีรีตองทางวัตถุธรรมเกินกว่าความจำเป็น คือเกินกว่าที่จะเป็นเพียงสัญลักษณ์หรือ Symbol เพื่อการน้อมระลึกในทางนามธรรมเท่านั้น, และทับถมปิดกลบธรรมะที่จะช่วยให้รอดได้จริงยิ่งขึ้นทุกที จนมีผู้กล่าวว่า "พระพุทธรูปบังพระพุทธเจ้า" ขึ้นมาด้วยเหตุนี้ จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 16 ส.ค. 51 13:11:24 ]

ความคิดเห็นที่ 30 เราต้องระลึกไว้เสมอว่า หัวใจของธรรมะหรือตัวแท้ของพระพุทธศาสนานั้น อยู่ตรงที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นให้มีอะไรเป็นบุคคลขึ้นมา, ให้ว่างจากบุคคล คือให้เป็นเพียงขันธ์ อายตนะหรือธาตุทั้งหลายตามธรรมชาติ จนกระทั่งว่างไปในที่สุด จนอาจจะกล่าวได้ว่า ฆ่า "คน" เสียให้หมดแล้วก็จะเป็นพระอรหันต์ ดังนี้ ข้อนี้หมายความว่าให้ทำลายความรู้สึกที่มั่นหมายว่าเป็นบุคคลนั้นเสียโดยสิ้นเชิง จนรู้สึกว่างจากคน ว่างจากตัวตน ว่างจากของตน โดยทุก ๆ ประการ, เรียกโดยภาษาธรรมขั้นสูงสุดว่า หมดอัสมิมานะ หมดอหังการมมังการ โดยทุก ๆ ประการนั่นเอง พระพุทธองค์ทรงเป็นเช่นนี้ก่อนใครทั้งหมด และทรงสอนความเป็นเช่นนี้ ดังนั้นสัญลักษณ์ที่ควรคู่ของพระองค์ ก็คือความว่างนี้เอง ผู้ให้ทำภาพหินสลักที่ภารหุตและสาญจี ยังมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้ดีอยู่ จึงให้ทำสัญลักษณ์ของพระองค์เป็นภาพบัลลังก์ว่างเปล่าเป็นหลักเกณฑ์ทั่วไป ยิ่งกว่านั้น ส่วนมากยังแถมมีต้นโพธิ์ หรือต้นไม้อย่างอื่นที่เกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นของพระองค์ เช่นต้นไทร เป็นต้น มุงหรือปกอยู่เหนือพระแท่นอีกด้วย ซึ่งหมายความว่าบนพระแท่นนั้นภายใต้ร่มไม้นั้น พระองค์ประทับอยู่ เป็นการแสดงทั้งสัญลักษณ์และเรื่องราวของพระองค์พร้อมกันไปในคราวเดียวกัน จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 16 ส.ค. 51 13:14:02 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ถือว่าบูชาเพื่อเคารพถึงความดีของพุทธองค์ แต่ส่วนตัวก็ไม่เห็นด้วย ที่สร้างกันเกร่อ คือความจริงกับคำอ้งไม่ตรงกัน อ้างว่าเพื่อนึกถึงความดีของพระพุทธเจ้า แต่ก็สร้าง จนเกินพอดี คิดว่ามีส่วนทำให้ศาสนาล่ม ทำแต่พอดีก็พอ จากคุณ : แม่ตานน้อย - [ 17 ส.ค. 51 00:13:45 ]

ความคิดเห็นที่ 32 อ้าว  link นี้ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K6813048/K6813048.html ใน คคห 18 พอลอง clik ดู ก็ปรากฏว่า กระทู้นั้น  "โดนมือดีลบไปเสียแล้ว" ก็เลยแปะใหม่ การแปล Dao De Jing บทที่3 (โดยการถอดรหัส) นี่เป็นคำแปล คำสอนของปรมาจารย์เล่าจื๊อใน Dao De Jing (บทที่ 3) จากภาษาจีน มาเป็นภาษาอังกฤษ โดย Dr.James Legge (Oxford University) 3 Not to value and employ men of superior ability is the way to keep the people from rivalry among themselves; not to prize articles which are difficult to procure is the way to keep them from becoming thieves; not to show them what is likely to excite their desires is the way to keep their minds from disorder. Therefore the sage, in the exercise of his government, empties their minds, fills their bellies, weakens their wills, and strengthens their bones. He constantly (tries to) keep them without knowledge and without desire, and where there are those who have knowledge, to keep them from presuming to act (on it). When there is this abstinence from action, good order is universal. ทั้งบัณฑิตจีนและฝรั่งแปล Dao De Jing ออกมาหลาย versions ด้วยกัน ของคนไทยที่แปลออกมาได้ไพเราะก็มีของ คุณพจนา จันทรสันติ กับของ ด.ร. ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์ ... แก้ไขเมื่อ 19 ส.ค. 51 09:42:14 จากคุณ : agelesstansy - [ 19 ส.ค. 51 09:40:42 ]

ความคิดเห็นที่ 33 บทที่ 3 ที่เอามาแปะไว้นี้ คัดมาจากของอาจารย์ฉัตรสุมาลย์ (ซึ่งดูเหมือนว่าจะแปลจากภาษาอังกฤษของ Dr.James Legge) ท่านอาจารย์ฉัตรสุมาลย์ตีความแบบผู้เชี่ยวชาญด้านศาสนาเปรียบเทียบ แต่เดี๋ยวจะบอกให้ว่า ข้าพเจ้าตีความไว้อย่างไร....... บทที่ 3: Not to value and employ men of superior ability is the way to keep the people from rivalry among themselves; อย่าแต่งตั้งยศฐาบรรดาศักดิ์ ประชาชนจะได้ไม่เกิดความริษยาแก่งแย่ง not to prize articles which are difficult to procure is the way to keep them from becoming thieves; อย่าตีราคาสมบัติที่หาได้ยาก ประชาชนจะได้ไม่ลักขโมย not to show them what is likely to excite their desires is the way to keep their minds from disorder. อย่านำเอาทรัพย์สมบัติที่ต้องตาต้องใจออกมาอวด ประชาชนจะได้ไม่มีจิตใจเป็นกังวล Therefore the sage, in the exercise of his government, ดังนั้นเมื่อมุนีปกครองบ้านเมือง empties their minds, เขาจะทำใจให้ว่าง fills their bellies, ทำให้ท้องอิ่ม weakens their wills, ลดความทะเยอทะยานทั้งปวง and strengthens their bones. ให้มีร่างกายแข็งแรง He constantly (tries to) keep them without knowledge and without desire, เลื้ยงดูให้ประชาชนปราศจากความรู้และความอดอยาก and where there are those who have knowledge, to keep them from presuming to act (on it). ทำให้คนฉลาดไม่กล้าลงมือทำการใดๆ When there is this abstinence from action, good order is universal. เมื่อปฏิบัติโดยไม่มีการกระทำเช่นนี้ ทุกสิ่งก็จะอยู่ในระเบียบ นั่นคือการตีความโดย ดร.ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านศาสนาเปรียบเทียบ จากคุณ : agelesstansy - [ 19 ส.ค. 51 09:41:53 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ต่อไปนี้ข้าพเจ้าขอตีความบนที่ 3 ของ Dao De Jing ในฐานะผู้ที่ฝักใฝ่ในวรยุทธ์ของ Wu Dang (เขียนจีนกลางแบบ pinyin (หวังว่ามั่วถูกนะ ...555+++)...ถ้าอ่านแบบแต้จิ๋วก็คือ “(สำนัก)บู๊ตึง" นั่นเอง) แต่ก่อนอื่นก็ต้องขอขอบคุณ Dr. James Legge ที่แปล Dao De Jing เอาไว้ได้อย่างซื่อสัตย์ต่อต้นฉบับจริงๆจนทำให้ข้าพเจ้าพอมองเห็นหนทางได้ว่าปรมาจารย์เล่าจื้อพูดว่าอะไร และทำไมนักพรตเต๋าหลายท่านจึง "อ้างว่า" วิชากำลังภายในของ Wu Dang  แท้จริงแล้วคิดขึ้นมาได้โดยการตีความ Dao De Jing โดยการ "ถอดรหัส" ช่วงแรกๆ คือ Not to value and employ men of superior ability is the way to keep the people from rivalry among themselves; not to prize articles which are difficult to procure is the way to keep them from becoming thieves; not to show them what is likely to excite their desires is the way to keep their minds from disorder. น่าจะตีความโดยสรุปได้ว่า "ให้ละกิเลศ เลิกการยึดมั่นถือมั่น และ "...จะได้ไม่มีจิตใจเป็นกังวล..." หมายถึง " ต้องทำสมองให้ว่าง ทำจิตให้สงบ" ทีนี้เรามาดู Therefore the sage, in the exercise of his government, empties their minds, fills their bellies, weakens their wills, and strengthens their bones. เริ่มน่าสนใจมากยิ่งขึ้นตรง ".......in the exercise of his government...." หรือ"....ปกครองบ้านเมือง....????" ถ้อยคำเหล่านี้เล่าจื้อ "ใส่รหัส" เอาไว้ เพราะไม่อยากให้ผู้คนหลายคนตีความได้ ......จริงๆแล้วข้าพเจ้าตีความมันว่า "Du Mai = the governing channel (governing = ปกครอง) คือเส้นลมปราณด้านหลังในและตามแนวกระดูกสันหลังนั่นเอง ดังนั้นจึงต้องตีความ ต่อไปว่า เขาจะทำใจให้ว่าง = ตั้งสมาธิ ทำให้ท้องอิ่ม = จริงๆแล้ว (ท้องผู้ฝึก) อิ่มด้วยลมปราณ (ไม่ใช่หมายถึงทำให้ประชาชนอิ่มท้องหรือมีกินก่อนปกครอง...คือจะตีความเช่นนั้นก็ไม่ผิดหลักจริยธรรมหรือรัฐศาสตร์ แต่ก็จะไม่ได้วิชากำลังภายในไป....!!!) นั่นก็คือหายใจลึกจนลมปราณลงไปอยู่ที่ท้องส่วนล่างจนเกิดแรงขับเคลื่อนพลังให้ "ปกครองบ้านเมือง = ให้ขับเคลื่อนพลังเข้าไปใน Du Mai" นั่นเอง หมายเหตุ: คำว่า Du Mai เป็นศัพท์ในสายจีน แต่ในสายอินเดีย (Tantra) เขาเรียก Du Mai ว่า Kundalini (มาจากภาษาสันสกฤต แปลว่า "งู" เป็น serpentine force มีลักษณะแบบ spiral คือเป็นเกลียว) จากคุณ : agelesstansy - [ 19 ส.ค. 51 09:43:31 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ช่วงต่อไป "weakens their wills" คือ "ลดความทะเยอทะยานทั้งปวง" คือเมื่อพลังไปสู่ Bai Hui(จุดกลางกระหม่อม) แล้ว gravitational force (แรงโน้มถ่วง) ก็จะส่งพลังลงมาตามเส้นทางเดินเส้นกลางด้านหน้า (คือ Ren Mai = the channel of function) เอง "keep them without knowledge" "ปราศจากความรู้" หมายถึง block all the five senses = ปิดกั้นการรับรู้ทั้ง 5 คือภาพ, เสียง, กลิ่น, รส, และสัมผัส.... ".....and where there are those who have knowledge, to keep them from presuming to act (on it)." "ทำให้คนฉลาดไม่กล้าลงมือ" ต้องตีความว่า Let nature take its own course. By doing nothing everything is done and taken care of. คือ จงปล่อยให้ธรรมชาติเป็นไปตามวิถีทางของมัน โดยการไม่ทำอะไร (การกระทำโดยไม่กระทำ) ทุกสรรพสิ่งก็จะถูกกระทำไปเองและจะได้รับการดูแลจากเต๋าหรือมรรควิถีนั่นเอง ..... นั่นก็คือ ปล่อยให้พลังถูกแรงโน้มถ่วงนำมันลงมาตาม Ren Mai คือเส้นกลาง จากคุณ : agelesstansy - [ 19 ส.ค. 51 09:44:13 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ดังนั้นในช่วงเกือบๆจะสุดท้ายของบนนี้จึงมักจะมีคำพูดว่า "ทำการ" และ "การกระทำ" แท้จริงมันก็คื Ren Mai หรือ the channel of function ซึ่งเป็นเส้นลมปราณเส้นกลางด้านหน้านั่นเอง (function = ปฏิบัติการ, ทำการ, การกระทำ" ) ในภาษาอังกฤษหลายๆ versions เขามักจะใช้คำว่า non-action action ซึ่งคุณพจนา จันทรสันติ แปลเป็นไทยเอาไว้ว่า "การกระทำโดยไม่กระทำ" .......ส่วน "weakens their wills" หรือ "ลดความทะเยอทะยานทั้งปวง" คือ เมื่อพลังไปจนถึงจุดสูงสุด (Bai Hui) แล้ว มันก็ต้องไหลลงมาเอง "ทุกสิ่งก็จะอยู่ในระเบียบ = The Order of the Universe is achieved = ระเบียบแห่งจักรวาลก็คือเต๋านั่นเอง..... Ren Mai หรือ the channel of function ซึ่งเป็นเส้นลมปราณเส้นกลางด้านหน้า นักพรตเต๋าถือว่าเป็น "สายดิน" แต่สายอินเดียไม่มีสายดินข้างหน้าที่ใช้อลดแรงดันของพลัง (ในกรณีระบบประสาทยังรับพลังไม่ได้ อาจมีปัญหา) หากแต่จะเจาะทะลวงให้ผ่านจุดกลางกระหม่อม เพราะสายอินเดียเชื่อกันว่า ตรง Hui Yin (สายอินเดียเรียกจุดนี้ว่า Muladhara) มี Shakti (หรือ Sakti ภาษาไทยคงเป็น ศักติ คือ "ภรรยา"...จริงๆแล้ว "Shakti" คือ "เจ้าแม่กาลี" นั่นเอง)อยู่ที่จุดนี้ และที่ Bai Hui (สายอินเดียเรียกจุดนี้ว่า Sahasrara) มี Shiva (คือ "พระศิวะ")อยู่ที่จุดนี้ และ Kundalini ซึ่งเป็นพลังเป็นเกลียวเหมือนงู ก็จะเป็นเสมือนหนึ่งว่า Shakti ไปหา Shiva เพื่อผสานกันเป็นหนึ่ง เพราะว่าเป็นคู่ครองกัน การฝึกสายอินเดียนับว่าอันตรายมากๆ เพราะว่าถ้าระบบประสาทในสมองยังรับพลัง Kundalini ไม่ได้ผู้ฝึกจะมีปัญหาทางจิตอย่างรุนแรง Kundalini นี้เปรียบเสมือน serpent ใน The Garden of Eden และการที่ Adam กิน apple เข้าไป เปรียบเสมือนการปลุกพลัง Kundalini เร็วเกินกำหนด เร็วเกินกว่าที่ระบบประสาทของผู้ฝึกจะรับได้....... พวกที่อ่านหนังสือกำลังภายในหลายๆท่านคงเคยได้ยินคำว่า "ไฟธาตุเข้าแทรก" ......มันอาจเป็นการปลุกพลัง Kundalini เร็วเกินกำหนดก็ได้ ดังนั้นในบทที่ 3 ของ Dao De Jing เมื่อปรมาจารย์เล่าจื้อพูดถึงเรื่อง "การปกครอง" แท้จริงแล้วท่านพูดถึงพลัง Kundalini นี้เอง จากคุณ : agelesstansy - [ 19 ส.ค. 51 09:45:05 ]

ความคิดเห็นที่ 37 แท้จริงแล้วในบทที่ 3 นี้ปรมาจารย์เล่าจื้อสอนวิธีการโคจรลมปราณรอบ Microcosmic Orbit โดยมีหลักการสำคัญดังต่อไปนี้ ตัดกิเลศ ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งมีค่าใดๆ ....นั่นก็คือสมัยโบราณคนจะฝึกวิชานี้ได้ต้องละทิ้งสมบัติพัสถานไปจำศีลอยู่บนภูเขา ทำสมาธิ ทำจิตให้สงบ หายใจลึกๆให้ลมปราณไปรวมตัวที่จุด dantian (อ่านว่า "ตานเถียน" แปลว่าทุ่งนาที่ใช้เพาะปลูกยาอายุวัฒนะ) จุดนี้นักวรยุทธ์บางท่านก็บอกว่าอยู่ใต้สะดือ 1.3 นิ้ว บางท่านก็บอกว่าอยู่ที่สะดือเลยก็มี กำหนดลมปราณเพื่อกระตุ้นไฟธาตุในร่าง ไฟธาตุในร่างจะขับเคลื่อนพลังหลังเกิด (ลมปราณที่หายใจเข้ามา) กับพลังก่อนเกิด (พลังทางเพศ (พลังที่ใช้สืบพันธ์) ที่ได้มาจากบิดามารดา) The union of heaven and earth (การผสานกันของลมปราณหลังเกิดกับพลังทางเพศ ณ จุด dantian) ให้เป็นพลังขับเคลื่อนไป จาก dantian ทะลุไปที่ Hui Yin (perineum หรือ ฝีเย็บ) แล้วเจาะทะลวงเข้ากระดูกสันหลังพุ่งขึ้นผ่านจุด Ming Men (จุดที่อยู่ระหว่างไต) ผ่านแกนกระดูกสันหลัง จนขึ้นไปถึงจุด Bai Hui (จุดกลางกระหม่อม) คือปล่อยให้พลังเคลื่อนขึ้นไปเอง "โดยไม่บังคับมัน" คำแปลบาง versions เขาว่า "ปกครองโดยไม่ปกครอง" หรือ "ปกครองโดยไม่กดขี่" คือแค่ be mindful of it but do not force it คือแค่มีสติว่ามีพลังนี้โคจรไป แต่ต้องไม่บังคับมัน ..... และเมื่อพลังพุ่งไปถึงจุดสูงสุดบนกลางกระหม่อมแล้วก็ให้ปล่อยให้มันไหลลงมาข้างล่างเอง โดยไม่ไปบังคับมัน ซึ่งเท่ากับ "การกระทำโดยไม่กระทำ" จนพลังมันกลับไปที่จุดเริ่มต้นจนครบวงโคจรของมันที่เราเรียกว่า วงโคจรนี้เราเรียกว่า Microcosmic Orbit (ที่ใช้ศัพท์นี้ก็เพราะว่านักพรตเต๋าเชื่อว่าร่างกายมนุษย์เป็นจักรวาลที่ย่อส่วนมา) จากคุณ : agelesstansy - [ 19 ส.ค. 51 09:45:49 ]

ความคิดเห็นที่ 38 บางทีพวกซามูไรที่ฝึกตามแนวคิดของเซนโดยอาศัยการปรับเปลี่ยน posture (ท่าทาง, อิริยาบท, การเคลื่อน ไหวตัว) ให้ be in harmony with the universal force = ให้ผสมผสานกลมกลืนกับพลังของจักรวาล ถึงแม้ผู้ฝึกจะไม่รู้จักว่าหน้าตา Microcosmic Orbit เป็นอย่างไร แต่ก็ยังบรรลุเป้าหมายในการขับเคลื่อนพลังรอบ Microcosmic Orbit ได้เช่นกัน ซึ่งอาจฝึกได้ง่ายกว่าเสียด้วย "เนื่องจากกลายเป็น "....เลื้ยงดูให้ประชาชนปราศจากความรู้...." = block all the five senses = ปิดกั้นการรับรู้ทั้ง 5 คือภาพ, เสียง, กลิ่น, รส, และสัมผัส...จนกระทั่ง "ทำให้คนฉลาดไม่กล้าลงมือ" = Let nature take its own course. By doing nothing everything is done and taken care for. คือ จงปล่อยให้ธรรมชาติเป็นไปตามวิถีทางของมัน โดยการไม่ทำอะไร (การกระทำโดยไม่กระทำ) ทุกสรรพสิ่งก็จะถูกกระทำไปเองและได้รับการดูแลจากเต๋าหรือมรรควิถีนั่นเอง ..... สรุปประเด็นสำคัญก็คือ พลังที่โคจรใน Microcosmic Orbit นั้นผู้ฝึกต้องเพียงแค่ be mindful คือแค่มีสติในเรื่องพลังนี้เท่านั้น (คือมองเห็นมันโคจรไปโดยธรรมชาติ) แต่จะต้องไม่ force the energy up and down คือ "ไม่ปกครองโดยกดขี่" และ "จะต้องกระทำโดยไม่กระทำ" นั่นก็ คือ "ไม่พยายามตั้งใจ" ที่จะพลักดันมันโดยการบังคับมันนั่นเอง แต่ให้เป็นธรรมชาติขับเคลื่อนมันไปเอง (energy + gravitational force) หลักการที่ฟังๆดูเหมือนจะพูดกวนๆขัดแย้งกันแบบนี้ซึ่งเล่าจื้อใช้บ่อยมากๆเราเรียกมันว่า paradox ราชบัณฑิตสถานเขาบัญญัติศัพท์เอาไว้ว่า "ปฏิทรรศน์" (อย่าจำสับกับ "ปริทัศน์" = review นะ....ตัวเราเองยังงงเลยบางที) ส่วนคุณพจนา จันทรสันติแปลคำว่า paradox ได้ไพเราะดี เขาแปลมันไว้ว่า "ตรรกวิทยาแห่งความขัดแย้ง" แท้จริงแล้วปรมาจารย์เล่าจื้อสติเฟื่องใช้ paradoxes มากมายใน Dao De Jing จนทำให้คนอ่านเอือมระอาจนเอาคัมภีร์ไปทิ้งถังขยะกันเสียเป็นส่วนใหญ่.... วิชาเร้นลับจึงถูกสงวนไว้ให้คนเพียงแค่บางคน (ที่ฟ้าลิขิตมา) เท่านั้น จากคุณ : agelesstansy - [ 19 ส.ค. 51 09:47:08 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ที่แปะไว้ใน คคห 32-38 เป็นการตีความเต๋าเพื่อให้เห็นว่า ปรมจารย์เล่าจื้อเขียนคำสอนเต๋าไว้แบบ multilevel นั่นก็คือ ตีความเป็นธรรมะ จริยธรรม รัฐศาสตร์ หรือเป็นวิชา alchemy (เล่นแร่แปรธาตุ) ที่ฝึกผสาน jing (sexual energy หรือพลังที่ใช้สืบพันธ์), qi (ลมปราณ) และ shen (วิญญาณ) เพื่อที่จะสร้าง elixir of life (ยาอายุวัฒนะ) เพื่อ attain immortality (บรรลุความเป็นเซียน) ...นักพรตเต๋าที่ฝึกวิชา alchemy จนถึงขั้นสูง จะมีอายุยืนมากๆ โดยยังหน้าตาเด็กอยู่ และเมื่อฝึกถึงขั้นสูงสุด จะ attain enlightenment ได้ เหมือนพวกชาวพทธ หรือปราชญ์ชาวฮินดูที่ฝึก kundalini yoga ได้ด้วยเช่นกัน นักพรตเต๋าที่ฝึก alchemy จนถึงระดับสูงสุด สามารถดึงวิญญาณออกจากจุดกลางกระหม่อม แล้วไปปรากฏกายหลายร่างเพื่อช่วยคนตกทุกข์ได้ยากได้เหมือนๆกับ bodhisattva (พระโพธิสัตว์) ของพุทธเหมือนกัน และก็จะละทิ้ง material immortality (คนอายุยืนเป็นร้อยๆปี หรือหลายๆร้อยปี ในโลกมนุษย์) เพื่อเข้าสู spiritual immortality (เซียนในสวรรค์) ในที่สุด มีคนเคยเห็นปรมาจารย์เล่าจื้อขี่ลา (ไม่รู้ลาหรือฬ่อ จำไม่ได้แล้ว) ออกจากกำแพงเมือง แล้วอยู่ดีๆ ท่านก็ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า... เราเคยคิดด้วยซ้ำไปว่า ศาสนาเกือนทุกศาสนามักจะมีต้นกำเนิดคล้ายๆกัน หรือถ้ามิใช่ต้นกำเนิดเดียวกัน ศาสดาก็จะคิดเหมือนๆกันเองโดยไม่ได้นัดหมายกัน อย่างที่เขาเรียกว่า Great men think alike. บางทีเราคิดเลยเถิดไปด้วยซ้ำไปว่า พระพุทธเจ้าสอนสมาธิและสอนกำลังภายในเหมือนๆกับเซนที่ฝึกกันในวัดเส้าหลิน ไม่ได้สอนให้แขวนพระ ดังนั้น เราจึงเลือกแต่คำสอนที่เกี่ยวกับเรื่องสุขภาพ และเรื่องการยกระดับศักยภาพของมนุษย์มาเรียน มาปฏิบัติ แล้วเลิกแขวนพระ เนื่องจากว่าเรามีพระในใจของเราอยู่แล้ว และพระองค์นั้น อยู่ที่จุด dantian ซึ่งเป็นจุด CG ของเรา  นั่นเอง ซึ่งก็นับว่า 1. ประหยัดไม่ต้องไปเช่าพระมาแขวนคอ ราคาแพงๆ 2. ไม่เสี่ยงต่อการโดนปล้นแย่งชิงพระ (เคยได้ยินว่าคนแขวนพระแพงๆโดนฆ่าตาย เพราะโจรฆ่าแย่งชิงพระ) 3. ทำให้ต้องมีสมาธิที่จุด dantian ตลอด ซึ่งก็ถือว่าเป็นการฝึกสติ ตามแนวพุทธก็ได้ แต่กลายเป็นเอาเซน หรือเต๋า และฮินดู มาประยุกต์กันหมด ซึ่งทำให้มีผลดีต่อสุขภาพอีกด้วย แก้ไขเมื่อ 19 ส.ค. 51 10:10:32 จากคุณ : agelesstansy - [ 19 ส.ค. 51 10:06:20 ]

ความคิดเห็นที่ 40 เรียน เจ้าของกระทู้       ผมก็ไม่แขวนพระมากว่า 32 ปี แล้ว เพราะถือว่าพระอยู่ที่ใจ ไม่คิดสะสมองค์ใดเลย ใครให้มาหรือเก็บได้ จะยกให้คนอื่นหมด      จนวันหนึ่งมีเพื่อนนำพระที่ปลุกเสกหลายครั้งมามอบให้ เนื่องในงานศพแม่ของเขา ผมก็รับมา ตอนแรกว่าจะมอบให้คนอื่น แต่เมื่อคิดถึงความตั้งใจของเพื่อน เลยเก็บเอาไว้ดูเล่น พอนานๆ ก็เริ่มเข้าใจว่า พระนั้นเป็นสื่อให้เราคิดถึง พุทธคุณ 3 อันประกอบด้วย พระคุณจากความกรุณาต่อสรรพสัตว์ ความบริสุทธิอันปราศจากกิเลส และปัญญาที่รู้อริยสัจจ์ของพระองค์       ดังนั้น ผมจึงใช้พระพุทธรูปองค์นั้นแหละครับ คอยระลึกถึงพระ พุทธคุณ แก้ไขเมื่อ 19 ส.ค. 51 23:34:45 จากคุณ : adial - [ 19 ส.ค. 51 23:14:11 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ููููุุุุ ^ ^ เห็นด้วยกับคห.40 คนเรามีการนับถืออยู่หลายระดับ บ้างนับถือมาก มีความรู้เยอะปฏิบัติดี แต่เราปฏิเสธไม่ได้ว่า คนส่วนมาก รู้ธรรมะผิวเผิน มุ่งแต่ทำงาน หาเงินเลี้ยงชีพ เวลาจะเข้าวัดเข้าวาทำบุญ แทบไม่เคยนึกถึง การมีรูปเคารพ สำหรับคนส่วนใหญ่กลุ่มหลัง มีความสำคัญมาก ได้ก้มกราบพระปฏิมา ของพระพุทธเจ้า บางคนที่มีทุกข์ อาจถึงน้ำตาไหล พระพุทธรูปของพระองค์ คือตัวแทนพระพุทธเจ้า เป็นรูปธรรมที่เห็นชัดที่สุด แทนพระพุทธใน พระรัตนตรัย หนึ่งภาพที่เห็นมีค่ากว่าล้านคำบรรยาย เพราะฉะนั้น อย่านำไปเปรียบเทียบ กับพุท่ธพานิช ทั้งหลายเลยครับ เพราะเหรียญ มีสองด้านเสมอ อยู่ที่การนำไปใช้ หลักของธรรมะก็มีอยู่แล้ว ให้อยู่ในทางสายกลาง จากคุณ : Chat5 - [ 20 ส.ค. 51 09:28:26 ]

ความคิดเห็นที่ 42 หาก ตัวแทนของพระพุทธเจ้า  เป็นอะไรตามที่ใจแต่ละคนจะปรารถนา... ตามมโนจิตสำนึก...จะเกิดอะไรขึ้น... องค์พระศาสดา....ไม่กลายเป็นหมู หมา กา ไก่ ดอกรึ ? จากคุณ : ร้านยำแซ่บ (ยำมะม่วง) - [ 20 ส.ค. 51 17:53:47 ]