ความคิดเห็นที่ 1 2.พระยาน้อยชมตลาด จากคุณ : วสันดิลก - [ 22 ส.ค. 51 16:10:31 ]

ความคิดเห็นที่ 2 3.แม่ค้าสมัยอุ๊ยคำยังเด็ก แก้ไขเมื่อ 22 ส.ค. 51 16:14:46 จากคุณ : วสันดิลก - [ 22 ส.ค. 51 16:13:22 ]

ความคิดเห็นที่ 3 4.ข้าราชการไปรษณีย์รุ่นก่อนกึ่งพุทธกาล จากคุณ : วสันดิลก - [ 22 ส.ค. 51 16:17:13 ]

ความคิดเห็นที่ 4 5.การลงโทษสมัยก่อน (ไม่เคยเห็นภาพเฆี่ยนกลางแจ้ง เคยเห็นแต่ภาพตัดคอ) จากคุณ : วสันดิลก - [ 22 ส.ค. 51 16:20:24 ]

ความคิดเห็นที่ 5 6.ประตูเมืองยังดูสมบูรณ์ จากคุณ : วสันดิลก - [ 22 ส.ค. 51 16:23:06 ]

ความคิดเห็นที่ 6 7.ศึกเงี้ยวมันปีไหนหนอ ลืมไปแล้ว พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ทรงบันทึกว่าตอนเด็กท่านนั่งช้างไปเชียงใหม่ มีข้าราชการฝ่ายเหนือเล่าเรื่องศึกเงี้ยวให้ฟัง(นั่งช้างคนละตัว) แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 51 13:01:27 จากคุณ : วสันดิลก - [ 22 ส.ค. 51 16:28:30 ]

ความคิดเห็นที่ 7 8.ภาพสุดท้าย นึกถึงเทศกาลสงกรานต์ จากคุณ : วสันดิลก - [ 22 ส.ค. 51 16:30:35 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ขอบคุณที่นำภาพมาให้ชมนะคะ ถูกใจจริงๆ จากคุณ : kikgle (kikgle) - [ 22 ส.ค. 51 21:55:19 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ขอบคุณค้ะ ชอบดูภาพเก่าๆเหมือนกันค้ะ จากคุณ : พนอจัน - [ 23 ส.ค. 51 06:11:09 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ภาพใน #1  ต้องเรียกว่า กาดหลวง ครับผม ไม่ใช่กาดสวนแก้วเน้อ ภาพใน #7  ว่ากันว่าไม่ใช่กำแพงเมืองเชียงใหม่ แต่เป็นกำแพงเมืองนครศรีธรรมราช ครับ ว่าแท้ว่าดี ขอป่าวงานเสียหน่อย สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ขอเชิญชมนิทรรศการเรื่อง “ตามรอยล้านนาจากภาพถ่ายในอดีต” และฟังการเสวนาเรื่อง “กึ่งศตวรรษเมืองเชียงใหม่จากภาพถ่าย” ในวันพุธที่ ๒๗-๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๑ ณ ลานโบ๊เบ๊ ชั้น ๓ อุทยานการค้ากาดสวนแก้ว ชมนิทรรศการภาพถ่ายล้านนาในอดีต เปรียบเทียบกับภาพปัจจุบัน ชีวประวัตินายบุญแสริม สาตราภัย บุคคลสำคัญผู้เก็บประวัติศาสตร์ล้านนาจากภาพถ่าย แนะนำเว็บไซต์ภาพล้านนาในอดีต และร่วมฟังการเสวนาเรื่อง “กึ่งศตวรรษเมืองเชียงใหม่จากภาพถ่าย” ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๑ เวลา ๑๓.๓๐ น. พิธีเปิดนิทรรศการ เวลา ๑๔.๑๕ น. การเสวนาเรื่อง “กึ่งศตวรรษเมืองเชียงใหม่จากภาพถ่าย” โดย บุญเสริม สาตราภัย และเวนไตย ไชยวงศ์ (ผู้สื่อข่าว Thai PBS) จากคุณ : ศศิศ - [ 23 ส.ค. 51 21:50:03 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ภาพ 6 กำแพงเมืองมี 2 ชั้นหรือเปล่า จากคุณ : ฉั่วเป่งใช้ - [ 25 ส.ค. 51 13:26:31 ]

ความคิดเห็นที่ 12 น่าจะเป็น ประตูเมืองสองชั้นมากกว่าที่จะมีกำแพงสองชั้นครับ จากการขุดค้นที่ประตูช้างเผือก ก็ปรากฏว่า ประตูเมืองมีอยู่สองชั้นด้วยเช่นกัน คาดว่าจะเป็นเฉพาะที่ประตู โดยสร้างเปนกำแพงยื่นออกมาแต่ละประตูด้วยเช่นกัน เมื่อสร้างเป็นสองชั้น ประตูก็จะทำเยื้อง ๆ กัน ไม่ตรงกันเพราะใช้เป็นการป้องกันข้าศึก จากคุณ : ศศิศ - [ 25 ส.ค. 51 19:14:39 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ประตูเมืองเชียงใหม่นั้นทำเป็นสองชั้นเหมือนประตูเมืองมัณฑะเลย์  ซึ่งว่ากันว่าจำลองแบบมาจากประตูเมืองอมรปุระ   รายละเอียดเรื่องประตูและกำแพงเมืองนครเชียงใหม่ในอดีตนั้น  มีรายละเอียดที่ชัดเจนปรากฏในแผนที่เมืองนครเชียงใหม่ พ.ศ. ๒๔๓๖  ซึ่งท่านที่สนใจจะสามารถติดตามอ่านได้ในหนังสือย้อนอดีตล้านนา ตอน รวมเรื่องน่ารู้จากแผนที่เมืองนครเชียงใหม่ ซึ่งทราบมาว่า สำนักพิมพ์จุฬาฯ จะวางจำหน่ายในราวปลายเดือนนี้หรืออย่างช้าต้นเดือนหน้าครับ จากคุณ : V_Mee - [ 25 ส.ค. 51 19:33:05 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ขอบคุณครับ น่าสนใจมาก จากคุณ : ปลาทอง (ปลาทองสยองเมือง) - [ 25 ส.ค. 51 19:51:09 ]

ความคิดเห็นที่ 15 คห 1 คือ กาดหลวง ครับ ไม่ใช่ กาดสวนแก้ว ปัจจุบัน คือ ตลาดวโรรสครับ ในอดีตพื้นที่บริเวณนี้ เคยเป็นกู่อัฐิเจ้านายฝ่ายเหนือมาก่อน ที่จะย้ายไปวัดสวนดอก จากคุณ : akkarachai - [ 27 ส.ค. 51 20:18:55 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ศาลารัฐบาลมณฑลพายัพ  หรือ ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่หลังเดิม แต่เดิมบริเวณนี้เป็นคุ้มของพระเจ้าอินทวิชยานนท์ ต่อมา ได้มีการสร้างศาลากลางจังหวัดขึ้นแทน ปัจจุบันเป็น หอศิลปวัฒนธรรมเมืองเชียงใหม่ จากคุณ : akkarachai - [ 27 ส.ค. 51 20:22:07 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ศาลากลางเชียงใหม่ หลังเก่าในปัจจุบัน จากคุณ : akkarachai - [ 27 ส.ค. 51 20:24:15 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ตึกยุพราช โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย โรงเรียนยุพราชวิทยาลัยเป็นโรงเรียนรัฐบาลแห่งแรกของจังหวัดเชียงใหม่ สถาปนาขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2442 ตามพระบรมราโชบาย ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ในการขยายการศึกษาออกสู่หัวเมือง ตึกยุพราช พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ได้ทรงวางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2448 นั้น ใช้เวลาก่อสร้างร่วม 10 ปี คือ สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2485 และเปิดสอนชั้นประถมปีที่ 1 ถึงมัธยมปีที่ 6 มีนักเรียนทั้งหมด 98 คน อาคารหลังนี้  ปัจจุบันมีอายุกว่า 85 ปี จากคุณ : akkarachai - [ 27 ส.ค. 51 20:39:20 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ตึกยุพราช ในปัจจุบัน จากคุณ : akkarachai - [ 27 ส.ค. 51 20:41:38 ]

ความคิดเห็นที่ 20 วงดุริยางค์ โรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย ฝึกซ้อม หน้าบ้านพักผู้อำนวยการ โรงเรียนมงฟอร์ต (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของ รร มงฟอร์ตแผนกประถม) อาคารหลังนี้ปัจจุบันเป็นอาคารอำนวยการ และ พิพิธภัณฑ์ โรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย แผนกประถม โรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย เป็นโรงเรียนในเครือของคณะภราดาเซนต์คราเบรียล( เครือเดียวกับอัสสัมชชัญ) ก่อตั้งขึ้นใน พ.ศ .2475 ปัจจุบันมีอายครบ 76 ปี จากคุณ : akkarachai - [ 27 ส.ค. 51 20:54:38 ]

ความคิดเห็นที่ 21 อาคารตึกอำนวยการ โรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย แผนกประถมในปัจจุบัน ในงาน 75 ปีมงฟอร์ต จากคุณ : akkarachai - [ 27 ส.ค. 51 21:00:12 ]

ความคิดเห็นที่ 22 โบสถ์คริสต์จักรแห่งแรกของเชียงใหม่ ริมแม่น้ำปิง สร้างโดยดร.แดเนียล แมกกิลวารี ปัจจุบันอยู่ในบริเวณ โรงเรียนเชียงใหม่คริสเตียน ถ.เชียงใหม่-ลำพูน แก้ไขเมื่อ 27 ส.ค. 51 21:17:07 แก้ไขเมื่อ 27 ส.ค. 51 21:16:32 จากคุณ : akkarachai - [ 27 ส.ค. 51 21:13:43 ]

ความคิดเห็นที่ 23 .... จากคุณ : akkarachai - [ 27 ส.ค. 51 21:19:35 ]

ความคิดเห็นที่ 24 จวนอุปราชมณฑลพายัพ เป็นอาคารสร้างด้วยไม้สักขนาดใหญ่ ในอดีตเคยเป็นคุ้มเจ้าของเจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ 6 ต่อมาพระราชชายาเจ้าดารารัศมีได้ขายให้หลวงใช้เป็นจวนอุปราชประจำมณฑลพายัพในสมัยพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าบวรเดชกฤดากร เมื่อพระองค์เจ้าบวรเดชไปรับราชการที่กรุงเทพ จึงตกเป็นของเจ้าพระยาสุรสีห์วิศิษฐ์ศักดิ์ สมุหเทศาภิบาลมณฑลพายัพ เมื่อเลิกการปกครองแบบเทศาภิบาล คุ้มได้ถูกทิ้งร้างนานกว่า 20 ปี และ สร้าง สำนักงานเทศบาลนครเชียงใหม่ขึ้นแทนที่นี่ จากคุณ : akkarachai - [ 27 ส.ค. 51 21:33:40 ]

ความคิดเห็นที่ 25 จวนอุปราชมณฑลพายัพ จากคุณ : akkarachai - [ 27 ส.ค. 51 21:34:22 ]

ความคิดเห็นที่ 26 จวนอุปราชมณฑลพายัพ เมื่อ คราวที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร( รัชกาลที่ 6 ) เสด็จฯ ประพาสมณฑลพายัพ จากคุณ : akkarachai - [ 27 ส.ค. 51 21:39:09 ]

ความคิดเห็นที่ 27 เทศบาลนครเชียงใหม่ ที่สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2496 ในบริเวณที่ตั้งจวนอุปราชมณฑลพายัพเดิม จากคุณ : akkarachai - [ 27 ส.ค. 51 21:47:40 ]

ความคิดเห็นที่ 28 จวนอุปราชมณฑลพายัพเมื่อ คราวที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร( รัชกาลที่ 6 ) เสด็จฯ ประพาสมณฑลพายัพ จากคุณ : akkarachai - [ 27 ส.ค. 51 21:49:36 ]

ความคิดเห็นที่ 29 .... จากคุณ : akkarachai - [ 27 ส.ค. 51 21:51:03 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ตำหนักพระองค์เจ้าบวรเดชฯ บนดอยสุเทพ เป็นตำหนักของพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าบวรเดช กฤดากร อดีตอุปราชมณฑลพายัพ ชาวบ้านมักเรียกว่า ตำหนักอุปราช เป็นตำหนักที่สร้างด้วยไม้ทั้งหลัง เป็นอาคารชั้นเดียวรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ปลูกสร้างคร่อมบนเนินลาด ปัจจุบันตำหนักหลังนี้ถูกรื้อถอนไปแล้ว บริเวณที่เคยเป็นตำหนัก  ปัจจุบันเป็นของตระกูลนิมมานเหมินทร์ ทางขึ้นตำหนักปัจจุบัน คือ ลานจอดรถยนต์ ตรงข้ามวัดพระธาตุดอยสุเทพ แก้ไขเมื่อ 27 ส.ค. 51 22:03:33 จากคุณ : akkarachai - [ 27 ส.ค. 51 22:02:31 ]

ความคิดเห็นที่ 31 พระตำหนักประทับพักร้อนพระราชายาเจ้าดารารัศมีบนดอยสุเทพ เป็นพระตำหนักพักร้อนส่วนพระองค์ บนดอยสุเทพ สร้างด้วยไม่สักล้วนในทุกส่วน ถ้ามองจากทางอากาศจะเห็นพระตำหนักเป็นรูปตัว Y ที่เห็นคนนั่งในภาพ คือ บริเวณแปลงกุหลาบพันธุ์ จุฬาลงกรณ์ ที่ทรงปลูกไว้แบบ เป็นขั้นบันไดที่พระตำหนัก ปัจจุบันพระตำหนักหลังนี้ได้ถูกรื้อถอนไปแล้ว ที่ตั้งของพระตำหนักเดิม คือ บริเวณเนินดินชาวงสุดท้าย ก่อนถึงทางขึ้นบันไดนาค วัดพระธาตุดอยสุเทพ จากคุณ : akkarachai - [ 27 ส.ค. 51 22:20:39 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ดอยหลวงเชียงดาวในอดีต จากคุณ : akkarachai - [ 27 ส.ค. 51 22:36:56 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ดอยหลวงเชียงดาวในปัจจุบัน ที่เห็นด้านหน้าคือ ค่ายสมเด็จพระนเรศวรจำลอง ในบริเวณสถูปเจดีย์สมเด็จพระนเรศวร ตำบลเมืองงาย อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ จากคุณ : akkarachai - [ 27 ส.ค. 51 22:44:08 ]

ความคิดเห็นที่ 34 น้ำท่วมหน้าสถานกงศุลอเมริกัน จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งในอดีต คือ คุ้มเจดีย์กิ่วเดิม ของ พระราชชายาเจ้าดารารัศมี จากคุณ : akkarachai - [ 27 ส.ค. 51 22:59:55 ]

ความคิดเห็นที่ 35 หน้าสถานกงศุลอเมริกัน หรื คุ้มเจดีย์กิ่วเดิม ใน ปัจจุบัน จากคุณ : akkarachai - [ 27 ส.ค. 51 23:02:56 ]

ความคิดเห็นที่ 36 โรงเรียนพระคริสตธรรม แมคกิลวารีในอดีต ปัจจุบัน คือ คณะศาสนศาสตร์มหาวิทยาลันพายัพ อาคารหลังนี้เป็นอาคารเดิมของคณะสร้างขึ้นเมื่อพ.ศ.2454 แล้วเสร็จเมื่อพ.ศ.2455 จากคุณ : akkarachai - [ 27 ส.ค. 51 23:43:38 ]

ความคิดเห็นที่ 37 คณะศาสนศาสตร์แมคกิลวารี มหาวิทยาลัยพายัพในปัจจุบัน จากคุณ : akkarachai - [ 27 ส.ค. 51 23:44:51 ]

ความคิดเห็นที่ 38 พระบาทสมเด็จพระปเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงวางศิลาฤกษ์อาคารในโรงพยาบาลโรคเรื้อนแมคเคน พร้อมกันนี้ทรงบริจาคทรัพย์สำหรับทำถนนลาดยางไปโรงพยาบาลซึ่งตั้งอยู่บนเกาะกลางลำน้ำปิง จากคุณ : akkarachai - [ 27 ส.ค. 51 23:55:36 ]

ความคิดเห็นที่ 39 โรงพยาบาลแมคเคน เชียงใหม่ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 400 ไร่ บนเกาะกลสงลำน้ำปิง ซึ่งแต่เดิมเป็นที่เลี้ยงช้างของเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ซึ่งดร.แมคเคน ได้สร้างเป็นโรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยโรคเรื้อน จากคุณ : akkarachai - [ 28 ส.ค. 51 00:03:27 ]

ความคิดเห็นที่ 40 คำบรรยายภาพของคุณ Akkarachai บางภาพ  เป็นคำอธิบายที่ชาวเชียงใหม่เชื่อกันมานาน  แต่จากการศึกษาประวัติศาสตร์เมืองนครเชียงใหม่จากแผนที่เมืองนครเชียงใหม่ พ.ศ. ๒๔๓๖ เมื่อไม่นานมานี้  ทำให้ได้ข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงไป ดังนี้ ความเห็นที่ ๑๖ ศาลารัฐบาลมณฑลพายัพ  หรือ ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่หลังเดิม แต่เดิมบริเวณนี้เป็นคุ้มของพระเจ้าอินทวิชยานนท์ ต่อมา ได้มีการสร้างศาลากลางจังหวัดขึ้นแทน ปัจจุบันเป็น หอศิลปวัฒนธรรมเมืองเชียงใหม่ ข้อมูลจากแผนที่เมืองนครเชียงใหม่ พ.ศ. ๒๔๓๖  ระบุว่า บริเวณที่ตั้งศาลารัฐบาลมณฑลพายัพนี้เดิมเป็น "หอพระแก้วร้าง"  เมื่อตรวจสอบข้อมูลจากตำนานพระแก้วมรกตแล้วสามารถระบุได้ว่า หอพระแก้วร้างนี้เดิมคือโลหะปราสาทเมืองนครเชียงใหม่ที่ซึ่งเคยเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกรกต  และไม่เคยเป็นที่ตั้งคุ้มหลวงของพระเจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์ดังที่เคยเชื่อกันมา   ความเห็นที่ ๑๘  ตึกยุพราช โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย โรงเรียนยุพราชวิทยาลัยเป็นโรงเรียนรัฐบาลแห่งแรกของจังหวัดเชียงใหม่ สถาปนาขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2442 ตามพระบรมราโชบาย ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ในการขยายการศึกษาออกสู่หัวเมือง ตึกยุพราช พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ได้ทรงวางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2448 นั้น ใช้เวลาก่อสร้างร่วม 10 ปี คือ สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2485 และเปิดสอนชั้นประถมปีที่ 1 ถึงมัธยมปีที่ 6 มีนักเรียนทั้งหมด 98 คน อาคารหลังนี้  ปัจจุบันมีอายุกว่า 85 ปี จากการตรวจชำระประวัติโรงเรียนยุพราชวิทยาลัยประกอบกับแผนที่เมืองนครเชียงใหม่ พ.ศ. ๒๔๓๖  พบว่า  เมื่อนายเจริญ  อากาศวรรธนะ อาจารย์ประกาศนียบัตรโรงเรียนฝึกหัดอาจารย์เดินทางขึ้นไปวางท้องตรา (รายงานตัว) เพื่อไปจัดตั้งโรงเรียนหลวงสอนหนังสือไทยที่เมืองลำพูนตามความต้องการของข้าหลวงเมืองลำพูน (คือ เจ้าพระยาสุรบดินทรสุรินทรฦาชัย  นามเดิม  พร  จารุจินดา) เมื่อเดือนพฤศจิกายน  ๒๔๔๓ นั้น  พระยานริศรราชกิจ (สาย  โชติกเสถียร) ได้สั่งการให้คงรับราชการและให้จัดตั้งโรงเรียนขึ้นที่เมืองนครเชียงใหม่  นายเจริญ (ต่อมาได้เป็นพระอุปกรศิลปสาตร) จึงได้จัดตั้งโรงเรียนหลวงสอนหนังสือไทยขึ้นที่โรงละครในคุ้มพระเจ้าเชียงใหม่  ซึ่งน่าจะอยู่บริเวณที่โรงยิมและสนามบาสเกตบอลทางตอนเหนือของสนามฟุตบอลโรงเรียนยุพราชในปัจจุบัน   เมื่อเสร็จการพระราชทานเพลิงศพพระเจ้าอินทวิชยานนท์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๔  และเจ้าอุปราชสุริยะได้รับสถาปนาขึ้นเจ้านครเชียงใหม่แล้ว  เจ้าอินทวโรรสสุริยวงศ์ได้ย้ายเข้าไปพำนักในบริเวณคุ้มหลวงเดิมของพระเจ้าอินทวิชยานนท์  จึงได้รื้อย้ายคุ้มหลวงของพระเจ้าอินทวิชยานนท์ออกไปถวายวัด  ส่วนโรงละครที่เป็นที่ตั้งโรงเรียนในคุ้มพระเจ้านครเชียงใหม่นั้น  ก็ให้รือไปปลูกสร้างเป็นโรงเรียนทรงปั้นหยาขนาดสี่ห้องเรียนที่ที่ดินที่ได้บริจาคให้ใหม่ริมถนนวโรรส (ปัจจุบันคือ ถนนพระปกเกล้า) ใกล้หอผี (หอพระเจ้ามังาย)  ในระหว่างที่รื้อย้ายโรงเรียนนั้น  โรงเรียนในคุ้มพระเจ้าเชียงใหม่ได้ย้ายไปรวมกับโรงเรียนวัดเจดีย์หลวงนครเชียงใหม่ที่พระนพีสีพิศาลคุณ (คำภิง  เปรียญตรี) จัดตั้งไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๔๒  โรงเรียนทั้งสองจึงได้เปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนพระเจดีย์หลวงนครเชียงใหม่ ถึงปี พ.ศ. ๒๔๔๘  ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ เมื่อทรงเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เสด็จประพาสเมืองนครเชียงใหม่  ได้เสด็จทอดพระเนตรโรงเรียนของมิชชันนารีเมื่อวันที่  ๒๓  ธันวาคม  และเสด็จทอดพระเนตรโรงเรียนสอนหนังสือไทยที่วัดเจดีย์หลวงเมื่อวันที่  ๒๔  ธันวาคม  ต่อมาวันที่ ๒  มกราคม  ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงวางศิลารากโรงเรียนของมิชชันนารีที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำปิงเนื่องในวันเฉลิมพระชยม์พรรษา (ตรงกับวันที่ ๑ มกราคม)  ในคราวนั้นได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานนามโรงเรียนของมิชชันนารีว่า "The Prince Royal's College"  อนึ่ง ในการเฉลิมพระชนม์พรรษาที่เมืองนครเชียงใหม่คราวนั้น  สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ได้ทราบฝ่าละอองพระบาทว่า โรงเรียนหลวงสอนหนังสือไทยที่ริมวัดดวงดียังสร้างไม่แล้วเพราะขาดเงิน  จึงได้โปรดพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองต์จำนวน ๕๐๐ บาทสมทบ  นอกจากนั้นข้าราชบริพารที่ตามเสด็จไปในกระบวนก็ได้ร่วมกันบริจาคเงินสมทบตามกำลัง  โดยมีหลวงจิตรจำนงวานิช (บุญเย็น  โสภโณดร) พ่อค้าไม้สักรายใหญ่ในมณพลพายัพโดยเสด็จพระราชกุศลเป็นจำนวนเงิน ๑,๐๐๐ บาท  และในบ่ายวันที่  ๒  มกราคมภายหังจากเสด็จฯ กลับจากทรงวางศิลารากโรงเรียนปรินส์ฯ แล้ว  คงจะได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานนามโรงเรียนหลวงสอนหนังสือไทยประจำเมืองนครเชียงใหม่ว่า "โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย"  ซึ่งมีข้ที่น่าสังเกตว่า คำว่า "Prince Royal's College" กับ "ยุพราชวิทยาลัย" นั้นเป็นคำเดียวกัน  ต่างกันที่คำหนึ่งเป็นภาษาอังกฤษอีกคำหนึ่งเป็นภาษาไทย  ทั้งโรงเรียนหนึ่งเป็นโรงเรียนอเมริกัน  และอีกโรงเรียนหนึ่งเป็นโรงเรียนไทย ส่วนคำกล่าวที่ว่า สมเด็จพระยุพราชทรงวางศิลาฤกษ์ตึกยุพราชเมื่อวันที่  ๒  มกราคม  พ.ศ. ๒๔๔๘ นั้น  เป็นความเข้าใจผิดของผู้บันทึกประวัติศาสตร์โรงเรียนยุพราชวิทยาลัยซึ่งเริ่มมีการบันทึกครั้งแรกในสมัยหลวงอาจวิชชาสรร (ทอง  ชัยปาณี) เป็นครูใหญ่เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๒   ซึ่งจากเอกสารจดหมายเหตุมีการระบุชัดเจนว่า เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคต  กระทรวงธรรมการได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวให้จัดการเรี่ยไรเงินจัดสร้างโรงเรียนถวายเป็นพระราชกุศล  จึงเกิดมีโรงเรียนชุด "เบญจม..." เกิดขึ้นทั่วพระราชอาณาจักร  ส่วนที่เมืองนครเชียงใหม่นั้น พระราชชายา เจ้าดารารัศมี ผู้ทรงรับมรดกของพระเจ้าอิทวิชยานนท์ ได้ทรงบริจาคที่ดินคุ้มหลวงพระเจ้าอินทวิชยานนท์ให้เป็นที่ตั้งโรงเรียนตัวอย่างประจำมณฑลพายัพ "ยุพราชวิทยาลัย" เมื่อราวปลายปี ๒๔๕๓ หรือต้นปี พ.ศ. ๒๔๕๔  จากนั้นทางราชการจึงได้จัดการเรี่ยไรเงินสร้างตึกเรียนที่เวลานั้นเรียกว่า "โรงเรียน" ขึ้น  เริ่มการก่อสร้างมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๕๕  มาแล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๔๕๘  และได้ย้ายนักเรียนจากโรงเรียนเดิมที่ขางวัดดวงดีมาเปิดสอนที่ตึกเรียนใหม่นี้เมื่อวันที่  ๒๙  พฤศ๗กายน  ๒๔๕๘  ตึกเรียนนี้จึงได้ชื่อว่า "โรงเรียนยุพราช"  เพราะสมัยนั้นยังไม่มีคำว่าตึกเรียนใช้  จนถึงปี พ.ศ. ๒๔๗๑ คราวที่สมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร เสด็จประพาสเมืองเชียงใหม่  สมุหเทศาภิบาลมณฑลพายัพจึงได้กราบทูลเชิญเสด็จไปทรงเปิดอาคารเรียนของโรงเรียนประจำมณฑลพายัพที่สร้างขึ้นใหม่เป็นเรือนไม้  จึงได้ประทานนามอาคารใหม่นั้นว่า "เรือนวชิระ"  และคงจะได้ประทานนาม "โรงเรียนยุพราช" เดิมนั้นว่า "ตึกยุพราช" ด้วย   อนึ่ง เมื่อพิจารณาที่ตั้งตึกยุพราชจากแผนที่เมืองนครเชียงใหม่ พ.ศ. ๒๔๓๖ ประกอบกับพระประวัติพระราชชายาฯ ที่เจ้าแก้วนวรัฐฯ เป็นผู้เรียบเรียงไว้  ทำให้เชื่อกันว่า บริเวณที่ตั้งตึกยุพราชนั้นน่าจะป็นสถานที่ประสูติของพระราชชายา เจ้าดารารัศมี  หาใช่ที่บริเวณศาลารัฐบาลมณฑลพายัพดังที่เคยเชื่อกันมา จากคุณ : V_Mee - [ 28 ส.ค. 51 07:00:17 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ความเห็นที่ ๒๐  ภาพแตรวงโรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย  โปรดสังเกตคนตีกลองใหญ่ทางตอนขวาของภาพ  จะเห็นได้ว่า นอกจากคนตีกลองใหญ่แล้ว  ยังต้องมีผู้ช่วยแบกกลองเดินไปข้างหน้าด้วย   ความเห็นที่ ๒๔  จวนอุปราชมณฑลพายัพ เป็นอาคารสร้างด้วยไม้สักขนาดใหญ่ ในอดีตเคยเป็นคุ้มเจ้าของเจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ 6 ต่อมาพระราชชายาเจ้าดารารัศมีได้ขายให้หลวงใช้เป็นจวนอุปราชประจำมณฑลพายัพในสมัยพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าบวรเดชกฤดากร เมื่อพระองค์เจ้าบวรเดชไปรับราชการที่กรุงเทพ จึงตกเป็นของเจ้าพระยาสุรสีห์วิศิษฐ์ศักดิ์ สมุหเทศาภิบาลมณฑลพายัพ เมื่อเลิกการปกครองแบบเทศาภิบาล คุ้มได้ถูกทิ้งร้างนานกว่า 20 ปี และ สร้าง สำนักงานเทศบาลนครเชียงใหม่ขึ้นแทนที่นี่ จากข้อมูลในแผนที่เมืองนครเชียงใหม่ พ.ศ. ๒๔๓๖ ระบุว่า จวนข้าหลวงใหญ่ซึ่งปัจจจุบันเป็นที่ตั้งสำนักงานเทศบาลนครเชียงใหม่นั้น  ในปี พ.ศ. ๒๔๓๖ ยังคงเป็นคุ้มของพระเจ้าอินทวิชยานนท์  ส่วนจวนข้าหลวงใหญ่รักษาราชการมณฑลลาวเฉียง (ต่อมาเปลี่ยนเป็น มณพลตวันตกเฉียงเหนือ  และมณฑลพายัพ) นั้น  แผนที่เมืองนครเชียงใหม่ พ.ศ. ๒๔๓๖ ระบุสถานที่ตั้งอยู่ที่บริเวณตอนเหนือของท่าแพ  ตรงที่เป็นบ้านพักอธิบดีผู้พิพากษาภาค ๕ เชิงสะพานนวรัฐในปัจจุบัน   ต่อมาเมื่อพระยาศรีสหเทพ (เส็ง  วิรยศิริ - ต่อมาเป็นพระยามหาอำมาตยาธิบดี) ราชปลัดทูลฉลองกระทรวงมหาดไทย  เป็นข้าหลวงพิเศษขึ้นไปจัดระเบียบปกครองมณฑลตวันตกเฉียงเหนือเมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๔๔๒  ได้มีดำริที่จะขอซื้อคุ้มท่าของพระเจ้าอินทวิชยานนท์ไว้ใช้ในราชการ  จึงได้มีรายงานลงมายังกรุงเทพฯ  แต่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยมีพระดำริว่า ให้รอมาหารือกันที่กรุงเทพฯ  เมื่อพระยาศรีสหเทพเดินทางกลับถึงกรุงเทพฯ แล้ว  จึงได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงมหาดไทยรับซื้อคุ้มท่านั้นไว้ใช้ในราชการและได้จัดเป็นจวนข้าหลวงใหญ่รักษาราชการมณฑลพายัพมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๔๓  ในสมัยที่พระยานริศรราชกิจ (สาย  โชติกเสถียร - ต่อมาเป็น พระยาวิสูตรสาครดิษฐ) เป็นข้าหลวงใหญ่ฯ  และได้ใช้เป็นจวนอุปราชมณฑลภาคพายัพและสมุหเทศาภิบาลสำเร็จราชการมณฑลพายัพต่อมาจนยุบเลิกการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาลเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๖ จากคุณ : V_Mee - [ 28 ส.ค. 51 07:13:53 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ความคิดเห็นที่ 38   พระบาทสมเด็จพระปเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงวางศิลาฤกษ์อาคารในโรงพยาบาลโรคเรื้อนแมคเคน พร้อมกันนี้ทรงบริจาคทรัพย์สำหรับทำถนนลาดยางไปโรงพยาบาลซึ่งตั้งอยู่บนเกาะกลางลำน้ำปิง ภาพนี้มีผู้เข้าใจผิดกันมาก  บางกระแสก็ว่า ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ เสด็จฯ ไปทรงวางศิลารากโรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย  แต่เมื่อตรวจดูรายละเอียดในภาพจะเห็นที่ยอดเสาปั้นจั่นนั้นปักธงไตรรงค์  ซึ่งเริ่มใช้เป็นธงชาติเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๑  จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นการวางศิลารากโรงเรียนปรินส์ฯ  และเมื่อตรวจสอบข้อมูลในจดหมายเหตุเสด็จฯ เลียบหัวเมืองฝ่ายเหนือ พ.ศ. ๒๔๖๙  ก็ไม่พบหลักฐานว่า ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๗ ได้ทรงวางศิลารากโรงพยาบาลแมคเคนเมื่อคราวเสด็จฯ ประพาสเมืองนครเชียงใหม่  เมื่อประมวลข้อมูลจากหลักฐานต่างๆ แล้วจึงพบว่า  ภาพนี้เป็นการวางศิลารากโรงพยาบาลโรคเรื้อนแมคเคน  แต่นายทหารที่กำลังวางทำพิธีวางศิลารากดังที่ปรากฏในภาพนั้นคือ นายพลเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน  เสนาบดีกระทรวงพาณิชย์และคมนาคม และผู้บัญชาการกรมรถไฟหลวง  ซึ่งทรงมีเจ้าลดาคำ  ธิดาเจ้าราชวงศ์ (เลาแก้ว  ณ เชียงใหม่) เป็นชายาคนหนึ่ง จากคุณ : V_Mee - [ 28 ส.ค. 51 07:24:23 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ขอบคุณV_Meeมากๆๆครับ แผนที่เมืองนครเชียงใหม่ พ.ศ. ๒๔๓๖ สามารถหาดูได้ที่ใหนหรอครับ อยากชมมากๆครับ เป็นความรู้ใหม่จริงๆ ขอบคุณอีกครั้งครับ อยากถามคุณV_meeครับ ว่าหอพระแก้วร้างนี้ เป็นส่วนหนึ่งของบริเวณคุ้มหลวง(คุ้มกลางเวียง)ในอดีต หรือ เปล่าครับโดยในความเชื่อที่ชาวเชียงใหม่เชื่อ กันมาแต่เดิมบริเวณนี้คือ คุ้มหลวงในอดีต โดยฝั่งตรงข้ามของหอศิลปวัฒนธรรมเมืองเชียงใหม่ ซึ่งเป็นที่ตั้งศาลแขวงเดิม ในอดีตเป็นส่วนหนึ่งของคุ้มกลางเวียงโดยเป็นของเจ้าน้อยเลาแก้ว ต่อมาราชการขอซื้อมาทำเป็นที่ทำการศาลแขวงเชียงใหม่(  จากรายงานกราวิจัยการถือครองที่ดินในเชียงใหม่ ๒๕๓๐) โดยในปัจจุบัน บริเวณรอบๆก็ยังคงเป็นที่ตั้งคุ้มเจ้านายฝ่ายเหนือเรื่อยมา ที่ยังอยู่ เช่น คุ้มเจ้าบุรัรัตน์ (เจ้าแก้วมุมเมือง) คุ้มเจ้าบุรีรัตน์(มหาอินทร์) เป็นต้น แล้วหอคำ ที่รื้อไปสร้างเป็นวิหารอยู่ที่สัดพันเตา ซึ่งเดิมเป็นของพระเจ้ามโหตรประเทศ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ ๖ เป็นสาวนหนึ่งของคุ้มกลางเวียงหรือ เปล่าครับ ภาพศาลแขวงเชียงใหม่หลังเดิม แก้ไขเมื่อ 28 ส.ค. 51 22:37:32 จากคุณ : akkarachai - [ 28 ส.ค. 51 22:31:43 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ภาพในคห 20 เป็นภาพวงดุริยางค์ MC BAND โรงเรียนมงฟอร์ตสมัยแรกตั้งครับ ไม่ใช แตรวงโรงเรียนมงฟอร์ตครับ โดยในสมัยนั้นยังคงมีเครื่องดนตรีไม่กี่ชิ้น ครับ แก้ไขเมื่อ 28 ส.ค. 51 22:50:54 จากคุณ : เด็กมงฟอร์ต (akkarachai) - [ 28 ส.ค. 51 22:50:20 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ที่ว่าการแขวงเมืองเชียงใหม่เดิม สี่แยกอุปคุต ถนนท่าแพ จากคุณ : akkarachai - [ 28 ส.ค. 51 22:53:40 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ขอบคุณทุกท่านค่ะ ได้ความรู้และได้ชมภาพที่หายาก ขอบคุณจริงๆค่ะ จากคุณ : ลูกสาวคนที่สาม - [ 29 ส.ค. 51 03:10:23 ]

ความคิดเห็นที่ 47 แผนที่เมืองนครเชียงใหม่ พ.ศ. ๒๔๓๖ นั้น  มีต้นฉบับเก็บรักษาไว้ที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติ  ผมไปพบแผนที่นี้เข้าโดยบังเอิญ  จึงได้สำเนาและมอบให้นักวิชาการหลายท่านช่วยกันศึกษา  แต่เนื่องจากแผนที่ฉบับนี้มีข้อความระบุไว้แต่เพียงชื่อ แผนที่เมืองนครเชียงใหม่  มาตราส่วน ๑ : ๗๙๒๐ หรือคิดเป็นมาตราอังกฤษเท่ากับ ๑ : ๑ Furlong  นอกจากนั้นแล้วก็ไม่มีการให้ข้อมูลใดๆ ในแผนที่อีกเลย  นอกจากจะระบุว่าพื้นที่ใดเป็นที่ตั้งวัด  หรือคุ้มและบ้านของเจ้านายและราษฎร  ในการพิสูจน์ทราบถึงช่วงเวลาที่มีการทำแผนที่ฉบับนี้จึงต้องใช้วิธีปะติดปะต่อข้อมูลจากหลายๆ ส่วน  จนได้ข้อสรุปว่า  เริ่มมีการสำรวจทำแผนที่ฉบับนี้พร้อมๆ กับการจัดตั้งกรมทำแผนที่เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๘  แต่ยังไม่มีการจัดพิมพ์จนถึงราวปี พ.ศ. ๒๔๓๖  ภายหลังเหตุการณ์ ร.ศ. ๑๑๒  จึงได้จัดพิมพ์แผนที่นี้ขึ้น  และคงจะเป็นเพราะความเร่งรีบจัดพิมพ์จึงไม่ได้ลงรายละเอียดในแผนที่เช่นเดียวกับแผนที่อื่นๆ  พยานที่สนับสนุนว่า แผนที่นี้น่าจะจัดพิมพ์ในปี พ.ศ. ๒๔๓๖ เพราะในแผนที่ยังระบุนาม เจ้าสิงคำ เป็นผู้ครอบครองที่ดินบริเวณเรือนเพชรของโรงเรียนยุพราช แต่เจ้าสิงคำนี้เป็นบุตรของเจ้าราชวงศ์ (น้อยขัติยะ) บุตรชายคนโตของพระเจ้าอินทวิชยานนท์  แต่เจ้าราชวงศ์นั้นได้เสียชีวิตลงในเดือนตุลาคม  พ.ศ. ๒๔๓๕  ในแผนที่จึงเปลี่ยนชื่อจากเจ้าราชวงศ์มาเป็นเจ้าสิงคำ  นอกจากนั้นข้อมูลจากเอกสารจดหมายเหตุยังระบุว่า ต่อมาพระเจ้าอินทวิชยานนท์ได้ยึดพื้นที่คุ้มเจ้าสิงคำนั้นเพื่อชำระหนี้ค่าภาษีที่เจ้าราชวงศ์ติดค้างอยู่  ส่วนพื้นที่ตรงสำนักงานยาสูบเชียงใหม่นั้น  ในบันทึกของพระราชชายา เจ้าดารารัศมีระบุว่า เป็นคุ้มเรือนหอเดิมของพระเจ้าอินทวิชยานนท์  เมื่อพระเจ้าอินทวิชยานนท์สมรสกับเจ้าทิพเกสรธิดาพระเจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์และย้ายไปพำนักที่คุ้มท่าริมแม่น้ำปิงแล้ว  จึงได้ยกคุ้มเรือนหอเดิมให้บุตรชายคือ เจ้าน้อยสุริยะ (เจ้าอินทวโรรสสุริยวงศ์)  ซึ่งในปี พ.ศ. ๒๔๓๒ ได้เป็นเจ้าราชบุตร  และเลื่อนเป็นเจ้าราชวงศ์เมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๔๓๖  ในขณะที่ในแผนที่นั้นได้ระบุนามเจ้าราชบุตรเป็นเจ้าของคุ้มซึ่งเป็นที่ตั้งสำนักงานยาสูบเชียงใหม่   เมื่อประมวลข้อมูลเรื่องผู้ครอบครองที่ดินโดยรอบคุ้มหลวงนครเชียงใหม่เปรียบเทียบกับนามเจ้าของที่ดินอื่นๆ ในกำแพงเมืองนครเชียงใหม่จึงสามารถวิเคราะห์ได้ว่า ได้มีการแก้ไขข้อมูลสำคัญเฉพาะบริเวณโดยรอบคุ้มหลวงในราวปลายปี พ.ศ. ๒๔๓๕ หรือต้นปี ๒๔๓๖ แล้วรีบจัดพิมพ์แผนที่ฉบับดังกล่าว แผนที่ฉบับนี้มีจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์โรงเรียนวัฒโนทัยพายัพ  ถ้าสนใจลองติดต่ออาจารย์อิชยา ที่ห้องสมุดโรงเรียนวัฒโนฯ ได้ครับ เรื่องที่ตั้งคุ้มหลวงกลางเวียง  จากข้อมูลในแผนที่เมืองนครเชียงใหม่ พ.ศ. ๒๔๓๖ ระบุว่า อยู่ระหว่างคุ้มเจ้าสิงคำ (ตรงที่เป็นเรือนเพชรและสนามบาสเกตบอล โรงเรียนยุพราชฯ กับวัดหมื่นคอง  มีถนนวโรรส คือ ถนนพระปกเกล้าเป็นเจ้าผ่านด้านหน้า  ระหว่างคุเมหลวงกับคุ้มเจ้าสิงคำเป็นถนนซอยเข้าสู่วัดนางเหลียวที่ปัจจุบันถูกผนวกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียนยุพราช จากข้อมูลในพระนิพนธ์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่ทรงบันทึกไว้ว่า เจ้าหลวงเชียงใหม่นับแต่พระเจ้ากาวิละจนมาถึงพรเจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์ล้วนพำนักอยู่ที่เวียงแก้วมาโดยตลอด  ทรงเปรียบเวียงแก้วเสมือนพระราชวังของเชียงใหม่  แต่ทางเชียงใหม่นั้นมีธรรมเนียมว่า เมื่อได้รับตำแหน่งเป็นเจ้านครเชียงใหม่แล้ว  แต่ถ้ายังไม่ได้ลงไปเฝ้าฯ รับพระราชทานตราตั้งให้เป็นเจ้านครเชียงใหม่  ก็จะยังคงพำนักอยู่ที่คุ้มเดิมของตน  เมื่อกลับจากกรุงเทพฯ ไปถึงบ้านเมืองจึงจะมีการฉลองตำแหน่งแล้วจึงจะย้ายเข้าไปพำนักในคุ้มหลวงเวียงแก้ว  แต่สมัยพระเจ้าอินทวิชยานนท์เลือกที่จะมาสร้างคุ้มหลวงขึ้นใหม่ที่ฝั่งตรงข้ามกับเวียงแก้ว  และเมื่อเจ้าอินวโรรสสุริยวงศ์ลงไปเฝ้าฯ รับสถาปนาเป็นเจ้านครเชียงใหม่แล้ว  ก็ได้จัดให้มีการฉลองบ้านเมืองและย้ายเข้ามาพำนักในคุ้มหลวงที่เป็นโรงเรียนยุพราชตามประเพณี เรื่องการพำนักอยู่ที่คุ้มเดิมก่อนที่จะรับพระราชทานตราตั้งนี้เอง  จึงทำให้นักวิชาการประวัติศาสตร์เกิดความเข้าใจผิดไปว่า พระเจ้ากาวิละได้ใช้เวียงแก้วเป็นคุ้มหลวงนครเชียงใหม่เพียงตนเดียว  ส่วนเจ้าหลวงตนต่อๆ มาก็โยกย้ายคุ้มหลวงไปอยู่ที่คุ้มเดิมของตน เรื่องเวียงแก้ว  คุ้มแก้ว และคุ้มหลวงของล้านนายังมีเรื่องราวอีกมาก  ถ้าสนใจคงต้องติดตามอ่านในหนังสือย้อนอดีตล้านนา  ตอนรวมเรื่องน่ารู้จากแผนที่เมืองนครเชียงใหม่ เรื่องหอคำนั้น  สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายไว้ว่า เจ้าหลวงที่จะสร้างหอคำนั้นต้องเป็นผู้ที่ได้รับพระราชทานเกียรติยศพิเศษเท่านั้น  เช่น พระยากาวิละได้รับสถาปนาเป็นพระเจ้าเชียงใหม่  จึงได้สร้างหอคำขึ้นประเดบเกียรติยศ  เจ้าหลวงเชียงใหม่ตนต่อมาที่ได้รับสถาปนาเป็นพระเจ้าเชียงใหม่ คือ พระเจ้ามโหตรประเทศฯ  ซึ่งเวลาที่ได้รับสถาปนาขึ้นเป็นพระเจ้าเชียงใหม่กำลังป่วยอยู่  และเคงเป็นพระเจ้าเชียงใหม่ได้เพียง ๕ เดือนเศษก็ถึงพิราลัย  จึงไม่น่าที่จะทันได้สร้างหอคำขึ้นในเวียงแก้ว  ประเด็นที่ว่า พระเจ้าอินทวิชยานนท์ให้รื้อย้ายหอคำของพระเจ้ามโหตรประเทศฯ ไปปลูกเป็นวิหารวัดพันเตานั้น  จึงน่าจะเป็นความเข้าใจของผู้บันทึกจดหมายเหตุเชียงใหม่ในสมัยเจ้าอินทวโรรสสุริยวงศ์  และเมื่อวิเคราะห์เหตุผลจากพระนินพธ์ในสมเด็ฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพแล้ว  จึงน่าเชื่อว่า หอคำที่ย้ายมาปลูกเป็นวิหารวัดพันเตานั้นน่าจะเป็นหอคำของพระเจ้ากาวิละมากกว่าที่จะเป็นหอคำของพระเจ้ามโหตรประเทศฯ จากคุณ : V_Mee - [ 29 ส.ค. 51 07:02:05 ]

ความคิดเห็นที่ 48 เรื่องวงดุริยางค์กับแตรวงนั้น  เป็นการใช้คำในความหมายที่ผิดกันมาโดยตลอดครับ   คำว่าวงดุริยางค์ศัพท์ทางวิชาการท่านหมายถึง วางออร์เคสตรา  ส่วนวงดนตรีที่ใช้เดินนำแถวนั้นเรียกว่า วงโยธวาทิต ภาษาอังกฤษเรียกว่า Military Band  ความมุ่งหมายของการจัดวงโยธวาทิตขึ้นนั้นเพื่อสร้างความฮึกเหิมให้ทหารที่เดินตามวงดนตรีนั้น  ส่วนวงดุริยางค์นั้นมีจุดมุ่งหมายของการบรรเลงเพื่อให้ฟังผู้ฟังเกิดความเคลิบเคลิ้มไปสุนทรียรสทางดนตรี วงโยธวาทิตเริ่มเข้ามาในเมืองไทยในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดขึ้นเป็นครั้งแรกที่กรมทหารราบที่ ๑ มหาดเล็กรักษาพระองค์ จ.ป.ร.  ต่อมาในรัชกาลที่ ๖ เมื่อทรงจัดตั้งกองลูกเสือขึ้นแล้ว  จึงเริ่มมีการนำแตรเดี่ยว (Bugle) ไปใช้กับกองลูกเสือเพื่อเป่าให้อาณัติสัญญาณและเป่าเพลงเดินนำแถวลูกเสือเหมือนกับหน่วยทหาร  จากนั้นได้จัดให้มีกลองและเครื่องเป่าอื่นๆ มาผสม  จึงเกิดเป็นแตรวง  ซึ่งภาษาอังกฤษเรียกว่า Brass Band ขึ้นตามโรงเรียนต่างๆ  เพราะมีแต่เครื่องลมโลหะเป็นหลัก  เมื่อมีการจัดหาเครื่องลมไม้ เช่น คลาริเน็ต  และเครื่องดนตรีอื่นๆ มาเพิ่ม  แตรวงจึงได้เปลี่ยนมาเป็น วงโยธวาทิต (Military Band) เต็มรูปแบบ   ถ้าสนใจเรื่องแตรวงในเมืองเชียงใหม่หาอ่านได้ในหนังสือ ๑๐๐ ปี ยุพราชวิทยาลัยครับ  ในหนังสือนั้นได้กล่าวถึงกำเนิดแตรวงของเมืองเชียงใหม่จนมีพัฒนาการมาถึงปัจจุบัน จากคุณ : V_Mee - [ 29 ส.ค. 51 07:13:03 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ภาพในความเห็นที่ ๔๕ ดูเหมือนจะเป็นขบวนแห่ศพเจ้านายเมืองนครเชียงใหม่ไปปลงศพที่ข่วงเมรุ  ไม่แน่ใจว่าจะเป็นศพพระเจ้าอินทวิชยานนท์หรือไม่  เพราะมีการกั้นกลดด้วย  จากภาพดังกล่าวจะเห็นว่า ขบวนแห่นั้นกำลังมุ่งหน้าไปยังข่วงเมรุที่อยู่ตรงกาดหลวงหรือตลาดวโรรส  จึงเห็นที่ว่าแขวงเชียงใหม่ (ซึ่งตั้งอยู่ตรงมุมสี่แยกอุปคุตตรงข้ามกับบ้านพักอธิบดีผู้พิพากษาศาลภาค ๕ ในปัจจุบัน) อยู่ทางซ้ายของขบวนแห่ ที่ว่าการแขวงเชียงใหม่นั้นเริ่มเปิดทำการเมื่อคราวพระยาศรีสหเทพขึ้นไปจัดระเบียบปกครองเมืองนครเชียงใหม่เมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๔๔๒  ส่วนข่วงเมรุนั้นได้ใช้เป็นสถานที่พระราชทานเพลิงศพพระเจ้าอินทวิชยานนท์เป็นครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนพฤษภาคม  พ.ศ. ๒๔๔๔  และในช่วงปี พ.ศ. ๒๔๔๓ - ๔๔ ก่อนที่จะมีการปลงศพพระเจ้าอินทวิชยานนท์นั้น  ข่วงเมรุได้ถูกรุกล้ำเข้าไปปลูกสร้างบ้านเรือนจนเต็มไปหมด  เมื่อจะพระราชทานเพลิงศพพระเจ้าอินทวิชยานนท์เจ้าแก้วนวรัฐจึงต้องออกทุนทรัพย์จัดการรื้อถอนบ้านเรือนที่รุกล้ำนั้นออกไปแล้วปรับพื้นที่เป็นข่วงเมรุ  เสร็จการพระราชทานเพลิงศพพระเจ้าอินทวิชยานนท์เป็นตนสุดท้ายแล้ว เจ้าแก้วนวรัฐจึงได้สร้างตลาดขึ้นที่ข่วงเมรุ  และเมื่อเจ้าอินทวโรรสสุริยวงษ์ซื้อตลาดนี้ไปจากเจ้าแก้วนวรัฐแล้ว  ตลาดนี้จึงได้ชื่อว่า "ตลาดวโรรส" มาจนถึงทุกวันนี้ สรุปแล้วภาพนี้จึงน่าจะเป็นภาพขบวนแห่ศพพระเจ้าอินทวิชยานนท์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๔ จากคุณ : V_Mee - [ 29 ส.ค. 51 07:23:52 ]

ความคิดเห็นที่ 50 อิอิ คุณ V_Mee แน่นจริงครับ สมกับที่อยู่ในคุ้มหลวงเลย หุหุ จากคุณ : ศศิศ - [ 29 ส.ค. 51 17:25:14 ]

ความคิดเห็นที่ 51 เพิ่มเติมคำอธิบายภาพในความเห็นที่ ๔๕   ตามที่ได้เห็นจากคำอธิบายภาพในหนังสือประวัติศาสตร์ล้านนา ฉบับพิมพ์ครั้งล่าสุด  (ดูเหมือนจะเป็นครั้ง ๔) กล่าวว่า  ภาพนี้เป็นภาพขบวนแห่ครัวทานของชาวไทยใหญ่ที่ขบวนกำลังเคลื่อนผ่านที่ว่าการแขวงเชียงใหม่  ซึ่งในป้ายมีทั้งอักษรไทยกลางและอักษรล้านนา  โดยประมาณว่า ภาพนี้ถ่ายเมื่อราว พ.ศ. ๒๔๓๕ - ๒๔๕๓   แต่เมื่อพิจารณาถึงสถานที่ตั้งที่ว่าการแขวงเชียงใหม่ซึ่งเพิ่งเปิดทำการเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ร.ศ. ๑๑๘ (พ.ศ. ๒๔๔๒ - เวลานั้นยังขึ้นปีใหม่ในวันที่  ๑  เมษายน) โดยเปรียบเทียบกับข้อมูลที่ปรากฏในแผนที่เมืองนครเชียงใหม่ พ.ศ. ๒๔๓๖  จะพบว่า ที่ว่าการแขวงเชียงใหม่นั้นตั้งอยู่มุมถนนไปรษณีย์ในปัจจุบัน  และขบวนแห่นี้กำลังมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ  จึงเห็นที่ว่าการแขวงเชียงใหม่ตั้งอยู่ทางซ้ายมือของขบวนแห่  และเมื่อพิจารณารายละเอียดในแผนที่ฉบับดังกล่าวก็จะพบว่า ถัดจากที่ว่าการข้าหลวงใหญ่มณฑลตวันเฉียงเหนือซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับที่ว่าแขวงเชียงใหม่นั้นเป็นที่ตั้ง "ขัวกุลา" หรือสะพานหมอชีก  ซึ่งเป็นสะพานเชื่อมพื้นที่ฝั่งตะวันออกและตะวันตกของลำน้ำปิงเข้าด้วยกัน  โดยเชิงสะพานฝั่งตะวันตกอยู่บริเวณกาดต้นลำใย  และฝั่งตะวันตกอยู่ที่หน้าวัดเกตุการาม  ในขณะที่ชุมชนไทยใหญ่ในมืองนครเชียงใหม่นั้นตั้งบ้านเรือนอยู่กันที่ทุ่งช้างคลาน  โดยมีบ้านของมองปันโย  พ่อค้าไม้ชาวไทยใหญ่ที่ต่อมาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นหลวงโยนการพิจิตร (ต้นสกุลอุปโยคิน)  อยู่ที่ริมแม่น้ำปิงฝั่งตะวันตกตรงที่เป็นโรงแรมเพชรงามในปัจจุบัน  จึงอาจจะเป็นไปได้ว่า ขบวนแห่ในภาพนั้นกำลังมุ่งหน้าไปทางเหนือเพื่อนำขบวนครัวทานข้าม "ขัวกุลา" ไปถวายวัดที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำปิง แต่มีข้อที่น่าคิดอีกประการหนึ่งคือ ในแผนที่เมืองนครเชียงใหม่ พ.ศ. ๒๔๓๖ ได้แสดงให้เห็นถึงการตั้งถิ่นฐานของประชากรเมืองเชียงใหม่ว่า  ในบริเวณกำแพงเมืองเชียงใหม่นั้นเป็นที่อยู่อาศัยของเจ้านาย  พญาแสนท้าวและราษฎรชาวเชียงใหม่ที่เป็นชาวยวนหรือโยนโดยเฉพาะ  ส่วนผู้คนที่ถูกกวาดต้อนมาในสมับผักใส่ซ้าเก็บข้าใส่เมืองนั้นอยู่ทางตะวันออกและทิศใต้ของตัวเมืองชั้นในกับแนวกำแพงดินซึ่งเป็นกำแพงเมืองชั้นนอก  ส่วนพวกมิชชันนารีอเมริกันและข้าราชการสยามที่ถูกส่งขึ้นมาประจำการที่เมืองนครเชียงใหม่ในตอนต้นรัชกาลที่ ๕ นั้นได้รับการจัดสรรที่ดินให้อยู่โดยรอบข่วงเมรุ  ซึ่งจัดเป็นที่ผีอยู่หรือเป็นพื้นที่ทุ่งพระเมรุของเมืองเชียงใหม่  ในขณะที่ชาวไทยใหญ่ตลอดจนพวกฮ่อที่เข้ามาค้าขายในเมืองนครเชียงใหม่นั้นไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาตั้งถิ่นฐานภายในกำแพงเมืองจึงต้องตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ทุ่งช้างคลานซึ่งเป็นพื้นที่ลุ่มน้ำท่วมถึง  จึงปรากฏหลักฐานสืบมาถึงทุกววันนี้ว่า มีวัดอุปคุตม่านอยู่ที่หัวมุมถนนตรงท่าแพซึ่งปัจจุบันเป็นพุทธสถานเชียงใหม่  ในขณะเดียวกันพวกไทยใหญ่ก็ได้เป็นกำลังอุดหนุนวัดแสนฝางดังปรากฏหลักฐานสืบมาจนถึงทุกวันนี้  นอกจากนั้นพวกจีนฮ่อที่เข้ามาค้าขายก็ได้สร้างสุเหร่าบ้านฮ่อขึ้นที่ทุ่งช้างคลานดังที่ปรากฏอยู่สืบมาจนทุกวันนี้ ในขณะที่ฝั่งตะวันออกของลำน้ำปิงนั้น  เนื่องจากเป็นพื้นที่ราบลุ่มมีน้ำท่วมขังในฤดูน้ำหลาก  แต่บริเวณฝั่งตะวันออกของลำน้ำปิงนั้นเป็นหัวโค้งเหมาะที่จะใช้เป็นที่จอดเรือ  เมื่อพ่อค้าจีนขึ้นมาค้าขายที่เมืองเชียงใหม่จึงได้ริเริ่มสร้างชุมชนชาวจีนขึ้นที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำปิงใกล้กับวัดเกตุการาม  ต่อมาเกิดเพลิงไหม้ชุมชนชาวจีนที่ฝั่งตะวันออก  พวกพ่อค้าจีนจึงอพยพเข้ามยึดพื้นที่บริเวณข่วงเมรุเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยและเป็นโรงพักสินค้า  เมื่อจะจัดการพระราชทานเพลิงศพพระเจ้าอินทวิชยานนท์  เจ้าแก้วนวรัฐจึงต้องไล่รื้อย้ายและเสียค่าไถ่ถอนที่ดินคืนเป็นเงินถึง ๑๘,๐๐๐ รูเปีย   เมื่อพิจารณาถึงการตั้งถิ่นฐานของชาวเชียงใหม่ในอดีตแล้ว  หากขบวนแห่ในภาพเป็นขบวนแห่ครัวทานของชาวไทยใหญ่จริง  ก็เป็นที่น่าสงสัยว่า ขบวนแหนี้จะนำครัวทานไปถวายที่วัดไหน?  ขอท่านผู้รู้ช่วยกันวิพากษ์ต่แปด้วยครับ จากคุณ : V_Mee - [ 1 ก.ย. 51 18:45:13 ]

ความคิดเห็นที่ 52 โรงแรมเพชรงาม คือ บ้านของหลวงโยนการพิจิตรแล้วบ้านหลวงอนุสารสุนทร อยู่ตรงใหนหรอครับ แล้ง บ้านที่เป็นร้านอาหารเฮือนโบราณ ในอดีตเป็นบ้านใคร รวมถึง บ้านปริศนาหลังหนึ่งซึ่งอยู่เชิงสะพานเหล็กที่ข้ามแม่น้าปิง ซึ่งด้านหนึ่งจะติดซอยที่เป็นถนนเข้าด้าข้างโรงแรม เพชรงาม ซึ่ง เรือนร้างหลังนี้ ปัจจุบันก็ไม่มีใครทราบประวัติ เยลอยากจะถามคุณV_MEEครับ ภาพเรือนโบราณร้างริมแม่น้ำปิงครับ ซึ่งปัจจุบันได้ถูกบูรณะขึ้นใหม่ แก้ไขเมื่อ 01 ก.ย. 51 23:50:52 จากคุณ : akkarachai - [ 1 ก.ย. 51 23:37:45 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ... จากคุณ : akkarachai - [ 1 ก.ย. 51 23:38:37 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ก่อนบูรณะ จากคุณ : akkarachai - [ 1 ก.ย. 51 23:39:17 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ... จากคุณ : akkarachai - [ 1 ก.ย. 51 23:42:32 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ... แก้ไขเมื่อ 01 ก.ย. 51 23:44:00 จากคุณ : akkarachai - [ 1 ก.ย. 51 23:43:28 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ......... จากคุณ : akkarachai - [ 1 ก.ย. 51 23:48:32 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ด้านหน้าของเรือน จากคุณ : akkarachai - [ 1 ก.ย. 51 23:49:06 ]

ความคิดเห็นที่ 59 .... จากคุณ : akkarachai - [ 1 ก.ย. 51 23:52:52 ]

ความคิดเห็นที่ 60 ป้ายหน้าเรือน จากคุณ : akkarachai - [ 1 ก.ย. 51 23:54:03 ]

ความคิดเห็นที่ 61 รูปโคหลู่ครัวทานไตใหญ่นั้น อาจจะไปที่วัดมหาวันก็ได้นะครับผม ในบรรดาถ.ท่าแพ จากคุณ : ศศิศ - [ 3 ก.ย. 51 01:59:01 ]

ความคิดเห็นที่ 62 เมื่อสามสิบปีที่แล้วได้ไปเชียงใหม่ติดๆกันถึงสามครั้ง ครั้งแรกพักที่โรงแรมพรพิง ครั้งที่สองที่โรงแรมปอยหลวง และครั้งที่สาม ที่วังบัวบานบนดอยสุเทพ ตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้ไม่ไม่ไปอีกเลยครับ ไม่ทราบสถานที่เหล่านี้ ยังอยู่หรือไม่ครับ จากคุณ : pera (M|B) - [ 3 ก.ย. 51 23:45:25 ]

ความคิดเห็นที่ 63 อยู่ทุกที่ครับ แต่บางที่ก็เป็นอาคารร้างไปแล้ว เช่น โรงแรมปอยหลวง เป็นตึกร้างมานานมากแล้วครับ โรงแรมปอยหลวง ถ่ายจากด้านหลัง จากคุณ : akkarachai - [ 5 ก.ย. 51 21:25:59 ]

ความคิดเห็นที่ 64 ขอบคุณครับที่ส่งรูปมาให้ดูครับ และที่วังบัวบานบนดอยสุเทพเป็นอย่างไรบ้างครับ ขอบคุณล่วงหน้าครับ จากคุณ : M|B - [ 13 ก.ย. 51 22:44:45 ]

ความคิดเห็นที่ 65 จบจากยุพราชมาตั้งนาน เพิ่งจะรู้ประวัติอย่างละเอียดก็วันนี้แหละขอบคุณมากครับ เอ้า พวกเรายุพราชองอาจกล้าหาญ ฯ จากคุณ : หนุ่มดอยคอยเธอ - [ 19 ก.ย. 51 16:53:00 ]