ตำนานสะท้านฟ้า บทที่ 1 เป่ย ตอนที่ 1 มังกรสงบเริ่มปั่นป่วน part 1
ค่ำวันนี้ โรงเตี๊ยมพิรุณโปรยปรายของเฒ่าฟ่ง แม้จะมีโต๊ะในห้องโถงแค่หกเจ็ดตัว แต่โต๊ะเกือบทุกตัวล้วนถูกจับจองจนสิ้น
จางฝาน เสี้ยวเอ้อประจำโรงเตี๊ยมกระวีกระวาดเก็บกวาดโต๊ะๆ หนึ่งที่ลูกค้าเพิ่งจากไป เพื่อเตรียมโต๊ะนั้นสำหรับให้บริการแก่ลูกค้ารายใหม่บ้าง หนุ่มน้อยจางฝานตอนนี้มันอายุได้ 17 ขวบปีแล้ว
มันทำงานในโรงเตี๊ยมแห่งนี้มานาน 2 ปีกว่าแล้วเห็นจะได้ มันเป็นลูกชายคนที่สามจากจำนวนพี่น้องห้าคน มีอยู่ปีหนึ่ง พี่ชายคนโตและคนรองของมันถูกเกณฑ์เข้าสมรภูมิ แต่มันมิได้ถูกเกณฑ์ไปด้วย
เนื่องเพราะมันเป็นลูกชายคนเล็กของครอบครัว ราชการจึงปล่อยไว้ให้ดูแลบ้านช่องบ้าง ในส่วนพี่ชายคนโตของมันนั้นมิรู้เป็นตายร้ายดีประการใดไม่ส่งข่าวคราวมาบ้านทั้งสิ้น
ส่วนคนรองนั้นสังกัดอยู่กับแม่ทัพใหญ่นายหนึ่ง ส่วนชื่อของแม่ทัพใหญ่รายนั้น คนนำสารก็เคยบอกแก่มันไว้ แต่มันมิใคร่จะจดจำได้เท่าไหร่นัก พี่รองของมันนั้นได้เบี้ยหวัดเดือนละมากโขพอดู หากหักลบกับค่าใช้จ่ายส่วนตัวและลูกเมียทางโน้นแล้ว ก็ยังพอส่งให้ครอบครัวทางบ้านครั้นละหลายๆ สิบอีแป๊ะได้อยู่
ซึ่งเงินจำนวนนี้ก็พอประทังชีวิตของทั้งครอบครัวไปได้นิดๆ หน่อยๆ นอกนั้นพี่หญิงของมันทั้งสอง ต่างก็แต่งงานไปเสียหมดสิ้นแล้ว ดังนั้นมันจึงต้องหางานทำ เพื่อช่วยเหลือตัวเองและครอบครัวบ้าง
"อาฝานเอ้ย มาทางนี้หน่อย ลูกค้าโต๊ะห้าจะชำระเงินแล้ว"
เสียงของเฒ่าฟ่งเถ้าแก่โรงเตี๊ยมเรียกให้จางฝานเก็บเงินนั้น แม้ทั้งที่พูดเสียงดังที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว แต่ก็ยังไม่ดังมาก เนื่องเพราะมันเองมีอายุร่วมเจ็ดสิบแล้ว ยังดีที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ไม่กว้างขวางนัก ก็เลยพอจะฟังได้ยินชัดอยู่
"ได้ๆ เถ้าแก่"
จางฝานเดินหลังงุ่มๆ ไปเก็บเงินแก่โต๊ะนั้น รูปร่างของมันสมกับเป็นเสี่ยวเอ้อเสียจริง หลังมันงองุ้มค่อนข้างมากพอสมควร ผิวคล้ำดำด่างเหมือนตอหม้อก็ปาน ยังดีที่หน้าตาของมันยังเรียกว่าดูได้บ้างเท่านั้นเอง มิเช่นนั้นหากทุเรศอัปลักษณ์กว่านี้ คงมิน่ามองกว่านี้เสียแล้ว
หลังจากลูกค้าทุกคนค่อยๆ ทยอยออกจากร้านไปทีละโต๊ะสองโต๊ะ มันก็ได้พักผ่อนเสียบ้าง มันนั่งลงบนตั่งๆ หนึ่ง วันนี้สมกับเป็นวันที่เหน็ดเหนื่อยของมันจริงๆ เนื่องเพราะวันนี้มีลูกค้ามากเป็นพิเศษ
"เอ้า ซาลาเปา รีบรับทานเสีย จะได้เก็บกวาดที่เหลืออีก"
เฒ่าฟ่งพูดเสียงนุ่มละมุนอันเป็นปกติของชายชราใจดี มันยิ้มน้อยๆ ให้ก่อนจะยื่นจานที่มีซาลาเปาอยู่ 3 ลูก ให้แก่จางฝาน เนื่องเพราะมันเองก็เห็นจางฝานเป็นดั่งบุตรในอุทรก็ปาน จางฝานยิ้มตอบ แล้วเริ่มลงมือรับทานซาลาเปานั้น
"ไม่ต้องรีบรับทานขนาดนั้นก็ได้"
เฒ่าฟ่งส่งเสียงคล้ายปรามๆ จางฝานหน่อยมา ขนาดที่ตัวมันค่อยๆ เคลื่อนกลับไปยังโต๊ะชำระเงินแล้วเริ่มทำบัญชีที่มันทำค้างอยู่ต่ออีก
หลังจากรับทานซาลาเปาทั้ง 3 ลูกลงท้องไปหมดแล้ว
จางฝานก็ได้เก็บกวาดโต๊ะทุกตัว หน้าต่างประตูทุกบานถูกมันปิดสนิทหมดสิ้น มันจึงลาเฒ่าฟ่งกลับบ้านด้วยรอยยิ้ม วันนี้ก็เช่นทุกวัน ราบเรียบ แจ่มใสยิ่งนัก
หากเป็นเมื่อวานคงมิแน่เท่าใดนัก นั่นเพราะเมื่อวาน หย่งกิมฮ้วง อันธพาลเรียกเก็บค่าคุ้มครองและทวงหนี้ประจำหมู่บ้านนี้มาตอแยร้านของมัน จนโต๊ะในร้านล้มระเนระนาดไปหมดสิ้น
จางฝานส่ายหัวไปมา สะบัดความคิดถึงเรื่องเมื่อวานนั้นจนหมดสิ้น มันเดินเข้าไปในซอยข้างโรงเตี๊ยมเพียงไม่กี่หลัง ก็ถึงบ้านอันแสนสงบสุขของมันแล้ว
บ้านมันอยู่ใกล้เช่นนี้เองมิน่าเล่าถึงได้ไม่นอนค้างที่โรงเตี๊ยม เพราะหากเกิดเรื่องอันใด เฒ่าฟงก็ลัดหลังร้านมาหามันได้ทันที หรือหากมีเสียงใดๆ ลอดออกมา มันย่อมต้องได้ยินเป็นแน่แท้ อีกทั้งมันยังมีเวลาดูแลบิดามารดาเฒ่าของมันนั่นเอง
รุ่งวันนี้ มิเหมือนเมื่อวาน เนื่องเพราะวันนี้ โต๊ะทางในสุดถูกจับจองเพียงเดียวดาย ในตั่งหนึ่งของโต๊ะประกอบด้วยคนเพียงคนเดียวนั่งอยู่ ตั่งข้างตัวคนผู้นั้นมีเป้สัมภาระตั้งอยู่ ถึงกับเป็นหลวงจีนชราผู้หนึ่ง อายุท่านอาจจะน้อยกว่าเฒ่าฟ่งซักสิบปีเห็นจะได้ แสงแดดยามเช้าตกกระทบถูกศีรษะล้านโล้นนั้นบังเกิดประกายเพียงเล็กน้อย หากแสงแดดแรงกว่านี้ น่ากลัวจะต้องมีอาทิตย์สองดวงเกิดขึ้นในห้องโถงเสียแล้ว
ไต้ซือรูปนั้นเพียงสั่งอาหารมังสวิรัติมาสองสามอย่าง นอกนั้นก็เป็นน้ำชาขึ้นชื่อของฮกเกี้ยน และซาลาเปาเพียงไม่กี่ลูกมารับทาน พร้อมกันนั้นท่านก็นั่งไล่ลูกประคำไปเรื่อยๆ ลูกประคำของท่านนั้นมีสีดำนิลสนิทช่างน่าดูยิ่ง ท่านนั่งอยู่อย่างนั้นทั้งวัน จานอาหารเพียงกระดิกไม่กี่ครา แต่ก็ยังคงหมดสิ้นไปในที่สุด
ใกล้ถึงตอนเย็นแล้ว ท่านได้จองห้องพักไว้ห้องหนึ่ง จางฝานจึงเดินนำทางท่านเข้าไปยังห้องพักที่อยู่ทางด้านหลัง ซึ่งมีเพียงสองห้องเท่านั้น ก็อย่างที่รู้กันทั่วไปอยู่แล้วว่าโรงเตี๊ยมเล็กๆ เพียงนี้ ไหนเลยจะหาห้องหับมากมายได้
ไต้ซือท่านนั้นเดินตามหลังจางฝานมาอย่างช้าๆ พอถึงในห้องพักจางฝานจุดตะเกียงน้ำมันจนสว่าง เท่านั้นล่ะ..ท่านก็ทรุดนั่งบนเก้าอี้พิงแขนตัวหนึ่งริมห้อง ล้วงเอาลูกประคำชุดเดิมจากอกเสื้อมาไล่อีก พรมมือข้างหนึ่ง กล่าวคำเจริญพุทธมนต์ อมิตาพุทธ อมิตาพุทธ เบาๆ สามครา ก็หลับตาพริ้มไป
จางฝานทราบดีแก่ใจว่า หากเป็นเถระผู้เคร่งครัดแล้วจะมิยินยอมนั่งนอนอยู่บนเตียงเป็นแน่แท้ เนื่องเพราะมันเคยเห็นภิกษุมามากพอควรเช่นกัน
ที่เป็นเช่นนี้ท่านต้องทราบด้วยว่าโรงเตี๊ยมนี้ อยู่ห่างจากเมืองหลินฉวนอันเป็นเมืองทางออกสู่ตะวันตกของฟุเจี้ยนไม่กี่สิบลี้เท่านั้น
ในเมืองฟุเจี้ยนนั้น เป็นเมืองที่ตั้งของสำนักมาตรฐานแห่งหนึ่งของชนชาวนักเลง และมีนามระบือไกลยิ่งนัก เรียกว่า "วัดเสี้ยวลิ้มยี่ใต้"
หลังจากจัดแจงห้องพักนั้นเสร็จสรรพ ลูกประคำมิได้เคลื่อนไหวอีกแล้ว ไต้ซือท่านนี้หลับสนิทอย่างยิ่ง แต่น่าแปลกที่ลมหายใจของท่านก็สงบอย่างยิ่งเช่นกัน จางฝานจึงจงใจปิดประตูเพียงเบาๆ มิให้เถระท่านนี้เป็นที่รำคาญใจ
อีกวันต่อมา ท่านก็ยังนั่งอยู่ที่เดิม กระทำแบบเดิม วันนี้โรงเตี๊ยมมีแขกเรื่อมากพอดู แต่ก็มิมากเท่าวันก่อนหน้านั้น ดังนั้นจางฝานยังพอหายใจได้บ้าง เมื่อลูกค้าทยอยออกไปจนหมดสิ้น มันก็เข้าไปพูดคุยกับไต้ซือท่านนี้
ได้รับคำตอบจากท่านว่า ท่านเพิ่งเดินทางกลับมาจากตะวันตก แต่ยังไม่พร้อมใจยินยอมกลับคืนสู่วัด อีกทั้งตอนนี้ท่านยังมีความต้องการจะเดินทางไปจาริกแสวงบุญทั่วประเทศเสียก่อน
ยังมิทันที่มันจะถามท่านให้มากความกว่านี้ ก็มีกลุ่มคนเข้ามาในร้านเสียก่อน จางฝานและเฒ่าฟ่งหันไปมองเกือบจะพร้อมๆ กัน ผู้ที่เข้ามานั้นล้วนตัวใหญ่โตทั้งสิ้น พวกมันมีสามคนด้วยกัน พวกจางฝานทั้งสองล้วนลอบตกตะลึงพึงพรืดจนแทบเกือบขาดใจตาย
เนื่องเพราะ วันนี้เกิดมีฝูงหมาป่าผู้กระหายเงินตราเดินเข้ามาเสียก่อน
กลุ่มของ หย่งกิมฮ้วง นั่นเอง!!!!
..
..
..
..
เดาดูขอรับ ว่าพล็อตเรื่องมาจากไหน อิอิ
ขอรับคำตำหนิติเตียนด้วยความยินดีขอรับ
คารวะหลายจอกขอรับ ^_________^
แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 51 02:23:54
จากคุณ :
กระบี่เก้าเดียวดาย
- [
31 ส.ค. 51 02:15:43
]