จริงๆแล้วเมื่อเราทำงานแปลในบริษัทแปล เราเป็นนักแปลเพียงคนเดียวที่เก็บผลงานแปลของเราที่โดนตรวจแก้จนยึบยั๊บ กลับมาศึกษาที่บ้าน ในขณะที่นักแปลรายอื่นๆ "เกลียด" ที่จะมองดูมัน ดังนั้น เราจึงเรียนรู้ทางหนีทีไล่ในการแปลได้รวดเร็วมากๆ
อีกหลายปีต่อมาเราเปลี่ยนจากแปลเอกสารเป็นแปลหนังสือ แล้วโชคดีที่พบบรรณาธิการบริหาร ที่ทำหน้าที่เป็นบรรณาธิการต้นฉบับที่เข้าใจภาษาอังกฤษดีมากๆ และสื่อสารกับเราดีมากๆ เขาปรับคำแปลภาษาไทยเราให้ดีขึ้นกว่าเดิม ในขณะที่เขาก็ค่อนข้างเชื่อว่าเราไม่ตีความต้นฉบับภาษาอังกฤษผิดง่ายๆ ดังนั้น ถ้าเขา "คิดว่า" เราแปลผิดจังๆ เขาจะโทรมาบอกเราว่า "ตรงนี้ ผมคิดว่าคุณแปลผิดจังๆนะ ใช่หรือเปล่า หรือผมเข้าใจผิด อะไรบางอย่าง?" ซึ่งมันก็เป็นการดี เพราะเราได้คุยกันและประสานงานกัน
น่าเสียดายที่สำนักพิมพ์นั้นเลิกทำหนังสือแปล เราก็เลยไม่ได้แปลหนังสือมาตั้ง 3-4 ปีแล้ว แต่ในช่วงปีกว่าๆนี้ เราแปลหนังสือไป แบบใช้นามปากกา และเป็นนักแปลผีให้คนอื่นบ้างไม่กี่เล่ม ประกอบกับทำงานแปลเอกสาร ที่รับจากลูกค้าโดยตรงและได้ราคาดีๆ โดยมีแฟนเราเป็น editor ส่วนตัว ของเราเอง เราพบว่า แฟนเราแก้ภาษาไทยเราได้สะใจจริงๆ (ถ้าแปลอังกฤษเป็นไทย) และจะแก้ภาษาอังกฤษเราเฉพาะตอนแปลไทยเป็นอังกฤษ ในกรณีที่เราตีความต้นฉบับภาษาไทยผิด แล้วแปลเป็นอังกฤษผิด เพราะรีบมากๆ (แต่ไม่แก้ grammar ภาษาอังกฤษของเรามากนัก เพราะเธอเชื่อว่าเราเขียนภาษาอังกฤษไม่หลุดมากจนน่าเกลียด)
และเราต้องยอมรับเลยว่า เธอเก่งเท่าบรรณธิการคนเดิมของเรา นั่นก็คือเธอแก้ภาษาไทยของเราให้สวยกว่าเดิมได้หลายเท่า และบางครั้งที่เรา "เมาหมัด" แปลผิดจริงๆ เธอก้อแก้ให้เราได้ แล้วยังโทรมาล้อเลียนเราอีกว่าเราเมาหรือเปล่า? ซึ่งเราก็รู้สึกตกใจเหมือนกันว่าตัวเองพลาดขนาดนั้นได้อย่างไรกัน
และนักแปล คนที่น่ากลัวยิ่งไปกว่านั้นก็คือ คนที่เรียนปริญญาโทการแปลรุ่นเดียวกับแฟนเรา เราเห็นเขาลีลาการแปลของเขา แล้วทึ่งมากๆ นั่นก็คือว่า เมื่อเขาแปลอังกฤษเป็นไทย เขาตีความภาษาอังกฤษแม่นมากๆ แล้วภาษาไทยสวยงามมากๆ แล้วเวลาแปลไทยเป็นอังกฤษ คำแปลภาษาอังกฤษไม่มีที่ติเลย เก่งขนาด เขากลับเข้าไปสอนปริญญาโทการแปลในมหาลัยที่ตัวเองจบมา นักแปลท่านนี้เคยพูดกับแฟนเราตลกๆ เล่นๆ ว่า
"เดี๋ยวนี้ พวกสำนักพิมพ์ ไม่ค่อยอยากส่งหนังสือให้พี่แปลหรอก เพราะพอพี่แปลไปนะ บรรณาธิการต้นฉบับแก้มา แล้วแก้ผิด แล้วพี่แย้งกลับไป ก็เลยหาบรรณาธิการต้นฉบับให้พี่ไม่ได้...555+++..."
ซึ่งเราก็เชื่อว่า นักแปลระดับนั้นนะ สำนักพิมพ์คงปวดหัวพิลึกเลย ในการที่จะหาบรรณาธิการต้นฉบับที่จะไปตราจแก้งานเขาได้น่ะ ด้วยเหตุนี้อาจารย์ท่านนั้น จึงเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้แปลหนังสือแล้ว...คือถ้าเป็นมวยก็ "ขึ้นคานไปแล้ว" ไม่มีใครอยากชกด้วยอ้ะ...
แก้ไขเมื่อ 11 ก.ย. 51 20:19:09
แก้ไขเมื่อ 11 ก.ย. 51 20:16:46
แก้ไขเมื่อ 05 ก.ย. 51 20:52:26
แก้ไขเมื่อ 05 ก.ย. 51 20:44:17