Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    [นิยายแต่ง] เป่ยหนานตงซี ตำนานสะท้านฟ้า บทที่ 1 เป่ย ตอนที่ 6{แตกประเด็นจาก K6981219}

    ตำนานสะท้านฟ้า บทที่ 1 เป่ย ตอนที่ 6 กระบี่คู่รันทด

    ทางเดินในช่องลับ นั้นกลับยาวไม่สิ้นสุด เหมือนดั่งมันจะไม่มีจุดหมายปลายทางก็ปาน ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะคนทั้งสี่จะเรียกว่าเดินก็มิใช่ จะว่าค่อยๆ เขยื้อนไปก็มิเชิงนั้นมากนัก กังโส่วหู่นำหน้าไปพร้อมกับโยนเหรียญถามทางไปเรื่อยๆ หากไม่พบสิ่งผิดปกติ มันก็จะเก็บเหรียญอิแป๊ะขึ้นมา แล้วขยับไปอีกช่องหนึ่ง

    เช่นนี้ เมื่อไหร่จะถึงจุดหมายกัน!

    ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ทั้งสี่คนก็ยังเดินหน้าไม่หยุดยั้ง อากาศข้างในยิ่งลึกยิ่งอับชื้นขึ้นเรื่อยๆ จูซีที่ชราภาพถึงกับเริ่มหอบหายใจหนักๆ หลงหย่งหว่อเกรงจะเป็นอันตรายแก่ท่านผู้เฒ่าจึงบอกกล่าวให้ท่านกลับขึ้นไปเสียก่อน แต่ท่านกลับมิยินยอมจากไปแม้แต่น้อยนิด

    กังโส่วหู่โยนเหรียญถามทางอีกครา แต่ครานี้ก็เช่นเดิมไม่มีสุ่มเสียงใดๆ อีก มันนึกว่าจะไม่มีกระไรแล้ว ที่ไหนได้พอมันเดินเข้าไปเพียงน้อยนิด เท้าของมันกลับไปถูกปุ่มบนพื้นบางอย่างเข้าโดยบังเอิญ พื้นที่เบื้องหน้านั้นถึงกับพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ มันรีบถอยกลับมาโดยบัดดล ทางเดินนั้นพุ่งสูงขึ้นจนเกิดเป็นกำแพงใหญ่ขวางทางไว้

    หันไปข้างหลังทางเดินอีกทางก็กำลังจะพุ่งขึ้นเช่นเดียวกัน!
    หลงหย่งหว่อปฏิกิริยาฉับไวรีบใช้กระบี่กั้นขวางทางเบื้องหลังไว้ แต่กระบี่น้อยนิดหรือจะสู้กำลังของหินผาไปได้ กังโส่วหู่รีบตะโกนให้มันเอากระบี่ออกมาเสียก่อน หลงหย่งหว่อไม่มีทางเลือกได้แต่กระทำตามอย่างที่กังโส่วหู่บอกเท่านั้น

    ตอนนี้ทุกด้านล้วนปิดสนิท ไม่มีที่ไปใดๆ ทั้งสิ้น หากอยู่ในที่นี้ต่อไป ใยมิใช่เท่ากับรนหาที่ตายเล่า?

    กังโส่วหู่สำรวจอยู่นานก็ไม่พบกลไกเปิดทางลับแต่ประการใด นั่นยิ่งทำให้ทั้งหมดรู้สึกท้อแท้ไปตามกัน หลงหย่งหว่อพยุงจูซีให้นั่งลงเอาแรงในมุมด้านหนึ่ง ส่วนจางฝานยังช่วยกังโส่วหู่หากลไกเปิดทางลับต่อไป
    จู่ๆ พลันมีกระแสน้ำเคลื่อนที่เข้ามาทั่วทั้งมุมห้อง ทั้งสี่ตกใจยิ่งนัก พื้นเริ่มแฉะขึ้นเรื่อยๆ

    "โส่วหู่ รีบๆ ทำอะไรเข้าสักอย่างซี"

    "ข้าพเจ้าก็พยายามอยู่ ท่านก็รีบหาช่วยข้าพเจ้าซี"

    แม้กังโส่วหู่จะพูดบอกจางฝานไปอย่างนั้น แต่ระดับน้ำก็เริ่มเพิ่มขึ้นถึงข้อเท้าของพวกมันแล้ว นั่นยิ่งทำให้มันกระวนกระวายใจนัก ขณะกำลังค้นหากลไกเปิดประตู จางฝานพลันสะดุดมืออยู่กับสิ่งของหนึ่งในมุมด้านหนึ่ง

    "นี่คืออะไรหรือโส่วหู่"

    จางฝานหยิบสิ่งของนั้นขึ้นมา กังโส่วหู่หันตะเกียงน้ำมันกลับมาส่องดูใกล้ๆ ที่แท้ถึงกับเป็นหัวกะโหลกอันหนึ่ง! จางฝานเห็นดังนั้นรีบปล่อยมืออย่างรวดเร็ว เสียงหัวกะโหลกตกลงน้ำดังจ๋อม ฟังดูวังเวงพิกล

    "หรือ หรือ เราจะตายอย่างคนผู้นี้"

    จางฝานสั่นงันหงกด้วยความกลัวตาย ใครบ้างจะไม่กลัวตายเล่า? หากตายได้อย่างทุกข์ทรมานในน้ำเยี่ยงนี้ ตายบนบกเสียยังดีกว่าอีก

    "เจ้าบ้า พูดกระไรเยี่ยงนั้น ข้าพเจ้ามิยินยอมตายในน้ำร่วมกับคนผู้นี้ดอก"

    กังโส่วหู่พูดอย่างโมโห มันไม่ชมชอบที่จะไปตายร่วมกับใครจริงๆ แต่ระหว่างที่มันชี้ไปที่กองกระดูก กลับพบเห็นบางสิ่งเข้า!

    ที่แท้คือแผ่นศิลาอันหนึ่ง มันยกจับแผ่นศิลานั้นขึ้นมา น้ำหนักของแผ่นศิลามากเอาการ แต่กังโส่วหู่ยังพอยกไหวด้วยสองมือ ข้างในแผ่นศิลาสลักข้อความไว้ แต่อ่านอย่างไรก็อ่านไม่เข้าใจ ตัวหนังสือในนั้น น่าจะเป็นตัวอักษรโบราณประการหนึ่ง

    กังโส่วหู่นำแผ่นศิลานั้นค่อยๆ เขยื้อนเข้ามาหันยื่นให้แก่จูซีผู้เฒ่าพิจารณาดู ท่านพิจารณาอยู่ชั่วครู่หนึ่งจึงร้องโพล่งด้วยความดีใจ

    "ในนี้มีทางออก!!"

    "ว่ากระไร ผู้น้อยหาเนิ่นนาน เหตุใดยังมิพบเจอกลไกเปิดด่านนั้นเล่า"

    จูซีพรางถอนหายใจคราหนึ่ง แล้วกล่าวต่อ

    "กลไกเปิดด่านนี้ซับซ้อนยิ่งนัก เนื่องจากต้องกดสลักที่พื้นทั้งสี่ด้านพร้อมกันจึงจะเปิดออก ข้าพเจ้าคาดว่าคนผู้นี้น่าจะมาเพียงผู้เดียว เนื่องจากมันพยายามเปิดกลไกอยู่นาน แต่จนแล้วจนรอดมันก็เปิดกลไกนี้ไม่ได้สักที ระดับน้ำก็เพิ่มสูงขึ้น มันจึงต้องตกตายอยู่ในค่ายกลน้ำด้วยประการนี้ ยังดีที่ก่อนตายมันยังกอดรัดแผ่นศิลาเอาไว้ แผ่นศิลาหนักอึ้ง ร่างของมันเลยไม่ถูกพัดพาไปไหน นับเป็นโชคดีของเราจริงๆ"

    เมื่อจูซีพูดจบ กังโส่วหู่ส่งแผ่นศิลาให้หลงหย่งหว่อ และส่งตะเกียงน้ำมันให้แก่จางฝานถือแทน แล้วรีบไปเคาะหากลไกเปิดทางลับตามจุดต่างๆ ในแต่ละมุม ปรากฏว่ามีกลไกอยู่ภายในจริงๆ มันถึงกลับยิ้มแย้มอย่างสบายใจ บอกให้ทั้งหมดเข้าประจำที่ ขณะนั้นน้ำเริ่มขึ้นถึงหัวเข่าแล้ว หากช้ากว่านี้คงไม่ทันกาล

    กังโส่วหู่ใช้ปากงับเอาก้านตะเกียงน้ำมันเอาไว้ แล้วพูดสั่งให้กดพร้อมกัน แม้จะพูดไม่ค่อยได้ศัพท์ แต่ก็เป็นอันเข้าใจ ไม่เช่นนั้นก็ตายกันหมด

    เมื่อทั้งหมดกดพื้นทั้งสี่จุดลงไปพร้อมกัน ระดับน้ำก็ค่อยๆ ลดลงไป ในที่สุดพื้นทั้งสองด้านก็ลดระดับลงเช่นเดียวกัน เผยให้เห็นทางเดินต่อไปเบื้องหน้า
    ทั้งหมดผ่านด่านห้องน้ำนั้นมาได้ ถึงกับเปียกโชกไปตามๆ กัน

    เมื่อเดินมาจนถึงช่องหนึ่งพลับพบว่าทางข้างหน้ามีเสียงลมกรรโชกแรงดังอื้ออึ้งไม่ขาด กังโส่วหู่ใช้เหรียญถามทางนำพาไป แต่ปรากฎว่ามีแต่เสียงเหรียญสะท้อนไปมาฟังดูน่ากลัวยิ่งนัก สักพักใหญ่ๆ จึงหยุดลง มันรู้แล้วว่าน่าจะมีอะไรสักอย่างหนึ่งจึงลองเสี่ยงสักครา เมื่อวางตะเกียงน้ำมันลงแล้ว จึงวิ่งเข้าไปทดสอบ

    แต่ที่ไหนได้ มันกลับติดอยู่ที่มุมห้องด้านซ้ายซะอย่างนั้น!

    ที่แท้มีเรื่องราวใดกัน!

    จางฝานเห็นสหายไปติดอยู่อย่างนั้น จึงตะโกนเรียก

    "โส่วหู่ ท่านไปติดอยู่อย่างนั้นทำไม ประเดี๋ยวข้าพเจ้าจะเข้าไปช่วย"

    "เจ้าบ้า อย่า...."

    เสียงพูดห้ามยังไม่ทันขาดคำ จางฝานดันกระโดดเข้ามาเสียก่อน

    "เห็นไหมข้าพเจ้าบอกท่านแล้วว่าอย่า"

    กังโส่วหู่อดพูดประชดประชันอีกครั้งมิได้ แม้มันจะพูดไม่ค่อยได้ศัพท์ ฟังก็ไม่ค่อยชัดนัก ที่แท้ทั้งสองถูกลมแรงพัดพามาถึงมุมห้องอีกด้านหนึ่ง

    "ข้าพเจ้า ขอโทษ"

    จางฝานทำหน้าหงอพูดเสียงอ่อยๆ ออกมาอย่างยากลำบาก จากนั้นจึงกล่าวต่อ

    "ท่านลองขยับไปเบื้องหน้าดูหน่อย"

    "มิได้ข้าพเจ้าพยายามแล้วแต่ลมแรงเกินไป"

    "งั้นท่านลงพลิกตัวดู"

    "เจ้าบ้า แค่ขยับยังขยับไม่ได้ จะให้พลิกตัวหรือไง"

    พลันจูซีส่งเสียงตะโกนขึ้นมาขัดจังหวะการกัดกันระหว่างจางฝานและกังโส่วหู่เสียก่อน

    "ข้าพเจ้าทราบแล้ว นี่อาจคล้ายกับค่ายกลมหาภูติ[1] แห่งเทียนเต็ก"

    "ท่านผู้เฒ่า มหาภูติอันใด"

    "ด่านแรกนั้นคือด่านดิน ต่อมาคือด่านน้ำ และตอนนี้พวกท่านกำลังติดอยู่ในด่านลม"

    "ด้านตรงกันข้ามมีกลไกปิดค่ายกลอยู่ แต่ข้าพเจ้ายังคิดหาวิธีเคลื่อนไหวไปปิดค่ายกลฟากตรงกันข้ามมิได้"

    จางฝานและกังโส่วหู่ กังวลใจยิ่งนัก แต่จะขยับตัวไปไหนก็ไม่ได้ เหมือนมีพลังบางอย่างกดทับพวกมันอยู่เบื้องหน้าไม่ได้ขาด ผู้คิดค่ายกลนี้ถือเป็นอัจฉริยบุคคลเลยทีเดียว! จูซีคิดอยู่นานก็คิดไม่ออก พลันหลงหย่งหว่อรีบวิ่งกลับไปที่ค่ายกลเก่า มันทำอันใดกันแน่? ไม่นานมันก็เดินกลับมา ที่เดินกลับมาไม่ใช่เพราะว่าเหนื่อย

    แต่จริงๆ แล้วมันแบกศิลาหินอันนั้นมาต่างหากเล่า!

    เมื่อเดินผ่านหน้าจูซี ท่านผู้เฒ่าถึงส่งเสียงร้องคราหนึ่ง

    "อา ใช่แล้ว หย่งหว่อชาญฉลาดจริงๆ นี่ต้องเรียกว่า เหมือนเส้นผมบังภูเขาเนิ่นนานถึงคลายออก"

    หลงหย่งหว่อเดินเข้าไปในค่ายกล ในตอนแรงนั้นยังสะทกสะท้านสั่นไหวอยู่ไม่ขาด แต่พอพยุงตัวได้แล้วก็ค่อยๆ เข้าไปที่มุมหนึ่งของห้อง ใช้มือข้างหนึ่งถือศิลาหิน อีกข้างหนึ่งลูบคลำไปมา แสดงถึงกำลังยุทธ์อันร้ายกาจ หากเปลี่ยนเป็นกังโส่วหู่หรือจางฝานคงมิสามารถกระทำได้ ในที่สุดมันก็พบเจอหนทางปิดกลไก

    นี่นับว่าหลายหัวดีกว่าหัวเดียว มิเช่นนั้นพวกมันก็คงตายอยู่ที่ด่านดินด่านน้ำเนิ่นนานแล้ว หรือหากผ่านมาได้ก็คงติดอยู่ที่ด่านลมไปไหนไม่ได้อยู่ดี
    เมื่อกลไกปิด จางฝานและกังโส่วหู่ถึงกับล้มตัวลงมานอนกับพื้น เหนื่อยแทบขาดใจ หลงหย่งหว่อพลันส่งเสียงหัวเราะคราหนึ่งกล่าว

    "เมื่อครั้นค่ายกลดิน ท่านช่วยข้าพเจ้าไว้ ครั้งนี้ถือว่าข้าพเจ้าช่วยท่านแล้ว ทั้งหมดล้วนหายกัน"

    กังโส่วหู่แทบไม่มีแรงลุกขึ้นยืน ส่งเสียงพูดเพียงบางเบา

    "เจ้าเล่ห์นัก คิดเอาเปรียบข้าพเจ้าหรือ?"

    "ฮาฮา นั่นนับว่าถูกต้อง"

    จากคุณ : กระบี่เก้าเดียวดาย - [ 11 ก.ย. 51 18:11:17 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom