ความคิดเห็นที่ 1 1. เพราะว่ามันต้องมีการบ้านด้วยครับ 2. บางทีมันคือวิทยานิพนธ์ครับ เห็นบางคนมาขอให้ดูหัวข้อ ดู abstract ให้ ซึ่งปกติมันมักจะต้องมีเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษคู่ไปด้วยอยู่แล้ว หรือการบ้านเองก็เหอะ มันจำเป็นต้องให้งานครับ เพราะไม่ใช่นักเรียนทุกคนจะไปให้คนอื่นทำให้แปลให้ครับ 3. มันก็มีคนที่อ่านเข้าใจนี่ครับ อย่างสมัยผมเรียนก็ไม่เห็นมีใครต้องไปจ้างแปล text เลยครับ ก็เรียนกันด้วย text รู้เรื่องกันทุกคน อีกอย่าง หลายสาขา โดยเฉพาะสาขาทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีส่วนใหญ่ มันไม่ได้มีตำราภาษาไทยดีๆ ทุกเรื่องครับ ส่วนใหญ่ต้องใช้ text ในการเรียนครับ จากคุณ : ชาเขียว - [ 13 ก.ย. 51 21:00:51 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ชื่อมันก็บอกอยู่นี่ครับพี่ ว่า ที่นี่... คือ "ห้องเรียนภาษาอังกฤษ" ;) แม้ไม่ใช่ทั้งหมด แต่คงปฏิเสธกันไม่ได้ว่า การแปล ก็คือ แอคติวิตี หนึ่งในห้องเรียน ชะมะ จากคุณ : Along the restess sea. - [ 13 ก.ย. 51 22:48:58 A:58.64.82.227 X: TicketID:133565 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ู^ ^ การแปลเป็นส่วนหนึ่งของการเรียน แต่การเอางานของตัวมาให้คนอื่นแปลให้ แล้วเอาไปส่งครู จัดว่าเป็นความสูญเปล่าของการศึกษา ถ้าแปลไม่ออก มาถามได้ แต่ไม่ใช่ว่ามาหาคนทำให้ จากคุณ : ผ่านมา - [ 13 ก.ย. 51 23:35:39 A:58.8.172.43 X: TicketID:106200 ]

ความคิดเห็นที่ 4 การเรียนไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในห้องเรียน ครู (ที่ไม่ใช่ระดับอนุบาลหรือประถม) ไม่สมควรจะต้องมานั่งจับผิดเด็กว่ากลับไปบ้านแล้วให้ใครทำให้หรือเปล่า ครูมีหน้าที่ชี้นำ ชี้แนะ ช่วยเหลือ ถ้านักเรียนจะขี้โกง ก็ช่วยไม่ได้ (เดี๋ยวก็ไปโกงชาติต่อ เป็น vicious cycle เอง) จากคุณ : Genuine XXX - [ 14 ก.ย. 51 00:12:50 ]

ความคิดเห็นที่ 5 คุณ ผ่านมา สวัสดีครับ วันนี้ ผ่านมาดึกจังเลยนะครับ :) หากเป็น กรณีที่เอาการบ้านมาแปะไว้อย่างที่คุุณว่า อย่างผมก็เห็นด้วยครับ 1000% ซึ่งกรณีนี้ มันก็เป็นกรณีหนึ่ง ของหลายๆ กรณี ที่ จขกท กล่าวถึงว่าด้วยเรื่องการแปล นี่ครับ ทุกคนที่มา post ถามการแปล คงไม่ได้เอาไปส่งคุณครูทั้งหมด หรือ งานตัวเอง ทั้งหมด อย่างน้อย ผม คนนึงละ :) ประเด็นในความเห็นของผมใน #2 เพียงจะบอกว่า การแปลภาษาอังกฤษยังมีความจำเป็น สำหรับบางท่าน และก็ ดีแล้วครับ ที่ไม่ไป post ในห้อง ศุภชลาศัย หรือ ห้องราชดำเนิน เอาเค้ามาอยู่ ใน ห้องเรียนภาษาอังกฤษ ให้ครูๆ ที่นี่ เค้าได้อบรม ก็ถือว่า ดีระดับนึงแล้ว แค่นั้นเองประเด็นผม หนะ :) เพราะที่นี่ มันก็คือ ห้องเรียนนะครับ ที่สำคัญ ครูเลือกได้ครับ ว่าจะตอบหรือไม่ตอบ ไม่ตอบไม่ใช่ไม่อยากตอบ แต่กำลังสอนไปในตัวว่า เรียนอย่างไร แต่อย่าถึงขั้นปิดกั้น หรือ discourage ความอยากรู้อยากเห็นของเด็กๆที่กำลังจะ post ถาม ด้วย กรณีนี้กรณีเดียวเลย ที่เค้าเจอ พี่ๆ พร่ำตอบ อยู่บ่อยๆ เลยครับ ว่า อีกละ มาอีกละ :) เอ่อ ไม่ได้ว่า คุณนะครับ อันนี้ พูดจริงๆ (ผมเองก็ด้วยแหละครับ ) ผมเองก็เป็นนักเรียนคนหนึ่งห้องนี้ คุณ ผ่านมา ก็กรุณา ตอบกระทู้ผมบ่อยครับ ผมจำได้ และ เป็นประโยชน์กับผมมาก และขอบคุณด้วยนะครับ อย่างน้อยก็ ผมคนนึง ละครับ ก็ไม่ได้มา post เพื่อเอางานของตัวเองมาแปะ แล้วเอาไปส่งคุณครู :) ก็นะ...ผมว่า ครูกับนักเรียนห้องนี้ ดูท่าจะต้องสอน ต้องเรียน กันไปอีกนานแหละครับ สำหรับวันนี้ ดึกแล้ว ขออนุญาต นิทราราตรีสวัสดิ์นะครับ เที่ยงคืน แป๊ะ ๆ จากคุณ : Along the restess sea. - [ 14 ก.ย. 51 00:15:09 A:58.64.82.227 X: TicketID:133565 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ที่ต้องปล่อยออกมาข้างนอก ก็เป็นเรื่องปกติของการบ้านค่า ใครจะไปจ้างแปล อันนี้มันอยู่ที่ตัวบุคคล นักศึกษาที่ยากจนควรจะดีใจที่เสียเปรียบ แต่ได้ความรู้ ความพยายามของงานด้วยตัวเอง สุดท้ายใครที่ได้ผลประโยชน์? ก็ตัวคนที่แปลน่ะแหล่ะ ใครจะรวยจะจ้างใครทำ สุดท้ายออกไปใช้ชีวิตเอง ก็ทำไม่ได้เอง ไม่จำเป็นต้องเป็นงานแปล เด็กๆบางคนก็เอาการบ้านกลับมาให้พ่อแม่ทำให้ ทั้งงานฝีมือ หรืองานทั่วๆไป ตอนสอบเค้าก็ตกอยู่ดี เพราะเค้าไม่ได้คิดอะไรเลย นั่งรอคำตอบที่ป้อนให้ ถึงรู้ ถึงมีคำตอบ แต่ก็ไม่มีทางเข้าใจได้จริงๆเท่าคิดเองหรอก อย่างภาษิตจีนบอกไว้ว่า อ่านหนังสือหมื่นเล่ม ไม่เท่าเดินทางร้อยลี้ (จำผิดเปล่าหว่า?) เราก็มีเอางานมาให้เพื่อนๆในห้องนี้ช่วย edit (เพิ่งตั้งเมื่อวานเอง อยู่ด้านล่างไปหน่อย) แต่ถ้าถามว่าเราไม่ได้ความรู้เรื่องการแปลเลยเหรอ? ก็ไม่จริง เพราะเราทำมาก่อนแล้ว แต่เราหาข้อผิดพลาดของตัวเองไม่เจอ พอคนอื่นช่วยดูให้ เค้าก็บอกตรงนี้ผิดนะ ตรงนั้นก็ีิผิด เราถึงจะเห็นว่า อ้อ คำนั้นคำนี้มันใช้แบบนี้นี่เอง ซึ่งอาจารย์ไม่สามารถจะมาจ้ำจี้จ้ำไชแบบนี้ให้ได้ทุกคนใช่มั้ยคะ? ไม่ได้หมายถึงคนเอามาให้ทำทั้งดุ้นนะ เพราะนั่นไม่ได้ฝึกอะไรเลย นี่คือเราพูดถึงที่ จขกท ถามไว้ในข้อ 1 "เรียนวิชาการแปลหรือวิชาภาษาอังกฤษ ทำไมไม่ให้แปลสดๆ ในชั้นเรียน ปล่อยออกมาข้างนอกอย่างนี้ก็รู้อยู่แล้วว่านักเรียนนักศึกษาจะไปจ้างเขาแปลก็ได้ ซึ่งนักเรียนนักศึกษาที่ยากจนจะเสียเปรียบ หรือจะมาขอใช้บริการแปลฟรีจากท่านผู้ใจดีตามเว็บต่างๆ ก็ได้ แต่ไม่ว่ากรณีจะเป็นอย่างใด นักเรียนนักศึกษาผู้นั้นจะไม่ได้ความรู้เรื่องการแปลหรือการเรียนภาษาอังกฤษตามวัตถุประสงค์ของการศึกษาติดตัวไปเลย" จากคุณ : พีพี.พูพู - [ 14 ก.ย. 51 00:58:55 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ไม่ได้อยู่ในวงการการศึกษานะคะ แต่ขอแสดงความคิดเห็นด้วย 1. เรียนวิชาการแปลหรือวิชาภาษาอังกฤษ ทำไมไม่ให้แปลสดๆ ในชั้นเรียน ปล่อยออกมาข้างนอกอย่างนี้ก็รู้อยู่แล้วว่านักเรียนนักศึกษาจะไปจ้างเขาแปล ก็ได้ ซึ่งนักเรียนนักศึกษาที่ยากจนจะเสียเปรียบ หรือจะมาขอใช้บริการแปลฟรีจากท่านผู้ใจดีตามเว็บต่างๆ ก็ได้ แต่ไม่ว่ากรณีจะเป็นอย่างใด นักเรียนนักศึกษาผู้นั้นจะไม่ได้ความรู้เรื่องการแปลหรือการเรียนภาษาอังกฤษ ตามวัตถุประสงค์ของการศึกษาติดตัวไปเลย - เข้าใจว่าถ้าให้แปลสดๆ ในชั้นเรียนคงจะเสียเวลามากค่ะ  ให้การบ้านเลยจะง่ายกว่า   2.  ให้ทำการบ้าน/รายงานเป็นภาษาอังกฤษ โดยมุ่งหวังว่ายิงนัดเดียวได้นกสองตัว คือเข้าใจเนื้อหาวิชาด้วย ได้ภาษาอังกฤษด้วย ถ้าเป็นอย่างนี้นะ อาจไม่ได้นกสักตัว - ข้อนี้ต้องถามคนเป็นอาจารย์ค่ะ (^_^)   สมัยเีรียนไม่เคยเจอแบบนี้  แต่จริงๆ ถ้านักศึกษาทำได้มันก็เป็นประโยชน์แก่ตัวเองนะคะ  เพราะเวลาทำรายงานจะได้สามารถเสิร์ชหาข้อมูลภาษาอังกฤษมาเพิ่มเติมได้ด้วย 3.  ตำราเรียน (text book) เป็นภาษาอังกฤษ นักเรียนนักศึกษาอ่านไม่เข้าใจ จึงมาขอให้ช่วยแปล หรือไปจ้างเขาแปล ถ้าเป็นอย่างนี้นะ นักเรียนนักศึกษาที่ยากจน ตายห่ะแน่ๆ เลย       -  ถ้า text book เป็นภาษาอังกฤษ  นักศึกษาควรจะอ่านและทำความเข้าใจด้วยตัวเอง  จริงๆ ไม่้ต้องถอดคำให้สละสลวยก็ได้ แค่เข้าใจก็พอ  แต่เราคิดว่าเวลามาโพสต์ถามก็แปะมาให้ทั้งดุ้น คนแปลให้คิดไปเองว่าเขาต้องการคำที่สละสลวยก็ช่วยกันแปลใหญ่  ทั้งๆ ที่จริงๆ ไม่จำเป็นเลย เรามองว่าในระหว่างเรียนมหาวิทยาลัยเป็นการฝึกนักศึกษาให้พร้อมที่จะศึกษาด้วยตัวเอง+มีความรับผิดชอบไปในตัว  ครู/อาจารย์มีหน้าที่ "ให้" แต่ไม่ควร "ป้อน"  อาจารย์ควรจะฝึกให้นักศึกษารู้จักเรียนรู้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่ป้อนทุกอย่างให้  พอถึงเวลานักศึกษาก็วิเคราะห์ไม่เป็น  ถ้านักศึกษาไปจ้างเขาแปลก็ช่วยไม่ได้  ถึงเวลาสอบ สอบไม่ผ่านก็เป็นผลเนื่องมาจากการกระทำของตัวเอง และเป็นบทเรียนของนักศึกษาเอง จากคุณ : lalabel - [ 14 ก.ย. 51 10:55:30 ]

ความคิดเห็นที่ 8 พอเข้าใจแล้วครับ ถามต่ออีกนิดนึง ถ้ามีนักเรียนนักศึกษามาขอให้ช่วย edit แล้วผม edit ให้อย่างเนียนๆ เลย คะแนนที่นักเรียนนักศึกษาคนนั้นได้ จะเป็นอย่างไร โดยที่คำว่า เนียนๆ นี้แบ่งออกเป็นสองกรณี 1. ผม edit ให้ดีกว่าพื้นฐานของเด็กคนนั้นนิดหน่อยเท่านั้น อาจารย์ไม่มีทางจับได้ 2. ให้เนียนจริงๆ เลย อาจารย์เห็นปุ๊บรู้เลยว่าไม่ได้ทำเอง จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม - [ 14 ก.ย. 51 15:38:04 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เรื่องให้คะแนน ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ  เพราะไม่ใช่อาจารย์ แล้วมาตอบทำไมเนี่ย (-_-") แต่ปกติถ้าเราช่วย edit งานใคร  เราจะพยายามคงรูปเดิมของเค้าไว้ให้มากที่สุดนะคะ  แค่ช่วยทำให้มันอ่านแล้วเข้าใจมากขึ้นเท่านั้นเอง จากคุณ : lalabel - [ 14 ก.ย. 51 16:52:16 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เราคิดว่าคุณหนุ่มไทยไร้นามหมายถึง นักศึกษาที่ใช้ login "นู๋คือใคร” เราอยากจะแสดงความคิดเห็นเรื่องนี้ก่อนคุณหนุ่มไทยไร้นามเสียอีก แต่ไม่กล้า เพราะกลัวนักศึกษาเสียกำลังใจ แต่พอคิดๆแล้วเราว่า พูดตรงๆ จะดีกว่า เพราะนักศึกษาจะได้รู้ว่า “ตอนนี้ตัวเองอยู่ในสถานการณ์เช่นไร และตัวเองหรืออาจารย์เธอจะปรับกระบวนการเรียนการสอนการแปลได้อย่างไร ให้มัน logical” เรามาดูกระทู้แรกเรื่องเรียนการแปล ที่เธอ posted ไว้ คืออันนี้ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K6971506/K6971506.html กระทู้นี้ อ่านแล้วตีความได้ว่า “อาจารย์เธอ ให้เธอแปลหนังสือทั้งเล่ม (แปลอังกฤษเป็นไทย) นี่คืออีกกระทู้ที่เธอ posted ไว้ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K6974412/K6974412.html กระทู้นี้ อ่านแล้วตีความได้  2. อย่างคือ 1. อาจารย์ให้เธอแปลไทยเป็นอังกฤษ 2. เธอขยัน อยากหาลำไพ่พิเศษพร้อมเรียนหนังสือ จึงไปรับงานแปลมาทำเป็นงาน freelance แต่ยังแสดงความคิดเห็นแบบเจาะลึกไม่ได้เพราะยังไม่เห็นนักศึกษาเขียนภาษาอังกฤษ นี่คืออีกกระทู้ที่เธอ posted ไว้ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K6992718/K6992718.html ให้สังเกตดูลักษณะภาษาอังกฤษที่นักศึกษาเขียน (เรา copied มาแปะไว้ มันเป็นอย่างที่เห็นข้างล่างนี้ ถ้านักศึกษายังไม่ได้เปลี่ยนแปลงแก้ไขนะ...) ช่องทางการจัดจำหน่าย จัดส่งให้กับโรงแรม ร้านนวดแผนไทย ร้านขายของที่ระลึก จัดส่งให้กับลูกค้าประจำ และพ่อค้าคนกลาง การจัดจำหน่ายของเรามุ่งเน้นไปที่ชาวต่างชาติ  สินค้าของเราผลิตในประเทศและส่งออกภายในประเทศ  ทางร้านมีการจัดจำหน่ายทั้งปลีก-ส่ง Distributions our send product for the hotel  Thai masage  sourvenir shop  (ลูกค้าประจำ เค้าเรียกว่าไรอ่ะคะ) and  middle man . Distributions our target  foreigner . Our product made in Thailand and export in Thailand only .  Our shop have distributions type (ปลีกและส่ง เค้าเรียกว่าอะไรคะ). จะเห็นได้ว่าข้อผิดพลาดแบบนี้คือ Distributions our send product for the hotel   บ่งชี้ว่า นักศึกษายังไม่รู้ parts of speech ซึ่งเป็น grammar ระดับต่ำสุดที่เรียนในระดับประมาณ ประถม หรือ ม.ต้น   และข้อผิดพลาดอันนี้คือ Our shop have distributions type (ปลีกและส่ง เค้าเรียกว่าอะไรคะ). แสดงให้เห็นว่า นักศึกษายังไม่รู้ grammar เรื่อง agreement ระหว่าง subject กับ verb ซึ่งก็นับว่าเป็น grammar ระดับประถมอีกด้วยเช่นกัน คราวนี้เราลองมามองเจาะลึกดู ในกรณีที่ 1. อาจารย์ให้เธอแปลไทยเป็นอังกฤษ 2. เธอขยัน อยากหาลำไพ่พิเศษเวลาเรียน จึงไปรับงานแปลมาทำเป็นงาน freelance เรามาพูดถึง ข้อ 2. ก่อน ถ้าเป็นกรณีข้อ 2. คือรับงานแปลไทยอังกฤษมาแปลเพื่อหาลำไพ่พิเศษ ก็นับว่า “ใจกล้า” และ “ลักไก่” สุดๆ เพราะแปลออกมารับรองว่าอ่านไม่รู้เรื่องแน่ๆ  เรายังแปลกใจเลยว่า ลูกค้าอ่านไม่รู้หรือว่าภาษาอังกฤษอ่านไม่เป็นภาษาคนเลย ทีนี้เรากลับมาพูดถึง ข้อ 1.  ถ้าอาจารย์ให้เธอแปลไทยเป็นอังกฤษ แล้วเธอแปลเอง โดยไม่ขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น จะเป็นการดีสำหรับตัวเธอเองเสียมากกว่า  เพราะอะไร?  เพราะพออาจารย์มองดูประโยคที่เธอแปล ก็จะเหมือนแพทย์ “วินิจฉัยโรค” อาจารย์ (แพทย์) จะสั่งยาได้ถูกขนาน  ยาขนาดนั้นก็คือ   “ต้องงดการแปลหนังสือทั้งเล่มก่อน” เนื่องจาก การที่จะแปลหนังสือทั้งเล่ม โดยผู้แปลไม่รู้ grammar และไม่รู้ sentence structure ระดับ ประถมหรือ ม. ต้น นั้น โอกาสที่จะ “อ่านต้นฉบับไม่รู้เรื่อง แล้วแปลผิดเพียบเลย มีความน่าจะเป็นไปได้สูง เกิน 100%” นั่นก็หมายความว่า ถ้าอาจารย์ปล่อยให้เธอแปลหนังสือ (อังกฤษเป็นไทย) ไปทั้งเล่ม แล้วอาจารย์ตรวจแก้ทั้งเล่ม อาจารย์ก็ต้องซัดพาราฯเป็นกำๆ จนอาจารย์ไม่มีเวลาเตรียมการสอนอย่างมีประสิทธิภาพ   แต่ถ้านักศึกษาทำงานแปลไทยเป็นอังกฤษเอง แล้วส่งข้อคำแปลไปโดยมีข้อผิดพลาดอย่างที่มีอยู่ อาจารย์ก็จะหาทางเยียวยา แต่จริงๆแล้วเยียวยาอาจไม่ทัน ถ้าเป็นปริญญาโทการแปล (เราไม่แน่ใจว่านักศึกษากำลังเรียนการแปลในระดับไหน) เนื่องจากหลักสูตรมันสั้นมากๆ การกลับไปเรียน grammar ตั้งแต่พื้นฐาน เวลาแค่ 2 ปีเรียนไม่ทัน!!!  การแปลนิยายทั้งเล่ม ถ้าผู้แปลไม่มีความรู้เรื่อง basic grammar และไม่มีความรู้เรื่อง sentence structure ผู้แปลไม่มีทางแปลได้ เพราะว่า “จะแยกประโยคไม่ถูก” ยิ่งไม่รู้ parts of speech ละยิ่งยุ่ง เพราะจะไม่รู้ว่าใครทำอะไร และทำกับใคร ที่ไหน  ดังนั้น อาจารย์ต้องถามตัวอาจารย์เอง หรือถามระบบสถาบันว่า “นักศึกษาผ่าน placement test เข้ามาได้อย่างไร !!!??” แต่ในอีกความเป็นไปได้ นั่นก็คือ ถ้านักศึกษาเอาคำแปลที่ edited (ตรวจแก้) แล้ว โดยผู้อื่น ไปให้อาจารย์ดู หากคนที่มาช่วยแปล ไทยเป็นอังกฤษ เขียนภาษาอังกฤษพอใช้ได้ แต่มี non-native speaker’s errors อาจารย์ก็จะไปแก้ไข (สั่งยาขนานตรงกับ) ข้อผิดพลาดของคนที่ช่วยแปลให้  เท่ากับหมอตรวจอาการป่วย นาย ข. แล้วสั่งยาให้นาย ข. แต่นาย ข. เอายาของเขา ไปให้ นางสาว ก. รับประทาน นี่คือเรื่องยุ่งๆ (ละเอียดอ่อนมากๆ) เกี่ยวกับกระบวนการเรียนการสอนการแปล แก้ไขเมื่อ 15 ก.ย. 51 05:33:36 จากคุณ : agelesstansy - [ 15 ก.ย. 51 04:56:13 ]

ความคิดเห็นที่ 11 The Dao of Translation นักวรยุทธ์ที่เก่งกาจ กลับคืนสู่สามัญชน คือเดินๆไปไหน ไม่มีใครรู้ว่า เป็นนักวรยุทธ์ที่เก่งกาจ การสอนการแปลก็เป็น paradox คล้ายๆลัทธิเต๋า ด้วยเช่นกัน...นั่นก็คือ “กระบวนท่าเพลง ที่ใช้สอนการแปลได้ดีที่สุด ก็คือการสอนการแปลโดยไม่สอนการแปล” อ้าว...!!!งงหรือเปล่า? แทนที่จะพูดจากเหตุไปหาผล เราจะพูดจากผลไปหาเหตุ เขียนๆไปนะ ตัวเรายังงงเองเลยหละ...555+++... ถ้างง จะบอกใบ้อะไรให้ เป็นเรื่องการเรียนการสอนการแปล ที่ทั้งอาจารย์ทั้งนักศึกษา  หลายๆท่าน “ลืมคิดไป”   ดังจะเห็นได้ว่า มีนักศึกษาบางคนที่เรียนการแปลมาเล่าให้ฟังใน pantip ว่า “อาจารย์สั่งให้แปลนิยายทั้งเล่ม (แปลอังกฤษเป็นไทย)”  จากนั้นนักศึกษาก็ลองทำแบบฝึกหัด แปลไทยเป็นอังกฤษ แล้วแปะใน pantip ให้คนช่วยตรวจแก้  เราอ่านผ่านๆ แล้วพบว่า คำแปลภาษาอังกฤษที่เขียนมา  ประโยคมันไม่เป็นประโยคเนื่องจากนักศึกษาไม่รู้ basic grammar เรื่อง parts of speech  นั่นก็คือไม่รู้ว่า คำศัพท์ที่เป็น noun, verb หรือ adjective ฯลฯ เมื่อนำไปสร้างประโยคจะต้องพลิกแพลงรูปประโยคไปอย่างไร และไม่รู้เรื่อง agreement โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่า subject แบบนี้ verb ต้องเป็นแบบไหน นั่นก็แสดงว่านักศึกษายังไม่รู้ sentence structure ในภาษาอังกฤษ และการที่จะแปล “นิยายทั้งเล่ม” ถึงแม้จะแปลอังกฤษเป็นไทยก็ตามเถอะ แต่การไม่รู้ basic grammar และ ไม่รู้ sentence structure ในภาษาอังกฤษ มันจะทำให้นักศึกษา ตีความต้นฉบับภาษาอังกฤษผิดๆ มากมายหลายแห่ง เนื่องจากว่า  “แยกส่วนประโยคภาษาอังกฤษไม่ถูก” นั่นเอง  นั่นก็หมายความว่า ถ้านักศึกษาแปลผิดมา แล้วอาจารย์แก้ไป นักศึกษาก็จะงงว่าแปลผิดเพราะอะไร  และการ edit (ตรวจแก้) คำแปลของนักศึกษา (หลายๆคน) ก็ยิ่งทำให้อาจารย์มีเวลาเตรียมการสอนน้อยลง นั่นก็หมายความว่า การที่นักศึกษาหลายๆคน ยิ่งขยันแปลนิยายมากยิ่งๆขึ้น เวลาการเรียนการสอนหลักสูตร ก็จะเหลือน้อยลงทุกที ทุกที และเมื่อจบหลักสูตรไป จุดอ่อนของนักศึกษา ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขเยียวยา  นั่นก็คือนักศึกษาก็จะยังพูดหรือเขียนภาษาอังกฤษด้วย non-native speaker’s errors มากเกินควร ซึ่งก็จะนำไปสู่การฟังหรืออ่าน source text (ภาษาต้นทาง)ไม่รู้เรื่อง หรือแปลออกมาแล้วเรียบเรียง target text (ภาษาปลายทาง) ผิดธรรมชาติ อีกด้วย นั่นก็หมายความว่า นักศึกษายังห่างจากการเป็น bilingual อยู่ในระยะที่ไกลมากๆ  และเมื่อเรียนจบไปแล้ว และไม่มีอาจารย์คอยตรวจแก้คำแปลให้ นักศึกษาที่เรียนจบมาแล้ว ก็จะอยู่ในความมืดว่าจะ improve ตัวเองได้ด้วยวิธีไหน จากผลย้อนมาเหตุ พวกนักแปลหลายๆชาติคุยกันบนเวปต่างประเทศ พวกเขาพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า คนที่เกิดมามีพ่อพูดภาษาหนึ่ง มีแม่พูดอีกภาษาหนึ่ง จะกลายเป็น bilingual ไปโดยธรรมชาติ และไม่ต้องเรียนการแปล ก็แปลภาษาพ่อกับภาษาแม่ กลับไปกลับมาได้แบบสบายๆ  ในขณะที่คนที่เกิดมามีพ่อแม่พูดภาษาเดียวกัน และเขาเรียนภาษาที่ 2 แล้วหัดแปลกลับไปกลับมาระหว่างภาษาที่1 กับภาษาที่ 2 เรียนแทบตายกว่าจะเก่งเท่าคนที่เกิดมาเป็น bilingual โดยธรรมชาติ ดังนั้น ในการเรียนการสอนการแปล เราจะต้องเขียนสมการให้ถูก แล้วแก้สมการให้ถูก นั่นก็คือ ... “สอนให้นักศึกษาเรียนรู้ด้วยตนเองได้ว่า ทำอย่างไรตัวนักศึกษาจึงจะกลายเป็น bilingual ไปได้เหมือนเด็กที่มีพ่อพูดภาษาหนึ่ง และแม่พูดอีกภาษาหนึ่ง” เมื่อได้ expression นี้ ออกมาแล้ว เราก็ restate this expression differently นั่นก็คือ “สอนให้นักศึกษาเรียนรู้ได้ด้วยตนเองได้ว่า ทำอย่างไร จึงจะค่อยๆขจัด non-native speaker’s errors ให้หมดไป” สรุป การสอนการแปล ที่มีประสิทธิภาพนั้น ไม่ใช่เป็นการสอนการแปลโดยตรง หากแต่เป็นการสอนนักศึกษาว่า พวกเขาจะเรียนการแปลด้วยตนเองได้อย่างไร  เนื่องจากการแปลมีหลายสาขาวิชาการ มันเหมือนกับการสอนเทคโนโลยี เทคโนโลยีมันมีหลายสาขา ไม่มีอาจารย์คนไหนจะสอนนักศึกษาให้รู้เทคโนโลยีให้ได้ครบทุกสาขาภายในระยะเวลาหลักสูตรอันแสนจะสั้น ดังนั้น อาจารย์จึงสอนนักศึกษาได้แค่ความรู้พื้นฐาน และสอนให้นักศึกษาค้นข้อมูลเพี่อเรียนรู้เรื่องอื่นๆได้ด้วยตนเองต่อไปในอนาคต  ดังนั้นการสอนการแปลที่ดี จะต้องสอนเหมือนๆการสอนเทคโนโลยี นั่นก็คือ ไม่ได้สอนการแปลโดยตรง หากแต่เป็นการสอนว่า นักศึกษาจะเรียนรู้ได้ด้วยตนเองอย่างไรเพื่อที่จะค่อยๆขจัด non-native speaker’s errors ได้เพื่อกลายเป็น bilingual (ใน 2 ภาษาคู่ที่เขากำลังจะแปล)  ได้ในที่สุด นี่คือแนวคิดของ The Dao of Translation (เต๋าแห่งการแปล) “กระบวนท่าเพลง ที่ใช้สอนการแปลได้ดีที่สุด ก็คือการสอนการแปลโดยไม่สอนการแปล” แก้ไขเมื่อ 15 ก.ย. 51 05:28:32 จากคุณ : agelesstansy - [ 15 ก.ย. 51 05:17:01 ]

ความคิดเห็นที่ 12 1. แปลสดๆ ในชั้นก็มีค่ะ แต่ค่อนข้างช้า เพราะใช้พจนานุกรมแบบเล่ม ไม่มีแหล่งค้นข้อมูลเช่นอินเตอร์เน็ตอย่างเพียงพอ และต้องเขียนส่งค่ะ ส่วนถ้าเป็นการแปลปากเปล่าหรือพิมพ์ขึ้นจนในชั้น ส่วนใหญ่เป็นการถกกันค่ะ ซึ่งก็ต้องใช้เวลาในการออกความคิดเห็นเช่นกันค่ะ ดังนั้น อาจารย์จึงให้โอกาสนักเรียนมาค้นคว้าบริบทนอกห้องค่ะ ส่วนนักเรียนจะค้นคว้าหรือรอคว้าจากคนใจดี ก็เป็นความเพียรส่วนบุคคลแล้วล่ะค่ะ 2. วัตถุประสงค์ของคำสั่งอาจารย์ก็ควรเป็นอย่างนี้อยู่แล้วนี่คะ ได้ทั้งความรู้และภาษา นักเรียนสมัยนี้ก็จำเป็นต้องรู้จักค้นคว้า ห้องสมุดก็มี อินเตอร์เน็ตก็มี เลือกเอาสำหรับคนมีปัจจัยหรือไม่มีปัจจัย ใครมีคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตก็ได้เปรียบกว่า สมควรใช้ค้นคว้าหาความรู้ ไม่ใช่เอาแต่ออนเอ็ม เข้าเว็บเกมออนไลน์หรือห้องแช็ต ส่วนการบ้านก็มาโพสต์ให้คนอื่นทำให้ อาจารย์ก็อย่าเขี้ยวให้นักเรียนพิมพ์งานมาส่งเลยนะคะ บางคนกำหนดว่าต้องพิมพ์เท่านั้น ไม่ยอมอ่านลายมือนักเรียน เกินเหตุค่ะ นักเรียนก็เหมือนกัน พยายามคัดลายมือหน่อย อย่ารอจนเวลาจ้น ล่กๆ ตวัดปากกามาส่ง อาจารย์ก็ปวดหัวเป็นเนาะ (อันนี้ฟังอาจารย์บ่นมาค่ะ) 3. ตำราเรียนหากรอให้มีคนซื้อลิขสิทธิ์มาแปลก็อาจล้าสมัยไปเสียแล้ว จำเป็นต้องเรียนทั้งที่เป็นภาษาอังกฤษนั่นแหละค่ะ อันนี้อาจารย์ควรต้องดูความยากง่ายของภาษาให้เหมาะสมกับระดับการศึกษาค่ะ ไม่ใช่เอาตำรา ป.โท มาให้นักเรียน ม.4 เรียนกัน เห็นด้วยค่ะว่าถ้านักศึกษาที่ไม่มีเงินแล้วต้องมาจ้างแปลก็แย่เลย จะเอาเงินที่ไหนกิน ถ้าระดับภาษาเหมาะสม นักเรียนก็อ่านจับใจความเองได้ค่ะ ตอนเพื่อนเราเรียน ป.ตรี ที่มหาวิทยาลัยชื่อดังในกรุงเทพฯ (กว้างดีมะ) ก็มีอาจารย์ที่กำลังทำเลื่อนขั้นเอาตำรามาให้นักศึกษาในชั้นแบ่งกลุ่มกันแปลเป็นบทๆ แล้วบอกว่าเป็นส่วนหนึ่งของการเรียน เพื่อนเราก็ต้องทำนะ ไม่งั้นจะเอาคะแนนมาจากไหน แต่เพื่อนเราตงิดๆ ว่าอาจารย์นำไปใช้ประโยชน์อื่นนะ 4. เรื่องของการอีดิตที่คุณหนุ่มไทยฯ ถาม เราชอบการอีดิตแล้วเทียบเคียงได้กับพื้นฐานของนักเรียนคนนั้นๆ ค่ะ เพราะถ้าอีดิตจนรู้ว่าเขาไม่ได้ทำเองนี่ เรารู้สึกว่าเหมือนกระโดดข้ามขั้นไปเยอะ เด็กจะยิ่งงงว่าอะไรเป็นมายังไง แล้วก็จะยังคงไม่เข้าใจการใช้ภาษาเหมือนเดิม ต้องค่อยเป็นค่อยไปค่ะ (ว่ากันเฉพาะงานการบ้านเด็กนะคะ ไม่ใช่สำหรับเอาไปใช้ในธุรกิจ) ในแง่ของการให้คะแนน คนเป็นอาจารย์น่าจะรู้จักฝีมือลูกศิษย์ของตัวเองดีนะคะ ถ้าแก้ไขจนโดดละก็ อาจารย์ไม่น่าจะให้คะแนนดีนะคะ จากคุณ : Guga - [ 16 ก.ย. 51 00:40:25 ]