Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    [Fanfic]....ตำนานสะท้านฟ้า บทที่ 1ตอนที่ 7.....{แตกประเด็นจาก K6988742}

    ตำนานสะท้านฟ้า บทที่ 1 เป่ย ตอนที่ 7 ปูนากลับรูปู

    ในวงพวกนักเลงต่างเล่าขานกันเนิ่นนานว่า ไข่มุกแห่งราชันย์คือกุญแจเข้าสู่ตำหนักเทพแปรปรวน หากผู้ใดได้ครอบครองไข่มุก ผู้นั้นจะได้ครอบครองสุดยอดวิชาอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าในตำหนักเทพ

    ดังนั้นชนชาวนักเลงทั้งหลายล้วนต้องการไข่มุกแห่งราชันย์เพื่อเป็นกุญแจเข้าสู่ตำหนักเทพด้วยกันแทบทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้แต่ซือเฮียตี๋ (ศิษย์พี่ศิษย์น้อง) พรรคเทวราช ยิ่งพวกมันเพิ่งได้แผนที่เข้าสู่สุสานลับแล้วนั้น ความหวังว่าจะได้ไข่มุกแห่งราชันย์จากสุสาน และได้เป็นยอดยุทธ์อันดับหนึ่งแห่งแผ่นดินยิ่งใกล้แค่เอื้อม ที่ไหนได้กลับถูกกังโส่วหู่ขโมยไปเสียก่อน พวกมันได้ฟังคำบอกเล่าเหตุการณ์จากพวกลูกน้อง ก็โกรธจนควันแทบออกจากหู

    เมื่อสุสานลับถูกเปิดออกแล้ว ความลับเรื่องไข่มุกย่อมต้องมีผู้ที่ล่วงรู้ด้วยกันทั้งหมดสี่คน สองคนแรกคือ จูซีและหลงหย่งหว่อ สองคนนี้พวกว่านสี่เซี่ยทำอะไรมิได้อยู่แล้ว ดังนั้นพวกมันจึงพุ่งเป้าหมายมาที่พวกกังโส่วหู่แทน
    เพื่อเค้นหาความลับ ยังไงก็ต้องจับเป็นพวกกังโส่วหู่ทั้งสองคนให้ได้ แต่จางจุ้นกลับถูกไข่มุกแห่งราชันย์เล่นงานเสียก่อน

    เมื่อว่านสี่เซี่ยได้ยินเสียงตะโกนบ่งบอกถึงการมีอยู่ของไข่มุกแห่งราชันย์ดังขึ้น มันจึงเผยรอยยิ้มอันเหี้ยมเกรียมทันที ที่แท้ไข่มุกอยู่กับพวกกังโส่วหู่นี่เอง ว่านสี่เซี่ยคิดในใจ เมื่อคิดได้ดังนั้น มันจึงรีบว่าพรางคารวะพรางต่อจูซี

    "วันนี้ข้าพเจ้าติดธุระด่วน คงจะละเล่นกับพวกท่านมิได้เสียแล้ว"

    ว่านสี่เซี่ยกล่าวจบก็รีบหันหลังหมายจะจากไปอย่างรวดเร็ว หลงหย่งหว่อ เมื่อยิ่งรู้ว่าไข่มุกแห่งราชันย์อยู่กับพวกจางฝานทั้งสอง ยิ่งต้องขัดขวางมิให้ว่านสี่เซี่ยเข้าใกล้พวกมันให้จงได้

    "ท่านว่านกวงลู่สวิน (หมายถึงว่านสี่เซี่ย) จะรีบไปไหน"

    หลงหย่งหว่อพูดจบ ก็ไม่พูดพร่ำอีก เสือกแทงกระบี่ด้วยท่าอรุณเบิกฟ้า ทิ่มไปเบื้องหลังของว่านสี่เซี่ย ท่านี้เป็นหนึ่งในเพลงกระบี่อรุณรุ่งที่หลงหย่งหว่อคิดค้นขึ้นเอง กระบี่จะแทงตรงก่อน เมื่อศัตรูกลับรับ ก็วนกระบี่ขึ้นเบื้องบน จากนั้นจึงวกกลับมาเบื้องล่างอย่างรวดเร็ว ไม่ให้ศัตรูได้ตั้งตัวทัน

    ว่านสี่เซี่ยไม่กริ่งเกรงเพลงกระบี่แม้สักน้อยนิด สะบัดผ้าคลุมเพียงบางเบาต้านการบุกเข้ามา จากนั้นส่งร่างตามแรงกระบี่ของหลงหย่งหว่อ พุ่งไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว ที่แท้มันไม่ต้องการยื้อกับหลงหย่งหว่อจนพลาดโอกาสแย่งชิงไข่มุกไปนั่นเอง หลงหย่งหว่อพลาดท่า ทิ่มกระบี่ถูกเพียงอากาศธาตุ จึงบอกกล่าวแก่จูซี ขอติดตามไป หวังสกัดการไล่ล่าของว่านสี่เซี่ยให้ทันกาล

    ว่านสี่เซี่ยรีบวิ่งไปที่ประตูเมืองทิศใต้ในบัดดล ทิ้งให้พวกลูกน้องในพรรคสกัดหลงหย่งหว่อที่ติดตามมาเบื้องหลังอยู่ห่างๆ มันเองรู้ว่าลูกสมุนในพรรคไม่อาจสกัดหลงหย่งหว่อให้อยู่มือ แม้ในขบวนนั้นจะมีผู้คุมกฎถึงสองคนก็ตามที หากแต่มันต้องการแค่ถ่วงเวลาให้ช้าลงเพียงน้อยนิดเท่านั้น

    ตอนนี้ว่านสี่เซี่ยอยู่ห่างจากหลงหย่งหว่อร่วมห้าสิบกว่าเซี๊ยะ หลงหย่งหว่อยิ่งถูกสกัด ยิ่งรุ่มร้อนหวังเอาชัย มันแม้ชะงักงันเพียงน้อยนิด ไหนเลยจะติดตามยอดฝีมือเช่นว่านสี่เซี่ยทัน

    ตอนนี้พวกจางฝานขึ้นถึงกำแพงเมืองแล้ว และทำต่อสู้กับพวกทหารประจำป้อมเมืองเสียยกใหญ่ ทหารพวกนี้ไหนเลยจะต่อสู้กับชนชาวนักเลงได้
    กังโส่วหู่ใช้เชือกขอเกี่ยวเหวี่ยงทีสองทีก็กระเด็นกระดอนไปคนละทิศละทางแล้ว แต่พวกทหารนั้นมีมากมายจัดการอย่างไรก็ไม่หมดสิ้นเสียที ยิ่งยื้อนานเท่าไหร่กลับยิ่งเพิ่มจำนวนขึ้นเท่านั้น จางฝานเองปัดกระบี่ไปมา กันไม่ให้หอกดาบของพวกทหารเข้าถึงตัวได้ ต่อสู้อยู่พักใหญ่ๆ ก็เริ่มเหนื่อยหอบแล้ว เห็นทีคงต้องฆ่าเท่านั้นจึงจะหยุด!

    ที่แท้ในเวลาที่จางจุ้นตกลงไปสู่พื้น กังโส่วหู่ก็ได้ยินเสียงตะโกนของมันเช่นกัน จึงรีบบอกกล่าวให้จางฝานขึ้นไปให้ถึงป้อมกำแพงเมืองให้ทันเวลา ไม่เช่นนั้นหากว่านสี่เซี่ย ซือเฮีย(ศิษย์ผู้พี่)ของมันตามมาถึงคงไม่มีโอกาสหลบหนีอีกแล้ว พวกมันจึงไม่สนใจที่จะจัดการสังหารจางจุ้นแต่ประการใด รีบปีนป่ายให้ถึงเบื้องบนอย่างรวดเร็วเป็นพอ เมื่อกระโดดขึ้นข้างบนพลันพบเจอกับทหารสองนายขัดขวางเข้า ทหารนายหนึ่งรีบตีระฆังเตือนภัยขอกำลังสนับสนุนทันที

    กังโส่วหู่ร้อนยิ่งนัก หากจางจุ้นฟื้นมา หรือว่านสี่เซี่ยติดตามมาทัน ไหนเลยจะสู้กับยอดฝีมือเช่นพวกมันได้ ยิ่งคิดยิ่งรุ่มร้อน ทหารนายหนึ่งได้โอกาสจึงเสือกแทงหอกเข้าไหล่ขวาของกังโส่วหู่ทันที ยังดีที่หอกแทงเข้าไปไม่ลึกเท่าใดนัก เพียงเฉือดเนื้อไปหน่อยหนึ่งเท่านั้น ทั้งสองคนจึงต้องทำการฆ่าฟันทหารประจำป้อมอย่างจำใจ ทหารตายไปคนแล้วคนเล่า แต่ก็ไม่อาจสลัดหลุดพ้นมาได้

    จางฝานมองเห็นผู้คนจำนวนหนึ่งติดตามมาถึง มันสังเกตเห็นไอพิษปกคลุมร่างแต่ไกล นั่นต้องเป็นว่านสี่เซี่ยเป็นแน่!

    พรางบอกกล่าวให้กังโส่วหู่รีบหลบหนีเอาชีวิตรอด ทั้งสองคนต่อสู้กับทหารประจำป้อมบาดเจ็บภายนอกไม่น้อยเลยทีเดียว ยามเป็นตาย เหล่าผู้คนย่อมไม่คิดอะไรมากอีก พวกมันจึงตัดสินใจที่จะกระโดดลงจากป้อมเมืองไปยังพื้นนอกเมืองโดยทันที แม้จะไม่ถึงกับต้องตาย แต่อาจจะต้องพิการ

    กระโดดต้องกระโดด ยามนี้ในหัวของทั้งสองคนคิดแต่เพียงเท่านั้น กังโส่วหู่ร้องบอกส่งสัญญาณให้จางฝานกระโดดพร้อมกัน พวกมันสองคนเมื่อกระโดดลงไปก็หลับตาปี๋ ใครบ้างจะไม่กลัวเล่า? สูงขนาดนั้น!

    พวกมันกระโดดจนพ้นจากรัศมีของคูเมืองจนได้ ยังดีที่โชคช่วยไว้ได้ทัน พื้นตรงจุดลงนั้นเป็นพุ่มหญ้าหนาทึบพอดิบพอดี ถึงแม้จะไม่ต้องพิการ แต่ขาสองข้างของทั้งสองคนกลับสั่นไม่หยุด ต้องพักอีกสักหน่อยถึงจะมีเรี่ยวแรง แต่จะมีเวลาพักหรือ?

    พวกทหารยามบนป้อมเห็นดังนั้นถึงกับตะลึงลานกับที่ พวกมันที่ตกใจไม่ใช่อะไรเลย เนื่องเพราะพวกมันเห็นคนบ้าระห่ำสองคนกระโดดลงจากป้อมเมืองที่สูงขนาดนั้นได้ต่างหากเล่า? แม้แต่ยอดฝีมือในวงพวกนักเลง ยังไม่มีผู้ใดกล้าหาญเยี่ยงนี้!

    พวกทหารยามมีหรือจะปล่อยให้คนร้ายหลบหนีต่อหน้าต่อตาเชียว นั่นย่อมมิใช่วิสัยแน่ หากปล่อยให้คนร้ายหนีไปได้ นายเหนือของพวกมันคงลงโทษเป็นการใหญ่ พวกทหารยามเมื่อหายตกใจแล้ว รีบปลดเชือกชักรอกประตูเมืองลงมาอย่างรวดเร็ว พร้อมๆ กันนั้น ก็ร้องเรียกให้กองทหารม้าออกไปติดตามเบื้องนอกจนหมดสิ้น

    แต่กลับไม่พบพวกกังโส่วหู่ทั้งสองแม้แต่เงา!

    กังโส่วหู่และจางฝานเมื่อลงถึงพื้นได้อย่างปลอดภัย ถึงกับขาสั่นไม่หยุด แต่เมื่อเห็นประตูป้อมเมืองกำลังจะเปิด พวกมันก็ต้องรีบหลบหนีไปด้วยลักษณะอย่างนั้น ทั้งสองคนช่วยพยุงให้แก่กัน กังโส่วหู่คิดอยู่ตลอดว่าจะหนีรอดไปได้อย่างไร ในที่สุดมันก็คิดออกจนได้ จึงบอกแก่จางฝานให้รีบวิ่งไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือในบัดดล พวกมันวิ่งย้อนเมืองไปดังนี้ ไม่ใช่เท่ากับไปหาที่ตายหรือ?

    นั่นกลับมิใช่ เนื่องเพราะเป้าหมายของพวกมันคือวัดหลิงอิ่น อันเป็นวัดใหญ่ประจำเมืองหลวง พวกว่านสี่เซี่ยจะอย่างไรเสียก็คงไม่ติดตามไปถึงในเวลาอันรวดเร็วแน่ เพราะหากจะเข้าวัดหลวงแห่งนี้ได้นั้นต้องได้รับอนุญาตจากองค์ฮ่องเต้โดยตรงเสียก่อน เหตุที่เช่นนี้เนื่องจากว่าราชวงศ์ซ่งนั้นได้มีการทำนุบำรุงศาสนาต่างๆ เป็นอย่างดี วัดในพุทธนิกายใหญ่ๆ หลายแห่งก็ได้รับการบูรณะด้วย บางวัดก็ได้รับสิทธิพิเศษ เช่น วันหลินอิ่นแห่งนี้ เป็นต้น
    พวกมันคิดดังนั้นก็ใจชื่นขึ้นมาอีกมากโข หากไปถึงวัดหลิงอิ่นได้ทันท่วงที และแอบลอบเข้าไปพักรักษาตัวภายในวัดสักวันสองวัน ก็น่าจะมีเรี่ยวแรงพอหลบหนีพวกพรรคเทวราชได้แล้ว

    ขณะที่พวกมันวิ่งเลียบทะเลสาบซีหูไปนั้น ทิวทัศน์อันงดงามในบรรยากาศยามเช้าตรู่ที่ประกอบไปด้วยแสงของดวงอาทิตย์สะท้อนผิวน้ำระยิบระยับ หมอกอ่อนๆ ลอยละล่องปกคลุมไปทั่วทะเลสาบ มองดูสงบเงียบยิ่งนัก แต่เวลาแบบนี้ไหนเลยจะมีโอกาสพร่ำพรรณนาความงามได้เล่า?

    ในที่สุดทั้งสองก็ใกล้จะถึงจุดหมายปลายทางเสียที ตอนนี้เริ่มพวกมันวิ่งแยกกันได้แล้ว แม้อาการปวดขาจากกระโดดกำแพงเมืองจะยังไม่ทุเลามากก็ตาม
    พลันมีเสียงควบม้าดังแว่วมาแต่ไกล ที่แท้ก็คือกองทหารม้าที่ติดตามมาถึงแล้วนั่นเอง พวกมันเห็นพวกกังโส่วหู่ทั้งสองหลบหนีไปได้ จึงแกะร่องรอยติดตามมาจนเจอ แม้จะเสียเวลาไปบ้าง แต่ถึงยังไงม้าก็เร็วกว่าคนอยู่ดี พวกทหารม้าควบม้าตามหลังมาอย่างไม่ลดละ พร้อมเสียงคำสั่งให้หยุดจับกุมตัวดังอยู่ไม่ขาด พวกกังโส่วหู่ได้ยินเสียงดังนั้น ก็ยิ่งต้องรีบเร่งหลบหนี

    ถึงแม้กองทหารประจำประตูเมืองพวกนี้จะเป็นพวกฝ่ายเหยี่ยวก็ตาม หรือหากพวกมันรู้ว่าพวกกังโส่วหู่หลบหนีจากการติดตามไล่ล่าของว่านสี่เซี่ยจริงก็ตาม ถึงยังไงบ้านเมืองก็ย่อมต้องมีกฎ การผ่านเข้าออกเมืองต้องแจ้งก่อน ไม่เช่นนั้นก็ต้องจะถือว่าเป็นคนร้ายทั้งสิ้น

    เมื่อจับเป็นไม่ได้ ก็ต้องจับตาย! ทหารม้าเคลื่อนเข้ามาใกล้พวกมันขึ้นเรื่อยๆ จนถึงระยะยิง นายกองคนหนึ่งจึงสั่งการให้พาดสายธนูพร้อมยิง

    เมื่อสิ้นเสียงคำสั่งยิง ลูกธนูแหวกอากาศดังวิบวับติดตามหลังพวกกังโส่วหู่อยู่ไม่ขาด พลังสังหารของลูกธนูเย็นยะเยียบยิ่งนัก ลูกธนูนับสิบเฉียดผ่านร่างของทั้งสองคนเป็นระยะๆ ทั้งสองได้แต่หลบหลีกไปมาอย่างรวดเร็ว แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีบ้างที่หลุดรอดเข้ามาจนได้ จางฝานนั้นถูกลูกธนูปักเข้าเฉียดไหล่ซ้ายเป็นแผลลึก มันถึงกับร้องอย่างเจ็บปวด แม้แต่กังโส่วหู่ที่เป็นขโมยโดยอาชีพก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันนัก ยิ่งมันเสียเลือดจากการถูกแทงบนป้อมเมืองยิ่งไปกันใหญ่

    หรือทั้งสองคนจะตาย ณ ที่แห่งนี้!

    แต่พวกทหารพลันหยุดยั้งมือลงเสียก่อน ที่แท้พวกมันใกล้เข้าสู่เขตหวงห้ามแล้ว แม้ไม่ยินยอมล่าถอย ก็จำเป็นต้องล่าถอยจากไป
    พวกกังโส่วหู่ทั้งสองพาร่างอันสะบักสะบอมมาจนอยู่เบื้องหน้าวัดหลิงอิ่นจนได้ แต่เมื่อมาถึงจุดหมายกลับทรุดฮวบลงไปกองกับพื้นแทบจะทันที  
    ในทางเข้าวัดนั้นปรากฎมีไต้ซือวัยกลางคนรูปหนึ่งกำลังร่ำสุราอยู่เพียงลำพัง เมื่อเห็นพวกกังโส่วหู่ทั้งสองก็มาพยุง นำพาร่างของทั้งคู่หายเข้าไปในหมอกยามเช้า

    แก้ไขเมื่อ 30 ก.ย. 51 16:13:33

    แก้ไขเมื่อ 30 ก.ย. 51 16:12:36

    จากคุณ : กระบี่เก้าเดียวดาย - [ 30 ก.ย. 51 16:11:00 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom