Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    [นิยายแต่ง] ... เป่ยหนานตงซี ตำนานสะท้านฟ้า บทที่ 1ตอนที่ 8 ...{แตกประเด็นจาก K7048767}

    ตำนานสะท้านฟ้า บทที่ 1 เป่ย ตอนที่ 8 ราชสีห์ซุ่มซ่อน

    จางฝานนั่งเหม่อมองดูแสงที่กระทบอยู่บนพื้นน้ำของทะเลสาบซีหู มันนั่งอยู่เบื้องหลังของกระท่อมเก็บฟืนภายในวัดหลิงอิ่นนั่นเอง เนื่องจากที่ตั้งของวัดอยู่บนเนินเขา จึงมองเห็นทอดไปได้ทั่วทั้งทะเลสาบ ยิ่งกระท่อมเก็บฟืนนั้นอยู่เบื้องข้างของเนินเขาอันเป็นทิศทางเดียวกันกับด้านของทะเลสาบแล้ว ยิ่งมองเห็นได้สะดวกนัก ต้นไม้ที่บดบังก็มีอยู่น้อยนิดเต็มที

    แสงของดวงจันทร์ที่เว้าแหว่งและดวงดาวนับล้านๆ ดวงล้วนตกกระทบกับพื้นน้ำของทะเลสาบ บรรยายภาพที่สวยงามระยิบระยับจับตามิออกจริงๆ เบื้องหลังของจางฝาน กังโส่วหู่ประทบยืนแนบนิ่งกับเงาของราตรีอยู่ห่างๆ พรางถอดถอนหายใจเพียงบางเบา ส่วนเต้าจี้ไต้ซือนั้นเอนหลังพิงกับโคนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งข้างๆ กระท่อม ท่านนั่งจิบสุราในกระบอกไม้ไผ่ที่ไม่มีทีท่าว่าจะหมดลงไปเสียที

    กังโส่วหู่พลันโพล่งถามขึ้นมาทำลายบรรยากาศคราหนึ่ง

    "ท่านคิดจะเข้าไปในตำหนักเทพแปรปรวนหรือไม่"

    หลังจากที่ทั้งสามวิเคราะห์กันอยู่เนิ่นนาน ก็ได้คำตอบว่า โบราณสถานที่กานเจียงพบเจอนั้น อาจจะเป็นที่แห่งเดียวกับตำนานในวงพวกนักเลงที่มักเล่าขานสืบกันมาว่าคือตำหนักเทพแปรปรวนนั่นเอง จางฝานเหม่อมองท้องฟ้ายามราตรีอีกครา พรางกล่าวเสียงราบเรียบ

    "ข้าพเจ้าย่อมต้องอยากรู้ความลับของไข่มุกเม็ดนี้ ไม่ว่าจะอย่างไรเสีย ข้าพเจ้าก็ยังต้องไปยังตำหนักเทพเพื่อไขความลับดำมืดนี้ให้กระจ่างชัด"

    "เช่นนั้นหากท่านเดินทางไปถึงจิ่งกัง ท่านคงต้องแวะเข้าตึกตระกูลเฉินสักครา"

    "นั่นนับว่าถูกต้อง ความฝันของข้าพเจ้ามักทำให้ข้าพเจ้าเป็นกังวลเสมอมา หากข้าพเจ้าจะหลงลืมความฝันอันนี้เสียชั่วครู่ก็ยังพอกระทำได้ แต่ไหนเลยจะทนต่อการพยายามนั้นเล่า"

    กล่าวจบจางฝานก็ถอนหายใจออกมาเพียงบางเบา ทั้งมวลล้วนเงียบงันไปเสียครู่ใหญ่ๆ แม้แต่เต้าจี้ไต้ซือก็ยังมิยอมดื่มกินสุรา จากนั้นท่านจึงหายใจออกมาชั่วครู่หนึ่ง จึงได้รำพันออกมาตามสายลมโชยที่พัดผ่านร่าง

    "ชีวิตนี้หนอเกิดมาเพียงหนึ่งครั้ง ตายไปเพียงหนึ่งครั้ง ความทรงจำอันแสนประหลาดล้มหดหายไปเสียสิ้น ไหนอาจทราบได้เลยว่า ชีวิตทั้งชีวิตอาจยังต้องมีปฏิสัมพันธ์กับอีกภพหนึ่งอีกชาติหนึ่ง เกิดเป็นห่วงโซ่แห่งความทรงจำอันใหม่ขึ้นมา ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นแม้มิใช่ภาพลวงตา แต่ก็มิได้หมายความว่าจะไม่ใช่ภาพลวงตา"

    พวกกังโส่วหู่ทั้งสองล้วนงุนงงสงสัยเป็นอย่างยิ่ง ประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่กล้าเอื้อนเอ่ยถามประการใด เพราะพวกมันล้วนเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาสามัญเท่านั้น ย่อมไม่อาจที่จะเข้าใจถึงหลักสัจธรรมอันสูงส่งเช่นนี้ได้

    เมื่อเต้าจี้ไต้ซือได้รำพึงปรัชญาขั้นสูงเช่นนี้ขึ้นมา ยิ่งทำให้บรรยากาศที่เงียบวังเวงอยู่แล้ว ยิ่งวังเวงหนักขึ้นไปอีก กระทั่งลมหายใจยังไม่ค่อยจะได้ยิน ทั้งสามคนกระทำอยู่อย่างเดิมนั้น จนเกือบถึงยามจื่อ[1] จึงรีบกลับไปเข้านอน

    ที่แท้เวรยามดูแลกระท่อมเก็บฟืนของทางวัดหลิงอิ่นนี้ เป็นช่วงเวรยามของเต้าจี้ไต้ซือพอดิบพอดี ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดเข้ามาในบริเวณกระท่อมเก็บฟืนแห่งนี้แต่ประการใด อีกทั้งตัวกระท่อมยังอยู่ห่างจากวัดพอสมควรอีกด้วย นั่นยิ่งทำให้แทบจะเรียกว่าตัดขาดจากวัดไปเลยทีเดียว

    ในตอนแรกที่กำหนดเวรยามนั้นเจ้าอาวาสได้ให้เวรยามกระท่อมนี้แก่พระลูกวัดที่อาวุโสน้อยกว่าเต้าจี้ไต้ซือกระทำแทนไปแล้ว แต่เนื่องจากเต้าจี้ไต้ซือนั้นดื้อรั้นไม่ยินยอม นั่นทำให้เจ้าอาวาสถึงปวดหัวต่อพฤติการณ์ยิ่งนัก

    ที่เป็นเช่นนี้อาจเนื่องเพราะเต้าจี้ไต้ซือทราบดีว่า หากไปดื่มกินสุราอยู่ใกล้ๆ กุฏิเจ้าอาวาส ประเดี๋ยวท่านก็จะได้ไล่ตะเพิดออกมาอีก จึงรั้นที่จะรับหน้าที่ให้จงได้ แถมขออีกสองเวรยามต่างหาก ไหนเจ้าอาวาสเลยจะห้ามท่านได้ จึงจำยอมให้ท่านรับหน้าที่นี้ แต่ขอเว้นเวรยามไว้ให้แก่พระลูกวัดคนอื่นๆ บ้าง

    เวรยามในวัดนี้แบ่งกะออกเป็นทั้งหมดสี่กะ กะละเจ็ดวัน สามกะที่เต้าจี้ไต้ซือขอไว้กับเจ้าอาวาสก็ยี่สิบเอ็ดวัน นั่นไม่เท่ากับยึดเกือบทั้งเดือน[2] เลยหรือ?

    เสียงไก่ขัน พร้อมเสียงระฆังทำวัตรเช้าปลุกให้พวกจางฝานต้องตื่นขึ้นมาอย่างสลึมสลือ แม้ว่าพวกมันจะเคยตื่นเช้าอยู่แล้ว แต่ไหนเลยจะเช้าเยี่ยงเวลาแบบนี้ได้ ยิ่งช่วงหลังจากเกิดเหตุการณ์ที่หมู่บ้านหนานเฟิง (สุขสมบูรณ์แดนใต้) แล้วนั้น จางฝานที่ไม่ต้องทำงานในโรงเตี๊ยมอีก ก็เริ่มตื่นสายขึ้นมาบ้าง ส่วนกังโส่วหู่นั้นมันไม่ค่อยชินกับชีวิตกลางวันแบบนี้อยู่แล้ว นี่กลับยิ่งไม่ต้องให้พูดถึง

    แต่ไต้ซือจอมขี้เมานั้นเล่า ท่านกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย สงสัยคงไปทำวัตรเช้ากระมัง? ขณะที่ทั้งสองคนกำลังจะนอนต่อ พลันได้ยินเสียงลมดังพรึ่บพรั่บอยู่เบื้องนอกไม่ขาดสาย หรือศัตรูจะบุกเข้ามาแล้ว!

    พวกกังโส่วหู่รีบพุ่งทะยานออกมาดูเบื้องนอกกระท่อมอย่างรวดเร็ว ยิ่งตอนนี้พวกมันได้ฝึกฝนวิชากำลังภายในด้วยแล้ว แม้ตอนหลับ ตอนตื่น ตอนนั่ง ตอนนอน พวกมันก็ยังเดินพลังอยู่เนืองๆ ถึงจะเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่นั่นกลับทำให้ยิ่งพุ่งยิ่งรวดเร็วถึงขนาดนี้อย่างน่าประหลาด พวกมันนับมีพรสวรรค์ประการหนึ่ง หรืออาจเป็นเพราะประสบการณ์ต่อสู้ประการหนึ่ง

    ที่แท้เบื้องนอก เต้าจี้ไต้ซือ เพียงออกมาฝึกวรยุทธ์ยามเช้าเท่านั้น หาได้ไปทำวัตรกับพวกไต้ซือท่านอื่นๆ แต่ประการใด พวกกังโส่วหู่ออกมาเห็นก็ถึงกลับโล่งอกนึกว่าพวกศัตรูที่ไหนบุกมาเสียอีก ไต้ซือเห็นทั้งสองออกมาจากกระท่อมแล้ว จีงร้องทักขึ้นคราหนึ่ง

    "ท่านชมดูว่า เพลงหมัดเมา นี้ ใช้การอันใดได้หรือไม่"

    จางฝานและกังโส่วหู่ชมดูอย่างเพลิดเพลิน แม้ท่าก้าวย่างของเต้าจี้ไต้ซือจะสะเปะสะปะ แต่ทุกจุดที่พลังหมัดพุ่งออกไป กลับเป็นจุดสำคัญในตำราแพทย์โดยสิ้น หากยิ่งผสมกับกำลังภายในอันกล้าแข็งของท่านแล้ว ไหนเลยจะมีผู้ต่อต้านได้

    พวกมันชมดูจนจบท่ารำมวยก็โห่ร้องดีใจกันยกใหญ่ บอกเพลงมวยอันร้ายกาจอยู่ไม่ขาดปาก

    "เมื่อวานอาตมาได้สอนพวกท่านถึงวิธีการเดินพลังไปบ้างแล้ว พวกท่านนับว่าฝึกได้รวดเร็วอย่างยิ่ง ทะลวงจุดชีพจรได้รวดเร็วอย่างยิ่ง ดังนั้นวันนี้อาตมาจะสอนวิธีการปล่อยพลังให้"

    กล่าวจบ ท่านเต้าจี้ไต้ซือก็สาธยายถึงวิธีการปล่อยจิ้งทันที เริ่มจากเมื่อครั้นปล่อยพลังโคจรรอบกายครั้งหนึ่งแล้ว ก็ให้ใช้จุดอิ่นถัง (หยินต๊ก, ตาที่สาม) เป็นจุดที่บังคับให้พลังที่โคจรไปนั้นเคลื่อนไหวไปที่จุดที่ต้องการ หากใช้เพลงฝ่ามือหรือเพลงดาบกระบี่ก็ต้องเคลื่อนพลังไปที่จุดลั่วกง หากเป็นเพลงหมัดก็ให้เคลื่อนที่ไปยังจุดจงกุ้ย หากเป็นเพลงวิชาที่ต้องใช้สันฝ่ามือก็ให้เคลื่อนที่ไปที่จุดเสิ่นเหมิน ส่วนวิชาทำตัวเบานั้นท่านไต้ซือก็บอกกล่าวอย่างไม่ปิดบังว่านั่นเป็นได้แค่เพียงทฤษฎีเท่านั้นว่าให้โคจรไปที่จุดหย่งฉวน แต่ก็ไม่มีผู้ใดในวงพวกนักเลงคิดค้นวิธีการสำเร็จได้เลย ส่วนตำแหน่งอื่นๆ นั้นท่านให้ศึกษาเอาจากในตำราแพทย์เอง

    เต้าจี้ไต้ซือบอกกล่าวเพียงแค่นั้น จากนั้นจึงขอตัวไปขนกองฟืนกองใหญ่ไปไว้ให้พวกพระพ่อครัวที่เข้าเวรวันนี้

    พวกจางฝานทั้งสอง ฝึกฝนตามวิธีการที่ไต้ซือบอกกล่าวอยู่ไม่ขาด ในที่สุดกังโส่วหู่ก็ลองทำตามบ้าง มันลองฟาดพลังนั้นใส่กระบี่ ทิ่มไปยังต้นไม้ใหญ่เบื้องข้าง ลองสามสี่ครั้งจนรากฎมีริ้วรอยที่ลำต้นสายหนึ่ง แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น นี่นับว่าสำเร็จในระดับหนึ่งแล้ว

    จางฝานฝึกฝนตามอย่างบ้างแต่ไม่สำเร็จสักที จึงเฝ้างัดพลังออกมาเรื่อยๆ จนเริ่มเหนื่อยหอบก็หยุดพัก นั่งลงรวมลมปราณขึ้นมาใหม่อีกคำรบหนึ่ง
    ข้างกังโส่วหู่นั้น เมื่อได้ยินเต้าจี้ไต้ซือพูดตอนท้ายถึงวิชาทำตัวเบาว่าเป็นเพียงทฤษฎีเท่านั้น ยิ่งเท่ากับยั่วยุให้มันทดลอง ไม่ว่าจะด้วยฐานะของหัวขโมย หรือในฐานะของชนชาวนักเลงผู้หนึ่ง มันย่อมต้องทดลองให้ได้ คิดพราง เปิดตำราหนังสือไปพราง ทดลองไปพราง วันนี้ยังไงมันก็ต้องสำเร็จวิชาทำตัวเบาให้จงได้!

    ทั้งสองคนต่างครุ่นคิดถึงเรื่องของตัววิชาอย่างเพลินเพลิด ในที่สุดกังโส่วหู่ก็ร้องอ้อออกมาจนได้ จางฝานตกใจกับเสียงของมัน พลันปล่อยพลังออกไปยังต้นไม้ใหญ่อย่างไม่ทันตั้งตัว ปรากฏเสียงดังสั่นไหวขึ้นคราหนึ่ง

    ที่แท้ปราณกระบี่ถึงกับจมลึกเข้าไปในเนื้อไม้ถึงห้าหุน!

    จากคุณ : กระบี่เก้าเดียวดาย - [ 1 ต.ค. 51 17:23:09 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom