Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    [นิยายแต่ง] ... เป่ยหนานตงซี ตำนานสะท้านฟ้า บทที่ 1ตอนที่ 9 ...{แตกประเด็นจาก K7052424}

    ตำนานสะท้านฟ้า บทที่ 1 เป่ย ตอนที่ 9 กัลยาชาวมองโกล

    จางจุ้นเงยหน้าขึ้นคราหนึ่ง ในที่สุดก็จับจ่ออยู่กับการเคลื่อนไหวของว่านสี่เซี่ยเพื่อพิจารณาจุดอ่อนด้อยในคัมภีร์ของตน ในคัมภีร์หมื่นพิษเพียงบ่งบอกวิชาการใช้พิษเท่านั้น วิชาฝีมือต่างๆ ล้วนธรรมดาสามัญยิ่ง แต่ท่าร่างที่ว่านสี่เซี่ยใช้ ถึงกับสูงส่งเป็นอย่างยิ่ง พิสดารเป็นอย่างยิ่ง

    จางจุ้นเองก็ทราบว่า นี่คือหนึ่งในกระบวนเพลงมารฟ้า ในคัมภีร์ฉบับหลัง ซึ่งถูกซุกซ่อนไว้ในคัมภีร์หมื่นพิษ หลังจากพวกมันสับสังหารซือแป๋(อาจารย์)ของตน กลับสงสัยว่าเหตุใดเพลงยุทธ์ในคัมภีร์ล้วนธรรมดาสามัญต่างกับที่ซือแป๋สอนสั่งยิ่งนัก พวกมันจึงคัดลอกข้อความในคัมภีร์จนหมดสิ้น จากนั้นทดสอบด้วยวิธีการต่างๆ จนในที่สุดก็ได้พบกับคัมภีร์ในฉบับหลัง ซึ่งซ่อนอยู่ในแผ่นกระดาษของคัมภีร์หมื่นพิษอีกที

    ที่แท้ซือแป๋ของพวกมันก็มิทราบเรื่องนี้เช่นกัน เพราะก่อนที่ซือแป๋ของพวกมันจะได้ตำราจากซือโจ้ว(อาจารย์ปู่) ก็ร่ำเรียนวิชามารฟ้าจนเกือบสิ้น ครั้งหนึ่งก่อนที่พวกฝ่ายธรรมะจะมาทำลายหมู่บ้านหมื่นพิษ เพื่อหยุดซือโจ้วของมันก่อกรรมทำเข็ญ ซือแป๋ของพวกมันซึ่งได้รับการกำชับให้รักษาตำราเล่มนี้ก่อนแล้วก็นำพาคัมภีร์นี้หลบหนีออกมาได้

    หลังจากที่ฝ่าฟันการไล่ล่าของพวกธรรมะมาได้ ซือแป๋ก็เก็บรักษาสมบัติชิ้นนี้ติดตัวเสมอมา แม้นจะสงสัยใคร่รู้ แต่ก็มิอาจทำอย่างไรได้ เพราะนั่นอาจจะขัดคำสั่งบรรพจารย์ที่ยึดถือมาโดยตลอด จนในที่สุดท่านจึงมาพบเข้ากับศิษย์ชั่วทั้งสองคน

    กระบวนท่าในคัมภีร์มารฟ้านั้นเป็นส่วนต่อเติมจากคัมภีร์หมื่นพิษ จะบ่งบอกว่ามันเป็นคัมภีร์เล่มหลังก็ได้เช่นกัน เนื่องจากหากมิได้ฝึกคัมภีร์หมื่นพิษมาก่อน ย่อมฝึกฝนวิชาในคัมภีร์ฉบับหลังไม่ได้

    ในคัมภีร์หมื่นพิษนั้นเริ่มต้นด้วยการปูพื้นฐานวิชายุทธ์เกือบทั้งหมดพร้อมทั้งวิชาการใช้พิษทั้งมวล ส่วนคัมภีร์มารฟ้านั้นกลับอธิบายกระบวนท่าและวิชาลมปราณเป็นหลักเท่านั้น รวมไปถึงวิชาทำตัวเบาอันเป็นที่ถวิลหาในชนชาวนักเลงมาชั่วระยะเวลานาน

    ว่านสี่เซี่ยโคจรรอบๆ ท่าร่างของเต้าจี้ไต้ซือ พร้อมกับส่งเสียงหัวร่ออันชวนวิเวกวังเวงยิ่ง แม้นตอนนี้จะเป็นตอนกลางวัน แต่ในตอนที่มันใช้วิชานี้ กลับกลายทำให้พื้นที่โดยรอบถึงกับเป็นกลางคืน ต้นไม้ใบหญ้าที่สดใส แปรเปลี่ยนเป็นเหี่ยวเฉา หิมะที่ไม่มีทีท่าจะก่อตัว พลันร่วงโรยจากท้องนภาอย่างต่อเนื่อง

    พวกกังโส่วหู่ทั้งสองที่หลบอยู่เบื้องหลังพุ่มไม้ ถึงกับเริ่มมีน้ำตาซึมออกมาอาบสองแก้ม ห้วนนึกถึงเรื่องราวสุดแสนรัดทดที่ไม่อยากนึกถึง แม้นไม่ยินยอมยังมิอาจไม่มีอาการ

    เสียงหัวร่อของว่านสี่เซี่ยดังกังวานขึ้นเรื่อยๆ เต้าจี้ไต้ซือที่อยู่ภายในวงล้อมของเงาดำ เริ่มแสดงอาการประหวั่นพรั่นพรึง กระบวนท่าเริ่มรวนเรไม่ประติดประต่อ โลหิตสีแดงสดค่อยๆ ไหลย้อยลงมาตามมุมปาก

    เต้าจี้ไต้ซือตัดสินใจปิดหูไม่ยอมรับฟัง ใช้แต่จิตประสาทเข้าต่อสู้เท่านั้น เห็นเป็นมโนภาพเพียงว่านสี่เซี่ยก้าวเดินเหยียบย่ำไปมารอบๆ ตัว

    พระลูกวัดที่อ่อนอาวุโสเริ่มร้องไห้ระงม ปะปนกับเสียงของเหล่าทหารที่ติดตามอยู่เบื้องหลังไม่ห่าง มีเพียงจางจุ้นผู้ฝึกวิชามารสายเดียวกันกับฉินกุ้ยที่ยังมิได้สติเท่านั้น ที่ยังคงเฉยชาไม่แยแสต่อกระบวนท่าพิสดารนี้
    เสียงหัวร่อกลับยิ่งดังยิ่งแผ่วเบาขึ้นเรื่อยๆ ผู้ที่ไม่มีพลังวัตรหรือพุทธภาวะถึงกับเริ่มล้มลงสิ้นสติไปทีละคนสองคน เจ้าอาวาสกับเฟิงโป้ไต้ซือ รวมทั้งพระอาวุโสอื่นๆ เริ่มนั่งลงผ่อนคลายจิตใจ สวดพุทธมนต์เพียงบางเบา เพื่อสงบจิตใจที่เศร้าโศก

    ที่แท้กระบวนท่าที่ว่านสี่เซี่ยแสดงออกมาเป็นพลังอย่างหนึ่งในคัมภีร์มารฟ้า เรียกว่า หมื่นภูติคร่ำครวญ พลังนี้จะดลบันดาลให้ผู้ที่อยู่ในบริเวณทั้งหมดรวมทั้งคู่ต่อสู้มีภาวะอารมณ์ในแบบต่างๆ จากนั้นดึงเอาเรื่องราวไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ประเภทใดออกมาก็ได้

    ว่านสี่เซี่ยแสดงพลังออกมาเพียงขั้นที่หนึ่งเท่านั้น ขั้นนี้จะเรียกเอาความเศร้าโศกทั้งหมดจากก้นบึ้งของจิตใจโลดแล่นออกมา ซึ่งหากบาดเจ็บมาก่อนหน้าล้วนกระเทือนถึงอวัยวะภายใน

    เมื่อเห็นว่าไม่ได้ผล ว่านสี่เซี่ยกลับเร่งเร้าพลังถึงขีดสุด พลันแสดงขั้นที่สองออกมา ตอนนี้ทหารที่มีพลังวัตรเพียงพอเริ่มมองหน้ากันเหมือนอย่างกินเลือดกินเนื้อก็ปาน ล้วนเห็นภาพมายาเหมือนฝ่ายตรงข้ามเป็นศัตรูคู่แค้นกันแต่ชาติปางก่อน ชักอาวุธมีดสั้นออกจากเบื้องเท้า สืบเท้าเข้าหาฆ่าฟันฝ่ายตรงกันข้ามอย่างรุนแรง โลหิตไหลนองเต็มทั้งลานหน้าวัด เป็นภาพสยอดสยองหาใดเปรียบปานได้

    เจ้าอาวาสพลันส่งเสียง อมิตตาพุทธคราหนึ่งก่อนจะกล่าวว่าบาปกรรม บาปกรรม อีกหลายครา ส่งเสียงเจริญพุทธมนต์ดังขึ้นกว่าเดิมโดยทั่วหน้า มิกล้าส่งเสียงห้ามปรามประการใด นั่นเพราะหากส่งเสียงแล้วอาจถูกจิตมารเข้าครอบงำจิตใจในบัดดล

    จางจุ้นที่คุ้นเคยกับเสียงร้องโหยหวนของเหล่าผู้คนมานานไม่สนใจแยแส กลับยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม ฟาดฝ่ามือใส่ทหารที่มุ่งหมายเข้ามาใกล้เท่านั้น
    กังโส่วหู่เห็นท่าไม่ดี หันไปมองหน้าจางฝาน กลับพบเจอกับแววตาดุร้ายหมายฆ่าฟัน รังสีอำมหิตแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณ รีบจับตัวจางฝานเขย่าปลุกสองสามครา ร้องเรียกหาจนตื่นขึ้นมาจากฝันอันร้ายกาจ

    "นี่ข้าพเจ้าเป็นอะไรไป"

    "ท่านถูกเสียงปีศาจเรียกหาน่ะซี รีบโคจรพลังลมปราณป้องกัน ไม่เช่นนั้นข้าพเจ้าคงยื้อไม่ไหวเช่นกัน"

    ทั้งสองโคจรพลังเงียบงันอยู่เบื้องหลังพุ่มไม้ พลังเสียงนับจากบริเวณนี้ นับว่าน้อยกว่าที่อื่น ทั้งสองเลยรอดพ้นไปได้อย่างโชคช่วย ไม่เช่นนั้นหากอยู่ใกล้กว่านี้คงฆ่าแกงกันไป ตั้งแต่ว่านสี่เซี่ยเริ่มเปล่งพลังขั้นที่สองแล้ว

    ว่านสี่เซี่ยรู้สึกถึงผู้คนอื่นนอกบริเวณนี้มาเนิ่นนานแล้ว แต่ไม่รู้ว่าพวกมันทั้งสองนั้นเป็นใคร ทั้งไม่รู้ว่าอยู่ที่แห่งไหน ดังนั้นจึงใช้เสียงหมื่นภูติคร่ำครวญเช่นนี้ หนึ่งเพื่อเพิ่มความเจ็บช้ำภายในให้แก่เต้าจี้ไต้ซือ สองเพื่อเสาะหาตัวผู้ที่แอบอยู่ออกมา มันคาดคิดแล้วว่า ทั้งสองน่าจะเป็นกังโส่วหู่และพวก แต่มิทราบพวกประดานี้ทำเช่นไร ถึงรอดพ้นจากพลังเสียงปีศาจอันนี้ไปได้

    เหล่าทหารที่ติดตามเริ่มเหลือน้อยลงแล้ว หากใช้พลังต่อไป คงไม่เหลือกลับไปรายงาน ว่านสี่เซี่ยจึงหยุดยั้งความอำมหิตลง คนทั้งมวลเลยพลอยหลุดพ้นไปด้วย ล้วนหันหน้ามองกันอย่างประหวั่นพรั่นพรึงในพลังลี้ลับ บรรดาบริเวณกลับคืนเป็นกลางวัน หิมะที่ควรตกอยู่กลับหายไปสิ้น รวมทั้งพืชพันธุ์ต่างๆ ก็อยู่ดังเดิม ที่แท้เป็นเพียงภาพมายาประการหนึ่ง

    เหล่าทหารอยากจะถอยกลับไปแต่ก็กระทำมิได้ จะอยู่ต่อก็กลัวพลังลี้ลับอีก ทางหนึ่งก็นรก อีกทางก็นรก ได้แต่ยืนตัวสั่นงันงกอยู่ที่เบื้องหน้าลานวัดเท่านั้น เหล่าพระในวัดก็รีบปฐมพยาบาลผู้ที่สิ้นสติกันเสียยกใหญ่

    ว่านสี่เซี่ยหยุดยั้งเบื้องเท้าลง ยืนตะหง่านอยู่ที่เบื้องหน้าของเต้าจี้ไต้ซือ พลันยิงพลังปราณจากดรรชนีที่นิ้วไปอย่างรวดเร็ว ท่านไต้ซือหลบหลีกเป็นพัลวัน หันกลับมาอีกทีก็เห็นเงาดำอีกครา พลางส่งเสียงร้องขึ้น

    "ไอ้ตัวขลาดเขลา ไม่กล้าสู้หน้าอาตมาหรืออย่างไร"

    ว่านสี่เซี่ยได้ยินดังนั้น ถึงกลับหยุดยั้งเท้าลง มาตราว่ามันเป็นมารชั่วช้าเลวชาติเยี่ยงใด แต่ในใจนักสู้ หากถูกผู้อื่นหยาดหยันแล้วไซร้ พลันต้องบังเกิดอารมณ์เยี่ยงนี้

    เมื่อได้ผลเต้าจี้ไต้ซือก็สืบเท้าเข้าหาว่านสี่เซี่ยทันที ไม่รอให้มันตั้งท่าทางได้แต่ประการใด การต่อสู้เป็นไปโดยต่อเนื่อง เต้าจี้ไต้ซือกับว่านสี่เซี่ยต่อสู้กันเป็นพัลวัน นับว่ายังไม่มีผู้ใดแพ้ผู้ใดชนะ ท่าทางของเต้าจี้ไต้ซือยิ่งร่ายรำยิ่งเหมือนดั่งคนเมาเหล้ามิได้สติก็ปาน ส่วนว่านสี่เซี่ยนั้นเปรียบดั่งภูตผีร้ายที่มีความแค้นกับท่านเหนือกำหนด ไต้ซือรับได้ท่าหนึ่ง ว่านสี่เซี่ยโต้ตอบท่าหนึ่ง รุกรับกันไปมา

    ว่านสี่เซี่ยถือตัวว่ามีวิชาทำตัวเบาล้ำเลิศเกาะกุมไม่ห่างจากเต้าจี้ไต้ซือดั่งเงาตามตัว ไต้ซือกลับยืนรวนเรไม่มีที่ทางแน่นอน หันไปรับมือผ่านไปเกือบยี่สิบกระบวนท่า ก็เริ่มคุ้นเคยกับการยุทธ์บ้างแล้ว

    ในตำราพิชัยสงครามท่านว่าไว้ว่า การศึกมิหน่ายอุบาย เต้าจี้ไต้ซือเผยช่องว่างช่วงไหล่ ว่านสี่เซี่ยก็ยิ้มกริ้มหมายได้ชัยโดยเร็ว จึงรีบใช้ฝ่ามือฟาดไปอย่างเต็มแรง ที่ไหนได้ฝ่ามือกลับถูกเพียงอากาศธาตุ เต้าจี้ไต้ซืออ่านออกล่วงหน้าแล้ว เท้าถอยกลับด้านหนึ่ง หมุนกลับมาฟาดเต็มกลางหลังของว่านสี่เซี่ย มันร่ำร้องร้ายกาจอยู่ภายใน พระลูกวัดที่เริ่มฟื้นสติเริ่มโห่ร้องดีใจอีกคราเมื่อฝ่ายตนเองได้เปรียบ

    ว่านสี่เซี่ยเห็นจะเอาชัยยาก แม้นมันจะมีเปรียบหลายส่วน ดังนั้นจึงนึกขึ้นได้แผนหนึ่ง มันรีบฟาดฝ่ามือโต้ตอบในบัดดล สองฝ่ามือปะทะกันเกิดเสียงดังครืดๆ อยู่ไม่ขาด ผู้ชมดูล้วนอ้าปากเหม่อมองอย่างตะลึงลานกับที่ เพราะวิธีการนี้ คือการแลกกันไปข้างหนึ่ง โดยใช้วิชากำลังภายในโดยตรง

    ไม่ถูกกระแทกจนตาย ก็พิการแล้ว!

    เต้าจี้ไต้ซือไม่ทราบความนัยข้อนี้ ดังนั้นนึกว่ามันจะประลองกำลังภายในกัน แต่กลับลืมนึกไปว่าตนเองกำลังบาดเจ็บภายในอยู่ หากเจอกับวิชากำลังภายในอีก กลับยิ่งทำให้อาการกำเริบอาจถึงตายได้ นี่จึงเป็นข้อที่น่ากลัวที่สุดสำหรับวงพวกนักเลง

    ว่านสี่เซี่ยยิ้มกริ่ม เร่งเร้าพลังให้อ่อนนุ่มในตอนแรกขึ้นมาอีกระดับเพื่อต้านไว้ หวังให้เต้าจี้ไต้ซือตายใจ ในที่สุดแผนมันก็สำเร็จลุล่วงจนได้ เมื่อเต้าจี้ไต้ซือกลับดันพลังต่อต้านสุดฤทธิ์ ตอนนี้ยากจะถอนตัวแล้ว!

    ว่านสี่เซี่ยเร่งเร้าพลังจนสุดหยั่งคาด เต้าจี้ไต้ซือร่ำร้องผิดท่าอยู่ภายใน ครั้นจะดึงตัวกลับไป ก็อาจจะถูกพลังของฝ่ายตรงข้ามกระแทกจนตาย ครั้นจนอยู่ต่อก็พบว่าการเคลื่อนตัวของพลังภายในของตน กลับไม่ต่อเนื่องอย่างใจหมาย
    ว่านสี่เซี่ยยิ้มกริ่มในชัยชนะ ในที่สุดร่างของเต้าจี้ไต้ซือก็ไม่อาจต้านทานพลังที่ดุดันของมันได้ ค่อยๆ ทรุดฮวบลงไปเรื่อยๆ สองขาคล้ายดั่งไม่อาจหยัดยืนขึ้นมาอีก พลังของฝ่ายตรงข้ามทะลุทะลวงเข้าไปเกือบกระแทกถึงขั้วหัวใจให้ขาดสะบัด กลับเจอกลุ่มก้อนพลังพิสดารประการหนี่งโถมประดังเข้ามาเสียก่อน

    ว่านสี่เซี่ยร่ำร้องผิดท่า ครั้นจะคลายมือก็มิทันท่วงทีเสียแล้ว พลังนั้นก่อขึ้นมารวดเร็วเกินไป รุนแรงเกินไป จนไม่อาจคำนวณได้ กระแทกร่างของว่านสี่เซี่ยปลิวละลิ่วเข้าสู่กลุ่มทหาร พลังทั้งมวลล้วนถ่ายเทออกไปกระแทกทหารที่รองรับจนหมดสิ้น เลือดในกายล้วนทะลักออกมาตายคาที่แทบทุกคน

    ว่านสี่เซี่ยถึงกับไม่มีแรงจะหยัดยืนกับแรงกระแทก ยังดีที่พลังของมันไม่สลายหายไป เพียงเจ็บปวดภายในเท่านั้นคล้ายประหนึ่งโดนสกัดจุดไว้ทั่วร่าง จางจุ้นที่ดูเหตุการณ์โดยตลอด เห็นว่าซือเฮีย(ศิษย์พี่)ล้มลง ก็หันไปมองเต้าจี้ไต้ซือที่กำลังหยัดยืนขึ้น ขนาดซือเฮียยังทำกระไรมันมิได้ แล้วตัวจางจุ้นเองจะอยู่ไปทำไม?

    แก้ไขเมื่อ 03 ต.ค. 51 12:53:10

    แก้ไขเมื่อ 03 ต.ค. 51 01:51:21

    จากคุณ : กระบี่เก้าเดียวดาย - [ 3 ต.ค. 51 01:50:27 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom