ความคิดเห็นที่ 1 พระราชหัตถเลขา “ไกลบ้าน” ในวันศุกร์ที่ ๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวประทับเรือพระที่นั่งอัลเบียนเสด็จพระราชดำเนินสู่ท่าเรือเมืองออสโล ท่ามกลางประชาชนชาวนอร์เวย์ที่มาเฝ้ารับเสด็จพระองค์อย่างเนืองแน่น รวมทั้งยังมีพระเจ้าฮากอนที่ ๗ (King Haakon VII) พระมหากษัตริย์แห่งนอร์เวย์มารอรับเสด็จด้วยพระองค์เองอีกด้วย จากคุณ : secret letter - [ 13 ต.ค. 51 12:51:55 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ในการเสด็จประพาสกรุงออสโลเมื่อ ๑๐๐ ปีที่ผ่านมา พระเจ้าฮากอนที่ ๗ ทรงจัดเตรียมห้องภายในพระราชวังกรุงออสโล ให้เป็นที่ประทับสำหรับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยจัดให้ทางด้านซ้ายของพระราชวังเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่วนคณะผู้ตามเสด็จฯ พักอยู่ที่ชั้นกลางของพระราชวัง ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ ได้ทรงบรรยายเรื่องราวของพระราชวังแห่งนี้ไว้ว่า “ ที่พระราชวังนี้ ไม่สู้เก่านัก แต่ได้ทิ้งโทรม เจ้าแผ่นดินองค์นี้พึ่งมาซ่อมแซมขึ้นใหม่ แล้วสำเร็จก็พอพ่อมา...เจ้าของรับว่าจัดอย่างอังกฤษ เพราะแม่เรือนเปนอังกฤษ ซีกข้างซ้ายที่ตรงกันข้าม มีห้องใหญ่คั่นกลางอยู่ห้องหนึ่งเปนที่จัดไว้ให้พ่ออยู่ ” ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ทรงถ่ายพระราชวังกรุงออสโล (เมื่อ ๑๐๐ ปีก่อนชื่อกรุงออสโล ยังคงใช้ชื่อเดิมว่าคริสเตียเนียนะครับ เพิ่งจะมาเปลี่ยนในวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๘) จากคุณ : secret letter - [ 13 ต.ค. 51 12:54:11 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ภาพปัจุบันของพระราชวังกรุงออสโลเมื่อเวลาผ่านมาถึง ๑๐๐ ปี ซึ่งเมื่อยืนอยู่ที่พระราชวังแห่งนี้จะสามารถมองเห็นเมืองออสโลได้ทั้งเมือง จากคุณ : secret letter - [ 13 ต.ค. 51 12:55:30 ]

ความคิดเห็นที่ 4 วันเสาร์ที่ ๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรพิพิธภัณฑ์เรือไวกิ้ง (Viking Ship Museum) พิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าความชำนาญของด้านการเดินเรือชาวนอร์เวย์ โดยมีพระเจ้าฮากอนที่ ๗ เป็นผู้นำเสด็จทอดพระเนตรโดยละเอียด เนื้อความในพระราชหัตถเลขาไกลบ้านยังบอกเล่าถึงประวัติความเป็นมาของชนเผ่าไวกิ้ง ซึ่งถือเป็นชนชาติแรกของประเทศนอร์เวย์ และมีความชำนาญในการเดินเรือ ดำรงชีพด้วยการปล้นสะดมอันเป็นตำนานที่เล่าขานมาอย่างยาวนานนับ ๑,๐๐๐ ปี ในวันนั้น ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ ทรงเล่าถึงตำนานเรือไวกิ้งและเรือลำแรกที่ทรงทอดพระเนตร ซึ่งรายละเอียดในพระราชหัตถเลขาไกลบ้านสอดคล้องกับเรือไวกิ้งลำหนึ่งที่ยังคงจัดแสดงไว้ภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ โดยเป็นเรือไวกิ้งที่มีชื่อว่า “กุกสตัด” (Gokstad ship) ซึ่งขุดพบครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๔๒๔ “ เดิมในยุโรปไม่รู้จักพวกนอรวีเจียน พวกนี้มีเรือเรียกว่าไวกิงไปเที่ยวปล้นในทเล ลามหนักไปจนกระทั่งตีบ้านเมืองเช่นเดนมาร์ก อิงค์แลนด์แลเมืองฝรั่งเศสข้างล่าง ปล้นเอาทรัพย์สินแล้วกลับถิ่น ภายหลังกำเริบหนักขึ้น เลยจนถึงยึดถือที่แผ่นดิน เลยจนถึงปกครองแผ่นดินเปนเจ้านาย เรือที่พบนี้ฝังอยู่ในแผ่นดิน ซึ่งเข้าใจว่าผู้ที่เปนใหญ่เจ้าของเรือตายแล้ว เอาศพใส่ในลำเรือนั้นฝังทั้งเรือ มีเครื่องใช้สอยเครื่องประดับเสบียงอาหารบรรทุกไว้ในเรือนั้นพร้อม มีม้ามีวัว บางทีถึง ๔ตัว มีคนสำหรับใช้สอยฝังลงไว้ด้วยกันในคราวเดียว ” โฉมหน้าเรือไวกิ้งที่มีชื่อว่า กุกสตัด ซึ่งล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ ทรงทอดพระเนตรและบรรยายเรื่องราวไว้ในพระราชหัตถเลขาไกลบ้าน เมื่อ ๑๐๐ ปีก่อน จากคุณ : secret letter - [ 13 ต.ค. 51 12:57:27 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ระหว่างที่ประทับอยู่ที่กรุงออสโล ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ ทรงถ่ายภาพพระเจ้าฮากอนที่ ๗ กษัตริย์แห่งนอร์เวย์ ทั้งนี้ทรงบรรยายถึงกษัตริย์องค์นี้ว่า ว่า “ เจ้าแผ่นดินองค์นี้ รูปร่างงามกว่าเคราน์ปรินซเมืองเดนมาร์ก ไม่สู้สูงนัก อัชฌาไศรยดีเปนอย่างยิ่ง ชอบพูดเล่นขันขัน ความคิดอ่านแลความสังเกตหลักแหลมมาก เปนคนมีอาการเปิดเผย จะพูดจะทำอะไรตรงๆ ไม่มีกิริยาลับลมคมใน เปนผู้ซึ่งควรจะคบได้สนิท แลน่ารัก..” จากคุณ : secret letter - [ 13 ต.ค. 51 13:01:45 ]

ความคิดเห็นที่ 6 จากนั้น ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ จึงเสด็จถึงพิพิธภัณฑ์สกีเมืองออสโล ทอดพระเนตรลานกระโดดสกีและพิพิธภัณฑ์สกีสร้างขึ้นก่อนหน้าการเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ ๒ จะเกิดขึ้น ๑๕ ปี แต่ถูกใช้ครั้งแรกสำหรับกีฬาโอลิมปิคฤดูหนาวในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ โดยในส่วนของพิพิธภัณฑ์เปิดแสดงวิวัฒนาการของกีฬาสกี ซึ่งก็พอทำให้ทราบว่ามีความเป็นมายาวนานถึง ๔,๐๐๐ ปีเลยทีเดียว ภาพของแท่นกระโดดและมุมมองจากบนยอดกระโดดสกี ที่ทรงบรรยายไว้ว่า “สำหรับเปนที่ซึ่งจะเดินเลื่อนลงมาจากยอดเขาตามน้ำแขง แล้วมาถึงที่ก่อเปนเขื่อนคั่นไว้ชั้นหนึ่ง ตั้งแต่เขื่อนคั่นนั้น กระโจนลอยลงมาจนตกในสระข้างล่างน่ากลัวเต็มที่” จากคุณ : secret letter - [ 13 ต.ค. 51 13:05:24 ]

ความคิดเห็นที่ 7 จากพิพิธภัณฑ์สกีเมืองออสโล ในรุ่งเช้าของวันอาทิตย์ที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะเสด็จพระราชดำเนินขึ้นสู่ “ดินแดนเหนือสุด” ของประเทศนอร์เวย์ เพื่อทอดพระเนตรความงดงามของพระอาทิตย์เที่ยงคืน และจากนี้ไปคือกำหนดการการเสด็จอีก ๑ เดือนเต็มในประเทศนอร์เวย์ ซึ่งมีเส้นทางของการเสด็จประพาสที่ยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง แต่ในขณะเดียวกัน ตลอดเส้นทางก็มีทัศนียภาพที่สวยงามชวนมอง และจากนี้ก็จะเป็นเรื่องราวการตามรอยพระยุคลบาทของทีมงานสารคดี “๑๐๐ ปีไกลบ้าน ตามเสด็จพระพุทธเจ้าหลวง” กับการเดินทางอันทรหดที่แฝงไว้ด้วยความตื่นเต้น และประทับใจมิรู้ลืมบนดินแดนที่พระองค์ทรงเรียกว่า “ที่สุดแดนมนุษย์อยู่” “ ขอจบความเพียงเท่านี้ ขอลาขึ้นไปข้างเหนือ ซึ่งนับว่าเปนที่สุดแดนมนุษย์อยู่ แต่รู้สึกว่าจวนจะถึงเวลากลับอยู่แล้ว จึงไม่มีความอิดหนาระอาใจอะไร ได้รับหนังสือแล้วแต่เขียนตอบก็ไม่ทัน รู้สึกว่าเวลามีน้อยเสียจริงๆ ถึงยิ่บยิ่บ ข้อความคงจะขาดตกบกพร่องเสียเปนอันมากด้วยรีบเหลือเกินนัก แต่ขอให้อุ่นใจเถิดว่าพ่อมีความศุขสบายดี จุฬาลงกรณ์ ป.ร.” จากคุณ : secret letter - [ 13 ต.ค. 51 13:06:55 ]

ความคิดเห็นที่ 8 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวประทับรถไฟพระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินจากกรุงออสโลขึ้นสู่นอร์ทเคป (Northcape) เพื่อทอดพระเนตรความงดงามของพระอาทิตย์เที่ยงคืน ซึ่งตามเส้นทางพระราชดำเนินนี้ ทำให้พระองค์ต้องเสด็จผ่านเมืองต่างๆ ในประเทศนอร์เวย์มากมาย โดยจุดหมายแรกของเส้นทางก็คือ เมืองทรอนด์เยม (Trondheim) ภาพห้องโดยสารภายในรถไฟพระที่นั่งจากเมืองออสโลถึงเมืองทรอนด์เยม เป็นภาพที่อยู่ในหนังสือไกลบ้านฉบับแปลเป็นภาษานอร์เวย์ ซึ่งระบุใต้ภาพไว้ว่าเป็นห้องโดยสารที่ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ ทรงประทับเมื่อ ๑๐๐ ปีก่อน จากคุณ : secret letter - [ 13 ต.ค. 51 13:08:35 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ เสด็จเข้าประทับ ณ โรงแรมบริทันเนีย (Britannia Hotel) ซึ่งทรงมีพระราชปรารภในทันทีเกี่ยวกับโรงแรมแห่งนี้ว่าพอที่จะประทับได้ เนื่องด้วยเป็นโรงแรมที่ดีที่สุดของเมือง และเป็นการถวายคำแนะนำจากพระเจ้าฮากอนที่ ๗ ที่ทรงตรัสให้ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ จัดส่งคนมาเพื่อตรวจสภาพของสถานที่ประทับเสียก่อน เพราะไม่สะดวกที่จะให้พระองค์ประทับยังพระราชวังเมืองทรอนด์เยม จากคุณ : secret letter - [ 13 ต.ค. 51 13:10:06 ]

ความคิดเห็นที่ 10 พระราชวังเมืองทรอนด์เยม ซึ่งในพระราชหัตถเลขาทรงบอกเล่าถึงสถานที่แห่งนี้ว่า “ เจ้าแผ่นดินเสด็จมาราชาภิเศก ก็อยู่ตึกสำหรับเมือง คำที่เรียกว่าตึกนี้เห็นจะไม่ตรง รูปเหมือนตึกแต่ทำด้วยไม้ แต่ก็อยู่เวลาราชาภิเศกคราวเดียว ถ้าเวลาอื่นเสด็จมาก็อยู่โฮเตลที่พ่ออยู่ จากคุณ : secret letter - [ 13 ต.ค. 51 13:10:44 ]

ความคิดเห็นที่ 11 เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรวิหารนิดารอส ซึ่งพระมหากษัตริย์ประเทศนอร์เวย์ทุกพระองค์ ต้องเสด็จพระราชดำเนินมายังวิหารแห่งนี้ เพื่อประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกตามโบราณราชประเพณี ปัจจุบัน วิหารนิดารอสจัดเป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศนอร์เวย์ โดยล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ ทรงบรรยายความเกี่ยวกับตัวของวิหารไว้ว่า “ กินเข้าแล้วไปดูคะทีดรัล ซึ่งเปนที่ราชาภิเศกเจ้าแผ่นดิน วันนี้ทำด้วยศิลาอย่างอ่อนสีเทา ที่เรียกว่า โซปสโตน สร้างมา ๖๐๐ ปีแล้ว สัณฐานวัดก็เปนรูปไม้กางเขน แต่มีด้านหลังยาวออกไป ซึ่งเปนหลังคามุงกระเบื้อง เห็นจะไม่สูงเท่ากันกับข้างน่า เพราะฉนั้น จึงได้เปนเวลาที่ช่างกำลังจัดการก่อสร้างขึ้นใหม่ทำเปนมุขยาวแลสูงทันกันกับมุขน่า ถ้าหากว่าแล้วเสร็จ หอระฆังจะเปนสูนย์กลางยอด ” ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์บริเวณสวนด้านข้างวิหารนิดารอส เมืองทรอนด์เยม จากคุณ : secret letter - [ 13 ต.ค. 51 13:12:49 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ภาพเปรียบเทียบภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ทรงถ่ายบริเวณสวนด้านข้างวิหารนิดารอส เมืองทรอนด์เยม ครับ จากคุณ : secret letter - [ 13 ต.ค. 51 13:14:45 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ภาพไม่มา โทดทีครับ เอาใหม่นะครับ จากคุณ : secret letter - [ 13 ต.ค. 51 13:15:38 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ที่เมืองทรอนด์เยมนี้มีภาพเปรียบเทียบภาพถ่ายฝีพระหัตถ์หลายภาพครับ หนึ่งในนั่นคือบริเวณที่ใกล้กันกับวิหารนิดารอส ซึ่งเป็นจุดชมวิว ทางเชื่อมระหว่างเมืองเก่าและเมืองใหม่ โดยพระองค์ทรงถ่ายภาพเม่น้ำนิเดลวาเอาไว้นะครับ ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ทรงถ่ายแม่น้ำนิเดล จากคุณ : secret letter - [ 13 ต.ค. 51 13:20:31 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ภาพเปรียบเทียบครับ จากคุณ : secret letter - [ 13 ต.ค. 51 13:21:12 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ภาพหนึ่งที่ทีมงานสารคดีฯ ค้นพบในหนังสือไกลบ้านฉบับนอร์เวย์ มีส่วนช่วยเติมเต็มให้พระราชหัตถเลขาไกลบ้านสมบูรณ์มากยิ่งขึ้นก็คือ ช่วงของการเสด็จประพาสร้านค้าในเมืองทรอนด์เยม โดยล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ ไม่ได้ทรงบันทึกชื่อเสียงเรียงนามของร้านค้าที่ทอดพระเนตรไว้ แต่ในหนังสือไกลบ้านฉบับนอร์เวย์สามารถค้นหาชื่อร้านต่างๆ พร้อมภาพประกอบมาลงไว้อย่างสมบูรณ์แบบ จุดประสงค์ของการเสด็จร้านค้าในเมืองแห่งนี้ ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ ได้ทรงบอกเล่าถึงรายละเอียดไว้ว่า “ ได้เข้าร้านสามร้าน ซึ่งเปนแฟชันเนเบอล ที่ใครใครมาต้องเข้าทั้งนั้น เหตุด้วยต้องซื้อเครื่องแต่งตัวขนสัตว์ต่างๆ... คนมักจะเข้าใจว่าทรอนด์เยมนี้เปนเมืองเหนือใกล้นอทเคป แต่ที่จริงยังไกลมาก เพราะเหตุฉะนั้นจึงเปนท่าที่สำหรับจะตระเตรียมตัวขึ้นไปนอทเคป สามร้านนี้เปนที่มีชื่อเสียงใครไปมาก็ซื้อ ” ๑ ในจำนวน ๓ ร้านที่ทรงบันทึกไว้คือร้าน Henrik Moller เป็นร้านเครื่องเงินเก่าแก่ที่ยังคงเปิดให้บริการมานานนับ ๑๐๐ ปี จากคุณ : secret letter - [ 13 ต.ค. 51 13:24:09 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ร้าน Henrik Moller ในปัจจุบัน จากคุณ : secret letter - [ 13 ต.ค. 51 13:24:56 ]

ความคิดเห็นที่ 18 วันอังคารที่ ๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงยันทึกความตอนหนึ่งของการเสด็จประพาสเส้นทางจากเมืองทรอนด์เยมสู่นอร์ทเคปไว้ว่า “ ทางที่มาตั้งแต่ทรอนด์เยมคืนนี้ นับว่าคนไทยยังไม่มีผู้ใดได้เคยมาถึงเลย มีคนไทยที่ได้เคยมาถึงทรอนด์เยมแล้วสามคนเท่านั้น ระยะทางที่จะขึ้นไปจนถึงนอทเคปไกลมาก..” พระองค์จึงถือเป็นบุคคลเชื้อสายไทยพระองค์แรกที่เสด็จมายังเส้นทางนี้ เส้นทางระหว่างเมืองทรอนด์แฮมถึงนอร์ทเคป เรือพระที่นั่งได้ผ่านเกาะแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ยังคงได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวอยู่เสมอ เกาะแห่งนี้มีชื่อเรียกตามภาษานอร์เวย์ว่าท็อร์กฮาตเตน (Torghatten) ซึ่งล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ ได้ทรงแปลความหมายไว้ว่าเป็น “เกาะที่มีสัณฐานเป็นรูปหมวก” สถานที่แห่งนี้ก็ปรากฏภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ทรงถ่ายไว้จำนวนหลายภาพ ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ทรงถ่ายเกาะหมวก จากคุณ : secret letter - [ 13 ต.ค. 51 13:26:47 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ภาพเกาะหมวกในวันที่ทีมงานสารคดีฯ ได้เดินทางไปถ่ายทำครับ จากคุณ : secret letter - [ 13 ต.ค. 51 13:27:42 ]

ความคิดเห็นที่ 20 เมื่อเรือที่ทีมงานล่องออกจากเมืองทรอนด์เยม ผ่านเกาะหมวก จากนั้นก็มาถึงภูเขาพี่น้อง 7 นางที่ทรงยรรยายไว้ครับ สำหรับเทือกเขาพี่น้อง ๗ นางนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงบรรยายลักษณะของเทือกเขาแห่งนี้ไว้ว่า “ ถึงเขาพี่น้อง ๗ นาง เปนเขามียอดเรียงๆ กันไปเจ็ดยอด แต่ติดกันอยู่เปนแฝดสองยอด แนวเขา ๗ ยอดนี้เปนสายใน มีสโนเกาะอยู่ตามแอ่งๆ ไม่มีต้นหญ้าฤามีก็เหี่ยวไหม้ ” ภาพเทือกเขาพี่น้อง ๗ นางในวันที่ทีมงานสารคดีเดินทางด้วยเรือสำราญขนาดยักษ์เพื่อตามรอยเส้นทางเสด็จ จากคุณ : secret letter - [ 13 ต.ค. 51 13:30:19 ]

ความคิดเห็นที่ 21 เรือเดินสมุทรขนาดยักษ์ที่ทีมงานสารคดีฯ ใช้เดินทางตามรอยพระยุคลบาทผ่านเกาะพี่น้อง ๗ นางมาได้ระยะเวลาหนึ่ง ก็มาถึงจุดที่ตั้งของสัญลักษณ์ The Arctic Circle ที่ตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆ ในเวลา ๕ ทุ่มเช่นเดียวกับที่ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ ได้ทรงกล่าวไว้ในพระราชหัตถเลขาไกลบ้านของค่ำคืนวันอังคารที่ ๙ กรกฎาคม ความตอนหนึ่งว่า “ เวลา ๕ ทุ่มพระอาทิตย์จึงได้ตก แต่ถึงพระอาทิตย์ตกแล้วก็ยังสว่าง พระอาทิตย์ขึ้นแลพระอาทิตย์ตกที่นี่ช้ามาก อยู่อย่างไรก็อยู่อย่างนั้นนานๆ เพราะเหตุฉะนั้นวันจึงได้มาก มีเวลามืดน้อย เวลา ๕ ทุ่มนี้เปนเวลาที่เรือเข้าในอาร์กติกโซน พระอาทิตย์ตกน้ำ มีเวลามืดสักครึ่งชั่วโมงก็กลับแสงสว่างขึ้นอีก เวลาพรุ่งนี้เห็นจะไม่ตก..” เขตอาร์กติกโซน กำกับเส้นแบ่งโดยสัญลักษณ์ The Arctic Circle ซึ่งพบเห็นได้ขณะที่ล่องเรือครับ จากคุณ : secret letter - [ 13 ต.ค. 51 13:31:45 ]

ความคิดเห็นที่ 22 เข้าใกล้นอร์ทเคปเข้าไปทุกทีครับ จากที่ทรงประทับบนเรือมาโดยตลอด จากเมืองทรอนด์เยมนะครับ เรือพระที่นั่งอัลเบียนก็ได้เข้าจอดที่ท่าเรือเมืองโบเดอ (Bodo) ในพระราชหัตถเลขาทรงเปรียบเทียบเมืองแห่งนี้ไว้กับเมืองปากน้ำโพของประเทศสยามราวกับเมืองแฝด นั่นเพราะเหตุที่เมืองโบเดอมีลักษณะเป็นเมืองชาวประมง แต่พระองค์ทรงใช้เวลาเสด็จประพาสเมืองแห่งนี้ไม่นานนัก แต่ก็เพียงพอที่จะปรากฏภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ทรงถ่ายเมืองแห่งนี้จำนวน ๒ ภาพ จากคุณ : secret letter - [ 13 ต.ค. 51 13:33:53 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ภาพถ่ายท่าเรือเมืองโบเดอในอีก ๑๐๐ ปีต่อมา จากคุณ : secret letter - [ 13 ต.ค. 51 13:34:31 ]

ความคิดเห็นที่ 24 จากนั้น เรือพระที่นั่งอัลเบียนนำพาล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ เสด็จพระราชดำเนินมาจนถึงเมืองแฮมเมอร์เฟสต์ (Hammerfest) เมืองสุดท้ายก่อนเข้าสู่นอร์ทเคปในวันพฤหัสบดีที่ ๑๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ และเป็นเช่นเดียวกันกับเมืองโบเดอ เมื่อแฮมเมอร์เฟสต์เป็นเพียงเมืองที่พระองค์ทรงแวะพักพระอิริยาบถเท่านั้น โดยทรงใช้เวลาไม่นานนัก ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ทรงถ่ายเมืองแฮมเมอร์เฟสต์ ซึ่งได้ทรงบรรยายว่า “ ราษฎรในที่นี้คมุกคมอมเปนพวกหาปลา แต่มีเด็กมากเสียจริงๆ ” จากคุณ : secret letter - [ 13 ต.ค. 51 13:36:06 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ทรงถ่ายคนหาปลาเมืองแฮมเมอร์เฟสต์ ซึ่งชายชราในภาพนี้ ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ ทรงบรรยายไว้ในพระราชหัตถเลขาไกลบ้านว่า “ ได้ถ่ายรูปตาแก่ตามปรกติของแกที่แต่ง นุ่งกางเกงแลเสื้อเชิ้ต เหน็บมีด, ใส่ตุ้มหู, สูบกล้อง, ใจแกดี อมยิ้มอมแย้มยืนให้ถ่าย ” จากคุณ : secret letter - [ 13 ต.ค. 51 13:36:32 ]

ความคิดเห็นที่ 26 เวลาต่อมา ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ เสด็จพระราชดำเนินออกจากเมืองแฮมเมอร์เฟสต์ เมื่อเรือพระที่นั่งอัลเบียนได้เดินทางต่อไปยังท่าฮอนนิ่งสวาก (Honningsvag) ท่าเรือที่ใกล้กับแหลมนอร์ทเคป และทำการทอดสมอเพื่อพักแรม ก่อนที่รุ่งเช้าของวันต่อมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็จะเสด็จพระราชดำเนินโดยเรือขนาดเล็กจากท่าฮอนนิ่งสวากไปยังท่าเรือฮอนวิเกน จากนั้นจึงเสด็จพระราชดำเนินด้วยพระบาทสู่แหลมนอร์เคป ดินแดนที่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ต่างเดินทางมาเพื่อชมความงามของพระอาทิตย์เที่ยงคืน จากคุณ : secret letter - [ 13 ต.ค. 51 13:40:00 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ติดตามอ่านคับ จากคุณ : 1234 - [ 13 ต.ค. 51 19:08:28 A:125.26.144.37 X: TicketID:184742 ]

ความคิดเห็นที่ 28 เสร็จจากภารกิจ มาลงชื่อแอบอ่านอยู่เช่นเคยค่ะ จากคุณ : หมีน้อย แสนขยัน - [ วันออกพรรษา 12:11:37 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ตามอ่านต่อค่ะ จากคุณ : la liga fan - [ 15 ต.ค. 51 02:16:05 ]

ความคิดเห็นที่ 30 คุณ ชมพูนุท กองชนะ เล่าไว้ในบทความเรื่อง ตามรอยพระพุทธเจ้าหลวงสู่ North Cape นิตยสารเที่ยวรอบโลก ฉบับที่ ๒๘๘  สิงหาคม ๒๕๔๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ ๒ โดยเรือพระที่นั่งอัลเบียน พร้อมคณะผู้ติดตาม ทรงเสด็จขึ้นไปถึงแหลมเหนือ หรือนอร์ทเคป จุดสูงสุดของทวีปยุโรป และยังทรงเยี่ยมเยือนถิ่นฐานของชาวแลปป์ ที่พระองค์ทรงเปรียบลักษณะไว้ว่าคล้าย ‘กะเหรี่ยง’ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๙ คณะนักเดินทางชาวไทย นำโดย  M. Markku Oravainen  ผู้อำนวยการฝ่ายขาย สายการบินฟินแอร์ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และออสเตรเลีย คือคณะเดินทางชุดแรก ที่เดินทางตามรอยล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ ล่องเรือ ปีนเขาสู่แหลมเหนือ บนเส้นทางที่ไม่มีใครสัญจรมากกว่า ๕๐ ปี เพื่อรำลึกถึงกษัตริย์นักเดินทางคนแรกของไทย ในวโรกาสครบรอบ ๑๐๐ ปีการเสด็จประพาสยุโรป ครั้งที่ ๒ ในเดือนกรกฎาคม ปีหน้า เริ่มต้นที่ IVALO ก่อนโปรแกรมการเดินทางสู่สุดขอบยุโรปจะเริ่มต้น พวกเราตั้งต้นกันที่เมืองอิวาโล เมืองทางเหนือของประเทศฟินแลนด์ก่อน จากนั้นตามที่ไกด์สาวจากฟินน์มาร์ก Hege Persen ให้ข้อมูลไว้ เราจะเลียบเส้นทางขึ้นเหนือผ่านพรมแดนธรรมชาติเข้าสู่เขต Karasjok ของนอร์เวย์ แล้วเข้าไปแวะเที่ยวที่เมือง Lakselv ก่อนจะมุ่งหน้าขึ้นไปเรื่อย ๆ สู่เมือง Hammerfest เมืองท่าสุดท้าย และเป็นเมืองท่าเดียวกับที่พระพุทธเจ้าหลวงทรงแวะพักผ่อนก่อนเสด็จสู่นอร์ทเคป อิวาโล เป็นเมืองที่แวดล้อมด้วยธรรมชาติของป่า ภูเขา และแม่น้ำอันงดงาม และถือได้ว่าเป็นเขตที่อยู่อาศัยของชาวแลปป์ หรือชนเผ่าซามิมาแต่โบราณ ฐานที่มั่นแรกของเราอยู่ในเขต Saariselka เขตท่องเที่ยวธรรมชาติอันสมบูรณ์ ที่นักท่องเที่ยวสามารถเลือกทำกิจกรรมมากมายได้ทั้งในช่วงฤดูร้อน และฤดูหนาว มีโรงแรมน่ารักขนาดกะทัดรัดที่สร้างไว้อย่างกลมกลืนกับธรรมชาติให้เลือกตามอัธยาศัย ส่วนใหญ่เป็นโรงแรมในเครือ Lapland Hotel (http://www.laplandhotels.com)  ที่คุณภาพดี และกระจายอยู่ในพื้นที่แถบนี้ถึง ๙ แห่ง ที่เราพักชื่อว่า Riekonlinna คิดอยู่เหมือนกันว่าจะออกเสียงอย่างไร พี่ร่วมทางคนหนึ่งเลยหาทางออกแบบจำง่ายว่า เลียก้นเลียหน้า เสียอย่างนั้น หลังจากเช็คอินเรียบร้อย เราก็พร้อมเที่ยวกันทันที ขอแนะนำพาหนะร่วมทางกันสักนิด เป็นรถโค้ชคันโตสีเหลืองสดของบริษัท FFR ที่ให้บริการทั่วภูมิภาคนี้ แต่พอเจอเข้ากับเส้นทางดิบ ๆ ของป่าสนและต้นสปรูซ ก็จำต้องจอดทิ้งไว้แล้วเดินเท้าเข้าไปสู่ฟาร์มเรนเดียร์แทน Joiku Kotsamo คือฟาร์มเรนเดียร์ที่ดูแลโดยชาวซามิแท้ ๆ เราเดินผ่านพื้นดินขรุขระตัดทางป่า จนมาถึงลานโล่ง อันเป็นที่ตั้งของ Kota หรือกระท่อมขนาดใหญ่แบบชาวซามิ หนูน้อยในชุดพื้นเมืองน่ารักแก้มยุ้ย ชื่อซามี่เดินมาต้อนรับพวกเราแบบอาย ๆ พร้อมคุณป้าอารามิ ที่ยืนเชื้อเชิญเราเข้าสู่กระโจมหลังใหญ่ ที่แม้ข้างในจะปล่อยช่องแสงไว้เพียงสลัว แต่ก็มีการระบายลมที่ดี เลยไม่รู้สึกอึดอัด เราเลือกนั่งม้านั่งตัวยาวข้างกองไฟที่โชนแสง สองข้างมีแซลมอนชิ้นใหญ่ ๆ รมควันไฟในระยะห่างพอประมาณ ส่วนตามผนังและโต๊ะก็วางข้าวของ และแขวนเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายแบบชาวซามิไว้รอบ สักพักสาวน้อยซาน่า พี่ของซามี่ก็เข้ามากล่าวต้อนรับทุกคน พร้อมเชื้อเชิญให้ลิ้มรสอาหารพื้นเมืองแสนอร่อย ซึ่งก็คือแซลมอนรมควันร้อน ๆ ที่เราหมายตาไว้นั่นเอง ระหว่างกิน ซาน่าเล่าให้เราฟังถึงวัฒนธรรมประเพณีแบบชาวซามิ เธออธิบายถึงเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่สามารถใช้บ่งบอกได้ว่าใครมาจากเมืองไหน ส่วนใหญ่จะเป็นเสื้อผ้าสีสด ๆ ที่แฝงความหมาย และความผูกพันกับธรรมชาติ อย่างสีแดง หมายถึง พระอาทิตย์ สีเหลือง หมายถึง พระจันทร์ สีฟ้า ก็ท้องฟ้า และผืนน้ำ ส่วนสีเขียว หมายถึง ป่า นอกจากนี้ยังมีหมวก เข็มขัด ผ้าพันคอแบบต่าง ๆ ที่เป็นของดั้งเดิมทั้งสิ้น โดยเฉพาะชุดหนังกวางผืนใหญ่ที่ใช้ใส่ยามฤดูหนาว อีกหนึ่งจุดสังเกตคือเข็มขัด เธอว่าถ้าหัวเข็มขัดเป็นรูปวงกลม แปลว่า คนนั้นยังโสดอยู่ แต่ถ้าเป็นรูปสี่เหลี่ยมแสดงว่าแต่งงานแล้ว จากนั้นเธอก็พาเราไปดูฟาร์มเรนเดียร์ สัตว์ประจำถิ่นแลปป์แลนด์ ประมาณไว้คร่าว ๆ ที่สองแสนตัวทั่วเขตแลปป์แลนด์ ซึ่งมากกว่าจำนวนพลเมืองรวมกันเสียอีก ชาวซามิผูกพันกับเรนเดียร์มาก และกว่าครึ่งหนึ่งที่เลี้ยงไว้เหมือนสัตว์เลี้ยงตามบ้าน ซาน่าเปิดรั้วแล้วหยิบอาหารเม็ดมาเทกองไว้เป็นหย่อม ๆ ล้อมรอบตัวเธอตอนนี้มีแต่เจ้าเรนเดียร์เขากุดประมาณ ๓-๔ นิ้ว เดินชูคอสวนกันไปมา เขาเรนเดียร์จะงอกสวยสมบูรณ์เมื่อฤดูหนาวมาถึง และจะงอกขึ้นใหม่ทุกปีหลังจากที่ถูกตัดไปแล้ว เรนเดียร์ทุกตัวที่เห็น ล้วนมีเจ้าของทั้งสิ้น สังเกตได้จากเครื่องหมายบากที่เจ้าของจะทำไว้ตั้งแต่ยังเล็ก  อาหารโปรดของเจ้าเรนเดียร์ คือฟางและหญ้าตามทุ่งเลี้ยงสัตว์ แต่ถ้าเป็นหน้าหนาวพวกมันจะกินไลเคน และมอสตามธรรมชาติ โดยเฉพาะบริเวณป่าสนริมน้ำ ฉันอยากเห็นเขาจริง ๆ ของเจ้ากวางสักครั้ง อยากรู้ว่ามันจะสง่างามเหมือนที่เห็นในรูปไหม ไว้มีโอกาสค่อยมาดูใหม่ แต่ตอนนี้เรายังมีอีกกิจกรรมสำคัญของเขต Saariselka ที่ต้องทำ นั่นคือการร่อนทอง Tankavaara เป็นเขตเหมืองทองเก่าในเขตแลปป์แลนด์ ที่ยุคหนึ่งนักขุดทองทั้งหลายต่างมุ่งมาที่นี่ หลังจากที่ข่าวการขุดพบทองครั้งแรกเมื่อปี ๑๘๖๘ แพร่สะพัดออกไป หลังจากนั้นก็เริ่มมีการเปิดบริษัทเหมืองขึ้นเรื่อย ๆ โดยทองขนาดใหญ่ที่สุดถูกขุดพบในปี ๑๙๓๕ น้ำหนักราว ๓๙๒.๙ กรัม โดย Evert Kiviniemi จากอินารี แถบแม่น้ำ Lutto แต่ต่อมาเหมืองหลายแห่งต่างก็ต้องปิดตัว เพราะไปไม่ถึงฝั่งฝัน โรงเรือนหลายหลังถูกทิ้งร้างไว้ จนในปี ๑๙๗๕ ทางการจึงได้ปรับให้เป็นพิพิธภัณฑ์ โดยยังคงสภาพเรือนพักหลังต่าง ๆ ไว้ดังเดิม รวมถึงปรับอาคารไม้หลังใหญ่ ที่สร้างไว้โดยบริษัท Oy Lapin Kulta เป็นอาคารจัดแสดงเรื่องราวการขุดพบทองของเขตแลปป์แลนด์ ไม่เท่านั้น ยังจัดแสดงทองและอัญมณีที่ขุดพบตามเหมืองดังทั่วโลก รวมถึงชีวิตของชาวเหมืองที่น่าสนใจยิ่งที่ห้อง Golden World ด้วย ภายนอกอาคารเป็นสภาพป่าแบบเดิม ๆ ที่มีเครื่องมือขุดเจาะสนิมเขรอะวางกระจายอยู่ทั่วไป เราเดินตามกันไปจนถึงบ่อร่อนทอง พร้อมผู้ติดตามฝูงใหญ่ ซึ่งก็คือเจ้ายุงตัวร้าย ที่ตัวมันทั้งใหญ่และดื้อชะมัด ยืนเฉยเมื่อไหร่มันก็จะกรูกันมาตอม แถมเอามือปัดไล่ก็ยังไม่ยอมไป  ฉันหันไปถามเฮเก้ว่า ‘ยูทนได้ยังไง’ เธอตอบฉันทั้ง ๆ ที่มียุงเกาะอยู่ตั้ง ๓ ตัวที่หน้าว่า ‘ชินแล้ว’ บ่อขุดลึกประมาณหนึ่งเมตรที่ละลายดินไว้จนขุ่นข้น คือที่ที่เราจะได้ทดลองร่อนทองด้วยตัวเอง ซึ่งวิธีการก็ไม่ยากอะไร มีจานกลมโลหะ ๑ ใบจ้วงตักดินจากก้นบ่อ แล้วค่อย ๆ ร่อนเศษดินออกทีละนิด ๆ อย่างเบามือ ถ้าโชคดีจะเหลือเศษทองติดก้นจาน เป็นที่ระลึกกลับบ้าน แต่ไหนเลยเราจะมีสมาธิ สู้มานั่งหน้ากองไฟ แล้วดูคนเหมืองเขาร่อนทองกันไปจะปลอดภัยจากยุงร้ายมากกว่า ที่น่าสนใจคือ เหมืองแห่งนี้ทุกปีจะเปิดต้อนรับนักร่อนทองจากทั่วโลกมาท้าประลองร่อนทองกันในช่วงเดือนสิงหาคม ซึ่งชัยชนะอาจดูเป็นเรื่องจิ๊บจ้อย ถ้าเทียบกับการที่ได้อนุรักษ์วิธีการร่อนทองแบบท้องถิ่นให้คงอยู่ตลอดไป ช่วงเย็น เราย้ายมาปักหลักที่ริมแม่น้ำอิวาโล (Ivalojoki) เพื่อซึมซับบรรยากาศแคมปิ้งริมแม่น้ำ ตามแบบฉบับชาวฟินน์ ที่ชอบมาเที่ยวพักผ่อนกันในหน้าร้อนตามบ้านพักตากอากาศ ที่มักซื้อไว้ในต่างเมือง ฐานที่มั่นของเราคือ Finavia cottage บ้านพักริมแม่น้ำในเขตสนามบินอิวาโล  พวกเราหนียุง (ที่ยังคงตามมาอยู่ดี)  มาลงน้ำ ด้วยการนั่งเรือหาปลาลำเล็ก ๆ  วิ่งสวนทางน้ำขึ้นไปชมทัศนียภาพของแม่น้ำใสแจ๋วท่ามกลางแมกไม้ และอากาศที่แสนบริสุทธิ์ เราแวะเทียบที่ตลิ่ง เพื่อปลดแหที่คนขับเรือผูกติดไว้ท้ายเรือ ปรากฏว่ามีปลาเทราต์ตัวเขื่องติดมาด้วย เย้ ! จะได้กินปลาสด ๆ ก็คราวนี้ กลับมาถึงฝั่งปรากฏว่าคุณมารกู เฮเก้ และคุณคนขับรถ กำลังเพลิดเพลินอยู่กับการตกปลา และนั่งปิ้งไส้กรอกเสียบกิ่งไม้กันใหญ่ เฮเก้ส่งไส้กรอกให้ฉันลองชิมพร้อมมัสตาร์ด กินตอนร้อน ๆ อร่อยอย่าบอกใคร แต่พอมองนาฬิกา ไม่อยากเชื่อสายตาว่าปาเข้าไปจะห้าทุ่มแล้วทั้งที่ฟ้ายังสว่างโร่เหมือนบ่ายสามโมง เราเลยต้องยอมสละปลาให้เจ้าของบ้าน แล้วมุ่งหน้าสู่ที่พักแทน จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 15 ต.ค. 51 10:22:27 ]

ความคิดเห็นที่ 31 สู่หัวใจของ Lapland ดินแดนแลปป์แลนด์ คือเขตชุมชนของชนเผ่าซามิ ที่เรียกว่า Sapmi กินอาณาบริเวณครอบคลุมตอนเหนือของฟินแลนด์ ตอนกลางของนอร์เวย์ และสวีเดน ไปจนถึงบางส่วนของรัสเซีย คนที่เคยมาเที่ยวฟินแลนด์อาจเคยแวะพิพิธภัณฑ์ชนเผ่าซามิ SIDAที่เมือง Inari แต่ถ้าคุณข้ามเขตแดนเข้าสู่นอร์เวย์แล้ว คุณจะพบพิพิธภัณฑ์พื้นเมืองอีกแห่งในเขต Karasjok ที่มีชื่อว่า Sapmi พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ปรับพื้นที่อยู่อาศัยดั้งเดิมของชาวซามิเป็นพิพิธภัณฑ์ ที่แบ่งเป็นส่วนกลางแจ้ง และอาคารทรงกระโจมสีขาว ไฮไลต์หนึ่งของพิพิธภัณฑ์ คือ Magic Theatre ที่นำเสนอเรื่องราวของชาวซามิตั้งแต่ตั้งถิ่นฐาน และวิถีชีวิตท่ามกลางธรรมชาติ ผ่านจอภาพยนตร์ขนาดใหญ่ที่ใช้เทคนิคแบบสื่อผสม โดยเฉพาะภาพแสงเหนือ หรือออโรร่า ที่ชาวซามิเชื่อว่าคือดวงวิญญาณของบรรพบุรุษ ก็ทำได้สวยงามตื่นตามาก ออกมาด้านนอก จะพบชุมชนอาศัยจำลองของชาวซามิ ที่ทำให้ฉันนึกถึงความตอนหนึ่งในพระราชนิพนธ์  ‘ไกลบ้าน’ ในล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ ที่ทรงเขียนบรรยายลักษณะชนเผ่าซามิไว้ว่า ลักษณะทำนองกะเหรี่ยง เปนชาวป่าเลี้ยงสัตว์แลเที่ยวไปเที่ยวมา ไม่ตั้งอยู่เปนตำบล สัตว์ที่เลี้ยงนั้นคือเรนเดียร์ คือเนื้อกวางอย่างหนึ่งที่เชื่องใช้ได้ ฝูงโต ๆ เท่าไรอาไศรยสุนักข์มาคอยป้องกันอันตรายไม่ให้สัตว์ร้ายทำอันตรายได้ พวกลัปนั้นเปนสองพวก พวกที่อยู่บก คือพวกเลี้ยงสัตว์นี้ พวกลัปทเลเปนคนหาปลา อยู่ริมทเล แลมักจะอยู่ปนกันกับพวกสวีดแลนอรวีเยียน ดังนั้นเมื่อได้มาเห็นกระโจมที่พัก และเต็นท์แบบต่าง ๆ อย่าง Goahti ที่ใช้ไม้เบิร์ชทรงโค้งเพิ่มพื้นที่เต็นท์ให้กว้างขึ้น หรือ Lavvu เต็นท์ขนาดเล็ก ที่เคลื่อนย้ายสะดวก ไปจนถึง Guollebuvrri กระท่อมดินที่สร้างเป็นโพรงลึกลงไปใต้ดินเพื่อใช้เก็บอาหารในฤดูหนาว ก็ทำให้ภาพชีวิตของชาวซามิแจ่มชัดราวกับยืนอยู่ตรงหน้าทีเดียว ที่ครบวงจรอีกอย่างคือคาเฟ่ ที่ให้คุณนั่งดื่มด่ำบรรยากาศแบบซามิ ด้วยการรับประทานอาหารภายในกระโจมบนเก้าอี้ปูหนังเรนเดียร์รอบกองไฟ แนะนำว่าควรต้องจองล่วงหน้า (http://www.sapmi.no) ออกจากพิพิธภัณฑ์ เรามุ่งหน้าขึ้นเหนือสู่เมือง Lakselv ที่ห่างออกไปราว ๘๕ กิโลเมตร อันเป็นที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติ Stabbursdalen National Park เราเข้ามาศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับภูมิทัศน์ของเขตอุทยานที่พิพิธภัณฑ์ Stubbrusnes Naturhus og Museum ที่เป็นทั้งศูนย์ให้นักท่องเที่ยวได้ศึกษาข้อมูลธรรมชาติ และวัฒนธรรมของคนฟินน์มาร์ก รวมถึงกิจกรรมต่าง ๆ ที่คุณจะทำได้ภายในเขตอุทยานอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ อุทยานสตัพเบอร์สดาเลน ได้รับการประกาศให้เป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อปี ๑๙๗๐ ครอบคลุมพื้นที่ถึง ๙๘ ตารางกิโลเมตร มีความหลากหลายทางธรรมชาติ ทรัพยากรทรงคุณค่า ตั้งแต่แนวภูเขา อันเป็นถิ่นอาศัยของเรนเดียร์ แม่น้ำผืนกว้างใต้อ้อมกอดของหุบเขาสูง ซึ่งเป็นแหล่งที่มีแซลมอนมากที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป แถมยังมีฟยอร์ด เขตชายฝั่ง และเขตป่าสนที่ได้ชื่อว่าสูงที่สุดในโลกด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนคือสภาพธรรมชาติอันแปลกตา ที่ก่อตัวขึ้นหลังสิ้นสุดยุคน้ำแข็ง หลังจากชมภาพยนตร์สไลด์มัลติวิชั่นที่งดงามเกี่ยวกับวิถีชีวิตชาวซามิที่ผูกพันต่อพื้นที่ทุกตารางนิ้วของดินแดนแห่งนี้ เราก็จะได้ชมส่วนเสี้ยวของอุทยาน ด้วยการล่องเรือเร็วท่องลำน้ำชมธรรมชาติของเกาะแก่ง และตามหาแมวน้ำขี้อาย ที่มักดำผุดดำว่ายในระยะโพ้นสายตา ชุดที่เราสวมลงเรือนี้ ออกจะสร้างภาพลักษณ์ให้ดูเหมือนพนักงานดับเพลิงอยู่สักหน่อย แต่เพื่อความปลอดภัย และเพื่อปกป้องศีรษะจากลมแรงที่ปะทะระหว่างล่องเรือ ก็ควรสวมฮู้ดไว้ด้วย ฉันชอบอะไรที่เกี่ยวกับน้ำ ๆ อยู่แล้ว เลยสนุกสนานกับการได้แหวกผืนน้ำเรียบนิ่ง ชมธรรมชาติข้างทางไปเพลิน ๆ ราวครึ่งชั่วโมง เรือก็มาจอดเทียบที่ชายฝั่งกรวด ที่ดารดาษด้วยดอกไม้ป่าสีม่วงสีเหลืองแซมแทรกขึ้นมาระหว่างโขดหิน เรานั่งล้อมวงกันดื่มกาแฟดำร้อน ๆ ที่เพิ่งต้มสุก และแจกจ่ายคุกกี้กันไป ถัดจากเราไม่ไกล มีวงปิกนิกที่มานั่งตกปลากันด้วย นั่งมองฟ้า มองทะเลไปมา ฉันก็ตระหนักว่าความสุขที่เรียบง่าย เกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลาจริง ๆ ค่ำนี้ เฮเก้แนะนำว่าเพื่อให้ถึงพร้อมซึ่งการพักผ่อนแบบคนฟินน์จริง ๆ เราควรจะได้ลองแช่ตัวในอ่างน้ำร้อนกลางแจ้ง และเซาน่าดู ฉันก็ออกจะเห็นด้วย ถ้าฟ้ายามค่ำนั้นไม่แจ้งจนเกินไป และอ่างกลางแจ้งที่นำเรือประมงมาดัดแปลงนั้นไม่เล็กเท่าสระว่ายน้ำเด็ก ชนิดแค่ฉัน เฮเก้ พี่นักข่าวอีกคน เอ้า ! แถมคุณมารกูให้อีกหนึ่ง แล้วแน่ใจหรือว่าอ่างจะไม่แตก เราเลยปล่อยให้หนุ่ม ๆ แช่ตัวแล้วจิบแชมเปญกันไปอย่างเพลิดเพลิน ส่วนเราที่เหลือก็มุ่งหน้าสู่ห้องอาหาร ตักของอร่อย ๆ ไปนั่งกินนั่งเมาท์กันตามประสา มาเป็นสมาชิกชมรมหมีขาวที่ Hammerfest เข้าวันที่ ๓  ดูเหมือนจุดหมายปลายทางสู่นอร์ทเคปของเราจะใกล้ความจริงเข้ามาทุกขณะ เส้นทางจากลักเซล์ฟสู่แฮมเมอร์เฟสต์ ถือเป็นช่วงเส้นทางที่สวยงามมากที่สุดอีกแห่ง ระหว่างที่ถนนตัดขึ้นไปตามแนวเขา ซ้ายมือของเราคือทะเลผืนกว้าง ที่มีบ้านเรือนตั้งเป็นระยะอย่างบางตา ราว ๒ ชั่วโมงเศษ เราก็ขึ้นมาถึงแฮมเมอร์เฟสต์ เมืองที่ได้ชื่อว่าอยู่สูงที่สุดในโลก ฮาเมอเฟสต์ เปนเมืองเหนือที่สุด ซึ่งมีในโลกนี้ ลติจูดเหนือ ๗๐ ดีกรี ๔๐ มินิต ๑๑ สกันด์ มีจำนวนคนในเวลานี้ ๒๐๐๐ เศษ เปนที่ค้าขายจอแจกับประเทศรัสเซียทางทเลขาว แลเปนที่พวกหาปลาวาฬอาไศรย แต่เปนที่ไม่มีต้นหมากรากไม้อะไร ดูเกลี้ยง ที่นี่พระอาทิตย์ไม่ตกตั้งแต่วันที่ ๑๖ เดือนเมถึงวันที่ ๓๐ ยูไล ความตอนหนึ่งในบทพระราชนิพนธ์  ‘ไกลบ้าน’ ที่นี่เราได้ต้อนรับไกด์สาวหน้าหวาน Ina Therese Henriksen หรือน้องอีน่า ที่พาเราชมบรรยากาศสวย ๆ ของเมือง บ้านไม้สีสันสดใสที่เห็นนี้สร้างขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ เนื่องจากถูกทำลายหมด แต่ปัจจุบันเป็นเมืองท่าที่มีความเจริญมาก ขณะเดียวกันก็ยังสามารถรักษาสภาพธรรมชาติไว้ได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ เธอพาเราขึ้นมาชมเสาหลักเมอริเดียน (The Meridian Column) อนุสรณ์ถึงการวัดเส้นรอบวงของโลกเป็นครั้งแรกเมื่อปี ๑๘๕๒ ด้วยความร่วมมือจากรัสเซีย สวีเดน และนอร์เวย์  ซึ่งล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ ของเราก็ทรงได้ขึ้นมาทอดพระเนตรด้วย เฮเก้เล่าความประทับใจถึงล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ ให้ฉันฟังหลังจากที่ได้อ่านหนังสือฉบับแปลภาษานอร์เวย์ ชื่อ Reisebrev fra Norge 1907 ที่ท่านตรัสถึงคนท้องถิ่นที่นี่ไว้อย่างน่ารัก ความว่า ราษฎรที่นี่คมุกคมอม เปนพวกหาปลา แต่มีเด็กมากเสียจริง ๆ เด็กอ่อน ๆ ก็เอาห่อผ้า ขึ้นรถบ้างเลื่อนบ้างลากไปลากมา เพื่อจะให้ได้รับแสงสว่าง ตั้งแต่เช้ามาพระอาทิตย์มัวไม่เห็นดวง หนาวจัด ได้ถ่ายรูปตาแก่ตามปรกติของแกที่แต่ง นุ่งกางเกงแลเสื้อเชิ๊ด เหน็บมีด, ใส่ตุ้มหู, สูบกล้อง, ใจแกดี อมยิ้มอมแย้มยืนให้ถ่าย หลังจากที่ไม่อาจทนกับกระแสลมแรงบนยอดหลักเมอริเดียนได้ เราก็กลับลงมากลางใจเมือง เพื่อไปแวะชม Energy House ที่ชาวเมืองภูมิใจยิ่ง เราได้ชมภาพกระบวนการสร้างกังหันขนาดยักษ์ใต้น้ำ เพื่อผันให้เกิดไฟฟ้าพลังน้ำจำนวนมหาศาลด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง  จากนั้นก็เดินระเรื่อยมาสู่ The Royal and Ancient Polar Bear Society เพื่อทำพิธีปฏิญาณตนเข้าเป็นสมาชิกอันทรงเกียรติของชมรมหมีขาว ชมรมแห่งนี้แท้จริงคือพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงประวัติความเป็นมาของเมืองแฮมเมอร์เฟสต์ รวมถึงวัฒนธรรมชุมชนอาร์กติก ที่เกี่ยวเนื่องกับการล่าสัตว์ รวมถึงมีสัตว์สตัฟฟ์ที่ล้วนเป็นสัตว์ประจำถิ่น อย่างสุนัขจิ้งจอก แมวน้ำ แมวป่า นกพัฟฟิน และเจ้าหมีขาวตัวใหญ่มหึมา เราได้รับความรู้มากมายเกี่ยวกับหมีขาวขั้วโลกเหนือ และรู้สึกเป็นห่วงในจำนวนที่ลดน้อยลงทุกที น้องอีน่าพาเราเข้ามาภายในห้องใต้แสงเทียน ซึ่งเป็นสถานที่ปฏิญาณการเป็นสมาชิกชมรมหมีขาว โดยเธอให้เรานั่งคุกเข่าทีละคน พร้อมหยิบกระดูกแท่งยาวราวเมตรมาแตะที่บ่าซ้ายและบ่าขวาช้า ๆ พร้อมกล่าวคำที่ฟังดูศักดิ์สิทธิ์ว่า บัดนี้เราได้เป็นสมาชิกของชมรมโดยสมบูรณ์แล้ว พร้อมมอบประกาศนียบัตร และบัตรสมาชิกให้ ระหว่างดื่มน้ำแอปเปิลโซดาฉลองกันอยู่  ใครคนหนึ่งก็ถามขึ้นด้วยความสงสัย “อีน่า กระดูกนั่นมันคือกระดูกอะไรเหรอ” “นี่น่ะเหรอ ก็กระดูกอวัยวะเพศของตัววอลลัสไง” “ว้าววววว.....” ช่วงเย็นเราขึ้นมารับประทานอาหารที่ร้าน Turistua ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขา Salden บรรยากาศร้านตกแต่งอย่างอบอุ่น เราขึ้นมานั่งบนชั้น ๓ เรียกว่ากินข้าวแกล้มวิวกันทีเดียว เมนูวันนี้เราจะได้ลองชิมเนื้อวาฬ และกวางเรนเดียร์ นึกถึงแววตาและหน้าแป๋วแหววของเจ้ากวาง ฉันก็หลับหูหลับตากินจนเกลี้ยงจาน ส่วนเนื้อวาฬบอกตามตรงกินแล้วไม่สนิทใจ เพราะสีที่ค่อนข้างดำ ดูไม่น่ากิน จากนั้นเราก็มาเดินย่อย ชมทิวทัศน์เมืองในมุมสูง ที่มองเห็นปากทะเลอาร์กติกอันเรียบสงบ จากยอดเขา เราสามารถเดินลัดเลาะทางซิกแซกลงมาสู่ตัวเมืองข้างล่างได้ เชื่อได้เลยว่า ถ้ามาเดินกับคนรู้ใจ ความรักของคุณต้องทวีคูณขึ้นอีกหลายเท่า แล้วฉันกับอีน่า เราก็กล่าวคำอำลากันที่นี่เอง ซึ่งฉันเชื่ออยู่ในใจว่าในอนาคตเธอจะต้องเป็นไกด์ที่ดีมาก ๆ แน่ จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 15 ต.ค. 51 10:22:50 ]

ความคิดเห็นที่ 32 North Cape จุดหมายไม่ไกลถ้าใจไปถึง เช้าตรู่วันที่สี่ เราเดินอาบแสงสดใสไปขึ้นเรือ Ms Nord Norge ที่ท่าเรือด้านหนึ่งของเมือง ซึ่งนอกจากเราก็ยังมีลูกค้าของเรือคนอื่น ๆ เช็คอินเข้าพักบนเรือด้วย  เฮเก้แจ้งว่าเราสามารถเข้าไปกินอาหารในห้องอาหารเช้าได้ตอนแปดโมง ระหว่างนี้เราก็ไปเดินดูมุมโน้นมุมนี้ของเรือที่สวยงามและกว้างใหญ่อยู่ไม่น้อย  เรือมิสนอร์ดนอร์จ เป็นเรือลำหนึ่งในตระกูล Hurtigruten ซึ่งดำเนินการล่องเรือในน่านน้ำทะเลอาร์กติกมาอย่างยาวนาน และเรือทุกลำก็จะมีชื่อขึ้นต้นด้วยนางสาว (MS) ทั้งสิ้น เราใช้เวลาเกือบครึ่งวันจึงถึงจุดหมายที่เมืองฮันนิ่งสว็อก (Honningsvag) เมืองใหญ่ที่สุด และเป็นเมืองด้านการบริหารบนเขตนอร์ทเคป ส่วนที่เหลือเป็นหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ ที่ตั้งตัวกระจายอยู่ทั่วไปบนเนินเขาริมฝั่ง ไม่ไกลจากท่าเรือเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ทางทะเล Nordkappmuseet จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับชุมชน และวิถีชีวิตของผู้คนที่ดำรงชีวิตอยู่บนดินแดนเหนือเส้นละติจูดที่ ๗๑ องศาไว้อย่างน่าสนใจ ชั้นบนส่วนหนึ่งอุทิศถวายแด่รัชกาลที่ ๕ มีทั้งเหรียญตรา และพระบรมฉายาลักษณ์ที่ทรงฉายไว้เมื่อคราวเสด็จเยือนนอร์ทเคป จากนี้เราจะมุ่งหน้าสู่ที่พักที่หมู่บ้านสการ์สว็อก (Skarsvag) ผ่านทิวทัศน์ที่สวยงามสองข้างทางบนถนนเรียบโล่ง ที่ตัดทางเขาผ่านฟยอร์ด หุบเขา และชายฝั่งที่เป็นต้องขอหยุดชมวิว ถ่ายรูปทุกทีไป แนะนำเลยสำหรับคนที่ชอบขับรถเที่ยว เพราะไม่เพียงวิวสวย ยังมีที่พักน่ารัก ๆ อย่าง Nordkapp Turisthotell ซึ่งตั้งอยู่บนหมู่บ้านชาวประมงที่สูงที่สุดของโลก อ้อ! ระหว่างทางจะมีป้ายระวังเรนเดียร์เป็นระยะ เพราะคนที่นี่ซีเรียสกับการขับรถชนเรนเดียร์มาก เห็นไม่มีใครก็อย่าคิดหนี เพราะเขาจะตามจับถึงที่สุด และจะต้องถูกปรับเป็นเงินมหาศาลทีเดียว หลังรับประทานอาหารกลางวันที่มีปลาเทราต์ยีเป็นฝอยแสนอร่อย เราเริ่มต้นสำรวจธรรมชาติ ด้วยการปีนเขาที่ทอดตัวอยู่ข้างโรงแรมนี่เอง ลมพัดอู้จนต้องหยิบหมวกขึ้นมาสวม โชคดีที่ทางไม่ชันมาก ภูเขานี้ไม่มีต้นไม้ใหญ่เลย เพราะโดนลมพัดจนเตียนหมด จะมีก็ดอกไม้ดอกเล็กกระจิริดที่ขึ้นอยู่เรี่ยพื้นดินและสามารถทนแรงลมได้ มองลงไปเห็นหมู่บ้านอยู่ในเวิ้งทะเลสาบสวยมาก ๆ ไม่นานนักเราก็มาถึงแอ่งน้ำใสแจ๋วบนภูเขา ข้าง ๆ มีป้ายชี้ทางสู่ Kirkeporten (ออกเสียงว่า คิกกะโปเติน) แปลว่า โค้งประตูโบสถ์ ซึ่งมีลักษณะเป็นแนวผาหินริมทะเลที่มีโพรงตรงกลางขนาดใหญ่ บริเวณนี้ชาวซามิถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขาใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนามาแต่โบราณ เพราะยามที่พระอาทิตย์เที่ยงคืนปรากฏ จะฉายแสงผ่านช่องหินนี้  นอกจากคิกกะโปเติน ก็ยังมีผาหินรูปร่างประหลาดดูคล้ายเขา เรียกว่า Hornet ซึ่งชาวซามิเชื่อเช่นกันว่าเป็นที่ที่พระเจ้าสถิตอยู่ ช่วงบ่ายเรามีนัดไปล่องเรือชมนก กับกิจกรรม bird safari ที่มีเฉพาะช่วงฤดูร้อนเท่านั้น จากสการ์สว็อก เราต้องมาลงเรือที่อิสแวร์ (Gjesvaer) หมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ ที่มีคนอาศัยอยู่เพียงร้อยกว่าคนเท่านั้น ปัจจุบันทางการประกาศให้ Gjesvaerstappan เป็นเขตอนุรักษ์พันธุ์นกตั้งแต่เมื่อปี ๑๙๘๓  เรือที่เราขึ้นมีชื่อว่า Havsula เป็นเรือขนาดความยาว ๖๕ ฟุต ที่มีดาดฟ้ากว้างรอบเรือให้ชมทิวทัศน์ได้อย่างใกล้ชิด เรือโต้คลื่นมาเรื่อย ๆ จนถึงแนวหน้าผาหินอันเป็นเขตที่อยู่อาศัยของนกนานาพันธุ์ ที่เราเห็นลอยคออยู่ในทะเลมากที่สุด ก็คือนกพัฟฟิน พวกนี้จะไม่ขึ้นบก แต่จะอยู่ในทะเลเพื่อรอหาคู่ และจะเจาะรูตามโพรงผาเพื่อวางไข่ โดยแทบไม่ต้องสังเกต เราก็เห็นนกมากมายเกาะอยู่ที่ริมผา ไหนจะที่เหินเวหาร่อนไปร่อนมาอยู่บนท้องฟ้าอีกนับพัน ๆ ที่โดดเด่นงามสง่าที่สุดเห็นจะเป็นอินทรีหางขาว ที่ถลาลมได้สวยสุด ๆ และที่น่ารักมาก ๆ อีกตัวคือเจ้านกออค (Auk) ที่ดำผุดดำว่ายคล้ายเป็ดอย่างสำราญ แต่ละคนก็มีที่เฉพาะของตัวเอง ส่วนฉันยืนยึดหัวหาดอยู่บนดาดฟ้าชั้นสอง นั่งกินลมชมนกชมทะเลไปตลอด ๓ ชั่วโมง ช่วงเย็น เรากลับมารวมตัวที่โรงแรมอีกครั้ง เพื่อเตรียมตัวล่องเรือกันอีกรอบ  แต่คราวนี้เราต้องไปขึ้นเรือที่ท่าฮอร์นวิก้า (Hornvika) ซึ่งเป็นท่าที่ใช้ล่องสู่นอร์ทเคปมาแต่ดั้งเดิม ก่อนที่จะมีถนนตัดขึ้นสู่นอร์ทเคปในปี ๑๙๕๖  ตอนนี้ฝนเริ่มโปรยสายลงมาบางเบา เรือประมงแล่นฝ่าลมฝน และโต้ลูกคลื่นที่ซัดเรือขึ้นลงเป็นระยะ บางครั้งลูกเรือก็ต้องปีนขึ้นไปชักใบเรือขึ้น บางครั้งก็หุบใบเรือลง ประมาณ ๒๐ นาทีเราก็เริ่มมองเห็นภูเขาลูกสีเขียวตระหง่านอยู่เบื้องหน้า และนี่เองคือเส้นทางที่เราต้องพิชิตขึ้นสู่นอร์ทเคป พวกเราปล่อยตัวลงเรือเล็กทีละคน เพื่อหวังจะขึ้นเทียบท่าที่เห็นอยู่ลิบ ๆ  แต่ด้วยท่าเรือที่ร้างการใช้งาน กอปรกับสภาพที่ผุพังไปตามกาลเวลา จึงไม่มั่นคงปลอดภัยพอให้เราปีนขึ้นไปได้ คนเรือจึงต้องเปลี่ยนมาใช้วิธีถ่ายน้ำหนักคนมาไว้ที่ท้ายเรือ แล้วเร่งเครื่องขึ้นเทียบชายฝั่งแทน กว่าจะสำเร็จก็ทุลักทุเลพอสมควร สภาพเบื้องหน้าที่เห็นคือทางเดินบนเขาที่ตัดแนวซิกแซกขึ้นไปจนถึงยอด เชื่อแล้วล่ะว่าไม่มีใครใช้เส้นทางนี้มากกว่า ๕๐ ปี เพราะรอยทางนั้นเลือนรางเหลือเกิน  พวกเราตัดสินใจสละไม้เท้าที่คุณพ่อของเฮเก้ทำให้เป็นที่ระลึกฝากคนเรือกลับไป แม้จะห่วงเรื่องทางลื่น แต่ก็มั่นใจว่าด้วยสองมือตะกุยเกาะทางไปเรื่อย ๆ น่าจะทำให้เราไปรอดกว่า บนเชิงเขาที่เห็นตอนนี้ เหลืออยู่เพียงอาคารสีแดงผุพัง ที่ในอดีตเป็นร้านค้าขายของที่ระลึก บุหรี่ ถ้วยแก้ว และของจุ๊กจิ๊กอื่น ๆ ตามที่พระพุทธเจ้าหลวงทรงเล่าไว้ในพระราชนิพนธ์ ไกลบ้าน ฉันนึกถึงพระองค์ท่านในใจ ขอให้ท่านช่วยคุ้มครองให้เราขึ้นไปถึงจุดหมายอย่างปลอดภัยด้วยเทิ้ด สองทุ่มสิบห้า เราเริ่มต้นปีนลัดเลาะรอยทางเดิมขึ้นไปเรื่อย ๆ ฝนยังคงพรำสายลงมาอย่างต่อเนื่อง จังหวะหนึ่งที่หันหลังกลับไป ภาพที่เห็นคือชะวากผาที่ตัดลงสู่ผืนทะเล สวยงาม หากก็เสียวไส้ไม่น้อย  ในครั้งที่พระพุทธเจ้าหลวงทรงเสด็จขึ้นนอร์ทเคปนั้น มีกะลาสี ๔ คนอาสาหามสเลี่ยงขึ้นไป กระนั้นเมื่อขึ้นไปถึงด้านบน ซึ่งทางชันมากกว่าปกติ พระองค์ทรงต้องลงมาดำเนินด้วยพระองค์เอง แต่เมื่อถึงตอนบนหามไม่ไหว มันออกจะเปนขึ้นผนัง ต้องลงเดินไต่ขึ้นไปหลายทบ คิดถึงกรมดำรงเต็มที ที่นี่ควรจะถามได้อิกว่าใครว่าไม่ชัน มันยิ่งกว่าที่ชวามาก เส้นทางบางช่วง ไม่สิ ตลอดช่วงเลยที่เราเจอะอุนจิของเรนเดียร์ มีบ้างเหมือนกันที่เผลอเหยียบลงไปจนลื่นแพร่ด เป็นที่น่าหวาดเสียวยิ่ง พักบ้างเดินบ้างดมยาดมสลับกันไป ราว ๔๐ นาที ก็สามารถพิชิตยอดเขาที่ความสูง ๓๐๗ เมตรสำเร็จ และรางวัลพิเศษสุดของเราก็คือวิวสวย ๆ ของแนวผาที่เราเพิ่งปีนขึ้นมานั่นเอง จากนี้เราต้องเดินเท้าต่อไปตามถนนที่ตัดขึ้นมาสู่นอร์ทเคปอีก ๕๐ เมตร จึงจะถึงอาคารนอร์ทเคป รถนำเที่ยววิ่งฉิวผ่านเราไป ๓-๔ คัน แต่เรากลับภูมิใจมากกว่าที่ได้เดินทางมาเยือนแหลมเหนือด้วยสองขาของเรา   ธรรมเนียมปฏิบัติมายาวนานของผู้ที่ขึ้นมาถึงนอร์ทเคปก็คือ การดื่มแชมเปญ แกล้มคาเวียร์ นับถอยหลังจากนี้อีกราวชั่วโมง เราก็จะได้ชมพระอาทิตย์เที่ยงคืน ณ จุดชมวิวรูปลูกโลก ที่สร้างขึ้นเป็นสัญลักษณ์ของนอร์ทเคป เรายังคงตามรอยพระพุทธเจ้าหลวงต่อมาที่อักษรจารึกพระปรมาภิไธยย่อ จ.ป.ร. บนโขดหิน ตรงจุดที่สูงที่สุดที่ ๓๐๙ เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ซึ่งทางนอร์ทเคปได้สร้างอาคารครอบไว้โดยไม่ได้เคลื่อนย้าย นอกจากนี้ภายในยังมีห้องพิพิธภัณฑ์เล็ก ๆ ที่เปิดขึ้นเพื่อรำลึกถึงการเสด็จประพาสแหลมเหนือของพระองค์ท่าน เราเข้าไปสักการะพระบรมรูปครึ่งองค์ รวมถึงชมภาพถ่ายประวัติศาสตร์ที่ทรงฉายร่วมกับบุคคลต่าง ๆ นอกจากนี้ตลอดแนวทางเดินจะมีหุ่นจำลองการเสด็จเยือนนอร์ทเคปของกษัตริย์จากประเทศต่าง ๆ รวมถึงโบสถ์เล็ก ๆ ที่บางครั้งก็ใช้เป็นสถานที่ปฏิญาณรักของคู่บ่าวสาวด้วย ตอนในสุดคือ The Royal North Cape Club ที่ซึ่งเราได้รับประกาศนียภาพแสดงว่าได้มาเหยียบยืนบนดินแดนเหนือสุดแล้ว เที่ยงคืนพอดี ฉันยืนอาบฝนพรำ เหม่อมองท้องทะเลอาร์กติกที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา แม้ฉันจะไม่ได้เห็นแสงอาทิตย์เที่ยงคืนสาดส่อง เหมือนอย่างภาพสวยงามตามโปสการ์ด แต่นี่คือชีวิตจริง ที่เราต้องยอมรับในความไม่แน่นอนของธรรมชาติโดยดุษฎี ก็จะมีสักกี่ครั้งในชีวิตกัน ที่คนเราจะได้ขึ้นมายืนมองเส้นขอบฟ้าที่ ๗๑ องศา ๑๐ ลิปดา ๒๑ ฟิลิปดาเหนือ ซึ่งฉันหวังว่าการเดินทางที่ยิ่งใหญ่ในความรู้สึกนี้ อาจเป็นประกายเล็ก ๆ ให้คุณได้ออกเดินทางตามรอยพระพุทธเจ้าหลวงดูบ้าง ประวัติความเป็นมาของนอร์ทเคป ผู้คนพบนอร์ทเคปเป็นคนแรกคือ กัปตันชาวอังกฤษ ริชาร์ด แชนเซลเลอร์ (R.Chancellor) ขณะที่ล่องเรือขึ้นเหนือเพื่อหาทางไปเมืองจีนเมื่อปี ๑๕๕๓ แล้วได้วาดแผนที่ขึ้นมาใหม่โดยเรียกพื้นที่ที่ค้นพบนั้นว่า ‘นอร์ทเคป’ ต่อมาก็มีกษัตริย์ และบุคคลอีกมากมาย ที่เดินทางขึ้นมาเยือนจุดที่สูงที่สุดของทวีปยุโรปแห่งนี้ โดยมีบันทึกไว้ว่าบาทหลวงชาวอิตาลีชื่อ Francesco Negri เป็นคนแรกที่ปีนเขาขึ้นสู่นอร์ทเคปสำเร็จเมื่อปี ๑๖๖๔ โดยได้เขียนบันทึกตลอดการเดินทางออกมาเป็นหนังสือในปี ๑๖๖๙ ปี ๑๗๙๕ เจ้าชายหลุยส์ ฟิลิป แห่งฝรั่งเศส ทรงเสด็จลี้ภัยสงครามการปฏิวัติฝรั่งเศสขึ้นมาที่นอร์ทเคป ปี ๑๘๖๑ German Carl Vogt คือบุคคลแรกที่นำวัฒนธรรมการดื่มแชมเปญเพื่อฉลองการเยือนนอร์ทเคปมาเผยแพร่ กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติจนวันนี้ ปี ๑๘๗ กษัตริย์ออสการ์ที่ ๒ แห่งสวีเดนและนอร์เวย์ทรงเสด็จเยือนนอร์ทเคป ปี ๑๘๗๕ บริษัท Cooks Travel Agency ในลอนดอน พาคณะทัวร์ชุดแรกขึ้นสู่นอร์ทเคป ปี ๑๘๙๘ อาคารหลังแรกถูกสร้างขึ้นบนนอร์ทเคป รวมถึงที่ทำการไปรษณีย์ และร้านแชมเปญ ปี ๑๙๐๗ ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาสนอร์ทเคปด้วยเรืออัลเบียน และทรงจารึกพระปรมาภิไธยย่อ จ.ป.ร. ไว้ ปี ๑๙๒๗ ก่อตั้งสมาคมนอร์ทเคปขึ้น เพื่ออนุรักษ์ธรรมชาติของนอร์ทเคปให้คงอยู่สืบไป ปี ๑๙๕๖ เปิดเส้นทางรถเป็นครั้งแรก จากฮันนิ่งสว็อกสู่นอร์ทเคป ปี ๑๙๘๔ ก่อตั้ง Royal North Cape Club สำหรับนักท่องเที่ยว ปี ๑๙๘๘ เจาะภูเขาเพื่อขยาย และสร้างห้องพิพิธภัณฑ์ที่สมบูรณ์เพิ่มเติม ปี ๑๙๗๗ นำภาพยนตร์จอกว้างแบบซูเปอร์ไวด์สกรีนเข้ามาฉายเกี่ยวกับธรรมชาติของนอร์ทเคป ปี ๑๙๙๙ กษัตริย์ Harald แห่งนอร์เวย์ เปิดถนนสายหลักเชื่อมสู่นอร์ทเคปเมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน นำมาซึ่งนักท่องเที่ยวจำนวนมหาศาลที่เดินทางเพื่อมาสัมผัสประสบการณ์พระอาทิตย์เที่ยงคืน แก้ไขเมื่อ 15 ต.ค. 51 10:34:00 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 15 ต.ค. 51 10:23:02 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ความจริงนั้นแหลมเหนือ (North Cape) ยังไม่อยู่เหนือสุด เหนือ แหลมเหนือ ก็ยังมี แหลมคนิฟสเกลลอดเดน (Knivskjellodden) จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 16 ต.ค. 51 14:34:08 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ปัจจุบัน North Cape เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมสำหรับคนไทยที่ไปเที่ยวนอร์เวย์ มีผู้ตามรอยพระบาทพระพุทธเจ้าหลวงหลายคณะทั้งทางเรือและทางรถยนตร์ การเดินทางของคุณยุวดีทางเรือ (เจอหมีขาว)จาก Hammerfest สู่ North Cape 1 ศตวรรษ ร.5 เสด็จนอร์ธเคป ไปตามรอยพระองค์กันเถอะ http://www.oknation.net/blog/yuwym/2007/05/25/entry-1 http://www.oknation.net/blog/yuwym/2007/05/25/entry-2 การเดินทางของคุณ Jeffrey ทางรถยนตร์ (เจอเรนเดียร์) จาก Honningsvag สู่ North Cape <<< Scandinavia Midnight Sun ตอนที่ 15 - North Cape - เส้นขอบฟ้าที่ 71 องศา 10 ลิปดา 21 ฟิลิปดาเหนือ >>> http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E6895792/E6895792.html แก้ไขเมื่อ 16 ต.ค. 51 15:35:33 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 16 ต.ค. 51 15:15:50 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ขอคั่นจังหวะนิดหน่อยนะครับ ตอนนี้เราได้เริ่มเปิดจองดีวีดีสารคดีไกลบ้านแล้วนะครับ ประกอบด้วย - ดีวีดี 13 แผ่น บรรจุ 52 ตอนๆ ละครึ่งชั่วโมง - สมุดภาพเปรียบเทียบภาพถ่ายฝีพระหัตถ์หนึ่งเล่มครับ - แพ็คเก็ตสวยงามครับ นี่คือภาพต้นแบบ ขณะนี้กำลังดำเนินการผลิตครับ โดยจะจัดส่งในช่วงเดือนธันวาคมนะครับ จองได้แล้วตั้งแต่วันนี้ถึง 15 พ.ย. 2551 ที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา โทร. 024702653 จำหน่ายในราคาชุดละ 1555 บาท   พิเศษ สำหรับผู้จองล่วงหน้าจะได้รับปฏิทิน ๑๐๐ ปี ไกลบ้าน ๒๕๕๒ ฟรี (ของมีจำนวนจำกัด) จากคุณ : secret letter - [ 17 ต.ค. 51 15:23:50 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ภาพตัวอย่างครับ จากคุณ : secret letter - [ 17 ต.ค. 51 15:35:54 ]

ความคิดเห็นที่ 37 บริษัท โกลบอลอินเตอร์คอมมิวนิเคชั่น จำกัด ได้จัดพิมพ์พระราชนิพนธ์ “ไกลบ้าน ฉบับ ๑๐๐ ปี” ขึ้น โดยรักษารูปแบบและอักขรวิธีตามต้นฉบับของการจัดพิมพ์ครั้งที่ ๒ ซึ่งถือว่าตรงตามพระราชประสงค์ในการจัดพิมพ์ และเพิ่มเติมในส่วนของภาพประกอบตามการจัดพิมพ์ครั้งที่ ๕ ไว้อย่างครบถ้วน อีกทั้งยังได้เพิ่มเติมในส่วนของภาพประกอบตามสถานที่ต่างๆ ที่บริษัทฯ ได้ส่งทีมงานเดินทางไปเก็บภาพเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๐ เข้าไปอีกด้วย รวมถึงความพิเศษในการจัดพิมพ์ปกโดยยึดแบบตามการจัดพิมพ์ครั้งที่ ๑ ไว้ทุกประการ เพื่อให้พระราชนิพนธ์ “ไกลบ้าน ฉบับ ๑๐๐ ปี” มีความครบถ้วนสมบูรณ์ในด้านเนื้อหาและภาพประกอบมากที่สุด โดยจัดทำออกมา ๒ แบบ ในแบบปกแข็งจำหน่ายในราคาชุดละ ๑,๕๕๕ บาท และปกอ่อนในราคาชุดละ ๙๐๐ บาท รายได้หลังหักค่าใช้จ่าย นำเข้ามูลนิธิ ๒๓ ตุลามหาราชานุสรณ์ สั่งจองและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บริษัท โกลบอลอินเตอร์คอมมิวนิเคชั่น จำกัด โทร. ๐๒-๙๓๘-๑๙๘๘ จากคุณ : secret letter - [ 17 ต.ค. 51 15:53:49 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ____________ จากคุณ : Oncidium. - [ 17 ต.ค. 51 21:02:51 ]

ความคิดเห็นที่ 39 สวยน่าเก็บเป็นที่ระลึกมากๆ เลยค่ะ จากคุณ : Yogurt Cheese - [ 20 ต.ค. 51 11:17:36 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ปรากฏการณ์พระอาทิตย์เที่ยงคืน (Midnight Sun) เป็นปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงกรกฎาคมของทุกปี เนื่องจากบริเวณขั้วโลกเหนือจะหันเข้าหาดวงอาทิตย์ ทำให้ซีกโลกด้านบนเหนือเส้นศูนย์สูตรจะมีช่วงของระยะเวลากลางวันยาวนานขึ้น แม้ว่าโลกจะมีการหมุนรอบตัวเอง แต่บริเวณขั้วโลกเหนือก็จะโดนแสงอาทิตย์ตกกระทบโดยตลอด ดังนั้น ในระยะเวลา ๓ เดือน จึงทำให้ประเทศที่อยู่เหนือเส้นแวง (ใช้ The Arctic Circle เป็นตัวกำหนด) อันได้แก่ นอร์เวย์ อะลาสกา แคนาดา กรีนแลนด์ ไอซ์แลนด์ สวีเดน ฟินแลนด์ และบางส่วนของประเทศรัสเซีย จะมีแสงสว่างตลอด ๒๔ชั่วโมง และในทางตรงกันข้าม ในช่วงฤดูหนาวของทุกปีก็จะมีอีกหนึ่งปรากฏการณ์ที่ท้องฟ้าจะมืดยาวนาน ๒๔ ชั่วโมง บริเวณแหลมเหนือของนอร์เวย์ ซึ่งออกเสียงเป็นภาษาท้องถิ่นว่า นู้ดแคป (Nordkapp) หรือนอร์ทเคป ตั้งอยู่ตำแหน่ง ๗๑ องศา ๑๐ ลิปดา ๒๑ ฟิลิปดาเหนือ โดยชื่อเรียก North Cape ตั้งขึ้นจากนายริชาร์ด ชานเซลเลอร์ (Richard Chancellor) นักเดินเรือและนักสำรวจชาวอังกฤษ ระหว่างการพยายามสำรวจหาเส้นทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อเดินเรือจากทะเลเหนือไปยังประเทศจีน ในปี พ.ศ. ๒๐๗๖ จากคุณ : secret letter - [ 20 ต.ค. 51 13:21:22 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ด้านหลังของภาพดังกล่าวคือ ไปรษณียบัตรที่ทรงมีถึงสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ลงวันพฤหัสบดีที่ ๑๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ โดยมีใจความว่าได้ทรงทอดพระเนตรพระอาทิตย์เที่ยงคืนแล้ว จากคุณ : secret letter - [ 20 ต.ค. 51 13:22:35 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ปรากฏการณ์พระอาทิตย์เที่ยงคืนในวันที่ ๑๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ เป็นปรากฏการณ์ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่มายืนรอที่ประติมากรรมลูกโลก สัญลักษณ์ของนอร์ทเคปที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๑๑ เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายภาพมากที่สุด จากคุณ : secret letter - [ 20 ต.ค. 51 13:23:54 ]

ความคิดเห็นที่ 43 พระราชหัตถเลขาไกลบ้านระบุว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวประทับเรือพระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินทางน้ำสู่ท่าเรือฮอนวิเกน ซึ่งอยู่ปลายแหลมของเกาะมาเกโรย่า (Mageroya) ตรงกับเช้าวันศุกร์ที่ ๑๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ สำหรับการเดินทางมายังแหลมนอร์ทเคป สำหรับในวันที่ ๑๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ ซึ่งตรงกับวันครบรอบ “๑๐๐” ปีของการเสด็จประพาสนอร์ทเคป ทีมงานได้มุ่งหน้าไปยังท่าเรือฮอนวิเกน ท่าเรือที่เมื่อ ๑๐๐ ปีก่อน สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงจะทรงใช้เป็นจุดเริ่มต้นของการเสด็จประพาสทางพระบาทขึ้นสู่จุดเหนือสุดของโลก ภาพแรกเมื่อทีมงานสารคดี ๑๐๐ปีไกลบ้าน ตามเสด็จพระพุทธเจ้าหลวง เดินทางไปถึงยังท่าเรือฮอนวิเกน เมื่อมองลงไปข้างล่างจะพบว่า เต็มไปด้วยหมอกหนาทึบจนไม่สามารถมองเห็นท่าเรือที่อยู่ด้านล่างได้ และแทบไม่น่าเชื่อว่านี่จะเป็นเส้นทางเสด็จประพาสของล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ เมื่อ ๑๐๐ ปีก่อน จากคุณ : secret letter - [ 20 ต.ค. 51 13:26:24 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ท่าเรือฮอนวิเกนในปัจจุบันถูกปล่อยทิ้งร้างไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๙ (ปีเดียวกับที่ตัดถนนจากฮอนนิ่งสวากมายังนอร์ทเคป) และอยู่ห่างจากจุดที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์นอร์ทเคปราว ๕ กิโลเมตร เมื่อยืนมองจากจุดข้างบนสุดลงไปยังท่าที่จอดเรือ นับได้ว่าเป็นจุดอันตรายจุดหนึ่ง ทำให้เรายังมองภาพไม่ออกว่าเมื่อ ๑๐๐ ปีก่อน พระมหากษัตริย์แห่งประเทศสยามจะเสด็จพระราชดำเนินทางพระบาทเพื่อทอดพระเนตรปรากฏการณ์พระอาทิตย์เที่ยงคืนบนแหลมแห่งนี้ได้อย่างไร พระราชหัตถเลขาไกลบ้านบันทึกเส้นทางอันเป็นอุปสรรคของการเสด็จทอดพระเนตรพระอาทิตย์เที่ยงคืนเมื่อ ๑๐๐ ปีก่อนไว้ว่า “เวลาเช้าออกเรือจากที่ทอดพัก เลียบมาจนถึงช่องที่สำหรับเปนทางขึ้น อันเขาข้างแถบนี้นั้น เปนน่าผาชันตั้ง เปนแท่งทึบ ข้างบนราบ... แรกขึ้นไปเปนศิลากลมที่ถูกน้ำทเลพัด แลสายน้ำกัดจนเกลี้ยงรอบ เปนก้อนกลมโตๆ เหยียบขลุกขลัก มีกุฎิ์ซึ่งสำหรับคนนำทางมาอาไศรยในฤดูที่คนมาเที่ยว มีของเล็กๆ น้อยๆ มาตั้งม้าขายเปนเครื่องรฤกในการที่มาถึงที่นี้... ต่อขึ้นไปข้างบน เปนศิลาแตกๆ หักๆ ชันขึ้นไปทุกที ตอนบนหนักขึ้นไปยิ่งชันมาก เปนศิลาปนดิน เขาเอาเสาเหล็กปักโยงเชือกไว้สำหรับเหนี่ยว ทางตัดทบไปทบมาแต่แคบ ที่จริงทางไม่ได้ทำอะไรเลย เปนแต่เดินๆ จนกลายเปนทางไปเอง เปนศิลาลอยขลุกขลักหล่นได้ง่ายๆ เวลาที่หัวเลี้ยวก็เลี้ยวหักตัว เขานี้โดยสูงถึง ๙๖๙ ฟิต แต่เมื่อปีนขึ้นไปต้องทบไปทบมา คงต้องเดินกว่านั้นเปนอันมาก ”   ตามเส้นทางยังคงมีเชือกไว้สำหรับยึดเกาะ แต่บางจุดต้องใช้วิธีการคลานช้าๆ ลงไป เพราะตามทางมีสภาพเปียกชื้นอันเนื่องมาจากสภาพอากาศแถบนี้ จากคุณ : secret letter - [ 20 ต.ค. 51 13:28:00 ]

ความคิดเห็นที่ 45 แอ็คชั่นเท่ๆ ที่ระลึกของการตามรอยตรงท่าเรือฮอนวิเกน จากคุณ : secret letter - [ 20 ต.ค. 51 13:29:00 ]

ความคิดเห็นที่ 46 เมื่อมองขึ้นไปยังจุดเริ่มต้น ก็พบว่าไม่สามารถที่จะมองเห็นยอดเขาได้เลย เพราะมีหมอกทึบปกคลุมอยู่ตลอดเวลา จากคุณ : secret letter - [ 20 ต.ค. 51 13:29:52 ]

ความคิดเห็นที่ 47 เมื่อเดินทางไปได้ซักระยะหนึ่ง ก็มองเห็นท่าเรือฮอนวิเกน ท่าเรือที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงใช้เป็นจุดเริ่มต้นของการเสด็จประพาสสู่นอร์ทเคป เพื่อทอดพระเนตรปรากฏการณ์พระอาทิตย์เที่ยงคืน จากคุณ : secret letter - [ 20 ต.ค. 51 13:31:04 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ภาพชัดๆ เมื่อลงไปใกล้ๆ ท่าเรือฮอนวิเกน ปัจจุบันถูกปล่อยร้างไว้ นับตั้งแต่มีการตัดถนนเพื่อเดินทางสู่นอร์ทเคปได้ง่ายขึ้น จากคุณ : secret letter - [ 20 ต.ค. 51 13:32:08 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ภาพแทนสายพระเนตรในล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ เมื่อเราเดินออกไปยังจุดที่น่าจะเป็นที่จอดเรือเมื่อ ๑๐๐ ปีก่อน แล้วมองขึ้นไปยังยอดเขาซึ่งทั้งสูงและชันเป็นิย่างมาก จากคุณ : secret letter - [ 20 ต.ค. 51 13:34:08 ]

ความคิดเห็นที่ 50 เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินทางพระบาทขึ้นสู่ที่ราบของแหลมเหนือเป็นที่สำเร็จแล้วนั้น พระองค์ทรงประทับเสลี่ยงเสด็จพระราชดำเนินต่อไปยังจุดที่ได้ชื่อว่าเหนือที่สุด โดยมีระยะทาง ๕ กิโลเมตร และทรงทอดพระเนตรเรือนแปดเหลี่ยมในลักษณะกระโจม “ ทางที่ราบนี่ถึง ๕๐ เส้น จึงไปถึงแหลมเหนือ ซึ่งเปนที่ต้องการว่าเปนเหนือที่สุดนั้น มีเรือนแปดเหลี่ยมเปนกระโจม สำหรับคนที่ไปเที่ยวอาไศรย มีหลักศิลาซึ่งกิงออสคาร์ที่ ๒ ขึ้นมาทำไว้อันหนึ่ง ” นี่คือไปรษณียบัตรเก่ารูปกระโจม ๘ เหลี่ยมบนแหลมเหนือ ระบุข้อความโดยพระยาบุรุษรัตนพัลลภ ผู้ตามเสด็จฯ ว่า “ วันที่ได้ตามเสด็จพระราชดำเนินถึงสุดหล้าฟ้าเขียวสิ้นดินแดนมนุษย์ในโลกนี้ ได้ขึ้นมาพักที่เรือน ๘ เหลี่ยมหลังนี้ที่บนยอดเขา ” จากคุณ : secret letter - [ 20 ต.ค. 51 13:35:11 ]

ความคิดเห็นที่ 51 เมื่อล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ เสด็จพระราชดำเนินถึงแหลมนอร์ทเคป พระยาชลยุทธโยธินได้เตรียมก้อนหินสำหรับการสลักพระปรมาภิไธยย่อ จ.ป.ร. เพื่อเป็นอนุสรณ์ของการเสด็จพระราชดำเนินยังนอร์ทเคป ความในพระราชหัตถเลขาทรงเล่าถึงเหตุการณ์ในวันนั้นโดยละเอียดว่า “ พระยาชลยุทธได้ตระเตรียมเครื่องมือขึ้นมาตามเคยที่จะจาฤก จ.ป.ร. แต่อยู่ข้างกันดารมาก จะหาศิลาก้อนใหญ่บนนั้น ไม่มีเลยมีอยู่ก้อนเดียว ซึ่งเปนศิลาติดไม่ใช่กลิ้งได้ ลงมือปราบน่า พวกช่างไม้แลคนที่หามรวม ๕ คนด้วยกัน ช่วยกันสกัด พ่อไปเขียน จ.ป.ร. แลเลขฝรั่ง ๑๙๐๗ แล้วพวกนั้นสกัด  สกัดของเขาดีแลคนทำงานก็แขง ๕ คนเท่านั้นไม่ช้าเท่าใดก็แล้ว พวกเราไปพักถ่ายรูปแลกินของต่างๆ ซื้อโปสต์ก๊าดเขียนโปสต์ก๊าด จนการแล้วเสร็จ ไปถ่ายรูปในที่นั้น ออกคิดถึงพวกแตรของเรา เพราะธรรมเนียมสลัก จ.ป.ร. เวลาแล้วเคยเป่าแตรบอกสำเร็จ ถ้าเรือมหาจักรีมาเปนได้เป่ากัน ” จากคุณ : secret letter - [ 20 ต.ค. 51 13:36:22 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ภาพเปรียบเทียบภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ทรงถ่ายโกรกผา บนแหลมนอร์ทเคป ซึ่งขณะที่ทีมงานกำลังถ่ายภาพๆ นี้ มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากมาสอบถามว่าถ่ายภาพไปเพื่ออะไร จากคุณ : secret letter - [ 20 ต.ค. 51 13:37:20 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ไม่น่าเชื่อว่า แม้กระทั่งภาพถ่ายโกรกผา จะยังคงอยู่ดังเดิมมายาวนานถึง ๑๐ ปี จากคุณ : secret letter - [ 20 ต.ค. 51 13:38:39 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ภาพปัจจุบันของก้อนหินสลักพระปรมาภิไธยย่อ จ.ป.ร. อายุ ๑๐๐ ปี เป็นอีกจุดหนึ่งที่นักท่องเที่ยวมักจะโยนเหรียญหรือธนบัตรไว้ ด้วยหวังว่า จะได้กลับมาเยือนแหลมนี้อีกครั้ง จากคุณ : secret letter - [ 20 ต.ค. 51 13:39:38 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ภาพเปรียบเทียบภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ทรงถ่ายคณะผู้ตามเสด็จฯ ณ แหลม นอร์ทเคป จากคุณ : secret letter - [ 20 ต.ค. 51 13:40:55 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ภาพปัจจุบันครับ จากคุณ : secret letter - [ 20 ต.ค. 51 13:41:56 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ขอทิ้งท้ายเรื่องราวการเสด็จประพาสนอร์ทเคปด้วย พระบรมรูปปั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  ขนาดเท่าพระองค์จริงครึ่งพระองค์ หล่อด้วยโลหะรมดำ ทรงฉลองพระองค์ชุดเสด็จพระราชดำเนินนอร์ทเคป ประดิษฐานไว้ที่พิพิธภัณฑสถานไทย  ณ นอร์ทเคป จากคุณ : secret letter - [ 20 ต.ค. 51 13:43:23 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ภายหลังจากการเสด็จทอดพระเนตรปรากฏการณ์พระอาทิตย์เที่ยงคืนที่นอร์ทเคปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวประทับเรือพระที่นั่งอัลเบียนเสด็จกลับจากแหลมเหนือ ตามทางเสด็จพระราชดำเนินผ่านลิงเกนฟยอด (Lyngenfjord) ในวันเสาร์ที่ ๑๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ โดยเป็นการประทับอยู่บนเรือถึงหนึ่งวันเต็ม เรื่องราวของลิงเกนฟยอด ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ ทรงบันทึกไว้ในพระราชหัตถเลขาฉบับคืนวันที่ ๑๑๐ โดยทรงเล่าถึงสิ่งที่ทอดพระเนตรว่า “ ในลิงเคนฟยอดนี้ เปนเขาแวดล้อมทุกด้านสูง ๖๐๐๐ ฟิต เว้นแต่ทางเข้า เขานั้นดาดไปด้วยสโนขาวโดยรอบ เว้นแต่เขาลูกในลูกหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ริมน้ำมีต้นไม้ ” เทือกเขาในลิงเกนฟยอด ในวันที่ทีมงานสารคดีล่องเรือผ่าน ละแวกนี้โอบล้อมไปด้วยภูเขา เป็นทัศนียภาพที่สวยงามอีกหนึ่งจุดของการล่องเรือ จากคุณ : secret letter - [ 20 ต.ค. 51 13:45:17 ]

ความคิดเห็นที่ 59 จากนั้นในเวลาบ่าย ๒ โมงของวันอาทิตย์ที่ ๑๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ เรือพระที่นั่งจะทอดสมออีกครั้งที่ท่าเรือเนนเซน (Nansen Pier) ท่ามกลางสภาพอากาศสายฝนที่โปรยปรายอย่างต่อเนื่อง ท่าเรือแห่งนี้ตั้งตามชื่อของศาสตร์จารย์เนนเซน (Fridtjof Nansen) ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะผู้พิชิตขั้วโลกเหนือ ภาพปัจจุบันของท่าเรือเนนเซน เมืองทรอมซือ ซึ่งเรือพระที่นั่งอัลเบียนใช้ทอดสมอเมื่อ ๑๐๐ ปีก่อน จากคุณ : secret letter - [ 20 ต.ค. 51 13:46:52 ]

ความคิดเห็นที่ 60 ในบริเวณใกล้กันกับท่าเรือ ยังมีรูปปั้นศาสตราจารย์เนนเซนอีกด้วย จากคุณ : secret letter - [ 20 ต.ค. 51 13:47:49 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ต่อจากนั้น พระองค์จึงเสด็จพระราชดำเนินไปยังพิพิธภัณฑ์เมืองทรอมซือ และทรงทอดพระเนตรสิ่งของที่จัดแสดงภายในพิพิธภัณฑ์ “ ขึ้นไปอิกชั้นหนึ่งไว้รูปสัตว์ต่างๆ เปนสัตว์สี่เท้าสองเท้าบรรดาที่ได้ข้างฝ่ายหนือ สตัฟบ้างแช่บ้าง ปลาต่างๆ ไม่สู้จะแปลกอะไรนักกว่าที่เคยๆ เห็น ข้างบนมีเสื้อผ้าเครื่องแต่งตัวพวกลัป ” สิ่งที่จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์เมืองทรอมซือ แม้ว่าเวลาจะผ่านมา ๑๐๐ ปี แต่สิ่งที่จัดแสดงก็ยังคงเป็นเช่นเดิม จากคุณ : secret letter - [ 20 ต.ค. 51 13:48:46 ]

ความคิดเห็นที่ 62 ด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์เมืองทรอมซือ เมื่อ ๑๐๐ ปีก่อนได้มีโอกาสรับเสด็จล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ จากคุณ : secret letter - [ 20 ต.ค. 51 13:50:09 ]

ความคิดเห็นที่ 63 จากพิพิธภัณฑ์เมืองทรอมซือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรชนเผ่าซามิ (Sami) หรือที่ทรงเรียกไว้ในพระราชหัตถเลขาว่าชนเผ่าลัปป์ (Lapp) ซึ่งจากประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ของเมืองทรอมซือแห่งนี้ระบุว่า ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ตั้งคนชนเผ่าซามิมาก่อน ต่อเนื่องมาจากยุคน้ำแข็ง (Ice Age) ในอดีต ปัจจุบันวัฒนธรรมของชนเผ่าชาวซามิก็ยังคงอยู่ให้พบเห็น เพียงแต่เครื่องแต่งกายและวิถีการดำเนินชีวิตได้แปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา โดยมีประชากรทั่วโลกประมาณ ๑๓๐,๐๐๐ คน กระจัดกระจายอยู่ตามประเทศต่างๆ ถึง ๔ ประเทศ อันได้แก่ นอร์เวย์ สวีเดน รัสเซีย และฟินแลนด์ โดยนอร์เวย์ถือเป็นประเทศที่ยังคงหลงเหลือประชากรชาวซามิไว้มากที่สุดในโลกตามตัวเลขที่ได้มีการทำการจัดเก็บถึง ๑๐๐,๐๐๐ คน ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ทรงถ่ายชนเผ่าลัปป์ โดยทรงบรรยายถึงชาวลัปป์ไว้ในพระราชหัตถเลขาไกลบ้านว่า “ หน้าตาของคนลัปนี้ เปนเจ๊กมากกว่าเปนฝรั่ง เหมือนรูปตลกงิ้วฤาหน้ากากเจ๊กที่เล่นสิงโตน่าพลับพลา ดูไม่น่าเชื่อว่าน่าหนาวจะอยู่เช่นนี้ได้ เพราะอยู่กับพื้นแผ่นดินจริงๆ ไม่มีแคร่รองเลยกระโจมก็โหว่ที่ตรงกลาง ” จากคุณ : secret letter - [ 20 ต.ค. 51 13:55:13 ]

ความคิดเห็นที่ 64 รูปแบบจำลองวิถีชีวิตชนเผ่าซามิระหว่างทางที่ทีมงานสารคดีเดินทางไปยังนอร์ทเคป จากคุณ : secret letter - [ 20 ต.ค. 51 13:58:15 ]

ความคิดเห็นที่ 65 คุณ Arna คุณป้าชาวซามิผู้น่ารัก จากคุณ : secret letter - [ 20 ต.ค. 51 13:59:30 ]

ความคิดเห็นที่ 66 ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ ประทับเรือพระที่นั่งอัลเบียนเสด็จจากเมืองทรอมซือสู่เป้าหมายต่อไปยังเมืองนาร์วิก (Narvik) ในเช้าของวันจันทร์ที่ ๑๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ ตลอดเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินทางน้ำเป็นเวลากว่า ๑๐ วันในประเทศนอร์เวย์ พระองค์ได้ทรงมีพระราชวินิจฉัยถึงภาพรวมของภูมิประเทศ และทรงกล่าวชื่นชมการดำรงวิถีชีวิตของชาวนอร์เวย์ไว้ในพระราชหัตถเลขาฉบับนี้ เริ่มต้นในเรื่องของสภาพภูมิประเทศซึ่งทรงกล่าวเปรียบเทียบกับประเทศใกล้เคียงอย่างเดนมาร์กว่า “ ในประเทศนอรเวยนี้ตรงกันข้ามกับประเทศเดนมาร์กเช่นที่ได้กล่าวมาแล้ว คือเดนมาร์กไม่มีเชาเลย ที่นี่หาที่ราบไม่ได้เลย เปนเขาไปทั้งนั้น กิงฮอกอนเคยพูดว่าอยากชะลอเขาที่นี่ไปตั้งไว้ที่เดนมาร์กสักเขาหนึ่ง จะสนุกกันสักเพียงใด ที่นี่จะทำทางไปแห่งไรต้องย่อยต้องทุบศิลาทุกทาง ไม่ว่าทางม้าฤาทางรถไฟ ข้างฝ้ายเดนมาร์ก ถ้าจะทำหนทางต้องมาบรรทุกศิลาถึงเมืองสวิเดนเอาไปทำถนน ” ไม่เพียงแต่ภูมิประเทศที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการดำรงชีวิตแล้ว สภาพอากาศก็ยังเป็นอุปสรรคสำคัญดังที่ทรงเล่าไว้ว่า ประเทศแถบนี้มีฤดูกาลที่หิมะละลายเพียง ๓ เดือน นอกจากนั้น ทุกตารางนิ้วของพื้นที่ก็จะถกปกคลุมไปด้วยหิมะจำนวนมาก ยากแก่การดำรงชีวิต รวมทั้งในแง่ของเกษตรกรรม อย่างไรก็ตาม พระองค์ทรงกล่าวชื่นชมประชาชนชาวนอร์เวย์ในการไม่ย้อท้อต่อสภาพแวดล้อม อันเนื่องมาจากภูมิประเทศ ดังที่ทรงบันทึกไว้ว่า “ เมื่อพิจารณาเหตุผลดีแลร้ายในที่ประเทศเหล่านี้แล้ว ยังน่าพิศวงความพยายามแลความเต็มใจของมนุษย์ที่อนู่แถบนี้เปนอันมาก เขาไม่ได้อิดหนาระอาใจในสิ่งซึ่งเปนความลำบากเปนสิ่งที่เสียของภูมิประเทศเลย ถือเอาแต่ส่วนข้างดีข้างเปนประโยชน์อย่างเดียว ไม่ได้ท้อถอยหลีกเลี่ยงหรือเหนื่อยหน่ายเลย ใช่แต่เท่านั้น ยังพยายามที่จะหาประโยชน์ประกอบภูมิประเทศ ให้ได้ผลอันไพศาลยิ่ง ” จากคุณ : secret letter - [ 20 ต.ค. 51 14:01:42 ]

ความคิดเห็นที่ 67 เมื่อล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ เสด็จพระราชดำเนินถึงเมืองนาร์วิก ในวันนั้น เมืองแห่งนี้มีชื่อเสียงอย่างมากในการทำอุตสาหกรรมแร่เหล็ก โดยบริษัทยักษ์ใหญ่ในชื่อ LKAB (Luossavaara-Kiirunavaara Aktiebolag) ให้การรับเสด็จล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ อย่างสมพระเกียรติ โดยพระราชหัตถเลขาไกลบ้านระบุชื่อเจ้าของบริษัทที่ให้การรับเสด็จในวันนั้นอีกด้วย “  ผู้ที่จัดการที่นี่เปนสองคนคือ โอเดดับลยู ลุนซ์ เปนผู้ดูแลการเรื่องบรรทุกแร่ทั่วไป กับ อี เอม ซี โยฮันน์เซน เปนผู้ดูการรถไฟ เขาเลื่อนรถลงมารับจนใกล้จะถึงตพาน พาไปดูที่กีก่อน ต้องลงเดินกางร่ม ” จากคุณ : secret letter - [ 20 ต.ค. 51 14:03:33 ]

ความคิดเห็นที่ 68 บริษัท LKAB เป็นบริษัทเหมืองแร่สัญชาติสวีเดน ก่อสร้างขึ้นในปี ค.ศ. ๑๘๙๐ และกิจการนี้ตกเป็นของรัฐบาลสวีเดนโดยสมบูรณ์แบบเมื่อปี ค.ศ. ๑๙๕๐ โดยตัวย่อของชื่อบริษัทในอักษร ๒ ตัวแรกเป็นสถานที่ขุดพบแร่เหล็ก บนยอดเขา Luossavaara และยอดเขา Kiirunavaara ซึ่งมีเขตแดนอยู่ในประเทศสวีเดน ปัจจุบัน สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในประเทศสวีเดน โดย LKAB ที่เมืองนาร์วิกเป็นเพียงบริษัทลูกที่เป็นปลายทางของการขนส่งแร่เหล็ก โดยอีกปลายทางหนึ่งอยู่ที่เมือง Luleå ประเทศสวีเดน เมื่อ ๑๐๐ ปีก่อน ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ เสด็จทอดพระเนตรเหมืองแร่เหล็กแห่งนี้และทรงบรรยายลักษณะของการทำเหมืองแร่เหล็กไว้ในพระราชหัตถเลขาไกลบ้าน โดยเริ่มต้นเสด็จพระราชดำเนินไปยังจุดแรกที่มีลักษณะเป็นเขื่อน ภาพมุมสูงเมื่อเรือบรรทุกแร่ส่งไปยังจุดหมายอื่นต่อไป จากคุณ : secret letter - [ 20 ต.ค. 51 14:06:07 ]

ความคิดเห็นที่ 69 การถ่ายทำสารคดีที่เมืองนาร์วิกมีความประทับใจหนึ่งที่ทีมงานจะไม่ลืมเลือนเลย นั่นคือ การที่เมืองแห่งนี้ให้ความสำคัญกับการถ่ายทำสารคดีตามรอยพระยุคลบาทรัชกาลที่ ๕ เป็นอย่างมาก โดยนักข่าวของเมืองได้ติดตามทีมงานเพื่อเสนอข่าวการถ่ายทำสารคดีฯ ตลอดระยะเวลาที่เราอยู่ที่นาร์วิก และเช้าวันรุ่งขึ้นก็มีภาพข่าวการถ่ายทำสารคดีปรากฏอยู่บนหน้า ๑ ของหนังสือพิมพ์เมือง ทำให้ทีมงานกลายเป็นที่รู้จักของชาวเมืองตลอดเส้นทางที่เราถ่ายทำ ซึ่งเราเองก็ถือว่าเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระองค์ท่านอีกทางหนึ่ง จากคุณ : secret letter - [ 20 ต.ค. 51 14:33:16 ]

ความคิดเห็นที่ 70 สรุปแล้วทีมงานออกหาซื้อหนังสือพิมพ์ได้มาเพียง 15 ฉบับ เป็นที่ระลึกหนึ่งของการตามรอยในครั้งนี้ครับ แก้ไขเมื่อ 20 ต.ค. 51 14:46:26 จากคุณ : secret letter - [ 20 ต.ค. 51 14:45:23 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ช่วยด้วยครับบบบบบ ทำยังไงกระทู้ก็ไม่กระเตื้องขึ้นเลยยยยย อิอิ จากคุณ : secret letter - [ 20 ต.ค. 51 15:03:06 ]

ความคิดเห็นที่ 72 ยังติดตามอยู่นะคะ ดูจากรูปการถ่ายทำน่าจะลำบากน่าดู นับถือทีมงานจริงๆ ค่ะ ที่เสาะแสวงหาสถานที่เมื่อ 100 ปีก่อนกันได้ Vote ค่ะ จากคุณ : Yogurt Cheese - [ 20 ต.ค. 51 15:08:50 ]

ความคิดเห็นที่ 73  ...  เข้ามา โหวต ทุกวัน ค่ะ  ... (แต่....เ ร า ค ง ผ อ ม แ ห้ ง แ ร ง น้ อ ย น่ ะ) จากคุณ : Oncidium. - [ 20 ต.ค. 51 19:28:13 ]

ความคิดเห็นที่ 74 ภาพหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์ที่เมืองนาร์วิก มีรายละเอียดหน้าในอีกสองหน้าเต็มๆ นี่นา จำได้ว่า วันนั้น ไปไหนก็เขินมากเลยอะ จากคุณ : ใบนท - [ 21 ต.ค. 51 11:13:13 ]

ความคิดเห็นที่ 75 เนื้อข่าวข้างในตามที่ขอมา แต่เป็นภาษานอร์เวย์นะครับ แปลความได้ ในช่วงแรก ซึ่งเป็นการนำเสนอเกี่ยวกับพระราชประวัติโดยย่อครับ จากนั้นจึงเข้าเรื่องในช่วงของพระราชหัตถเลขาไกลบ้าน และโปรโมตบริษัท LKAB ไปในตัวว่าครั้งหนึ่งเคยมีโอกาสรับเสด็จล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ จากนั้นจึงนำเสนอเรื่องราวของการตามรอยพระยุคลบาทในแบบวันต่อวันที่ทีมงานสารคดีได้เดินทางไป ซึ่งถือเป็นเรื่องน่าทึ่งสำหรับเขาครับ หนึ่งคำถามที่นักข่าวชาวนอร์เวย์ถามช่างภาพของเราก็คือ เดินทางถ่ายทำในลักษณะนี้เหนื่อยหรือเปล่า ช่วงภาพของเราตอบทันทีว่า "ไม่" ครับ พร้อมรอยยิ้มเท่ห์ๆ แล้วถ่ายงานต่อ เพราะเวลามีน้อยมากกก ส่วนทีมงานอีกคนรีบมากจนลืมเทปอัดเสียงสัมภาษณ์ไว้ที่บริษัท LKAB เป็นของที่ระลึกราคาแพงครับ อิอิ จากคุณ : secret letter - [ 21 ต.ค. 51 13:33:22 ]

ความคิดเห็นที่ 76 ในภาพข้างบน คุณใบนท กับ คุณจดหมายลับ คือคนที่ ๓ และ ๕ จากซ้าย ใช่หรือปล่าว รอคำตอบว่าเดาถูกหรือไม่   จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 21 ต.ค. 51 14:28:53 ]

ความคิดเห็นที่ 77 I kongens fotspor http://www.ofotenstidende.no/nyhet.asp?id=1343&fs=8 เว็บไซต์ภาษานอร์เวย์ กล่าวถึงการเสด็จประพาสเมือง Narvik และบริษัท LKAB   ตอนท้ายกล่าวถึงทีมถ่ายทำสารคดีจากเมืองไทยด้วย คุณจดหมายลับ ลองตรวจอีกทีว่าเข้าใจถูกหรือไม่ จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 21 ต.ค. 51 15:17:31 ]

ความคิดเห็นที่ 78 sawaddee kha khun secret letter Can you pls. tell me which date of newspaper "Fremover" published about your team? Because I am working here at The National Library of Norway and wish to read that article. จากคุณ : Nim in Norway - [ 21 ต.ค. 51 18:29:47 A:158.39.123.176 X: ]

ความคิดเห็นที่ 79 ตอบคุณเพ็ญชมพู คุณจดหมายลับคือชายหนุ่มขี้เก๊กคนที่สามจากซ้ายมือค่ะ ส่วนตัวเองยืนติดกับคุณออกหลวงนั่นแหละค่ะ ส่วนคุณ Nim in Norway เราเคยเจอกันตอนไปถ่ายทำไหมคะ ถ้าทราบมาก่อนว่ามีคนไทยทำงานใน National Libray เราคงไปรบกวนแน่ๆ เลย เสียดายจังค่ะ หนังสือพิมพ์ที่นาร์วิก เป็นฉบับวันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม เป็นนสพ.ท้องถิ่นของนาร์วิกค่ะ แต่มีหนังสือพิมพ์ที่ลงข่าวเกี่ยวกับทีมงานอีกประมาณสองเมืองมังคะ ที่จำได้คือ Starvanger ประมาณวันที่ 28 ก.ค. Odda ประมาณ 26 ก.ค.  บวกลบ 1-2 วันนะคะ คุณ Nim มี Aftenpoften ฉบับวันที่ 3 ก.ค.ของปีที่แล้วไหมคะ เพราะเขาทำสกู๊ปครบรอบ 100 ปีของการเสด็จประพาสนอร์เวย์แบบสองหน้าเต็มเลยค่ะ จากคุณ : ใบนท - [ 21 ต.ค. 51 19:26:45 ]

ความคิดเห็นที่ 80 Khun ใบนท Thank you very much for the information kha. I will try to find all of articles you mention about kha. We have microfilm of all newspaper in Norway here at the library kha. Although we didn't meet each other when you were here in 2007 but if khun ใบนท and team will come to Norway again, pls come to visit me here at the library kha. Don't TPBS interesting to make the documentary about "the digital library"? The National Library of Norway can be the good example for that kha. (you can present this idea to your boss :O) จากคุณ : Nim in Norway - [ 21 ต.ค. 51 20:23:12 A:158.39.123.176 X: ]

ความคิดเห็นที่ 81  ...  โอว, จินตนาการไปว่า คุณๆอยู่ในตำแหน่ง..ส ว.. กันแล้ว  ... แต่.. หาเป็นเช่นนั้นไม่  เอ๊าะ ๆ กัน ทั้งนั้นเลย .....  ขอแสดงความชื่นชมค่ะ   .... (ดึงรูปคุณๆมาเล่น คงไม่ว่านะคะ) แก้ไขเมื่อ 22 ต.ค. 51 03:22:55 จากคุณ : Oncidium. - [ 21 ต.ค. 51 22:05:22 ]

ความคิดเห็นที่ 82 ขอบพระคุณ คุณใบนท สำหรับคำเฉลยใน # ๗๙  คุณทั้งสองเป็นหนุ่มสาวในวัยสดใสเต็มไปด้วยไฟแห่งการค้นหาทั้งคู่ และขออภัยที่ # ๗๖ พิมพ์ชื่อคุณใบนทและคุณจดหมายลับสลับที่กัน สำหรับคุณ Nim หากช่วยกรุณาสรุปบทความในเว็บไซต์ # ๗๗ เป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ น่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้สนใจอย่างยิ่ง แก้ไขเมื่อ 22 ต.ค. 51 09:15:36 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 22 ต.ค. 51 08:41:39 ]

ความคิดเห็นที่ 83 แจ้งคุณ Nim ครับ เรื่องหนังสือพิมพ์ที่ลงข่าวการตามรอยของทีมงาน หรือเรื่องราวของพระองค์ท่านเอง มีประมาณ 4-5 เมืองครับ เด่วคุณใบนทจะแจ้งอีกครั้งครับ เพราะเล่นเก็บหนังสือพิมพ์ไว้คนเดียวเลย แต่ที่คิดว่าคุณ Nim น่าจะสนใจคือ หนังสือพิมพ์ Aftenpoten ของกรุงออสโล ฉบับวันที่ 3 กรกฎาคม ลงเรื่องราวเสด็จประพาสนอร์เวย์เต็มหน้ากลางนะครับ ทีมงานมีโอกาสได้เห็นตอนที่ไปถึงพอดี ซึ่งเป็นสิ่งที่นอร์เวย์ให้ความสำคัญมาก ทำเป็นสกู๊ปสวยสดงดงาม อันนี้เป็นเรื่องบังเอิญที่เราไปพบเข้าครับ ไว้จะถ่ายภาพหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นมาลงให้นะครับ แก้ไขเมื่อ 22 ต.ค. 51 11:19:59 จากคุณ : secret letter - [ 22 ต.ค. 51 11:11:19 ]

ความคิดเห็นที่ 84 เข้ามาลงชื่อตามติดก่อน ช่วงนี้งานเยอะ เลยมาแอบต่อแทบไม่ทัน ^^" จากคุณ : Jungle^^ - [ 22 ต.ค. 51 14:08:41 ]

ความคิดเห็นที่ 85 Khun Secret Letter Is this "http://www.aftenposten.no/fakta/innsikt/article1867213.ece" the same article that you mention about? Khun เพ็ญชมพู I am very glad to translate the article to you all kha. At this moment, I can just translate it into (my broken) English because I didn't install Thai keyboard here at work. :O) The link http:www.ofotenstidende.no/nyhet.asp?id=1343&fs=8 is an article of newspaper "Ofotens Tidende" in Narvik municipality on Wednesday 30th 2007 wrote by Kjetil Moe. Kjetil Wrote : Chulalongkorn was the king of Thailand or Siam, as the land was named between 1868 to 1910. He visited Norway between the fifth of July to the first of August 1907. "What was happened" all the time of visiting was told in the form of letters to many of his daughter. He had 43 daughters and 34 sons with more than 30 wives and he was the last king of siam that keep the old majesty tradition to have many wife. (Kjetil use the word "Haremstradisjonene" here in the sentence which can translate directly to "the harem tradition" : Nim) "Visited Norway" began in Oslo, where king Chulalongkorn was the guest of the palace of king Haakon and queen Maud. He was visited Narvik on the 15th of July 1907 and visiting was happened as: We arrived the seaport of Narvik-district at 9 o'clock in the morning. It is the most narrow part of Norway. (like Chumporn area in Thailand : Nim) As you already known as Norway and Sweden be located on a long peninsula, like Siam and Vietnam, and the border is the mountain range. That range bend into Norway and make this part of the land very narrow. ..... (to be continued) จากคุณ : Nim in Norway - [ 22 ต.ค. 51 16:06:43 A:158.39.123.176 X: ]

ความคิดเห็นที่ 86 แจ้งคุณ Nim ครับ ตามที่คุณให้ link ไว้ด้านบนเป็นข้อมูลเดียวกับที่ลงในหนังสือพิมพ์กรุงออสโลครับ ขอบพระคุณครับ ส่วนเรื่องที่ฝรั่งมักสงสัยว่าพระองค์ท่านมีภรรยากี่คน ทีมงานก็เจอคำถามอย่างนี้นะครับ แต่ส่วนมากจะเข้าใจเลยว่ามีภรรยา 400 คน ซึ่งเราก็แจ้งข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์ครับ จากคุณ : secret letter - [ 22 ต.ค. 51 16:47:37 ]

ความคิดเห็นที่ 87 แจ้งเรื่องภาพที่ลงบนเว็บหน้าแรกของหนังสือพิมพ์ aftenposten เป็นภาพการเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ ๑ นะครับ ไว้จะถ่ายรูปหนังสือพิมพ์มาให้ชมนะครับ ตอนนี้ไม่มีกล้องครับ จากคุณ : secret letter - [ 22 ต.ค. 51 16:49:51 ]

ความคิดเห็นที่ 88 ลิ้งก์ของคุณ  Nim Da kongen av Siam dro til << Nordpolen >> http://www.aftenposten.no/fakta/innsikt/article1867213.ece แก้ไขเมื่อ 22 ต.ค. 51 18:19:31 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 22 ต.ค. 51 18:16:24 ]

ความคิดเห็นที่ 89 แอบมาขอบคุณที่ชมว่า ยังไม่ ส.ว. วันปิยะมหาราชนี้ ทีมงานจะไปเปิดร้านที่ลานพระบรมรูปทรงม้านะคะ เรียนเชิญคุณเพ็ญชมพูและผู้สนใจสารคดีชุดนี้ทุกท่าน พบกันได้ค่ะ จากคุณ : ใบนท - [ 22 ต.ค. 51 21:56:48 ]

ความคิดเห็นที่ 90 ขอแปลต่อเป็นภาษาไทยนะคะ แต่ก่อนอื่นขอแจ้งว่า ตอนนี้ได้ยืมพระราชหัตถเลขาไกลบ้านฉบับภาษานอร์เวย์ (Reisebrev fra Norge 1907) ซึ่งแปลโดยคุณ Tore-Jarl Bielenberg จากฉบับภาษาอังกฤษ มาอ่านประกอบด้วย ทำให้พบว่าบางส่วนในบทความที่คุณ Kjetil เขียนลงในหนังสือพิมพ์ Fremover นี้ ได้คัดเอาข้อความมาจากพระราชหัตถเลขาโดยตรง จึงจะไม่ขอแปลข้อความในส่วนดังกล่าวนะคะ เนื่องจากเห็นเป็นการไม่สมควร และคาดว่าแฟน ๆ สารคดีของคุณ secret letter และคุณใบนท จะได้อ่านในพระราชหัตถเลขาไกลบ้านกันแล้ว แต่จะขอแปลเฉพาะส่วนที่กล่าวถึงทีมงานนะคะ ........... ...ในบทความตอนต่อมา คุณ Kjetil ได้คัดเอาข้อความจากพระราชหัตถเลขาฉบับวันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม ร.ศ. 126 ในตอนที่ล้นเกล้าฯ เล่าถึงเมืองนาร์วิก และบริษัท LKAB และการขนถ่ายแร่ลงเรือ.... (ในความเห็นที่ 67 - 68) ในย่อหน้าก่อนสุดท้ายคุณ Kjetil เขียนไว้ว่า ทีมงานทีวีซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 6 คน จะบันทึกภาพสถานที่ต่าง ๆ ในห้วงเวลาเดียวกันกับที่ล้นเกล้าฯ ได้เคยเสด็จพระราชดำเนิน ทีมงานเดินทางมาถึงนาร์วิกในวันที่ 6 กรกฎาคม และจะทำการถ่ายทำสารคดีที่ท่าเรือนาร์วิก บริษัท LKAB และเส้นทางรถไฟ Ofotbanen (อูฟูตบานเน่น) และคุณ Kjetil เขียนไว้ในย่อหน้าสุดท้ายว่า ในอีเมล์ฉบับหนึ่ง ทีมงานได้เขียนว่า สารคดีที่พวกเขาได้ถ่ายทำจะให้นาร์วิก และบริษัท LKAB เป็นที่รู้จักเป็นอย่างดีในประเทศไทย จากคุณ : Nim in Norway - [ วันปิยมหาราช 00:18:50 A:84.53.42.200 X: ]

ความคิดเห็นที่ 91 ขอบคุณคุณ Nim มากค่ะ ตอนประสานงานเพื่อการถ่ายทำ เราติดต่อไปที่ LKAB โดยตรง พอวันที่เจอเจ้าหน้าที่ของบริษัท เขาก็แนะนำว่า วันนี้จะมีนักหนังสือพิมพ์ มาถ่ายทำเบื้องหลังด้วย ทำเอาพวกเราตื่นเต้นงุนงงกันไปพักใหญ่ เพราะเคยอยู่แต่เบื้องหลัง วันนั้นทีมงานเดินทางไปกัน 4 คนค่ะ จากคุณ : ใบนท - [ วันปิยมหาราช 08:27:23 ]

ความคิดเห็นที่ 92 เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติพระพุทธเจ้าหลวงเนื่องในวันปิยมหาราชนี้ จึงขออัญเชิญพระราชนิพนธ์คำกลอนจากนอร์เวย์พระราชทานเจ้าจอม สดับ มาให้ทุกท่านได้ชื่นชมในพระอัจฉริยภาพของพระองค์ท่านในด้าน การประพันธ์ เพลงเขมรโพธิสัตว์ ๓ ชั้น พระลบ ไฉนหลบหมอกสลัวหรือกลัวหนาว ฝนตกพรำซ้ำเห็นเป็นคราวคราว สโนว์ขาวปลิวเกลื่อนเหมือนนุ่นปลิว ถิ่นทางหว่างไสลใกล้วิถี แถววารีพลั่นเป็นควันฉิว น้ำแข็งลาดดาดขาวขาวเป็นทิว ลมพัดริ้วโอ้ตะวันทิ้งฉันเอยฯ จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ วันปิยมหาราช 11:22:28 ]

ความคิดเห็นที่ 93 ขอขอบพระคุณ คุณ Nim ที่กรุณาช่วยแปลบทความของคุณ Kjetil Moe ในลิ้งก์ # ๗๗ ทั้งเวอร์ชั่นอังกฤษและไทย  นับว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้สนใจมาก หากคุณ Nim จะกรุณาช่วยแปลบทความ (เฉพาะหัวข้อที่น่าสนใจ) ในลิ้งก์ # ๘๘ ด้วย ก็น่าจะมีประโยชน์เช่นกัน แก้ไขเมื่อ 23 ต.ค. 51 13:37:22 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ วันปิยมหาราช 13:10:05 ]

ความคิดเห็นที่ 94 เนื่องด้วยวันนี้เป็นวันคล้ายวันสวรรคตของสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงนะครับ ขอนำภาพพระบรมฉายาลักษณ์พระองค์ท่านมาขึ้นเวบเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระองค์ท่านครับ จากคุณ : secret letter - [ วันปิยมหาราช 15:49:38 ]

ความคิดเห็นที่ 95 __________________________________________ จากคุณ : Oncidium. - [ วันปิยมหาราช 21:11:46 ]

ความคิดเห็นที่ 96 ตามเที่ยวต่อค่ะ จากคุณ : Sig.ra Colombo - [ วันปิยมหาราช 23:14:47 ]

ความคิดเห็นที่ 97 ติดตามชมตลอดครับ ได้ข่าวว่าตอนนี้ทางทีมงานได้จัดพิมพ์หนังสือให้สั่งจองกันแล้วครับ ติดต่อได้ที่สำนักพิมพ์จุฬา เล่มละประมาณพันห้าร้อยบาทครับ จากคุณ : นายวุ้นกะทิ - [ 24 ต.ค. 51 01:46:09 ]

ความคิดเห็นที่ 98 ขอขอบคุณไปถึงคุณใบนท และคุณ secret letter สำหรับชื่อหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นที่จะสามารถค้นหาอ่านเรื่องราวและมุมมองของสื่อมวลชนนอร์เวย์ที่มีต่อล้นเกล้า ฯ และการเสด็จพระราชดำเนินเยือนนอร์เวย์ รวมทั้งเรื่องราวของทีมงานถ่ายทำสารคดีด้วยค่ะ และขอขอบคุณ คุณเพ็ญชมพูที่ให้ความสนใจติดตามอ่านบทความฉบับแปล หากคุณเพ็ญชมพู พบว่ามีข้อความใดที่ไม่เหมาะสม ก็ขอคำชี้แนะด้วยค่ะ :O) สำหรับบทความของหนังสือพิมพ์ aftenposten นั้น ยินดีมากค่ะ ที่จะได้แปลใจความที่น่าสนใจให้ได้อ่านกัน รับรองว่าจะต้องอ่านไป ยิ้มไปค่ะ แต่ก่อนอื่นต้องขอบอกว่า เมื่อยิ่งค้นก็ยิ่งเจอนะคะ ยิ่งที่นี่เป็นที่รวบรวมวัสดุหลากหลายชนิดที่บันทึกประวัติศาสตร์ของประเทศของเค้าด้วยแล้ว ทำให้สะดวกในการสืบค้นและเข้าถึงสื่อเหล่านั้นได้ อย่างวันนี้หลังจากได้อ่านบทความใน นสพ. aftenposten แล้วพบว่าผู้เขียนได้อ้างถึงข้อความเกี่ยวกับล้นเกล้าฯ ที่เคยถูกตีพิมพ์ไว้ใน นสพ. aftenposten เมื่อ 100 ปีก่อนคือใน คศ. 1907 ด้วย เลยตั้งใจว่า จะค้นหา microfilm และนสพ. ฉบับดังกล่าวมา และจะได้ scan มาให้ดูกันด้วยค่ะ อีกอย่างที่ scan ไว้แล้วก็คือ นสพ. finnmarksposten ฉบับประจำวันที่ 12 กรกฏาคม 2007 ได้ลงข่าวเกี่ยวกับการเสด็จเยือน Nordkapp ของพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปีของการเสด็จพระราชดำเนินเยือน Nordkapp ของล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 พอจะลงรูปประกอบก็พบว่าไม่ได้เป็นสมาชิกเลยโพสรูปไม่ได้ ก็เลยต้องรอกันหน่อยนะคะ (ตอนนี้สมัครไปแล้วค่ะ) ในระหว่างที่รอนี้ ก็ได้จัด link ที่เข้าใจว่าอาจมีผู้สนใจชมกัน ก็คือ http://www.nb.no/gallerinor/index.php ซึ่งรวบรวมภาพถ่ายของสถานที่และเมืองต่าง ๆ ในประเทศนอร์เวย์ในอดีตไว้ รวมทั้งจะได้แนะนำการใช้ภาษา Norwegian ในการสืบค้น และเข้าใจศัพท์บางคำจากหน้าเวบ เพื่อความสะดวกในการสืบค้นค่ะ 1. เมื่อเปิดเวบแล้วให้เลือกที่ ภาพด้านขวาสุดค่ะ (s&oslash;k i bildearkivet) 2. เมื่อเข้ามาที่หน้าสืบค้นแล้ว มีช่องให้พิมพ์คำสืบค้น ก็สามารถพิมพ์ชื่อสถานที่หรือชื่อเมืองที่ต้องการชมภาพลงไปได้ค่ะ เช่น เมืองนาร์วิค (Narvik), นูขัพ (Nordkapp), พระราชวัง (slott), เมืองทรูนเฮม (Trondheim), กษัตริย์โฮคุ่น (kong haakon), พระราชินีโหมด (dronning maud) หลังจากนั้นก็กด enter และกดชมภาพเดินหน้าและย้อนหลังที่เครื่องหมาย << < > >> 3. หน้าเวบตั้งค่าให้แสดงภาพขนาดเท่าแสตมป์ไว้ (frimerkebilde) หากต้องการภาพขนาดใหญ่ให้เลือก (kvartformat) **ภาษา Norwegian มีตัวอักษรพิเศษ 3 ตัวที่ไม่มีใน keyboard ภาษาอังกฤษ คือต้วที่ออกเสียงอ้า (ลักษณะเหมือนตัวเอและตัวอีติดกัน), เออ (ตัวโอมีขีดแทยง/ทับ) และโอ (ตัวเอมีเครื่องหมายวงกลมด้านบน) เช่น เมืองทรุมเซอ, บูเดอ เป็นต้น ก็เลยจะให้ link ที่แสดงภาพของทั้ง 2 เมืองนี้ไว้ตรงนี้ค่ะ** link ภาพเมืองทรุมเซอ http://www.nb.no/cgi-bin/galnor/gn_sok.sh?context=0&offset=0&skjema=0&type=e&tittel=troms%F8&Start=S%F8k&fm=1&limit=20&user_offset=1 link ภาพเมืองบูเดอ http://www.nb.no/cgi-bin/galnor/gn_sok.sh?context=0&offset=0&skjema=0&type=e&tittel=bod%F8&Start=S%F8k&fm=1&limit=20&user_offset=1 จากคุณ : Nim in Norway - [ 24 ต.ค. 51 01:52:27 A:84.53.42.200 X: ]

ความคิดเห็นที่ 99  ช่วยทำ link ให้ คุณ Nim นะคะ http://www.nb.no/gallerinor/index.php link ภาพเมืองทรุมเซอ http://www.nb.no/cgi-bin/galnor/gn_sok.sh?context=0&offset=0&skjema=0&type=e&tittel=troms%F8&Start=S%F8k&fm=1&limit=20&user_offset=1 link ภาพเมืองบูเดอ http://www.nb.no/cgi-bin/galnor/gn_sok.sh?context=0&offset=0&skjema=0&type=e&tittel=bod%F8&Start=S%F8k&fm=1&limit=20&user_offset=1// จากคุณ : Oncidium. - [ 24 ต.ค. 51 05:10:52 ]

ความคิดเห็นที่ 100 Da kongen av Siam dro til <<Nordpolen>> เมื่อพระมหากษัตริย์แห่งสยามเดินทางไปขั้วโลกเหนือ บทความในหนังสือพิมพ์ Aftenposten เขียนโดย คุณ Fridtjof Morten Jonassen เมื่อวันที่ 3 กรกฏาคม 2007 คุณ Fridtjof Morten เริ่มต้นว่า เมื่อวันที่ 5 กรกฏาคม 100 ปีก่อน คิงจุฬาลงกรณ์แห่งสยามเสด็จพระราชดำเนินถึง Honnorbryggen ใน Kristiania ”พระมหากษัตริย์พระองค์นั้นทรงสง่างาม ดูออกว่าพระองค์ทรงพระสำราญและทรงเป็นมิตร ที่พระโอษฐ์ของพระองค์นั้นก็ประดับด้วยรอยพระสรวลน้อย ๆ อยู่เป็นนิจ” เป็นข้อความที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ Aftenposten กรอบบ่ายวันนั้น ในหัวข้อก่อนสุดท้าย (Vitebegjaerlig) คุณ Fridtjof Morten เขียนว่า คิงจุฬาลงกรณ์ทรงใฝ่รู้และช่างสังเกตุเป็นอย่างยิ่ง และทรงเป็นช่างภาพสมัครเล่นที่กระตือรือล้น พระคุณลักษณะที่ละม้ายกันนี้ก็มีในพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์ปัจจุบัน ซึ่งเป็นพระราชนัดดาของพระองค์ ผู้ทรงพระนามว่าภูมิพลอดุลยเดช พระราชหัตถเลขาไกลบ้านนั้นประกอบด้วยรูปภาพมากมายจากเส้นทางเสด็จ และทรงเขียนอธิบายรายละเอียดบนภาพด้วยพระองค์เอง สิ่งที่มีคุณค่ายิ่งที่ควรกล่าวไว้ในที่นี้ซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องกันกับการเสด็จเยือนนอร์เวย์ของคิงจุฬาลงกรณ์เลยก็คือ คิงภูมิพลเป็นผู้มีลิขสิทธิ์ประดิษฐ์กรรมการทำฝนเทียม สิ่งนี้เป็นการยืนยันได้ว่าความใฝ่รู้ในการนำนวัตกรรมใหม่มาใช้นั้นถ่ายทอดผ่านและมีอยู่ในพระราชวงศ์นี้ :: Vitebegjaerlig :: ถ้าแปลอย่างสามัญจะแปลได้ว่า ผู้ที่มีความสนใจใฝ่รู้ มีการพูดคุยซักถามในสิ่งที่ตนสงสัยใคร่รู้ และมีความกระตือรือล้นที่จะพัฒนาให้ตนเองเป็นผู้รอบรู้ในศาสตร์ต่าง ๆ **ในหัวข้อต่อจากนี้นั้นคุณ Fridtjof Morten ได้เขียนถึงสายสัมพันธ์ฉันท์มิตรระหว่างไทยกับนอร์เวย์ และได้เขียนถึงสมเด็จพระเทพรัตน์ฯ ไว้ด้วย ซึ่งจะขอแปลต่อในครั้งหน้านะคะ ตอนนี้ที่นอร์เวย์เที่ยงคืนครึ่งแล้วค่ะ :O)** **ขอขอบคุณ คุณOncidium ที่ช่วยทำ link ให้ค่ะ ตื่นเช้าจัง ยังไม่นอน หรืออยู่ทางซีกโลกอีกด้านหนึ่งคะ** จากคุณ : Nim in Norway - [ 24 ต.ค. 51 05:39:16 A:84.53.42.200 X: ]

ความคิดเห็นที่ 101   ....  ส วั ส ดี  ค่ะ คุณ Nim  .... อยู่แถวนี้ค่ะ เป็นมนุษย์ ค่ะ ชอบนอนดึกๆ เวลาประมาณนั้น กำลังดูข่าวเช้าเมืองไทยค่ะ (เพื่อว่า บ่อยครั้งจะขึ้นไปนอนตาค้างอันเนื่องจากข่าว) จากคุณ : Oncidium. - [ 24 ต.ค. 51 19:07:39 ]

ความคิดเห็นที่ 102 ขอบคุณคุณ Nim นะคะ เป็นประโยชน์มากๆ ค่ะ คุณ Nim พอจะเคยเห็นข้อมูลที่ทางสถานทูตไทยในออสโล รวบรวมข่าวหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับการเสด็จฯ นอร์เวย์ครั้งนี้ไหมคะ ตอนที่เราไป เขารวบรวมเสร็จแล้ว รู้สึกว่าขั้นตอนรวบรวมยากมาก เพราะกระบวนการจัดเก็บของนอร์เวย์เขาดีจริงๆ ขั้นตอนการแปลข่าวเมื่อร้อยปีก่อน   เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าแปลยากมาก เพราะเป็นสำนวนโบราณ ต้องแปลเป็นภาษานอร์เวย์แบบปัจจุบันก่อน แล้วแปลเป็นภาษาอังกฤษอีกที ตอนนั้นเราได้มาบางส่วน เท่าที่ทราบและเท่าที่ได้เห็น ทุกเมืองลงข่าวเกี่ยวกับพระองค์ท่านทั้งนั้นเลย มีทั้งหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นและหนังสือพิมพ์ส่วนกลาง รู้สึกว่า สถานทูตจะรวบรวมเสร็จแล้วนะคะ เพราะเขาให้เรามาบ้างเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่า หลังจากนั้น ได้มีการจัดพิมพ์หรือยัง ไว้สแกนข่าวที่เรามี แล้วจะนำมาให้อ่านนะคะ เพราะส่วนที่เราได้มา แปลเป็นภาษาอังกฤษเรียบร้อยแล้ว ต้องขอบคุณเจ้าหน้าที่สถานทูตที่ออสโลทุกท่านด้วยค่ะ จากคุณ : ใบนท - [ 24 ต.ค. 51 21:19:41 ]

ความคิดเห็นที่ 103 รออ่านคำแปลบทความตอนต่อไปของคุณ Nim โดยเฉพาะที่เขียนเกี่ยวกับสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี พระองค์เสด็จพระราชดำเนินเยือนราชอาณาจักรนอร์เวย์ ระหว่างวันที่ ๑๗ – ๒๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๓๒ พระราชดำริเกี่ยวกับการเดินทางครั้งนี้ ได้ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ในคำนำของหนังสือ "คืนฟ้าใส" ว่า หลังจากเคร่งเครียดกับการดูงานวิชาการ ดังที่ได้พรรณนาไว้ในหนังสือ “ปริศนาดวงดาว” แล้ว ในปีเดียวกันยังได้ไปประเทศนอร์เวย์ นับเป็นประสบการณ์ที่ดีคือได้ศึกษาพื้นที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหนือเส้นอาร์กติก ดินฟ้าอากาศช่วงนี้สว่างกระจ่างแจ้ง จึงเป็นที่มาของชื่อหนังสือ “คืนฟ้าใส” ข้าพเจ้าได้ไปนอร์เวย์ครั้งนี้เป็นครั้งแรก ถึงจะเป็นระยะเวลาอันสั้น ก็พยายามสังเกตความเป็นไปของประเทศเท่าที่จะเป็นไปได้ ทั้งในด้านกายภาพ สังคม เศรษฐกิจ การเมือง พอที่จะเป็นบันทึกไว้ได้ เมืองหลายเมืองที่ข้าพเจ้าไปถึง เป็นเมืองที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเคยเสด็จพระราชดำเนินเมื่อ ๘๐ ปีมาแล้ว ได้อ่านในพระราชนิพนธ์ “ไกลบ้าน” จึงขออัญเชิญพระราชนิพนธ์มาลงพิมพ์ไว้ด้วยเพื่อท่านผู้อ่านจะได้เปรียบเทียบอย่างชัดเจนด้วยตนเองว่าในเวลาเกือบศตวรรษ มีสิ่งใดที่คงอยู่อย่างเดิม หรือเปลี่ยนไปเช่นใด พระองค์ได้เสด็จ ฯ ไปทอดพระเนตรพิพิธภัณฑ์นอร์ดแคป ทอดพระเนตรนิทรรศการท้องถิ่นประกอบแผนที่ จัดแสดงวิธีการถนอมอาหารของท้องถิ่นคือการทำปลาแห้ง และชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประมงสมัยก่อน เสด็จ ฯ ไปทรงเปิดศาลาไทยที่แหลมนอร์ดแคป (Nordkapp Plateau) มีห้องจัดแสดงหินที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธยไว้ และจัดแสดงเอกสารต่าง ๆ เกี่ยวกับการเสด็จ ฯ ในครั้งนั้น ได้ทรงบันทึกถึงการเสด็จ ฯ เยือนนอร์ดแคปไว้ ความตอนหนึ่งว่า ...การเยือนนอร์ดแคปของข้าพเจ้าเป็นไปอย่างง่าย ๆ เพียงได้ไปถึงที่ที่สูงสุดคือ ๗๑ องศา ๑๐ ลิปดา ๒๑ พิลิปดา ตัวเลขนี้เขียนไว้ที่ของที่ระลึกทุก ๆ อย่าง โปสการ์ดก็มีเขียนไว้ ข้าพเจ้าส่งการ์ดถึงใคร ๆ ที่นี่ เพราะจะได้มีปั๊มตรา Nordkapp เขาออกตราปั๊มพิเศษวันเปิดศาลาไทยสำหรับซองจดหมาย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินทางเรือ แล้วปีนหน้าผาขึ้นมา การปีนต้องทำได้ยากมาก เพราะหินร่วน แตกกะเทาะง่าย ในพระราชนิพนธ์ “ไกลบ้าน” ก็ได้มีพระราชวิจารณ์ในเรื่องนี้... http://www.sirindhorn.net/Book-detail.php?type=Travel&id=2006-02-22%2023:48:32 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 25 ต.ค. 51 06:17:30 ]

ความคิดเห็นที่ 104 ระหว่างประทับที่นอร์เวย์ ทรงได้แรงบันดาลใจให้ทรงเขียนภาพฝีพระหัตถ์ได้ ๓ ภาพ คือ ภาพวิวที่นอร์เวย์ แจกันดอกกุหลาบที่นอร์เวย์ และ ทางวกวน,นอร์เวย์ วันที่ ๒๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๒ ขณะที่ทรงประทับที่โรงแรมเอสเอเอส นอร์ดแคป (SAS Nordkapp) ที่เมืองโฮนนิงสโว้ก (Honninigsvag) ทรงตื่นบรรทมแต่เช้าประมาณตีห้ากว่าแล้วทรงเขียนภาพวิวที่ทอดพระเนตร จากหน้าต่างห้องที่ประทับ ในหนังสือพระราชนิพนธ์ คืนฟ้าใส ทรงเล่าไว้ว่า แต่แรกคิดว่าจะเขียนภาพทิวทัศน์นอกหน้าต่างเอาไว้เป็นที่ระลึก เอาสีน้ำและสีดินสอมาด้วย จริง ๆ เราก็เขียนภาพส่งเดช เพราะฝนตก สีสันท้องฟ้าและทะเลเปลี่ยนสีไปหมด จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 25 ต.ค. 51 06:24:16 ]

ความคิดเห็นที่ 105 แจกันดอกกุหลาบที่นอร์เวย์ ภาพฝีพระหัตถ์ ทรงวาดเมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๒  ณ เมืองโฮนนิงสโว้ก (Honninigsvag) ประเทศนอร์เวย์ วันเดียวกับที่ทรงวาดภาพ วิวที่นอร์เวย์  วันเดียวกันนั้น ได้เสด็จไปทรงเปิด "ศาลาไทย" ที่นอร์ดแคปด้วย จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 25 ต.ค. 51 06:30:55 ]

ความคิดเห็นที่ 106 ทางวกวน,นอร์เวย์ จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 25 ต.ค. 51 06:35:53 ]

ความคิดเห็นที่ 107 เหรียญที่ระลึกเนื่องในวโรกาสสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเสด็จฯ เปิดศาลาไทย ณ ประเทศนอร์เวย์ แบ่งออกเป็น เหรียญที่ทำจากทองคำและทำจากเงิน จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 25 ต.ค. 51 06:40:19 ]

ความคิดเห็นที่ 108 ตลอดร้อยปีที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ไทย-นอร์เวย์ แน่นแฟ้นมาก หนึ่งศตวรรษของสัมพันธ์ระหว่างไทยกับนอร์เวย์ ไม่เคยมีเหตุการณ์ใดบาดหมางระหว่าง ๒ ชนชาตินี้ สัมพันธ์ระหว่างราชสำนักสยามครั้งรัชสมัยรัชกาลที่ ๕ แห่งราชวงศ์จักรี กับปฐมราชวงศ์แห่งนอร์เวย์ สืบต่อกันอย่างแน่นแฟ้นงดงาม ตั้งแต่ปี ๒๔๕๐ จุดเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับนอร์เวย์ จากการเสด็จประพาสยุโรปในครั้งที่ ๒ ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประเทศไทยเริ่มมีความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการกับนอร์เวย์เมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๔๔๘ หลังจากที่นอร์เวย์ได้ประกาศเอกราชแยกตัวออกจากสวีเดนโดยสันติ เมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๔๔๘ ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับนอร์เวย์ยิ่งใกล้ชิดมากขึ้น เดือนมิถุนายน ๒๔๕๐ (ค.ศ.๑๙๐๗) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินเยือนนอร์เวย์ ๑๙-๒๑ กันยายน ๒๕๐๓ (ค.ศ.๑๙๖๐) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ เสด็จเยือนนอร์เวย์ในฐานะพระราชอาคันตุกะของสมเด็จพระราชาธิบดีและสมเด็จพระราชินีแห่งราชอาณาจักรนอร์เวย์ ๑๒-๑๘ ตุลาคม ๒๕๓๑ (ค.ศ.๑๙๘๘) สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จเยือนนอร์เวย์เป็นการส่วนพระองค์ เพื่อทรงบรรยายทางวิชาการ ๑๗-๒๗ มิถุนายน ๒๕๓๒ (ค.ศ. ๑๙๘๙) สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จเยือนนอร์เวย์ เพื่อทรงเปิดศาลาไทย ณ นอร์ทเคป เดือนมกราคม ๒๕๓๔ (ค.ศ. ๑๙๙๑) สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จแทนพระองค์เพื่อร่วมในพิธีพระบรมศพสมเด็จพระราชาธิบดีโอลาฟที่ ๕ แห่งนอร์เวย์ ๒๕๓๘ (ค.ศ.๑๙๙๕) สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เสด็จเยือนนอร์เวย์เป็นการส่วนพระองค์ และทรงนำพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในชุดฉลองพระองค์ที่เสด็จเยือนนอร์ทเคปเมื่อปี ๒๔๕๐ ไปประดิษฐานไว้ที่ศาลาไทย ณ นอร์ทเคป ๒๙-๓๐ สิงหาคม ๒๕๔๓ (ค.ศ. ๒๐๐๐) สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จเยือนนอร์เวย์ เป็นการส่วนพระองค์ ข้อมูล : กรมยุโรป กระทรวงการต่างประเทศ http://www.komchadluek.net/2007/07/02/c107_121958.php?news_id=121958 แก้ไขเมื่อ 25 ต.ค. 51 11:52:56 แก้ไขเมื่อ 25 ต.ค. 51 09:03:09 แก้ไขเมื่อ 25 ต.ค. 51 08:58:23 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 25 ต.ค. 51 08:39:04 ]

ความคิดเห็นที่ 109 แท่นหินพระนาม"สิรินธร" ที่ศาลาไทย ณ นอร์ทเคป จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 25 ต.ค. 51 09:01:22 ]

ความคิดเห็นที่ 110 เพื่อให้ง่ายต่อการติดตามกระทู้ของคุณจดหมายลับ (ออกหลวงมงคล) จึงขอเสนอลิ้งก์การเดินทางของกระทู้ตั้งแต่เริ่มต้นที่ห้องเฉลิมไทยจนมาถึงห้องสมุด ข้อมูลใหม่ๆ เกี่ยวกับรัชกาลที่ ๕ ที่คุณไม่เคยรู้...   http://topicstock.pantip.com/chalermthai/topicstock/2008/07/A6771055/A6771055.html อิตาลี - เนเปิลส์ เจาะลึกเบื้องหลังสารคดี ๑๐๐ ปี ไกลบ้าน พร้อมภาพเปรียบเทียบภาพถ่ายฝีพระหัตถ์{แตกประเด็นจาก A6771055} http://topicstock.pantip.com/chalermthai/topicstock/2008/07/A6825361/A6825361.html อิตาลี - เยนัว ตามรอยพระยุคลบาท 100 ปีไกลบ้านรัชกาลที่ ๕... ทุกสถานที่ ตามวันเวลาเดียวกับพระองค์ท่าน http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2008/07/K6836989/K6836989.html อิตาลี - ซานเรโม, ตูริน, เวนิส, ฟลอเรนส์ สวิส  -  เตอร์ริเตร์, นอยเฮาเซน ตามรอยพระยุคลบาทรัชกาลที่ ๕ ณ ดินแดนริเวียร่าของอิตาลีกันต่อที่นี้นะครับ{แตกประเด็นจาก K6836989} http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2008/08/K6860154/K6860154.html เยอรมัน - บาเดนบาเดน ฝรั่งเศส - หมาป่าฝรั่งเศสและลูกแกะสยาม ๑๐๐ ปีไกลบ้าน ตามเสด็จพระพุทธเจ้าหลวง... ณ ประเทศเยอรมัน{แตกประเด็นจาก K6860154} http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2008/08/K6922623/K6922623.html ฝรั่งเศส   - ปารีส อังกฤษ   - ลอนดอน เบลเยี่ยม - ออสเตนด์ ๑๐๐ ปีไกลบ้าน ตามเสด็จพระพุทธเจ้าหลวง ณ ประเทศฝรั่งเศสกันต่อครับ {แตกประเด็นจาก K6922623} http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2008/09/K7000211/K7000211.html เดนมาร์ก - โคเปนเฮเกน, ออร์ฮุส, สเกน ๑๐๐ ปีไกลบ้าน ตามเสด็ตพระพุทธเจ้าหลวง ณ ประเทศเดนมาร์ก{แตกประเด็นจาก K7000211} http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K7048007/K7048007.html และกระทู้ปัจจุบัน ออสโล (คริสเตียเนีย), ทรอนด์เยม, โบเดอ, แฮมเมอร์เฟสต์, ฮอนนิ่งสวาก, นอร์ทเคป จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 25 ต.ค. 51 09:02:19 ]

ความคิดเห็นที่ 111 ต่อจากเมืองนาร์วิกนะครับ ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ ประทับเรือพระที่นั่งอัลเบียนเสด็จเข้าสู่เขตรัฟตซุนด์ ทรงบรรยายถึงสภาพแวดล้อมต่างๆ ไว้ ฃ ปัจจุบัน ทัศนียภาพในเขตรัฟต์ซุนด์ได้รับการยอมรับจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกว่า เป็นจุดที่สวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งในการเดินเรือเพื่อชมความงดงามของหมู่เกาะประเทศนอร์เวย์ และในช่วงเวลาที่เรือโดยสารขนาดยักษ์กำลังแล่นผ่านหมู่เกาะบริเวณนี้ ทั่วทุกพื้นที่ของเรือโดยสารก็จะเต็มไปด้วยบรรดานักท่องเที่ยวที่ต้องการออกมาชื่นชมความสวยงามและความมหัศจรรย์ที่โลกได้รังสรรค์เอาไว้ ภาพตัวอย่างเกาะๆ หนึ่งในเขตรัฟตซุนด์ ซึ่งล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ ทรงเรียกว่าศิลาและมีมอสหรือตะไคร่ตามที่ทรงเรียกอย่างไทยปกคลุมทั่วทั้งเกาะ จากคุณ : secret letter - [ 29 ต.ค. 51 16:07:07 ]

ความคิดเห็นที่ 112 ต่อจากเขตรัฟต์ซุนด์ เรือพระที่นั่งอัลเบียนเดินทางต่อไปยังโทรลฟยอด ตามที่ทรงบรรยายไว้ว่า “ แต่ฟยอดที่เข้าไปที่ตรอลฟยอดนี้ บังหายลับไม่เห็นช่องเลย พอเลี้ยวพ้นแหลมก็เห็นเปนช่องลำคลองกว้างเท่าคลองบางหลวง ข้างขวามือเปนเขาสูง เหมือนอย่างตัดผ่าซีก น่าผาชันไม่มีต้นไม้ และแหงนคอตั้งบ่า ข้างซ้ายเปนเขาต่ำลงมาหน่อยหนึ่ง เปนรอยศิลาที่น้ำกัดเปนกลีบๆ แต่ละแท่งละแท่งโตเกินประมาณ เขาเหล่านั้นเปนน้ำพุไหลพร่าไปทุกหนทุกแห่ง สูงๆ ใหญ่บ้างเล็กบ้าง ในที่สุดของฟยอดนั้นเปนภูเขายอดซับซ้อนกัน มีสโนดาดขาวเต็มไปทั้งสิ้น ข้างเขาที่ลงมาเปนแอ่งเปนกะพักก็มีสโนกองเรี่ยราดลงมาจนกระทั่งถึงทเล ” ภาพนี้เป็นภาพเมื่อเรือเลี้ยวเข้าใกล้ทางเข้าโทรลฟยอด ก็ปรากฏเป็นทางดังที่เห็นในภาพ ซึ่งเป็นแบบเดียวกับที่ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ ได้ทรงทอดพระเนตรและทรงบรรยายไว้ว่า “ พอเลี้ยวพ้นแหลมก็เห็นเปนช่องลำคลองกว้างเท่าคลองบางหลวง ” และเมื่อเข้าไปด้านในแล้ว จะพบเขาสูงจำนวนมากซึ่งยอดเขาเต็มไปด้วยกองหิมะมากมาย จากคุณ : secret letter - [ 29 ต.ค. 51 16:08:43 ]

ความคิดเห็นที่ 113 เมื่อเรือเดินทางเข้าไปยังโทรลฟยอด คำที่ทรงกล่าวไว้ในพระราชหัตถเลขาช่างชัดเจนเหลือเกิน โดยทรงกล่าวว่าด้านซ้ายคือเขาที่ถูกน้ำตกกัดกร่อนเป็นกลีบๆ จากคุณ : secret letter - [ 29 ต.ค. 51 16:09:59 ]

ความคิดเห็นที่ 114 ส่วนด้านขวาคือเขาที่ตั้งตระหง่านจนต้องแหงานหน้ามอง มีลักษณะเหมือนถูกผ่าซีก ภาพนี้ต้องแหงนมองจนเหมื่อยคอครับ จากคุณ : secret letter - [ 29 ต.ค. 51 16:11:03 ]

ความคิดเห็นที่ 115 เรือพระที่นั่งอัลเบียนได้นำล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ เสด็จพระราชดำเนินถึงยังตำบลสวาร์ติเซน (Svatisen) ในวันอังคารที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ และทรงใช้ระยะเวลา ๑ วันในการประทับอยู่บนเรือพระที่นั่งผ่านตามเมืองต่างๆ ที่เคยทรงเสด็จพระราชดำเนินผ่านมาแล้วทั้งสิ้น อันได้แก่ เมืองโบเดอ เกาะท็อร์กฮาตเตน และเมืองทรอนด์เยม ซึ่งเรือพระที่นั่งมีกำหนดการจอดเทียบท่าอีกครั้งที่ท่าเรือเมืองคริสเตียนซุนด์ในวันพุธที่ ๑๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ทรงถ่ายที่ตำบลสวาร์ติเซน ซึ่งทรงบรรยายไว้ในไกลบ้านแต่เพียงเล็กน้อยว่า “ ตำบลสวาร์ติเซนนี้เปนที่สโนเทือกใหญ่ซึ่งเรียกว่าแคลเซียร์ ติดต่อกันลงมาจนถึงทเล เปนทางที่น้ำหักลงมาโดยแรง กัดทางกว้าง เพราะเปนที่ลาดไม่สู้จะชัน สโนจึงได้ขังอยู่มาก ประมาณดูแผ่นดินสโนที่ริมทเล ” จากคุณ : secret letter - [ 29 ต.ค. 51 16:12:13 ]

ความคิดเห็นที่ 116 เรือพระที่นั่งอัลเบียนเข้าเทียบท่าที่ท่าเรือเมืองคริสเตียนซุนด์ (Kristiansund) เวลาเที่ยงตรง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมิได้เสด็จพระราชดำเนินไปยังสถานที่ใดในเมืองแห่งนี้ ทรงกล่าวแต่เพียงว่า “ แต่พ่อไม่ได้ขึ้นบก เพราะอยู่ในเรือก็ออกเกือบจะเห็นทั่ว ไม่สู้ประหลาดอันใด ” เมืองคริสเตียนซุนด์ในพระราชหัตถเลขาไกลบ้านจึงทรงบรรยายไว้เพียง สภาพของเมืองตามที่ทอดพระเนตรจากบนเรือพระที่นั่งอัลเบียน ในขณะที่เรือกำลังแล่นเข้าเทียบท่า ดังความที่ปรากฏว่า “ เมืองนี้เปนเมืองตำบลใหญ่ในที่หาปลาทั้งปวง ที่ซึ่งตั้งเมืองเข้าทีมาก คือตั้งอยู่บนเกาะๆ หนึ่งเปนเกาะใหญ่ แล้วมีเกาะย่อมกว่า ๒ เกาะตั้งบังอยู่ข้างน่า เพราะฉนั้นจึงแลดูที่ซึ่งทอดเรือเหมือนอย่างอยู่ในคอกฤาในกำแพง ซึ่งมีประตูสามช่อง ออกจะได้ระยะกันในสามช่องนั้น เมืองตั้งอยู่ที่เกาะใหญ่ บ้านเรือนติดต่อกันมาก ส่วนเกาะเล็กทั้งสองเกาะมีบ้านเรือนเปนหมู่ๆ ตั้งอยู่ตรงสองฟากปากช่องซึ่งจะเข้าไปในอ่าวนั้น ” ภาพเมื่อเรือที่ทีมงานใช้เดินทางตามรอยกำลังจะจอดเทียบท่า จะเห็นได้ว่าเหมือนเรือกำลังถูกล้อมรอบด้วยเมืองซึ่งล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ ทรงเปรียบว่าเหมือนคอกหรือกำแพง จากคุณ : secret letter - [ 29 ต.ค. 51 16:14:32 ]

ความคิดเห็นที่ 117 วันเดียวกัน เรือพระที่นั่งอัลเบียนได้เดินทางต่อมายังตำบลโมลเด (Molde) เช่นเดียวกับเรือที่ทีมงานสารคดี “๑๐๐ ปี ไกลบ้าน ตามเสด็จพระพุทธเจ้าหลวง” ใช้เดินทางในครั้งนี้ จะมีกำหนดการจอดเทียบท่าที่เมืองโมลเดเพียง ๕๐ นาทีเท่านั้น พร้อมสภาพฟ้าฝนที่กระหน่ำตกตั้งแต่เรือยังไม่เข้าเทียบท่า ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ จะมิได้เสด็จพระราชดำเนินเมืองแห่งนี้ แต่ได้ทรงบรรยายเมืองแห่งนี้ว่าประดับประดาไปด้วยดอกกุหลาบ “ ตำบลโมลเดนี้เปนตำบลซึ่งเจ้าแผ่นดินนอรเวได้แนะนำให้แวะให้ได้ เพราะเปนที่งามแลมีคุณวิเศษกว่าตำบลอื่น ด้วยเหตุว่าเปนเมืองที่ตั้งอยู่บนเกาะ ซึ่งมีต้นไม้บริบูรณ์ แลแวดล้อมไปด้วยภูเขาสูงสำหรับบังลมทเล ในโมลเดฟยอดนั้น น้ำนิ่งอยู่เสมอเหมือนอย่างในทเลสาบ ที่ตั้งเมืองเปนเมืองงามอย่างยิ่งแห่งหนึ่งในนอรเว เพราะมีเขาเปนเครื่องบังลม จึงได้มีอากาศพอประมาณไม่สู้หนาวจัด ต้นไม้พืชพรรณอะไรเปนได้ดีบริบูรณ์ กล่าวว่ามีดอกไม้งามๆ คือกุหลาบต่างๆ ” เราจึงต้องฝ่าฝนไปเก็บภาพดอกกุหลาบที่มีอยู่ทั่วเมืองจริงๆ ตามที่ทรงบรรยายครับ จากคุณ : secret letter - [ 29 ต.ค. 51 16:17:30 ]

ความคิดเห็นที่ 118 ภาพดอกกุหลาบที่สามารถพบเห็นได้ทั่วเมืองโมลเด จากคุณ : secret letter - [ 29 ต.ค. 51 16:18:14 ]

ความคิดเห็นที่ 119 จากนั้น ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ เสด็จพระราชดำเนินตามเส้นทางจากตำบลเมร็อค ตามทางไกรังเกอร์ฟยอด เพื่อเข้าประทับยังโรงแรมกรอตลิ  ในเขตตำบลกรอตลีตต่อไป ในช่วงของการเสด็จพระราชดำเนินครั้งนี้มีอุปสรรคในเรื่องของสภาพอากาศที่ฝนตกลงมาอย่างหนัก โดยล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ เองก็ทรงมีพระราชปรารภในทำนองเสียดายว่า “ เมื่อคืนนี้เรือถึงเมร็อก เวลา ๑๐ ทุ่ม ตื่นเวลาโมงเศษ ลุกขึ้นกินเข้า นึกว่าวันนี้เห็นจะรอดตัวฝนไม่ตก พอกินเสร็จฉวยกล้องจะไปถ่ายรูป ฝนก็ร่วงลงมา ไม่ใช่ร่วงน้อยๆ เสียดายเต็มที เพราะในฟยอดนี้งามมาก เรือเราเข้าจอดแอบริมฝั่ง จนยืนที่ในแคบิน ไม่แลเห็นว่าฝั่งสูงเพียงใด ตกลงเปนเลยไม่ได้รูปเมร็อก ถ้าจะถ่ายที่กราบเรือไม่ต้องเปียกฝน ซึ่งไม่ดีเหมือนบนดาดฟ้า แต่ก็คงยังจะได้รูป นี่ฝนไม่ให้ถ่ายเสียเลย จึงหมดตำรากันเท่านั้น ” จากท่าเรือในตำบลเมร็อค พระองค์ประทับรถม้าพระที่นั่งเสด็จขึ้นสู่ทางยอดเขา โดยทรงบรรยายถึงเส้นทางเสด็จในช่วงต้นว่า “ ทางที่ขึ้นกว้างประมาณ ๘ ศอก ขึ้นเวียนไปเวียนมาอย่างที่เรียกว่า ซิกแซก แต่ไม่มีชันในที่ใดเลย รถขึ้นได้สะดวกดีกว่าที่ชวาเปนอันมาก ไม่มีการเฆี่ยนม้าเควี้ยวๆ อย่างที่ชวา ปล่อยให้ม้าเดินย่องขึ้นไปช้าๆ เครื่องที่สำหรับกั้นตกนั้น ใช้ศิลาโตกว่าที่อิตาลีมาก สูงประมาณ ๒ ศอก ตั้งระยะถี่ ห่างกันอยู่ในศอกคืบแล ๒ ศอก ดูติดแน่นแข็งแรงโดยม้าจะลำพองบ้าง เปนที่ไม่มีที่จะพลาดพลัดตก ที่เขาทำได้ทั้งนี้ เพราะศิลาอุดมเหลือเกิน ” ทางซิกแซกที่ทรงบรรยายไว้ เมื่อมองจากมุมสูง เส้นทางที่เห็นนี้ทรงบรรยายว่าไม่น่ากลัวเลยแม้แต่น้อย จากคุณ : secret letter - [ 29 ต.ค. 51 16:21:39 ]

ความคิดเห็นที่ 120 ทีมงานสารคดีฯ เดินทางตามเส้นทางเสด็จมาได้ระยะหนึ่งก็พบกับโรงแรมหลังหนึ่งที่มีอายุยาวนานกว่า ๑๐๐ ปี โดยในวันที่ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ เสด็จพระราชดำเนินนั้น พระองค์ทรงบอกเล่าเพียงว่าได้ทอดพระเนตรโรงแรมหลังนี้ ซึ่งจากจุดที่ยืนอยู่มองเห็นทัศนียภาพของไกรังเกอร์ฟยอดได้งดงามเป็นอย่างยิ่ง “ คั่นที่ ๑ สูงประมาณ ๑๐๐ เมเตอร์เศษ มีโฮเตลไม้ตั้งหลังหนึ่ง อยู่สูนย์กลางหว่างช่องเขา แลลงมาเห็นวิ้วข้างล่างงามเรียกว่าโฮเตลอุนิอน ตามเสียงชาวนอรวิเยียน ก็คือ ยูเนียน ในคำอังกฤษ ” ภาพโรงแรมยูเนียน ซึ่งยังคงเปิดกิจการต่อเนื่องมายาวนานถึง ๑๐๐ ปี จากคุณ : secret letter - [ 29 ต.ค. 51 16:22:59 ]

ความคิดเห็นที่ 121 จากนั้นเมื่อเสด็จพระราชดำเนินไปอีกเพียง ๑๐๐ เมตร พระองค์ประทับพักพระวรกายครู่หนึ่งที่โรงแรมอุกซิกเต็น  ซึ่งปัจจุบันก็ยังคงเปิดทำการเป็นปกติ และทีมงานสารคดีฯ พบว่า ภายในโรงแรมได้มีการนำพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมาประดับตกแต่งไว้ตามทางเดินจากชั้นที่ ๑ ขึ้นสู่ชั้นที่ ๒ จากคุณ : secret letter - [ 29 ต.ค. 51 16:24:21 ]

ความคิดเห็นที่ 122 ทัศนียภาพอันงดงามของไกรังเกอร์ฟยอด เมื่อมองจากโรงแรมอุกซิกเต็น เรือสำราญลำที่เห็นในภาพคือเรือที่ทีมงานสารคดีใช้เดินทางตามรอยพระยุคลบาทรัชกาลที่ ๕ ในครั้งนี้ ในพระราชหัตถเลขาไกลบ้านทรงบอกเล่าเรื่องฟยอดแห่งนี้ไว้ว่า “ แลเห็นน้ำในฟยอดลืมกล่าวถึงชื่อฟยอด เขาเรียกว่าไกรังเงอ ที่เรือเรามาจอด แลเห็นเรือยอตช์แต่ไม่เห็นลำ เห็นเสากระโดงเท่านั้น ” จากคุณ : secret letter - [ 29 ต.ค. 51 16:25:06 ]

ความคิดเห็นที่ 123 ทีมงานสารคดีเดินทางมาถึงระดับความสูงที่ ๘๐๐ เมตร จากสภาพภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยสีเขียวขจี เข้าสู่สภาพอากาศหนาวเย็นและรายล้อมด้วยเทือกเขาที่เต็มไปด้วยหิมะ จากนั้น เมื่อมาถึงยังระดับความสูง ๑๐๓๘ เมตร ก็มาถึงตำบลดยุ๊ปวัส (Djupvass) ซึ่งเป็นตำบลที่ตั้งของโรงแรมที่ประทับสำหรับพักเสวยพระกระยาหารกลางวันที่มีชื่อว่า โรงแรมดยุ๊ปวัสฮุตเต็น (Djupvasshytta Hotel) ซึ่งตั้งอยู่ในห้วงน้ำรายล้อมด้วยภูเขา “ พอถึงป้าย ๑๐๐๐ เมเตอร์ช่างดีใจเสียจริงๆ อิก ๓๘ เมเตอร์จะถึงโฮเตลมัวชะเง้อมาถึงไม่รู้ตัว วิ่งเข้าไปผิงไฟทันที รวมระยะทางที่ขึ้นมา ๑๐๓๘ เมเตอร์ โฮเตลนี้เรียกว่า ดยุ๊ปวัสฮุตเต็น พ่อก็เรียกไม่ถูก แปลว่า ดีปวอเตอร์หัต ซึ่งได้ชื่อว่า ดีปวอเตอร์หัตนี้ เพราะเปนเรือนหลังนิดเดียว ตั้งอยู่ริมห้วงน้ำใหญ่ ฤาจะเรียกว่าทเลสาบก็ตามเถอะ ” จากคุณ : secret letter - [ 29 ต.ค. 51 16:26:19 ]

ความคิดเห็นที่ 124 แล้วเราก็ตามเสด็จมาจนถึงโรงแรมกรอดลิครับ จากคุณ : secret letter - [ 29 ต.ค. 51 16:28:27 ]

ความคิดเห็นที่ 125 วันนี้ของโรงแรมกรอตลิได้เปลี่ยนมือจากรุ่นสู่รุ่นมาถึง ๕ เจเนอเรชั่น และในวันทีมงานได้เข้าพักที่โรงแรม เราได้รับการต้อนรับอย่างดีจากคุณ Are Bergheim เจ้าของในรุ่นปัจจุบัน ซึ่งทันทีที่มาถึงโรงแรม คุณ Are ก็นำทีมงานสำรวจโรงแรมโดยรอบ โดยเฉพาะห้องหับต่างๆ ตามที่ทรงบรรยายไว้ในพระราชหัตถเลขาไกลบ้าน และบรรทมเมื่อ ๑๐๐ ปีก่อนในสภาพที่เตรียมพร้อมอย่างดี “ โฮเตลนี้ ถ้าว่าตามลักษณก็ดูเหมือนยังไม่แล้วเพราะไม่มีทาสีแห่งหนึ่งแห่งใดเลย แต่พ่อชอบ เหมือนเรือนตุ๊กตาฝรั่งที่เล่นเมื่อเด็กๆ จนกระทั่งโต๊ะ, เก้าอี้, เตียงนอน, ก็เหมือนเครื่องเฟอนิเชอตุ๊กตาที่ล้วงขึ้นมาจากหีบ ” คุณ Are Bergheim เจ้าของคนปัจจุบันและภาพถ่ายของบรรพบุรุษในแต่ละรุ่น จากคุณ : secret letter - [ 29 ต.ค. 51 16:39:04 ]

ความคิดเห็นที่ 126 สภาพห้องที่ประทับเมื่อ ๑๐๐ ปีก่อน จากคุณ : secret letter - [ 29 ต.ค. 51 16:46:52 ]

ความคิดเห็นที่ 127 “ เวลาจวนยามหนึ่งแล้ว ให้พระยาชลยุทธไปตามลัปผู้ชายที่ตั้งเตนต์อยู่ใกล้ที่นี่ขึ้นมาไล่เลียง ถามเปนคำให้การแลตรวจเครื่องแต่งตัว รวบรวมใจความก็เปนอย่างคนๆ เรานี่เอง ซึ่งรักษาเพศลัปอยู่ ทั้งการแต่งตัว ก็ดูเหมือนจะเปนการสะดวกแก่ทางหากินของเขาเท่านั้น แต่ชอบจับมือเปนที่หนึ่ง บรรดาใครที่นั่งอยู่ในห้องต้องจับมือทุกคนตั้งแต่พ่อเปนต้นไป ถามถึงเวลานอนก็เปนอันได้ความว่ามืดเมื่อไรนอนเมื่อนั้น ได้ให้เงิน ๒๐ โครนแล้วปล่อยตัวไป ” เราพบกับนาย Gunnar Partapuoli เป็นชาวลัปป์ หรือชาวซามิ ซึ่งมีบรรพบุรุษอาศัยอยู่ที่หน้าโรงแรมกรอลิเมื่อ ๑๐๐ ปีก่อน นี่คือภาพคุณ Gunnar กำลังชี้จุดื้ตั้งกระโจมเมื่อ ๑๐๐ ปีก่อน จากคุณ : secret letter - [ 29 ต.ค. 51 19:01:58 ]

ความคิดเห็นที่ 128 ภาพที่ตั้งกระโจมซึ่งแสดงให้เห็นว่าตั้งอยู่ด้านหน้าโรงแรม จากคุณ : secret letter - [ 29 ต.ค. 51 19:03:37 ]

ความคิดเห็นที่ 129 ภาพปัจจุบัน จากคุณ : secret letter - [ 29 ต.ค. 51 19:04:03 ]

ความคิดเห็นที่ 130 ในวันศุกร์ที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินออกจากโรงแรมกรอตลิสู่จุดหมายปลายทางที่เมืองวิสเนส เริ่มต้นในช่วงของการเสด็จพระราชดำเนินจากโรงแรมกรอตลิสู่โรงแรมวิเดเซเตอร์ (Videsaeter Hotel) ซึ่งตั้งอยู่ในตำบลวิเดเซเตอร์ โดยล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ ประทับรถม้าพระที่นั่งเสด็จตามทางที่เต็มไปด้วยหิมะขาวโพลนตลอดเส้นทาง “ ออกจากโคตรลีตไปตามทาง หนทางตั้งแต่นี้ไปแคบลงกว่าทางที่ขึ้นมา อย่างกว้างเพียงหกศอก ที่กว้างเพียงห้าศอกเศษก็มี เมื่อปะศิลาที่เปนก้อนใหญ่เปนศิลาติดที่ ดูเปนทำคนละคราวกันกับทางที่ขึ้นมาจากเมร็อก ทางที่มาจากเมร็อก ดูมีหลักปักศักราชที่ได้ทำมาเปนตอนๆ จนถึง ๑๘๘๖ แต่มีมาตอนนี้ไม่มีเครื่องหมายอย่างใด แต่มีหลักไม้ย่อมๆ ปักมีกองศิลารวน ทางที่ต่อมาจากที่นั้น จนกระทั่งถึงที่ซึ่งว่าเปนสูงสุดในเวลานี้ ๑๑๓๘ เมเตอร์ ก็เปนสูงขึ้นอิก ๒๐๐ เมเตอร์เท่านั้น แต่ทางที่มาวันนี้อยู่ข้างจะพิสดารน่าดูมาก จับเลียบมาตามทางสายน้ำในแวลเลนั้นเอง แต่สายน้ำนี้กัดเซาะลึกลงเปนอันมาก บางแห่งก็กว้างบางแห่งก็แคบอย่างไรๆ คงเท่าแม่น้ำฤาคลองใหญ่ๆ ตลอดมา ฝั่งสองข้างชันขึ้นเหมือนปากอ่าง ที่เปนก้อนศิลารอบทำลายลงไปค้างอยู่ก้อนโตๆ ก็ผุดพ้นสโน แต่โดยมากสโนลาดขาวขึ้นมา จนบรรจบเขาข้างบนฝั่งข้างซ้ายนั้นเปนเขาสูงเทียมเมฆ ติดเนื่องกันตลอด ” ภาพเปรียบเทียบภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ทรงถ่ายคณะผู้ตามเสด็จฯ ระหว่างทางจากเมืองกรอตลีตสู่ตำบลวิเดเซเตอร์ จากคุณ : secret letter - [ 29 ต.ค. 51 19:06:46 ]

ความคิดเห็นที่ 131 ภาพปัจจุบัน จากคุณ : secret letter - [ 29 ต.ค. 51 19:07:34 ]