ความคิดเห็นที่ 1 ผมสนใจSingorเป็นพิเศษ เพราะเป็นภาพผังเมืองที่ไม่ใช่เมืองสงขลาในปัจจุบัน มันคือเมืองโบราณหัวเขาแดง ที่เหลือแต่ซาก และตำนาน ผมขยายภาพนั้น นำคำบรรยายภาพไปไหว้วานให้รุ่นพี่เป็นอาจารย์สอนฝรั่งเศสที่อักษรศาสตร์จุฬาอ่านดู  ซึ่งเมื่อเห็นภาษาโบราณสามร้อยปีก็อึ้งไป โชคดีตอนนั้นมีอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญชาวฝรั่งเศสมาสอนหลักสูตรพิเศษอยู่ ท่านได้กรุณาแปลให้เป็นภาษาฝรั่งเศสปัจจุบัน แล้วรุ่นพี่ก็ได้แปลเป็นไทยให้ผมอีกทีหนึ่ง มันไม่ใช่เมืองธรรมดาๆเลย เพราะเป็นเมืองป้อมที่มีป้อมปืนใหญ่ ถึง๑๘ป้อม   ผมได้เอาแผนที่นั้นไปเดินตะลุยเมืองโบราณหัวเขาแดงไปหาป้อมเหล่านั้นประหนึ่งหาขุมสมบัติ  เจอครบหมดที่ทะเลยังไม่ซัดเอาไปแล้ว แม้บางป้อมจะเปลี่ยนสภาพไปมากก็ตาม ผมอยากจะเล่าเรื่องนี้ฝากไว้ เพราะตำนานที่เล่าๆกัน ไม่ได้อิงกับหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ชิ้นนี้ จากคุณ : Navarat.C - [ 7 ธ.ค. 51 20:43:17 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ความบันดาลใจที่จะย้อนความจำเก่าๆมาจากภาพปืนใหญ่กระบอกนี้ มาจากกระทู้ข้างล่าง เกร็ด...ปืนใหญ่โบราณในประวัติศาสตร์ชาติไทย http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K7281030/K7281030.html ผมเผอิญsearchเล่นๆในกูเกิลแล้วไปเจอ น่าอัศจรรย์ใจ ปืนที่หล่อในสงขลา (ชึ่งต่อไปนี้จะเรียกให้ถูกความหมายว่าสงขรา) อยุธยายึดมา พม่ายึดไป โน่นไปโผล่เอาที่อังกฤษ   สำคัญที่จารึกนี้ ปืนกระบอกนี้ทำขึ้นในปีคศ1623ที่เมืองสงขราในสยาม และถูกพม่ายึดเอาไปจากกรุงศรีอยุธยาในปีคศ1767 อังกฤษไค้นำมาหลังสงครามครั้งที่สามกับพม่า ปืนมีจารึกเป็นภาษาอาหรับ มาเลย์ และพม่า อันหนึ่งกล่าวถึงสุลต่านสุลัยมาน ผู้พิชิต จากคุณ : Navarat.C - [ 7 ธ.ค. 51 20:44:30 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ใครคือสุลต่านสุลัยมาน ผู้พิชิต   ในช่วงปลายค.ศ. ๑๖ ฮอลันดาและโปรตุเกสล่าเมืองขึ้นอยู่แถวหมู่เกาะชวา ด้วยการรบราฆ่าฟันเจ้าของถิ่น ดะโต๊ะโมกอล เจ้าเมืองสาไลย หรือสาเลห์(Saleh)   จึงอพยพครอบครัวและบริวารลงเรือสำเภา ลี้ภัยออกสู่ทะเลจีนใต้ รอนแรมข้ามทะเลมาขึ้นฝั่ง ณ ชายหาดเขาหัวแดง ใกล้เมืองสทิงพระ ตกประมาณพ.ศ. ๒๑๔๗ ในรัชสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ ดะโต๊ะโมกอล สวามิภักดิ์ได้รับการยอมรับจากอาณาจักรศรีอยุธยาด้วยดี ในรัชสมัยพระเจ้าทรงธรรมถึงกับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นเจ้าเมืองพัทลุง (ซึ่งเป็นหัวเมืองเล็กๆเคยขึ้นอยู่กับนคร แต่นิวาสถานจริงๆของเจ้าเมืองนี้ก็อยู่ที่หัวเขาแดงนั่นเอง) มีหน้าที่เก็บส่วยสาอากรส่งถวายและปกครองดูแลรักษาความสงบของพื้นที่  ตั้งแต่ตอนล่างของนครศรีธรรมราช มาจดเขตปัตตานี ผู้ดำรงตำแหน่งนี้ต่อมาคือท่านสุลัยมานบุตรชายคนโต ซึ่งทำหน้าที่นี้เรียบร้อยด้วยดี จนบานเมืองเป็นปึกแผ่นมีผู้คนอพยพมาอาศัยอยู่มากขึ้น เรือสำเภาแวะเข้ามาซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้า ถึงกับต่อมาชาวฮอลันดาได้มาตั้งสถานีการค้าที่นั่นทีเดียว   ต่อมาเกิดการยึดอำนาจขึ้นในกรุงศรีอยุธยาหลังพระเจ้าทรงธรรมเสด็จสวรรคต พระเชษฐาธิราชพระราชโอรสองค์ใหญ่ถูกเจ้าพระยากลาโหมจับสำเร็จโทษ แล้วตั้งพระอาทิตยวงศ์พระอนุชาซึ่งยังเด็กแค่ ๙ ขวบขึ้นเป็นกษัตริย์ ตัวเองเป็นผู้สำเร็จราชการ ทางเจ้าเมืองปัตตานีซึ่งเป็นประเทศราชเห็นเป็นจังหวะดีที่จะแข็งเมือง ส่งทัพเรือมาตีข้าหลวงใหญ่แห่งเขาหัวแดง แม้ว่าท่านสุลัยมานสู้รบป้องกันเมืองไว้ได้แต่บ้านเมืองก็เสียหายอยู่ จำเป็นต้องเสริมสร้างให้แข็งแกร่งขึ้นเพื่อป้องกันตัวในศึกครั้งต่อไป ป้อมปืนใหญ่ทั้งหลายคงได้ฮอลันดาเป็นที่ปรึกษาออกแบบก่อสร้างในตอนนั้น   เมื่อต่อมาเจ้าพระยากลาโหมจับพระอาทิตยวงศ์สำเร็จโทษ แล้วขึ้นครองราชย์เสียเอง เฉลิมพระนามว่าพระเจ้าปราสาททอง มีการประหารผู้ไม่เห็นด้วยเป็นจำนวนมาก ท่านสุลัยมานจงรักภักดีกับพระเจ้าทรงธรรมมาแต่เดิม จึงแข็งเมือง ประกาศอิสรภาพภาพเป็น "รัฐสุลต่าน" ในปี๒๑๘๕ เมื่อสถานภาพดีขึ้น ในปี๒๑๙๑พระเจ้าปราสาททอง ทรงแต่งทัพมาสมทบกับทัพเมืองนคร โดยติดต่อผ่านนายหน้าให้ฝรั่งฮอลันดาเอาเรือรบ๒๐ลำมาช่วยรบด้วย โดยสัญญาจะยกเมืองสงขราให้ เมื่อฝรั่งไม่มาตามนัด แม่ทัพที่ยกมาเจอป้อมปืนเข้าให้ก็ไม่กล้าเข้าหักเมือง พระเจ้าปราสาททองพยายามอีกครั้งในปี๒๑๙๘ โดยยกทั้งทัพบกทัพเรือเข้าตีสงขราอีก คราวนี้ยิ่งแย่ไปกว่าเดิม เพราะลงเอยด้วยแม่ทัพถึงกับหนีทัพ ถึงแม้รูปท่านสุลต่านสุลัยมานที่นำมาประกอบนี้ จะเป็นรูปที่ทายาทรุ่นหลังๆให้จิตรกรนั่งเทียนเขียนขึ้นก็ตาม  เหตุการณ์ทั้งหมดที่เล่าให้ฟังก็มิได้นั่งเทียนเขียน เพราะย่อความมาจากจดหมายเหตุของชาวฮอลันดาที่กรมศิลปากรตีพิมพ์มาช้านานแล้ว จากคุณ : Navarat.C - [ 7 ธ.ค. 51 20:45:26 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ริมถนน สงขลา-ระโนด ห่างหัวเขาแดงไปทางทิศเหนือประมาณ๑๗๐๐ เมตร มีอาคารโบราณในรูป ชาวบ้านเรียกว่าทวดหุ่ม ตั้งอยู่ ชาวบ้านเข้าใจว่าเป็นกุโบร์ของผุ้ที่ชื่อว่ามะระหุม แต่คำว่ามรหุ่ม แปลว่าที่ฝังพระศพเจ้านายที่เป็นมุสลิมไม่ใช่ชื่อคน แต่เป็นสถานที่ซึ่งท่านสุลต่านสุลัยมานทอดร่างอยู่อย่างสงบองค์หลังจากทิวงคตในปี พ.ศ. ๒๒๑๑ จากคุณ : Navarat.C - [ 7 ธ.ค. 51 20:46:14 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ในมรหุ่ม นอกจากท่านสุลต่านสุลัยมานแล้ว อาคารเล็กยังมีอีก๒ศพ เป็นบุตรชายของท่าน ว่ากันว่าศพสุดท้ายมีแต่ร่างของบุตรชายคนเล็กซึ่งเสียชีวิตในการสู้รบ ศรีษะถูกนำใส่ไหไปถวายสมเด็จพระนารายณ์กษัตริย์พระองค์ใหม่ ครั้งศึกกรุงศรีอยุธยาสั่งการให้ทัพพระยารามเดโช จากเมืองนครยกมาปราบสงขราสำเร็จในปี๒๒๒๒ คราวนั้นมุสตาฟา ลูกชายคนโตขึ้นเป็นสุลต่านสืบจากท่านสุลัยมาน แต่ศึกครั้งสุดท้ายของสงขราก็รบกันอยู่หลายเดือน ฝ่ายพระยารามเดโชเอาชนะได้เพราะใช้ว่าว ผูกหม้อดินปืน ชักเข้าไปเผาเมืองจนแตก แต่เมื่อชนะแล้ว พระยารามเดโชก็ทำหนังสือกราบบังคมทูลพระนารายณ์ขอพระราชทานอภัยโทษให้ในการที่ได้แข็งเมืองต่อ"พระเจ้าปราสาททอง” ทรงเห็นชอบด้วยแต่ให้อพยพคนสำคัญมาอยู่กรุงศรีอยุธยา ส่วนหนึ่งให้ไปอยู่ที่พุมเรียง สงขราเองก็มิได้ถูกที้งรกร้าง สุลต่านมุสตาฟาเข้ามาถวายตัวรับราชการ กลายเป็นขุนนางไทยสืบต่อมา จากคุณ : Navarat.C - [ 7 ธ.ค. 51 20:46:59 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ภาพล่าสุดในGoogle Earth ในช่วงเดียวกับแผนที่โบราณในหน้าถัดไป จากคุณ : Navarat.C - [ 7 ธ.ค. 51 20:47:36 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ผมเอาสีระบายในแผนที่นี้ให้เห็นกันชัดๆ ภูมิประเทศผิดกับสมัยปัจจุบันก็เพียงบริเวณแหลมสน ตอนนั้นยังเป็นเพียงดอนทราย ร่องน้ำลึกเข้าทะเลในยังเหมือนเดิม แต่กระแสน้ำโดยเฉพาะ Break Water และตัวท่าเรือน้ำลึกได้พาทรายจากบริเวณหาดทรายแก้วไปเพิ่มพูนให้แหลมสนอ่อนจนเป็นผืนดินกว่างใหญ่ จากคุณ : Navarat.C - [ 7 ธ.ค. 51 20:48:22 ]

ความคิดเห็นที่ 8 คำแปลโดย Oliver Guitton, Pie Pierre, ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.แพรวโพยม บุณยะผลึก ๒๕๒๙ จากลายมือของวิศวกรที่ De Lamar เขียนขึ้น คำอธิบายผังเมือง Singor (สิงขร) A เมืองเก่าด้านชายฝั่งทะเลได้เคยถูกน้ำท่วมเมื่อ15ปีที่แล้ว และเมื่อ8ปีก่อนถูกคนของพระเจ้ากรุงสยามยกมาล้อม a หมู่บ้านของชาวฮอลันดาซึ่งถูกทำลายและถูกน้ำท่วมเช่นเดียวกัน b เมืองใหม่ c ร่องน้ำลึกเก่าซึ่งสังเกตว่าตื้นเขินหมดแล้ว d เขา rouge (แดง) e เขา bosenje f สันดอนซึ่งเป็นทรายดูด g กองโคลน s กองโคลนอีกกองหนึ่งซึ่งจะโผล่พ้นน้ำเวลาน้ำลง h ร่องน้ำแห่งใหม่ k ร่องน้ำซึ่งกว้าง เนื้อที่ระหว่างเส้นประ2เส้น l หมู่บ้านแห่ง Boyan m เกาะ chat (แมว) n เกาะ rat (หนู) x หินโสโครกที่โผล่พ้นน้ำ t ปลายหินโสโครก o หมู่บ้านบนเกาะ Jes q สวนผลไม้แห่ง peinres r แม่น้ำซึ่งไหลไปใกล้ Guida (เคดาห์) u ทางผ่านไปยัง Bourdelun (พัทลุง) แก้ไขเมื่อ 08 ธ.ค. 51 14:04:04 จากคุณ : Navarat.C - [ 7 ธ.ค. 51 20:50:02 ]

ความคิดเห็นที่ 9 สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากเอกสารนี้ก็คือ ๑ ชื่อเมือง ที่สมัยนั้นเรียกว่า สิงขร (Singor)หรือ สิงขรา(Singora) ซึ่งแปลว่าภูเขา และเขาดังกล่าวนี้คือเขาแดงนั่นเอง แม้ฝรั่งยังเรียกทับศัพท์แปลตรงๆว่าภูเขาสีแดงด้วยซ้ำ ดังนั้นแม้ต่อมาคำนี้จะเพี้ยนไปเป็น สงขรา และ สงขลา ก็ดี รากเหง้าก็ต้องมาจากคำที่เรียกภูเขา ไม่ใช่มาจากคำว่าสิงห์ แล้วกลายมาเป็นสิงหนคร อันเป็นชื่อที่กิ่งอำเภอเขาแดงเดิมตั้งอยู่ เช่นที่พยายามยกเมฆมาอธิบายกัน ๒ ที่ตั้งของเมืองนี้เคยถูกน้ำท่วมชนิดเมืองหายไปครึ่งหนึ่งเมื่อสามร้อยกว่าปีที่แล้ว น้ำท่วมอาจจะเป็นเพราะพายุใหญ่ประจำตอนๆสิ้นปี แบบที่แหลมตะลุมพุก หรือแบบที่ใต้ฝุ่นเกย์ถล่มชุมพร  หรือจะเป็นสึนามิที่หลายท่านเชื่อว่าไม่มีทางเกิดในอ่าวไทย หรือจะเป็น Storm Surge ของท่านสมิทธ ธรรมสโรธ ก็มิอาจทราบได้ แต่คนในเมืองสงขลาไม่ควรประมาทว่ามันจะไม่เกิดอีก ๓ ผังเมืองที่สมบูรณ์แบบที่สุดหากจะนำไปใช้ในการทำแผนอนุรักษ์เมืองสงขราโบราณที่ยังเหลืออยู่ น่าเสียดายความพยายามของคนรุ่นผมได้ผลบ้าง แต่เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น จากคุณ : Navarat.C - [ 7 ธ.ค. 51 20:50:47 ]

ความคิดเห็นที่ 10 บริเวณใกล้ๆกับที่เดอ ลามาร์ เขียนว่าเป็นหมู่บ้านของชาวฮอลันดาซึ่งถูกทำลายและถูกน้ำท่วมนั้น เคยมีบริเวณที่เป็นสุสานอยู่ริมทะเล ผมถ่ายภาพหลุมฝังศพหลงเหลืออยู่ไว้ได้เพียงสองสามหลุม จากที่มีบันทึกว่ามี๒๒หลุม น่าเสียดาย ที่ดินผืนนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของเอกชน ปัจจุบันเข้าใจว่าจะพลิกโฉมเป็นรีสอร์ทไปแล้ว จากคุณ : Navarat.C - [ 7 ธ.ค. 51 20:51:37 ]

ความคิดเห็นที่ 11 นี่เป็นรูปเมืองสงขราหัวเขาแดงที่ผมถ่ายไว้เมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว ด้านหน้าจะเห็นท่าเรือน้ำลึกกำลังก่อสร้าง จากคุณ : Navarat.C - [ 7 ธ.ค. 51 20:52:16 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ร่องรอยของคูเมืองเดิม ตอนนั้นยังพอเห็นชัดอยู่ เดี๋ยวนี้เป็นอย่างไรไม่ทราบ บนภูเขาพอสังเกตุเห็นป้อมปืนบางส่วนได้ จากคุณ : Navarat.C - [ 7 ธ.ค. 51 20:54:01 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ป้อมนี้คุมจุดยุทธศาสตร์ด้านหน้า ใครจะแล่นเรือผ่านร่องน้ำมาไม่ได้ จากคุณ : Navarat.C - [ 7 ธ.ค. 51 20:54:36 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ภาพนี้ยืนถ่ายบนมูลดิน เข้าใจว่าคือแนงกำแพงเมืองเก่า มองขึ้นไปจะแลเห็นป้อมปืนเรียงขึ้นไป๓ป้อมจบถึงยอดเขา จากคุณ : Navarat.C - [ 7 ธ.ค. 51 20:55:14 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ด้านที่อยู่ทิศเหนือ เป็นที่ดินของเอกชนทั้งหมด ตอนนั้นยังมีซากกำแพงเมือง และป้อมปืนหัวกำแพงชัดเจน จากคุณ : Navarat.C - [ 7 ธ.ค. 51 20:55:52 ]

ความคิดเห็นที่ 16 อีกป้อมหนึ่งที่เห็นชัด จากคุณ : Navarat.C - [ 7 ธ.ค. 51 20:56:23 ]

ความคิดเห็นที่ 17 แต่ป้อมนี้อยู่หลังบ้านของชาวบ้านรายหนึ่งที่ตนเองยังไม่รู้เลยว่าเป็นป้อมปืน จากคุณ : Navarat.C - [ 7 ธ.ค. 51 20:56:58 ]

ความคิดเห็นที่ 18 บางป้อมเหลือเพียงมูลดินมีต้นไม้ขึ้น จากคุณ : Navarat.C - [ 7 ธ.ค. 51 20:57:29 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ป้อมในที่ข้างบ้านของชาวบ้านอีกรายหนึ่ง จากคุณ : Navarat.C - [ 7 ธ.ค. 51 20:58:07 ]

ความคิดเห็นที่ 20 คูเมืองเดิม บางส่วนยังดูดีอยู่ จากคุณ : Navarat.C - [ 7 ธ.ค. 51 20:58:38 ]

ความคิดเห็นที่ 21 โอ้ -- ตามมาเก็บความรู้ค่ะ จากคุณ : ~ExTrA aLcaLiNe~ - [ 7 ธ.ค. 51 20:58:43 ]

ความคิดเห็นที่ 22 แต่ตอนใกล้จะออกสู่ทะเล ตื้นเขิน และสกปรก จากคุณ : Navarat.C - [ 7 ธ.ค. 51 20:59:10 ]

ความคิดเห็นที่ 23 บางป้อมอยูในเขตท่าเรือน้ำลึก และเป็นที่ตั้งศิลาจารึกในพิธีเปิด ผู้บริหารในตอนนั้นคัดค้านข้อมูลของผมอย่างแข็งขันว่ากองหินดังกล่าวตนสั่งให้ทำขึ้นเองจากที่เรียบๆ ก็แปลกที่มันมีลักษณะเดียวกันกับป้อมของท่านสุลต่านสุลัยมานอื่นๆใกล้เคียงกันนั้น ช่างเถิด มันก็ไม่สลักสำคัญเท่าไร จากคุณ : Navarat.C - [ 7 ธ.ค. 51 21:00:09 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ภาพถ่ายยามน้ำลงแลเห็นความตื้นเขินของพื้นที่ส่วนหนึ่งของเมืองที่ถูกพายุซัดเอาไปเป็นทะเลเสียแล้ว จากคุณ : Navarat.C - [ 7 ธ.ค. 51 21:00:42 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ผู้ใหญ่บ้าน แก่น พันธุ์ชนะชี้ให้ดูตรงไม้ปัก เป็นมูลดินเดิมมีกองหินในทะเล สมัยเมื่อแกเด็กๆยังแลเห็นอยู่ จากคุณ : Navarat.C - [ 7 ธ.ค. 51 21:01:24 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ป้อมปืนของท่านสุลต่านสุลัยมาน แต่ฝรั่งเศสเข้ามาเสริมแต่งเพื่อรักษาความปลอดภัยให้ค่ายของตนที่มาตั้งในสงขรา ในสมัยแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ เพราะเจ้าพระยาวิชเยนทร์ชี้ช่องให้เข้ามายึดไว้ ก็เดอ ลามาร์นี่แหละที่เป็นผู้เข้ามาปักหลักสำรวจ ที่สมัยนี้เรียกว่าทำ Feasibility Study วิศวกรคนนี้เฉียบคมมาก อายุไม่น่าจะถึงสามสิบด้วยซำ ตอนนั้นทำรายงานขึ้นไปว่า น่าสนใจ เพราะสามารถจะขุดคลองจากเมืองนี้ ทะลุตามแม่น้ำออกไปเชื่อมต่อกับทะเลอันดามันได้ ไม่รู้ว่าเขารู้ได้อย่างไรในสมัยนั้น แผนที่ก็ยังไม่มี ไม่กี่ปีมานี้มีโครงการขุดคอคอดกระฮือฮาเข้ามาโดยมีแนวคลองให้เลือก๓แนว แนวหนึ่งพาดทะเลสาบสงขลาอย่างที่เดอ ลามาร์เสนอไว้สามร้อยกว่าปีที่แล้ว เผอิญผลัดแผ่นดินเสียก่อน สมเด็จพระเภทราชาซึ่งเกลียดเจ้าพระยาวิชเยนทร์และพวกฝรั่งเศสมาก ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์  ไล่ฝรั่งเศสกลับบ้าน เราจึงยังมีโครงการคอคอดกระไว้สำหรับถกกันอยู่เป็นมรดกจนทุกวันนี้ แก้ไขเมื่อ 07 ธ.ค. 51 21:41:42 แก้ไขเมื่อ 07 ธ.ค. 51 21:28:53 จากคุณ : Navarat.C - [ 7 ธ.ค. 51 21:02:45 ]

ความคิดเห็นที่ 27 รอยต่อของหินที่สร้างคนละสมัย จากคุณ : Navarat.C - [ 7 ธ.ค. 51 21:03:33 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ป้อมปืนในอีกมุมหนึ่ง จากคุณ : Navarat.C - [ 7 ธ.ค. 51 21:04:19 ]

ความคิดเห็นที่ 29 โห! เป็นกระทู้ที่ยอดเยี่ยมกระทู้หนึ่งครับผม แสดงถึงความเพียรของคุณเจ้าของกระทู้ ขอบพระคุณมากครับ จากคุณ : วศินสุข - [ 7 ธ.ค. 51 21:04:36 ]

ความคิดเห็นที่ 30 มองจากป้อม จะเห็นทัศนียภาพกว้างขวาง จากคุณ : Navarat.C - [ 7 ธ.ค. 51 21:04:57 ]

ความคิดเห็นที่ 31 นี่เป็นปืนใหญ่ประจำป้อมตัวจริงที่อยู่ในอังกฤษ จากคุณ : Navarat.C - [ 7 ธ.ค. 51 21:05:35 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ฐานเดิมคงเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่อย่างที่อังกฤษทำโชว์ไว้ จากคุณ : Navarat.C - [ 7 ธ.ค. 51 21:06:23 ]

ความคิดเห็นที่ 33 เห็นภาพคนอินโดแต่งกายแบบดัทช์แล้ว ชวนให้นึกถึงทหารของท่านสุลต่านสุลัยมานสมัยนั้น จากคุณ : Navarat.C - [ 7 ธ.ค. 51 21:07:01 ]

ความคิดเห็นที่ 34 อย่าลืมนะครับ ที่เอามาให้ดูนี้เป็นภาพประวัติศาสตร์  สภาพปัจจุบันเป็นอย่างไร ผมไม่กล้าไปดู   เอาเท่านี้ก่อนนะครับ รอดูความสนใจของสมาชิกห้องสมุดว่าจะออกไปในแนวใด แล้วจึงค่อยต่อเรื่องกัน จากคุณ : Navarat.C - [ 7 ธ.ค. 51 21:07:37 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ ขอบคุณแทนลูกหลานชาวสงขลาด้วยค่ะ จากคุณ : Dreams Catcher - [ 7 ธ.ค. 51 21:19:37 ]

ความคิดเห็นที่ 36 เป็นกระทู้ที่น่าสนใจมากเลยค่ะ ขอบคุณมากเลยนะคะ จากคุณ : กังหันลู่ลม - [ 7 ธ.ค. 51 21:37:46 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ขอบคุณมากค่ะ ขออนุญาตให้ give ค่ะ จากคุณ : หม่ามี้จัง - [ 7 ธ.ค. 51 21:40:12 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ขอ ภาพ ในตัวเมือง บ้างได้มั้ยคับ คิดถึง.. จากคุณ : TVC - [ 8 ธ.ค. 51 00:45:10 ]

ความคิดเห็นที่ 39 อยากจะขอรบกวนถามเรื่องประวัติวังขาวในสงขลาด้วยครับ ขอบคุณล่วงหน้าครับ จากคุณ : ciri - [ 8 ธ.ค. 51 09:51:43 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ได้รู้ประวัติศาสตร์บ้านเกิดเพิ่มเติม ขอบคุณนะคะ ได้ความรู้ดีมากๆ เลยค่ะ จากคุณ : ->บังเอิญไหมที่เราได้พบกัน<- - [ 8 ธ.ค. 51 10:04:26 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ขอบคุณสำหรับความรู้  อ่านเพลินดีจริงๆ สิงขร  สิงขรา  สงขรา  ภูเขา (ถูกแล้ว) สงขลา  เขาว่าเป็นคำเขมรแปลว่า ดงเสือ (ชื่อเขมรไม่น่าเกี่ยวข้องกับเมืองนี้) ในหนังสือจดหมายเหตุการเดินทางสู่ประเทศสยามของบาทหลวงตาชารด์ เล่าว่า  "สมเด็จพระนารายณ์มหาราชขอให้ม. เดอ ลา มาร์ เข้ารับราชการ พระราชทานเสื้อยกแล่งเงินตัวหนึ่งติดกระดุมทองคำ  ม. เดอ ลา มาร์เป็นวิศวกร ที่มีความสามารถและมีความซื่อสัตย์มาก  เขาเคยรับราชการมาช้านาน ทำงานทั้งทางทะเลและทางบก  สนใจศึกษาวิชาคณิตศาสตร์ มาแต่สมัยยังเป็นหนุ่มแน่น และมีความรู้ก้าวหน้ามากทีเดียวในด้านการเดินเรือ   การสร้างป้อมปืนและเรขาคณิต" (จึงไม่แปลกที่ท่านเก่งเรื่องคำนวณแผนที่) บางกอกฝั่งธนบุรีสมัยสมเด็จพระนารายณ์เป็นเมืองปราการป้องกันข้าศึก มีป้อมปืนสร้างโดยม. เดอ ลา มาร์ (ป้อมวิชัยประสิทธิ์) ฉะนั้นป้อมปืนเมืองสงขลาอาจเป็นผลงานของท่านก็เป็นได้ จากคุณ : วสันดิลก - [ 8 ธ.ค. 51 10:34:20 ]

ความคิดเห็นที่ 42 เรื่องสืบเนื่องจากเมืองสงขรา และท่านสุลต่านสุลัยมาน (หรือสุไลมาน) สามารถนำไปสู่หัวข้อใหญ่ได้๒เรื่องคือ ๑ สายสกุลที่สืบเนื่องกับท่านสุลต่านสุลัยมาน อันมี ณ พัทลุง เป็นหลักและนามสกุลอื่นๆอีกนับสิบๆนามสกุล  รวมทั้งที่เกี่ยวโยงกับราชสกุลในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เพราะพระราชมารดาของพระองค์ท่านคือ สมเด็จพระศรีสุลาลัย(เจ้าจอมมารดาเรียม) ธิดาของตระกูลที่สืบจากท่านสุลต่านสุลัยมาน โดยตรง ๒ เมืองสงขลาที่ย้ายข้ามช่องแคบไปอยู่ในตำแหน่งปัจจุบัน และเด่นขึ้นมาในหน้าประวัติศาสตร์ในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าตากสิน เจ้าเมืองยุคนั้นเป็นคนจีน จวนของท่านที่เรียกว่าวังขาวจึงเป็นแบบจีน ลูกหลานของตระกูลนี้ได้รับพระราชทานนามสกุลว่า ณ สงขลา พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าฯท่านทรงทราบประวัติศาสตร์ และทรงเลือกที่จะพระราชทานนามสกุลให้ลูกหลานท่านสุลต่านสุลัยมานว่า ณ พัทลุง เพราะท่านสุลต่านสุลัยมานถึงแม้จะปักหลักอยู่ที่สงขราหัวเขาแดง แต่ก็ครอบคลุมอาณาจักรถึงเมืองพัทลุงอันเก่าแก่ของสยามด้วย ผมจะไม่ขยายความมากในเรื่องทั้งสอง เพราะในเวปมีข้อมูลเพียบอยู่แล้ว แต่กระหายที่จะได้ฟังเกล็ด หรือเรื่องที่ไม่ค่อยได้ทราบกันอื่นๆตามหัวข้อครับ จากคุณ : Navarat.C - [ 8 ธ.ค. 51 10:50:13 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ขอบพระคุณ คุณวสันดิลก คร้บ ผมเห็นด้วยในเรื่องของมงสิเออร์ เดอ ลามาร์  ป้อมวิชัยประสิทธิ์  เดิมชื่อป้อมวิชเยนทร์เป็นฝีมือของวิศวกรหนุ่มคนนี้แน่นอน รวมถึงป้อมในรูป๒๖และ๒๗ที่สงขราด้วย สังเกตุจากเทคนิกการค้ำยันกำแพงที่ใช้ Buttress เหมือนกันดังรูป ส่วนที่มีผู้สันนิฐานว่าสงขลามาจากคำเขมรแปลว่า ดงเสือ ดีใจที่คุณเห็นด้วยวุ่าชื่อเขมรไม่น่าเกี่ยวข้องกับเมืองนี้ ก็ไม่รู้ว่าพวกเขมรอพยพมาขึ้นที่นั่นแต่เมื่อไร แล้วภูมิประเทศแถบนั้นจะมีเสือมากมาย(เมื่อเปรียบเทียบกับพื้นที่อื่นๆในสมัยนั้น)ได้อย่างไร ถ้าจะมีก็คงเป็นพวกเสือเล็กๆเช่นเสือปลา ไม่ใช่ลายพาดกลอนกินคน ว่าก็ว่าเถอะในเมืองไทยผมยังนึกไม่ออกว่าจะมีชื่อเมือง หรือแม้แต่ตำบลใดที่แปลว่าเสือชุม เคยได้ยินแต่คำเปรียบเปรย "เสือกุย จรเข้ปราณ" เท่านั้น นั่นน่ะน่าเชื่อถือ ผืนป่าที่กุยบุรีดิบขนาดเดี๋ยวนี้ยังมีช้างป่าลงมากินอ้อยชาวบ้านอยู่เลย (แก้ไข) ตอนนี้นึกออกแล้วครับ มีอำเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม แก้ไขเมื่อ 08 ธ.ค. 51 19:33:57 แก้ไขเมื่อ 08 ธ.ค. 51 14:07:25 จากคุณ : Navarat.C - [ 8 ธ.ค. 51 11:20:59 ]

ความคิดเห็นที่ 44 สุดยอดจริง ๆ คะ กระทู้นี้ จากคุณ : สามกษัตริย์ - [ 8 ธ.ค. 51 13:04:34 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ขอบคุณคุณ Navarat.C สำหรับข้อมูลที่น่าสนใจมากๆ ซึ่งหากคุณกำลังค้นคว้าเรื่องนี้อยู่ผมอยากจะขอฝากเรื่องที่ผมข้องใจมานานแล้วสำหรับบรรพบุรุษผมชาวสงขลา คือ เรื่องเกี่ยวกับ "เก้าเส้ง" ซึ่งถ้าดาโต๊ะโมกอล เจ้าเมืองสาเลย์ อพยพมาสร้างป้อมที่หัวเขาแดงในปลาย คศ. 16 ช่วงนั้นก็น่าจะเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ ก๊กเส้ง( ฝรั่งสกดชื่อนี้ในหลายรูปแบบเช่น Cotsen, Quoysim, Cogseng, Coxiny) จอมสลัดจีนที่ต่อต้านราชวงมงโกลเรืองอำนาจอยู่ในทะเลจีนในขณะนั้น และเป็นผู้ที่ชิงคืนไต้หวันมาจาการปกครองของสเปน และชาวไต้หวันนับถือท่ายผู้นี้เป้นเทพเจ้า"เกาซุง" อยู่จนถึงปัจจุบัน ตั้งแต่ได้อ่านเรื่องเกี่ยวกับ ก๊กเส้ง จากหนังสือ Rascals in Paradise โดย Jams A. Michener ผมสงสัยมานานแล้วว่าชื่อ"เก้าเส้ง" ที่ชายหาดสงขลาน่าจะมีอะไรเกี่ยวของกับชื่อของจอมสลัดผู้นี้ หากมีหลักฐานอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้อยากจะของแบ่งปันข้อมูลความรู้ด้วยคน จากคุณ : Cyber Sage - [ 8 ธ.ค. 51 13:59:30 ]

ความคิดเห็นที่ 46 คุณ Cyber Sage ครับ ปุจฉาของคุณน่าสนใจ แต่ผมไม่มีความรู้ในเรื่องนี้เลย แม้ในพงศาวดารจะเอ่ยถึงภัยจากโจรสลัดที่รังควานชาวเมืองพะโคะ สมัยก่อนดาโต๊ะโมกอลจะเข้ามาปักหลักแหล่งที่หัวเขาแดงอยู่ จนผู้คนต้องอพยพหนีโจรภัยไปตั้งบ้านเรือนอยู่กันที่พัทลุง ก็ดูเหมือนจะเป็นโจรที่มาจากปัตตานี อย่าลืมนะครับ ผู้ที่นำกองกำลังมาทางเรือ เข้ายึดพื้นที่และสิ่งที่มีเจ้าของครอบครองอยู่ อย่างเช่น การมาถึงของดาโต๊ะโมกอล ก็อาจจะตีความว่าเป็นโจรสลัดได้ แต่โจรสลัดจีนที่ออกไล่ล่าอยู่แถบใต้หวัน จะนำกองเรือรอนแรมฝ่าใต้ฝุ่นในทะเลจีนใต้มาขึ้นบกที่สงขลาได้อย่างไร และทำไม ผมนึกไม่ออกจริงๆ มีตำนานไปแบบต้องฟังฟังหูไว้หูกล่าวว่า “ครั้งนั้นทางเมืองนครศรีธรรมราชกำหนดบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในเจดีย์ และจัดงานเฉลิมฉลองใหญ่โต บรรดา 12 หัวเมืองปักษ์ใต้ต่างก็นำเงินทองไปบรรจุในพระบรมธาตุ เมืองที่นายแรงเป็นเจ้าเมืองก็เป็นเมืองขึ้นนครศรีธรรมราชด้วย ประกอบกับนายแรงมีความศรัทธาในพุทธศาสนา จึงขนเงินทองเป็นจำนวนมากถึงเก้าแสนบรรทุกเรือสำเภา พร้อมด้วยไพร่พลออกเดินทางไปเมืองนครศรีธรรมราช ขณะกำลังเดินทางเรือสำเภาถูกคลื่นลมชำรุด จึงเข้าจอดเรือที่ชายฝั่งหาดทรายแห่งหนึ่ง เพื่อซ่อมแซมเรือ พอได้ทราบข่าวว่าทางเมืองนครศรีธรรมราชได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุเสร็จแล้ว นายแรงเสียใจมาก จึงให้ไพร่พลขนเงินทองบรรจุไว้บนยอดเขาลูกหนึ่ง สั่งให้ลูกเรือตัดหัวของตนไปวางไว้ที่ยอดเขา นายแรงกลั้นใจตาย ลูกเรือต้องจำใจตัดหัวเจ้านายไปวางไว้บนยอดเขาตามคำสั่ง เขาลูกนี้ภายหลังเรียกว่า “เขาเก้าแสน” เรียกเพี้ยนไปเป็น “เก้าเส้ง”ก้อนหินที่ปิดทับบนยอดเขาเรียกว่า“หัวนายแรง” ชาวบ้านเชื่อว่า ดวงวิญญานของนายแรงยังเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์มาจนทุกวันนี้” ผมก็รู้เท่านี้ละครับ จากคุณ : Navarat.C - [ 8 ธ.ค. 51 14:46:43 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ขอสนับสนุน จขกท ทีบอกว่า สงขลา ไม่ได้เกี่ยวกับ สิงห์ แต่ขอเพิ่มเติม เพราะมีคำว่า สิงค์ ( ค ควายการันต์ ) พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิต ฯ สิงค์ น. เขาสัตว์ต่าง ๆ; เขา, ยอดเขา, ที่ที่สูงสุด. (ป.). สิงขร [–ขอน] น. สิขร. สิขร [–ขอน] น. จอม, ยอด, หงอน; ยอดเขา. (ป.; ส. ศิขร) ถ้าเราคิดดูให้ดี สำหรับ ภาษาไทย เรานั้น คำว่า สิงขร ที่แปลว่า ภูเขา ก็เป็นคำง่ายๆ เป็นที่รู้จักกันทั่วไป ดังนั้น ถ้าไทยจะเรียกว่า สิงขรา ก็เรียกได้ง่ายมาก หรือจะเรียกว่า สิงครา ก็ได้เช่นกัน แล้วก็ผิดเพี้ยนมาเป็น สงขลา ไป และเป็นไปได้มาก ที่ไทยเราเรียกว่า สิงขรา หรือ สิงครา  หรือ สงขลา อยู่ก่อนแล้ว แต่ ฝรั่งออกเสียงกลายเป็น Singora ไป เพราะเป็นของปกติธรรมดา ที่คนต่างชาติเรียกเพี้ยนไปจากคนในถิ่น หรือ ถ้าจะเอาเหตุผล ตามที่ จขกท บอกว่า สถานที่ตั้งของ Singora อยู่คนละที่กับ สงขลา ดังนั้น ก็อาจจะมีทั้งเมือง Singora หรือ สิงขรา กับ สงขลา เป็น ๒ เมือง คนละเมือง กันก็ได้ เราจึงควรที่จะศีกษาค้นคว้าว่า คำว่า สงขลา มีบันทึกในภาษาไทยเก่าแก่เมื่อไร หลักฐาน ทางไทย ที่พอจะทำให้คิดว่า มี สงขลา มาก่อน ก็คือจาก หนังสือ ชื่อ รวบรวมเมืองนครศรีธรรมราช ที่ กรมศิลปากร ตีพิมพ์แจกในงานศพ เจ้าพระยาบดินทร์เดชานุชิต ( แย้ม ณ นคร ) เมื่อ พศ ๒๕๐๕ ในหนังสือ มี ตำนานเมืองนครศรีธรรมราช   ที่ กรมศิลป บอกว่า ต้นฉบับเดิมเป็นสมุดไทย กล่าวเรื่องเหตุการณ์เมืองนครศรีธรรมราชแต่โบราณกาล ตลอดจนบอกเขตแดนของเมืองนครศรึธรรมราช และ เมืองอู่ทอง ไว้ด้วย ที่น่าสนใจ คือ พญาศรีธรรมาโศกราช ให้สร้างเมือง  12 นักษัตร ชวดเมืองสายถือตราหนู ฉลูเมืองตานี ถือตราวัว............มะเส็งเมืองพัทลุงถือตรางูเล็ก ......ระกาเมืองสะอุเลา ถือตราไก่...... ...เมื่อศักราช ๑๑๙๖ ยังมีพญาองค์หนึ่งชื่อ พญาศรีไสยณรงค์ แต่ตะวันตกมาเสวยเมืองนครศรีธรรมราช....... จากหลักฐานนี้ แสดงถึง มีคนเขียนว่า ก่อนปี พศ ๑๘๑๗ ( ๑๑๙๖ + ๖๒๑ ) มีเมืองสะอุเลา เก่าแก่ก่อนตั้งกรุงศรีอยุธยาเสียอีก เมืองสะอุเลา นี้ นาย ตรี อมาตยกุล ผู้เขียนเรื่อง นครศรีธรรมราช พิมพ์ ครั้งแรก ๒๔๙๔ มีว่า ตามปูมโหร มีเกี่ยวกับ เมือง  12 นักษัตร ตราและชื่อเหมือนกันหมดทุกเมือง กับในตำนานฯ แต่ใช้ชื่อเมือง สงขลา แทนชื่อเมืองสะอุเลา ดังนั้น เมือง สงขลา ก็คือ เมืองเดียวกับเมืองสะอุเลา ซึ่งเสียงและตัวเขียน ก็คล้ายกันมาก ไม่รู้ว่า ใครเขียนผิดเขียนถูกกันแน่ คิดว่าดั้งเดิม น่าจะมีเมือง ที่ชื่อออกเสียงว่า สิงขรา สิงครา แต่เขียนคัดลอกผิดกลายเป็น สะอุเลา หรือ สงขลา ไปก็ได้ ชื่อนี้มีมาก่อน ที่ฝรั่งจะเขียนว่า Singora จนทำให้บางคน เข้าใจผิดไปว่า เป็นคำว่า สิงห์  นะ จากคุณ : ธนิตา - [ 8 ธ.ค. 51 15:24:32 ]

ความคิดเห็นที่ 48 แต่ละจังหวัด  น่าจะมี หอจดหมายเหตุ ที่เป็นกิจลักษณะ ขึ้นมาเป็นหน่วยงานของท้องถิ่นเลยนะครับ (ไม่รู้ว่า  มีบ้างหรือยัง). ตามกระทู้  น่าอนุรักษ์สถานที่บางแห่ง  ไว้นะครับ..  เสียดาย  หากจะโดนทำลายไป. จากคุณ : คนบ้านสามขา101ฯ. - [ 8 ธ.ค. 51 15:55:16 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ขอบคุณมากครับ ผมเป็นคนสงขลา 100% ยังไม่รู้เรื่องประวัติศาสตร์บ้านตัวเองเลย ขอบคุณอีกครั้งครับ จากคุณ : OhMag - [ 8 ธ.ค. 51 16:34:40 ]

ความคิดเห็นที่ 50 "น่าอนุรักษ์สถานที่บางแห่ง  ไว้นะครับ..  เสียดาย  หากจะโดนทำลายไป. " นี่ละครับ ที่ผมอยากได้ยินจากคนรุ่นใหม่อย่างคุณ คนบ้านสามขา101ฯ.ให้มากๆๆๆๆๆๆ โดยเฉพาะจากคนสงขลาเอง ช่วยๆกันหน่อยครับ ทำอย่างไรพวกเขาถึงจะได้อ่าน ได้รู้ กันเยอะๆ และอาจเกิดความหวงแหน หากมันจะต้องสูญสิ้นไปจากแผ่นดิน จากคุณ : Navarat.C - [ 8 ธ.ค. 51 16:53:23 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ขอบคุณ จขกท. ได้รับความรู้ใหม่ใหม่ น่าจะได้รับการเผยแพร่ในวงกว้างนะครับ ขอบคุณที่อุตส่าห์หาความรู้ ความจริงที่ขาดช่วงไป จากคุณ : ดอกนางแย้ม - [ 8 ธ.ค. 51 17:36:53 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ขอบคุณเจ้าของกระทู้มากๆ ค่ะ เราเกิดกรุงเทพฯ แต่ไปโตที่สงขลา อยู่สงขลานาน 18 ปีแน่ะ เลยรู้สึกว่าตัวเองมีบ้านเกิดอยู่สงขลา รักสงขลาม๊ากมาก แต่เสียดายที่ปัจจุบันกลับมาอยู่กรุงเทพฯ แล้ว จากคุณ : maidenly - [ 8 ธ.ค. 51 17:49:28 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ขอบคุณนะคะ ได้รับความรู้มากเลย แต่เราเป็นคนคอนอะ จากคุณ : monkeylink - [ 8 ธ.ค. 51 18:05:50 ]

ความคิดเห็นที่ 54 จาก คห.ที่ 43 "...ส่วนที่มีผู้สันนิษฐานว่าสงขลามาจากคำเขมรแปลว่า ดงเสือ ดีใจที่คุณเห็นด้วยวุ่าชื่อเขมรไม่น่าเกี่ยวข้องกับเมืองนี้ ก็ไม่รู้ว่าพวกเขมรอพยพมาขึ้นที่นั่นแต่เมื่อไร แล้วภูมิประเทศแถบนั้นจะมีเสือมากมาย(เมื่อเปรียบเทียบกับพื้นที่อื่นๆในสมัยนั้น)ได้อย่างไร ถ้าจะมีก็คงเป็นพวกเสือเล็กๆเช่นเสือปลา ไม่ใช่ลายพาดกลอนกินคน..." 1.ขอมนั้นแล่นเรือผ่านไปมาหน้าอ่าวสงขลา จนแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ขอม - มลายู ผ่านทางภาษาและอารยธรรมหินเนิ่นนาน (ขนง ข. เกอนิง ม. = คิ้ว, กำปง ข. กำปุง ม. = หมู่บ้าน มาศ ข. เออมัส ม. = ทอง ฯลฯ) บางปีขอมอาจเบื่อๆ ขี้เกียจไปชวา เลยแวะขึ้นคาบสมุทรสทิงพระ (อ้าว! อันนี้ภาษาแขมร์แปลว่า "คลองพระ" นี่นา) แล้วลากเหล็กสกัด ไปสกัดหินที่ "เขาคูหา" จนกลายเป็นถ้ำคูหา (หรือโคหาย) อยู่ใกล้วัดพะโคะ แถมพอสกัดถ้ำคู่เป็นเทวาลัย (ไวษณพนิกาย) แล้ว ยังไม่หายเซ็ง ก็ลงมือขุด "บาราย" ไว้ข้างหน้าเทวาลัยเป็นสระใหญ่ๆ อีกหนึ่งแห่ง ทุกวันนี้เรียกว่า "พังพระ" พัง คือคำเดียวกับ "ตระพัง" ที่ปรากฏในศิลาจารึกหลักที่ 1 นั่นแหละ บนคาบสมุทรสทิงพระมีสระน้ำที่เรียกว่าพังอยู่มากมาย เข้าใจว่าใช้ประโยชน์ทั้งเกษตรกรรมและพิธีกรรมมาแต่โบราณ จากนั้นขอมคงหายเบื่อแล้ว ก็เลยไปชวาหาระเด่นมนตรีต่อ รึเปล่าหนอ... 2.ผมว่า "ศาลาหลบเสือ" ที่ย่านบ้านหัวเขา เมืองเก่าสงขลา คงไม่ได้สร้างไว้สำหรับหลบเสือปลาเสือไฟกระมังครับ! ขอบคุณคุณNavarat.C ครับ ข้อมูลน่าสนใจดีมากครับ น่าตามต่อจริงๆ แต่ผมก็สงสัยมานานแล้วเหมือนกัน ว่าที่บอกกันเรื่อยมาว่าสงขลานั้น มาจาก สิงหนคร หรือแม้แต่ ซิงกอรา (สิงขร) ก็ตาม ในเชิงภาษาศาสตร์แล้ว การที่เสียง "อิ" จะเลื่อนไปเป็น "โอะ" ออกจะเป็นเรื่องยากลำบากอยู่ไม่น้อย คนสงขลากินอะไรเข้าไปหนอ ถึงเรียกชื่อบ้านเกิดตัวเองเพี้ยนข้ามหมู่ไปได้ถึงปานนั้น? พิกล... จากคุณ : หัวใจไข้ขึ้น - [ 8 ธ.ค. 51 21:27:53 ]

ความคิดเห็นที่ 55 เริ่มอ่านได้สองสามความเห็นก็รู้ว่าต้องเซฟเก็บไว้เลย ไว้ค่อยอ่านต่อวันหลัง ขอบอกว่ากระทู้แบบนี้แหละที่ทำให้ผมติดตามห้องสมุดมาจนถึงวันนี้ครับ จากคุณ : พลายแป้ง - [ 8 ธ.ค. 51 22:32:10 A:128.178.254.95 X: TicketID:120371 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ขอบคุณคุณ Navarat.C อย่างยิ่งเลยครับ ได้ความรู้มากมายเลยจริงๆ จากคุณ : ออกญาศรีราชเดโชชัย (NMkrung) - [ 8 ธ.ค. 51 23:15:15 ]

ความคิดเห็นที่ 57 " ถ้า"พลาด" กระทู้นี้ไป...คงเสียดายแย่เลย " จากคุณ : เต้าหู้หิมะ - [ 9 ธ.ค. 51 01:16:35 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ช่วงหลังนี่ เข้าพันทิป จะread only แต่กระทู้นี้ ขอซักหน่อย ขอบคุณค่ะ แล้วจะติดตามต่อไป >.< จากคนสงขลา(เหมือนกัน) จากคุณ : nang - [ 9 ธ.ค. 51 01:36:32 ]

ความคิดเห็นที่ 59 จากคุณหัวใจไข้ขึ้น   " ขอมนั้นแล่นเรือผ่านไปมาหน้าอ่าวสงขลา จนแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ขอม - มลายู ผ่านทางภาษาและอารยธรรมหินเนิ่นนาน (ขนง ข. เกอนิง ม. = คิ้ว, กำปง ข. กำปุง ม. = หมู่บ้าน มาศ ข. เออมัส ม. = ทอง ฯลฯ) บางปีขอมอาจเบื่อๆ ขี้เกียจไปชวา เลยแวะขึ้นคาบสมุทรสทิงพระ (อ้าว! อันนี้ภาษาแขมร์แปลว่า "คลองพระ" นี่นา) แล้วลากเหล็กสกัด ไปสกัดหินที่ "เขาคูหา" จนกลายเป็นถ้ำคูหา (หรือโคหาย) อยู่ใกล้วัดพะโคะ แถมพอสกัดถ้ำคู่เป็นเทวาลัย (ไวษณพนิกาย) แล้ว ยังไม่หายเซ็ง ก็ลงมือขุด "บาราย" ไว้ข้างหน้าเทวาลัยเป็นสระใหญ่ๆ อีกหนึ่งแห่ง ทุกวันนี้เรียกว่า "พังพระ" พัง คือคำเดียวกับ "ตระพัง" ที่ปรากฏในศิลาจารึกหลักที่ 1 นั่นแหละ บนคาบสมุทรสทิงพระมีสระน้ำที่เรียกว่าพังอยู่มากมาย เข้าใจว่าใช้ประโยชน์ทั้งเกษตรกรรมและพิธีกรรมมาแต่โบราณ จากนั้นขอมคงหายเบื่อแล้ว ก็เลยไปชวาหาระเด่นมนตรีต่อ" ขอบคุณ คุณหัวใจไข้ขึ้น นะครับที่ทักไว้ ผมเร็วไปหน่อยจริงๆ เพราะใจไปคิดถึงศรีวิชัยตลอด เชื่อว่า คนโบราณที่มีอารยะธรรมสูงที่แผ่อิทธิพลมาแถบนี้ จะต้องมาคาบสมุทรมลายู ไม่ใช่ทะเลสาปเขมรอันมีนครวัตเป็นศูนย์กลาง ข้อความข้างล่างผมลอกครูบาอาจารย์ที่ไม่ปรากฏนามมาจากnet มาเสริม "...ขอมก็คือ คนอินเดียตอนใต้ที่นับถือพราหมณ์นิกาย พระศิวะ ขอมจากอินเดียเข้ามาอาณาจักรศรีวิชัยคือภาคใต้ของไทยในปัจจุบัน  ขอม พบกับคนพื้นเมืองซึ่งเป็นบรรพบุรุษของคนใต้ ก็ได้เผยแพร่ศาสนาพราหมณ์  อักษรอินเดีย จนภาคใต้กลายเป็นฐานกำลังทางศาสนาและวัฒนธรรมขอม  หลังจากนั้นก็ข้ามอ่าวไทยไปพบอาณาจักรคนเปลือย  ขอมเรียกคนพวกนั้นว่ากัมพุชคือนาคนั่นเอง ขอมได้กัมพุชหรือเขมรเป็นพลเมืองก็ตั้งอาณาจักรขอมขึ้น  ดังนั้นถ้าพูดว่าขอม ในอินเดียเป็นปู่ ขอมศรีวิชัยก็เป็นพ่อ  ส่วนขอมกัมพูชานั้นเป็นลูก คนใต้สมัยก่อนมาจนถึงยุครัตนโกสินก็ยังเรียนภาษาขอมอยู่เลย  และ ภาษาขอมปักษ์ใต้ก็แตกต่างจากภาษา ขอมเขมร...." สรุปว่า สงขรา มาจากคำว่า สิงขร หรือ สิขร อันเป็นเป็นบาลีสันสกฤต ภาษาแม่ของศรีวิชัย เช่นเดียวกับคำว่า สทิงพระ ฯลฯ ผมไม่ว่าอะไรถ้าใครจะเรียกว่าศรีวิชัยว่าขอมศรีวิชัยถ้ามีพื้นความเข้าใจอย่างที่ครูบาอาจารย์ว่าไว้ตอนต้น แต่ถ้าเรียกลอยๆแล้วเดี๋ยวเขมรเฮง สัมรินจะได้ใจ จากคุณ : Navarat.C - [ 9 ธ.ค. 51 08:01:35 ]

ความคิดเห็นที่ 60 อืม คนในอาณาจักรล้านนาใช้ตั๋วเมือง หรืออักษรธรรมล้านนา อีสานใช้อักษรธรรมอีสาน หน้าตาคล้ายคลึงกัน เข้าใจว่ารับอิทธิพลมาจากกลุ่มอักษรมอญ - พม่า กระมัง ส่วนไทยกลางก็เรียนขอมนี่ครับ เรียนขอมบาลีขอมไทย แต่เน้นในเนื้อหาศาสนากับทางไสยศาสตร์ (เช่น พระปาฏิโมกข์ พระมาลัย และอักขระยันต์ต่างๆ) ในจารึกใบลานและสมุดข่อยภาคกลาง ลงมาจนสุดเขตอิทธิพลพุทธที่แถวๆ อ.สะเดา อ.นาหม่อม อ.เมืองสงขลา ก็ปรากฏจารึกใบลานกับบุดดำ - บุดขาว เป็นอักษรขอมอยู่ทั่วไป ลึกไปกว่านั้นก็ยังพบเห็นได้ประปราย ขอมคงมีอิทธิพลแถวนี้ไม่ใช่เล่น ทั้งฮินดูและคติพุทธฝ่ายเหนือที่ปรากฏย่านนี้ ก็มีลักษณะคล้ายกับแบบที่ตั้งอยู่ในกัมพูชาปัจจุบันเหมือนกัน ตามข้อความที่คัดมาว่า "...ภาษาขอมปักษ์ใต้ก็แตกต่างจากภาษา ขอมเขมร..." นี่ ไม่รู้หมายถึง "ภาษา" หรือ "อักขระ" หรือ "การสะกดการันต์" เพราะถ้าเป็นภาษาละก็ต่างแน่ เพราะไทยกับแขมร์ถึงจะมีศัพท์ร่วม แต่ออกเสียงต่าง ไวยากรณ์ก็ต่าง แต่ถ้าเป็นอักขระกับการสะกดการันต์ผมว่าเหมือนกันนา ศก - เชิงอะไรๆ สังโยคยังไง ก็เหมือนๆ กัน ชักจะไปนอกเรื่อง จริงๆ จะเข้ามาบอกว่า ที่ผมเล่าเรื่องถ้ำเทวาลัยเขาคูหานั้น ลืมไปว่าแรกทีเดียวน่าจะเป็นไศวนิกาย เพราะมีสวยัมภูลึงค์อยู่เหนือถ้ำ และมีศิวลึงค์กับโยนีโธรณะอยู่แถวๆ นั้น แต่เมื่อไม่กี่ปีก่อน กรมศิลปากรขุดพบรูปหล่อพระวิษณุที่หน้าถ้ำ ใจเลยจับไปว่าเป็นไวษณพนิกายอย่างเดียว ขออภัยที่ข้อมูลขาดตกครับ รออ่านต่อครับ จากคุณ : หัวใจไข้ขึ้น - [ 9 ธ.ค. 51 10:00:15 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ชื่อเมืองสงขลาได้ปรากฏชื่อในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 แห่งกรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ. 1893 ว่าเป็นเมืองประเทศราชในจำนวน 16 หัวเมือง และในเอกสารที่บันทึกโดยคนไทยอีกหลายฉบับที่ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องเมืองสงขลา ได้บันทึกประวัติของชื่อเมืองสงขลาว่า มาจากบันทึกของพ่อค้า และนักเดินเรือชาวอาหรับเปอร์เซีย ระหว่างปี พ.ศ. 1993-2093 ในนามของเมือง “ซิงกูร์" หรือ "ซิงกอรา” แต่ในหนังสือประวัติศาสตร์และการเมืองแห่งราชอาณาจักรสยามของนายนิโกลาส แซร์แวส เรียกชื่อเมืองสงขลาว่า “เมืองสิงขร” [1] โดยได้สันนิษฐานว่าคำว่าสงขลาในปัจจุบันน่าจะเพี้ยนมาจากคำว่า “สิงหลา” หรือ “สิงขร” แปลว่าเมืองสิงห์ เนื่องมาจากการที่พ่อค้าชาวเปอร์เซียอินเดีย ตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น ได้แล่นเรือผ่านมาค้าขายและแลเห็นเกาะหนู เกาะแมว ซึ่งเมื่อมองจากทะเลเข้าหาฝั่งในระยะไกล ๆ จะเห็นปรากฏเป็นภาพคล้ายสิงห์สองตัวหมอบเฝ้าปากทางเข้าเมืองสงขลา ชาวอินเดียจึงเรียกเมืองสงขลาในสมัยนั้นว่า “เมืองสิงหลา” ส่วนคนไทยเรียกว่า "เมืองสทิง” เมื่อแขกมลายูเข้า มาค้าขายกับเมืองสิงหลา ก็จะออกเสียงเพี้ยนเป็น “เซ็งคอรา” เมื่อฝรั่งเข้ามาค้าขายก็เรียกตามมลายูแต่เสียงเพี้ยนเป็นสำเนียงฝรั่งคือ “ซิงกอรา” (Singora) จากนั้นคนไทยพื้นถิ่นเองก็ได้เรียกตามเสียงมลายูและฝรั่งเพี้ยนเป็นคำว่า “สงขลา” ดังปัจจุบัน นอกเหนือจากนี้ เอกสารชิ้นนี้ยังอธิบายต่อถึงความเป็นไปได้อีกสาเหตุหนึ่งว่า คำว่าสงขลาน่าจะเป็นการเรียกเพี้ยนมาจากคำว่า “สิงขร” ที่แปลว่าภูเขา เนื่องจากเมืองสงขลาในยุคดั้งเดิมตั้งอยู่เชิงเขา และต่อมาเจ้าเมืองคนแรกยังได้รับพระราชทานนามว่า “วิเชียรคีรี” ซึ่งสอดคล้องกับเมืองที่อยู่แถบภูเขา สอดคล้องกับสุภาวดี เชื้อพรามณ์ ที่ได้บันทึกว่าสงขลาเพี้ยนมาจากภาษาสันสกฤตหรือภาษาบาลี เนื่องจากชาวอินเดียล่องเรืออ้อมแหลมมลายูมาสู่ฝั่งตะวันออก เมื่อมองจากทะเลเข้าสู่ฝั่งสงขลาแลเห็นภูเขาเป็นปราการธรรมชาติ จึงเรียกว่า สิงขระ หรือ สิงขร ซึ่งคำไทยสิงขร หมายถึง ภูเขา ต่อมาชาวตะวันตกจึงเรียกตาม และเพี้ยนเป็นคำว่า ซิงโกรา หรือ ซิงกอรา เช่นเดียวกันกับที่กล่าวมาข้างต้น เหตุผลสุดท้ายที่เอกสารในเอกสารการศึกษาความเป็นไปได้ก็คือ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระราชวินิจฉัยไว้ว่า “สงขลา” เดิมชื่อสิงหนคร (สิง-หะ-นะ-คอน) แต่แขกชาวมลายูพูดเร็วและออกเสียงเพี้ยนกลายเป็น สิง-คะ-รา แต่ออกเสียงเป็น ซิงคะรา หรือ สิงโครา จนมีการเรียกเป็น ซิงกอรา[2] [3] ในส่วนเอกสารของชาวตะวันตกที่กล่าวถึงสงขลาในช่วงเวลาต้น ๆ ซึ่งสามารถค้นย้อนหลังไปได้ถึงสามร้อยปีในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชโดยปรากฏชื่อเมืองสงขลาในแผนที่ของประเทศสยามที่ทำโดยนายเชอวาลีเย เดอ โชมอง ราชทูตของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศสที่เข้ามาเมืองไทยระหว่าง พ.ศ. 2228 [4]   1. ^ คณะสิ่งแวดล้อมฯ มหาวิทยาลัยมหิดล และคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร. โครงการจัดทำแผนการจัดการอนุรักษ์และปรับสภาพแวดล้อมเมืองเก่าสงขลา. กรุงเทพฯ, 2536, บทที่ 2, หน้า 2-3.   2. ^ "การศึกษาความเป็นไปได้ โครงการก่อสร้างกระเช้าลอยฟ้าจังหวัดสงขลา." บ. ซี เอ็ม ซี ยูนิเวอร์แซล จำกัด, 2548, บทที่ 2 หน้า 17.   3. ^ สุภาวดี เชื้อพรามณ์. ตึกแถววิทยานิพนธ์. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2546, หน้า 12.   4. ^ เอนก นาวิกมูล. สมุดภาพสงขลามหาวชิราวุธ. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน), 2536, หน้า 57. http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%A5%E0%B8%B2 จากคุณ : ธนิตา - [ 9 ธ.ค. 51 16:19:17 ]

ความคิดเห็นที่ 62 คุณธนิตาครับ นี่แหละ  คือประเด็นที่ผมนำผังเมือง Singor ของ เดอ ลามาร์มาขยายความ เพราะผลงานของเขาเป็น Engineering Drawing ที่เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ภาพเขียนในเชิงจิตรกรรม ที่มักจะเจือปนไปด้วยจินตนาการของศิลปิน ผังเมืองนี้ใส่แม้กระทั่งมาตราส่วน ที่วิศวกรไปทำรังวัดมาจริง เป็นเอกสารที่มีความน่าเชื่อถือที่สุด แต่คนไทยเพิ่งจะได้เห็นเมื่อยี่สิบกว่าปีนี้เอง หลังจากที่นักวิชาการไทยได้วิเคราะห์ความหมาย และที่มาของชื่อสงขลาไว้เป็นประการต่างๆ หลายสิบหรือเป็นร้อยปี ตามที่คุณธนิตา ได้รวบรวมนำมาแสดง คำบรรยายภาพผังเมืองของ เดอ ลามาร์ก็มีความสำคัญ เขาเขียนไว้ชัดเจนว่า เป็นผังของเมือง Singor ซึ่งภาษาพื้นเมืองจะเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจาก สิงขร อันมีความหมายว่าภูเขา เพราะเมืองอิงแนบอยู่กับภูเขา  ภูเขาชื่ออะไร ชื่อ la montagne rouge แปลตรงเป๊ะว่าเขาแดง ที่เดี๋ยวนี้ก็ยังเรียกอยู่อย่างนั้นว่า เขาแดง ดังนั้นผมจึงไม่อยากให้เขวกันไปอีกกับเอกสารเดิมๆ คำว่าสงขลาเพี้ยนมาจากสิงขรแน่ ไม่ใช่สิงหราเพราะชาวอินเดียมาเห็นเกาะคล้ายสิงโต คนที่นั่นเขาเห็นว่าเป็นเกาะแมว และเกาะหนู ดังเช่นที่เดอ ลามาร์เขียนในผังว่า L' isle du chat และ  l' isle de Rat  ชัดเจนออกอย่างนี้ ประมาณปี๒๕๒๙ ผมมีส่วนร่วมในการเสนอผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา เปลี่ยนชื่อที่กำลังจะตั้งให้กิ่งอำเภอใหม่ของหัวเขาแดงว่า สิขร หรือสิงขร หรือสิงขรา เพื่อให้สอดคล้องกับประวัติศาสตร์โดยได้เสนอหลักฐานเช่นที่สรุปมาในกระทู้นี้ให้พิจารณา ท่านไม่ได้ตอบจดหมายและต่อมา มหาดไทยก็ได้จัดตั้งกิ่งอำเภอสิงหนครตามที่ชงกันไว้อย่างเดิม อ้อ นายเชอวาลีเย เดอ โชมอง ในกระทู้ของคุณธนิตาเป็น ราชทูตของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ถูกแล้ว แต่ไม่ใช่คนทำแผนที่ของประเทศสยาม และแผนที่อื่นๆในสยามอีกเยอะแยะ คนทำก็คือ คนในคณะของท่าน ชื่อมงสิเออร์ เดอ ลามาร์  เราต้องให้เกียรติคนๆนี้ เขาเก่งจริงๆ เชอวาลีเย เดอ โชมองเป็นคนที่ได้หน้าจากผลงานของลูกน้อง ผมกำลังหาจังหวะเหมาะสมที่จะ post ผังเมืองพัทลุง กับ นครศรีธรรมราชของเขาให้ชมด้วย ตอนนี้ยังก่อน เรื่องสงขรายังไม่จบ ขอบคุณครับ ที่ทำให้ผมได้มีโอกาสอธิบายเพิ่ม จากคุณ : Navarat.C - [ 9 ธ.ค. 51 20:25:32 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ขอบพระคุณ คุณหัวใจไข้ขึ้น อีกครั้งนะครับที่เข้ามาเพิ่มความรู้ให้ อย่างไรก็ดีในเรื่องภาษาศาสตร์ ผมคงต้องรอท่านอื่นมาเสริมต่อ ในเรื่องที่คุณเสวนามานั้น ผมรู้น้อยจริงๆ จากคุณ : Navarat.C - [ 9 ธ.ค. 51 20:50:06 ]

ความคิดเห็นที่ 64 คุณNavarat.C อย่าลืมว่า ไทยเรมีหลักฐานว่า อย่างน้อย ก็สมัยพระเจ้าอู่ทอง เราก็เรียกว่า เมืองสงขลา ก่อนที่ชาวต่างชาติจะเริ่มเรียกว่า Singora ราว 100 ปี คนเราย่อมเห็นอะไรแตกต่างกันตามประสบการณ์ของแต่ละคน คนไทยเรา เห็นเป็นหนู เป็นแมว เพราะสิงห์ เป็นสัตว์ในววรณคดี เนืองจากท้องถินไทยเรา ไม่มี สิงห์โต แต่ท้องถินแขก ทั้งแขกอินเดีย แขกอาหรับ เขามีสิงห์โต เขาก็เห็นแลเรียกเป็น  Singora คล้ายกับที่เขา เรียกที่ตรงปลายแหลมมาเลย์ว่า สิงห์ปุระ ซึ่งปัจจุบัน ก็คือ สิงค์โปร์ คำว่า สิง เป็นคำที่ออกเสียงกันง่าย จึงไม่น่าจะเพี้ยน จาก สิงขร เป็น สงขร สงขรา และเนื่องจากคำว่า เมืองสงขลา มีมาก่อนเมืองสิงขร จึงไม่น่าเชื่อว่า ชื่อเมือง สงขลา จะเพี้ยนเป็นสิงขร สิงขรา อาจจะเป็นคนละเมืองอยู่คนละที่ กับ เมืองเขาแดง แต่เป็น เมือง ที่มีชื่อว่า สะุอุเลา ที่มีชื่อในเตำนานเมืองนคร ฯ นะ จากคุณ : ธนิตา - [ วันรัฐธรรมนูญ 17:29:01 ]

ความคิดเห็นที่ 65 ก่อนการมาของดาโต๊ะ โมกุล (นี่ผมก็ไม่ได้ปักใจเชื่อพงศาวคารสงขลาที่คนโบราณเล่าต่อกันมานะว่า คนที่มานี่จะชื่อนี้ เพราะดาโต๊ะเป็นตำแหน่งขุนนางของมลายู ส่วนโมกุลเป็นชื่อของราชวงศ์กษัตริย์มุสลิมของอินเดีย แต่บอกว่ามาจากชวา) แน่นอนว่าตรงหัวเขาแดงมีชุมชนอยู่แล้วในฐานะเมืองหน้าด่านของพัทลุง ตรงนั้นเป็นจุดที่มีความสำคัญทางภูมิศาสตร์ ทั้งด้านการทำมาหากินในการจับสัตว์น้ำ เพราะเป็นปากทะเลสาปที่เชื่อมสู่ทะเล เดี๋ยวนี้ปลาก็ยังชุกชุมอยู่  ชุมชนในละแวกนั้น นอกจากจะอยู่ที่หัวเขาแดงแล้ว หลังเขา ท้ายเขาก็มี แล้วยังมีทั้งที่เกาะยอ ซึ่งเดอ ลามาร์บันทึกว่าทำสวนผลไม้ เขาเขียนบรรยายลักษณะของลูกประหลาดให้เพื่อนร่วมชาติร่วมภาษาของเขาฟัง เราอ่านดูก็รู้ว่ามันคือทุเรียน ไม่ทราบว่าคุณธนิตาเคยทานทุเรียนกวนเกาะยอหรือเปล่า ที่ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองสงขลาปัจจุบัน ผมก็เพิ่งทราบว่าโบราณสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรีที่เจ้าเมืองเป็นจีนนั้น ตั้งอยู่ที่บ่อยาง ตรงตำแหน่งที่เดอ ลามาร์เขียนว่าเป็นหมู่บ้าน boyan นั่น้เอง ดังนั้นชื่อ ที่ฝรั่งเรียกว่า singor หรือสำเนียงมลายูเพี้ยนว่า singora นั้น ไม่ใช่ชาวต่างชาติรุ่นใหม่เมื่อสามร้อยกว่าปีที่แล้วเป็นผู้ตั้ง แต่เป็นคนต่างชาติที่ใช้ภาษาสันสกฤตในยุคศรีวิชัย เช่นเดียวกับไชยา ลังกาสุกะ ทวาราวดี ฯลฯ คราวนี้สำเนียงที่ต่างลิ้นต่างหูกันที่จะเรียก ศิขร ซีครับ มันอาจจะเป็น สิขร สิขระ สังขระ สงขรา หรือ อัขระวิบัติไปเป็นสงขลาก็ได้ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นยังไงมายังไง ถึงเดี๋ยวนี้ ถ้าคุณไปถามชาวบ้านสงขลาจริงๆว่าเมืองเขาชื่ออะไร เขาจะบอกว่า ส่งคล้า นั่นน่ะถูกที่สุด ผมจึงไม่ได้สนใจสำเนียง แต่สนใจรากเง่าของคำว่ามาจากอะไร สันนิฐานที่ว่ามาจากสิงห์นั้น นอกจากจะแผลงไม่ออกแล้วว่ามันได้กลายไปเป็นสงขลาอย่างไร ยังไร้น้ำหนักมากเมื่อเทียบกับภูเขา เพราะไปให้ค่ากับเกาะเล็กๆ ขึ้นฝั่งก็ไม่ได้ อย่าลืมนะครับ เกาะมันจะมองเหมือนแมวหรือสิงโตหมอบก็เฉพาะมุมที่คนดูอยู่บนฝั่งแหลมสมิหรานั่นแหละ  ถ้ามองผิดมุมไปหน่อย มันก็ไม่เหมือนแล้ว เพราะมันไม่ใช่รูปปั้น ยิ่งนั่งเรือเดินทางมาจากทิศใต้ ยิ่งไม่ใช่ใหญ่ ที่แย่ที่สุดคือ หากคุณอยู่ที่หัวเขาแดงแล้ว คุณจะมองไม่เห็นเกาะแมวนี้เลย เพราะมันบังเหลี่ยมกับแหลมสนอ่อน แล้วคนตั้งชื่อเมืองเขาจะได้ความบรรดาลใจมาเกาะนั้นได้อย่างไร นี่มีหลักฐานออกแน่นหนาที่วิศวกรรมศาสตร์มาสนับสนุนโบราณคดีถึงขนาดนี้ คุณยังไม่ยอมปล่อยตำนานอีกหรือครับ จากคุณ : Navarat.C - [ วันรัฐธรรมนูญ 19:39:52 ]

ความคิดเห็นที่ 66 ประวัติศาสตร์ไทย จะปล่อยตำนานไปหมด ไม่ได้หรอกนะ เพราะคำว่า ประวัติศาสตร์ เพิ่งจะมีใช้ในภาษาไทยหลังสงครามโลกที่ ๒ เพียงแค่ประมาณ ๖๐ ๗๐ ปี แค่นี้เอง โดยก่อนหน้านั้นเราใช้คำว่า ตำนาน หรือ ไม่ก็ พงศาวดาร ดังนั้นในเมื่อพงศาวดาร เอ่ยชื่อ เมืองสงขลา ๑๐๐ ปี กอ่นที่แขกจะมีบันทึกว่าซิงกูร์" หรือ "ซิงกอรา   แล้วจะบอกว่า สงขลา เพี้ยนมาจาก ซิงกู สิงขร ก็ดูกระไรอยู่ การที่จะบอกว่า จากเมืองซิงกูที่แขกเขาสร้างเขาอยู่ มองไม่เห็นอะไร ที่จะเหมือน สิงห์ ก็อย่าลืมว่าชื่อนี้ มีมาก่อนที่ดาโต๊ะ โมกุล จะเข้ามา คิดว่าเป็นการมองจากทะเลเข้าหาฝั่งในระยะไกล ดังทีบอกแล้วว่า คนเราเห็นอะไรต่างกัน เรียกต่างกันก็ได้ เมืองที่ดาโต๊ะสร้างขึ้นมา ชื่อ  ซิงกู สิงขร ก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญนัก ที่สำคัญ ก็คือ ยังไม่มีหลักฐานว่า เมืองนั้นเป็นที่เดียว กับ เมืองสงขลา ในทางตรงกันข้าม น่าจะเป็นคนละเมืองมากกว่า เพราะ ๑ คนไทย ไม่นิยมอยู่บนเขา แต่ชอบอยู่ใกล้น้ำ ๒ ถ้ามีเมืองสงขลาอยู่ตรงนั้น ก็น่าจะมีการต่อสู้กันบ้าง และดังที่ จขกท บอกว่า ชาวบ้านสงขลาจริงๆ ออกเสียงว่า ส่งคล้า แล้วจะสรุปไปว่า เพี้ยนมาจาก สิงขร ที่มีมาทีหลังได้อย่างไร คล้ายกับ ที่ฝรั่งเคยเรียกฝั่งธน ว่า บางกอก แต่ตอนนี้ บางกอก คือ กทม แล้วจะบอกว่า กทม ผิดเพี้ยนมาจาก ธนบุรี ก็ย่อมไม่ได้ เช่นกันนะ จากคุณ : ธนิตา - [ 11 ธ.ค. 51 15:29:55 ]

ความคิดเห็นที่ 67 “ประวัติศาสตร์ไทย จะปล่อยตำนานไปหมด ไม่ได้หรอกนะเพราะคำว่า ประวัติศาสตร์ เพิ่งจะมีใช้ในภาษาไทยหลังสงครามโลกที่ ๒ เพียงแค่ประมาณ ๖๐ ๗๐ ปี แค่นี้เอง โดยก่อนหน้านั้นเราใช้คำว่า ตำนานหรือ ไม่ก็ พงศาวดาร” การที่ผมบอกว่า “นี่มีหลักฐานออกแน่นหนาที่วิศวกรรมศาสตร์มาสนับสนุนโบราณคดีถึงขนาดนี้ คุณยังไม่ยอมปล่อยตำนานอีกหรือครับ” ผมหมายความเฉพาะกระทู้นี้  แต่ถึงแม้ในกรณีย์อื่นๆที่ปรากฎหลักฐานใหม่ ไม่ว่าด้านประวัติศาสตร์หรือโบราณคดีที่น่าเชื่อถือกว่าหลักฐานเดิม  นักประวัติศาสตร์ก็ต้องยอมวางของเดิมไป ............................................................................... “ดังนั้นในเมื่อพงศาวดาร เอ่ยชื่อ เมืองสงขลา ๑๐๐ ปี กอ่นที่แขกจะมีบันทึกว่าซิงกูร์" หรือ "ซิงกอรา   แล้วจะบอกว่า สงขลา เพี้ยนมาจาก ซิงกู สิงขร ก็ดูกระไรอยู่” เมืองซิงกูร์ไม่เคยได้ยิน ผมไม่เคยเขียน ที่เขียนทับศัพท์ว่าSingor ออกเสียงว่าซิงกอ หรือสิงคอ หรือสิงขรอันเป็นบาลีสันสกฤตซึ่งเป็นรากของศรีวิชัยดังกล่าวแล้ว ดังนั้นชุมชนตรงนี้จึงต้องมีชื่อนี้มาแต่เดิมตั้งแต่หลังพ.ศ.๑๒๐๒ ก็ได้ อย่าเอ่ยลอยๆ เช่นว่าพงศาวดาร เอ่ยชื่อ เมืองสงขลา ๑๐๐ ปี กอ่นที่แขกจะมีบันทึกว่าซิงกูร์   คุณช่วยอ้างมาด้วย พงศาวดารที่ปรากฏชื่อเมืองสงขลาขึ้นครั้งแรก เขียนประมาณปีพ.ศ.ไหน  แขกของคุณที่บันทึกว่าซิงกูร์ เป็นแขกอินเดียหรือแขกมลายู  สองแขกนี้ภูมิปัญญาคนละระดับกัน แล้วบันทึกไว้เป็นอะไร ประมาณพ.ศ.ไหน   เรารู้ว่า แขกมลายูเรียกสิงขร เพี้ยนเป็นสิงขะรา เพราะฝรั่งฮอลันดาสมัยประมาณพ.ศ.๒๒๐๐เขียนว่า Singora ตามมาเลย์ ทำไม คนสยามร่วมสมัยนั้นจะเรียกเพี้ยนเป็นสงขลาบ้างไม่ได้  เคยได้ยินเมืองที่เรียกว่าด่านสิงขรไหม แล้วเคยได้ยินชื่อเมืองหน้าด่านอีกแห่งหนึ่งที่ชื่อว่าสังขละบุรีไหม เมืองทั้งสองอยู่บนภูเขาเหมือนกัน มาจากรากศัพท์เดียวกัน คือสิขร แล้วคำว่าสังขละคล้ายสงขลาไหม ............................................................................... “การที่จะบอกว่า จากเมืองซิงกูที่แขกเขาสร้างเขาอยู่ มองไม่เห็นอะไร ที่จะเหมือน สิงห์ ก็อย่าลืมว่าชื่อนี้ มีมาก่อนที่ดาโต๊ะ โมกุล จะเข้ามา คิดว่าเป็นการมองจากทะเลเข้าหาฝั่งในระยะไกล ดังทีบอกแล้วว่า คนเราเห็นอะไรต่างกัน เรียกต่างกันก็ได้” แสดงว่าเรื่องราว คำอธิบาย หลักฐาน ภาพถ่าย ฯลฯ ที่ผมเสนอมาแล้วทั้งหมดในกระทู้นี้ ไม่สามารถทำให้คุณเข้าใจได้ และยังยึดมั่นคำว่า สิงห์ เป็นรากเหง้า ของสงขลา ตามทฤษฏีที่เชื่อว่า แขกมลายูเรียกเมืองนี้ว่าsingora ซื่งเพี้ยนมาจากสิงหรา และสิงหราเพี้ยนมาเป็นสงขลา อันที่จริงตัวอย่างมีอยู่ แขกอินเดียเรียกเกาะยุทธศาสตร์ปลายแหลมมลายูว่า สิงหปุระ แต่แขกเจ้าถิ่นเรียกเป็นสำเนียงมาเลย์ว่า สิงหะปูร์ ฝรั่งเรียกตามเพี้ยนเป็นสิงคโปร์ อย่างนี้สิน่าเชื่อถือ ชื่อเมืองไม่น่าจะเอาชื่อสัตว์มาตั้งลอยๆ น่าจะมีคำขยายเช่น สิงหปุระนี้ หรือสิงหบุรี อีกเมืองหนึ่งของสยาม ............................................................................... “เมืองที่ดาโต๊ะสร้างขึ้นมา ชื่อ  ซิงกู สิงขร ก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญนัก ที่สำคัญ ก็คือ ยังไม่มีหลักฐานว่า เมืองนั้นเป็นที่เดียว กับ เมืองสงขลา” ในทางตรงกันข้าม น่าจะเป็นคนละเมืองมากกว่า เพราะ ๑ คนไทย ไม่นิยมอยู่บนเขา แต่ชอบอยู่ใกล้น้ำ” คุณไม่เคยเห็นเมืองสงขราหัวเขาแดงนี้เลย รูปมีให้ดูก็ไม่เข้าใจ แทนที่จะถาม กับใช้วิธีการเขียนค้าน เอาครับ ไม่ว่ากัน ถ้าไม่ได้ใช้ถ้อยคำที่ผมรังเกียจ และผมเห็นว่าเป็นประโยชน์กับคนอ่านอื่นๆ ด้วย ผมก็จะพยายามตอบ ไม่มีคนชาติไหนหรอกครับที่ชอบขึ้นไปอยู่บนเขา หากไม่มีน้ำบริโภค เขาแดงเป็นภูเขาที่ไม่มีต้นน้ำ เมืองนี้จึงตั้งอยู่บนที่ราบ แต่หลังพิงเขา หน้าติดทะเล และทะเลสาป ถูกตำราฮวงจุ้ยที่สุด มีสระน้ำจืดขนาดใหญ่อยู่ในเมืองเพื่อดักน้ำฝนที่ใหลลงมาจากเขา บนเขามีเฉพาะป้อมปืนใหญ่ที่ใช้ป้องกันเมือง ไม่มีบ้านผู้คนพักอาศัย คุณเอาตำนานมาอ้างลอยๆเสมอว่า มีเมืองอะไรอีกเมืองหนึ่งที่มีชื่อสะอุเลา และเมืองนั้นอาจคือเมืองสงขลาก็ได้ สรุปทั้งหมดของคุณคือแค่นี้ ที่คุณพยายามนำมาใช้หักล้างหลักฐานที่ผมเสนอยืนยันความมีอยู่จริงของสงขราหัวเขาแดง ที่ปรากฏเป็นเอกสารเชื่อถือได้ในสมัยที่เมืองสงขลายุคที่สร้างสมัยพระเจ้าตากสินและยืนยงจนปัจจุบันนั้น ยังเป็นหมู่บ้านบ่อยางอยู๋เลย แต่ สะอุเลาอยู่ที่ไหน ใครเคยเห็นอิฐหักกากปูนบ้าง ตำนานกล่าวไว้กี่บรรทัด แล้วถ้ามีร่องรอยปรากฏว่ามีอยู่ มันไปกลายเป็นสิงหราได้ยังไง ............................................................................... “๒ ถ้ามีเมืองสงขลาอยู่ตรงนั้น ก็น่าจะมีการต่อสู้กันบ้าง และดังที่ จขกท บอกว่า ชาวบ้านสงขลาจริงๆ ออกเสียงว่า ส่งคล้า แล้วจะสรุปไปว่า เพี้ยนมาจาก สิงขร ที่มีมาทีหลังได้อย่างไร” ครับ การยกพลขึ้นบกเข้ามา มันคงต้องต่อสู้กันจนรู้แพ้รู้ชนะนั่นแหละ และก็น่าจะเดาออกว่าใครชนะ ไม่ใช่ชนะแค่ที่หัวเขาแดงนะ ชนะไปถึงเมืองเอก คือพัทลุงด้วย ผมเล่าไว้แล้ว กลับไปอ่านดู ไม่อย่างนั้นสายสกุลท่านสุลต่านสุลัยมานจะเป็น ณ พัทลุงได้อย่างไร ส่วนคำถามต่อมา ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ ก็ทิ้งไว้อย่างนั้นก็แล้วกัน ผมย้อนไปอธิบายอีกครั้งไม่ไหว ............................................................................... “คล้ายกับ ที่ฝรั่งเคยเรียกฝั่งธน ว่า บางกอก แต่ตอนนี้ บางกอก คือ กทม แล้วจะบอกว่า กทม ผิดเพี้ยนมาจาก ธนบุรี ก็ย่อมไม่ได้ เช่นกันนะ” ยกตัวอย่างเช่นนี้  เด็กไปหน่อย  กทมมันไม่ได้เพี้ยนมาจากอะไรทั้งสิ้น มันเป็นคำย่อของกรุงเทพมหานคร ใครว่า กทม เพี้ยนมาจาก ธนบุรี ก็เพี้ยนพอๆกับ สะอุเลาเพี้ยนไปเป็นสิงหรา แล้วเพี้ยนต่อไปเป็นสงขลานั่นแหละ จากคุณ : Navarat.C - [ 12 ธ.ค. 51 00:40:15 ]

ความคิดเห็นที่ 68 ๑ คุณ จขกท บอกว่า “นี่มีหลักฐานออกแน่นหนาที่วิศวกรรมศาสตร์มาสนับสนุนโบราณคดีถึงขนาดนี้ คุณยังไม่ยอมปล่อยตำนานอีกหรือครับ” เราก็ขอแย้งว่า หลักฐานวิศวกรรมศาสตร์ ไม่ได้บอกว่า เวลาที่สร้าง และมีชื่อ Singora เกิดมีมาก่อน ชื่อ สงขลา ซึ่งตรงกันข้ามกับพงศาวดาร และ ตำนาน ที่ชี้ว่า ชื่อ สงขลา มีมาก่อน Singora อย่างน้อยก็ราว ๑๐๐ ปี ในเมื่อ ชื่อ สงขลา มีมาก่อน แล้วไปคิดว่าเพี้ยนจากของที่มาทีหลัง ได้อย่างไร ทั้งที่ควรจะคิดว่า ของที่มีมาที่หลัง น่าจะเพี้ยนจากของ ที่มีมาก่อน จึงจะถูก นะ ๒ คุณ จขกท บอกว่า "คุณเอาตำนานมาอ้างลอยๆเสมอว่า มีเมืองอะไรอีกเมืองหนึ่งที่มีชื่อสะอุเลา และเมืองนั้นอาจคือเมืองสงขลาก็ได้ เราไม่ได้อ้างลอยๆ เพราะตำนานเมืองนคร ที่มีชื่อเมืองนักษัตรและตราประจำ เมือง ไปตรงกับ ปูมตำราโหร ที่กล่าวถึง เมืองนครและเมืองนักกษัตร ปรากฎว่า ทั้งตำนาน และ ปูมตำราโหร มีชื่อเมืองและตราเมือง ตรงกันทุก เมือง ยกเว้นชื่อเมืองเมืองเดียว ที่ใช้ตราไก่ เหมือนกัน แต่ตำนานใช้ชื่อ เมืองว่า สะอุเลา แล้วปูมตำราโหร ใช้ชื่อเมืองว่า สงขลา ดังนั้นถ้าไม่คิดว่า เมือง สะอุเลา กับ เมือง สงขลา คือ เมืองเดียวกัน แล้วจะให้คิดว่าอย่างไร ๓ คุณ จขกท ถามว่า พงศาวดาร ที่ปรากฏชื่อเมืองสงขลาขึ้นครั้งแรก เขียนประมาณปีพ.ศ.ไหน พงศาวดารของไทย ไม่ได้บอกว่า เขียนเมื่อไร แต่อย่างน้อย  พงศาวดารฉบับ บริติช มิวเซียม และ ฉบัีบพระราชหัตถเลขา เขียนตรงกันว่า สมัยพระเจ้าอู่ทอง มีเมือง สงขลา เป็นเมืองประเทศราช ซึ่งก็ยังไม่เคยมีนักวิชาการคนใด คัดค้านในเรื่องนี้  แถมยังมี อาจารย์ประวัติศาสตร์ ที่เขียนตำราก็เขียนบอกเช่นกัน ประกอบกับเหตุผลในเรื่อง ตำนานเมืองนคร และ ปูมตำราโหร ก็ยิ่งสนับสนุนมากว่า ชื่อ สงขลา มีมาก่อน ชื่อ Singora ของ จขกท ๔ คุณ จขกท บอกว่า ,,,เรารู้ว่า แขกมลายูเรียกสิงขร เพี้ยนเป็นสิงขะรา เพราะฝรั่งฮอลันดาสมัยประมาณพ.ศ.๒๒๐๐เขียนว่า Singora ตามมาเลย์ ทำไม คนสยามร่วมสมัยนั้นจะเรียกเพี้ยนเป็นสงขลาบ้างไม่ได้  เคยได้ยินเมืองที่เรียกว่าด่านสิงขรไหม""" ก็นั่นซี ในเมือ่เราออกเสียง สิงขร ได้ และเราเป็นเจ้าของที่ ทำไมเราจึงต้องๆไปเรียกตามมลายู ที่เรียก เพี้ยนเป็นสิงขะรา ไปด้วยล่ะ ส่วนเรื่อง สังขละบุรี ที่ จขกท ยกตัวอย่างมานั้น เรายังไม่เคยเห็นเอกสารที่ บอกว่า มาจากคำว่า สิงขร และก็ดังที่ จขกท บอกว่าเป็นเมืองหน้าด่าน คนพื้นเมืองจึงไม่ใช่คนไทย อาจเป็นมอญกระเหรี่ยง เขาเรียกแบบนั้น เราไม่ใช่คนพิ้นเมือง ไม่ใช่เจ้าของที่ ๕ จขกท บอกว่า ...สรุปทั้งหมดของคุณคือแค่นี้ ที่คุณพยายามนำมาใช้หักล้างหลักฐานที่ผมเสนอยืนยันความมีอยู่จริงของสงขราหัวเขาแดง.. ก็ขอตอบปฏิเสธว่า ไม่ได้คัดค้านว่า มีเมืองอยู่จริง ที่หัวเขาแดง แต่คัดค้านว่า ยังไม่เคยมีใครยกหรือออกความเห็นว่า เมืองนั้น ชื่อ สงขรา ตามทีคุณคิด แล้วชื่อ สงขรา ของเมืองนี้ เพี้ยนเป็น สงขลา ๖ จขกท บอกว่า...ยังยึดมั่นคำว่า สิงห์ เป็นรากเหง้า ของสงขลา ตามทฤษฏีที่เชื่อว่า แขกมลายูเรียกเมืองนี้ว่าsingora ซื่งเพี้ยนมาจากสิงหรา และสิงหราเพี้ยนมาเป็นสงขลา.... ก็ขอตอบปฏิเสธว่า ไม่ไ้ด้คิด ไม่ได้เชื่อว่า สงขลา เพี้ยนมาจาก คำว่า สิงห์ เป็นรากเหง้า เพราะเราก็เขียนบอกไว้ ใน ความคิดเห็นที่ 47 ว่า..ขอสนับสนุน จขกท ทีบอกว่า สงขลา ไม่ได้เกี่ยวกับ สิงห์..... แต่คัดค้าน จขกท ที่ว่า สงขลา เพี้ยนมาจาก สงขรา ที่มาจาก Singora เพราะ ๑ เราอ่านพบว่า ชื่อ เมืองสงขลา มีก่อนชื่อเมือง Singora           ๒ คนไทยอ่านและออกเสียง สิขร สิงขร ได้ดี จึงไม่มีเหตุผล               ที่จะเพี้ยนเป็น สงขร สงขรา ถ้า จขกท ค้นพบว่า บริเวณแถวนั้นชื่อ สิขร สิงขร สงขร สงขรา มาก่อน สมัยพระเจ้าอู่ทอง จึงจะน่า้เชื่อว่า สงขลา เพี้ยนไปจาก สงขรา นะ จากคุณ : ธนิตา - [ 12 ธ.ค. 51 17:25:13 ]

ความคิดเห็นที่ 69 เอาครับตามสบาย  ไม่เชื่อก็ไม่เชื่อ แค่นี้นะครับ จากคุณ : Navarat.C - [ 12 ธ.ค. 51 19:27:16 ]

ความคิดเห็นที่ 70 พอดีอ่านเจอ และอาจเป็นประโยชน์แก่ผู้สนใจ ถ้าจริงตามพงศาวคารเมืองนครศรีธรรมราชนี้ เมืองสะอุเลาห่างจากสงขลาในปัจจุบันไปประมาณสามร้อยกิโลเมตรครับ จากคุณ : Navarat.C - [ 12 ธ.ค. 51 21:30:27 ]

ความคิดเห็นที่ 71 นี่อีกชิ้นนึงนะครับ จากบทวิชาการ ชุมชนแรกเริ่มสมัยประวัติศาสตร์ บริเวณคาบสมุทรสทิงพระ และบริเวณใกล้เคียง โดย รศ. ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม จากคุณ : Navarat.C - [ 12 ธ.ค. 51 21:48:14 ]

ความคิดเห็นที่ 72 "สงขลา" น่าจะมาจากคำว่า "ส่งขลา" แปลว่า ปล่อยเสือ คือเนรเทศคนร้ายต้องโทษจากที่ใดที่หนึ่งมาอยู่ที่เมืองนี้ จากคุณ : ก. (กรรมกรแบกหาม) - [ 12 ธ.ค. 51 21:52:17 ]

ความคิดเห็นที่ 73 เอาไปอีกหนึ่ง จาก ประวัติศาสตร์ ตระกูลสุลต่านสุลัยมาน สุภัทร สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง จากคุณ : Navarat.C - [ 12 ธ.ค. 51 22:08:00 ]

ความคิดเห็นที่ 74 จะเชื่อหลักฐาน หรือ นิทานปรัมปรา ก็เลือกกันเอาเองนะครับ ตัวใครตัวมัน จากคุณ : Navarat.C - [ 12 ธ.ค. 51 22:13:06 ]

ความคิดเห็นที่ 75 ไม่รู้เหมือนกันว่า  นิทานปรัมปรา ในกระทู้นี้ หมายถึงอะไร เมื่อเราอ้างตำนาน จขกท ก็บอกให้ปล่อยตำนาน แล้วแถมยังว่า>>เอาตำนานมาอ้างลอยๆเสมอว่า มีเมืองอะไรอีกเมืองหนึ่งที่มีชื่อสะอุเลา และเมืองนั้นอาจคือเมืองสงขลาก็ได้>>>>สะอุเลาอยู่ที่ไหน ใครเคยเห็นอิฐหักกากปูนบ้าง>> แต่ตอนนี้ พอถึง ความคิดเห็นที่ 70  จขกท ก็เอาตำนานเมืองนครศรีธรรมราช มาอ้าง เช่นกัน โดยบอกว่า....เมืองสะอุเลาห่างจากสงขลาในปัจจุบันไปประมาณสามร้อยกิโลเมตร..... ก็แสดงว่า เมืองสะอุเลา มีจริง แต่จากหนังสือที่เจ้าของกระทู้เอามาให้ดู ไม่ได้บอกให้รู้ว่า ทำไมจึงคิดว่า สะอุเลา อยู่ที่ ท่าชนะไชยา ส่วนเรา ได้บอกไว้แล้ว ในความคิดเห็นที่ 47 ว่า ทำไม สะอุเลา คือ สงขลา ดังนั้น ใครจะเชื่ออะไร ที่เพียงแค่เขาบอกมาลอยๆ แถมไม่ติดใจเสียเลยว่า ทำไม ไชยา ถึง มีเมืองนักกษัตร เมืองสำคัญถึง ๒ เมือง ได้อย่างไร ถึงอย่างไรก็ตาม ตอนนี้ ได้ไปอ่าน ค้นพบแล้วว่า เมืองที่หัวเขาแดง ที่ดาโต๊ะโมกุล สร้างขึ้นนั้น เป็นคนละเมือง กับ เมืองสงขลา ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด ที่ สงขลา จะเป็นชื่อที่เพี้ยน ไปจากเมือง ที่หัวเขาแดง ที่ชื่อ สิงขร สิงขรา หรือ สิงขรานัครัม คือ จากพงศาวดารเมืองพัทลุง ในประชุมพงศาวดารภาคที่ ๑ -๘๒ เป็น ซีดีรอม ของกรมศิลปฯ พงศาวดารเมืองพัทลุง นี้ เรียบเรียง โดย ธรรมการจังหวัดพัทลุง เมื่อปี ๒๔๖๑ บอกว่า เมืองพัทลุง ตั้งเมื่อ พศ ๑๔๘๐ เดิมตั้งอยู่ ในอำเภอสะทิงพระ สงขลา พอในสมัยพระเอกาทศรถมะตามะรุ่ม แขกอิสลามจากเมืองสาลัย มาขอ ทรงตั้งให้เป็นเจ้าเมืองแล้วย้่ายเมืองไปที่เขาหัวแดงปากน้ำ ต่อมา เพรีเชีย ผัว และ เพรีมุย เมีย และพวกพ้อง เขาไปขอ ได้รับพระราชทาน ให้เป็นเจ้าเมืองพัทลุง ก็ย้ายเมือง ไปตั้งที่เขาเมือง ทางตะวันตก ของทะเลสาป คือ เมืองพัทลุง ในปัจจุบัน พอถึงสมัย พระบรมโกษฐ์ ทรงให้ พระราชบังสัน(ตะตา) ที่เข้าไปอยู่ในอยุธยา ออกมาเป็นเจ้าเมือง พัทลุง มีเมืองจัตวา ๔ เมือง คือ เมืองปะเหลียน๑ เมืองจะนะ๑ เมืองเทพา๑ เมืองสงขลา ๑ แล้วมีวงเล็บว่า (เมืองสงขลานี้ เดิมเป็นเมืองด่านปากน้ำเมืองพัทลุง)>>>> ดังนั้น ก็จะเห็นได้ว่า มีเมืองสงขลา มาก่อนแล้ว (และ ตรงกับพงศาวดาร ที่สมัยพระเจ้าอู่ทอง มีเมือง สงขลา เป็นเมืองประเทศราช ) แล้วเป็นคนละ เมืองที่เขาหัวแดง ดังนั้นชื่อเมือง สงขลา จึงไม่ได้เพี้ยนไปจากชื่อของเมืองที่เขาหัวแดง แต่อย่างใดเลยนะ จากคุณ : ธนิตา - [ 13 ธ.ค. 51 17:04:19 ]

ความคิดเห็นที่ 76 นักศึกษาที่เข้ามาอ่านเรื่องนี้ ผมย้ำอีกทีนะครับ การที่ผมบอกว่า “นี่มีหลักฐานออกแน่นหนาที่วิศวกรรมศาสตร์มาสนับสนุนโบราณคดีถึงขนาดนี้ คุณยังไม่ยอมปล่อยตำนานอีกหรือครับ” ผมหมายความเฉพาะกระทู้นี้  แต่ถึงแม้ในกรณีย์อื่นๆที่ปรากฎหลักฐานใหม่ ไม่ว่าด้านประวัติศาสตร์หรือโบราณคดีที่น่าเชื่อถือกว่าหลักฐานเดิม  นักประวัติศาสตร์ก็ต้องยอมวางของเดิมไป ส่วนใครที่ไม่ปล่อย ก็เป็นเสรีภาพนะครับ เชื่อไหมครับ เดี๋ยวนี้ยังมีชมรมของคนที่ที่เชื่อว่าโลกแบนอยู่เลย  จำไม่ได้แล้วว่าอยู่ในยุโรปหรืออเมริกา แก้ไขเมื่อ 13 ธ.ค. 51 20:46:33 จากคุณ : Navarat.C - [ 13 ธ.ค. 51 17:33:43 ]

ความคิดเห็นที่ 77 ก็ยืนยันอีกว่า ที่ จขกท บอกว่า “นี่มีหลักฐานออกแน่นหนาที่วิศวกรรมศาสตร์มาสนับสนุนโบราณคดีถึงขนาดนี้ คุณยังไม่ยอมปล่อยตำนานอีกหรือครับ” หมายความเฉพาะกระทู้นี้ ... นั้น หลักฐานทางวิศวกรรมศาสตร์ สนับสนุนเพียงว่า มีัเมืองที่เขาหัวแดง ที่สร้างหลัง พศ ๒๑๔๗ แล้วมีฝรั่งเขียนชื่อเมืองที่เขาหัวแดงว่า Singor ในแผนที่ปี พศ ๒๒๓๐ แต่หลักฐา่นทางของไทยแน่ชัดว่า มีเมืองที่ชื่อ สงขลา มาอย่างน้อยก็ตั้งแต่ ปี  พ.ศ. ๑๘๙๓ จึงก่อนการสร้างเมืองที่เขาหัวแดง ราว ๒๕๐ ปี( ๒๑๔๗ - ๑๘๙๓ = ๒๕๔ ปี ) และเป็นไปได้ ที่ชื่อ สงขลา อาจจะมีมาก่อนปี ๑๘๑๗ ซึ่งก็ก่อนเมืองที่เขาหัวแดง ๓๓๐ ปี ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ ที่ ชื่อ เมืองสงขลา จะเพี้ยนไปจากชื่อของเมืองที่เขาหัวแดงสร้างทีหลังกว่ากันตั้ง ๒๕๐ ถึง ๓๓๐ ปี จากคุณ : ธนิตา - [ 14 ธ.ค. 51 07:21:15 ]

ความคิดเห็นที่ 78 จากพงศาวดาร ฉบับ พระราชหัตถเลขา ฯ เมื่อพระเจ้าอู่ทอง สร้างอยุธยา ขึ้นครองราช พศ ๑๘๙๓ จากคุณ : ธนิตา - [ 14 ธ.ค. 51 07:25:28 ]

ความคิดเห็นที่ 79 จากพงศาวดาร ฉบับ British Museum เมื่อพระเจ้าอู่ทอง สร้างอยุธยา ขึ้นครองราช พศ ๑๘๙๓ จากคุณ : ธนิตา - [ 14 ธ.ค. 51 07:27:08 ]

ความคิดเห็นที่ 80 จากตำราประวัติศาสตร์ไทย ยุคก่อนประวัติศาสตร์ไทย ถึง สิ้นอยุธยา ภาควิชาประวัติศาสตร์ มศว เรียบเรียงโดย ถนอม อานาวัฒน์ และ คณะฯ พิมพ์ ครั้งที่ ๒ ข้อความข้างล่าง เข้าใจว่า มาจาก พงศาวดาร ฉบับกรมพระปรมานุชิตฯ, และ ฉบับพันจันทุมาศ จากคุณ : ธนิตา - [ 14 ธ.ค. 51 07:40:11 ]

ความคิดเห็นที่ 81 จึงแน่ชัดว่า มีเมืองที่ชื่อ สงขลา มาอย่างน้อยก็ตั้งแต่ ปี  พ.ศ. ๑๘๙๓ จึงก่อนการสร้างเมืองที่เขาหัวแดง ๒๖๔ ปี( ๒๑๔๗ - ๑๘๙๓ = ๒๕๔ ปี ) หรืออาจจะก่อนนานมากกว่า ๒๕๔ ปี ตามปูมโหร ที่เกี่ยวข้องกับตำนานเมือง นครศรีธรรมราช ที่เอ่ยถึง ใน ความคิดเห็นที่ 47 โดยที่บอกชัดเจนว่า ( แก้ไข เพราะรูปไม่ขี้น ) แก้ไขเมื่อ 14 ธ.ค. 51 07:54:13 แก้ไขเมื่อ 14 ธ.ค. 51 07:52:14 จากคุณ : ธนิตา - [ 14 ธ.ค. 51 07:50:20 ]

ความคิดเห็นที่ 82 ใน ตำนานเมือง นครศรีธรรมราช ที่เอ่ยถึง ใน ความคิดเห็นที่ 47 บอกว่า จากคุณ : ธนิตา - [ 14 ธ.ค. 51 07:56:42 ]

ความคิดเห็นที่ 83 ตำนานเมืองนครศรีธรรมราช  นี้ กรมศิลป บอกว่า ต้นฉบับเดิมเป็นสมุดไทย ลบเลือนหลายแห่ง เราจึงคิดว่า เมืองสะอุเลา คือ เมืองสงขลา ในปูมโหร ดังนั้น ชื่อเมืองสงขลา ก็อาจจะมีก่อนเมืองที่เขาหัวแดง อย่างน้อย ๓๓๐ ปี ก็ได้ แถมใน พงศาวดารเมืองพัทลุง ที่เรากล่าวถึง ในความคิดเห็นที่ 75 ที่พูดถึง การย้่ายเมืองไปที่เขาหัวแดงปากน้ำ ก็ไม่ได้บอกว่า เมืองใหม่นี้ ว่าชื่ออะไร แต่บอกว่า จ้าเมืองพัทลุง มีเมืองจัตวา ๔ เมือง คือ เมืองปะเหลียน๑ เมืองจะนะ๑ เมืองเทพา๑ เมืองสงขลา ๑ แล้วมีวงเล็บว่า (เมืองสงขลานี้ เดิมเป็นเมืองด่านปากน้ำเมืองพัทลุง ก็ยิ่งแสดงว่า เมืองที่ชื่อ สงขลา มีมาก่อน เมืองที่เขาหัวแดง ด้วยเหตุผลหลักฐานที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ แสดงว่า ชื่อ สงขลา มีมาก่อน เมืองที่เขาหัวแดง อันมีชื่อว่า Singor สิงขร สิงขรา ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ ที่ชื่อ สงลา จะเพี้ยนไปจากชื่อเมืองที่เกิดหลังกว่า อย่างชัดเจน อย่างน้อยก็ ๒๕๔ปี และเป็นไปได้ที่อาจจะมากกว่า ๓๓๐ ปี จากคุณ : ธนิตา - [ 14 ธ.ค. 51 08:16:52 ]

ความคิดเห็นที่ 84 หลักฐานทางวิศวกรรมศาสตร์ สนับสนุนเพียงว่า มีัเมืองที่เขาหัวแดง ที่สร้างหลัง พศ ๒๑๔๗ แล้วมีฝรั่งเขียนชื่อเมืองที่เขาหัวแดงว่า Singor ในแผนที่ปี พศ ๒๒๓๐ แต่หลักฐา่นทางของไทยแน่ชัดว่า มีเมืองที่ชื่อ สงขลา มาอย่างน้อยก็ตั้งแต่ ปี  พ.ศ. ๑๘๙๓ จึงก่อนการสร้างเมืองที่เขาหัวแดง ราว ๒๕๐ ปี( ๒๑๔๗ - ๑๘๙๓ = ๒๕๔ ปี ) และเป็นไปได้ ที่ชื่อ สงขลา อาจจะมีมาก่อนปี ๑๘๑๗ ซึ่งก็ก่อนเมืองที่เขาหัวแดง ๓๓๐ ปี ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ ที่ ชื่อ เมืองสงขลา จะเพี้ยนไปจากชื่อของเมืองที่เขาหัวแดงสร้างทีหลังกว่ากันตั้ง ๒๕๐ ถึง ๓๓๐ ปี ตอบ     ไปดู คคห. ๓ ,๖๕ ,๖๗  สรุป ย้ำอีกที ผมเชื่อว่า ก๊กของท่านสุลต่านสุลัยมาน ที่ครอบครองเมืองสงขราตามที่ปรากฏในแผนที่ของเดอ ลามาร์ว่า Singor นั้น ตอนมาถึงตรงหัวเขาแดงนั้น มิได้เป็นที่รกร้าง และแขกมาสร้างเมืองใหม่เอี่ยมขึ้นมา ตรงกันข้าม ตรงนั้นมีบ้านเมืองอยู่แล้ว ย้อนไปถึงศรีวิชัยก่อนสมัยพระเจ้าอู่ทองถึง๖๐๐ปีด้วยซ้ำ แต่ศูนย์กลางการปกครองอาจอยู่ที่สทิงพระซึ่งอยู่ใกล้ๆกัน หรือพัทลุง หรือที่นครไปเลย  ชุมชนรอบทะเลสาบสงขลานั้น เกิดขึ้นตามหลักการแสวงหาความสะดวกในการดำรงชีวิตของมนุษย์ ย้อนไปถึงยุคที่๑ ก่อนประวัติศาสตร์ที่มีหลักฐานโบราณคดีกระจัดกระจาย  ยุคที่๒เริ่มมีอารยธรรมเข้ามา ที่เรียกว่ายุคศรีวิชัย  ยุคที่๓ ตรงกับยุคสุโขทัย เริ่มยุคที่บันทึกเป็นตำนานต่างๆของเมือง จบด้วยเรื่องราวที่ถูกสลัดจากชวาและสุมาตราปล้นเมืองหลายครั้งจนผู้คนแตกสานซ่านกระเซ็น ยุคที่๔ ตรงกับรัชกาลพระเจ้าเอกาทศรถคาบเกี่ยวกับพระเจ้าทรงธรรม ปรากฏบันทึกถึงความเจริญขึ้นมาอีกของเมืองหลายเมือง ในตำรากัลปนาใช้คำว่าจังหวัด มี ชื่อต่างๆรวม๑๔ชื่อ รวมทั้งสงขลาด้วย แต่อย่าเอาคำว่าจังหวัดในความเข้าใจในปัจจุบันเข้าไปตีความก็แล้วกัน  ยุคที่๕ อันเป็นสุดท้ายของยุคโบราณ หลังจากตาตุมะระหุ่ม (ดูคคห๔)เป็นเจ้าเมืองพัทลุงและตั้งเมืองพัทลุงอยู่ที่หัวเขาแดง ตรงนึ้แหละที่ผมยกประเด็นขึ้นมาว่า ที่พงศาวดารบันทึกไว้อย่างนั้นน่ะ ผิด เมืองที่หัวเขาแดงชื่อ Singor ตามภาษาของวิศวกรฝรั่งที่ไปทำงานที่นั่น เมืองพัทลุงตอนนั้นก็มี มีภาพผังเมืองด้วย ก็อยู่ในที่ตั้งของเมืองปัจจุบันนั่นแหละ และSingor ก็คือสิงขร สิงขรก็คือภูเขา ภูเขานั้นก็คือเขาแดงนั่นแหละ ไม่ใช่มาจากสิงโต แต่อย่าเหมารวมไปว่า  ก๊กของท่านสุลต่านสุลัยมานเป็นผู้ตั้งชื่อสงขรานี้  ชื่อเขามีมานานแล้ว พงศาวดารเขียนว่าสงขลามาก่อนหน้านั้นนานมาก แต่สะกดผิดกันไปหน่อย ซึ่งมันก็มิได้เลยเถิดถึงกับว่า เมืองสงขราและสงขลาเป็นคนละเมืองกัน ชื่อ-ตัวสะกด มันเพี้ยนกันได้ ทำไมจะไม่ได้ จากคุณ : Navarat.C - [ 14 ธ.ค. 51 12:14:57 ]

ความคิดเห็นที่ 85 “แถมใน พงศาวดารเมืองพัทลุง ที่เรากล่าวถึง ในความคิดเห็นที่ 75 ที่พูดถึง การย้่ายเมืองไปที่เขาหัวแดงปากน้ำ ก็ไม่ได้บอกว่า เมืองใหม่นี้ ว่าชื่ออะไร แต่บอกว่า จ้าเมืองพัทลุง มีเมืองจัตวา ๔ เมือง คือ เมืองปะเหลียน๑ เมืองจะนะ๑ เมืองเทพา๑ เมืองสงขลา ๑ แล้วมีวงเล็บว่า (เมืองสงขลานี้ เดิมเป็นเมืองด่านปากน้ำเมืองพัทลุง ก็ยิ่งแสดงว่า เมืองที่ชื่อ สงขลา มีมาก่อน เมืองที่เขาหัวแดง ด้วยเหตุผลหลักฐานที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ แสดงว่า ชื่อ สงขลา มีมาก่อน เมืองที่เขาหัวแดง อันมีชื่อว่า Singor สิงขร สิงขรา ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ ที่ชื่อ สงลา จะเพี้ยนไปจากชื่อเมืองที่เกิดหลังกว่า อย่างชัดเจน อย่างน้อยก็ ๒๕๔ปี และเป็นไปได้ที่อาจจะมากกว่า ๓๓๐ ปี” อ้าว จนบรรทัดนี้แล้วยังไม่รู้เลยหรือว่าเมือง เขาหัวแดงปากน้ำ กับเมืองด่านปากน้ำเมืองพัทลุงเป็นเมืองเดียวกัน ความเพี้ยนของภาษาเพียงเท่านี้  ยังสร้างความสับสนได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ อันนี้ขอยืมเอามาประกอบคำปรารภของผมหน่อยนะครับ  จขกท ต้องการเพียงให้เห็นว่าเมืองประเทศราชในพงศาวดารไทยมีเมืองสงขลาที่สะกด ล.ลิง ด้วย ซื่งผมก็ไม่ข้องใจในประเด็นนั้น แต่การอ่านพงศาวดารเราต้องเลือกที่จะเชื่อ หรือไม่เชื่อ อันบันทึกเรื่องราวอดีตที่ผ่านมาที่เรียกว่าประวัติศาสตร์นั้น ย่อมผิดเพี้ยนไปจากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นได้ตามแต่อคติ และอวิชชาของผู้บันทึกจะพาไป บางครั้งมันยากที่จะเขียนความจริงเพราะคนเขียนก็ไม่รู้ไปทั้งหมด ไม่เชื่อ คุณลองทำตัวเป็นนักประวัติศาสตร์แล้วบันทึกอุบัติการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองเราในปีสองปีที่ผ่านมาดูก็ได้ ฉะนั้นตำนาน หรือพงศาวดาร หรือประวัติศาสตร์จะมีเปอร์เซ็นต์ของความจริงต่างกัน แต่ละเรื่อง แต่ละประเด็นจะมีจริงปนเท็จ หรือเท็จปนจริง ที่คุณต้องใช้ปัญญาสกัดเอาเอง เช่นข้างล่างพระยาประเทศราชของเมืองที่ชื่อเป็นไทยๆก็ขนาดอำเภอในปัจจุบันเท่านั้น อย่างเก่งก็ขนาดอำเภอเมือง  ฉะนั้นความน่าเชื่อถือจึงมีมากกว่าความไม่น่าเชื่อถือ แต่เมืองชวา มะละกา ชวา ฯลฯ จนถึงเมาะลำเลิง เป็นมรดกทางความรู้ของผู้บันทึก ที่สืบมาจากสมัยศรีวิชัย ที่เมืองทั้งหลายข้างต้น ล้วนมีสัมพันธไมตรีกับทวาราวดีศรีอโยธยาในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ในสมัยของพระเจ้าอู่ทองคงไม่ถึงกับยอมเป็นประเทศราช อีกนิดนะครับ ความเชื่อมโยงของอารธรรมอินเดียในยุคศรีวิชัยนี้เองที่ทำให้เป็นทางผ่านของภาษาบาลีสันสกฤตจากเมาะตะมะ ทวาย ข้ามช่องเขาที่สังขละบุรีมาสยาม คำว่าสังขละก็มาจากสังขระ หรือรากของคำคือสิงขร ที่มอญรับเข้ามาด้วย ล.ลิงกับร.เรือ มันเพี้ยนกันได้ คนไทยสมัยนี้ยังพูดร.เรือเป็นล.ลิงกันเป็นส่วนใหญ่แล้ว ความรู้ ต้องสกัดเอานะครับ อย่ารับมาทั้งดุ้น แก้ไขเมื่อ 14 ธ.ค. 51 12:41:38 แก้ไขเมื่อ 14 ธ.ค. 51 12:18:53 จากคุณ : Navarat.C - [ 14 ธ.ค. 51 12:17:30 ]

ความคิดเห็นที่ 86 รูป จากคุณ : Navarat.C - [ 14 ธ.ค. 51 12:26:11 ]

ความคิดเห็นที่ 87 และในวิชาประวัติศาสตร์ ต้องเลือกเชื่อตำราประวัติศาสตร์นะครับอย่าไปเลือกเชื่อปูมโหร ถ้าอยากรู้เรื่องเนื้อคู่จึงค่อยฟังหมอดู แต่ก็อย่าเพิ่งเชื่อล่ะ   ผมอุตส่าห์ค้นบทวิชาการที่อาจารย์ใหญ่ทางวิชาประวัติศาสตร์ เขียนถึงเมือง๑๒นักษัตร มาแสดงว่าเมืองปีระกาคือ เมืองสะอุเลา นั้น ท่านศาสตราจารย์มานิต วัลลิโภดม ท่านวงเล็บไว้ว่า อยู่ในอำเภอท่าชนะเมืองไชยา  ผมเองก็ไม่เคยรู้จักเมืองที่นั่น แต่ก็บอกไว้ว่า ถ้าจริงตามนี้ เมืองสะอุเลาก็ห่างจากสงขลาในปัจจุบันไปประมาณสามร้อยกิโลเมตร ก็ยังไปสงสัยท่านอาจารย์อีกว่า “ทำไมจึงคิดว่า สะอุเลา อยู่ที่ ท่าชนะไชยา ส่วนเรา ได้บอกไว้แล้ว ในความคิดเห็นที่ 47 ว่า ทำไม สะอุเลา คือ สงขลา” ผมเห็นความคิดเห็นที่ 81 แล้วจึงหายงง อ้อมาจาก ปูมโหร นี่เอง ”จึงแน่ชัดว่า มีเมืองที่ชื่อ สงขลา มาอย่างน้อยก็ตั้งแต่ ปี  พ.ศ. ๑๘๙๓ จึงก่อนการสร้างเมืองที่เขาหัวแดง ๒๖๔ ปี( ๒๑๔๗ - ๑๘๙๓ = ๒๕๔ ปี ) หรืออาจจะก่อนนานมากกว่า ๒๕๔ ปี ตามปูมโหร ที่เกี่ยวข้องกับตำนานเมือง นครศรีธรรมราช ที่เอ่ยถึง ใน ความคิดเห็นที่ 47 โดยที่บอกชัดเจนว่า” จากคุณ : Navarat.C - [ 14 ธ.ค. 51 12:27:13 ]

ความคิดเห็นที่ 88 เลือกเชื่อนะครับ เลือกเชื่อ ท่านที่เข้ามาอ่านครับ ผมขอเปลี่ยนบรรยากาศนิดนึง ไปค้นweb ของสมาคมของคนที่มีความเชื่อว่าโลกแบน ไม่กลมอย่างที่กาลิเลโอออกมาเสนอข้อมูลใหม่ในเชิงวิทยาศาสตร์มาแล้ว  สมาคมนี้ตั้งโดยคนอังกฤษเมื่อสามร้อยห้าสิบกว่าปีแล้ว และมีผู้คนในประเทศอื่นๆเห็นด้วยจำนวนไม่น้อย ในที่สุดก็ไปเจริญในอเมริกาในระดับinternational ตอนที่นาซาเอารูปโลกที่ถ่ายจากอวกาศมาเผยแพร่ สมาชิกในสมาคมนี้ก็เหี่ยวไปเยอะ เป็นข่าวนานมาแล้วสมัยผมยังอยู่มหาวิทยาลัย แต่ก็มิได้หมดไป เข้าไปดูเห็นยังมีคนพยายามขุดค้นทฤษฏีและสมมติฐานแปลกๆออกมาค้านอีก และไม่ประหลาดที่สมาคมนี้จะยังมีสมาชิกใหม่ๆเพิ่มอยู่เรื่อยๆ ไม่สูญพันธ์ไปได้ ใครที่มีรสนิยมด้านนี้จะขอสมัครเป็นสมาชิกของเค้าบ้างก็ได้ ผมเอา link มาฝากไว้แล้ว http://theflatearthsociety.org/forum/index.php?PHPSESSID=2f6551e38f2a72a8f17759506f218538& จากคุณ : Navarat.C - [ 14 ธ.ค. 51 12:28:41 ]

ความคิดเห็นที่ 89 อย่าไปนอกเรื่อง เอาเรื่องโลกกลม โลกแบน เลย มันนอกประเด็น เพราะประเด็น สำคัญ ในกระทู้นี้ จขกท มั่นใจว่า ชื่อ สงขลา มาจาก สิงขร สิงขรา อย่างเดียว เท่านั้น ตามชื่อเมือง สิงขร (Singor)หรือ สิงขรา(Singora) โดยบอก ใน ความคิดเห็นที่ 9 ว่า>> สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากเอกสารนี้ก็คือ ๑ ชื่อเมือง ที่สมัยนั้นเรียกว่า สิงขร (Singor)หรือ สิงขรา(Singora) ซึ่งแปลว่าภูเขา และเขาดังกล่าวนี้คือเขาแดงนั่นเอง แม้ฝรั่งยังเรียกทับศัพท์แปลตรงๆว่าภูเขาสีแดงด้วยซ้ำ ดังนั้นแม้ต่อ มาคำนี้จะเพี้ยนไปเป็น สงขรา และ สงขลา ก็ดี รากเหง้าก็ต้องมาจากคำที่เรียกภูเขา ไม่ใช่มาจากคำว่าสิงห์ แล้วกลายมาเป็นสิงหนคร อันเป็นชื่อที่กิ่งอำเภอเขาแดงเดิมตั้งอยู่ เช่นที่พยายามยกเมฆมาอธิบายกัน<<< แต่เราก็หาหลักฐานยกมาให้เห็นแล้วว่า ชื่อ เมืองสงขลา ในภาษาไทย มีมาก่อนแล้ว ดังนั้น ชื่อเมืองคำว่า สงขลา จึงไม่ได้เพี้ยน ไปจากชื่อเมืองSingor ที่มีหลักฐาน ว่าชื่อนี้ มีทีหลัง จากคุณ : ธนิตา - [ 15 ธ.ค. 51 07:52:25 ]

ความคิดเห็นที่ 90 แวะมาเยี่ยมพร้อมด้วยของฝากครับ ลำดับเหตุกาณ์สำคัญเมืองสงขลา http://www.geocities.com/haadyai.history/TimeLineSongkhla.html จากคุณ : ขาJohn - [ 15 ธ.ค. 51 09:36:18 ]

ความคิดเห็นที่ 91 ตามมาอ่านอีกรอบค่ะ จากคุณ : ->บังเอิญไหมที่เราได้พบกัน<- - [ 15 ธ.ค. 51 14:50:15 ]

ความคิดเห็นที่ 92 เอ้า ไม่เข้าใจ ไม่เป็นไร อธิบายใหม่ “แต่เราก็หาหลักฐานยกมาให้เห็นแล้วว่า ชื่อ เมืองสงขลา ในภาษาไทย มีมาก่อนแล้ว ดังนั้น ชื่อเมืองคำว่า สงขลา จึงไม่ได้เพี้ยน ไปจากชื่อเมืองSingor ที่มีหลักฐาน ว่าชื่อนี้ มีทีหลัง” คนที่มีพื้นฐานทางประวัติศาสตร์ของไทย ตั้งแต่ยุคเริ่มก่อตั้งขึ้นมาเป็นอาณาจักร และราชอาณาจักรต่างๆตั้งแต่เหนือจดใต้ เขาก็เห็นคำว่าสงขลาจากเอกสารเดียวกันนี่แหละ โผล่มาคำเดียวแล้วก็หายไปเลย มาโผล่อีกทีก็สมัยสมเด็จพระนารารณ์แล้ว ก่อนหน้านั้น สมัยพระเจ้าปราสาททอง ฝรั่งฮอลันดาเขียนเรื่องสงขราไว้หลายหน้า ของไทยไม่ปรากฏสักประโยค  พงศาวดารไทยมีไม่กี่ฉบับให้ศึกษาหาอ่าน  นอกนั้นก็เป็น พวกตำนานพื้นบ้านบ้าง ปูมโหรอะไรนี่บ้าง อ่านไว้มันก็ดี แต่มีความจริงที่พิสูจน์ได้น้อย เอกสารของชาวยุโรป ถึงจะเขียนในมุมมองของเขา ก็สกัดความจริงออกมาได้มากกว่า   สรุป นักประวัติศาสตร์รู้ว่าว่าเมืองสงขราหัวเขาแดง มีอยู่มานานแล้วเป็นหลายร้อยปี ก่อนที่เดอ ลามาร์ จะมาทำผังเมืองแล้วระบุว่าชื่อ Singor  นายคนนี้ไม่ได้เป็นคนตั้งชื่อ เขาคงต้องถามชาวเมืองที่นั่นว่าเมืองชื่ออะไร ชาวเมืองก็เปล่งเสียงที่เขาฟังแล้วก็บันทึกเป็นภาษาของเขา คนฝรั่งเศสปัจจุบันอ่านออกเสียง ฟังแล้วเขียนเป็นภาษาไทยยุคปัจจุบันว่า ซิงกอร  ซึ่งถ้าตีความเปรียบเทียบกับเมืองอื่นๆในยุคศรีวิชัยที่มีชื่อตามอิทธิพลของบาลีสันสกฤตแล้ว คำดังกล่าวมาจากรากศัพท์ว่าสิงขร อันแปลว่าภูเขา ตรงกับที่ตั้งของเมือง คราวนี้มาดูทางภาษาไทยบ้าง คนที่เขียนพงศาวดารคงจะไม่ได้มีโอกาสนั่งเรือมาถามคนที่เขาแดงเหมือน เดอ ลามาร์ด้วยซ้ำ คงคัดต่อๆกันมาจากสมุดข่อยเดิมๆ ต้นฉบับเขียนยังไง สะกดยังไง  คนไทยยุคปัจจุบันอาจอ่านไม่ออกเสียด้วยซ้ำ อักขระวิธียุคโน้นก็ใกล้เคียงภาษาพ่อขุนราม ต้องแปลเป็นภาษาไทยยุครัชกาลที่๕อีกที แล้วทำไมคำว่าสงขลาจะเพี้ยนมาจากคำอื่นไม่ได้ ถ้าเพี้ยนมาจากสงขราก็นับว่าเพี้ยนน้อยที่สุด และสงขราก็เพี้ยนมาจากสิงขระน้อยที่สุด เอาตัวอย่างที่เพี้ยนหนักกว่านี้ก็ได้ ไม่ต้องยกไปไกล เอายุคสมัยของ เดอ ลามาร์ นี่แหละ ชาวเมืองเรียก เมืองคอนบ้าง นครบ้าง ฝรั่งเขียนว่า Ligor อ่านว่า ลิกอร์  พงศาวดารเขียนว่า นครศรีธรรมราช เอ้า   อยุธยา เพี้ยนมาจากชื่อเดิม อโยธยา  ฝรั่งเขียนว่า Yodia อ่านออกเสียงว่าโยเดีย   พงศาวดารเขียนว่า กรุงศรีอยุธยา เมืองเหล่านี้เป็นเมืองเดียวกัน ไม่ได้เกิดขึ้นตอนฝรั่งเข้ามา และที่ฝรั่งเขียนอย่างนั้นก็มิได้หมายความว่าฝรั่งประสงค์จะตั้งชื่อเมืองเสียใหม่ โดยไม่สนใจชื่อเมืองที่ชาวเมืองเขาเรียกกัน ดังนั้น นครศรีธรรมราช ย่อมไม่ได้เพี้ยนมาจาก Ligor แต่เพี้ยนมาจาก ภาษาท้องถิ่นเดิมๆที่เรียกกันหลายร้อยปีก่อนหน้านั้นว่านคร กรุงศรีอยุธยา ย่อมไม่ได้เพี้ยนมาจาก Yodia แต่เพี้ยนมาจาก ภาษาท้องถิ่นเดิมๆที่เรียกกันหลายร้อยปีก่อนก่อนหน้านั้นว่าอโยธยา ด้วยเหตุผลเดียวกัน สงขลาย่อมไม่ได้เพี้ยนมาจาก Singor แต่เพี้ยนมาจาก ภาษาท้องถิ่นเดิมๆที่เรียกกันหลายร้อยปีก่อนหน้านั้นว่าสิงขร จากคุณ : Navarat.C - [ 15 ธ.ค. 51 16:50:46 ]

ความคิดเห็นที่ 93 ขอบคุณค่ะ มีประโยชน์มากจริง ค่ะ จากคุณ : tiki_ทิกิ - [ 15 ธ.ค. 51 20:59:24 ]

ความคิดเห็นที่ 94 โหวตให้อีกค่ะ จากคุณ : tiki_ทิกิ - [ 15 ธ.ค. 51 21:12:00 ]

ความคิดเห็นที่ 95 ถกเถียงกันไม่ว่ากันครับ ผู้อ่านอย่างผมได้ความรู้เพียบเลย (ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นตัวเองแท้ๆ แต่ก็รู้ไม่เยอะเท่าไหรนิ) ฉะนั้น ขอโหวตให้กระทู้นี้ขอรับ จากคุณ : กุมารสยาม - [ 15 ธ.ค. 51 21:15:24 ]

ความคิดเห็นที่ 96 อ่านแล้วนึกถึงตอนมัธยมเลยค่ะ อาจารย์เล่าตำนานเมืองสงขลาให้ฟังทุกคาบ วิชาประวัติศาสตร์เมืองสงขลา และก้อประเด็นที่ถกเถียงในกระทู้นี้ก็น่าสนใจดี จากคุณ : หมูหันตัวอ้วนกลม - [ 16 ธ.ค. 51 00:40:50 ]

ความคิดเห็นที่ 97 เอ้อ ดีใจจริงๆ มีคนเข้ามาร่วมแจมแล้ว นึกว่ามีกันแค่สองคน ผมต้องบ้าแน่ๆ จากคุณ : Navarat.C - [ 16 ธ.ค. 51 01:00:34 ]

ความคิดเห็นที่ 98 เป็นกระทู้มีสาระมากเลยค่ะ ไม่ว่าความจริงคืออะไร ก็ได้ความรู้เพิ่ม จากคุณ : หลานสาวชาวนา - [ 16 ธ.ค. 51 03:40:28 ]

ความคิดเห็นที่ 99 ดีครับ ได้ความรู้เพิ่ม แต่รู้สึกว่า จขกท จะมีธงไว้แล้วนะครับ และมั่นใจมากด้วย .. แบบว่ายังไงชั้นก็ถูก แค่ความรู้สึกนะครับ จากคุณ : โดนยึด - [ 16 ธ.ค. 51 09:16:35 A:124.121.84.135 X: TicketID:196568 ]

ความคิดเห็นที่ 100 ใช่ครับคุณโดนยึด ในเชิงวิชาการ ต้องมีความมั่นใจในการนำเสนอ เพราะมีโอกาสจะโดนแจมจากคนประเภทที่เดาเข้ามาด้วยความรู้สึกมาก โดยเฉพาะในเวทีสาธารณะที่คนสามารถคิดดังๆผ่านinternetให้คนทั้งปวงอ่านได้โดยไม่เขิน ในเวทีนี้คนอ่านมีวัยวุฒิต่างกัน อาจจะเลือกเชื่อข้อมูลผิดๆ และอาจอ้างอิงกันต่อๆไป จนมีคนเชื่อว่าจริง  ยกตัวอย่างเมืองสะอุเลานี่แหละ ในพงศาวดารนครศรีธรรมราชเป็นเมืองเดียวที่เดายากว่าคือเมืองอะไรในปัจจุบัน นักโบราณคดียังไม่กล้าฟันธงมาช้านาน แต่หมอดูกล้า และเขียนเป็นปูมโหรว่าเป็นเมืองสงขลา คุณธนิตาไปอ่านเจอเข้า และไม่ทราบว่าในยุคใหม่ที่ไม่นานมานี้ ศาสตราจารย์มานิต วัลลิโภดมท่านสามารถหาหลักฐานมาระบุว่าอยู่ที่เมืองเทพา แต่เอกสารของท่านจะมีผู้อ่านในวงกว้างสักเท่าใด ดังนั้นจึงอาจจะยังมีผู้เชื่อว่าสะอุเลาคือสงขลาจากปูมโหรเล่มดังกล่าวอยู่พอสมควร ด้วยเหตุนี้ ผมจึงได้พยายามอธิบายต่อข้อซักถาม หรือซักค้านต่างๆของทุกท่านหากไม่ไร้สาระจนเกินไป เพราะเห็นว่าจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน ขอให้ใช้ภาษาที่แสดงความเคารพซึ่งกันและกันหน่อยจะได้มีกำลังใจอภิปรายด้วยดี อย่าใช้ภาษาห้องราชดำเนินเข้ามาก็แล้วกัน ผมไม่ถนัดที่จะเล่นด้วย ขอยอมแพ้ในกรณีย์นั้น จากคุณ : Navarat.C - [ 16 ธ.ค. 51 10:35:54 ]

ความคิดเห็นที่ 101 เข้ามาดีใจที่เป็นกระทู้แนะนำครับ.... จากคุณ : คนบ้านสามขา101ฯ. - [ 16 ธ.ค. 51 13:06:33 ]

ความคิดเห็นที่ 102 เป็นการเพี้ยนที่ออกจะยากต่อการออกเสียงอยู่สักหน่อย จากอิ เป็นโอะ จากคุณ : กะหล่ำปลีลวกกินกับขนมจีนน้ำยา - [ 16 ธ.ค. 51 13:31:57 ]

ความคิดเห็นที่ 103 ทำไมไม่คิดว่าคนจีนฮกเกี้ยนที่ปกครองสงขลา พูดคำว่าสิงขร หรือสิงโกลา เพี้ยนบ้าง สมัยรัชกาลที่หนึ่ง ที่ต้นตระกูล ณ สงขลา มากินบ้านกินเมืองส่งส่วยสาอากรให้กับ รัชกาลที่หนึ่ง ภาษาจีนแต้จิ้วเรียกว่า ซ้งคา ส่วนฮกเกี้ยนก็อ่านออกเสียงใกล้เคียงกัน พอเจ้าเมืองอ่านก็อ่านตามว่า สงขลา หรือคนภาคใต้อาจกร่อนเสียงจากคำว่า สิงโกลา เป็น สงขลา ก็เป็นไปได้ ส่วนกระทู้ข้างต้นเกี่ยวกับโจรสลัดจีนไต้หวัน น่าจะมีส่วนจริง เพราะบางตำนาน ของคนปัตตานีกล่าวว่า ลิ่มโต๊ะเคียม พี่ชายเจ้าแม่ลิ่มโกวเนี้ย เป็นโจรสลัด แตกทัพมาหลบภัยที่เมืองปัตตานี และแลกเปลี่ยนโดดการหล่อปืนใหญ่ให้ นอกจากจะมอบปืนใหญ่ประจำเรือให้ส่วนหนึ่งแล้ว ส่วนชาวบ้านละแกวสุสานเจ้าแม่ลิ้มโกวเนี้ย อยู่ใกล้กับมัสยิสกรือแซะ ที่ตำนาน กล่าวว่าสร้างสามครั้ง ฟ้าผ่าทำลายสิ้นสามครั้งจนสร้างไม่สำเร็จ และเจ้าแม่ก็ แขวนคอตายที่ใต้ต้นกาหยู (มะม่วงหินพานต์) ใกล้ ๆ กับ มัสยิศกรือแซะ ก็พึงพอใจไม่มีปัญหาอะไร (จากการวิจัยของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ฉบับหนึ่ง ถ้าจำไม่ผิดเพราะอ่านนานแล้ว) ในการฝังศพใกล้กับมัสยิศกรือแซะ ที่มีการฆ่ากันตายตอนสมัยนายกทักษิณ เพราะชาวบ้านแถวนั้นเห็นกันมา สมัยเด็ก ๆ คิดว่าเป็นลูกหลาน และก็เคยพบคนชื่อ อับดุลเล๊าะ แซ่ลิ้ม ยืนยันว่าตนเป็นรุ่นเหลนของลิ้มโต๊ะเคียม ที่ปัตตานี หน้าตาแบบคนจีนผสมแขก สมัยทำงานสินเชื่ออยู่ที่นั่นหลายปีก่อนกับธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง     และก็มีหลายคนยืนยันเช่นกันในเรื่องนี้ อนึ่ง มัสยิศกรือแซะ เพิ่งจะมีการรื้อฟื้นทำพิธีกรรมในช่วงหลัง เพราะก่อนหน้านี้ เป็นที่รกร้างว่างเปล่า เป็นสภานที่เลี้ยงวัวของชาวบ้าน และขึ้นทะเบียนไว้กับ กรมศิลปากร  ต่อมาประมาณสิบปีให้หลังจึงมีพวกวัยรุ่นหรือพวกชาตินิยม ไปทำพิธีกรรมในมัสยิศดังกล่าว เพราะอยากท้าทายว่าจะสร้างใหม่ดูว่าฟ้าจะผ่า จริงหรือไม่ แต่กรมศิลปากรห้ามไม่ให้ทำ เลยทำแค่หลังคาปิดพอทำพิธีเท่านั้น แต่ไม่ใข่คนมาจากพื้นที่ปัตตานีที่มาเริ่มพิธีกรรมแต่อย่างใด เพราะสอบถามจาก กลุ่มกรรมการอิสลามปัตตานี   หลายปีก่อนก็ยืนยันไว้เช่นนั้น ก่อนจะปล่อยเลยตามเลยจนถึงปัจจุบัน แก้ไขเมื่อ 16 ธ.ค. 51 19:46:29 แก้ไขเมื่อ 16 ธ.ค. 51 19:43:28 จากคุณ : คนซ่งคา (ravio) - [ 16 ธ.ค. 51 19:41:11 ]

ความคิดเห็นที่ 104 สงขลาเป็นเมืองที่น่าอยู่ นะ สงบเงียบ มีทั้งทะเล  ภูเขาล้อมรอบ ภูมิใจเกิดเป็นคนใต เป็นคนสงขลา เป็นคนสทิงพระ ... จากคุณ : ป้าข้างบ้าน (dark_endro) - [ 16 ธ.ค. 51 21:58:24 ]

ความคิดเห็นที่ 105 คุณคนซ่งคาครับ ความเห็นที่ยกมาว่าทำไมไม่คิดว่าคนจีนฮกเกี้ยนที่ปกครองสงขลา พูดคำว่าสิงขร หรือสิงโกลา เพี้ยนบ้าง ภาษาจีนแต้จิ้วเรียกว่า ซ้งคา ส่วนฮกเกี้ยนก็อ่านออกเสียงใกล้เคียงกัน พอเจ้าเมืองอ่าน ก็อ่านตามว่า สงขลา น่าสนใจครับ และผมอาจจะต่อให้อีกด้วยว่า เมื่อขุนนางจากเมืองหลวงมาตรวจราชการ เลยพลอยบันทึกชื่อเมืองเป็น สงขา โดยเปล่ยนให้อักขระวิธีเป็นไทยๆว่าสงขลา แต่ทั้งหมดถีอว่าเป็นแค่สมมุติฐาน(แปลว่าการเดา แต่เดาโดยมีหลักการ)นะครับ หลังอยุธยาแตกใหม่ๆ เราไม่เหลืออะไรเลย ก่อนหน้านั้นเมืองสงขราหัวเขาแดงก็สิ้นสภาพ อิทธิพลของเจ้าเมืองมุสลิมสูญสิ้น เกิดสูญญากาศทางการเมืองที่ให้คนจีนผู้มาใหม่และตั้งชุมชนอยู่ที่บ่อยาง เบ่งอิทธิพลขึ้นมาจนตั้งตนเป็นเจ้าเมืองแทนได้  ตัวเมืองเลยย้ายทำเลข้ามช่องแคบมาอยู่ที่เมืองปัจจุบัน ครั้นกองทัพพระเจ้าตากผ่านมา เจ้าเมืองคนจีนก็ฉลาดพอที่จะสวามิภักดิ์ อย่างน้อยก็กากี่นั้ง ชื่อเมืองๆนี้จึงถูกจดลงในจดหมายเหตุกรุงธนบุรีในตอนนั้นว่า สงขลา หลังจากที่ได้หลักฐานพงศาวดารมาใหม่และชำระกัน ก็ต้องบันทึกคำแปลภาษาโบราณในสมุดข่อย ด้วยภาษาปัจจุบันในสมัยนั้น เมืองที่คนเมืองเรียกว่าซ้งคา จึงถูกเขียนว่า สงขลา ด้วยประการฉนี้ (เฉกเช่น ปตานี เป็นปัตตานี พริบพรีเป็นเพชรบุรี ดาวอยเป็นทวาย มะลแหม่ง เป็นเมาะตะมะ ฯลฯ) สมมุติฐานเรื่องคนจีนที่มาหล่อปืนใหญ่ พญาปตานี เป็นโจรสลัดก็น่าสนใจครับ คนมีความรู้ด้านนี้ขนาดหล่อปืนเช่นนั้นได้ถ้าไม่ใช่คนของฮ่องเต้ ก็ต้องอยู่ฝ่ายตรงกันข้ามกับฮ่องเต้นั่นแหละ และก็เป็นไปได้ที่โจรสลัดจีนจะติดตามเรือพ่อค้าจีนที่ล่องเรือค้าขายในแถนนั้น แต่โจรสลัดที่หากินอยู่แถวใต้หวันจะมีขอบเขตมาถึงแถวนี้ ผมก็ยังเห็นว่ามันน่าจะไกลไปสักหน่อย นอกจากหลงน้ำ หรือหนีเตลิดเปิดเปิงมา ก็พอเชื่อได้อยู่ แต่ประเด็นที่มีรากเง่าทางภาษาจีนเหล่านี้ผมไม่มีความรู้เลย  รวมทั้งเรื่องอื่นๆที่เล่ามา ผมก็รู้น้อย จึงไม่อาจจะแลกเปลี่ยนความเห็นได้มากนัก ขออภัยที่สนองความเห็นได้เพียงเท่านี้ครับ จากคุณ : Navarat.C - [ 17 ธ.ค. 51 06:37:47 ]

ความคิดเห็นที่ 106 พึ่งมาเห็นกระทู้นี้ ชอบจังเลย อยากกลับบ้าน ทั้งๆที่อยู่มาตั้งแต่เล็กๆแต่กลับไม่เคยไปที่ป้อมเลย จากคุณ : Left side heart - [ 17 ธ.ค. 51 12:21:18 ]

ความคิดเห็นที่ 107 จากข้อความความเห็นที่ 45 "เก้าเส้ง" ซึ่งถ้าดาโต๊ะโมกอล เจ้าเมืองสาเลย์ อพยพมาสร้างป้อมที่หัวเขาแดงในปลาย คศ. 16 ช่วงนั้นก็น่าจะเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ ก๊กเส้ง( ฝรั่งสกดชื่อนี้ในหลายรูปแบบเช่น Cotsen, Quoysim, Cogseng, Coxiny) จอมสลัดจีนที่ต่อต้านราชวงมงโกลเรืองอำนาจอยู่ในทะเลจีนในขณะนั้น และเป็นผู้ที่ชิงคืนไต้หวันมาจาการปกครองของสเปน และชาวไต้หวันนับถือท่ายผู้นี้เป้นเทพเจ้า"เกาซุง" อยู่จนถึงปัจจุบัน ตั้งแต่ได้อ่านเรื่องเกี่ยวกับ ก๊กเส้ง จากหนังสือ Rascals in Paradise โดย Jams A. Michener ผมสงสัยมานานแล้วว่าชื่อ"เก้าเส้ง" ที่ชายหาดสงขลาน่าจะมีอะไรเกี่ยวของกับชื่อของจอมสลัดผู้นี้ หากมีหลักฐานอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้อยากจะของแบ่งปันข้อมูลความรู้ด้วยคน คำตอบของความเห็นที่ 46 (ภาพประกอบเก้าเส้ง หรือ หัวเขานายแรง) “ครั้งนั้นทางเมืองนครศรีธรรมราชกำหนดบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในเจดีย์ และจัดงานเฉลิมฉลองใหญ่โต บรรดา 12 หัวเมืองปักษ์ใต้ต่างก็นำเงินทองไปบรรจุในพระบรมธาตุ เมืองที่นายแรงเป็นเจ้าเมืองก็เป็นเมืองขึ้นนครศรีธรรมราชด้วย ประกอบกับนายแรงมีความศรัทธาในพุทธศาสนา จึงขนเงินทองเป็นจำนวนมากถึงเก้าแสนบรรทุกเรือสำเภา พร้อมด้วยไพร่พลออกเดินทางไปเมืองนครศรีธรรมราช ขณะกำลังเดินทางเรือสำเภาถูกคลื่นลมชำรุด จึงเข้าจอดเรือที่ชายฝั่งหาดทรายแห่งหนึ่ง เพื่อซ่อมแซมเรือ พอได้ทราบข่าวว่าทางเมืองนครศรีธรรมราชได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุเสร็จแล้ว นายแรงเสียใจมาก จึงให้ไพร่พลขนเงินทองบรรจุไว้บนยอดเขาลูกหนึ่ง สั่งให้ลูกเรือตัดหัวของตนไปวางไว้ที่ยอดเขา นายแรงกลั้นใจตาย ลูกเรือต้องจำใจตัดหัวเจ้านายไปวางไว้บนยอดเขาตามคำสั่ง เขาลูกนี้ภายหลังเรียกว่า “เขาเก้าแสน” เรียกเพี้ยนไปเป็น “เก้าเส้ง”ก้อนหินที่ปิดทับบนยอดเขาเรียกว่า“หัวนายแรง” ชาวบ้านเชื่อว่า ดวงวิญญานของนายแรงยังเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์มาจนทุกวันนี้” ขออนุญาตขยายความ คือ นายหัว คำเรียกคนใต้สำหรับ หัวหน้า คนรวย หรือ ยกย่อง ว่าเก่งกาจ และถ้าดูรูปตัวหัวเขานายแรง จะมีสภาพเหมือนลอย ๆ อยู่บนก้อนหินอีกลูกหนึ่ง  และมีช่องพอมือขนาดเล็ก ๆ ล้วงลงไปได้เพื่อหยิบเอาเงินที่ตามตำนานนายแรงได้ฝังเงินเก้าแสนไว้ใต้ก้อนหินนี้ ถ้าคนมีบุญหรือนายหัวกลับมาเกิดก็จะหยิบเงินที่ฝังไว้ไปทำบุญได้ตามประสงค์ ตอนเด็ก ๆ ผมก็เคยล้วงหยิบ แต่ระวังงูก่อนล้วงเข้าไปหยิบก็ไม่ถึง อยู่ค่อนข้างลึกมาก และชาวบ้านแถวนั้นเล่าว่า ทหารญิ่ปุ่น ตอนสงครามโลกครั้งที่สอง มีการยิงปืนใหญ่เรือถล่ม กะว่ามีสมบัติฝังอยู่ตามตำนาน ดูสภาพเขาลูกนี้ที่กร่อน เพราะระเบิดส่วนหนึ่ง บางลูกก็ด้านไม่ระเบิด เลยเอาสลิงลากให้กะว่าให้ขาดลงทะเลไปเลย จะได้หยิบเงินเก้าแสนได้ แต่ก็ไม่สำเร็จ ส่วนคำว่าแรง น่าจะมาขยายเช่น เจ้าที่แรง คำว่าแรง ภาษาใต้หมายความว่า อย่างมากมาย หรือแข็งแรง เหมือนป๋า Bird ร้องว่า อย่างแรง ๆ ๆ ๆ ส่วนคำว่าเก้าก็อย่างที่สันนิษฐาน จีนฮกเกี๊ยนที่ปกครองจีนสมัยก่อนพูดคำว่า เก้า ตรงกับภาษาไทย แต่คนว่าแสน คนจีนออกเสียงไม่ได้ก็เลยเป็นคำว่า เส้ง ในปัจจุบัน แก้ไขเมื่อ 17 ธ.ค. 51 16:36:28 จากคุณ : ravio - [ 17 ธ.ค. 51 16:36:10 ]

ความคิดเห็นที่ 108 ภาพหัวเขานายแรง (ไม่ผ่านตอนแรก) จากคุณ : ravio - [ 17 ธ.ค. 51 16:37:27 ]

ความคิดเห็นที่ 109 ขอบคุณสำหรับความรู้ค่ะ เป็นคนสงขลาแท้ ๆ ยังไม่ทราบข้อมูลพวกนี้เลย จากคุณ : latics1 - [ 17 ธ.ค. 51 17:21:59 ]

ความคิดเห็นที่ 110 มีหญิงสาวอกหักโดดทะเลตาย วันดีคืนดีก็มาปรากฎให้ผู้คนเห็น พร้อมกับเสียงเย็นยะเยือกว่า "พี่สงค์ขา" จากคุณ : น้องแนนแฟนคลับลำดับที่หนึ่ง - [ 18 ธ.ค. 51 01:25:33 ]

ความคิดเห็นที่ 111 เราก็สงขลา ไม่เคยรู้เหมือนกัน จากคุณ : snoopy21 - [ 18 ธ.ค. 51 08:51:54 ]

ความคิดเห็นที่ 112 ขอขยายความเพิ่มเติม  ที่ตัวเมืองสงขลามาตั้งที่ตำบลบ่อยางในปัจจุบัน คือการที่กลุ่มคนจีนฮกเกี้ยนต้นตระกูล ณ สงขลา ที่มาตั้งรกรากที่บ่อยาง ก็น่าจะมาจากชัยภูมิ หรือฮวงจุ๊ยในการรบส่วนหนึ่ง คือ ถ้าจำเป็นสามารถหนีลงทางทะเลได้อีกสองด้าน คือ ด้านไปจะนะ กับด้านไปทางเกาะยอ สามารถออกไปที่ทะเลน้อย (พัทลุง) ซึ่งมีคลองแยกย่อยอีกจำนวนมาก หรือถ้าทางบก ก็ไปหาดใหญ่ มีเขา/ป่าจำนวนมากล้อมรอบ ถ้าทางน้ำอีกเส้นก็เข้าคลองอีกหลายสายที่รอบตัวเมืองสงขลา เช่น คลองกำนัน คลองวง หรือเส้นทางคลองอู่ตะเภา ที่มาจากหาดใหญ่ ก็มีคลอง/สายน้ำเชื่อมหลายสาย และถ้าขับเรือไปเรื่อย ๆ ตามคลองอู่ตะเภาก็จะออกไปทะลุที่รัฐไทรบุรี (เคดาห์) ประเทศมาเลเซีย ซึ่งรัฐนี้จะมีการปลูกข้าวมาก เป็นรัฐอู่ข้าวอู่น้ำของประเทศมาเลเซีย โดยคนสยาม(คนไทยดั้งเดิม) เป็นชาวนาแถวนี้แต่รวยกว่าคนไทยในประเทศไทย เป็นรัฐหัวใจของประเทศมาเลเซีย เพราะปลูกรัฐนี้เลี้ยงคนประเทศมาเลเซียได้ทั้งประเทศ ซึ่งในหน้ามรสุมทางกลุ่มเจ้าเมืองก็สามารถสั่งซื้อข้าวได้จากทางไทรบุรี กับทางระโนด สทิงพระ เข้าทางทะเลน้อยไม่ต้องผจญภัยกับมรสุมส่วนหนึ่ง (ต้องอย่าลืมว่าสมัยก่อนการเดินทางทางน้ำเหมือนถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ สะดวกกว่าทางบกที่ต้องเสี่ยงผจญภัยกับสัตว์ร้าย ยุง แมลง หรือทางทุรกันดาร เทือกเขาสุงชัน แบกขนกันลำบาก) หลายปีก่อนหน้านี้  มีผู้ขุดพบเรือโบราณขนาดใหญ่ ที่คลองแงะ กับบ้านพุใกล้กับหาดใหญ่ ในแถบชายคลองอู่ตะเภา สอบถามคนเก่า ๆ ก็ทราบว่าสมัยก่อนลำน้ำกว้างใหญ่กว่านี้มาก ส่วนตัวคลองอู่ตะเภาเป็นคลองที่แปลกคือ ไหลจากทิศใต้ไปทิศเหนือ เพราะแม่น้ำในประเทศไทยโดยทั่วไปจะไหลจากทิศเหนือลงทิศใต้  ทำให้สมัยก่อนอำเภอหาดใหญ่ มีชื่อครั้งแรกว่า อำเภอเหนือ ส่วนคำว่า หาดใหญ่ มีพงศาวดารของรัชกาลที่สาม ตอนมาปราบกบฎไทรบุรี ใช้การรบโดยทางเรือไปที่ไทรบุรี เรียกว่า บ้านหาดใหญ่ เพราะสมัยก่อนมีหาดทรายใหญ่มากที่ด้านหลังที่ว่าการอำเภอหาดใหญ่ เป็นท่าเทียบเรือของคนสมัยก่อนที่ทำการค้าทางเรือ ชาวบ้านจะเรียกพวกมาค้าขายที่แถวสะพานข้ามคลองอู่ตะเภาหลังอำเภอว่าพวกเหนือมาแล้ว เรื่องนี้เคยถามนม (คนเฒ่าคนแก่ผู้หญิงที่นับถือมากในหมู่ลูกหลานจะเรียกแทนคำว่าแม่แก่ หรือ ย่า หรือ ย่าย แกเล่าว่าสมัยแกเด็ก ๆ ก็วิ่งเล่นเก็บหอยแถวหาดทรายใหญ่หลังที่ว่าการอำเภอหาดใหญ่ ตอนแกเล่าอายุกว่าแปดสิบแล้วแต่ความจำยังดีอยู่  บ้านแกอยู่แถวโล๊ะ (ดินที่คล้ายเกาะหรือมีน้ำเว้าเข้ามาเป็นแอ่งน้ำ อยู่หลังที่ทำการประปาหาดใหญ่ ใกล้ที่ว่าการอำเภอหาดใหญ่) ก่อนที่ปัจจุบันมีการถมคลอง หรือขุดทรายขายกันจนสิ้นสภาพไปในปัจจุบัน แต่ก็มีอีกตำนานทะลึ่งหน่อยที่เรียกว่า หาดใหญ่ เพราะตัวเมืองหาดใหญ่ ขนาบด้วยเทือกเขาสองด้าน ถ้าอากาศดี ๆ จะเห็นเทือกเขาที่รัตภูมิ หรือลองขึ้นไปบนเขาคอหงษ์ที่มีสวนอาหารกับพระพุทธรูป ก็จะเห็นทิวเขารัตภูมิ สภาพตัวเมืองหาดใหญเสมือนแอ่งกะทะอยู่ระหว่างเทือกเขาสองด้าน คือ ฝั่งคอหงษ์กับรัตภูมิ(แถวน้ำตกโตนงานช้างขึ้นไป) ตอนที่ขุนนิพัทธ์จีนนคร รับเหมาหาคนงานจากประเทศจีนมาช่วยทำรางรถไฟตัดผ่านอำเภอหาดใหญ่ พวกคนงานมองแล้วเกิดจินตนาการว่ามีสภาพเหมือนอวัยวะเพศ... ขนาดใหญ่เลยทะลึ่งเรียกว่า .ใหญ่ ภาษาจีนแคะหรือฮากกา มักจะพูดเล่นว่า หับย้อย ในการติดต่อกับคนจีนมาเลย์ของขุนนิพัทธ์จีนนคร (ชื่อถนนนิพัทธ์อุทิศ 1,2,3)ที่ใช้ภาษาอังกฤษกีเขียนว่า Haadyai หรือ hadyai จนกระทั่งนิยมเขียนในตอนนี้ว่า Hatyai ส่วนการรถไฟแห่งประเทศไทย สมัยก่อนคำย่อว่าหาดใหญ่ ก็จะใช้ว่าย่อว่า ห.ใ แทนคำว่า หญ. เพราะกลัวคนงานหรือชาวบ้านจะเรียกแล้วคิดมากว่าคุณนาย หญ. จากคุณ : ravio - [ 18 ธ.ค. 51 10:59:05 ]

ความคิดเห็นที่ 113 จากความคิดเห็นที่ 92 จขกท บอกว่า.... เอาตัวอย่างที่เพี้ยนหนักกว่านี้ก็ได้ ไม่ต้องยกไปไกล เอายุคสมัยของ เดอ ลามาร์ นี่แหละ ชาวเมืองเรียก เมืองคอนบ้าง นครบ้าง ฝรั่งเขียนว่า Ligor อ่านว่า ลิกอร์  พงศาวดารเขียนว่า นครศรีธรรมราช เอ้า   อยุธยา เพี้ยนมาจากชื่อเดิม อโยธยา  ฝรั่งเขียนว่า Yodia อ่านออกเสียงว่าโยเดีย   พงศาวดารเขียนว่า กรุงศรีอยุธยา เมืองเหล่านี้เป็นเมืองเดียวกัน ไม่ได้เกิดขึ้นตอนฝรั่งเข้ามา และที่ฝรั่งเขียนอย่างนั้นก็มิได้หมายความว่าฝรั่งประสงค์จะตั้งชื่อเมือง เสียใหม่ โดยไม่สนใจชื่อเมืองที่ชาวเมืองเขาเรียกกัน ดังนั้น นครศรีธรรมราช ย่อมไม่ได้เพี้ยนมาจาก Ligor แต่เพี้ยนมาจาก ภาษาท้องถิ่นเดิมๆที่เรียกกันหลายร้อยปีก่อนหน้านั้นว่านคร กรุงศรีอยุธยา ย่อมไม่ได้เพี้ยนมาจาก Yodia แต่เพี้ยนมาจาก ภาษาท้องถิ่นเดิมๆที่เรียกกันหลายร้อยปีก่อนก่อนหน้านั้นว่าอโยธยา  ด้วยเหตุผลเดียวกัน สงขลาย่อมไม่ได้เพี้ยนมาจาก Singor แต่เพี้ยนมาจาก ภาษาท้องถิ่นเดิมๆที่เรียกกันหลายร้อยปีก่อนหน้านั้นว่าสิงขร ............ ก็ขอบอกว่า เพราะว่าฝ่ายไทยเรามีตำนาน มีพงศาวดาร ว่า เมืองคอน เมืองโยเดีย ชื่อว่าอะไร เราจึงไม่ได้ไปคิดเชื่อตามฝรั่งหรือคนต่างชาติเขา ด้วยเหตุผลเดียวกัน เราก็มี ตำนาน มี พงศาวดาร มีปูมโหร อยู่แล้ว ว่า มีเมืองที่ชื่อ สงขลา อยู่ เราก็จึงไม่ควรไปคิดว่า สงขลา เพี้ยนไปจาก สิงขร สิงขรา ตามคนต่างชาติเขา แล้วการที่ จขกท บอกว่า ...Singor แต่เพี้ยนมาจาก ภาษาท้องถิ่นเดิมๆที่เรียกกันหลายร้อยปีก่อนหน้านั้นว่าสิงขร ... ก็ขอบอกว่า จนกระทั่งบัดนี้ จขกท ยังไม่ได้อ้างหลักฐานมาแสดงให้เห็น เลยว่า คนในท้องถิ่นเดิมเรียกเมืองหรือบริเวณใกล้เคียงว่า สิงขร เลย แล้วจะไปบอกว่า Singor เพี้ยน มาจาก สิงขร ได้อย่างไรกัน เป็นธรรมดา คนเราย่อมคิดเห็นต่างกัน แต่ละคนก็มีเหตุผลต่างกัน จขกท จึงไม่ควรที่จะไปว่า คนอื่นที่เขาคิดว่ามาจาก สิงห์ โดย คคห ที่ ๙ จขกท ว่าพวกเขาว่า ... เช่นที่พยายามยกเมฆมาอธิบายกัน......เพราะคนหนึ่ง ที่คิดว่า มาจากคำว่า สิง ก็คือ รัชกาลที่ ๕ องค์พระปิยมหาราช ของพวกเรา เราเองไม่ได้คิดว่า สงขลา เพี้ยนมาจากคำไหน เพราะคำนี้ มีในพงศาวดาร อย่างน้อยก็ราว ๒๕๐ ปี ก่อนที่ต่างชาติจะบันทึกคำ Singor สิงขร เราจึงคิดว่า สงขลา เป็นภาษาขอมหรือเขมร ที่แปลว่า ดงเสือ เช่นเดียวกับ บริเวณใกล้เคียงที่เรียกว่า สทิงพระ อันเป็นภาษาขอมหรือเขมร ที่แปลว่า คลองพระ เช่นกันนะ จากคุณ : ธนิตา - [ 18 ธ.ค. 51 11:21:53 ]

ความคิดเห็นที่ 114 ขยายความความเห็นที่ 113 ถ้าคุณนั่งเรือจากอ่าวไทยก่อนเข้าตัวเมืองสงขลา จะเห็นเกาะหนู เกาแมว อยู่ข้างหน้า ตัวเมืองสงขลา สามารถสร้างจินตนาการว่า เป็นสิงห์สองตัวหมอบ เฝ้าอยู่บนท้องทะเล และทางเข้าเมืองสงขลา ดังนั้น ชาวเรือเวลาเดินเรือก็จะหมายตาหรือลงปูมเรือ ว่าจุดสังเกตทางเข้าตัวเมืองสงขลา คือ จุดที่มีทางเข้าเมืองที่มีสิงห์หมอบอยู่สองตัว จึงตั้งชื่อว่า ซิงกอลา สิงขร หรือ สิงหปุระ ในอีกชื่อหนึ่ง ต้องขอโทษด้วย จำไม่ได้ว่าอ่านเจอในหนังสือเล่มไหน เพราะนานมามากแล้ว และก็ขอสันนิษฐานว่า กลุ่มต้นสกุล ณ สงขลา ซึ่งเป็นกลุ่มจีนฮกเกี้ยนมาสร้างบ้านแปลงเมือง เก็บภาษีอากร หลังจากกลุ่มมุสลิมหมดอำนาจและย้ายไป อยู่แถวพัทลุง ระโนด (เดินทางติดต่อกันสะดวกทีสุดทาง ทะเลน้อย เหมือนเมืองเดียวกัน เช่น เดียวกับ นายวีระ มุกสิกพงศ์ เป็นคนระโนด แต่ไปเรียนหนังสือที่พัทลุง เพราะเดินทางด้วยเรือ สมัยก่อนใช้เวลาไม่เกิน สาม-หกชั่วโมง แต่ถ้ามาสงขลาใช้เวลา เป็นวัน และหน้ามรสุมทะเลจะมีคลืนสูงสองถึงสามเมตร เดินทาง ไม่ได้เลย  สมัยที่ยังไม่มีทางรถยนต์หรือถ้ามีก็ลำบากกว่านี้มาก) กลุ่มคนจีนฮกเกี้ยนจะออกเสียงภาษาไทยเพี้ยนจากคำว่า สิงขร เป็น ซ่งคา แล้วลากมาเป็น สงขลา  ให้ถูกไวยกรณ์ศัพท์/ความหมาย อย่าลืมประวัติศาสตร์ว่า เจ้าเมืองสมัยก่อนมีอำนาจราชศักดิ์มากกว่า นี้  และมีจารึกภาษาจีนที่อยู่ในโรงพยาบาลประสาทสงขลา ก็เขียน เป็นภาษาจีน มีผู้แปลอ่านว่า ซ่งคา ในภาษาจีนฮกเกี้ยน จารึกนี้ยังมี อยู่ เช่นเดียวกับ ฮวงจุ๊ยของต้นสกุล ณ สงขลา จะอยู่ที่หัวเขาเขียว ติดกับวัดสุวรรณคีรี (ต้นสกุล ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี) ลงเรือไปได้ ที่ว่าการไปรษณีย์อำเภอเมืองสงขลา ที่ฮวงจุ๊ยก็จะมีการทำแบบ ฮวงจุ๊ยเป็นภาษาจีน แบบจีน อยู่ปะปนกับกลุ่มคนมุสลิมบ้านครัว ที่สร้างบ้านเรือนบังทิศทางฮวงจุ๊ยหมดแล้ว  ชาวบ้านก็ใช้เป็นสถานที่ พักผ่อน หรือตากเสื้อผ้าข้าวของ กับเลี้ยงแพะ กันบนฮวงจุ๊ย แห่งนี้ แก้ไขเมื่อ 18 ธ.ค. 51 12:22:29 จากคุณ : ravio - [ 18 ธ.ค. 51 11:59:17 ]

ความคิดเห็นที่ 115 ภาพเกาะหนู เกาะแมว มองจากตัวเมือง(ตำบลบ่อยาง) หน้าโรงแรมหรือชายหาดแหลมสมิหลา ใกล้กับที่ศาลากลางจังหวัดสงขลา จากคุณ : ravio - [ 18 ธ.ค. 51 12:06:23 ]

ความคิดเห็นที่ 116 จากความคิดเห็นที่ 113 ของคุณธนิตา ที่ได้กล่าวตำหนิการใช้คำพูดของผม แต่ยกตัวอย่างล้ำเข้าไปในขอบเขตที่ผมนึกไม่ถึงมาก่อนว่า จะถูกดึงให้ต่ำลงมาในกระทู้เช่นนี้ แม้มิได้ตั้งใจที่จะหมายความให้เกินเลยไปกว่าการวิพากษ์ต่อคำอธิบายของทางราชการ ในการตั้งชื่อกิ่งอำเภอขึ้นใหม่ที่บริเวณหัวเขาแดงในครั้งนั้นว่า สิงหนคร ผมขอถอนคำวิพากษ์ดังกล่าวนั้นในบัดนี้ และขอแสดงความรับผิด ด้วยการยุติที่จะแสดงความเห็นต่อไปในกระทู้อีก จากคุณ : Navarat.C - [ 18 ธ.ค. 51 23:54:18 ]

ความคิดเห็นที่ 117 คุณ ravio ครับ สมัยที่ผมเรียนอยู่ อาจารย์เคยเล่าให้ฟังว่าชื่อ เมืองหาดใหญ่มีที่มา คือ ในหาดใหญ่ในที่เป็นที่ตั้งของ ที่ว่าการอำเภอ และสถานีตำรวจ และคลองอู่ตะเภา จะมีต้นไม้ชื่อ ต้นหาด และ มันมีลำต้นที่ใหญ่ด้วย เค้าจึงเอาชื่อมาตั้งว่า หาดใหญ๋ เพราะมีต้นหาดที่ริมคลองอู่ตะเภาที่ใหญ่นั่นเอง ผมชอบกระทู้นี้มากครับ เนื่องจากเป็นคนสงขลาคนหนึ่ง ภูมิใจที่ได้เกิดเป็นคนใต้และคนสงขลาครับ เนี่ยแหล่ะครับประวัติศาสตร์มันต้องมาแชร์กัน ใครมีทฤษฎีอะไรก็มาหักล้างกัน ดีกว่าอยู่เฉย ๆ ครับ จากคุณ : Oleg - [ 19 ธ.ค. 51 13:13:48 ]

ความคิดเห็นที่ 118 ถกเถียงกันได้แบบว่า...ไม่รู้ซิ...คิดว่าใส่อารมณ์กันหน่อยๆ ละมั้ง...ที่จริงความรู้เกี่ยวกับเมืองสงขลาเลือนลางเต็มที่ เพราะอ่านมาตั้งแต่สมัยม.ต้น แต่ว่าที่มีการถกกันว่า เมืองสะอุเลา นั้นอาจจะเป็นสงขลาในปัจจุบัน ตามที่อ่านมา เมืองสะอุเลา คือเมื่อท่าทอง ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี เพราะมีหลักฐานเป็นโบราณวัตถุที่ถูกพบที่นั่น ส่วนข้อมูลอื่นๆ ไม่มีอะไรจะถกด้วย เพราะลืมไปแล้ว -*- แต่ถ้าอยากจะได้ข้อมูลที่ชัดเจน ขอแนะนำ สถาบันทักษิณคดีศึกษา ที่สงขลา ที่นั่นผู้รู้เพียบ จากคุณ : ชานมผสมโกโก้ (พายุสีเงิน) - [ 19 ธ.ค. 51 17:23:38 ]

ความคิดเห็นที่ 119 ตอบความเห็นที่ 117 ครับ เรื่องต้นมะหาดขนาดใหญ่ที่ขึ้นอยู่ริมคลองอู่ตะเภา ก็มีส่วนหนึ่งแต่ก่อนหน้านี้ก็มีอยู่หลายต้น แต่ถูกตัดทำลายไปมากแล้ว และเป็นที่มาของชื่อหาดใหญ่ ก็เป็นตำนานส่วนหนึ่ง ส่วนต้นมะหาด  จะมีลักษณะไหนให้มาดูได้ที่ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ ซึ่งปลูกอยู่เป็นสัญญลักษณ์ประจำของมหาวิทยาลัยหาดใหญ่ แต่ในพงศาวดารของรัชกาลที่สาม  ที่มาปราบกบฎไทรบุรี ก็มีการระบุถึง บ้านหาดใหญ่  ซึ่งน่าจะมีชื่อมาก่อนหน้านี้ และตามประวัติเดิมที่บ้านหาดใหญ่มีคนอยุ่อาศัยจำนวนน้อยมาก เพราะสภาพดินเป็นดินพุ มีต้นเสม็ดขึ้นมาก เหมือนที่ตั้งสถานีรถไฟหาดใหญ่จะมีชื่อเดิมว่าโคกสเม็ดชุม ทำให้การปลุกพืชไร่พืชสวนไม่ค่อยจะได้ผลเท่าที่ควร และสภาพเดิมของเมืองหาดใหญ่ สมัยก่อนทุกปีจะมีน้ำท่วมเป็นประจำ แต่ท่วมช่วงสั้น ๆ ก่อนจะมีการขุดคูขุดคลองระบายน้ำออกไปโดยเร็ว สมัยผมเด็ก ๆ ก็ได้เล่นน้ำท่วมเกือบทุกปี เพราะอย่างที่เขียนไว้ข้างต้นว่า สภาพตัวเมืองหาดใหญ่ เหมือนแอ่งกะทะขนาดใหญ่ จากที่ได้สอบถามคนเก่าแก่/หนังสือที่เขียนเกี่ยวกับเมืองหาดใหญ่ ก็พอสรุปได้ว่า ก่อนหน้านี้ทางอำเภอให้คนมาปักหลักเขตทำมาหากินเพื่อออกตราจองที่ดิน(โฉนดที่ดิน) โดยต้องเข้ามาครอบครองและทำประโยชน์เกินกว่าสามปีขึ้นไป ก็มีคนมาปักหลักทำประโยชน์น้อยมาก เพราะแรงงานหายากส่วนหนึ่ง และที่ดินมีสภาพดินเปรี้ยวหรือเค็ม ปลุกพืชผลไม่ค่อยได้ผล แต่ตระกูล ขุนนิพัทธ์จีนนคร ชีกิมหยง พระเสน่หามนตรี ผ่องสุวรรณ  ในสมัยก่อนก็มีที่ดินจำนวนมาก ก่อนทะยอยขายไปจนร่อยหรอในปัจจุบัน ก็มาจากการปักหลักเขตทำมาหากินในสมัยก่อนมากกว่าเจ็ดสิบแปดสิบปีแล้ว ซึ่งกลุ่มตระกูลข้างต้นนี้บางคนก็ปลูกพืชล้มลุก เช่น พวกถั่ว พวกมัน หรือแทนที่จะปลูกพืชไร่ ก็ทำเป็นอาคารห้องแถว หรือตลาดให้เช่า ก็ถือว่ามีการครอบครองทำประโยชน์แล้วส่วนหนึ่ง  ทำให้ได้ที่ดินไปจำนวนมากเช่น คุณพระเสน่หามนตรี  ที่เป็นนายอำเภอเก่าของหาดใหญ่ ส่วนหาดทรายใหญ่ข้างที่ว่าการอำเภอหาดใหญ่ สมัยเด็กๆ ผมก็เคยไปนั่งเล่นแถวนั้นอยู่เยื้องกับวัดท่าเคียน(ปัจจุบัน) ก็สามารถสอบถามคนดั้งเดิมแถวนั้นได้ เป็นท่าทรายขนาดใหญ่ เป็นที่ขึ้นลงเล่นน้ำของเด็ก ๆ และชาวบ้านแถวนั้นนำเรือมาจอดก่อนนำของไปขายบนบก อยู่ใกล้กับสะพานข้ามคลองอู่ตะเภาอีกเส้นที่มาจากอุโมงค์ลอดรางรถไฟในปัจจุบัน ในสมัยก่อนจะมีรางรถไฟให้รถไฟมาเติมน้ำใกล้ ๆ กับท่าทรายที่นั่น มีบ่อน้ำที่ขุดลงไปข้างแม่น้ำ เพื่อสูบน้ำดิบมาเติมหัวรถจักรไอน้ำสมัยก่อนที่ใช้ไม้ฟืนต้มหม้อน้ำให้เดือดเพื่อใช้ไอน้ำไปดันรถไฟให้วิ่งได้ ตอนนี้ยังมีอยู่แต่ถูกชาวบ้านแย่งสิทธิ์และไปครอบครองแล้ว  และจะมีผู้สร้างบ้านและทำสถานที่กองทรายใกล้ ๆ ทำธุรกิจเรือดูดทราย  ขนทรายที่ขุดจากคลองอู่ตะเภามาขาย ผู้ลงทุนเป็นปลัดอำเภอหาดใหญ่ ในช่วงสมัยหนึ่งนามสกุลวัชรพันธุ์  ซึ่งมีหลานเคยสมัยสส.พรรคไทยรักไทย ชื่อ สัญญา วัชรพันธุ์  และลูกชายของปลัดอำเภอที่นามสกุล วัชรพันธุ์ ก็ยืนยันและเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง(ขอสงวนชื่อเพราะไม่ใช่บุคคลสาธารณะ และเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยรัฐแห่งหนึ่ง) แก้ไขเมื่อ 20 ธ.ค. 51 09:52:45 จากคุณ : ravio - [ 20 ธ.ค. 51 09:14:01 ]

ความคิดเห็นที่ 120 อ่ะ เข้ามาอ่านแล้วเห็นพูดกันถึงการเพี้ยนของชื่อกับจารึกอะไรต่อมิอะไร ขอแสดงความคิดเห็นในกรณีที่เคยเห็นมากับตาถึงความผิดเพี้ยนของถ้อยคำนะค่ะ คำว่าสงขลาอาจจะมาจากคำอื่นหรือไม่ ต้องถามตำนานพงศาวดารของคนถิ่นใต้ว่าเดิมเขาเรียกว่าอะไร อย่าอ้างอิงกับคนภาคกลางหรือคนภาคอื่น เพราะเวลาคนเราจดบันทึกอะไรหรือเรียกอะไรสักอย่างมักจะมาจากความคุ้นชินของภาษาแม่ค่ะ ที่บ้านดิฉันตานามสกุล อินทนนท์ แต่พี่ชายของตา ได้นามสกุลเป็น อินต๊ะนันท์ นนท์เพี้ยนไปเป็นนันท์ได้ยังไง เพราะที่เหลืออีกสองคนของน้องชายตา ได้นามสกุลเป็นอินต๊ะนนท์ นี่ยังใกล้เคียงกัน จวบจนปัจจุบันนี้ ดิฉันไม่แน่ใจว่าญาติโกโหติกาของตัวเองจะรู้จักกันไหม ดิฉันได้รับการบอกเล่ามาจากยายว่า ต้นตระกูลของตามาจากน่าน ได้นามสกุลมาได้ยังไงไม่รู้ว่า อินทนนท์ ไม่รู้ว่าต้นตระกูลไปเกี่ยวอะไรกับยอดดอยที่สูงที่สุดของประเทศไทย สมัยนั้นสกุลต่างๆ มีนามสกุลแต่ไม่ได้มีทะเบียนบ้านเป็นที่แน่ชัด น่าจะประมาณสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่สองจบไปไม่นาน มีการจัดทำทะเบียนบ้านให้ชาวบ้านในเขตภาคเหนือ ยายบอกว่าคนที่มาสอบประวัติเป็นคนภาคกลาง เป็นข้าราชการ เขาไม่ค่อยเข้าใจคนเหนือพูด นามสกุลของตาทวด เลยเพี้ยนออกไปสามแบบ ตามที่คนฟังเข้าใจและจดเทียบเอาเองไม่มีใครเป็นล่ามให้ จะไม่แปลกถ้าเมืองสงขลาจะกลายพันธุ์มาจากคำอื่น และที่สำคัญคือไม่มีใครมีเอกสารเป็นลายลักษณ์อักษรย้อนไปถึงที่มาที่ไปของจังหวัดนี้ นักวิชาการคือผู้ที่คาดเดาไม่ใช่ผู้ที่ถูกต้อง ดีที่สุดอย่าเชื่อว่ามันคือที่สุดอะไรก็เป็นไปได้ เหมือนชื่อจังหวัดลำพูน ถ้าอีกหน่อยจารึกประวัติศาสตร์หาย คนเหนือรุ่นเก่าๆ ตายไปหมด เด็กรุ่นใหม่คงไม่รู้ว่าเดิมทีเขาเรียกว่า หละปูน การเข้ามาครอบของชนต่างถิ่นคือส่วนสำคัญของวิวัฒนาการทางภาษา ยิ่งกรณีที่สงขลาเป็นเมืองเล็ก พอถูกคนต่างถิ่นขึ้นเรือมาครอบครองเสียยังงั้น จำนวนคนส่วนน้อยที่เป็นเจ้าของพื้นที่เดิมอาจจะถูกกลืนวัฒนธรรมไป เหมือนที่คนในเชียงใหม่ปัจจุบันเป็นคนต่างถิ่นต่างภาษา 40% ไปแล้ว อีกหน่อยถ้าไม่เหลือหลักฐานไว้ ภาษาล้านนาสูญหาย นักวิชาการในอนาคตอาจจะเดามั่วก็ได้ว่าชื่อเชียงใหม่มันมาได้ยังไง ส่วนการเขียนของฝรั่ง singor ไม่น่าจะอ่านสิงขรได้ หรือเขาเขียนตามชาติอื่น ถ้าเขาเขียนตามภาษาบาลีก็ไม่แน่ ยิ่งชาวฝรั่งเศสเขียน singor ตัวอาร์ ไม่น่าจะเป็นตัวสะกด อันนี้เป็นข้อคิดเห็นนะค่ะ เพราะไม่รู้ว่า คนเขียนเขาเขียนตามชื่อที่มีคนบอก หรือเขาเขียนเทียบเสียงจากที่เขาได้ยิน ถ้าเขาเขียนเทียบเสียงจากที่เขาได้ยิน เราคงต้องถามอาจารย์ภาษาฝรั่งเศสค่ะว่ามันออกเสียงยังไง จากคุณ : sugarhut - [ 21 ธ.ค. 51 00:27:04 ]

ความคิดเห็นที่ 121 ใจเย็นๆ นะครับ ยิ่งอ่านตอนหลังๆ ยิ่งไปกันใหญ่ จขกท  ใจเย็นๆ แล้วกลับมาคุยกันใหม่ครับ จากคุณ : BIZZARE - [ 21 ธ.ค. 51 16:57:57 ]

ความคิดเห็นที่ 122 ขอขอบคุณ คุณ Navarat.C ครับ (หวังว่า คงจะกลับมาอ่านนะ อิอิ) ที่นำข้อมูลดีๆ มาให้ได้รับรู้กัน ถ้าพูดในเชิง "คำเพี้ยน" ผมมองว่า เป็นไปได้ครับ ที่ สงขลา และ Singor "จะมีที่มาจากคำเดียวกัน" คือ Sikhara (sikhar) หรือ สิงขร เพราะ ตัว ร-ล เพี้ยนกันไปมาได้ง่ายมาก และอาจเป็นไปได้ว่า ชื่อเมืองนี้ ถูกตั้งตามภาษาสันสกฤต โดยยึดเอาชัยภูมิที่มีภูเขา ส่วนคำว่า สงขลา นั้น ก็อาจถูกบันทึกตาม "หู" ของคนอยุธยา ในเอกสารต่างชาติ ก็อาจเขียนชื่อตามคำบอกเล่าของพ่อค้ามาเลย์ พ่อค้าเปอร์เซีย มาอีกต่อหนึ่ง (ที่ควรค้นต่อไปคือ เอกสารอาหรับ-เปอร์เซีย หรือ ฝรั่งเอง เรียกสงขลาไว้ว่าอย่างไรบ้าง ... อันนี้ควรหามาเปรียบเทียบด้วยครับ) อย่างไรก็ตาม ผมเคยเห็นแผนที่เมืองท่าในหนังสือภาพไตรภูมิ (ทำขึ้นสมัยอยุธยาตอนปลาย) มีเมืองสองเมืองที่น่าสนใจคือ ชิคราม สงขลา ถ้า ชิคราม เพี้ยนมาจาก จิการัม (cikaram เรียกตาม ภาษาทมิฬ) หรือ ตรงกับ ศิขร (s'ikhara เรียกตามภาษาสันสกฤต)  ก็ตัดปัญหาไปได้ครับว่า "Singor" ในแผนที่ฝรั่ง ไม่ได้หมายถึงเมืองสงขลา (สมัยอยุธยาตอนปลาย) แต่หมายถึงเมืองอีกเมืองที่อยู่เหนือขึ้นไปใกล้ๆ กัน ผมก็ยังเก็บเป็นความสงสัยต่อไปครับ เพราะมันยังไม่ชัดที่จะฟันธง ว่าสงขลา เพี้ยนมาจากสิงขร (แต่มีความเป็นไปได้ในเชิงเสียงเีพี้ยน) แต่ก็ดีที่ได้ทราบข้อมูลจากผังเมืองที่ฝรั่งเศสทำครับ ========================= ส่วนเรื่องตำนานเกี่ยวกับเมืองสิบสองนักษัตรนั้น มีจุดอ่อนเรื่องอายุที่แต่งครับ น่าสนใจมากที่ ส (ะอุเ) ลา อาจเขียนเพี้ยนมาจาก ส (งข) ลา เนื่องจากอักษรลบเลือน แต่ปัญหาคือ เราไม่ทราบอายุของข้อมูลว่าแต่งสมัยไหน เพราะเป็นงานที่คัดลอก แต่งเติมต่อๆ กันมา เรื่องรายชื่อเมืองประเทศราชของอยุธยา ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ผมก็ยังเก็บเป็นความสงสัยส่วนตัวอยู่ครับ เนื่องจาก พงศาวดารกรุงศรีอยุธยาทุกฉบับเขียนเหมือนกันว่า สงขลา เป็นหนึ่งในสิบหกเมืองประเทศราชของอยุธยา "แต่" มีเพียงฉบับเดียวคือ "ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์" ที่ไม่ปรากฎรายชื่อประเทศราชเหล่านี้เลย ประเด็นก็คือ อายุของข้อมูลของฉบับหลวงประเสริฐฯ นี้ ถือได้ว่าเก่าแก่กว่า พงศาวดารกรุงศรีอยุธยาทุกฉบับ แถม ฉบับหลวงประเสริฐฯ ยังมีเล่าเรื่องก่อนสถาปนากรุงศรีอยุธยาอีกด้วย ดังนั้น ผมจึงเก็บเป็นความสงสัยส่วนตัวว่า พงศาวดารฉบับหลังๆ ได้มีการชำระ ตัด แต่ง แก้ เติม ข้อมูล (ซึ่งอาจมีทั้งที่ตกหล่น หรือ เติมให้อยุธยาดูยิ่งใหญ่) โดยเฉพาะเรื่องประเทศราช ดังนั้น ถ้าพงศาวดารถูกชำระ สมัยพระนารายณ์ ชื่อ ประเทศราช ก็เป็นนามเรียกขานของอยุธยาสมัยพระรายณ์ (ซึ่งสมัยต้นอยุธยา อาจไม่ได้เรียกสงขลาว่า สงขลา ก็ได้เหมือน) แต่เรื่องเป็นเมืองเก่า ที่เพี้ยนมาจากคำเขมรนี้ ก็น่ารับฟังครับ เพราะมีเมืองสะทิงพระ เป็นพยานอยู่อีกราย ผมเกรงว่า ที่เถียงกันนี้ จะกลับกลายเป็นว่า มีเมืองสองเมืองอยู่ใกล้ๆ กัน อีกเมืองชื่อ สิงขร อีกเมืองชื่อ สงขลา ... ========================= ความคิดเห็นที่ 120 ส่วนการเขียนของฝรั่ง singor ไม่น่าจะอ่านสิงขรได้ ... ถ้าเขาเขียนเทียบเสียงจากที่เขาได้ยิน เราคงต้องถามอาจารย์ภาษาฝรั่งเศสค่ะว่ามันออกเสียงยังไง ตอบ ถ้าเขียนแบบนี้ ภาษาฝรั่งเศสอ่าน แซ็งกอรฺ (แซ็ง-ก็อก) ครับ แต่ว่า เรื่องชื่อเมืองนี้ ฝรั่งเศสมักเขียนตามฝรั่งชาติอื่นครับ แต่อ่านตามแบบตัวเอง ไม่ได้เขียนตามที่ตัวเองได้ยินเสมอไป เช่น ช็องไก คือ เมืองเซียงไฮ้ เพราะอ่านตามชื่อที่ฝรั่งชาติอื่นเขียนไว้แล้วว่า Shianghai เปแก็ง คือ เมืองปักกิ่ง (pekin) แก้ไขเมื่อ 22 ธ.ค. 51 02:49:45 จากคุณ : [-_-]_V (Hotacunus) - [ 22 ธ.ค. 51 02:32:19 ]

ความคิดเห็นที่ 123 เป็นกระทู้ที่ดีมาก ให้ความรู้เชิงประวัติศาสตร์ล้นเหลือ น่าเสียดายที่การวิวาทะระหว่างคุณธนิตาและเจ้าของกระทู้มุ่งมั่นจะเอาชนะมากเสียจนท่านหนึ่งไปดึงเอาของสูงลงมาเล่น แบบนี้ไม่ใช่การเถียงทางวิชาการแล้ว ถึงแม้จะยังใช้คำสุภาพ ผมคิดว่าก็ยังน่าไปเล่นแถวๆ ราชดำเนินจะดีกว่า จากคุณ : เสียดาย - [ 23 ธ.ค. 51 14:41:34 A:76.94.71.58 X: TicketID:198634 ]

ความคิดเห็นที่ 124 น่าอ่านมาก ขอจองที่ก่อนนะคะ จากคุณ : นางพญามารเมฆไฟ - [ 23 ธ.ค. 51 23:00:20 ]

ความคิดเห็นที่ 125 เยี่ยมมากๆ ขอชื่นชมจขกท. คะ ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะคะ อยู่บ้านติดกัน(บ้านอยู่ยะลา)ยังไม่รู้เรื่องเลย จากคุณ : sawkitty - [ 24 ธ.ค. 51 20:19:42 ]

ความคิดเห็นที่ 126 กระทู้ดีค่ะ คนพัทลุง แต่ไปเรียนหนังสืออยู่สงขลา ตอนนี้เที่ยวทั่วไทยอยู่ จากคุณ : Mrs.Beblow - [ 25 ธ.ค. 51 00:12:51 ]