ความคิดเห็นที่ 1 course สั้นๆ ไมมีหรอกครับ ไม่ต้องห่วงว่า แปลแล้วงานวิชาการเขาเสียไป คุณไม่เข้าใจ concept อะไรตรงไหน ก็ให้เจ้าของงานอธิบายให้ฟังครับ หรือมาโพสต์ในห้องนี้ รับรองมีคนไขข้อข้องใจให้คุณได้ แล้วค่อยสะสมประสบการณ์ เก่งแล้วก็มาเป็น อาจารย์ในห้องนี้บ้าง แบบพวก Pay It Forward ไงครับ เพราะคนที่เป็นอาจารย์ในห้องนี้ไม่มีใครต้องการผลตอบแทนหรอกครับ การเรียนด้วยการถาม และทำ ถือว่าเป็น hands-on approach ที่มีคุณค่าในที่นี่ แม้แต่อาจารย์เองก็ยังได้เรียนรู้ เพราะเราแปลไป สอนไป คนอื่นๆ เห็นเรามีข้อบกพร่องก็เข้ามาช่วยชี้ ทำให้เรารู้อะไรมากขึ้น ยกตัวอย่าง คำว่า award reward มีคนถามมา ผมก็ดุยๆ ด้วยความมั่นใจจากการอ่านหลายสิบปีว่า reward มันเป็นได้ทั้ง noun and verb ในขณะที่เห็น award เป็นแค่รูป noun ประจำ ก็เลยตอบไปว่า award เป็นได้แค่ noun โดยไม่ได้ปรึกษา dictionary เลย แล้วมันก็ผิดอย่างจัง แบบที่คนอื่นๆ ท้วงมา ผมอาจเคยเห็น award เป็น verb มาแล้ว แต่นานมาก จนลืมไปแล้ว ก็เลยเข้าใจผิด ดังนั้น การมาศึกษาที่นี้ด้วยการถาม ด้วยการช่วยเหลือคนอื่นๆ ทำให้เราเก่งขึ้นได้ครับ จากคุณ : K.Senior - [ 15 ธ.ค. 51 02:31:30 ]

ความคิดเห็นที่ 2 คนจะแปลได้ต้องมีคุณสมบัติอย่างน้อย 2 อย่าง 1.เก่งภาษาต้นทาง 2.เก่งภาษาปลายทาง เก่งภาษาต้นทางเพื่อให้เข้าใจต้นฉบับได้ปรุโปร่ง ไม่เข้าใจผิด เข้าใจขาด หรือ เข้าใจเกิน เนื่องจากถ้าเพี้ยนในประการใดประการหนึ่งหรือทั้งหมด แล้วไปถ่ายทอดด้วยการแปลเป็นภาษาปลายทาง คนอ่านปลายทางก็ซวยลูกเดียว ได้อ่านของเพี้ยนๆ ถ้าคุณเป็นคนอ่านจะอยากอ่านอะไรเพี้ยนๆไหมล่ะ? คาดว่าคงไม่ ดังนั้นถ้าอ่านต้นฉบับแล้วยังเพี้ยนก็ต้องหยุด ห้ามถ่ายทอด เพราะมันจะเป็นการแปร ไม่ใช่แปล เนื่องจากนักแปลก็ยังเป็นคนไม่ใช่เทวดา ก็คงไม่มีใครเก่งทุกเรื่อง ดังนั้นแม้จะมีอุปกรณ์เครื่องช่วยเช่น พจนานุกรมทั้งทั่วไปและเฉพาะทาง อรรถาภิธาน ตำราอ้างอิงต่างๆนานา ตลอดจนอินเตอร์เน็ต ทำให้การค้นคว้าสมัยนี้เป็นไปง่ายขึ้น แต่นักแปลก็มักจะเลือกแปลสาขาที่ตนถนัดเนื่องจากไม่ต้องเหนื่อยค้นคว้ามาก เคี้ยวของคล่องๆคอดีกว่า การเก่งภาษาปลายทางทำให้สามารถเขียนได้สละสลวย กระชับ ใช้โวหารได้ทุกรูปแบบทั้งพรรณนาโวหาร บรรยายโวหาร สาธกโวหาร เทศนาโวหาร และอุปมาโวหาร แล้วแต่ความจำเป็น เลือกศัพท์ สำนวน อุปมาอุปไมย คำพังเพย สุภาษิต ได้เหมาะเจาะ ทำให้มีความไพเราะของภาษา เข้าใจง่าย ต้องมีทั้งสองอย่างนะครับเป็นเบื้องต้น ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ สมมุติแปลคู่ภาษา อังกฤษ-ไทย คุณก็ต้องเก่งทั้งอังกฤษทั้งไทย เก่งแต่อังกฤษแต่เขียนภาษาไทยห่วยแตกก็เห็นมีเยอะแยะและเป็นสิ่งที่เห็นได้บ่อยพอสมควร และถ้าเก่งแต่ภาษาไทย เขียนสำนวนไพเราะ เนียน แต่ว่าสาระกลับเพี้ยนไปจากต้นทางชนิดคนละทิศ อย่างนี้ก็อย่างที่ผมว่า มันแปรไม่ใช่แปล ก็เห็นเยอะ ดังนั้นเบื้องต้น ต้องมีสองอย่างนี้ก่อน และเบื้องต้นของเบื้องต้น ต้องมีความรักภาษา อย่างที่เรียกว่า ฉันทะ ถ้าไม่มีฉันทะ ก็จะขาด วิริยะ จิตตะ และ วิมังสา อันเป็นองค์ประกอบของธรรมะแห่งความสำเร็จคืออิทธิบาทสี่ ทั้งสามอย่างนี้ไม่จำเป็นต้องประศาสน์ด้วยวุฒิบัตรหรือปริญญาจึงจะมี คนที่แปลหากินแถวนี้ส่วนมากไม่ได้ร่ำเรียนมาทางภาษาเลย แต่มีสามประการข้างต้นครบ จึงเป็นนักแปลได้ ดังนั้น มีใจรัก เชี่ยวชาญทักษะภาษา สำคัญนะครับ ใจรัก คุณว่ามีอยู่แล้ว โอเค ดี เริ่มต้นดีเขาว่าเสร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง ทักษะภาษา? การฝึกทักษะภาษาเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นเรื่องยาว  เอาเป็นว่าอ่านเยอะๆเข้าไว้แล้วดีเองนะครับ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 15 ธ.ค. 51 06:03:01 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เห็นด้วยอย่างยิ่งกับท่านอวุโสทั้งสองท่านว่า ผู้ที่สามารถขัดเกลาทักษะภาษาของตัวเองให้ดีเยี่ยมพอจะแปลได้นั้นล้วนแต่อยู่ที่การฝึกฝนด้วยตัวเองเป็นสำคัญทั้งนั้น ยิ่งรักที่จะเรียนรู้ (ฟัง+อ่าน) ไปมากเท่าใดก็ย่อมสามารถที่จะส่งออกภาษาดีๆ (พูด+เขียน) ออกไปได้เท่านั้น โดยไม่จำเป็นต้องเรียนเป็นทางการในห้องเรียนแต่อย่างใด เพราะเอาเข้าจริงๆเขาก็จะสอนให้เราได้แค่กรอบพอเป็นแนวเท่านั้นเอง ซึ่งแนวที่ว่านี้ก็ยังสามารถที่จะหาอ่านเอาเองได้อยู่ดี ถ้ารู้จักขวนขวายเพิ่มเติม แต่ถ้า จขกท ต้องการแนวกรอบที่ว่าก็พอมีที่เรียนอยู่บ้าง ซึ่งเห็นเปิดอยู่บ่อยๆที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คอร์สหนึ่งก็ประมาณ 3-4,000 บาท ซึ่งส่วนตัวคิดว่าเนื้อหาที่อาจารย์สอนนั้นก็มีอยู่แล้วในหนังสือแปลดีๆทั้งหลายนั้นแหละ (อาจารย์ม.รัฐเก่งๆเขียนเอง) ซึ่งถ้าคุณมีความรู้ภาษาดีในระดับหนึ่ง+สามารถอ่านเองได้ก็จะประหยัดได้มากกว่าโดยเอาเงินจำนวนนนี้ไปซื้อหามาอ่านเอง หรือหาหนังสือแปลที่มีอยู่เกลือนตลาดมาศึกษาวิธีการแปลเอง โดยหาซื้อหนังสือต้นฉบับ+เล่มที่แปลแล้วมาศึกษาเองก็ย่อมได้ (เล่มที่แปลดีและไม่ดีล้วนศึกษาเรียนได้ดีทั้งนั้น) ถ้าลองหาทั้งหนังสือแนวทฤษฎี+ปฎิบัติมาอ่านเองแล้วยังไม่ดีขึ้นค่อยหาที่เรียนจะดีกว่า แต่ส่วนตัวคิดว่าถ้าลองทำแบบนี้แล้วและคุณมีความรัก+พยายามจริงก็จะเรียนได้โดยตัวเองไม่ยาก ส่วนถ้ารักจริงแบบหวังแต่งจริงๆจังก็ให้เรียนแบบเป็นคอร์สปริญญาโทการแปลไปเลยก็ดีเหมือนกันนะครับ (มีเวลา+ทุนทรัพย์) เพราะในเวลาหลักสูตรระยะยาวแบบ 2 ปีหรือมากกว่านั้นคุณจะได้ฝึกแปลแบบมหาศาล+เพิ่มพูนเทคนิคอื่นๆ จุดเล็กจุดน้อยที่อาจหาอ่านเองไม่ได้ ที่พูดมาทั้งหมดนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะเก่งอะไรหรอกนะครับ เพราะก็กำลังศึกษาอยู่ด้วยตัวเองเหมือนกัน ขอให้โชคดีในการเรียนครับ แก้ไขเมื่อ 15 ธ.ค. 51 08:18:51 จากคุณ : โจโฉ (joechou) - [ 15 ธ.ค. 51 08:17:57 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ตกลงคุณโจโฉได้หรือเปล่า? ลุ้นๆ ลุ้นคนหนุ่มไฟแรงให้ได้สมหวัง จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 15 ธ.ค. 51 09:44:56 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ^_^ ขอบคุณลุงแอ๊ดที่ช่วยลุ้นนะครับ เพิ่งสอบไปเมื่อวานซืนนะครับ (การแปล อักษร จุฬาฯ) กว่าผลจะออกคงกลางเดือนหน้านะครับ แต่คิดว่าคงรอดยากเพราะข้อสอบภาษาอังกฤษยากมาก+เวลาทำจำกัด หุหุ จากคุณ : โจโฉ (joechou) - [ 15 ธ.ค. 51 11:22:23 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ขอบคุณ k.senior/คุณ แอ๊ด ปากเกร็ด/คุณโจโฉ มากๆค่ะ ที่ช่วยแนะนำข้อคิดดีดีให้ เจ้าของกระทู้ เอ แทนตัวว่าหนู ดีกว่า อิอิ คือหนูเนี่ยชอบภาษาอังกฤษ ฟัง อยู่ในระดับพอใช้ ไปได้เป๊ะๆ ทุกคำ แต่จับใจความได้ ส่วนพูด คิดว่าพูดจาสื่อสารรู้เรื่อง แต่สำเนียงงั้นๆ แต่มีต่างชาติหลายคนชมว่าพูดดี และมีความพยายาม เลยยิ่งเป็นแรงกระตุ้นให้อยากเก่งภาษา มั่กๆ ส่วนเขียน ก้อพอแต่งประโยคที่เข้าใจง่าย ศัพท์แสง งั้นๆ ไม่ได้วิจิตรมากมาย ส่วนแปล ก้อตามที่บอกค่ะ ถ้าเป็นแนวทางที่ถนัด พวกท่องเที่ยว หรือ ไม่ใช่แนววิชาชีพ วิชาการ ก้อพอถูไถ ช่วยเพื่อน หรือไม่งั้นก้อหารายได้เสริมตอนเรียนเป็นกอบเป็นกำ เลยอยากเรียนรู้ให้มากกว่าเดิม จะได้เก่งๆ ถ้าวันไหนที่หนูเข้ามาหาความรู้หวังว่า จะได้รับความเมตตา จากพี่ ป้า น้า อา ในห้องนี้ นะคะ ขอบคุณค่ะ เอิ๊กๆๆๆๆ จากคุณ : ถนนหน้าร้าน - [ 17 ธ.ค. 51 23:33:12 ]