ความคิดเห็นที่ 1 ผมสอบไปเมื่อปีที่แล้วครับ จากคุณ : Alovera - [ 21 ธ.ค. 51 18:24:33 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เคยอ่านในหนังสือ " ศิลปวัฒนธรรม " ฉบับเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ จำได้เลือนๆว่า ความคิดเหนแลข้อมูลวิเคราะห์ของผู้เขียนกล่าวว่า ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมิได้สร้างคืนตามสมัยนั้นจริง แต่สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 เนื่องด้วยเหตุผลที่ว่า สร้างขึ้นเพื่อเทียบเคียง แลแสดงให้เหนว่า สยามก็มีหลักฐานความเจริญรุ่งเรืองมาแต่อดีต เพื่อยืนยันความเปน สยาม เรื่อยมา ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วย จากคุณ : มะเหมียว - [ 21 ธ.ค. 51 19:06:12 A:192.168.0.17 X:61.7.165.194 TicketID:196276 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ^ ^ เหนด้วย จากคุณ : pimon - [ 21 ธ.ค. 51 19:27:41 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ประวัติศาสตร์อย่างเป็นทางการคือทำขึ้นในสมัยพ่อขุนรามคำแหงครับ จากคุณ : ชาเขียว - [ 21 ธ.ค. 51 20:03:39 ]

ความคิดเห็นที่ 5 อาจารย์วิชาโบราณคดีบอกว่ามีการพิสูจน์มาแล้วว่าหินศิลามีอายุแค่ร้อยกว่าปีครับ แล้วก็เป็นหินที่หาไม่ได้ในบริเวณกรุงสุโขทัยด้วย คาดว่าที่ทำขึ้นมาเพราะช่วงนั้นเป็นยุคล่าอาณานิคม ร.4จึงออกพระราโชบายผูกเรื่องราวของกรุงรัตนโกสินกับสมัยสุโขทัยเพื่อให้ต่างชาติเห็นว่าสยามมีความป็นอารยธรรมมานาน (ส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมคือภาษาเขียนครับ) เพราะตอนนั้นกรุงรัตนโกสินทร์มีอายุเพียงไม่กี่ปี ถ้าศึกษาช่วงที่ร.4บวชดีๆจะเห็นว่ามีการสร้างความเป็นอารยธรรมของสยามขึ้นหลายอย่าง เช่น การให้แหม่มแอนนามาสอนหนังสือในวัง การที่พระองค์สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ มีการรับหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ และ ท่านก็สนิมสนมกับชาวฝรั่งคนนึง (จำชื่อไม่ได้ครับ) จากคุณ : อ่าค้าบ - [ 21 ธ.ค. 51 20:48:36 A:125.24.238.10 X: TicketID:195709 ]

ความคิดเห็นที่ 6 สรุปออกมาแล้วครับ สร้างสมัยสุโขทัยแน่นอน อาจจะเป็นช่วงคาบเกี่ยวระหว่าง พ่อขุนราม จนถึง สมัย พญาลิไท ครับ มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ ด้วย การทดสอบ C14 ด้วยครับ ผลยืนยันออกมาว่า เป็น ยุคสุโขทัยแน่นอนครับ ผมว่า น่าตำหนิ กรมศิลปากร ครับ เพราะทำเป็นหนังสือสรุปประเด็นการเสวนาเรื่องนี้ออกมาแล้ว แต่ดันไม่ประชาสัมพันธ์ แต่อย่างใด ลองไปหาอ่านดูครับ หนังสือ จะชื่อในแนวทางว่า "รวบรวมประเด็นศิลาจารึก" หน้าปก รูปพระราชานุสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหง ครับ ของกรมศิลปากร สมเด็จพระพี่นางฯ ก็ทรงเสด็จ ไปร่วมงานเสวนาครั้งนี้ด้วยครับ พร้อมทั้ง ฝ่าย อ.พิริยะ ไกรฤกษ์ ผู้เสนอทฤษฏีค้าน , และ ฝ่าย ศ.ดร. ประเสริฐ ณ นคร ครับ เนื้อหาตอนหลัง จะมีผลการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ อย่างที่ผมได้เรียนบอกไปด้วยครับ จริง ๆ ผมจะเอามาลงหลายครั้งแล้ว แต่ขี้เกียจครับ จากคุณ : ศรีสิทธิสงคราม - [ 21 ธ.ค. 51 20:52:18 A:192.168.50.147 X:119.42.67.118 TicketID:197085 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ประเทศไทยเริ่มรู้จักและให้ความสนใจในเรื่องของจารึก เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในสมัยที่ยังดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎฯ ขณะทรงผนวชอยู่ ในปีพุทธศักราช 2376 ได้เสด็จจาริกธุดงค์ไปยังหัวเมืองมณฑลฝ่ายเหนือของประเทศไทย เมื่อเสด็จถึงเมืองสุโขทัยทรงพบศิลาจารึก 2 หลัก คือ ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง ภาษาไทย และศิลาจารึกวัดป่ามะม่วง ภาษาเขมร พร้อมด้วยพระแท่น มนังศิลาบาตร ที่บริเวณเนินปราสาทในวัดมหาธาตุ ตำบลเมืองเก่า อำเภอเมืองสุโขทัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นว่าเป็นโบราณวัตถุสำคัญ จึงโปรดเกล้าฯ ให้นำลงมาไว้ที่กรุงเทพฯ          พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระองค์แรกที่ทำให้คนไทยเห็นคุณค่าของจารึก และทรงเป็นนักอ่านจารึกพระองค์แรกของประเทศไทยอีกด้วย ทรงพระราชอุตสาหะอ่านและทรงแปลอธิบายถ้อยคำในศิลาจารึกเป็นภาษาอังกฤษ ระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสนพระราชหฤทัยอ่านและศึกษาจารึกนั้น สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ก็ทรงเป็นแม่กองควบคุมคณะนักปราชญ์ราชบัณฑิต คัดลอกอักษรจากศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราชด้วย จากคุณ : qaza - [ 21 ธ.ค. 51 21:10:23 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ในปีพุทธศักราช 2398 เซอร์ จอห์น เบาริง (Sir John Bowring) ราชทูตอังกฤษได้เดินทางเข้ามาในประเทศไทย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานสำเนาคัดอักษรพิมพ์หิน พร้อมด้วยลายพระหัตถ์คำแปลเป็นภาษาอังกฤษบางคำแก่เซอร์ จอห์น เบาริง และทรงพระราชทานสำเนาจารึกอีกชุดหนึ่งให้ราชทูตฝรั่งเศสด้วย ซึ่งในปีพุทธศักราช 2400 เซอร์ จอห์น เบาริง ก็ได้นำตัวอย่างสำเนาจารึกที่ได้รับพระราชทานนั้นพิมพ์เผยแพร่เป็นครั้งแรกในหนังสือ The Kingdom and People of Siam          ต่อมาในปีพุทธศักราช 2406 นายอดอล์ฟ บาสเตียน (Adolf Bastian) ชาวเยอรมันได้เดินทางเข้ามาในกรุงเทพ ฯ และได้แปลจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราชเป็นภาษาอังกฤษพร้อมกับตีพิมพ์เผยแพร่ลงในวารสารชื่อ Journal of the Royal Asiatic Society of Bengal ใช้ชื่อเรื่องว่า On Some Siamese Inscriptions          ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประมาณระหว่างพุทธศักราช 2425-2428 นายพันตรีเอโมนิเอ (Aymonier) ชาวฝรั่งเศส ผู้สำเร็จราชการกรุงกัมพูชา ได้เที่ยวสำรวจหาจารึกของกัมพูชา และได้พบจารึกของไทยโดยบังเอิญจึงรวบรวมไว้ด้วย เช่น จารึกศาลเจ้าเมืองลพบุรี พบที่จังหวัดลพบุรี เป็นต้น นับว่าเป็นชาวยุโรปคนแรกที่เสาะหา รวบรวมจารึก และคัดลอกสำเนาจารึกที่รวบรวมได้ส่งไปเก็บไว้ที่หอสมุดแห่งชาติ ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส          พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเล็งเห็นความสำคัญของจารึกในการให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องราวของบ้านเมืองในอดีต และทรงเกรงว่าจะถูกทำลาย จึงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ครั้งดำรงพระยศเป็นพระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นดำรงราชานุภาพ และข้าหลวงมณฑลต่างๆ แสวงหาจารึกมาเก็บไว้ในพระนคร          ต่อมานายออกูสท์ ปาวี (Auguste Pavie) ชาวฝรั่งเศสได้เป็นผู้รวบรวมจารึกของไทยโดยคัดลอกทำสำเนาจารึกที่เก็บรักษาอยู่ในกรุงเทพฯ รวมทั้งจารึกที่จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน และหลวงพระบาง จำนวน 31 หลัก และได้มอบสำเนาจารึกที่คัดลอกนั้นให้แก่ บาทหลวง ชมิตต์ (Pere Schmitt) ที่เมืองฉะเชิงเทรา แปลเป็นภาษาฝรั่งเศส นับเป็นชาวยุโรปคนแรกที่อ่านและแปลจารึกของไทย พิมพ์เผยแพร่ในหนังสือ Mission Pavie ต่อมาในปีพุทธศักราช 2434 นายฟูร์เนอโร (Fournereau) ช่างเขียนชาวฝรั่งเศสได้นำสำเนาจารึก 16 หลักไปพิมพ์ในหนังสือ Le Siam ancient ในปีพุทธศักราช 2438           ปีพุทธศักราช 2450 มีชาวต่างประเทศที่สนใจค้นหาจารึกในประเทศไทยรวม 2 คน คือ พันตรี ลูเนต์ เดอ ลายงเกียร์ (Commt. Lunet de Lajonquiere) ชาวฝรั่งเศสเป็นผู้เอาใจใส่ค้นหาจารึก และได้พบจารึกสำคัญๆ หลายหลัก ทำสำเนาคัดลอกส่งไปยุโรป และพันตำรวจตรี ไซเดน ฟาเดน (Commt. E. Seidenfaden) ชาวเดนมาร์ก เป็นผู้เอาใจใส่ค้นหาของโบราณในเขตภาคอีสาน ได้พบโบราณสถานและโบราณวัตถุจำนวนมาก           พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระยุพราช ในปีพุทธศักราช 2451 ได้เสด็จพระราชดำเนินไปจังหวัดกำแพงเพชร สุโขทัย และสวรรคโลก ทรงค้นหาสถานที่ต่างๆ โดยทรงตรวจสอบกับข้อความในจารึกที่พบในจังหวัดสุโขทัย พร้อมทั้งพระราชทานพระบรมราชาธิบายไว้ในพระราชนิพนธ์ เรื่อง เที่ยวเมืองพระร่วง   http://www.info.ru.ac.th/province/sukhotai/srj6.htm จากคุณ : qaza - [ 21 ธ.ค. 51 21:11:34 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ปีพุทธศักราช 2452 ศาสตราจารย์ คอร์นีเลียส บีช แบรดเลย์ (Cornelius Beach Bradley) ชาวอเมริกันได้ชำระและพิมพ์คำแปลจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ในหนังสือ The Oldest Known Writing in Siamese           พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสนพระราชหฤทัยเรื่องราวทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์ ทรงเห็นความสำคัญของจารึกในด้านที่เป็นแหล่งข้อมูลเรื่องราวในอดีต เมื่อเสวยสิริราชสมบัติแล้ว จึงโปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมจารึกจากที่ต่างๆ เก็บรักษาไว้ ณ หอพระสมุดสำหรับพระนคร ผู้ที่เป็นกำลังสำคัญในการสำรวจและรวบรวมจารึกครั้งนั้น คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งขณะนั้นทรงเป็นสภานายกหอพระสมุดสำหรับพระนคร ทรงขวนขวายแสวงหาจารึกจากภูมิภาคต่างๆ ทั่วพระราชอาณาจักร ได้ทรงศึกษาวิธีทำสำเนาจารึกและให้เขียนคำแนะนำวิธีทำสำเนาจารึกแจกไปตามหัวเมืองต่างๆ เพื่อให้ช่วยทำสำเนาจารึกส่งมาไว้ที่หอพระสมุดฯ ทำให้รวบรวมจารึกได้เป็นจำนวนมาก ศิลาจารึกใดที่ยังไม่อาจเคลื่อนย้ายมาได้ก็ให้ทำบัญชีไว้ว่าจารึกหลักใดเก็บอยู่ที่ไหนบ้าง มีรายละเอียดเกี่ยวกับจารึกอย่างไรให้ระบุไว้ด้วย จารึกที่รวบรวมได้ในครั้งนั้นสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ โปรดให้ ศาสตราจารย์ ยอร์ช เซเดส์ (George Coedes) ชาวฝรั่งเศส ซึ่งเป็นบรรณารักษ์ใหญ่ประจำหอพระสมุดวชิรญาณ ในขณะนั้นอ่านและอธิบายความหมายข้อความในจารึกต่างๆ ที่รวบรวมมาไว้ และจัดพิมพ์คำอ่านจารึกขึ้นเป็นหนังสือชุด เรียกว่า ประชุมศิลาจารึก           นับตั้งแต่มีการจัดพิมพ์หนังสือประชุมศิลาจารึกภาคที่ 1 ครั้งแรกเมื่อปีพุทธศักราช 2467ก็ได้มีการพิมพ์หนังสือประชุมศิลาจารึกอีกหลายครั้ง เนื่องจากมีผู้สนใจศึกษาจารึกเพิ่มขึ้น และได้มีการค้นคว้าหาหลักฐานใหม่ๆ เพื่อประกอบการพิจารณาถ้อยคำและข้อความในจารึกมากขึ้นโดยลำดับ ปีพุทธศักราช 2497 วิชาการอ่านจารึกก็ได้รับการจัดเข้าไว้ในหลักสูตรการศึกษาระดับอุดมศึกษา คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากรจนถึงปัจจุบัน           การศึกษาจารึกในประเทศไทยเป็นที่สนใจในหมู่นักวิชาการศึกษาของชาติทุกระดับ นับจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นต้นมาจนถึงพระบรมวงศานุวงศ์ ในปัจจุบันสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ก็ทรงสนพระราชหฤทัยในวิชาการอ่านจารึกเป็นอย่างมาก ในปีพุทธศักราช 2520 ทรงเข้าศึกษาระดับปริญญาโทในสาขาวิชาจารึกภาษาตะวันออก ณ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยานิพนธ์ที่ทรงพระราชนิพนธ์เพื่อรับพระราชทานปริญญามหาบัณฑิตคือเรื่อง จารึกพบที่ปราสาทพนมรุ้ง [The Inscriptions found at Prasad Bnam Run (Prasat Phnom Rung)] จุดมุ่งหมายสำคัญของวิทยานิพนธ์นี้ คือ การอ่านและแปลจารึกสันสกฤตและเขมร ซึ่งพบที่ปราสาทพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อเสนอข้อมูลในทางภาษาศาสตร์ สังคมวิทยา ประวัติศาสตร์ และศาสนาในสมัยนั้น ปัจจุบันความสนใจในการศึกษาศิลาจารึกได้รับความสนใจจากประชาชนทั่วไปทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศเป็นอย่างมาก http://www.info.ru.ac.th/province/sukhotai/srj6.htm จากคุณ : qaza - [ 21 ธ.ค. 51 21:13:28 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง   ด้านที่ 1 จากคุณ : qaza - [ 21 ธ.ค. 51 21:15:49 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง   ด้านที่ 2 จากคุณ : qaza - [ 21 ธ.ค. 51 21:17:17 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง   ด้านที่ 3 http://www.info.ru.ac.th/province/sukhotai/srjsd33-4.htm จากคุณ : qaza - [ 21 ธ.ค. 51 21:18:39 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง   ด้านที่ 4 http://www.info.ru.ac.th/province/sukhotai/srjsd44-4.htm จากคุณ : qaza - [ 21 ธ.ค. 51 21:19:44 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ตรวจคาร์บอนก็น่าจะรู้แล้วนะครับ จากคุณ : ซายูบิ - [ 21 ธ.ค. 51 21:51:23 ]

ความคิดเห็นที่ 16 C14 ตรวจได้แต่อายุของอินทรียสาร ใช้ตรวจหินไม่ได้ ที่เคยทดสอบกันเขาดูจากการสึกกร่อน แต่ผมเห็นว่าวิธีที่ใช้ทดสอบใช้ชี้วัดอะไรไม่ได้ จากคุณ : CrazyHOrse - [ 21 ธ.ค. 51 22:24:13 ]

ความคิดเห็นที่ 17 C14ไช้ตรวจสอบได้ด้วยหรอครับ ผมนึกว่าเอาไว้ตรวจกระดูกหรืออะไรจำพวกนั้น ผมจำได้คร่าวจากหนังสือของ จิตร เล่มนึง โองการแช่งน้ำอะไรซักอย่างนี่แหละ จิตร ว่าๆ เป็นของจริง แต่จริงอยู่ 7 หรือ 17 บรรทัดนี่แหละ จากคุณ : LegalisM (LegalisM) - [ 21 ธ.ค. 51 23:18:31 ]

ความคิดเห็นที่ 18 สำหรับการตรวจสอบด้วยกระบวนการทางรังสี (Radio Active) ตอนนี้ที่ต่างประเทศก็เริ่มใช้กันแล้วครับ ยกตัวอย่างเช่น StoneHenge ที่อังกฤษ และอีกหลาย ๆ ที่ http://current.com/items/88931647/stonehenge_mystery_hinges_on_unusual_stones.htm ถ้าผมแปลไม่ผิด ผลที่ได้น่าพอใจในระดับหนึ่งครับ ส่วนนี่คือ แนวคิดในการตรวจสอบอายุวัตถุโบราณ ครับ http://science.jrank.org/pages/5679/Radioactive-Dating.html เคยสนทนากับ นักวิชาการอิสระบางท่าน ก็ให้ข้อมูล (ที่ไม่ยืนยัน) กับผม มาว่า ที่ สำนักงานพลังปรมาณูเพื่อสันติ บ้านเราก็ตรวจสอบได้ แต่ติดตรงที่ว่าเป็นคนละหน่วยงานกับของทางกรมศิลปากร ครับ ถ้าจำไม่ผิด การตรวจสอบอายุของ ศิลาจารึก ทางกรมศิลปากร จะตรวจสอบเองครับ แต่จำรายละเอียดไม่ได้ว่า ให้ หน่วยงานไหนช่วยตรวจสอบครับ จากคุณ : ศรีสิทธิสงคราม - [ 22 ธ.ค. 51 00:01:15 A:192.168.50.147 X:119.42.71.175 TicketID:196977 ]

ความคิดเห็นที่ 19 Radioactive dating has proved to be an invaluable tool and has been used in many scientific fields, including geology, archeology, paleoclimatology, atmospheric science, oceanography, hydrology, and biomedicine. This method of dating has also been used to study artifacts that have received a great deal of public attention, such as the Shroud of Turin, the Dead Sea Scrolls, Egyptian tombs, and Stonehenge. Since the discovery of radioactive dating, there have been several improvements in the equipment used to measure radioactive residuals in samples. For example, with the invention of accelerator mass spectometry, scientists have been able to date samples very accurately. ------------------------------------------------------------ ขอโทษด้วยครับ Link แรกไม่ใช่นะครับ สำหรับท่านเจ้าของกระทู้ ถ้าอยากได้หลักฐานพรุ่งนี้ถ้าสอบตอนบ่าย ๆ ยังพอทันครับ จับรถ MRT (รถไฟฟ้าใต้ดิน) ไปลงสถานีศูนย์สิริกิต แล้วขึ้นไปห้องสมุดมารวย ที่อยู่ใน ตลาดหลักทรัพย์ ขึ้นไปชั้นสอง ลองหาหนังสือที่ผมบอกดูครับ ถ้ายังไม่มีคนยืมไป ก็จะได้คำตอบเองครับ ห้องสมุดมารวยเปิดราว ๆ 8.00 น. ครับ จากคุณ : ศรีสิทธิสงคราม - [ 22 ธ.ค. 51 00:07:45 A:192.168.50.147 X:119.42.71.73 TicketID:196977 ]

ความคิดเห็นที่ 20 มายืนยันด้วยอีกคนครับว่าค่า C14 จะได้จากการตรวจจากซากอินทรีย์วัตถุเท่านั้น แร่ธาตุ หรือ หิน จะใช้วิธี Radiocarbon Dating ไม่ได้ และข้อจำกัดของพิกัดอายุก็จะอยู่ที่ไม่เกิน 50,000 ปี เพราะอะไร ? เพราะว่า C14 เป็น Radioactive ที่สิ่งมีชีวิตจะดูดซับจากธรรมชาติ ตลอดอายุขัย เมื่อสิ่งมีชีวิตนั้นตายลง C14 ก็จะเริ่มสลายตัว เหตุนี้ เราจึงไม่มีทางพบ C14 ในหิน หรือแร่ธาตุ ครับ ข้อจำกัดเกี่ยวกับปริมาณก็มี คืออย่างน้อยต้องใช้ 10 กรัม แต่ก็มีวิธีใหม่ (แต่แพง) เรียกว่า AMS (accelerator mass spectometry) อันนี้ 2 กรัม ก็ตรวจได้ (ทางทฤษฎีว่า 0.5 กรัม) และวัตถุที่ดีควรเป็นถ่านครับ ส่วนการตรวจอายุหินนั้น จะใช้วิธีอื่นครับ (ซึ่งเป็น Radioactive แบบอื่นๆ ที่ไม่ใช่ C14 แต่อาจเป็น ยูเรเนียม และ ทอร์เรียม รู้สึกว่า ฟอสซิลกระดูกไดโนเสาร์ ซึ่งเป็นหินชนิดหนึ่ง ก็ใช้วิธีนี้) และค่าที่ได้ก็จะเป็นอายุชุดหินทางธรณีวิทยา ซึ่งไม่ได้ให้ประโยคอะไรเลยกับการหาว่าจารึกหลักที่หนึ่ง ทำขึ้นเมื่อไหร่ เพราะว่า จะได้ค่าอายุการกำเนิดของแท่งศิลาแทน ซึ่งอาจมีอายุสิบล้านปี ... เรื่องการตรวจอายุจารึกด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ ทางกรมศิลปากรได้เคยร่วมมือกันกรมธรณีวิทยาครับ (คุ้นๆ ว่าตีพิมพ์ผลในวารศาสตร์ศิลปากร ฉบับประมาณ 15 - 20 ปีที่แล้ว) วิธีการนั้น เค้าดูอัตราการสึกกร่อนครับ ซึ่งคำนวณแล้ว ลักษณะการกร่อนของแท่งศิลา ก็มีอายุราว 700 ปี อีกประการหนึ่ง เค้าหาแหล่งที่มาของหิน ก็พบว่าอยู่ในบริเวณสุโขทัย และเป็นหินชุดเดียวกับจารึกสุโขทัยสมัยพญาลิไท (อ่านมานานแล้ว จะจำผิดก็ขออภัย แต่คุ้นๆ ว่าประมาณนี้) แก้ไขเมื่อ 22 ธ.ค. 51 03:03:53 จากคุณ : [-_-]_V (Hotacunus) - [ 22 ธ.ค. 51 01:49:54 ]

ความคิดเห็นที่ 21 /\ /\ /\ อ่าใช่ครับ เขาใช้ ทอเรียม ตรวจครับ ใน Link http://science.jrank.org/pages/5679/Radioactive-Dating.html บอกมาอย่างนั้นเหมือนกันครับ จากคุณ : ศรีสิทธิสงคราม - [ 22 ธ.ค. 51 09:10:12 A:58.10.222.53 X: TicketID:197085 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ทั้งฝ่ายสนับสนุน และฝ่ายค้าน ได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้ ออกมานาน หลายเล่ม แล้ว ไปหาอ่านดูเองเถอะ จะให้มาสรุปกันในนี้ คงไม่ได้ผลเท่าไร จากคุณ : นายช่างปลูกเรือน - [ 22 ธ.ค. 51 10:32:10 ]

ความคิดเห็นที่ 23 การตรวจอายุหิน ก็เป็นการตรวจอายุนับจากช่วงเวลาที่หินนั้นก่อตัวขึ้นครับ อาจใช้ตรวจอายุของฟอสซิลไดโนเสาร์(ซึ่งไม่มีอินทรียสารเหลืออยู่แล้ว) โดยประเมินจากหินที่ห่อหุ้มซากนั้นอยู่ครับ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการประเมินอายุวัตถุโบราณเลย ถ้ายืนยันอายุได้ง่ายและเป็นหลักเป็นฐานอย่างนั้น เรื่องจารึกหลักที่ ๑ คงไม่ต้องถกเถียงกันมาจนทุกวันนี้หรอกครับ จากคุณ : CrazyHOrse - [ 22 ธ.ค. 51 10:33:24 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ตรวจหาอายุหิน ไมเกี่ยวข้องกับวันเวลาของศิลาจารึกเลย อาขุหินป็นล้านปี แกะสลักไม่เกิน 700 ปี ทำอย่างไรให้ได้ 700 ปี ทำอย่างไรอ้างอิงได้ว่าแกะในสมัย 200 ปี c-14 ใช้วัดการสลายตัวของกัมมันตรังสีไม่เกิน 5000 ปี จากคุณ : qaza - [ 22 ธ.ค. 51 13:05:06 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ง่ะ กลับมาดูอีกที กระทู้ตัวเองขึ้นแนะนำซะงั้น วันนี้ผมไปสอบมาแล้วครับ เหอๆ จะจริงหรือปลอม ไม่ได้ช่วยอะไรผมเล้ยยย อาจารย์ถามว่า ถ้าให้ศึกษาประวัติศาสตร์สุโขทัยจากศิลาจารึกหลักที่ 1 จะรู้อะไรเกี่ยวกับสุโขทัยบ้าง เอ่อ แล้วที่ผมอ่าน ผมหามาว่ามันจริงหรือปลอมอย่างไร  ทำไปทำไมไม่รู้ครับ แง้ เครียดเลยครับวันนี้ อ้อ ขอบคุณทุกท่านนะครับ ที่มาช่วยอธิบาย เดี๋ยวผมจะโพสต์ที่ผมหามาได้ให้ดูกันนะครับผม จากคุณ : ปีหนึ่ง...เพื่อนกัน - [ 22 ธ.ค. 51 15:22:44 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ด้านเนื้อความในจารึกเท่าที่ผมจำได้ ความก็สอดคล้องกับจารึกหลักต่อๆมาด้วยนะครับ อ. ที่สอนวรรณคดีสุโขทัย(อ.นิยะดา เหล่าสุทร)ยืนยันว่าเป็นของจริงตามที่ ดร. ประเสริฐ ได้อธิบายไว้ ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยผมจำไม่ได้แล้วครับ ขออภัยด้วย ประเด็นเรื่องที่ว่าจริงอยู่ในช่วงบรทัดแรกๆน่าดูจากสำนวนว่าต่างกันเพราะตอนแรกพ่อขุนรามน่าจะเป็นผู้จารึกด้วยตัวเอง หลังจากนั้นน่าจะเป็นอาลักษณ์หรือข้าราชบันทึกให้ เนื้อความก็มีความต่อเนื่องกันกับหลัก 2 และ3 ในหลายๆประเด็นครับ ถ้าหากว่าปลอม คงปลอมทุกหลักทั้งวัดศรีชุมและหลักของพระยาลือไท จากคุณ : Alovera - [ 22 ธ.ค. 51 15:31:42 ]

ความคิดเห็นที่ 27   ฝ่ายที่เชื่อว่าจริงนะครับ 1. ตัวอักษร  สม่ำเสมอ เป็นระเบียบ สวยงาม แสดงถึงความชำนาญของช่าง ไม่ใช่เพิ่งหัดทำเป็นครั้งแรก ถ้า ร.4ทรงทำปลอมขึ้นมาจริงๆ พระองค์ก็ต้องให้ช่างในสมัยของพระองค์เป็นคนทำ  แต่ในสมัย ร.4ว่างเว้นจากการทำศิลาจารึกมาไม่น้อยกว่า 500ปีนับตั้งแต่การทำศิลาจารึกวัดศรีชุม เมื่อ พศ.1910 และ ร.4ทรงครองราชย์เมื่อ พศ.2394 จึงไม่น่าเป็นไปได้ว่าจะมีช่างที่ชำนาญหลงเหลืออยู่ 2. จากข้อความที่ว่า "เมื่อก่อนลายสือไทยนี้บ่มี 1205 ศกปีมะแม พ่อขุนรามคำแหงใครใจในใจแลใส่ลายสือไทนี้ ลายสือไทนี้จึงมีเพื่อพ่อขุนผู้นั้นใส่ไว้"   ตัวเลข 1205 เป็นมหาศักราช ซึ่งนักประวัติศาสตร์  คำณวนแล้วตรงกับ พศ.1826 อีก 9ปีต่อมาจึงทรงให้จารึกในแผ่นหินใน พศ.1835  ทำไมจึงปล่อยเวลาให้ผ่านไปตั้ง 9ปี? ก็เพราะว่าตัวอักษรแบบใหม่ยังไม่มีคนรู้จัก แล้วจะเขียนให้ใครอ่าน??? 3.ความต่างกันด้านตัวอักษรที่ใช้  ศิลาจารึกนั้น หลังจากสิ้นรัชสมัยของพ่อขุนรามคำแหง หลายปีต่อมาอักษรที่จารึกไว้ตอนที่3 ตั้งแต่ด้านที่4 บรรทัดที่12 ถึงสุดท้าย ต่างจากตอนต้นๆ คือตัวพยัญชนะลีบกว่า สระก็ต่างกัน คือกลับไปขึ้นอยู่บนบ้าง ล่างบ้าง จึงสันนิษฐานว่า พอสิ้นรัชกาล ศิลาจารึกที่ยังเขียนไม่เสร็จก็เลยถูกคนเขียนต่อตามที่ตนชอบเป็นสิ่งปกติธรรมดา ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมอย่างใด   ถ้า ร.4ทรงปลอมศิลาจารึกขึ้นมา พระองค์ก็จะต้องทรงระวังให้ตอนท้ายกับตอนต้นสอดคล้องกันด้วย ไม่ปล่อยให้เห็นจุดอ่อนที่โจมตีได้ ทรงเป็นปราชญ์ เป็นนักวิทยาศาสตร์ แล้วยังจะมีหนังสือพิมพ์ แบงกอกรีคอร์เดอร์ของหมอบรัดเลย์ และแหม่มแอนนา   เลียวโนเวนก็คอยสังเกตุอยู่  พระองค์จะทรงใช้โอกาสใดมาสร้างหลักฐานเท็จ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยที่จะนำหินชนวนสีเขียวขนาดใหญ่มาให้ช่างสลักอย่างลับๆแล้วนำไปทิ้งไว้ในป่าเมืองสุโขทัย โดยไม่ให้ข่าวรั่วไหล 4.ขนาด ถ้าจะเทียบว่ามีขนาดที่เล็กมาก ศิลาจารึกหลักอื่นๆก็มีขนาดที่ไม่เท่ากันอยู่ ถ้าจะเอาขนาดมาเป็นเหตุผลนั้น ก็ไม่ถูกต้อง 5.ภาษา ภาษาในศิลาจารึกนั้นไม่ได้แปร่งหูคนเหนือเลย แม้ ร.4จะทรงรู้หลายภาษา แต่ก็ไม่เคยปรากฏว่าพระองค์ทรงสนพระทัยภาษาล้านนาจนถึงขั้นเรียบเรียงออกมาได้อน่างสละสลวย ---------------------------------------- ผู้เขียนบทความนี้ เข้าใจว่าจะไปลงในศิลปะวัฒนธรรม  แต่ขออภัยที่ไม่ทราบชื่อผู้เขียนครับ  เพราะเป็นชีทที่อ.ปริ๊นท์มาแจก จากคุณ : ปีหนึ่ง...เพื่อนกัน - [ 22 ธ.ค. 51 15:52:09 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ฝ่ายที่ไม่เชื่อนะครับ อ.พิริยะ ไกรฤกษ์ สรุปว่าศิลาจารึกนั้น ไม่ได้ถูกสลักในสมัยพ่อขุนรามคำแหง  แม้แต่ตอนเดียว  สมมติฐานว่าอาจจะเป็นพระราชนิพนธ์ของ ร.4 อีกด้วย  ได้ให้เหตุผลไว้ดังนี้ครับ 1.ขนาดของศิลาจารึก  สูงเพียง 45เซนติเมตร  ต่างกันมากกับศิลาจารึกสมัยสุโขทัยหลักอื่นๆ  แต่กลับมีขนาดพอๆกับศิลาจารึกสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น 2.เนื้อหาที่แปลกกว่าหลักอื่นๆ คือไม่มีการระบุชื่อสถานที่เลยในขระที่หลักอื่นๆจะให้รายละเอียดชัดเจน 3.มีการใช้ภาษาไม่สอดคล้องกับหลักอื่นๆ     -  คำว่าพระรามคำแหง  ไม่ปรากฏในศิลาจารึกหลักอื่นๆเลย     -  ชื่อช้าง  ช้างขุนสามชนในศิลาจารึกชื่อมาสเมือง  และช้างของพ่อขุนรามฯ ชื่อ รูจาครี  ในขณะที่ช้างในจารึกหลักที่2 คืออิแดงพะเลิง จะเห็นว่าภาษานั้นต่างกัน     -  คำว่าพนมดอกไม้ไม่ปรากฏในศิลจารึกหลักอื่นอีกเช่นกัน พบเฉพาะในศิลาจารึกหลัก1 กับพระราชนิพนธ์ของ ร.4เท่านั้น     -  คำว่าพระพุทธศาสนา  ก็ปรากฏเฉพาะในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงและในพระราชสาสน์ของ ร.4เท่านั้น     -  คำว่าตระพังโพยศรีก็เช่นกันกับที่กล่าวมาแล้ว 4. ลักษณะการเขียน ไม่พบในภาษาไทยที่ไหนอีกเลย  นอกจากตัวอักษรอริยกะ ที่ร.4ทรงมีพระประสงค์จะใช้ 5.ตรีบูร (กำแพงเมือง 3ชั้น) เมื่อกรมศิลปากรเข้าไปทำการขุดค้นก็พบแนวกำแพง 3ชั้น  แต่มีชั้นในสุดเท่านั้นที่สร้างในสมัยสุโขทัย  ส่วนอีก 2ชั้นสันนิษฐานว่าน่าจะสร้างในสมัยของสมเด็จพระนเรศวร 6.ความผิดพลาดเรื่องศักราช ในศิลาจารึกตอนหนึ่ง มีข้อความว่า "1207 ศักราชปีกุน ให้ขุดเอาพระธาตุออก" แต่แท้จริงแล้วมหาศักราช1207 คือปีระกา  ส่วน1209 จึงเป็นปีกุน จะเห็นว่าผิดพลาดไป 2ปี พ่อขุนรามคำแหงจะไม่ทรงทราบเชียวหรือว่าปีที่พระองค์ให้ขุดเอาพระธาตุออกมานั้นเป็นปีศักราชอะไร 7. จะเป็นความบังเอิญเกินไปหรือไม่ที่พ่อขุนรามคำแหงขึ้นครองราชย์สมบัติในปี พศ.1851  ในขณะที่ ร.4 ขึ้นครองราชย์ในปี คศ.1851 จากที่กล่าวมาแล้วทำให้อ.พิริยะ ค่อนข้างมั่นใจว่าศิลาจารึกหลักนี้เป็นพระราชนิพนธ์ของ ร.4 โดยอธิบายเพิ่มเติมว่า  เป็นพระราโชบายในการปรับปรุงประเทศเนื่องมาจากพระมหากษัตริย์นั้น ไม่มีสิทธิเปลี่ยนแปลงประเพณีใดๆหากไม่มีการอ้างว่ามีกษัตริย์องค์อื่นทำมาก่อนแล้วเช่น - ทรงคิดจะใช้อักษรอริยกะ  เพราะต้องการให้ใช้ภาษาไทยกับเครื่องพิมพ์ดีดได้ - ทรงต้องการให้ประชาชนสามารถถวายฎีกากับพระองค์เองโดยตรง -ต้องการงดภาษีปากเรือให้แก่ชาวอังกฤษเพราะเกรงสงคราม จึงทรงอ้างว่า พ่อขุนราม "บ่เอาจกอบนายไพร่" -ต้องการให้ประชาชนเข้าเฝ้าและมองพระพักตร์พระมหากษัตริย์ได้ การปรับปรุงประเทศครั้งนี้ก็เพื่อแสดงให้มหาอำนาจตะวันตกเห็นว่าเราเป็นชาติที่เจริญแล้วไม่ใช่ป่าเถื่อน -------------------------------------------------------------------- จากคุณ : ปีหนึ่ง...เพื่อนกัน - [ 22 ธ.ค. 51 16:17:20 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ตอนผมเรียน ข้อสอบสามข้อร้อยคะแนน เรียนสามหลัก ข้อนึงให้ตัวบทมาแปกข้อย่อยให้ตีความ บอกว่ามาจากหลักไหน อีกข้อใหญ่ให้เขียนแผ่นพับท่องเที่ยวสุโขทัย อ้างถึงสถานที่ในจารึกอย่างน้อยสามแห่ง อีกข้อก็ถามว่าคิดว่าหลักไหนสำคัญสุด โอว สนุกสุดแสน จากคุณ : Alovera - [ 22 ธ.ค. 51 17:28:14 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ข้อที่เขาว่าปลอมทุกข้อ นั้น มีคำตอบที่อธิบายได้หมดแล้ว เข้าใจว่าในคลังกระทู้ก็มีอยู่ สมัยนั้นคุณเหงามากแกเป็นตัวตั้งตัวตีค้านว่าปลอม ส่วนเราว่าแท้ จากคุณ : cybrarian - [ 22 ธ.ค. 51 23:36:47 ]

ความคิดเห็นที่ 31 มันจริงมาตลอด ทดสอบทางวิทยศาสตร์ก็จริง เพิ่งมาปลอมเมื่อไม่กี่ปีนี้เอง  เริ่มจากตำรวจคนหนึ่งตีความเพ้อไปเอง นักวิชาเกินเข้าผสมโรง  สำนักพิมพ์สนับสนุน ใส่ไคร้รัชกาลที่ ๔  ว่ากันไปนู้น จากคุณ : เหงามากปลอมตัวมา (กัมม์) - [ 23 ธ.ค. 51 06:43:37 ]

ความคิดเห็นที่ 32 /\ /\ /\ 5 5 5 แหมป๋าทำไปได้นะครับ จากคุณ : ศรีสิทธิสงคราม - [ 23 ธ.ค. 51 07:52:14 A:58.10.222.98 X: TicketID:196977 ]

ความคิดเห็นที่ 33 เท่าที่รู้มา ตรวจอายุหิน ก็รู้อายุหินอย่างที่ว่า ต้องใช้นักภาษาศาสตร์ตรวจ นักวิชาการบางคนเชื่อว่าเกิดในสมัย ร.4 บางคนบอกว่าสมัยสุโขทัย แต่หลังพ่อขุนราม น่าจะประมาณ พญาลิไท ราชบัณฑิต บอกว่า ต้องดูภาษาที่ใช้เขียน มีบางคำเป็นภาษาที่มีมาก่อนสมัย ร.4 เพราะอย่างนั้น เขาเลยบอกว่า เกิดในสมัย ร.4 ตัดไปได้เลย (เคยดูรายการถึงลูกถึงคน) สรุป ส่วนใหญ่เชื่อว่าสมัยสุโขทัย แต่ไม่ทราบชัดเจนว่าเมื่อไหร่ ส่วนตัว เชื่อว่าเกิดสมัยสุโขทัย เพราะมีภาษาค่อนข้างโบราณ และไม่ได้ใช้ในช่วงต้นของรัตนโกสินทร์ แต่ไม่รู้ว่าสมัยของพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใด เพราะถ้า พ่อขุนราม เป็นผู้ประดิษฐ์อักษรไทย ก็น่าจะเริ่มเขียนหลักศิลาเป็นครั้งแรกได้ แต่ผมว่าน่าจะหลังจากสมัยพระองค์ เพราะความสมบูรณ์ของภาษาน่าจะครบถ้วนมากขึ้น มีการใช้ที่แพร่หลายมากขึ้น จึงเริ่มเขียนให้คนทั่วไป อ่านได้ จากคุณ : BALL THE KOP - [ 23 ธ.ค. 51 11:42:12 ]

ความคิดเห็นที่ 34 การตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ที่ใช้กันมาเป็นวิธีอะไรแล้วได้ผลอย่างไรหรือครับ จากคุณ : เชษฐา - [ 23 ธ.ค. 51 14:34:54 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ปลอมมาไม่กี่ปีนี่กี่ปีครับ แก้ไขเมื่อ 24 ธ.ค. 51 16:02:53 จากคุณ : LegalisM (LegalisM) - [ 23 ธ.ค. 51 20:24:18 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ...ผมว่าจารึกพ่อขุนรามฯเป็นวรรณคดีนะ ภาษาสำนวนการเล่าเรื่องไม่เหมือนจารึกหลักอื่นๆของสุโขทัย จากคุณ : เหมียวออก้า (orcahappy) - [ 24 ธ.ค. 51 13:29:53 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ได้ยินมาว่าการวัดอายุศิลปวัตถุหินนี่สามารถวัดได้จากรอยที่ทำการสลักนะครับ เพราะถ้าวัดอายุก็จะได้อายุหินตรงๆ แต่รอยสลักที่เกิดขึ้นก็สามารถนำมาวัดได้ ผมเองก็ไม่ทราบมากนัก อาจจะเป็นการวัดรอยสึกกร่อนของส่วนที่โดนสลักก็ได้ จากคุณ : HotChoc - [ 24 ธ.ค. 51 20:25:44 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ฮิฮิ ไม่รู้มันมาเมื่อไรยังไงที่ไหน แต่แสดงความเห็นเหมือนคนข้างบนนู้น ว่าคนเหนืออ่านแล้วไม่แปลกหูเลย พอคิดถึงตรงนี้แล้วเกิดความสงสัยมาว่า ทำไมคนคิดว่าคนภาคกลางเป็นคนสร้างศิลาจารึก ฮ๊าย แค่ขำๆ นะค่ะ การวางอักขระ และพยัญชนะ ที่บอกว่าวางหน้าบ้างหลังบ้างบนบ้างแบบไหนก็มี นึกถึงตัวหนังสือล้านนา หรือที่เรียกกันว่า ตั๋วเมือง จะมีไม้นู้นไม้นี้วางตามแต่การใส่ไม้ก่อนไม้หลัง บางคำก็มีบังคับว่ามันต้องเขียนแบบนี้ ลักษณะการเรียงรูปสระไม่เป็นระเบียบเหมือนกัน ถ้า ศิลาจารึก สร้างขึ้นสมัยพ่อขุนรามคำแหงจริง อาจจะเป็นว่าคนจารึกให้เป็นพระสหายพ่อขุนรามคำแหง อย่างพ่อขุนเม็งรายก็เป็นไปได้เนอะ คนเป็นเพื่อนกัน ท่านอาจจะจารึกไว้เป็นเกียรติแก่เพื่อน หรือถ้าทำสมัย ร. 4 จริง ร. 4 อาจจะจ้างช่างทางเหนือทำให้ อันนี้แค่ขำๆ ผ่านมาเจอ แต่ไม่ว่ายังไง เรามีภาษาไทยใช้ ก็ดีกว่าฝรั่งหลายประเทศที่ยืมอักษรโรมันมาใช้ มองในแง่ดีไว้ค่ะ อย่าไปเครียดเลย สรรพสิ่งใดใดในโลกนี้ล้วนอนิจจัง จากคุณ : สีน้ำน้อย (sugarhut) - [ 25 ธ.ค. 51 12:28:50 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ถ้าสร้างปลอมขึ้นในสมัย ร.4 จริง แล้วคนในสมัยนั้นจะมองไม่ออกเลยเชียวหรือครับว่าศิลาหลักนี้เพิ่งถูกสร้างขึ้นไม่ใช่ของเก่า... ผมเชื่อว่าในสมัย ร.4 ก็น่าจะพอมีนักปราชญ์ราชบัณฑิตหรือคนที่มีความรู้ความสามารถอยู่บ้างนะที่พอจะมองออกว่าของเก่าหรือของใหม่ ลองคิดดูเล่น ๆ  สมมุติว่าให้เราลองสร้างศิลาจารึกขึ้นมาซักหลักนึงในตอนนี้พยายามทำให้แนบเนียนที่สุดเลย แล้วลองเที่ยวไปบอกใครต่อใครว่านี่เป็นศิลาจารึกเก่าอายุ 6-7 ร้อยปีนะ แบบนี้คิดว่าจะมีคนเชื่อหรือเปล่าครับ? อย่างน้อย ร่องรอยการเจาะตัดหิน การสลักอักษรบนหิน ผมมันก็น่าจะมองกันออกกันได้ไม่ยากนะ จากคุณ : ยังอีกไกล - [ 25 ธ.ค. 51 21:59:33 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ทำให้นึกถึงเรื่องทดสอบ crystal skull เร็วๆนี้นะคะ ที่ตรวจสอบโดยใช้ electron microscope ดูรอยขูดขีดเนื่องจากเครื่องมือสกัดและขัด ที่ว่าเก๊เพราะรอยที่เห็นเป็นรอยเครื่องมือขัดแบบหมุนที่ไม่มีสมัย Aztec แต่ก็มีข้อสงสัยว่าโดนขัดเพิ่มทีหลังหรือไม่ จากคุณ : jk (jackfruit_k) - [ 26 ธ.ค. 51 14:54:36 ]

ความคิดเห็นที่ 41 คนที่ สลักศิลาให้ คือ ภิกขุผู้ล๊วก มาแต่เมืองคร (นครศรีธรรมราช) ครับและหลักฐาน ที่ว่าจริงนั้น คือ เบื้องทั้งสี่ ที่กล่าวถึงในศิลา สมัยรัชกาลที่ 4 ยังไม่มีการขุดค้นใด ๆ ครับ เพราะ ผู้ดำเนินการขุดค้นอุทยบานสุโขทัย จนพบ อรัญญิก สริดพง ขดาลหิน  ขพุงผี พระอัจนะ ตลาดปสาน(ซึ่ง ไม่มีในวัฒนธรรมรัตนโกสินทร์ และ ไม่เคยมีกล่าวถึงในศิลาใด ๆ ) ก็คือ คุณประเสริฐ ณ นคร นี่เองแหละครับ แก้ไขเมื่อ 26 ธ.ค. 51 22:32:37 แก้ไขเมื่อ 26 ธ.ค. 51 22:31:09 จากคุณ : greeny pony - [ 26 ธ.ค. 51 22:27:43 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ประเด็นฮอต.... แต่ปวดหัวดี อิอิ ได้ยินทฤษฎีใหม่มาว่าสุโขทัยทั้งเมืองอายุไม่ถึง 400 ปีแล้วนี่ครับ ทำไมจารึกยังเก่าอยู่ล่ะ ???? จากคุณ : สังหยู - [ 29 ธ.ค. 51 02:18:41 ]