ความคิดเห็นที่ 1 ถือศีล 8 มันไม่ใช่พิธีกรรมอะไรหรอกครับ คิดซะว่าเป็นการฝึกตัวเอง เหมือนเล่นโยคะ จากคุณ : ชาเขียว - [ 21 ธ.ค. 51 22:41:03 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เห็นด้วยกับควาคิดที่ 1 และควรตัดสินใจข้อ ก. การที่เราไม่นับถือศาสนา ก็ไม่ใช่เรื่องผิด เพราะอย่างน้อยคุณก็นับถือตัวเอง การนับถือตัวเองคือการไม่ทำร้ายตัวเอง ให้เกียรติตัวเอง เสมอ การไปถือศีล 8 ไม่ใช่พิธีกรรม แต่เป็นการงดเว้นทำ 8 ประการ การงดเว้นกระทำ 8 ประการ คือการตัดกิเลส ทำให้จิตใจสงบ ค่ะ ลองดูนะคะ ไม่ยากหรอก ลองเอาตัวและเศษใจสักนิดเข้าไปปฏิบัติดู จากคุณ : กลางปี (กลางปี) - [ 21 ธ.ค. 51 22:59:50 ]

ความคิดเห็นที่ 3 แนะนำให้ไปกับอาจารย์ และบอกอาจารย์ตามตรงว่า ไปด้วยค่ะ แต่จะให้หนูทำอย่างไรดี หากไม่ได้เข้าศีลแปดของชาวพุทธกับพวกเพื่อนๆ สมัยงามสรรพใกล้เรียนจบต้องไปปฏิบัติธรรมก่อนเรียบจบ  เป็นข้อกำหนดของคณะหนึ่งที่มหาวิทยาลัยชื่อดัง (รุ่นน้องๆเคยไม่พอใจจนทำให้เป็นข่าวว่าเป็นการบังคับไม่มีเขียนในหลักสูตร ลงหน้าหนังสือพิมพ์มาแล้ว)  งามสรรพเป็นรุ่นแรกที่เข้าข้อกำหนดนี้ ไม่มีใครกล้าหือเพราะกลัวจะไม่จบกัน  เพื่อนนับถือศาสนาอื่นก็ต้องไปด้วยค่ะ   อาจารย์ท่านแนะนำให้ นั่งสมาธิค่ะ ตอนเราสวดมนต์เพื่อนก็นั่งเฉยๆ เงียบๆ เมื่อเราสวดมนต์ บริกรรมอะไรเสร็จแล้ว ก็นั่งสมาธิ  ท่านบอกว่าคนทุกคนทำสมาธิได้ เพื่อให้มีสมาธิ จิตใจปลอดโปร่ง ไม่ผิดหลักศาสนาใด (ไม่มีข้อยืนยันมาจนทุกวันนี้ ขี้เกียจหาคำตอบค่ะ) เพื่อนๆเหล่านั้นก็แฮปปี้ดีค่ะ  ถึงเวลากินจะสวดมนต์อีก ก็ไม่ต้องสวด แต่ต้องกินอย่างมีสติ ช้าๆ ไม่คุยกัน พอกินเสร็จก็แผ่เมตตา ก็นั่งเฉยๆอีกค่ะ การที่เราไปก็ถือว่าให้ความร่วมมือกับท่านอาจารย์ได้ส่วนนึงค่ะ ไม่ต่อต้านอาจารย์ซึ่งเค้าหวังดีกับลูกศิษย์  แต่อย่างที่บอกให้ขอคำแนะนำจากอาจารย์ว่าไปถึงแล้ว ให้คุณทำอะไรได้บ้างนะคะ จากคุณ : งามสรรพ - [ 21 ธ.ค. 51 23:03:51 ]

ความคิดเห็นที่ 4 พิธีกรรม น. การบูชา, แบบอย่างหรือแบบแผนต่าง ๆ ที่ปฏิบัติในทาง ศาสนา. การการรักษาศีล นุ่งขาวห่มขาว เดินจงกรม ทานอาหาร2มื้อ ไม่ถือเป็นพิธีกรรมหรอกหรือคะ? จากคุณ : ปีกน้อยที่ไม่อาจโบยบิน - [ 21 ธ.ค. 51 23:24:05 ]

ความคิดเห็นที่ 5 มันเป็นการปฏิบัติครับ เป็นการฝึกตัวเอง มีที่มาที่ไป มีเหตุผลรองรับ อย่างที่บอก เหมือนเล่นโยคะ โยคะน่ะ ก็เป็นพิธีกรรมของพวกโยคีเหมือนกันนะครับ ถ้าจะเอาตามพจนานุกรมเด๊ะๆ น่ะครับ กลายเป็นว่าไม่นับถือศาสนา แต่จะแคบกว่าคนที่นับถืออีกนะครับเนี่ย จากคุณ : ชาเขียว - [ 21 ธ.ค. 51 23:37:43 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ผมเป็นพุทธมามกะครับ และมีศรัทธาตั้งมั่นมาก แต่ในส่วนบุคคลผมนับถือศาสดาท่านอื่นด้วย เช่น พระเยซู เพราะท่านสอนให้เรามีเมตตาธรรม พระพิฆเนศวร เพราะว่าเราเคารพในวิชาชีพของเรา และท่านอื่นๆครับ ผมไม่เคยเข้าร่วมมิสซา ผมไม่เคยเข้าร่วมงานบูชาเทพของฮินดู แต่ในส่วนคำสอนนั้นมีผลทำให้ชีวิตเราเจริญก้าวหน้าในทางที่ถูกที่ควร ท่านก็เสมือนครูของเรานั่นแหละครับ ถ้าเราเลือกและเห็นถึงข้อดีนั้น ผมว่าเราจะกำไรนะ ผมเห็นด้วยมากเลยที่มีคนเปรียบกับโยคะครับ ชัดเจนและเข้าใจง่ายมากครับ จากคุณ : ตั้น (tatannara) - [ 22 ธ.ค. 51 01:10:11 ]

ความคิดเห็นที่ 7 จขกท.เข้าใจผิด  ถือศีล 8 หรือศีลอุโบสถไม่ใช่พิธีกรรม พิธีกรรมคือพวกเกี่ยวกับงานทำบุญต่างๆ ศีล 8 นิยมถือวันพระในช่วงเข้าพรรษา (ที่คนแก่ไปนอนวัด) บางคนถือทั้งปี แม่ชีถือศีล 8  สามเณรถือศีล 10 การถือศีล 8 เป็นหน้าที่ของชาวพุทธเป็นการปฏิบัติบูชาเืพื่อตนเอง และบูชาพระพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าตรัสว่าใครอยากเห็นพระองค์ให้ปฎิบัติธรรม เห็นสาระไม่ใช่เห็นรูป) เหมือนการถือศีล 5 เพียงแต่มากกว่า เข้มข้นกว่า พิธีกรรมเราเลี่ยงได้หากคิดว่าไม่ใช่หลักการ แต่ศีล 8 เป็นหลักการไม่ใช่พิธีกรรม พุทธศาสนาอยู่ได้เพราะคนถือศีลปฏิบัติธรรม (ศึกษาด้วยปฏิบัติด้วยจึงอยู่ได้) ศีล 8 มีอะไรบ้าง  ศีล 8 คือ 1.  ปาณาติปาตาเวระมะณี  งดเว้นการฆ่าสัตว์ 2.  อะทินนาทานาเวระมะณี  งดเว้นการลักทรัพย์ 3.  อะพรหมะจะริยาเวระมะณี  งดเว้นการมีเพศสัมพันธ์ (ประพฤติพรหมจรรย์) กับทุกคน  เฉพาะวันที่ถือ  ละเอียดกว่าศีลห้าๆแค่งดเว้นเป็นชู้คู่คนอื่น 4.  มุสาวาทาเวระมะณี  งดเว้นการพูดปด 5.  สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานาเวระมะณี  งดเว้นการดื่มสุราของมึนเมา 6.  วิกาละโภชะนาเวระมะณี  งดเว้นการบริโภคอาหารหลังเที่ยงจนเช้า   ดื่มได้แค่น้ำ 7.  นัจจะคีตะวาทิตะวิสูกะทัสสะนา งดเว้นการฟ้อนรำขับร้องดูการละเล่นมหรสพ มาลาคันธะวิเลปะนะธาระณะมัณฑะนะวิภูสะนัฏฐานาเวระมะณี งดเว้นการประดับดอกไม้ ทาฉีดน้ำหอมแต่งกายสีฉูดฉาด 8.  อุจจาสะยะนะมะหาสะยะนาเวระมะณี   งดเว้นการนอนบนที่นอนสูงใหญ่ (สูงนิ่มสบายเกินไป) ของสามเณรเพิ่มเข้ามาอีกสองข้อคือ เอามาลาคันธะ ฯลฯ เป็นข้อ 8 และข้อ 10 คือชาตะรูปะระชะตะปฏิคคะหะณาเวระมะณี งดเว้นการจับเงินและทอง แนะนำจขกท.ให้ไป  ทำไม  เพื่อเป็นประสบการณ์ในฐานะชาวพุทธ แค่ 3 วัน 2 คืนเอง  นึกถึงคนแก่แม่ชีท่านถือสามเดือน,ตลอดปีได้ เราต้องทำได้  อดทน คิดว่าถวายเป็นพุทธบูชาและสิ่งมงคลให้ชีวิตตน คนรุ่นใหม่น้อยคนจะมีโอกาส  มันไม่ใช่พิธีกรรม แต่เป็นหน้าที่ของชาวพุทธ  ศีล 8 จะสอนให้เราอดทนและรู้จักตัดสิ่ง ที่ไม่จำเป็น สิ่งไร้สาระออกจากตัวเรา  ทำให้เราเป็นอิสระ ท่านว่าคนถือศีล 8 จะได้อานิสงส์มากแม้ปฏิบัติเพียงเล็กน้อย คิดอย่างนี้คุณก็จะสบายใจได้ทั้งคะแนนและบุญกุศล ปล.อาจารย์ไม่ได้คิดแง่ลบ  มันเป็นอย่างนั้นจริงๆเรื่องฆ่าตัวตาย ลองไปสืบดูประวัติคนตาย  ส่วนมากเป็นวัยรุ่นห่างศาสนา เป็นกำลังใจขอให้โชคดี  อย่าลืมกลับมาเล่าประสบการณ์ให้อ่านบ้างนะ แก้ไขเมื่อ 22 ธ.ค. 51 10:04:35 แก้ไขเมื่อ 22 ธ.ค. 51 02:25:53 จากคุณ : วสันดิลก - [ 22 ธ.ค. 51 02:21:31 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ผมเข้าใจเจ้าของกระทู้นะ เพราะก็เป็นพวกไม่ชอบโดนมัดมือชกในเรื่องที่เราไม่มีความเชื่อ หรือที่คนอื่นคิดว่ามันจะดีแต่เราก็มีความคิดของเราอย่างที่ว่า มันมีสารพัดวิธีในการขัดเกลาจิตใจตัวเองโดยไม่ต้องไปเข้าวัดทำสมาธิ เดินจงกรม นุ่งขาวห่มขาว ทานข้าว 2 มื้ออะไรแบบนั้น ขนาดหลับตาแค่ 5 นาทีผมยังแทบทำไม่ได้เลย (อาจเรียกว่ากิเลสหนา 55) แต่มัวิธีทำสมาธิวิธีอื่นที่ไม่ต้องหลับตา เช่น การอ่านหนังสือ คัดอักษรจีน ฯลฯ อีกทั้งในใจนี้ยังขัดแย้งกับเรื่อง "ปาณาติปาตาเวระมะณี  งดเว้นการฆ่าสัตว์" เนี้ยจริงๆมันคือยังไงกันแน่ เพราะผมเห็นว่าเราก็กินเนื้อสัตร์ส่งเสริมการฆ่ากันอยู่ทุกวี่ทุกวัน แล้วมีใครที่กินเนื้อสัตว์ไม่บาปมั่ง หรือว่าจำกัดการฆ่าสัตร์เป็นบาปแค่กับคนที่ลงมือเอง แบบนี้ก็โยนความผิดให้โรงฆ่าสัตว์หรือคนฆ่าปลาขายในตลาดโดยตัวเรารอดพ้นจากข้อหา "ร่วมกันฆ่า" โดยปริยายอย่างนั้นหรือ คิกดุแล้วผมว่าศิลห้าข้อ ข้อแรกข้อนี้ก็ขาดกระจุยกันแทบทุกคนแล้ว... ถ้าผมเข้าใจผิด และใครคิดว่าจะทำให้ผมเข้าใจได้ ช่วยอธิบายให้ที เห็นด้วยอย่างที่ จขกท ว่าการทำความดีแบบอื่น เช่นบำเพ็ญประโยชน์ งานอาสาสมัคร ถ้าเป็นแบบนี้ตัวเองก็ไม่รีรอที่จะทำเลยเหมือนกันโดยไม่ต้องเข้าวัด เคยรู้จักคนเข้าวัดทั้งที่ชอบปฎิบัติธรรมและบริจาคเงินกระจายบางคน (เจอมมากับตัวเอง) ที่ดีแต่ปากสอนคนนั้นทีคนนี้ที แต่เป็นคนอารมณ์ร้อน พอใครไม่เชื่อว่าเข้าวัดไปทำกิจกรรมแล้วดีก็โวยวาย โกรธ โมโหหาว่าเอาสิ่งที่ดีๆมาบอกให้แล้วยังโง่ไม่รับซะงั้น ที่พูดนี้ไม่ใช่ไม่มีศาสนานะ เพราะเป็นคนไหว้พระ ชอบบรรยากาศสงบๆเย็นๆของวัดเหมือนกัน และเชื่อว่าคนปฎิบัติธรรมจริงจังก็ได้ผลในแง่บวกมากมาย แต่ส่วนตัว ไม่มีใจอยากจะไปปฎิบัติธรรมอะไรแบบนั้น เลยไม่เข้าใจว่าทำไมมันต้องมีอะไรแบบนี้เข้าไปในหลักสูตรด้วย ถ้าผมเรียนกับ จขกท คงช่วยอึกอัดใจด้วยคน เสรีภาพ ความเชื่อ การมัดมือชก เหตุผลในสังคมไทยยังขาดๆเกินๆอยู่ดีไม่ว่าจะผ่านไปสักกี่ปี แก้ไขเมื่อ 22 ธ.ค. 51 08:11:07 แก้ไขเมื่อ 22 ธ.ค. 51 08:10:45 จากคุณ : โจโฉ (joechou) - [ 22 ธ.ค. 51 08:01:38 ]

ความคิดเห็นที่ 9 น้อง จขกท. บอกว่าไม่นับถือศาสนา แต่แอบสังเกตได้ว่า น้องยังกังวลเรื่อง บาปอยู่ "คือเราไม่คิดว่าแก่นของศาสนาคือพิธีกรรมอะไรแบบนั้น แล้วจะบาปไหมถ้าเราไม่ศรัทธา" ไม่ได้จับผิดนะคะ แต่ถ้าน้องยังคิดเรื่องนี้อยู่ การที่น้องจะไปหรือไม่ไป ก็สร้างความไม่สบายทั้งนั้น พี่นับถือศาสนาพุทธนะ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจหรือให้ความสำคัญกับพิธีกรรม เพราะมันก็อย่างที่น้องว่านั่นแหละ แก่นศาสนามันไม่ใช่พิธีกรรม พิธีกรรมเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ทำให้ศาสนาอยู่มาได้ แต่การที่ไปปฏิบัติธรรมนั้น มันไม่ใช่พิธีกรรมงมงายนะคะ แต่เป็นการฝึกตัวเอง เหมือนพัฒนาตัวเองทางด้านสมาธิ ถามว่า พัฒนาโดยวิธอื่นก็ได้ บำเพ็ญบุญวิธีอื่นก็ได้มีหลายวิธีจะตายไป อ้าว ---- นี่ไงคะ หนึ่งในหลายวิธีที่ว่า อย่าไปคิดว่ามันเป็นการสร้างบุญสร้างบาป  คิดซะว่า เป็นคอร์สสงบใจ อาจได้เห็นอะไรมากขึ้น ถึงไม่เปลี่ยนใจมานับถือศาสนา แต่ว่า จะได้ประสบการณ์บางอย่างที่นำมาใช้ได้ แฟนพี่เค้าไปปฏิบัติธรรมอย่างนี้แหละ เป็นสัปดาห์ นับถือพุทธด้วย แต่กลับมา ไม่เคยพูดเรื่อง ปฏิบัติแล้วได้บุญ ไม่ปฏิบัติเป็นบาป แต่มองในแง่ข้อดีทางสติ สมาธิ มากกว่าค่ะ ถ้าไม่นับถือศาสนา ก็ไม่ผิดอะไรที่จะลองปฏิบัติบางอย่างนี่คะ ตราบใดที่ไม่งมงาย การปฏิบัติที่ดี ก็นำมาซึ่งผลดีกับตัวน้องอยู่แล้ว เปิดใจกว้างๆ หน่อย จากคุณ : Lighting Plankton - [ 22 ธ.ค. 51 09:25:12 ]

ความคิดเห็นที่ 10 คห.8  ถ้าศึกษาจะไม่ขัดแย้ง กินได้แต่อย่ามีส่วนรู้เห็นในการฆ่า เช่น สั่งเขาให้ฆ่า  เขาเอ่ยปากว่าจะฆ่าให้กิน  อยู่ในเหตุการณ์ ฯลฯ นอกนั้นถือว่าเป็นกรรมของสัตว์ (ที่เรากินๆกันอยู่) (อันนี้ฝากทุกคน)คนพุทธแค่ในบัตร แต่ไม่สนใจพิธีกรรม (มีสาระแฝงอยู่) ศึกษาปฏิบัติจะเรียกว่าพุทธได้ไง ใครจะสืบทอดเรื่องราวต่างๆ (เห็นหลายๆคนชอบพูดว่าไม่สนใจ) ผมยังเป็นห่วงอนาคต  หมดรุ่นปู่ย่าตายาย  ใครจะรักษาศาสนา วันพระประชาชนไม่เข้าวัด ต้องไปเรียน ทำงาน (ดิ้นรนเพื่อปากท้อง) สมัยก่อนญาติพาเด็กๆเข้าวัด  สอนศาสนพิธีต่างๆ สอนสวดมนต์ แต่เดี๋ยวนี้ตรงกันข้าม  คนพุทธไทยไม่ค่อยรู้เรื่องพุทธ สังเกตเวลามีงาน พม่าศรีลังกายังเหนียวแน่นอยู่  ไปสวดมนต์ที่วัดๆเด็กๆก็สวดได้ดี เพราะมีพระสอนวันอาทิตย์ (เราก็มี ทำอย่างเขา) เรื่องคนเข้าวัดยังอารมณ์ร้อนเป็นนิสัยส่วนตัว ส่วนมากคนเข้าวัดไม่มีพิษภัยหรอก  สังคมสงบเพราะศาสนา แก้ไขเมื่อ 22 ธ.ค. 51 10:41:43 จากคุณ : วสันดิลก - [ 22 ธ.ค. 51 09:59:49 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ไปเถอะครับ อย่างน้อยก็เป็นการฝึกสมาธิไปในตัว อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้เลย ไม่ได้ให้ไปอดอาหารหรือเอาดาบแทงลิ้นซะหน่อย จากคุณ : จ้องจนปวด - [ 22 ธ.ค. 51 14:54:39 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ความคิดเห็นที่ 5 เราไม่ได้แคบอย่างที่คุณว่า กรุณาอย่ากล่าวหาโดยที่ไม่รู้ เราถามเพื่อเป็นความรู้ ผู้ไม่รู้นี่ผิดหรือ? เมื่อบางท่านให้ความรู้เราก็ขอขอบคุณ แต่สำหรับเราเห็นว่าการถือศีล8เป็นพิธีกรรมทางศาสนาอย่างหนึ่ง เพราะโดนส่วนตัวตีความหมายว่าพิธีกรรมคือการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับศาสนา ถึงเราอาจจะตีความหมายผิดตามหลักของศาสนาอะไรก็ตาม เพราะมันไม่ได้สำคัญที่ตรงนั้น มันสำคัญที่ว่าอย่างไรเราก็ไม่ศรัทธาในการปฏิบัติแบบนั้นอยู่ดี --------------------------------------------------------------------------- ความคิดเห็นที่ 9 ไม่ได้นับถือศาสนา ไม่ได้แปลว่าไม่ได้นับถืออะไรเลยนี่คะ คุณเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า? เราก็มีแนวทาง ความคิด ความเชื่อของเราเอง สามารถคิดได้เอง ไม่ได้ยึดติดกับศาสนาใด เรื่องบุญบาปไม่ได้เชื่อว่ามีตัวตน แต่เชื่อในผลการกระทำล่ะได้ไหม หรือคนส่วนใหญ่ยังใจแคบคิดว่าพวกไม่นับถือศาสนา คือพวกที่ไม่นับถืออะไรเลย ไม่รู้อะไรดีอะไรชั่วอยู่อีก เปิดใจกว้างๆ หน่อย มนุษย์เรามีสิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนามิใช่หรือ? แต่ใยหลายคนยังมองพวกที่แตกต่างในแง่ลบ และคัดค้านอยู่ในที อย่าปฏิเสธ ถ้าคุณให้เกียรติและเคารพความคิดของบุคคลอื่นก็คงไม่พยามยามโน้มน้าวให้เปลี่ยนความคิด ความเชื่อหรอก จากคุณ : ปีกน้อยที่ไม่อาจโบยบิน - [ 22 ธ.ค. 51 15:49:50 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ถ้าเธอเลือกจะเป็นอย่างที่บอก คือไม่นับถือศาสนาอะไร ก็ต้องยอมรับกับผลของการเลือกของตัวเองด้วย ไม่ใช่ พอเวลาใครเขาถามว่านับถือศาสนาอะไร ถ้าไม่นับถือจะให้เงิน500บาท เธอรีบยกมือยอมรับในเวลาไม่ถึงวิ แต่พอลองมีใครถามคำถามเดียวกัน แต่เค้าจะจับเธอไปฆ่า เธอกลับกลัวลนลานเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้าว่า ฉันเป็นคนมีศาสนาแล้วจ้ะ พออยากจะเป็นอยากจะทำอะไร เธอเปล่งเสียงอย่างรุนแรงว่า ฉันต้องมีสิทธิเลือก และเมื่อเธอเลือกแล้ว ก็ต้องรับผลของการเลือกของเธอด้วย ไม่ว่าผลของมันจะดีหรือร้ายต่อตัวเธอ เธอก็ต้องรับ กล้าทำ กล้าเลือก กล้ารับ ถ้าไม่กล้า ก็อย่ามาทำเก๋ โอเค? จากคุณ : ตามนี้ - [ 22 ธ.ค. 51 17:03:35 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ที่คุณ คห.8 ว่า "ถ้าศึกษาจะไม่ขัดแย้ง กินได้แต่อย่ามีส่วนรู้เห็นในการฆ่า เช่น สั่งเขาให้ฆ่า  เขาเอ่ยปากว่าจะฆ่าให้กิน  อยู่ในเหตุการณ์ ฯลฯ นอกนั้นถือว่าเป็นกรรมของสัตว์ (ที่เรากินๆกันอยู่)" นี้เป็นการศึกษาแล้วหรือครับ หรือเป็นแค่เหตุผลที่สร้างขึ้นเพื่อทำให้ตัวของมนุษย์เราเองรู้สึกผิดน้อยลง โดยปัดให้เป็นเรื่องเวรเรื่องกรรมไปซะ ถ้าอย่างนั้นถ้ามีใครจะฆ่า+ทำร้ายเราหรือคนที่เรารักแล้วเราควรยอมตาย+บาดเจ็บหรือให้คนที่เรารักตายเพราะมันเป็นเวรกรรมอย่างนั้นเหรอครับ ยังฟังไม่ขึ้นอยู่ดีแหละครับ เราจะแค่เชื่อว่าเราไม่บาปเพราะมันเป็นเรื่องของเวรกรรม+มันเป็นสัตว์เลี้ยงโลกไม่ได้หรอกนะครับ เพราะยังไงทุกอย่างก็ย่อมมีเหตุปัจจัย และเราๆท่านๆที่กินเนื้อก็เป็นต้นตอของการบียดเบียน+ฆ่าทำลายสัตว์อื่นอยู่ดี ฉะนั้นยอมรับกันซะดีๆว่าบาปกันตั้งแต่ศีลข้อ 1 อิอิ จากคุณ : โจโฉ (joechou) - [ 22 ธ.ค. 51 17:21:15 ]

ความคิดเห็นที่ 15 คห.14  เป็นคำสอนศาสนา  จะเชื่อหรือไม่แล้วแต่คุณ (คุณไม่เคยอ่านเอง) ท่านสอนไม่ให้มีส่วนร่วมโดยตรง คุณคิดดูอยู่ดีๆคุณไปกินข้าวแกงเนื้อ (ไม่รู้เห็นการฆ่า) กับคุณสั่งเขาให้ฆ่าปลากุ้งตู้โชว์หน้าร้านเพื่อทำอาหาร อย่างไหนมีเจตนา  เป็นบาปกว่ากัน ประมาณนี้  หากไม่ศึกษาก็จะสงสัย ค้านไปเรื่อยๆ จากคุณ : วสันดิลก - [ 22 ธ.ค. 51 18:09:46 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ผมขอแนะนำว่าถ้าคุณคิดว่าอยากไปหรือจำต้องไปก็ขอให้ใช้เวลาระหว่างถือศีลให้ได้ประโยชน์ให้มากที่สุดโดยการศึกษาวิเคราะห์ฆารวาสธรรมจากหนังสือนวโกวาสให้ลึกซึ้ง แล้วจะเห็นว่ามีอะไรดีๆที่สามารถนำเอามาใช้ในชีวิตประจำวันแฝงอยู่ในนั้นมากทีเดียว สมัยที่ผมเคยทำงานHRเคยแอบเอาไปประยุกต์ใช้ได้เยอะทีเดียว และให้ข้อสังเกตุว่าฆารวาสธรรมส่วนมากข้อสุดท้ายจะสำคัญที่สุดยกตัวอย่างเช่นผู้เป็นหัวหน้าของลูกน้องถ้าเอาแค่ข้อสุดท้ายของพรหมวิหารสี่คืออุเบกขา(ไม่ใช่การวางเฉยไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้นเหมือนที่บางคนแปลความหมายแต่หมายถึงความเที่ยงธรรมไม่ลำเอียงเพราะรัก เกลียด โง่ หรือกลัว)มาใช้ปฏิบัติต่อลูกน้องให้จริงจังเพียงข้อเดียวก็จะได้รับความนับถือจากลูกน้องมากกว่าใช้อย่างอื่นดังที่หลายๆคนทำอยู่ นอกจากนี้ยังมีฆารวาสธรรมข้องอื่นๆอีกหลายข้อที่หากลองเข้าไปศึกษาวิเคราะห์ดูแล้วจะเห็นว่าเรายังใกล้เกลือกินด่างอยู่เยอะ จากคุณ : Cyber Sage - [ 22 ธ.ค. 51 20:57:39 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เจ้าของกระทู้ครับ ความเห็นที่13 กล่าวไว้ถูกต้องทีเดียว สิ่งที่คุณเลือกเอง คุณก็ต้องยอมรับสิ่งที่คุณได้เลือกลงไปแล้ว การที่คุณมาตั้งกระทู้ถามนั้น คุณอยากจะหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง คุณอาจต้องถามว่าทำไมจะต้องทำเช่นนั้น คุณอึดอัดเรื่องอะไร คุณกลัวบาปหรือ กลัวผลเเห่งการกระทำเช่นนั้นหรือ แต่การที่คุณต้องมาพบกับภาวะอึดอัดเช่นนี้ก็เป็นผลเบื้องต้นจากสิ่งที่คุณได้เลือกไว้แล้วว่าคุณปฎิเสธพิธีกรรม หากแต่แรกคุณไม่ปฏิเสธพิธีกรรมคุณจะอึดอัดดังนี้หรือไม่ นี่อาจกล่าวได้ว่าเป็นผลสืบเนื่องของกรรม กรรมในที่นี้คือการกระทำไม่ใช่กรรมที่คนมักเข้าใจว่าเป็นนามธรรมที่สูงส่ง  สิ่งที่คุณได้เลือกแล้วได้ส่งผลออกมาในรูปนี้เป็นผลสืบเนื่องกัน ไม่ว่าใครก็คงจะช่วยคุณไม่ได้เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลจากทางเลือกของคุณเอง แน่นอนว่าอาจารย์ของคุณอาจทำไม่ถูก ความจริงควรถามเจตนาของนักศึกษาทุกคนเสียก่อนว่ามีใครเต็มใจทำหรือไม่ ถ้าไม่เต็มใจก็ไม่ควรบังคับเพราะเรื่องทางศาสนาหากบังคับจะกลายเป็นผลเสียมากกว่า แต่ทีนี้เราต้องดูว่าอาจารย์และหลักสูตรหรือข้อบังคับที่ว่ามาเป็นปัจจัยที่เราเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ ทำไมไม่ลองคุยกับอาจารย์อย่างตรงไปตรงมาว่ารู้สึกอย่างไร ถ้าคุณกลัวว่าอาจารย์จะมองคุณไม่ดี คุณก็ควรจะยอมรับว่าคุณเลือกทางนี้แล้ว เหตุไฉนจึงกลัวที่คนอื่นจะมองคุณไม่ดีทั้งที่คุณก็รู้ว่าสังคมส่วนใหญ่เป็นอย่างไร คุณต้องตัดสินใจเองครับ ไม่มีใครไปตัดสินใจแทนคุณได้ สิ่งที่ผมเขียนมาทั้งหมดคุณอาจปฏิเสธก็ได้ครับเพราะเป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของผมเท่านั้น แต่อยากบอกว่าถ้าคุณเชื่อว่าตัวเองก็เป็นคนดีคนหนึ่งโดยไม่ต้องพึ่งพิธีกรรม คุณควรใช้เหตุผลให้มากในการอธิบายเรื่องนี้กับตัวเอง เสร็จแล้วก็ใช้เหตุผลดังนั้นไปอธิบายกับอาจารย์ให้เขาเข้าใจเรา และใช้ความอดทนให้มากหากท่านไม่เข้าใจ ขอให้คุณพบทางออกจากเรื่องนี้ในทางที่ดีที่สุดโดยเร็วนะครับ จากคุณ : Mr.Learning - [ 22 ธ.ค. 51 21:20:50 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ในเมื่อยังมองเห็นดีและชั่ว ยังมีความรู้สึกรับรู้ถึงเรื่องบาปบุญคุณโทษอยู่ ก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่จะปฏิเสธวิธีการปฏิบัติใดๆ ที่จะละเว้นสิ่งไม่ดีหรือบาป  อย่ามองเพียงแค่มันเป็นพิธีกรรมของศาสนา  ถ้าอยากเปิดใจกว้าง คิดให้กว้าง ไม่ไปยึดติดกับสิ่งใดๆ  ก็อย่าเอาตัวเองไปยึดอยู่กับเรื่องแคบๆ ครับ  ^^ จากคุณ : PomVoy - [ 23 ธ.ค. 51 00:10:44 ]

ความคิดเห็นที่ 19 อ่าว ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่การที่น้องเขาถูกบังคับแล้วหรือครับ ที่จริงการไม่มีศาสนาก็ถือเป็นความเชื่ออีกแบบหนึ่ง สังคมเราน่าจะได้ให้เกียรติความไม่มีศาสนาเทียบเท่ากับการนับถือศาสนาอื่น  ต้นตอของปัญหานี้คือคุณครูไม่ได้ให้เกียรติความไม่มีศาสนา มองว่าไม่มีศาสนาคือเป็นพุทธ หรือมองว่าไม่มีศาสนาเราบังคับให้ไปทำอะไรแบบพุทธๆ ได้ ครูผิดเต็มๆ แต่กลับไม่ค่อยมีคนต่อว่าครูแฮะ จะมาว่าน้องเขาไม่ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเลือกก็ไม่ได้ในเมื่อสังคมมันพิกลพิการ ถ้าดูจากความเห็นที่ตอบในกระทู้นี้ ผมเห็นว่าน้องเขามองถูกแล้วครับว่าสังคมมันไม่ยอมรับฟังคงที่เห็นต่างอยู่แล้ว ผมว่าถ้าสังคมมันไม่พิกลพิการ ผมว่าน้องเขาคงไม่กลัวที่จะไปบอกครู มันจะไม่เกิดปัญหานี้ขึ้นตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว ถ้าจะบอกว่าสังคมมันพิกลพิการหนูปีกน้อยต้องยอมรับมันให้ได้ฝ่ายเดียว มันไม่ใจร้ายไปหน่อยหรอครับ ปัญหาคือน้องเขาไม่ใช่ชาวพุทธ แต่เรากลับพยายามเอาคำสอนของพุทธไปครอบงำเขา ไปอธิบายว่าศีลแปดคืองี้ๆๆๆ ไปโฆษณาว่าปฏิบัติธรรม เดินจงกรมดีงี้ๆๆๆ ผมรู้สึกเหมือนผมโดนชวนไป Landmark Forum ยังไงไม่รู้ คือผมไม่ได้ชอบวิธีคิดของ Landmark Forum แล้วถ้ามีคนมา 'บังคับ' ให้ผมไป ผมก็ไม่อยากไป ผมมองว่าไอ้ที่เขาทำๆ กันใน Landmark มันดูเป็นพิธีกรรม คนใน Landmark Forum จะมาอธิบายยังว่ามันเป็นการปฏิบัติการฝึกฝน (แถมอธิบายด้วยศัพท์เฉพาะของ Landmark อีก) จะมาโฆษณาว่าดีงี้ๆๆๆ ยังไง มันก็ไม่ทำให้ผมอยากไป Landmark ขึ้นมาหรอกครับ ปัญหานี้มันอาจมองได้สองทาง ทางหนึ่งมันก็เป็นปัญหาสังคมที่เราไม่ยอมรับความต่าง โดยเฉพาะในกรณีนี้ก็คือความแตกต่างของคนไม่มีศาสนา เรามองว่าถ้าเป็นอิสลามเป็นคริสต์ ต่างกับเรานะ เราเคารพ แต่พอเป็นคนไม่มีศาสนา เราไม่คิดว่าต่าง เราไม่ต้องเคารพสิทธิเขาก็ได้ บังคับให้เขาไปทำแบบคนพุทธได้ ปัญหาคือการที่เราเอาศาสนาที่เป็นกระแสหลักในบ้านเรา ที่เรานับถือ ไปครอบความคิดของคนอื่นเขา การที่เรามองว่าวิธีปฏิบัติพวกนี้ที่โยงกับศาสนาพุทธเป็น Universal นะ ใครก็เอาไปใช้ได้ อย่างนี้ศาสนา ลัทธิไหน หรือ Landmark Forum ก็พูดได้ครับ ใครจะมาบอกว่าการเชื่อในพระเจ้าแล้วแล้วจะมีความสุขนิรันดร์เป็น Universal ก็ได้ แต่... ทำไมต้องไปบังคับให้เขาทำด้วยละครับ แล้วผมก็ไม่ชอบครับที่ไปบอกให้น้องเขามองกว้างๆ หน่อย การที่เรามองออกไปจากกรอบศาสนาพุทธอย่างเดียว กับการที่น้องเขามองจากกรอบของคนไม่มีศาสนา น้องเขามองแคบกว่าเราหรอครับ กรณีที่เกิดขึ้นกับน้องปีกน้อยน่าจะช่วยสร้างความตระหนักกับสังคมได้ว่า 1. สังคมเราไม่ได้ยอมรับความต่างอย่างแท้จริง 2. ในทางศาสนา คนพุทธก็ยังชอบเอาความคิดแบบพุทธไปครอบงำคนอื่นๆ อยู่มาก 3. การไม่มีศาสนาก็ควรได้รับการให้เกียรติเทียบเท่ากับการมีศาสนาต่างกัน ปัญหาอีกทางก็อยู่ที่ตัวน้องปีกน้อยเอง แต่ผมไม่คิดว่าน้องเขาเป็นปัญหา น้องเขาอยู่ในวัยที่เรียนรู้และค้นหาคำตอบ แล้วก็มาขอความคิดเห็นในพันทิปเพื่อช่วยในกระบวนการค้นหา และน้องเขาฉลาดทีเดียวที่วิเคราะห์ทางออกเป็นสามทาง แล้วก็ประเมินผลที่จะเกิดจากทั้งสามทางมาแล้ว ที่น้องเขาต้องการคือความเห็น สำหรับทางเลือกที่ให้มา ผมว่าทางเลือกที่สาม โกหก มันกะล่อนครับ ถ้าเลือกทางนั้นเราก็ฝึกตัวเองให้เป็นคนกะล่อนขึ้นมาอีกในชีวิต ดังนั้นผมไม่สนับสนุนทางที่สองด้วยประการทั้งปวง สำหรับทางเลือกที่หนึ่งและสอง น้องปีกน้อยต้องถามตัวเองว่าตัวเองไม่อยากไปเพราะโดนบังคับ หรือน้องปีกน้อยไม่อยากไปจริงๆ เพราะไม่ชอบการปฏิบัติธรรม ถ้าไปจะต้องทนทรมานไปสามวันสองคืน ถ้าเป็นเพราะอย่างหลัง ก็ไม่ควรไปครับ บอกกับครูไปตรงๆ ว่าไม่มีศาสนา ไม่ชอบปฏิบัติธรรม มันขัดกับความเชื่อของตัวเอง แล้วทำรายงานให้ดีที่สุด ครูจะให้คะแนนน้อยก็ช่างมัน ถ้าตัดสินใจทางนี้ มันน่าจะช่วยทำให้เป็นคนมีหลักการ เป็นคนซื่อตรง (มี intregity) มากขึ้น แต่มันก็จะสร้างความผยอง ความทรนงให้ตัวเองด้วย ซึ่งเราก็ต้องระวังตัวเองไม่ให้ความผยองมันครอบงำความคิดเราในอนาคต แต่ถ้าโชคดีครูเข้าใจ โลกนี้มันก็สวยงามขึ้น ครูก็จะเข้าใจความไม่มีศาสนามากขึ้น น้องปีกน้อยก็จะเห็นศักยภาพว่าสังคมสามารถดีได้นะ ถ้าเราทำสิ่งที่ถูกต้อง แต่ถ้าน้องปีกน้อยไม่อยากไปเพียงเพราะว่าโดนบังคับ อืม สังคมนี้มันก็พิกลพิการอย่างที่่น้องรู้ ยังมีอีกหลายอย่างที่สังคมจะมาบังคับให้เราทำ ทั้งๆ ที่มันไร้สาระ ถ้าเราจะไปต่อต้านกับทุกอย่างที่สังคมบังคับเราทั้งชีวิต มันคงเหนื่อยตายฮา ในกรณีนี้อยากให้น้องไปดู มันก็แค่เป็นการลองเปิดรับสิ่งที่ต่างจากเราดู มีบางอย่างที่เราไม่ชอบ แต่พอได้ไปเห็น ไปทำ ก็ไม่ชอบน้อยลง ก็เข้าใจมากขึ้น ถือซะว่าเป็นการเรียนรู้ว่าทำไมเขาถึงนิยมไปกันนะ ไปแล้วก็อาจะไม่ชอบมากขึ้น แต่ก็ได้เห็นอะไรมากขึ้น ได้เข้าใจอะไรมากขึ้นเหมือนกัน อีกทางหนึ่งมันก็เป็นการฝึกอยู่ในสังคมที่พิกลพิการ ที่ชอบครอบงำคนด้วยความคิดกระแสหลัก เราจะได้จำไว้ว่าสังคมมันพิการอย่างนี้นะ แล้วก็ระลึกไว้เสมอว่า ถ้าสักวันหนึ่งที่ลักธิไม่นับถือศาสนาเป็นกระแสหลักแล้ว เราจะไม่เอาความคิดเราไปครอบคนที่นับถือศาสนาอื่น เพราะเราก็เคยไม่ชอบคนที่นับถือศาสนาเอาความคิดเขามาครอบเราเหมือนกัน จากคุณ : วัว (cookiemonmon) - [ 23 ธ.ค. 51 04:27:26 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ^ ^ ^ เธออออออ! ถ้าไม่ยืนหยัดกับสิ่งที่ตัวเองเลือก ตัวเองเชื่อ แล้วจะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร โทษสังคมอยู่นั่น โทษไปทำไมมี โทษไปแล้วได้อะไร ทำสิ ต้องเริ่มทำที่ตัวเองก่อน เข้าใจ? ไม่ใช่เอาแต่ได้ จากคุณ : ตามนี้ - [ 23 ธ.ค. 51 08:27:44 ]

ความคิดเห็นที่ 21 กลายเป็นว่า เมื่อจะไม่นับถือ เลยจะไม่ทำ มี "ข้อห้าม" มี "ข้อปฏิบัติ" ในใจซะแบบนั้น แล้วแบบนี้ ต่างอะไรกับการนับถือศาสนา "ไม่นับถือศาสนา" ล่ะครับ ถ้าไม่นับถือจริง มันน่าจะสามารถปรับเปลี่ยนยืดหยุ่นได้ตามสถานการณ์สิครับ พอตั้งข้อห้าม ตั้งพิธีกรรมให้ตัวเองซะแล้ว มันก็คือนับถือศาสนา "ไม่นับถือศาสนา" นั่นแหละครับ จากคุณ : ชาเขียว - [ 23 ธ.ค. 51 09:14:30 ]

ความคิดเห็นที่ 22 คห.19  แค่อาจารย์ให้ไปถือศีลสองสามวัน โวยวาย อธิบายซะเว่อร์ มันไม่ใช่สังคมพิการ ครอบงำครอบงึมอะไรหรอก คนที่พิการคือนักเรียน (คนรุ่นใหม่) ที่ไม่สนใจพิธีกรรม ไม่สนใจศาสนา ศาสนาเกี่ยวข้องกับศิลปวัฒนธรรมและศีลธรรมในสังคม ผลกระทบมันเป็นทอดๆเคยคิดหรือเปล่า อาจารย์พบสิ่งดีๆอยากให้นักเรียนตัวเองลองดูบ้าง ไม่ได้พาไปฆ่า ท่านชวนไปทางดี ทำหน้าที่ของอาจารย์ถูกแล้ว ไม่ใช่ไปว่าตำหนิท่าน ชวนไปกินเหล้าเล่นพนันว่าไปอย่าง กรณีนี้คุณว่าอาจารย์บังคับแล้วกรณีอื่นๆอาจารย์ให้ทำกิจกรรมคุณก็บอกว่า ไม่ถามความสมัครใจก่อน  ครอบงำหมดใช่ไหม   ตกลงจะตามใจตัวเองตลอด  มีอะไรบ้างในโลกทำตามใจได้ทุกเรื่อง อนาคตทำงานเจอกฎระเบียบบังคับต่างๆนานาจะอยู่ยังไง ยังไม่ได้ลองอย่าคิดสรุปเอาเอง   จขกท.ในบัตรเขาระบุว่าพุทธ ปฎิบัติแค่นี้จะเป็นอะไรไป   จขกท.เรื่องชอบไม่ชอบเลิกคิดไปเลยตอนนี้  แก้ไม่ได้แล้ว ให้คิดเรื่องคะแนน คิดว่าเพื่อนทำได้เราก็ทำได้  ไม่ตายหรอก แก้ไขเมื่อ 23 ธ.ค. 51 13:23:59 แก้ไขเมื่อ 23 ธ.ค. 51 13:17:32 จากคุณ : วสันดิลก - [ 23 ธ.ค. 51 09:57:06 ]

ความคิดเห็นที่ 23 คิดซะว่า ไปฝึกฝนตัวเอง ให้จิตตัวเองนิ่งๆ ดูบ้าง ชาวคริสต์สมัยนี้หลายคนก็ยังฝึกสมาธิเลย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเค้าต้องมาเข้ารีตเป็นพุทธซักหน่อย ลองเข้าถึงแก่นแท้ และคำสอน ของพระพุทธองค์จริงๆ ซะก่อน ถ้าไม่ชอบและเห็นว่าเป็นสิ่งไร้สาระ เอามาใช้ประโยชน์กับชีวิตไม่ได้ก็แล้วไป  แต่อย่าเพิ่งพิพากษากับการดูแค่เปลือกนอกเลยค่ะ จากคุณ : ยาควัน - [ 23 ธ.ค. 51 10:45:31 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ไม่ชอบ  ก็อย่าไปดีกว่า (มีทางอื่นที่กระทำหรือ แย้งอาจารย์ได้อยู่แล้ว)  เดี๋ยวจะพาล  มองศาสนาในแง่ลบมากกว่าเดิม  ก็เท่านั้น. เป็นคนดี  มีระเบียบ วินัย  รักษากฏ กติกาของตัวเอง  และสังคม  ชีวิตก็มีความสุขแล้ว  อย่าไปยึดติดมาก. คำสอนพุทธศาสนาบางอย่าง  มีข้อเกี่ยวกับพิธีกรรม  เช่นว่า  การณ์ใด  เรียก  อามิชบูชา  หรือ ปฏิบัติบูชา   ผู้สนใจก็ลองๆศึกษาเอา  หากสนใจว่า  อะไร เป็นอะไรกันแน่. จากคุณ : คนบ้านสามขา101ฯ. - [ 23 ธ.ค. 51 12:39:31 ]

ความคิดเห็นที่ 25 อ่านแล้วแปล่งๆ  ในเมื่อไม่นับถือศาสนาใดๆ แล้ว จะมากลับ บาป ทำไม   เหตุผล คือ ไม่ใช่ไม่นับถือศาสนา  แต่ มันคืออะไรกันแน่  จขกท  น่าจะค้นหาตัวเองด้วย จากคุณ : I-Kant - [ 23 ธ.ค. 51 12:52:12 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ตอนแรกอ่านคห.ที่  20 แล้วขัดใจมากๆ เพราะมันตรง ห้วน และแรง แต่พอคิดดีๆ มันก็จริงอย่างที่เค้าว่า แต่ส่วนตัวผมเชื่อในตัวเองอิงคำสอนของหลักศาสนาพุทธ และทุกศาสนา แต่เลือกเอาตามที่ผมคิดได้เองว่าสมควรเชื่อ สมควรทำตามไหม ตรงตามคำสอนของศาสนาพุทธเช่นกัน  ถ้าผมจำไม่ผิด พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ว่า อย่าเชื่อใครแม้แต่ท่านเอง ให้เราคิดก่อนว่าควรจะเชื่อหรือไม่ เช่นกัน เจ้าของกระทู้ก็ควรที่จะเลือกเชื่อสิ่งที่ตรงเองมั่นใจ ไม่ใช่ทำตามคำแนะนำของคนอื่นทั้งหมด.. จากคุณ : น้องหนูเอวตัน - [ 23 ธ.ค. 51 12:59:08 ]

ความคิดเห็นที่ 27 คห.19 คุณมองได้ทะลุจริง ๆ ครับ โดนใจผมมาก ให้ GIVE แล้วนะครับ จากคุณ : นายกองกัซ - [ 23 ธ.ค. 51 15:59:53 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ^ ^ ^ เหมือนกันครับ ... ให้สิทธิเสรีภาพ และโอกาสในการเลือก การเข้าใจตน เป็นสิ่งเฉพาะตัวเถิดครับ ...ศาสนา หรือไม่ศาสนาก็ดี ... หากเรามีสติว่าตนกำลังคิด พูด ทำ สิ่งใดอยู่ นั่นก็เพียงพอแล้วครับ ...ไม่สนับสนุนการโกหกครับ ถ้าจะไปหรือไม่ไป ... ไปอธิบายเหตุผลกับอาจารย์กันตรงๆเลยครับ ... จากคุณ : jassb1 - [ 23 ธ.ค. 51 16:28:12 ]

ความคิดเห็นที่ 29 เลือกทำอันที่เราทำแล้วเราสบายใจสิ เราเรียนอัสสัมชัญเค้ามิสซากันเราก็ไป อยู่บ้านเป็นคนจีนไหว้เจ้าเราก็ไหว้ วัดเราก็ไปโบสถ์คริสต์เราก็ไปศาลเจ้าเราก็ไป แต่ถ้าไม่อยากไปก็ไม่ไปแค่นั้นเองบอกอาจารย์ไปเลย ขอทำรายงานส่ง จากคุณ : หริปรียา - [ 23 ธ.ค. 51 16:52:33 A:202.28.27.5 X: TicketID:197397 ]

ความคิดเห็นที่ 30 เจ้าของกระทู้เปลี่ยนจากไม่นับถือศาสนา มาเป็น multi religion แบบผมไหมครับ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้ทุกศาสนาแล้วแต่อารมณ์ จากคุณ : Naruse_X - [ 23 ธ.ค. 51 17:17:01 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ผมคิดว่าในมุมมองของคนนับถือพุทธ คงจะอยากเปิดทางสว่างให้คุณรู้จักความสุขที่แท้จริง (เหมือนที่คุณอยากแนะนำสิ่งที่คุณคิดว่าดีให้คนที่คุณรักนั่นแหละ) จริงๆผมว่าในเมื่อคุณไม่ใช่คนยึดติดล่ะก็ผมก็ไม่เห็นว่าคุณจำเป็นจะต้องตั้งมั่นว่าไม่ๆๆๆๆเลย ถ้ามันอยู่ในหลักสูตรก็แปลว่ามันเป็นหน้าที่ไงครับ เหมือนเรียน รด. น่ะเเหละ คุณจะมาบอกว่าคุณคิดว่าการฝึกมันไม่มีประโยชน์ ขัดกับหลักการของคุณ ไม่เรียนดีกว่า เหนื่อยเปล่าๆ ได้มั๊ย (ได้...แต่ต้องไปจับใบแดง-ดำ ซึ่งก็อาจจะผิดหลักการของคุณอีก) แต่ผมก็เห็นด้วยว่าถึง จขกท. ไปก็คงไม่มีประโยชน์อะไร เพราะ คงไม่มีสมาธิที่จะรับความหมายของสิ่งที่คุณเรียกว่าพิธีกรรมได้ ผมก็ไม่ใช่คนเคร่งศาสนาอะไร แต่พอบอกได้ครับว่าพิธีกรรมเป็นแค่ส่วนยิบย่อยของศาสนาเท่านั้น แก่นแท้ต้องศึกษาครับถึงจะรู้ ถึงจะเข้าใจ ส่วนเรื่องการทำบุญบริจาค ให้ทาน ทำประโยชน์ให้สังคม เป็นเรื่องดีมีค่าครับ ใครๆก็รู้ ไม่ต้องบรรลุอะไรก็รู้ได้ เรื่องดีๆอย่างนั้นน้องทำไปเลยครับ ไม่ต้องรอบรรจุในหลักสูตร   :) จากคุณ : หลังยาว - [ 23 ธ.ค. 51 18:35:37 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ช่วยตอบเจ้าของกระทู้ ถ้าเป็นพี่ พี่เลือกข้อ ข.ค่ะ บอกอาจารย์ไปตรงๆ ว่าไม่อยากไปเพราะอะไร จะทำรายงานส่ง คุณไม่มีสิทธิคิดว่าอาจารย์จะคิดอย่างนั้นอย่างนี้ค่ะ และก็ไม่มีสิทธิสงสัยว่าอาจารย์จะลำเอียงให้คะแนนน้อยกว่าเพื่อนที่ทำรายงานส่งเหมือนกันเพราะนับถือศาสนาอื่น คุณมีสิทธิบอกอาจารย์ว่าไม่ต้องการจะไป แต่ก็ต้องยอมรับถ้าท่านจะรู้สึกแปลกๆ (เพราะพี่ยังรู้สึกว่าแปลกๆ เลย พี่เองมีคำว่าพุทธอยู่ในบัตรประชาชนจริง แต่ก็ไม่อาจพูดเต็มปากว่าเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีได้ แต่ในกรณีของพี่ ถ้าอาจารย์ให้ไป ก็จะรู้สึกว่าสนุกดี ได้ไปเที่ยวกับเพื่อน ได้ทำอะไรที่ไม่เคยทำ เป็นประสบการณ์แปลกใหม่ ไม่ได้แปลว่าจะเชื่อหรือจะไม่เชื่ออะไร) แต่...ข้อ คอควาย ไม่ควรเลือกค่ะ เว้นแต่จะทำใจให้สบายได้หลังจากโกหกไปแล้ว แล้วก็...อย่าไปว่าอาจารย์มัดมือชกเลยนะคะ คนเป็นครู...เขาต้องคิดว่าสิ่งที่ทำนี้ต้องเกิดผลดีแก่ศิษย์บ้างไม่มากก็น้อยค่ะ การพาเด็กไปทำอะไรก็แล้วแต่นอกสถานที่นี่มันเหนื่อยพอควรนะคะ ถ้าอาจารย์ไม่หวังดีต่อศิษย์ส่วนใหญ่จริงๆ คงไม่หาเรื่องเดือดร้อนมา จนทำให้น้องต้องมาตั้งกระทู้ถามหรอกค่ะ พี่ทำหน้าที่ของเพื่อนร่วมบอร์ดที่ดี น้องถามความคิดเห็น ก็ตอบให้แบบตรงประเด็น และขอเสริมในสิ่งที่พี่เองก็มีความคิดเห็นเพิ่มเติม ซึ่งออกแนวแนะนำ(ซึ่งไม่แน่ใจว่าน้องต้องการหรือเปล่า) อาจไม่ถูกใจน้อง ก็ต้องขอโทษไว้ล่วงหน้าแล้วกันนะคะ จากคุณ : หมอ-ยา-ผู้-น่า-รัก - [ 23 ธ.ค. 51 19:07:42 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ตัวเองคิดว่าถ้าคุณครูของน้องเป็นคนที่ยอมรับฟังความคิดเห็นได้ก็บอกไปตามตรงเถิด (ถ้าไม่อาจจะต้องโกหกหรือฝืนใจไป) ในฐานะที่คิดว่าตัวเองก็ไม่นับถือศาสนาใดๆเลยเหมือนกัน จะเป็นคนที่เลือกจะเชื่อในสิ่งที่คิดว่าสมเหตุสมผลเท่านั้นไม่ว่ามันจะเป็นคำสอนของศาสนาใดๆ ตัวเองก็ลำบากใจอยู่บ่อยๆที่ต้องไปทำพิธีกรรมอะไรบางอย่างที่เราเห็นว่ามันไม่ได้เป็นประโยชน์อันใดเลย เข้าใจความรู้สึกเลยล่ะ จากคุณ : ขุนเข่าไร้น้ำยา (ลูกเจ้าแม่บัวบาน) - [ 23 ธ.ค. 51 21:13:31 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ผมมีความคิดเห็นว่า ควรจะบอกอาจารย์ไปตรงๆว่าไม่เชื่อในสิ่งที่คุณคิด ในเมื่อไม่เชื่อ แล้วจะมีประโยชน์อะไรที่จะไป ดังนั้นควรจะเรียนท่านไปตรงๆ และพร้อมที่จะรับผลในสิ่งที่เกิดขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณคิดว่าไม่ได้มีผลเสีย หรือ ไม่ฝืนกับความคิดของตัวเองมากมายนัก ก็น่าจะลองปฏิบัติดู แต่ถ้าลองแล้ว มันสอดคล้องกับสิ่งที่คุณคิด ก็ถือสะว่า คุณได้ลองแล้ว และมันไม่ใช่ จากกระทู้นี้ ทำให้ได้คิดอะไรหลายๆอย่าง ตัวผมเองไม่ได้เชื่อในพิธีกรรม"บางอย่าง" และไม่ได้ปฏิบัติตาม หากแต่ผมศรัทธาใน คำสอนของพุทธองค์ ซึ่งผมคิดว่าคือแก่นแท้ของพุทธศาสนา แต่อ่านบางความคิดเห็นแล้ว คิดว่าหลายๆท่านในที่นี้ ไม่ได้รับฟังความคิดเห็นผู้อื่น หรือเหมือนจะรับฟัง แต่ก็ไม่ได้เปิดใจ และรับฟังเลย บางทีสังคมอาจจะดีกว่านี้ ถ้าหากยอมรับฟังในความคิดเห็นของผู้อื่น ไม่ดูถูก หรือดูหมิ่นหากว่าความคิดเห็นนั้นๆไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน และไม่ได้สอดคล้องกับความคิดเห็นของตัวเอง จากคุณ : วันที่อ่อนไหว... - [ 23 ธ.ค. 51 21:39:48 ]

ความคิดเห็นที่ 35 เพิ่งไปปฏิบัติธรรมมา 7 วันค่ะ  ^___^ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W7335242/W7335242.html หนูหิ่ง ฯ นับถือศาสนาพุทธตามคุณแม่   แต่คุณพ่อไม่ได้นับถือศาสนาอะไรเลย (มั้ง ?) เพราะคุณพ่อไหว้เจ้าอย่างเดียว แต่....  หนูหิ่ง ฯ ก็ไปโบสถ์คริสกับเพื่อนในวันอาทิตย์  ไปสุเหร่ากับเพื่อนถ้ามีโอกาส เพราะอยากเรียนรู้ว่าแต่ละศาสนาเขาสอนอะไรบ้าง สำหรับการไปถือศีล ๘  ไม่ใช่พีธีกรรม แต่เป็นการปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าเท่านั้น สำหรับตัวหนูหิ่ง ฯ ก็แค่ไปหาที่สงบ ๆ ระงับสติและฝึกตนเอง 1. ให้มีความเพียร     พยายามจะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้สำเร็จลุล่วง 2. ให้มีความอดทน   ต่อกฎเกณฑ์ของแต่ละสถานที่ 3. ให้มีสมาธิ           ในการจะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด 4. ให้มีสติ               รู้คิด  รู้พูด  รู้อยู่ 5. ใจเย็นขึ้น 6. ให้รู้จักปล่อยวาง   7. รู้จักการให้อภัย ฯลฯ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันให้มีความสุขได้ แต่คุณครูควรเลือกไปปฏิบัติยังสถานที่ ๆ เหมาะสม   มีคนสอนให้ปฏิบัติอย่างพอดีสำหรับผู้เริ่มต้น  จะได้ไม่เครียด คิดเสียว่าเป็นบททดสอบตัวเองว่า....  เรื่องแค่นี้  คนอื่นเขาทำได้  เราก็ทำได้เหมือนกัน นี่อาจจะเป็นบททดสอบบทต่อไปก็ได้นะ  ^___^ จากคุณ : หิ่งห้อยน้อยใจ - [ 23 ธ.ค. 51 21:41:36 ]

ความคิดเห็นที่ 36 เห็นด้วยกับ คห 32 ไม่รู้สึกแปลกที่น้อง จขกท จะกังวล ถ้าต้องไปบอกครูตรงๆ ก็ บอกมาเองว่า หลักฐานทางราชการบอกว่าเป็นพุทธ พอจะบอกว่าไม่ใช่ ก็ต้องกังวลคิดว่าคนอื่นคงคิด "ถ้าไม่ใช่คราวนี้ ก็ต้องเป็นตอนที่ใส่ข้อมูลในหลักฐานที่ว่า ที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง" ทั้งๆที่มันอาจเป็นเรื่อง เวลาเปลี่ยน คนเปลี่ยน ก็ได้ เรื่องครูจะคิด จะมองเราอย่างไร ไม่ใช่เรื่องที่ต้องคิด มันเป็นเรื่องของครู เลือกแล้วว่าไม่นับถืออะไร รู้แล้วว่าถ้าไป ก็ไม่สบายใจสบายกาย และเห็นว่าไม่จำเป็น ก็บอกไปตรงๆจะโกหกทำไม ทำอะไร ทำแบบตรงไปตรงมา ปัญหาจะตามมาน้อยที่สุด จากคุณ : Deckard - [ 23 ธ.ค. 51 22:29:22 ]

ความคิดเห็นที่ 37 คุณพูดแล้วมันขัดๆกันเองยังไงไม่รู้นะครับ เท่าที่ผมดู คุณบอกว่า "แล้วจะบาปไหมถ้าเราไม่ศรัทธา" คุณจะกลัวบาปทำไมครับถ้าคุณไม่เชื่อในศาสนา ไม่เชื่อในแนวคิดของศาสนาที่ว่าบาปบุญคุณโทษมีจริง ผมเห็นว่าเป็นเรื่องดีนะครับที่คุณกลัวบาปเพราะมันเป็นจรรณยาบรรณที่สมควรมี เพราะเป็นสิ่งที่แสดงว่าคุณแยกแยะสิ่งผิดชอบชั่วดีได้  ตบมือให้ครับ แปะๆ ลองเอาไปคิดดีๆนะครับว่าจริงแล้วคุณเชื่ออะไรกันแน่นะครับ แล้วอีกอย่างนะครับ ศีลแปดเป็นหลักปฏิบัติเพื่อให้เราอยู่ในลู่ในทาง  ไม่ใช่พิธีกรรมใดๆทั้งสิ้นครับ  อาจจะมีบ้างถ้าคุณไปอยู่วัดเค้าจะให้คุณไหว้พระพุทธรูป หรือสวดมนต์ ถ้าคุณไม่ชอบหรือไม่อยากก็ไม่ต้องทำครับ เพราะทำไปก็ไม่ได้อะไร สู้เอาเวลาไปเดินชมนกชมไม้ในวัดดีกว่า แต่ถ้าคิดในแง่ศึกษา ก็ลองศึกษาดูได้ครับว่าไอที่สวดๆไปเนี่ยแปลว่าอะไร เพราะบทสวดจริงๆเนี่ยก็คือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครับ ไม่ใช่เอาไปสวดเป็นภาษาอื่นปาวๆให้ดูดีดูขลังเท่านั้น แล้วอีกอย่างที่อยากแนะนำให้คุณ จขกท.ลองทำดูก็คือนั่งสมาธิครับ เพราะนี่ก็ไม่ใช่พิธีกรรมครับ ผมว่ามันเหมือนการบริหารมากกว่าครับ การบริหารจิตใจน่ะครับ เพราะเท่าที่ฟังจากสารคดี(ไม่ขอให้เครดิตว่าฟังมาจากที่ไหนนะครับ เพราะผมก็จำไม่ได้จริงๆว่าไปฟังมาจากที่ไหน แถวๆ discovery นี่แหละ) ว่ามีส่วนช่วยในการบำบัดโรคสมาธิสั้นและอื่นๆ(ที่ผมจำไม่ได้ เหอะๆ) จขกท.พูดถูกครับเรื่องถ้าไม่มีใจเนี่ย ไปก็เสียเวลาเปล่าเอาเวลาไปช่วยงานสาธารณะดีกว่า แต่ถ้าคิดในแง่ดี ลองดูสิครับ แล้วคุณจะรู้ว่าไสยศาสตร์มีจริง  55+  ล้อเล่นนะครับ ลองดูสิครับ  คิดในแง่บวกว่าลองไปทัศนศึกษา เพราะผมว่ามันก็มีประโยชน์นะครับ ถ้าจขกท.ไปแล้วได้สิ่งที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า"สอน" เพราะคำสอนเหล่านี้สอนให้พัฒนาตัวปัจเจกบุคคลจนถึงสาธารณะ สมมติเช่น ถ้าจขกท.เรียนรู้เรื่องพรหมวิหารสี่แล้วนำมาใช้ได้จริงตามคำสอน คุณจขกท.ก็จะมี เมตตาและกรุณาเพื่อนร่วมโลก ช่วยเหลือเพื่อนร่วมโลกตามสมควร และรู้จักวางเฉย เห็นมั้ยครับ ได้ช่วยข้อคิดในการช่วยงานสาธารณะเยอะเลย ทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดีครับ แต่คนน่ะแหละเอาไปตัดแบ่งแยกเปลี่ยนเอาเอง อย่ารังเกียจที่จะเรียนรู้เลยนะครับ  แต่ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องไปครับ เพราะมันเสียเวลาจริงๆเลยนะจอร์จ ขอให้คุณจขกท.ได้เจอในสิ่งที่ดีกับชีวิตและอ่านเม้นผมจนจบครับ ปล.อย่าด่าผมเลยนะ ผมแค่หวังดีแล้วก็ให้คำแนะนำตามที่ผมเห็นว่ามันดี  ว่ายังไงอย่าลืมบอกกันนะครับ ปล.2 มาแก้ไขข้อความผิดกับมาขอบคุณความเห็นของคุณ Cyber ที่มาให้ความกระจ่างเรื่องอุเบกขาครับ แก้ไขเมื่อ 24 ธ.ค. 51 08:48:23 แก้ไขเมื่อ 24 ธ.ค. 51 04:52:31 จากคุณ : onelegend - [ 24 ธ.ค. 51 04:19:21 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ตอบคุณโจโฉนะครับ ผมว่าคุณควรจะเข้าใจคำว่า "เวรกรรมก่อน"นะครับ   เวรกรรมนี่ไม่ใช่อะไรที่มันเหนือธรรมชาติ หรือแบบว่ารวบรวมพลังบาปแปลงพลังงานบาปเป็นสายฟ้าผ่าเปรี้ยงใส่คนบาปนะครับ กรรมแปลว่าการกระทำครับ การกระทำคือสิ่งที่เราทำอยู่ทุกๆวันเนี่ยแหละ เป็นกรรมหมด  แบ่งได้เป็นกรรมดีกรรมชั่ว ที่เค้าบอกว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วมันก็คือเหตุและผลจากการกระทำของเรานั่นแหละ การฆ่าสัตว์ผมคิดว่าไม่ดีนะ ผมก็ไม่อยากให้ใครมาฆ่า คุณบอกว่าให้ใครมาฆ่าตัวเองหรือคนรักต้องยอมเหรอ  บ้าเหรอ!! ใครจะไปยอม ผมไม่เอาคนนึงล่ะ ถ้ามีคนจะมาฆ่าผมๆก็ต้องป้องกันตัวสิ ผมไปเตะคนที่จะฆ่าผม ถามว่าผมบาปมั้ย ผมว่าไม่บาปนะเพราะผมแค่ป้องกันตัว ไม่อยากเจ็บตัวก็อย่ามาฆ่าผมสิ ไอคนที่จะฆ่าผมมันก็แค่รับผลที่มันทำแค่นั้นเอง สัตว์ที่ตายมันก็เพราะกรรม(การกระทำ)ของมัน เข้ามากินเหยื่อ อ้ะๆ ผมไม่ได้บอกว่าให้เอาเปรียบเบียดเบียคนอื่นนะ เพราะถ้าคุณไปเบียดเบียนคนอื่น ผลของการกระทำมันก็จะย้อนมาหาคุณเอง ฆ่าสัตว์บาปครับ บาปมากบาปน้อยอยู่ที่เจตนาครับ  ที่พระพุทธเจ้าสอนไม่ให้ไปมีส่วนร่วมกับการฆ่าสัตว์เพื่อฝึกฝนเจตนาของคุณไม่ให้มุ่งไปทำร้ายใครเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ให้คิดว่าการฆ่าเป็นสิ่งไม่ดี เป็นการเบียดเบียนคนอื่น แต่เราจำเป็นต้องกินเพื่อความอยู่รอด ให้เห็นถึงประโยชน์ในสิ่งที่ได้มา และรู้จักคุณค่าของมัน ให้พึงระลึกถึงการกระทำ(กรรม)อยู่เสมอ  นี่คือสิ่งที่ผมเข้าใจนะ เพราะผมใช่ว่าจะเก่งเรื่องศาสนา ผิดถูกก็ว่ากันด้วยเหตุผลไป เพราะผมเข้าใจว่าศาสนาเป็นเรื่องละเอียดอ่อน  ยากต่อการเชื่อ และยากยิ่งกว่าต่อการเข้าใจ เพราะฉะนั้นมีสติและพิจารณาสิ่งที่ผมพูดและติชมผมด้วยครับ ผมจะได้รู้ว่าสิ่งที่ผมเชื่อมันผิดถูกมั้ย ถ้าจะให้แม่นเรื่องนี้จริงๆ ผมแนะนำให้ไปหาหนังสือเกี่ยวกับศีล ที่เค้ามีอธิบายอย่างละเอียดมาอ่าน หรือไม่ก็ไปถามพระท่านโดยตรงเลย เพราะท่านเป็นผู้ที่สืบทอดคำสอนและพระศาสนา ถ้าใฝ่รู้ควรศึกษาให้ถ่องแท้ อย่ามัวแต่เถียงเพื่อเอาชนะ แล้วลืมมาสอนผมล่ะถ้าผมผิด จะได้รู้ ขอโทษคุณจกกท.ด้วยนะครับที่เอาเนื่อที่มานอกเรื่องแบบนี้ แก้ไขเมื่อ 24 ธ.ค. 51 05:14:31 จากคุณ : onelegend - [ 24 ธ.ค. 51 05:10:47 ]

ความคิดเห็นที่ 39 เราอยากออกความเห็นเรื่องที่ว่า "ไม่ศรัทธาแล้วจะบาปไหม" เราว่าไม่แปลก เพราะเจ้าของกระทู้เติบโตมาในสังคมพุทธนี่ Childhood Indoctrination มันไม่ได้แก้กันง่ายๆนะคะ เจ้าของกระทู้เลือกที่จะก้าวออกมาจากกรอบความคิดของศาสนาพุทธแล้ว แต่การเข้าร่วมกิจกรรม (ในที่นี้คือปฏิบัติธรรม) มันเหมือนการเอาตัวเองกลับเข้าไปวางในกรอบเดิม ทั้งๆที่ตัวเองกลายเป็นสิ่งแปลกปลอมไปแล้ว ทำให้รู้สึกแปลก ว่ามันจะแย่มั้ยนะ ถ้าใช้กรอบความคิดเก่ามาคิด มันจะบาปมั้ยนะ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะดูวกวน คนนะไม่ใช่คอม จะได้เปลี่ยนจากวินโดวส์เป็นลีนุกส์ได้ในพริบตา ทำในสิ่งที่ไม่ศรัทธามันต่างจากการโกหกหลอกลวงตรงไหน หลายคนบอกว่าให้ทำๆไปเถอะ ทำแค่นี้จะเป็นอะไรมั้ย เรามองว่าคุณกำลังบังคับขืนใจให้คนอื่นไม่จริงใจกับศาสนาคุณนะ เราว่าสังคมพุทธประหลาด (จริงๆก็ไม่ค่อยมีโอกาสไปอยู่สังคมอื่นเท่าไหร่) ศาสนาอื่นคุณเคารพเขา เขาจะทำอะไรก้อตามใจเขา เข้าโบสถ์ เข้าสุเหร่า ไม่ยกมือไหว้ตอนสวดมนต์ก็ไม่เป็นไร แต่ไม่ค่อย tolerate คนที่ปฏิเสธศาสนา คนที่ไม่อยากทำตาม ลองคิดดูอีกแบบ ว่าถ้าเจ้าของกระทู้นับถืออิสลาม (ยกตัวอย่างศาสนานี้เพราะเคร่งดี) โทนกระทู้คงออกมาอีกแบบ คงมีแต่คนเห็นใจเจ้าของกระทู้นะเราว่า ว่าอาจารย์น่าจะเคารพความเชื่อของนักเรียนบ้าง คงไม่มีใครเอาข้อดีของการปฏิบัติธรรมมาโน้มน้าวแบบนี้ แต่พอเจ้าของกระทู้บอกว่าไม่นับถือ กลับเหมือนถูกข้อหาปฏิเสธสังคมกลายๆไปเลย ทั้งๆที่รูปสถานการณ์มันคล้ายกัน ประหลาดแท้ จากคุณ : PADAPA--DOO - [ 24 ธ.ค. 51 11:51:35 ]

ความคิดเห็นที่ 40 คนเรามีสิทธิ ทำตามใจตัวเอง ทำตามในสิ่งที่ตนเชื่อ ตราบใดที่ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น จขกท มีความคิดเช่นเดียวกะผม คือไร้ศรัทธา แล้วก็เบื่อ เรื่องพิธีกรรมต่างๆ ซึ่งผม (ตรงนี้เน้นว่าตัวผมนะ)มีความคิดว่า ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ เอาเวลาที่เสียไป ไปช่วยเหลือสังคมทางอื่นจะดีกว่าไหม  ถ้าให้สร้างโบสถ์ กะ สร้างโรงเรียน ผมเลือกอย่างหลัง ผมว่าศาสนาพุทธตอนนี้ ไม่ได้สอนให้รู้จัก ธรรมะ จริงๆ ดันไปสอนให้บูชากราบไหว้อะไรก็ไม่รู้ ไหว้พระ 9 วัด ไปกระทั่งไปบูชา สถานที่ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน ไหว้พระบรมสารีริกธาตุ  เกิดประโยชน์อะไรบ้าง แหะ แหะ ไม่วิจารณ์ดีกว่า  จขกท มี 2 ทางเลือก 1. บอกครูไปตรงๆว่า ข้าพเจ้าไม่ศรัทธาขอรับ  ขอไปทำรายงานดั่งเพื่อนผู้นับถือศาสนาอื่นจะได้ฤา 2. หลับหูหลับตาไปซะนึกว่าฝึกความอดทน หาอะไรไปท่องแทนบทสวดที่ไม่รู้ความหมาย 3 วันทนหน่อย จากคุณ : คนพุทธนอกกรอบเหมือนกัน (ทอภู่เท่า) - [ 24 ธ.ค. 51 12:38:04 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ปัญหาอย่างหนึ่งที่น้องปีกน้อยกังวลคือเรื่องคะแนน และการที่อาจจะโดนอาจารย์มองไม่ดี(ด้วยความที่อาจารย์ท่านเป็นอย่างที่น้องอธิบายมา) ใช่ม่า พี่เลยแนะนำไปว่าลองเปิดใจไม่คิดถึงเรื่องความเป็นพิธีกรรมอะไร คิดซะว่า ไปลองดูอะไรที่เราไม่เห็นด้วย ไปลองทำอะไรที่ไม่เคยทำดู ------- แนะนำอย่างนี้นะ ถ้าไม่มีทางอื่นแล้วจริงๆ ในเมื่อกังวลเรื่องคะแนน แต่ถ้าไม่คิดเรื่องคะแนน น้องก็บอกอาจารย์ไปเหอะ  ว่าไม่ไปเพราะอะไร ขอไปทำอย่างอื่นที่เป็นประโยชน์ ยิ่งถ้าต้องเจอกับอาจารย์ท่านนี้อีกแค่ครั้งเดียว ( จบวิชานี้แล้วไม่เจออีกแล้ว) ยิ่งง่าย เพราะถ้าเป็นพี่เอง ก็ไม่ชอบเหมือนกันที่จะมีคนมาบังคับ เข้าใจความเป็นวัยรุ่นด้วยแหละ โดยธรรมชาติ ความเป็นอัตตาตัวตนค่อนข้างเยอะ พี่ก็เป็นมาก่อนเหมือนกัน ปล. ไม่เคยคิดว่า คนไม่นับถือศาสนา คือคนที่ไม่รู้ชั่วดี เพราะพี่เห็นคนที่ไม่ประกาศตนว่านับถืออะไร เป็นคนดีมีเยอะ ปล.2 น้องใช้คำว่า บาป เป็นคำศัพท์ที่เจอบ่อยในศาสนาพุทธ พี่เลยเข้าใจอย่างที่ว่า ขอประทานอภัย ปล.3 ไม่ได้โน้มน้าวให้กลับมานับถือศาสนา เพราะเจอพวกโน้มน้าวให้เปลี่ยนศาสนามาเยอะเหมือนกัน แต่แนะนำทางที่จะดีที่สุดสำหรับสถานการณ์ที่ขอความเห็นมา เห็นว่ากังวลเรื่องคะแนน เลยแนะนำวิธีคิดแบบที่จะทำให้สามารถได้คะแนนแบบแฮปปี้เอนดิ้ง ไม่ชอบก็ไม่ต้องทำก็ได้ แล้วแต่พิจารณา ปล.4 ไม่ได้มองคนไม่นับศาสนาในแง่ลบ และตราบใดที่"ใครก็ตาม"มีความเห็นที่ไม่เป็นภัยต่อผู้อื่นและสังคม ก็ให้เกียรติเสมอ แม้ว่าจะไม่ตรงกันก็ตาม ใจเย็นๆ มาแนะนำ ไม่ได้มาจูง เปิดใจกว้างๆ หน่อย จากคุณ : Lighting Plankton - [ 24 ธ.ค. 51 13:54:00 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ไม่แปลกครับที่จขกท.รู้สึกบาป ถ้าจะไป อันที่จริง "บาป" ที่จขกท.รู้สึก มันไม่ได้สื่อความหมายตามตรงอย่างที่หลายๆความเห็นวิจารณ์เลยนะครับ แต่มันน่าจะเป็น "ความรู้สึกละอาย" ที่กระทำตัวผิดแผกไปจากความเชื่อของตนเอง หรือเกี่ยวข้องกับบางสิ่งบางอย่างที่ตนเองเคยได้ละทิ้งไปแล้ว และผิดแผกจากเจตนาของบุคคลในกลุ่มสังคมเดียวกัน (เหมือนคุณตั้งปณิธานไว้ว่าจะไม่กินเนื้อกุ้งเผา เพราะรู้สึกว่ากระบวนการได้มาซึ่งเนื้อกุ้งเผานั้นดูทรมาณ โดยความรู้สึกดังกล่าวเป็นความรู้สึกส่วนตัว และไม่ได้เกี่ยวข้องกับบาป-บุญตามศาสนาใดๆทั้งสิ้น ทีนี้ เกิดมีสถานการณ์ที่บีบบังคับให้คุณต้องกินกุ้งเผา...) หลายๆความเห็นคิดตามมุมมองของตนเองที่นับถือศาสนา แต่ไม่คิดตามมุมมองของจขกท.ที่ไม่ได้นับถือศาสนา ซึ่งคุณ PADAPA--DOO ได้อธิบายไว้ค่อนข้างดีครับ ส่วนความเห็นของผมเลือกข้อ ข. ครับ จากคุณ : Cryptomnesia - [ 24 ธ.ค. 51 14:42:25 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ไม่มีศาสนา... ที่ผมเข้าใจ คือ  สามารถน้อมนำเอาคำสั่งสอนทีคิดว่า ดี  ที่มีตรงกันทุกศาสนามาปฏิบัติ...  พุทธว่า ปฏิบัติอย่างนี้ดี ก็เอามาใช้ คริสต์สอนให้รักเพื่อนบ้าน ก็เอามาใช้  อิสลามสอนให้บริจาคคนยากไร้ก็เอามาใช้... โดยปรับให้เข้ากับที่ตนเองปฏิบัติในชีวิตประจำวัน... ไม่เคร่งครัด ว่าต้องเข้าวัดทุกวันพระ  เข้าโบสถ์ทุกวันอาทิตย์  ต้องทำละหมาดวันละห้ารอบ... ไม่เ้้น้นเรื่องพิธีกรรมที่  ถือว่า เป็นแค่เพียงเปลือกไม้ของศาสนา อย่างนี้ ผมว่า ถึงจะเรียกว่า  ไม่มีศาสนา ใด ศาสนาหนึ่ง โดยเฉพาะ แต่ที่ผมอ่าน  ที่จขกท เขียน ผมว่า .. มันไม่ค่อยตรง...   ที่ จขกท เขียน  คือ เอาความคิดตัวเองเป็นที่ตั้ง  เอาความนิยมชมชอบส่วนตัวเป็นสรณะ ใครที่คิด แตกต่าง และ ไม่เหมือนกันกับตัวเองก็ต่อต้าน....  คิดว่า คนอื่นบังคับจิตใจ...  ผม ว่า  คงป่วยการที่ใคร ๆ จะมา พูดแนะนำ ... ครับ... คงต้องใ้ห้ จขกท ตัดสินใจ เอาตามที่ตัวเองต้องการจะดีกว่าครับ... ของอย่างนี้ ใครทำ ใครได้...   อาศัยเอาแต่ว่า  คนที่เคยอาบน้ำร้อนมาก่อน เห็นว่าทำแล้วจะดีกับตัว... เลยมาแนะนำ... แต่ถ้า ไม่เอาก็ ไม่เอาครับ... ไม่ต้องบังคับ... ใครทำ ใครได้ครับ... ปล และ ไม่ต้องกลัวบาปนะครับ... เพราะ ของอย่างนี้ ใครทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้น .... คิดดีแล้ว จะกลัวทำไมครับ แก้ไขเมื่อ 24 ธ.ค. 51 16:06:28 จากคุณ : Dr.Moji - [ 24 ธ.ค. 51 16:03:30 ]

ความคิดเห็นที่ 44 สำหรับ คห ที่ 40 ที่เจ้าของกระทู้ เค้ายกประเด็นขึ้นมา คือ ไม่ต้องการไปปฏิบัติบูชา  นะ คือการถือศีล  นั่งสมาธิวิปัสนา...ซึ่งถือเป็นหลักธรรม แก่นแท้ของศาสนา ไม่ใช่เพียงพิธีกรรม... แต่ที่ คุณอธิบาย " ดันไปสอนให้บูชากราบไหว้อะไรก็ไม่รู้ ไหว้พระ 9 วัด ไปกระทั่งไปบูชา สถานที่ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน ไหว้พระบรมสารีริกธาตุ " ก็เหมือนจะเข้าใจตรงกันนะ ... ที่อยากให้เน้นเรื่อง หลัก ธรรม มากกว่า พิธีการ แต่ทำไมมันจบด้วย.. " 1. บอกครูไปตรงๆว่า ข้าพเจ้าไม่ศรัทธาขอรับ  ขอไปทำรายงานดั่งเพื่อนผู้นับถือศาสนาอื่นจะได้ฤา 2. หลับหูหลับตาไปซะนึกว่าฝึกความอดทน หาอะไรไปท่องแทนบทสวดที่ไม่รู้ความหมาย 3 วันทนหน่อย " งง.... จากคุณ : Dr.Moji - [ 24 ธ.ค. 51 16:12:45 ]

ความคิดเห็นที่ 45 Be true to yourself จงตรงต่อตัวเอง ตรงต่อความเชื่อ ตรงต่อจริยธรรมที่คุณยึดถือ (การไม่ยึดถือในศาสนาก็เป็นสิ่งที่ยึดถืออย่างหนึ่ง) เมื่อคุณไม่สะดวกที่จะไป ก็ไปบอกอาจารย์ตรงๆ บอกว่า ขออนุญาตทำตามมโนธรรม ขอบำเพ็ญประโยชน์หรืออะไรก็แล้วแต่ที่คุณและอาจารย์ตกลงว่าเป็นการทดแทนที่เหมาะสม ยังอายุน้อย หนทางอีกยาวไกล อย่างไรก็ตาม เวลามีจำกัด ไม่ได้มีเป็นอนันต์ ขอเอาใจช่วยให้คุณพบสิ่งที่ถูกเหมาะกับคุณโดยเร็ว จะได้ไม่ต้องเสียเวลาแสวงหา คุณกำลังลอยคออยู่กลางน้ำเชี่ยว หลักเกาะมีหลายหลัก จะเลือกเกาะหลักใดหลักหนึ่ง หรือแม้แต่จะไม่เกาะเลยก็สุดแท้แต่ ผมเองก็เอาตัวไม่ค่อยจะรอดเหมือนกัน ยังลอยคออยู่ในน้ำเชี้ยวอันเดียวกัน ผลุบๆโผล่ๆจะจมมิจมแหล่ ขนาดเกาะได้หลักหนึ่งแล้วนี่แหละก็ยังกินน้ำไปแล้วหลายอึก อยากช่วยแต่เผอิญมันเกาะแทนกันไม่ได้ ใครอยากเกาะต้องมาเกาะเอง จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 24 ธ.ค. 51 17:31:05 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ผมเป็นคนชอบพิธีกรรมครับ เพราะชอบถ่ายรูป การได้ถ่ายรูปอะไรที่มันแปลกๆ exotic เนี่ย ชอบมาก ขายทำเงินได้ด้วย แต่ถามว่าศรัทธาไหม  ไม่ค่อยแฮะ จนกว่าจะได้รับคำอธิบายที่หวานหูชวนเคลิบเคลิ้ม.... แนะนำ จขกท. ให้ไปร่วมในฐานะผู้สังเกตการณ์ครับ  เมื่อเราไม่ศรัทธา อาจสามารถมองกิจกรรมต่างๆ วิเคราะห์สิ่งที่ท่านอาจารย์ให้ทำได้กระจ่างขึ้น   ลองหาเหตุผลว่าทำไมเขาถึงให้ทำ ส่วนฝ่ายเรา เรามีเหตุผลอะไรบ้างที่จะไม่ทำตาม และเขียนรายงานด้วยใจที่เป็นธรรม   ผมว่าไปแบบแย้งๆค้านๆ นี่ก็สนุกไปอีกแบบ แต่ต้องทำด้วยความร่าเริงและอยากรู้อยากเห็น อยากเอาชนะด้วยเหตุผลนะ  ถ้าต้องไปแบบบูดๆงอนๆ ก็เลือกข้อ ข. อย่าไปเลยแต่แรก จากคุณ : azurite - [ 24 ธ.ค. 51 19:47:55 ]

ความคิดเห็นที่ 47 อือ แบบนี้เขาเรียกว่า คุณ ตั้งแง่ ก่อนตั้งแต่ยังไม่ไปพิสูจน์น่ะ ลองดูสิ แล้วจะรู้ว่า อีกด้านหนึ่งของชีวิต จะยังมีอะไรหลายอย่างให้เรียนรู้ คุณไม่ได้นับถือศาสนาอะไรเลยนั้น ไมได้หมายความว่า คุณจะต้องไม่รับรู้ อะไรเลยนี่ค่ะ ...การเรียนรู้ธรรมชาติ และเรียนรู้ตัวเอง เป็นสิ่งสำคัญ นะ เอหิปัสสิโก ...เชิญมาพิสูจน์เถิด จากคุณ : Cat On a Hot Tin Roof - [ 24 ธ.ค. 51 21:01:50 A:124.157.231.172 X: TicketID:185243 ]

ความคิดเห็นที่ 48 มันเป็นแค่ การ เปิดหู เปิดตา ชนิดหนึ่ง ถ้าน้องไม่ชอบก๋วยเตี๋ยวใส่ผัก พอมีคนใส่ผักให้น้องก็ไม่กิน เพราะว่าไม่ชอบ อันนี้ก็เหมือนกัน น้องไม่อยากไป เพราะว่าน้องไม่ชอบ หรือรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองหรือเปล่า ??? พี่ว่า ไปก็ดีนะคะ เพราะมันก็ไม่ได้แย่หรือว่าเลวร้ายขนาดนั้น เพราะคิดดูแล้ว เวลาที่น้องเรียน ก็ใช่ว่าจะชอบเรียนไปซะทุกวิชานี่นา ... ยังมีหลายสิ่งในสังคม ที่น้องจะต้องยอมรับ เพื่อปฏิบัติตนให้กลมกลืนนะคะ จากคุณ : Cat On a Hot Tin Roof - [ 24 ธ.ค. 51 21:15:19 A:124.157.231.172 X: TicketID:185243 ]

ความคิดเห็นที่ 49 กลับมาอีกรอบ เคยอ่านบทความที่อาจารย์ให้อ่านสมัยเรียนของนักเขียนฝรั่งที่วิจารณ์เรื่องสังคมไทยว่าเป็นสังคมยอมรับในเรื่องอำนาจ ขาดอิสระเสรีภาพในความคิดต่าง เพราะถ้าใครแหลมออกก็คล้ายจะถูกจัดการโดยระบบของสังคมไปโดยปริยาย โดยเฉพาะเรี่องความเชื่อหรือการทำกิจกรรมต่างๆที่จัดขึ้นในสังคม มีคนไม่น้อยที่ไม่ชอบไม่อยากทำแต่เพราะกระแส+สถานการณ์มันนำพาไป หรือไม่ก็คิดแค่ว่าทำให้มันเสร็จๆไปถึงแม้จะขัดใจ อึดอัดแค่ไหนก็ตาม ซึ่งคนที่พร้อมจะยอมให้สังคมจูงไปก็มีเยอะเสียด้วยสิ เมื่อมีแบบนี้บ่อยๆเข้าสุดท้ายก็เลยหล่อเข้ากับนิสัยของคนไทยส่วนใหญ่ที่มักจะยอมที่จะตามมากกว่าจะลุกขึ้นมาพูดแสดงสิทธิว่าไม่อยากทำ ประเทศเราถึงได้ขาดนักคิด นักอะไรที่ต่อมิอะไรที่มันหาได้น้อยมากในสังคมนี้ คห. 19 พูดได้ตรงใจผมที่สุดว่าสังคมมันเพี้ยนไปแล้วจริงๆ กับตัวอย่างของกระทู้นี้ที่น้อง จขกทถูกให้ต้องเชื่อว่าการทำกิจกรรมนั้นดี  ควร(ต้องอย่างยิ่ง)ที่ต้องทำตาม โดยใช้เครื่องมือในเรื่องคะแนนเข้ามาเกี่ยวข้อง (แกมบังคับ) มากกว่าในเรื่องของความสมัครใจให้ทำ ส่วนเรื่องฆ่าสัตว์หรือกินสัตว์ผมก็ยังจะคิดในมุมของผมต่อไปว่ามันบาปพอกันในฐานะผู้ส่งเสริมการฆ่า (ไอ้เรื่องความอยู่รอดหรือกินอย่างเห็นคุณค่าอะไรนั้นมันอีกเรื่องหนึ่งไม่เกี่ยวกัน) ผมก็ไม่ติดใจจะหาคำตอบแล้วแระเพราะเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ก็ยังเชื่อว่ากรูไม่บาป (และยังเชื่อว่ารักษาศีลครบ) เพราะไม่ได้ฆ่ากับมืออยู่ดี 555 เอาไว้ให้รอชาติหน้าชาติไหนแล้วเกิดเป็นสัตว์พร้อมกัน แล้วจะมีคนมาฆ่าเพื่อเอาไปเป็นอาหาร ค่อยปลงอนิจาพร้อมกันว่า "กรูเกิดมาเลี้ยงโลกก็แล้วกัน" อิอิ ปล. ผมชอบกินลุกชิ้นหมู+ก๋วยเตี๋ยวหมูมากครับ แก้ไขเมื่อ 24 ธ.ค. 51 22:10:46 แก้ไขเมื่อ 24 ธ.ค. 51 22:09:09 แก้ไขเมื่อ 24 ธ.ค. 51 22:08:22 จากคุณ : โจโฉ (joechou) - [ 24 ธ.ค. 51 22:04:25 ]

ความคิดเห็นที่ 50 รับแซ่บครับผม อิอิ จากคุณ : onelegend - [ 24 ธ.ค. 51 22:09:36 ]

ความคิดเห็นที่ 51 เรียน คุณ Dr. Moji คนเราถ้าไม่ก่อเหตุการใดๆที่ทำให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญต่อผู้อื่นแล้วไม่ต้องไปทำท่าทำทางถือศีลก็คงได้มั๊ง อ่านความเห็นของคุณแล้ว ก็ ขอบคุณครับ คือ ผมไม่ชอบเปลือกไม้ตามที่คุณว่าแหละ ส่วนที่จบลง 2 ข้อน่ะ ลองกลับไปอ่านคำถามของคุณปีกน้อยฯดูอีกครั้งนะครับ ที่เค้าถามว่า...... สรุปว่าเราควรจะทำอย่างไรดีคะ.... จากคุณ : ด้วยความเคารพ (ทอภู่เท่า) - [ 24 ธ.ค. 51 22:20:58 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ขออธิบายคุณชาเขียวนะคะ ดังที่กล่าวไปแล้วว่า ไม่นับถือศาสนาใช่ว่าจะไม่นับถืออะไรเลย เรานับถือความคิดของตัวเอง มีแนวทางในการดำเนินชีวิตที่เราพอใจได้เอง เพราะฉะนั้นสมมติว่าการที่มีจะข้อห้ามข้อปฎิบัติของตนเองจริงมันผิดหรือคะ? คนไม่นับถือศาสนาไม่สามารถจะมีข้อห้ามข้อปฎิบัติอะไรเลยหรือคะ? "ถ้าไม่นับถือจริง มันน่าจะสามารถปรับเปลี่ยนยืดหยุ่นได้ตามสถานการณ์ "อย่างที่คุณว่า คุณเอาอะไรมาตัดสินคะว่าคนที่ไม่นับถือศาสนาจะต้องเป็นแบบนั้น กลายคุณแอบตั้งข้อปฎิบัติให้กับคนที่ไม่นับถือศาสนาเสียเองซะแล้ว คนไม่นับถือศาสนาไม่ได้แปลว่าจะเข้ากับศาสนาไหนก็ได้ตามสถานการณ์ซะหน่อยนี่คะ บางคนเค้าก็มีแนวทางของตน สิ่งยึดเหนี่ยวของตนเอง อยากให้ทำความเข้าใจด้วยค่ะ แล้วถึงคุณจะเรียกว่าเรานับถือศาสนา "ไม่นับถือศาสนา" เราก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรค่ะ แต่รบกวนช่วยพิจารณาคำว่าศาสนา ว่าต้องประกอบด้วยอะไรบ้างถึงจะเป็นศาสนาได้ด้วยเถิด ขอบพระคุณ จากคุณ : ปีกน้อยที่ไม่อาจโบยบิน - [ 24 ธ.ค. 51 23:51:42 ]

ความคิดเห็นที่ 53 อันนี้ขอตอบรวมๆนะคะ ขอขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันค่ะ ทำให้เราได้แง่มุมและข้อคิดที่ดีๆกลับไปมากมาย ถึงอาจจะถูกใจบ้าง ขัดใจบ้าง ก็เป็นธรรมดาของสังคม ตอนนี้ก็ยังตัดสินใจไม่ได้เด็ดขาดค่ะ ข้อแรก หากอยากไปก็เป็นเพราะอยากเอาชนะตนเอง คนเราย่อมต้องทำในสิ่งที่ไม่ชอบกันทั้งนั้น แต่ติดตรงที่กฎข้อบังคับมากมาย ซึ่งคงจะทำให้ลำบากใจในการปฏิบัติ เพราะไม่รู้ว่าจะทำไปเพื่ออะไร ไม่เห็นความหมาย ถ้าให้เป็นผู้สังเกตการณ์เฉยๆน่ะยินดี ข้อสอง อยากไปบอกอาจารย์ตรงๆเหมือนกัน เพราะอยากยืนยันความคิดความเชื่อของตนเอง ปกติไม่ค่อยจะบอกใคร เพราะกลายเป็นถูกมองในแง่ลบและโน้มน้าวให้เข้าหาศาสนาทุกที(ไม่เข้าใจหรือว่าคำว่าไม่นับถือแปลว่าอะไร) ข้อสาม คงไม่โกหกค่ะ แต่แว๊บนึงอิดมันแว๊บเข้ามาบ้าง จริงๆช่วงนั้นอาจจะติดสัมภาษณ์เรียนต่อค่ะ กำลังรอผลอยู่ ถ้าติดธุระจริงคงเป็นทางออกที่ดีที่สุด ส่งผลกระทบน้อยที่สุด แต่กว่าจะรู้มันก็อีกนานเหมือนกัน เลยไม่แน่ใจว่าจะเลือกข้อสองไปเลยดีไหม ที่ทำเก้ๆกังๆ และต้องคิดมากหน่อย ยอมรับว่าเป็นเพราะคะแนนค่ะ เนื่องจากลุ้นเกียรตินิยมอยู่นิดๆ แต่ก็ไม่ได้ถึงกับซีเรียสมาก มีมุมมองนึงที่อยากเปิดประเด็นต่อ คือวิชาที่เรียนมันเกี่ยวข้องจริยธรรม แล้วจำเป็นไหมคะว่าจริยธรรมมันต้องสัมพันธ์กับศาสนา ในข้อสอบก็ให้อธิบายตามแนวทางศาสนาซึ่งไม่มีในเนื้อหารายวิชา(เรียนแต่ทฤษฎีทางจริยธรรม ไม่ได้เรียนหลักธรรม) ก็เลยไม่รู้จะอธิบายอย่างไร หรือมันเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนควรรู้หลักของศาสนาอยู่แล้ว แล้วคนไม่นับถือศาสนาจำเป็นที่จะต้องรู้หลักศาสนาด้วยหรือ (ในกรณีที่เนื้อหารายวิชาไม่มีสอนไม่มีระบุไว้เลย แต่ออกสอบให้อธิบาย) จากคุณ : ปีกน้อยที่ไม่อาจโบยบิน - [ 25 ธ.ค. 51 00:36:58 ]

ความคิดเห็นที่ 54 คห.39  สังคมพุทธไม่ประหลาด  คุณคิดไปเอง ไม่เคยเห็นคนวงใน(คนศึกษา)บอกสังคมพุทธประหลาด  นอกจากคนห่างวัด คนนับถือคริสต์,อิสลาม เรารู้อยู่แล้วถึงแยกเขาออกจากพิธีพุทธ แต่คนไม่มีศาสนา (ในบัตรว่าเป็นพุทธ) จะรู้ได้ไง ถ้าทุกคนอ้างว่าไม่มีศาสนาของดกิจกรรมจะทำยังไง ตรวจสอบยาก  ไม่เหมือนคนนับถือศาสนาอื่นๆ   มันเป็นเรื่องธรรมดาไม่เห็นประหลาดตรงไหนเลย คห.40  การไปสักการะสังเวชนียสถาน 4 ตำบล คือ  สถานที่ประสูติ,ตรัสรู้,แสดงปฐมเทศนา,ปรินิพพาน เป็นคติความเชื่อมีมานานเป็นพันปีแล้ว  ไม่ใช่เพิ่งเกิดสมัยนี้ หากอ่านหนังสือศาสนาจะรู้เหตุผลการจาริกแสวงบุญ ไม่ใช่พูดอะไรที่ไม่ควร ไม่รู้ออกมา   ยิ่งเป็นคนพุทธพูดยิ่งแสดงอะไรหลายๆอย่าง สังเวชนียสถาน  แปลว่า  สถานที่ควรระลึกถึง (พระพุทธเจ้า) ไม่ใช่หมายถึงสังเวชใจในภาษาไทย  ภาษาไทยเอามาใช้ผิดความหมายเดิม ที่คนพุทธไปสักการะเพื่อระลึกถึงคุณความดีของพระพุทธเจ้า ไปดูสถานที่จริงที่เราอ่านศึกษา  ระหว่างทางมีพระมีไกด์นำเหตุการณ์ในอดีต นำประวัติ ธรรมะที่เกี่ยวข้องมาอธิบายให้ฟัง   ได้นั่งสมาธิสวดมนต์ใต้ต้นโพธิ์ตรัสรู้  ได้ความรู้บุญกุศล เหมือนเรานับถือพ่อแม่แล้วกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดของท่าน มันไม่ใช่เรื่องไร้สาระ  คล้ายๆกับอิสลามเขาไปเมกกะ   ที่จริงเราน่าจะมีงบจัดไปสักการะสังเวชนียสถานด้วยซ้ำ ในฐานที่ประเทศไทยเป็นเมืองพุทธ  คนนับถือพุทธมากสุด แต่ผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้อง ไม่รู้ไม่สนใจ  สนใจแต่เรื่องคนอื่น ส่วนเรื่องการบูชาพระบรมสารีริกธาตุ  เพราะเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า ที่ยังหลงเหลืออยู่  ในตำราบอกว่าบางส่วนอยู่บนสวรรค์ บางส่วนอยู่เมืองบาดาล,บางส่วนอยู่ศรีลังกา (พระเขี้ยวแก้ว)และที่อื่นๆ จึงไม่แปลกที่เรามีความรักความผูกพันจะบูชากระดูกของท่าน เหมือนเราเก็บบูชากระดูกของพ่อแม่เราไว้ดูต่างหน้า เขาบูชาคุณความดี  ไม่ใช่บูชาสถานที่  วัตถุสิ่งของ (อย่ามองแค่เปลือก) เป็นคติความเชื่อเก่าเรื่องการบูชารอยพระบาท,กระดูกของคนที่ควรบูชา ที่คนรุ่นใหม่ไม่ศึกษา  ชอบคิดเอาเอง  ทุกอย่างมีเหตุผล  ไม่ใช่เรื่องไร้สาระ แก้ไขเมื่อ 25 ธ.ค. 51 12:29:09 จากคุณ : วสันดิลก - [ 25 ธ.ค. 51 02:05:23 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ตอนนี้จขกท.กำลังอ่อนแอสับสนเราควรให้กำลังใจ (ไปถือศีล) ไม่ใช่แนะนำให้ไปบอกเลิกอาจารย์  ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ และไม่ถูกกาลเทศะตอนนี้ (ยังเป็นผู้น้อย+ไม่ใช่เวลาอันควร) พวกเราอย่าให้คนรุ่นเก่ามองว่า เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ไม่เอาถ่าน,ไม่หนักเอาเบาสู้เลย  ได้โปรด จขกท.อย่าไปฟังคนบอกให้เลิก  เขาพิมพ์แล้วเขาก็กลับบ้านนอน แต่เราต้องอยู่กับปัญหาต่อไป  (ไม่รู้ไปหรือบอกเลิกหรือยัง) เราทำเราได้คะแนน ต้องพึ่งตัวเอง  ที่ถูกคือยอมรับปัญหา สู้กับปัญหาอย่าหนี ตัดคำว่าไม่ชอบออกก็จบ ง่ายๆ จขกท.บอกว่าไม่ชอบไม่ศรัทธา แต่เชื่อว่าต้องกลัวลำบากทรมานด้วยแน่นอน ที่จริงศีล 8 บางข้อเราก็งดเว้นได้ง่ายๆ เช่น งดฆ่าสัตว์ งดลักทรัพย์ งดดื่มสุรา บางคนปกติก็ถือศีล 5 อยู่แล้ว   ศีล 8 จะยากหน่อยก็ข้อ 6 งดบริโภคอาหารหลังเที่ยง   มื้อเที่ยง (11.00 น.)ให้กินเยอะๆ ถามอาจารย์ว่าหลังเที่ยงดื่มชากาแฟนมกล่องได้หรือเปล่า ถ้าไม่ได้ ดื่มน้ำเอาเดี๋ยวก็เช้าแล้ว  ตัดสินใจเอาเองนะ แก้ไขเมื่อ 25 ธ.ค. 51 12:43:46 แก้ไขเมื่อ 25 ธ.ค. 51 11:45:57 จากคุณ : วสันดิลก - [ 25 ธ.ค. 51 02:25:40 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ร่วมแสดงความเห็นด้วยครับ เรื่องเกี่ยวกับรร ก็ลองวัดๆ ดูว่าทำอะไรแล้วผลจะออกมาไง กะๆ ดูแล้วกัน ถ้าขี้เกียจไปก็ไม่ต้องไป ไม่มีอะไรหนักหนาหรอกครับผมว่า บอกความจริง ไปถึงอาจจะดูแปลกก็คงไม่มีใครมาเซ้าซี้ให้ทำอะไรมั้งครับ เรื่องศาสนานะถืออะไร ไม่นับถืออะไร จริงๆ ก็ไม่เกี่ยวกับใครเลยแหละครับ อาจจะอ่านดูไม่จริงในทางปฏิบัตินั่นก็เพราะ มันมีคนอื่นๆ อยู่ด้วยไงครับ บางทีอยู่เฉยๆ ก็มีคนมาหาเรื่องได้ เช่น บางทีอาจมีคำถามแปลกๆ ว่าศาสนา ไม่นับถือศาสนาเป็นไงหรือ? นี่ถือเป็นความสนุกสนานของการใช้ภาษา แต่คน ถามเหมือนไม่ได้คิดไรมากว่าอะไรคืออะไร ฉะนั้นก็เฉยๆ ไปแหละครับ อันนี้ตอบประเด็นที่ยกมาตอนหลังนะครับ ซึ่งดูเหมือนน่าสนใจกว่า "มีมุมมองนึงที่อยากเปิดประเด็นต่อ คือวิชาที่เรียนมันเกี่ยวข้องจริยธรรม แล้วจำเป็นไหมคะว่าจริยธรรมมันต้องสัมพันธ์กับศาสนา" ตอบว่าไม่จำเป็นครับ มีหลักจริยศาสตร์ที่ไม่จำเป็นต้องนำมาเกี่ยวกับศาสนาเยอะแยะ อ่านให้ตายอาจจะไม่หมด (ผมจะไม่เถียงเรื่องอิทธิพลจากศาสนานำมาสู่หลักพวกนี้ หรือในทางกลับกันนะครับเพราะไม่ได้เกิดมาตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ถึงจะมีโอกาสได้รู้อะไรที่ เชื่อถือได้ขนาดที่จะเอามายืนยัน) "ในข้อสอบก็ให้อธิบายตามแนวทางศาสนาซึ่งไม่มีในเนื้อหารายวิชา (เรียนแต่ทฤษฎีทางจริยธรรม ไม่ได้เรียนหลักธรรม)" ส่วนนี้ก็ขึ้นอยู่กับคนสอนแหละครับ ถ้าเห็นว่ามีอะไรไม่เหมาะก็ปรึกษาคนสอนดู จริงๆ วิชาอะไรก็ตามถ้าสัญญาว่าจะสอนตามแผนแล้วไม่เป็นไปตามนั้นก็แปลกแล้วหละครับ ไม่รู้จะเขียนแผนขึ้นมาทำไมงั้น "ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร หรือมันเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนควรรู้หลักของศาสนาอยู่แล้ว แล้วคน ไม่นับถือศาสนาจำเป็นที่จะต้องรู้หลักศาสนาด้วยหรือ (ในกรณีที่เนื้อหารายวิชาไม่มีสอน ไม่มีระบุไว้เลย แต่ออกสอบให้อธิบาย)" ส่วนนี้ ผมว่ารู้ไว้ก็ดีนะ ไม่อยากจะให้คิดว่าจำเป็นแต่ ก็ดีนะดีกว่าไม่รู้ เผื่อมีอะไรขึ้นมา จะได้เอาตัวรอดได้ ศาสนาเป็นเรื่องสนุกดีเหมือนกันนะ ถ้าสนใจคิดเกี่ยวกับมัน ยิ่งไม่ได้ นับถืออะไรอยู่แล้วยิ่งสบายใจนะผมว่า ที่จะเรียนหรืออะไรแบบนี้ ก็เพลินๆ หรืออย่างน้อยก็เอาไว้กันไม่ให้โดนบางคนที่ถือว่าตัวเป็นพุทธหลอกให้เชื่อได้ สมมติ เหตุการณ์นะครับ เช่น มีคุณไก่มาว่าคุณไข่ทำอย่างงี้ไม่ได้นะผิดหลักงู้นงี้  ถ้าคุณไข่ไม่รู้อะไร เลยก็เบลอแต่ถ้ารู้คุณไข่ก็จะรู้ว่าผิดจริงมั้ย แล้วถ้าจริงมันก็มีแน้วโน้มว่าคุณไข่จะไม่ทำแต่แรก ซึ่งไม่ใช่ว่ากลัวบาปแต่อาจจะไม่อยากทำร้ายความรู้สึกคนอื่น การที่บางทีโรงเรียนบังคับให้เรียนอะไรที่ดูเบลอๆ มันหาทางแก้ยากมากผมว่า อย่างบางคน ไม่ชอบเรียนสมมตินะครับภาษาไทยงี้ก็ต้องเรียน ก็ถือพวกวิชาศาสนาทำนองนี้ก็ได้มั้ง บางที พวกวิชาบังคับให้เรียนผมเกลียดจะตาย ก็เรียนๆ ไป แต่ก็ไม่ได้ต่อต้านอะไรชัดเจน เพราะ ขี้เกียจเถียงเรื่องการถูกบังคับจากความหวังดีว่ามันไงกันแน่ ควรไม่ควรไรงี้ สรุปเรื่องการสอน ถ้าอะไรไม่มีในแผนแล้วสอน แต่เด็กๆ โอเค ก็โอเค ถ้าไม่ก็ไม่ เป็นงี้ ทุกวิชามั้งครับ ก็เห็นเรียนวิทยาศาสตร์หรืออะไร ถ้าอยู่ดีๆ ออกสอบนอกเรื่องไปเลย อาจารย์ก็โดนว่านะ น่าจะคือๆ กัน อย่างน้อยพวกศาสนาก็เป็นวิชานึงในรร ไม่ได้ถือว่าเป็นกรณียกเว้นอะไรมั้งครับ การเรียนถือเป็นเรื่องสำคัญนะครับ ถ้าสัญญาว่าจะสอนอะไรจะสอบอะไร แล้วออกมาไม่ตรงนี่ก็แย่นะครับ เหมือนถูกหลอกแหละครับพูดง่ายๆ ถ้า อึดอัดก็ไม่ควรปล่อยให้เรื่องการศึกษาเป็นเรื่องของอาจารย์อย่างเดียว เด็กๆ ก็ควรเสนอ อะไรที่เห็นว่าเหมาะสมด้วย เพราะไม่งั้นอาจารย์เองบางทีก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้มันแย่ แต่ไม่มีใครพูดก็อาจจะไม่คิด บางทีบอกไปอาจจะเห็นด้วยด้วยซ้ำครับ ข้อให้มีความสุขกับการเรียนนะครับ ผมว่าที่สุดแล้วรู้ดีกว่าไม่รู้นะครับ อย่างน้อยก็ยังปฏิเสธได้ เรื่องอะไรก็ตาม จากคุณ : EXISTENTIALIST - [ 25 ธ.ค. 51 07:51:33 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ว๊าก เข้าใจผิดอย่างแรง มองความเห็นที่ 39 เป็น 49 ต้องขออภัยอย่างแรงๆๆ แก้ไขเมื่อ 25 ธ.ค. 51 08:21:37 แก้ไขเมื่อ 25 ธ.ค. 51 08:18:51 แก้ไขเมื่อ 25 ธ.ค. 51 08:14:51 แก้ไขเมื่อ 25 ธ.ค. 51 08:08:05 จากคุณ : โจโฉ (joechou) - [ 25 ธ.ค. 51 08:00:57 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ^ ^ คุณโจโฉใจเย็น คนที่เขียนว่าสังคมพุทธเป็นคนประหลาดน่ะเราเองค่ะ คุณวสันตดิลกเขาตอบความเห้นเรานะ จายเยนๆๆ  -"- จากคุณ : PADAPA--DOO - [ 25 ธ.ค. 51 08:18:14 ]

ความคิดเห็นที่ 59 เรียนจขกท ขบถทั้งที เอาให้มันดีี่สุด ไม่นับถือศาสนาแล้ว จะแคร์ ด๋อยอะไรกับบาป ไม่บาป มันกังวลมากนักก็ไม่ต้องไป บอกอาจารย์ไปตรง ๆก็จบ ไม่ใช่เรื่องยากนี่ครับ คือ ผมว่าความคิด จขกท ขัดกันเองเหมือน กับว่า ใจนึงพยายามออกกรอบแบบเดิม แต่ อีกใจก็เหมือน หากรอบสวย ๆ ไปเกาะ คือ บอกว่า ไม่อยากร่วมพิธีกรรม แล้วก็ยกความหมาย ของพิธีกรรม จากพจนานุกรม เพื่อมาเถียง คนเห็นแย้ง ความหมาย ของสิ่งต่าง ๆ บนโลกใบนี้ มัน ไม่ได้ เขียนไว้ในดิกนะครับ มันต้องดูหลาย ๆ ด้าน สมัยผมเรียน ผมไม่เห็นต้องสนใจ เรื่อง กิจกรรม ที่ตนไม่ชอบ ไม่เห็น ต้องสนใจคะแนนเก็บเล็กน้อยที่ได้จากการร่วมกิจกรรม เอาเวลา ที่มานั่งปวดหัวคะแนนเก็บจากการเข้าวัด ไปหาทางทำให้ เราได้คะแนนจากการสอบใหญ่วิชานี้ดีกว่า เรามีเวลามากกว่าเพื่อนด้วย เพราะไม่ต้องเข้ากิจกรรม ทางแก้แีกทางคือ ไป อำเภอ หรือ สนง.เขต แจ้ง เปลี่ยนศาสนาในทะเบียนราษฏร์ซะ แล้วก็เอาหลักฐานไปบอกอาจารย์ จากคุณ : Lecter - [ 25 ธ.ค. 51 09:38:46 ]

ความคิดเห็นที่ 60 ท่าทางจะไม่จบกันง่ายๆเนอะ -_-" บทสรุป ตัดสินใจอย่างไร อย่าลืมกลับมาบอกด้วยนะครับ จขกท. จากคุณ : Cryptomnesia - [ 25 ธ.ค. 51 10:36:28 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ใจมาขนาดนี้ ยังจะกลัวอะไรกับบาปกรรมเล่า..... จากคุณ : A Good girl - [ 25 ธ.ค. 51 12:59:36 ]

ความคิดเห็นที่ 62 เห็นด้วยกับความเห็นที่ ๕๙ ตราบได้ที่เรายังมีศาสนาตามเอกสาร ก็คงจะเถียงได้ยาก แต่อาจจะต้องไปตบตีกับเจ้าหน้าที่ที่เขตอีกครั้งนึงนะครับ จากคุณ : ผู้ชายที่หลงรักตัวอักษร - [ 25 ธ.ค. 51 13:38:26 ]

ความคิดเห็นที่ 63 เรียน คุณวสันดิลก อ้างถึง "คห.40  การไปสักการะสังเวชนียสถาน 4 ตำบล คือ  สถานที่ประสูติ,ตรัสรู้,แสดงปฐมเทศนา,ปรินิพพาน เป็นคติความเชื่อมีมานานเป็นพันปีแล้ว  ไม่ใช่เพิ่งเกิดสมัยนี้ " แล้วเป็นความเชื่อที่ คนอื่นต้องเชื่อด้วยหรือไม่ครับ และ "เหมือนเรานับถือพ่อแม่แล้วกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดของท่าน" การไปเยี่ยมบ้านเกิด บิดามารดา เนี่ย แสดงว่านับถือนะ  ช่วยไปอ่านเรื่อง ทิศ 6 อีกครั้ง นะครับ อีกข้อนึง ส่วนเรื่องการบูชาพระบรมสารีริกธาตุ  เพราะเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า ที่ยังหลงเหลืออยู่  ในตำราบอกว่าบางส่วนอยู่บนสวรรค์ บางส่วนอยู่เมืองบาดาล,บางส่วนอยู่ศรีลังกา (พระเขี้ยวแก้ว)และที่อื่นๆ จึงไม่แปลกที่เรามีความรักความผูกพันจะบูชากระดูกของท่าน เหมือนเราเก็บบูชากระดูกของพ่อแม่เราไว้ดูต่างหน้า เขาบูชาคุณความดี  ไม่ใช่บูชาสถานที่  วัตถุสิ่งของ (อย่ามองแค่เปลือก) ผมชอบอิสลาม ข้อนึง เรื่องไม่มีรูปเคารพ ตัดปัญหาไปได้เยอะ เห็นไหม ตำรา บอกว่าอยู่ในสวรรค์ บาดาล เฮ้อ สถานที่ที่บอกมา บอกตำแหน่งแน่นอน ได้ไหม  เชื่อกันแต่ตำราซึ่งใครเขียนก็ไม่รู้ พระพุทธเจ้า ท่านยัง ตรัสเอง ว่า อย่าเชื่อเพราะ ว่าเป็นพระพุทธเจ้าตรัส หรือเชื่อตามๆกันมา ให้เชื่อด้วยเหตุ ด้วยผล ที่บูชากระดูก หรือวัตถุ ต้องไปนั่งใต้ต้นโพธิ์ทำว่าเป็นทำสมาธิภาวนาเนี่ย ใครจะว่ายังไงก็ว่าไป  ผมเข้าไม่ถึง จริงๆ กำลังจะไปหาผู้รู้จริงที่ช่วยอธิบายเรื่องนี้ให้ฟังครับ หากคุณวสันดิลก พอแนะนำผู้ใดได้ ขอความกรุณาชี้แนะด้วยครับ จากคุณ : ทอภู่เท่า - [ 25 ธ.ค. 51 14:49:54 ]

ความคิดเห็นที่ 64 กลับมาอ่านอีกทีก็สนุกดีค่ะ เห็นแง่มุมใหม่ๆที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็น เช่น ไม่นับถือศาสนา = ขบถ อ่านไปก็ขำๆดี เรื่องเอกสารทางราชการเราเฉยๆไม่ได้ดิ้นรนว่าจะเปลี่ยนหรือไม่ เพราะเห็นว่ามันไม่สำคัญอะไร คือถ้ามีเวลาจะเปลี่ยนก็ได้ หรือไม่เปลี่ยนก็ไม่เป็นไร เพราะสิ่งสำคัญมันอยู่ที่ตัวเรามากกว่าอะไรที่เป็นแค่เปลือกแบบนั้น ศาสนาพุทธที่ได้มามันก็ติดตัวมาแต่เกิดเท่านั้น ไม่ได้กลัวว่าเอกสารเป็นพุทธแล้วจะไปบอกอาจารย์ไม่ได้ ไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าอาจารย์จะขอดูอะไร เรียนระดับอุดมศึกษาก็คงไม่มาปัญญาอ่อนแบบนั้น หรือไม่เคยคิดว่าไปเปลี่ยนเอกสารแล้วเอาไปให้อาจารย์ดูจะเป็นทางออก อันนั้นมันคิดตื้นๆ เกินไป ถ้าจะไม่ไปก็คงบอกเหตุผลไปตรงๆนั่นแหละค่ะ แต่ถ้าจะไปก็คงไปเพื่อให้ขึ้นชื่อว่าได้ไปแล้วเท่านั้น (อาจจะในกรณีขี้เกียจทำรายงานส่งด้วย) ขอชี้แจงคำว่า "บาป" ที่เรายกมาตอนแรกนะคะ จริงๆมันไม่ได้แปลว่าบาปในพุทธศานาตามที่หลายคนเข้าใจ แล้วเอาไปตีความผิดๆว่าเราสับสนในตัวเองบ้าง ขัดแย้งตัวเองบ้าง จริงๆ บาป ในที่นี้ มันเหมือนเป็นสัญลักษณ์ของ ความผิด ความไม่ดีมากกว่า คือแทนที่ไปแล้วจะได้บุญ ซึ่งก็คือสิ่งดีๆ กลับจะได้บาป คือ กลายเป็นสิ่งไม่ดีซะมากกว่า เช่น ความทุกข์ใจ ความอึดอัด แก้ไขเมื่อ 25 ธ.ค. 51 17:44:09 จากคุณ : ปีกน้อยที่ไม่อาจโบยบิน - [ 25 ธ.ค. 51 17:38:17 ]

ความคิดเห็นที่ 65 มาเล่านิทานให้เจ้าของกระทู้ฟัง เรื่องหลังของผมเองแหละ ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ผมยังทำงานอยู่บ้านนอก วันหนึ่งก็มีผู้ชายขี่จักรยานมาจอดหน้าบ้าน เป็นเด็กหนุ่มๆแต่งตัวเนี๊ยบมาก ใส่เสื้อเชิ้ตผูกเน็กไท พูดไทยได้เก่งเสียด้วย เขาเข้ามาทักทาย กริยามารยาทเรียบร้อย ผมก็ทักทายโอภาปราศรัยด้วยตามธรรมเนียมคนไทยเรา แขกไปใครมาก็ต้อนรับ เขามาชวนพูดคุยวันนั้นอยู่พักหนึ่ง จับความได้ว่าเขาเป็นผู้มาเผยแพร่ลัทธิความเชื่อชนิดหนึ่ง ที่สำคัญคือเขาก็ไม่ปิดบังว่าเขามาเพื่อเชิญชวนเราให้เข้าร่วมเป็นศาสนิกในลัทธิชนิดนั้น เขาไปมาหาสู่อีกหลายครั้ง มอบคัมภีร์เขาไว้ให้ศึกษาก็มอบ พูดจาหว่านล้อมนานาชนิด แน่นอนว่าพื้นฐานความเชื่อของเขาหลายต่อหลายอย่างต่างจากสิ่งที่ผมได้รับการอบรมมาแต่อ้อนแต่ออกทั้งที่บ้านและโรงเรียน สรุปแล้ว คือเขามาชวนผมเปลี่ยนศาสนา เขามาชวนผมทิ้งหลักเก่าที่ผมเกาะอยู่ไปเกาะหลักใหม่ ว่างั้นเหอะ คำถามสำคัญคือ แล้วผมจะเอากะเขาไหม? เมื่อถามข้อนี้แล้วก็ต้องถามข้อต่อๆไปเป็นอันมาก ถ้าจะไปทำไมถึงจะไป? แน่นอนว่าถ้าเราเห็นว่าหลักใหม่มันดีกว่าอันที่เราเกาะ เราก็ไปเกาะหลักใหม่แหงๆ ว่าแต่เรารู้ได้ไงว่าหลักใหม่กับหลักเก่านี่อันไหนเหมาะกับเรา? เขาว่าหลักใหม่ของเขาดี มันก็น่าไปอยู่หรอก แต่ว่าเรารู้จักหลักเก่าของเราดีหรือยัง? พอถามถึงข้อนี้ ผมก็สะดุ้งเฮือก เออ จริงว่ะ ในเอกสารอะไรๆต่อมิอะไรก็บอกว่าเราเป็นพุทธ พ่อแม่ก็พาสวดมนตร์ พาไปเวียนเทียน ไหว้พระ อย่างที่ชาวพุทธเขาทำกัน ที่โรงเรียนวิชาพุทธศาสนาก็สอบได้คะแนนดีเสียด้วย บทสวดมนตร์ท่องได้หมด เป็นนกแก้วนกขุนทอง แต่ทั้งหมดที่ทำมานี้มันเป็นแก่นเป็นสาระของพุทธศาสนาหรือยัง? เรามีความรู้สึกว่ามันยังไม่น่าจะใช่ แต่สาระหรือหัวใจหรือแก่นของความเป็นพุทธศาสนิกชนอยู่ตรงไหน? คนอื่นถามเรา เราตอบไม่ได้นั้นพอจะเดินหนีได้ แต่เราถามตัวเองนั้นมันเดือดร้อนเป็นอันมาก เพราะคนเราจะหนีตัวเองไปไหนได้ มันให้คันในหัวใจยุบยิบๆ ผมจึงต้องทบทวนหลักการทางพุทธศาสน์อย่างขมักเขม้น อ่านตำรา คิดตาม ทบทวน ไต่ถามคนที่ผมคิดว่าเขารู้ แล้ววันนั้นก็มาถึง วันนั้นผมนั่งเปลญวนอยู่ใต้ต้นไม้ อ่านหนังสืออยู่ ไตร่ตรองสิ่งที่ได้รับเข้ามา แล้วก็เกิดปิติเป็นล้นพ้นด้วยเห็นว่าทางนี้น่าจะเป็นทางที่เหมาะกับตูแล้ว กระวีกระวาดไปจุดธูปมาสามดอก ปักลงกับผืนดิน กระทำเบญจางคประดิษฐ์ไปยังทิศที่หลวงพ่อพระพุทธชินราชท่านอยู่ กระทำสัตย์ปฏิญาณ ณ บัดนั้นว่า นับแต่บัดนั้นเป็นต้นไปจวบจนชีวิตหาไม่ก็จะขอเป็นพุทธมามกะตลอดไป ชีวิตในชาติหน้าจะมีหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ถ้าจะมีก็ขอให้ได้บังเกิดมาในร่มเงาใบบุญของพระบวรพุทธศาสนาไปทุกภพทุกชาติจนกว่าวาสนาจะอำนวยให้พ้นทุกข์ทั้งปวงกับเขาบ้าง เรียกว่า ค้นพบตัวเอง ว่างั้นเหอะ การค้นพบตัวเองของคนเรา เอาแน่ไม่ได้ ก็ขอเอาใจช่วยให้เจ้าของกระทู้ได้ค้นพบสิ่งที่ถูกจริตของคุณเถิด จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 25 ธ.ค. 51 19:29:38 ]

ความคิดเห็นที่ 66 ชอบตรงนี้มากครับ บทสวดมนตร์ท่องได้หมด เป็นนกแก้วนกขุนทอง แต่ทั้งหมดที่ทำมานี้มันเป็นแก่นเป็นสาระของพุทธศาสนาหรือยัง? เรามีความรู้สึกว่ามันยังไม่น่าจะใช่ แต่สาระหรือหัวใจหรือแก่นของความเป็นพุทธศาสนิกชนอยู่ตรงไหน? จากคุณ : ตรงใจ ให้ GIVE (ทอภู่เท่า) - [ 25 ธ.ค. 51 19:59:26 ]

ความคิดเห็นที่ 67 ลองก่อน แล้วค่อยมาว่ากันใหม่ค่ะ ว่าชอบหรือไม่ชอบ ที่ไม่อยากไป เพราะกลัวลำบากหรือป่าวค่ะ เพราะว่าไปแล้วต้องนั่งสมาธิทั้งวัน ตื่นแต่เช้า ทานข้าว 2 มื้อ คนที่ไม่เคยไป ก้อคิดว่าลำบากทั้งนั้นล่ะค่ะ การไปร่วมกิจกรรมนั่งสมาธิ ฟังธรรม แค่นี้ไม่ใช่ถือว่าเป็นการโฆษณาชวนเชื่อให้คุณนับถือศาสนาค่ะ เป็นการทดสอบว่า แค่นั่งเฉยๆแค่นี้ คุณนั่งได้แค่ไหน อดทนได้ถึงไหน?? ปัญหาตอนนี้ อยู่ที่คุณตั้งอคติต่อศาสนา (ไม่ทราบเพราะว่าอะไร ก้อคงแล้วแต่ความคิดคุณ อาจเพราะความกลัวเรื่องบาปที่ฝั่งหัวตั้งแต่เกิดมั่งค่ะ เรยปฏิเสธศาสนา เพราะจะได้ไม่ต้องกลัวเรื่องที่น่ากลัวๆในศาสนาอีก ไม่ต้องเจออีก เพราะฉันไม่ได้นับถือนี่ จะไปโดนบาปกรรมอะไร???) แล้วมาเจอวิชาที่มันจี้ใจดำที่บังคับคุณให้ไปอยู่ตอนนี้ เรยเกิดอาการต่อต้านขึ้นมาว่า ทำไมฉันต้องไป!!!! แล้วพอมาฟังความคิดเห็นของคนที่มีศาสนาอยู่ในใจ คุณก้อเลยเกิดอาการที่ว่า ทำไมต้องมาโฆษณาชวนเชื่อกันด้วยนี่??? ก้อเรย เกิดการโต้แย้งไปมาระหว่างในกระทู้ บางที .......การยอมรับความคิดเห็น โดยฟังเฉยๆ ไม่ตอบโต้ ไม่ต้องชี้แจง ก้อดีกว่าที่นำมาตอบโต้ ให้ขุ่นเคืองนะค่ะ เพราะเป็นการพิสูจน์ว่าในสังคม คุณอดทนต่อการรับฟังความคิดเห็นที่ไม่รู้ใจ ไม่ต้องตาได้ในขนาดไหน?? เราว่าการที่อ่านคอมเมนต์คุณที่มาเมนต์ตอบคนในบอร์ดเนี่ย ได้คำตอบแล้วนะค่ะ ว่า " ไม่อยากไปก้อไม่ต้องไป " ในเมื่อชีวิตเป็นของคุณ คุณไม่อยากทำนี่ ก้อไม่ต้องทน แต่....ต้องกล้ารับผลที่จะเกิดขึ้นมาด้วยค่ะ   ถ้าไม่กล้าทำแบบที่ใจปราถนา แต่ออกมาร้องป่าวๆว่าเกรงใจอาจารย์ ขัดไม่ได้ เดียวเกียรตินิยม (ที่เป็นเพียงตัวเลขธรรมดา ไม่ได้ Support หรือเป็นตัวประกันคุณภาพว่า ชีวิตนี้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ไม่มีหนาม หรือแมลงกวนใจ) มันจะร่วง ตกลงแคร์ตัวเอง หรือแค่ไอ้ตัวเลขบ้าๆที่ทำให้คุณกดดันตัวเองอยู่ทุกวันนี้กันค่ะ?? ป๊อดอ่ะ....ขี้ขลาด (โทษทีนะ คำนี้แรงไปสำหรับคุณหรือเปล้าค่ะ??) ก้อไม่ต้องทำอะไร ปล่อยให้ทุกข์ทรมานไปนั้นแหละ รับรองคุณไปค่ายครั้งนี้แบบทรมานจิตใจสุดฤทธิ์เรยค่ะ ไม่รู้ว่าจะพ้นช่วงในคืนแรกไปได้หรือป่าว?? ยิ่งเจอการสวดมนต์ ทำวัตรเย็นด้วย รับรองประสาทแน่ๆค่ะ เล่าสู่กันฟังค่ะ เมื่อไม่นานมานี้ เราลองไปนั่งวิปัชชนา กรรมฐานเบื้องต้น ค่ายแบบคุณนั้นแหละ ตั้งปณิธานไว้ด้วย ไปเอาบุญ.....ไปทำตัวให้ใจสงบกว่านี้ จิตเย็นกว่านี้ แต่ศีลแตกตั้งแต่ยังไม่ไปค่ายเรยค่ะ แต่ท่านอาจารย์ท่านบอกว่า คนไม่รู้ คือคนไม่ผิด ตอนนี้กลับมาแล้วติดใจ มีกำลังใจในการดำเนินชีวิตมากขึ้น ได้อยู่กับตัวเอง กำลังหาเวลาไปใหม่อยู่พอดีค่ะ แต่เพื่อนเราที่แรกต่อต้าน หลังๆก้อสงบและทำไใจรับได้นะค่ะ ไม่มีอาการเหมือนก่อนมา ทุกคนล้วนออกไปด้วยความยินดี อิ่มเอิบใจ ถึงแม้ว่า จะศีลแตกกันคนล่ะข้อ สองข้อก้อตาม ตามประสามือใหม่หัดนั่งสมาธิ อายุเราไล่เลี่ยกับคุณแต่ เราคงอายุมากกว่านิดหน่อย เราว่าคุณน่าจะโตกว่านี้ ทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่มากกว่านี้หน่อยก้อดีค่ะ ชีวิตคนเรา เจอสิ่งไม่ชอบ ไม่ได้หมายถึงต้องปฏิเสธ เป็นตัวของตัวเองค่ะ มันจะทำให้สังคมน่าเบื่อไปยิ่งกว่านี้ อดทนเพื่อคุณทำไม่ได้เชียวหรือค่ะ??? เหอๆพล่ามอะไรไม่รู้ หลังๆชักจะออกนอกเรื่อง อิอิ แก้ไขเมื่อ 25 ธ.ค. 51 23:30:30 จากคุณ : Miracles in my life - [ 25 ธ.ค. 51 22:52:09 ]

ความคิดเห็นที่ 68 คห.63 "เหมือนเรานับถือพ่อแม่แล้วกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดของท่าน" เป็นแค่อุปมาอุปไมยโปรดเข้าใจด้วย ส่วนเรื่องพระบรมสารีริกธาตุตำราเขาว่าอย่างนี้   มีข้อมูลยังดีกว่าไม่มีข้อมูลนะคุณ ตำราเขาบันทึกมาตั้งแต่โบราณผ่านการบอกเล่าสั่งสอนรุ่นต่อรุ่น มีหลักฐานน่าเชื่อถือ  คุณไม่รู้ประวัติเอง แม้แต่สมเด็จพระสังฆราช  พระมหาเถระยังเชื่อ คุณไม่เชื่อก็แล้วแต่คุณ  การไม่เชื่อคำสอนตัวเองสิแปลกเป็นปัญหามากกว่า ที่นักปราชญ์ด้านพุทธศาสนาพากันไปสักการะสังเวชนียสถานตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน แสดงว่าท่านเข้าใจผิดรู้น้อยกว่าคุณใช่ไหม ? คนพุทธไม่เห็นประโยชน์การไปสักการะสังเวชนียสถาน กับการบูชาพระบรมสารีริกธาตุ  ไม่ธรรมดาแล้วนะ แล้วที่คุณว่าในคห.66 สวดมนต์เป็นนกแก้วนกขุนทอง เขาสวดมนต์เพื่อสรรเสริญพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์  ทำให้จิตใจสงบ ไม่สวด ไม่รู้เหตุผลไปว่าเขาอีก  มีต้นไม้อะไรมีแค่แก่นไม่มีเปลือก ช่วยบอกหน่อย สมมุติมีฝรั่งมาขอให้คนไทยเล่าประวัติพุทธศาสนาสวดมนต์ให้ฟัง คนหนึ่งเล่าได้สวดได้กับอีกคนยืนเป็นใบ้  อย่างไหนน่าอายกว่ากัน ศาสนาอยู่ได้จนทุกวันนี้เพราะเปลือกกับแก่นไปด้วยกัน  ทิ้งกันไม่ได้ ก่อนพูดอะไรออกมา  ช่วยคิดให้ลึกซึ้งทีเถอะ สวัสดีปีใหม่ แก้ไขเมื่อ 27 ธ.ค. 51 09:38:04 แก้ไขเมื่อ 26 ธ.ค. 51 01:41:10 แก้ไขเมื่อ 26 ธ.ค. 51 01:07:56 แก้ไขเมื่อ 26 ธ.ค. 51 00:56:29 แก้ไขเมื่อ 26 ธ.ค. 51 00:50:28 แก้ไขเมื่อ 26 ธ.ค. 51 00:21:08 จากคุณ : วสันดิลก - [ 25 ธ.ค. 51 23:34:20 ]

ความคิดเห็นที่ 69 ครับ บัวระดับ ซี 1 อย่างผม อ่านดูก็รู้แล้ว รวมถึงอารมณ์ที่ปนเปื้อนมากับคำตอบ คาดอะไรไม่ผิดจริงๆ ขอ ขำก๊าก หน่อยนึง จบแค่นี้นะ ไม่ต่อความแล้วนะครับ สวัสดีปีใหม่ครับ แก้ไขเมื่อ 26 ธ.ค. 51 00:20:54 แก้ไขเมื่อ 26 ธ.ค. 51 00:10:18 จากคุณ : ทอภู่เท่า - [ 26 ธ.ค. 51 00:06:11 ]

ความคิดเห็นที่ 70 หากความทุกข์ใจ อึดอัดใจ คือบาป ในความคิดของ จขกท.(คห.64) ขอถามเจ้าของกระทู้ว่าที่เจ้าของกระทู้เจออยู่ (อึดอัดใจที่มีการพาไปวัด) จนต้องมาเขียนกระทู้ คือบาปในความหมายของ จขกท.รึเปล่าครับ หากพูดตามหลักศาสนาแล้ว คุณไม่นับถือศาสนาบาปไหม ไม่บาปแน่นอนครับ แต่หากคุณไม่นับถือศาสนาแต่บอกกล่าวแก่ผู้อื่น(โกหก)ว่านับถือ ก็จะเกิดบาป(ความทุกข์ร้อน ทุกข์ใจ) ดังที่จขกท.ว่านั่นแหละครับ ศาสนาพุทธสอนไม่ให้คร่ำเคร่ง ตึงไป หย่อนไป ไม่ดี ให้เป็นกลาง หากเจ้าของกระทู้คิดว่าทำแล้วดี ทำแล้วสบายใจ ทำแล้วไม่เบียดเบียนใคร ทำเถอะครับ หากเจ้าของกระทู้จะปฏิเสธที่จะไป ผมว่าอาจารย์คงไม่ห้ามแน่นอน เพราะอาจารย์ก็ไม่ได้เดือดร้อนกับการที่ คุณไม่ไป หากตัดสินใจไปแล้ว ก็มั่นใจไปเลยครับ จขกท.จะได้ไม่ทุกข์ใจ หากต้องส่งรายงาน ก็คิดเสียว่า คะแนน ไม่ใช่จะอยู่เฉยๆแล้วจะมา แต่คุณต้องส่งการบ้าน คุณถึงจะได้มา ขอให้โชคดีมีความสุขในปีใหม่นี้ครับ แก้ไขเมื่อ 26 ธ.ค. 51 00:23:41 จากคุณ : galactic_orbit - [ 26 ธ.ค. 51 00:13:55 ]

ความคิดเห็นที่ 71 เชื่อใจตนเองครับ คุณเจ้าของกระทู้ ... ... ทำสิ่งที่ดีที่สุด ... เพราะผมก้เป็น ขบถ ไปเสียแล้วเหมือนกัน ฮะๆ จากคุณ : jassb1 - [ 26 ธ.ค. 51 01:27:13 ]

ความคิดเห็นที่ 72 อืม เป็น dilemma เหมือนกันนะเนี่ย จะ (ยัง) ไม่ขอถกเถียงเรื่องการปฏิบัติศีลนี่เป็นพิธีกรรมหรือไม่ ขนาดไหน แก่นของศาสนาอยู่ตรงไหนนะครับ (ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่น่าสนใจ แต่ต้องใช้พลังงานและระยะเวลานานมาก) เอาเรื่องชีวิต จขกท. ก่อนดีกว่า ผมว่า มันไม่มีคำตอบสำเร็จรูปตายตัวหรอกครับ ในฐานะของคนที่ก็บอกกับตัวเองว่า ไม่นับถือศาสนาใด ๆ เช่นกันเนี่ย การปฏิเสธเป็นส่วนร่วมในพิธีกรรมหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ตอนนั้นด้วย เช่น เดี๋ยวนี้ไปวัดกับแม่ ก็จะช่วยแม่ (และญาติๆ) ถือของ หิ้วของไปถวายพระอะไรต่ออะไร แต่เวลาทำพิธีทั้งหลายก็จะนั่งอยู่ด้วยห่าง ๆ (หรือบางทีก็ออกไปเดินชมนกชมไม้) แต่ในบางพิธีเช่น กรณีสวดงานศพของคนรู้จัก ผมก็ยกมือพนมมือตามคนอื่นเขาไปเช่นกัน เพราะด้วยความเคารพในเพื่อนมนุษย์รอบ ๆ ตัว และความรักตัวเองที่ไม่อยากแปลกแยกจากสังคม (ไปมากกว่านี้) นัก มากกว่าความศรัทธาจริง ๆ ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ไม่มีใครบังคับเลยแม้แต่น้อย (แน่นอน มันคงเป็น hegemony ของสังคมกำลังทำงานอยู่ก็ได้ แต่ในระดับปฏิบัติการแล้ว ต่อให้ผม aware ผมก็คงไม่มีทางเลือกอื่นนัก) ในกรณี จขกท. นั้น ถ้า (เน้นว่า ถ้า) ผมเป็นคุณ ผมจะเลือกข้อที่ practical กับชีวิตผมที่สุด นั่นก็คือ ข้อกอไก่นั่นเอง ด้วยเหตุผลบางประการเช่น ผมไม่รังเกียจที่จะไปลองอะไรใหม่ ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับเพื่อน ๆ และที่สำคัญไปมากกว่านั้นคือ ผมขี้เกียจทำรายงานครับ (ฮา) แต่ท้ายที่สุดแล้ว ผมว่าคุณก็ต้องคิดเอง (ย้ำว่า คิดเอง) ว่าจะเลือกข้อไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เลือกข้อไหนภายใต้เหตุผลอย่างไร โชคดีครับผม จากคุณ : ฮกหลงผู้หยั่งรู้ฟ้ามหาสมุทร - [ 26 ธ.ค. 51 01:51:55 ]

ความคิดเห็นที่ 73 เพิ่มเติมครับ  ได้คำตอบจากใจตัวเองยังครับ  ได้แล้วก็มาบอกคำตอบของคุณด้วยนะครับ เพราะที่ทุกคนมาตอบนี่ก็เพราะอยากให้คุณหาหนทางที่คุณยังตัดสินใจไม่ได้ให้เจอ  แล้วอีกอย่างกระทู้จะได้เย็นๆลงแล้วปิดซักที เพราะมันออกทะเลไปมหาสมุทรจากเรื่องที่คุณ จขกท.ถามแล้ว เดี๋ยวมันจะไปอวกาศซะก่อน   สวัสดีปีใหม่นะก๊าบบ!! แก้ไขเมื่อ 26 ธ.ค. 51 10:32:39 จากคุณ : onelegend - [ 26 ธ.ค. 51 03:09:43 ]

ความคิดเห็นที่ 74 มายืนยันอย่างที่คุณชาเขียวว่าค่ะ ว่าการไม่นับถือศาสนาอะไรเลยก็ไม่ต่างอะไรจากการนับถือศาสนานั่นแหละค่ะ ในทุกๆแง่มุมเลย การไม่มีศาสนา ในตัวของมันเองก็คือศาสนาหนึ่งนั่นแหละ ลองพิจารณาเทียบเคียงดูง่ายๆ การนับถืออะไรสักอย่างคือการยึดมั่นในสิ่งนั้น การไม่นับถือศาสนาก็คือการยึดมั่นถือมั่นว่าจะไม่นับถืออะไรเลย ถ้ามองว่าการนับถือศาสนาคือภาระ การไม่มีศาสนาก็คือภาระที่เท่าเทียมกัน เพราะต้องยึดเอาไว้ให้มั่นที่สุดว่าฉันไม่นับถืออะไรเลยนะเนี่ย ลองถามใครที่เคยไม่มีศาสนาดูสิคะ ทุกคนเข้าใจความรู้สึกนั้นได้ดีเมื่อในที่สุดก็หันมานับถือศาสนาอะไรสักอย่าง ว่าความรู้สึกเวลานี้กับเวลานั้นมันไม่ได้ต่างอะไรกันเลยจนนิดเดียว เหมือนอย่างที่คุณน้าแอ๊ด ปากเกล็ด ชี้ให้เห็นนั่นแหละค คนที่เคยผ่านประสบการณ์นั้นเข้าใจดี เพราะตัวเองก็เคยผ่านมาแล้วเหมือนกัน อย่างเช่นเคยนั่งทำการบ้านอยู่ในอพาร์ตเม้นต์ดีๆ ก็มีพวก Jehovah Witness มาเคาะกระจกหน้าต่างบอกว่ามีข่าวดีมาบอก (เขาเรียกว่าอย่างนั้นค่ะ เรียกว่า good news) คือง่ายๆว่าจะมาสอนศาสนานั่นแหละค่ะ เจอแทบจะทุกวันหยุดเลย และทุกครั้งที่เขารุกมา ก็จะดันกลับสุดแรงเกิดเหมือนกัน ประเภทเขาดันมาแรงเท่าไหร่ ก็ดันกลับไปแรงเท่านั้น นั่นแหละค่ะคือการยึดมั่นถือมั่นกับความพยายามที่จะยืนยันกับตัวเองและคนรอบข้างว่าฉันเป็นคนไม่มีศาสนานะ ฉันไม่นับถืออะไรเลยนะ มันไม่ต่างอะไรกับการถือมั่นในความเชี่อทางศาสนาเลยแม้แต่นิดเดียวค่ะ บอกตรงๆในฐานะคนที่เคยผ่านสภาพนั้นมาแล้วนะคะว่าเหนื่อยเปล่าค่ะ ตัวเองทุกวันนี้นับถือศาสนาพุทธ เลือกเป็นพุทธก็เพราะตัวเองแท้ๆ ไม่ใช่เพราะพ่อแม่ วงศาคณาญาติหรือว่าอะไรเลย แต่ในเวลาเดียวกันเมื่ออยู่ในสังคมที่ทุกคนรอบข้างเป็นคริสต์มาครึ่งค่อนชีวิต เพราะอย่างนั้นเมื่อต้องไปโบสถ์ก็ไปได้ ไปอินเดียก็เข้าไปร่วมประกอบพิธีกับเพื่อนที่นับถือศาสนาฮินดูได้เหมือนกัน มีเพื่อนสนิทเป็นยิว ก็เคยเข้าร่วมพิธี Yom Kippur กับเขาด้วย คิดเสียว่าเราไม่ได้ทำเพื่อตัวเราเองไงคะ เราทำ out of respect (ภาษาไทยว่าอย่างไรก็ไม่แน่ใจนะคะ โทษที) ต่อครูบาอาจารย์ ต่อเพื่อนๆ ต่อคนที่เรารักและรักเรา ต่อคนรู้จัก และต่อคนที่เราให้ความนับถือค่ะ มันไม่เหนือบ่ากว่าแรงอะไรเลย เป็นประสบการณ์ชีวิตที่ดีด้วย คือไม่สูญเสียอะไรเลยนะ มีแต่ได้ประสบการณ์ดีๆ อยากแนะนำว่าอย่าเอาความรู้สึกว่าฉันเป็นคนไม่มีศาสนามาแบกไว้เลยค่ะ หนักเปล่าๆ จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) - [ 26 ธ.ค. 51 08:30:12 ]

ความคิดเห็นที่ 75 "อยากแนะนำว่าอย่าเอาความรู้สึกว่าฉันเป็นคนไม่มีศาสนามาแบกไว้เลยค่ะ หนักเปล่าๆ" ...เพื่อ ...? จากคุณ : jassb1 - [ 26 ธ.ค. 51 10:51:38 ]

ความคิดเห็นที่ 76 การไม่นับถือศาสนา และผู้ไม่นับถือศาสนาจริงๆ นั้นมีแน่ครับ ผมรู้จักอยู่หลายคน แต่กรณีของคุณ ผมเห็นตรงกับคุณชาเขียว ว่า คุณนับถือศาสนาชื่อ "ไม่นับถือศาสนา" ซึ่งมีพิธีกรรมที่คุณกำหนดเองมาแล้ว แก้วที่ไม่มีอะไรอยู่ จะเอาอะไรไปใส่ก็ได้ แต่ถ้าแก้วที่ "มี" ความ "ไม่มี" เอาอะไรใส่ลงไปก็ไม่ได้ ผมเองเคยนับถือศาสนาพุทธตามทะเบียนบ้าน แล้วนับถือศาสนา "ไม่นับถือศาสนา" แล้วไม่มีศาสนา แล้วกลับมานับถือศาสนาพุทธใหม่ ตอนนี้คุณอยู่ในขั้นที่สองครับ อีกสักพัก เมื่อเข้าถึงขั้นที่สาม คุณจะเข้าใจเหมือนผมเอง แก้ไขเมื่อ 26 ธ.ค. 51 14:04:49 จากคุณ : บุญชิตฯ (Players) - [ 26 ธ.ค. 51 14:01:18 ]

ความคิดเห็นที่ 77 ไม่ได้อ่านคำตอบทุกคำตอบนะคะ แต่มันมี เหตุ และผล อยู่บ้างว่า           เมื่อไม่รู้จัก จึงไม่รัก ไม่ศรัทธา และไม่อยากแตะต้องสิ่งนั้น      แต่ มองในมุมที่กว้างขึ้นหน่อย ด้วยการมอง  ความหมายเฉพาะจุด ดูบ้าง คำว่า ศาสนา แปลว่า คำสอน    คำว่า พุทธ  แปลว่า ปัญญา        รวมว่า คำสอนแห่งปัญญา          ปัญญา แห่งพุทธะ ที่คุณไม่รัก ไม่ศรัทธา ไม่สนใจ ไม่อยากรู้ ท่านบอก ง่าย ๆ  ว่า สิ่งใดเกิดจากเหตุ สิ่งนั้นย่อมเเกิดเป็นผล   ไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นโดย ปราศจากเหตุ          ทุกอย่างที่คุณทำ ลงไป ในชีวิตประจำวัน เกิดจากเหตุ สามอย่างโดย ส่วนใหญ่  และ ผูกพันคุณไป จากนาทีนี้ เป็นนาทีต่อไป เป็นชั่วโมงต่อไป วันนี้ทั้งวันทั้งคืน พรุ่งนี้ มะรืน วันหน้า เดือนหน้า ปีหน้า ฯลฯ ไปเรื่อย ๆ เพราะเหตุมันเกิดขึ้นไปแล้วด้วยการกระทำนั้น ๆ ของคุณ            พุทธปัญญานั้น ชี้แจงแถลงให้เห็น และ สืบทอดคำสอนกันมาด้วย มุขปาฐะ เป็นคำสอนปากต่อปากด้วย ภาษามคธ จนเรียกกันติดปากว่าภาษา บาลี   ปาลิ นั่น   มาจน เป็น ภาษาไทย ภาษาพ่อ ภาษาแม่ของเรา ในระหว่าง ทางการสั่งสอนอบรมนั้น ผ่านเป็นภาษาสันสกฤต มา เป็น ภาษามอญ พม่า ขอม ด้วยอีกต่างหาก มีไปเป็นธิเบต จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ข้ามไป เยอรมัน อังกฤษ  จึงต่างก็ แปลไปต่าง ๆ นา นา  จนต้องสังคายนากันหลายรอบ รวมทั้งการ สังคายนาในไทยด้วยหลายครั้งหลายหน             การที่จะทำให้รู้จักศาสนาใด ก็มีทางหนึ่ง คือการอ่าน และหากอ่าน แล้ว  เข้าใจ รู้เหตุรู้ผล ว่า คำสอน ในถิ่นนั้น ๆ หมายความว่าอย่างไร บางครั้ง ก็เกิดปัญญาขึ้นมาเอง           อย่างเช่นข้าพเจ้าก็ได้ อ่านประวัติที่แปล โดยท่านแม่ชี ดร.สุภาพรรณ ณ บางช้าง  แล้วเกิดการสลดสังเวช ว่า รู้ไหมว่า กว่าศาสนาจะเดินทางมาถึง ประเทศไทยได้นั้น ได้เกือบหมดสิ้นไป ณ ลังกา เสียแล้ว  พระท่าน ไม่มีจะฉัน ปฏิบัติธรรมกันตายไปเป็นแถว ๆ เพราะเกิดการแล้งขึ้นมา   ประวัติศาสตร์ ตรงนั้น บอกว่า  ภาษายุ่งเหยิง ผสมผสานกันไปหมด ระหว่าง บาลี กับ สันสกฤต อย่างนี้เป็นต้น                การอ่านประวัติศาสนาทุกศาสนา เป็นเรื่องที่ พวกเราทุกคน ได้ อ่านกันมาเรื่อย ๆ เพราะเราอยากรู้ว่า ดีจริงหรือ  แน่จริงไหม  ทำไมเขาถึงสอน กันมาอย่างนั้น ทำไมเขาสอนกันมาอย่างนี้ ล้วนเป็นสิ่งซึ่งนักศึกษาทางปัญญา ควรจะได้หมั่นสนใจ เพราะการกระทำใด ๆ ทั้งมวลของเรา ล้วนเป็น เหตุ แห่ง ผลที่จะติดตามเราไปกันทั้งนั้น จะศาสนาใด ในท้องถิ่นเขา เขาย่อมถูกต้องใน การสอนให้มองถูก           ยกตัวอย่างง่าย ๆ  เราไม่สำรวม ไม่ระวังวาจาเราก็มีเรื่องกันได้ทุกวัน         หากเรา หนัก คือ มีศีล หรือ  ศิลา ทับไว้นี่แหละ เราก็ไม่ไปทะเลาะกับ ใคร ด้วยวาจาไม่ทุจริต ส่วนวาจาจะสุจริต หรือไม่ ก็ต้องตอนเราคิด และ จงใจ เจตนา จะ พุ่งมันออกไป นั่นเอง           การมีศีล  ห้า หรือ ศิลา หนัก ห้า นี้ เป็น ธรรมชาติ ชองการอยู่ร่วมกัน ในสังคม ของคนเรา   เราไม่อยากได้ของชาวบ้าน ชาวบ้านก็ไม่มา ตีหัวเรา ไม่มาด่าเรา ไม่มา ฆ่าเรา เอาง่าย ๆ    เราครองตนด้วยสติ รู้ดีว่ากำลังทำอะไร อยู่   เราไม่ได้ทำให้สติ หาย  มึนเมาอยู่ในแอลกอฮอล์ หรือสิ่งเสพติด นั้นก็ทำ ให้เราทำผิดพลาดน้อยลง                    และไม่ไปล่วงลูกเมีย ผัวชาวบ้าน ก็ถือเป็น หนัก ในศิลา ในศีล ขั้นง่าย ๆ นั้นไป                 ส่วนการหนักขั้นสูงกว่านั้น คือที่ท่านอาจารย์ของคุณ จะให้เหล่า คุณ ก้าวไป นั้น   ก็อยู่ที่ท่านอาจารย์ บอก การปฎิบัติ เหล่านั้นหรือไม่ ให้รู้ว่า ควรจะมี ศิลา เหล่านั้นเพิ่มขึ้นเพราะอะไร ?              ท่านต้องการให้คุณรู้ว่า หาก รุ้ว่า ความหิวมันเป็นอย่างไร อดทน ได้มากไหม ...? วันหนึ่ง แห่งชีวิต ยามที่เรา ไปตกอยู่ในสภาพ กินไม่ได้ ไม่มี อะไรจะกิน มัน จะลงแดงตายไปไหม ?       การที่เรา ปฏิเสธเครื่องบำรุงบำเรอ ผิวพรรณ ภัสตราภรณ์ อันเราติดข้องอยู่กับ ความชื่นชมโสมนัสนั้น                   เราลองโยนมันทิ้งเสียบ้าง แล้วรู้จัก วันที่ โลกนี้ไม่มีเสื้อผ้าจะสวม ต้องสวมมันอยู่สีเดียว มีเท่านั้น จะอยู่ได้ไหม ?                    วันที่เราเคยมีที่นอนอ่อนนุ่ม บนปุยสวรรค์ วันที่ต้องนอนบนพื้นไม้ พื้นหินเย็นเฉียบนั้น  0.......ก็โลกข้างนอกสิ่งที่เราสร้างห่อหุ้มไว้กันมา มันมีอย่าง นั้นนี่นา  มัน ธรรมชาติออกอย่างนั้น เรารู้จักมันไหม ?                   ยากนะ ที่คนเรา ซึ่งเคยชินกับ กดปุ๊บ แสงมา ปั๊บ น้ำร้อนจี๋ทันใจ ปรับความเย็นโดยด่วนด้วยเครื่องแอร์ จะรู้ว่า โลกนี้มันไม่เที่ยง ไม่แน่ ไม่นอน อย่างนั้นได้ง่าย ๆ                 จะนับถือ หรือไม่   แนะนำให้ทำใจไปศึกษาค่ะ                 ไปศึกษา ให้รู้ว่า  วันที่เราผู้เคยชินกับการ ฆ่าสัตว์ที่เขาบินมากิน เลือดกินเนื้อเรากัดเจ็บจี๊ดนั้น  ต้องหยุดทำร้ายมันเสียบ้าง มันเป็นอย่างไร ?                วันที่เราต้องหุบปากเสียบ้าง คำนึงว่าถ้อยของเราจะทำร้ายใครหรือ ไม่ มันเป็นอย่างไร                หยุดอยากได้อะไรรอบตัวของคนอื่น ที่ไม่ใช่ของเรา เสียบ้าง            หยุดชื่นชมโสมนัส พี่ เขา น้อง เขา ผัว เขา เมีย เขา ฯลฯ เหล่านั้นเสีย บ้าง จะเป็นอย่างไร               ไปเพื่อให้รู้ว่า หากเคยชินกับสิ่งเสพติดมัวเมา แล้วต้องห่างมันบ้าง มันจะเป็นอย่างไร                    พอได้เรียนรู้ ไปถึง อีกสามข้อ ดังที่ท่านผู้รู้ ท่านมาให้เมตตา อรรถาธิบายไว้นั้น แล้ว เป็นอย่างไร                   ก็ได้แง่มุมมองโลกใหม่ มันเป็นอย่างที่มันเป็น เรานี้สิ ไม่เป็น อย่างที่มันต้องเป็น                    พุทธิปัญญา มันก็อาจเกิดขึ้นมาในระหว่างนั้น  รู้ว่าเราเขา สัตว์ทั้งหลาย มันก็คล้ายกันไปหมด มันไม่ต่างกันดอกนะ เกิดการเปลี่ยนความ คิดใหม่ มองมุมใหม่ อย่างที่ไม่เคยมองโลกเฉกนั้นมาก่อน                  น่าอิจฉาที่คุณได้ร่ำได้เรียนได้รู้จักนับแต่อายุยังน้อย อย่างถูกทาง แต่   นั่นแหละ เพราะท่านอาจารย์ ยังมิได้ ปลูกฝัง ความรัก หรือที่บาลีเขาว่า              ฉันทะ ให้เกิดในใจคุณขึ้นมา              เราจะทำสิ่งไร ก็เพราะเราชอบสิ่งนั้นมาเสมอ              แต่เรามองมุมใหม่ซิว่า ปัญญานั้น เรายังมิเคยได้เลยนะ  กะอีแค่ ไป หยุด หยุด เสียบ้างอย่างนั้น มันจะให้อะไรที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเจียวหรือ              คุณ ก็ มีโอกาสหยิบยื่นมาให้ตรงหน้าแล้วนี่นะ            ไม่คว้ามันไว้ ด้วย ใจอันอยากได้สติ ปัญญา อันยิ่งใหญ่ในภายภาคหน้า บ้างหรือ ไร             ขออวยพรให้คุณเดินไปถูกทาง                                             ด้วยเอ็นดู รัก และ เมตตา ต่อคุณ เป็นที่ตั้ง จากคุณ : tiki_ทิกิ - [ 26 ธ.ค. 51 16:25:56 ]

ความคิดเห็นที่ 78 ..... ... ถ้าคุณไม่นับถือศาสนาอะไรเลยก็ไม่เห็นต้องกลัวบาป... แค่กลัวจะทำสิ่งที่ไม่ดีและไม่ถูกต้องทำให้คนอื่นและตัวเราเองเดือดร้อนก็พอ.... .... การไปถือศีลแบบนี้ถ้าเกี่ยวกับการเรียนก็เหมือนการเล่นกีฬา...ถ้าคุณไม่เล่นก็สอบไม่ผ่าน...ถือว่าเกเรไม่ยอมเรียนโดดเรียน.... อาจารย์ไม่ได้ไปบังคับให้เรานับถือซะหน่อย... .... เรื่องของเรื่องคือความขี้เกียจ... .... การเรียนก็เหมือนการเรียนรู้สิ่งต่างๆที่เราไม่เคยรู้หรือรู้น้อย...ส่วนเรื่องการชอบไม่ชอบก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเรา.... แต่ตอนนี้เรามีหน้าที่เรียนควรมีความรับผิดชอบในหน้าที่ของตัวเรา... โดยปราศจากข้ออ้างใดๆๆๆ.... จากคุณ : tiNgrOyArrAi - [ 26 ธ.ค. 51 17:44:19 ]

ความคิดเห็นที่ 79 ทำไมการศึกษาในสถานศึกษาของรัฐ ที่ไม่ได้เป็นสถานศึกษาของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง ควรจะรองรับคนได้ทุกชาติศาสนา หรือกระัทั่งไม่มีศาสนา ต้องเอาการเรียนการสอน ไปผูกติดกับศาสนาด้วยครับ? หลายๆ คนที่ตอบกระทู้ในนี้เหมือนไม่ได้เหตุผลอะไรเลย เพียงแค่บอกว่าให้ลองทำเพราะมันดี ไม่ต่างอะไรจากการครอบงำเท่าไหร่หรอกนะครับ คนที่ไม่อยากทำคือไม่อยากทำ จากคุณ : Govinda Gopala - [ 26 ธ.ค. 51 18:05:21 ]

ความคิดเห็นที่ 80 ขอตอบ คห 79 เรื่อง ทำไมการศึกษาในสถานศึกษาของรัฐ ที่ไม่ได้เป็นสถานศึกษาของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง ควรจะรองรับคนได้ทุกชาติศาสนา หรือกระัทั่งไม่มีศาสนา ต้องเอาการเรียนการสอน ไปผูกติดกับศาสนาด้วยครับ? ตอบ ความจริงคือ การศึกษาในสถานศึกษาของรัฐ ที่ไม่ได้เป็นสถานศึกษาของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง ได้ รองรับคนได้ทุกชาติศาสนา หรือกระัทั่งไม่มีศาสนา อยู่แล้ว เพราะวิชาเหล่านี้มักเป็นวิชาเลือกอิสระ และมีให้เลือกลงศึกษาหลายๆศาสนา รวมทั้งศาสนาเปรียบเทียบ และแม้แต่ที่พูดถึงจริยธรรมโดยไม่เกี่ยวกับศาสนาใดเลย และต่อให้ไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ก็มีตัวอื่นให้ลงอีกร้อยแปดพันเก้า แต่วิชาที่เกี่ยวกับศาสนาพุทธมักถูกเลือกมากกว่า เพราะนักศึกษาต้องการทำเกรด จึงเลือกเรียนสิ่งที่ตัวเองรู้อยู่แล้ว และเชื่อว่าจะทำคะแนนได้ดี (วิชาพวกนี้ มักตัดเกรดตามเกณฑ์ ใครทำถึงก็ได้ไป เอ กี่ร้อยคนเขาก็ให้ พวกรอลุ้น ทั้งลุ้นเหรียญ ลุ้นเปอร์ ลุ้นไทร์ ชอบลงมาก แม้จะไม่ชอบเรียน) สำหรับกรณีการไปเข้าค่ายถือศีลนี่ การเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยจะมีการแจ้งแผนการสอนให้ นศ ทราบตั้งแต่วันแรกที่เข้าเรียน (บางทีดูจากเนตได้ตั้งแต่ก่อนลงทะเบียน) ถ้าไม่สามารถทำได้ นศ สามารถถอนการลงทะเบียนได้ทันอยู่แล้ว และไม่มีผลใดๆต่อผลการเรียนด้วย เพราะเป็นวิชาเลือกอิสระ สำหรับวิชาที่ จขกท ลง อาจารย์เจ้าของวิชาก็ได้หาทางออกให้แล้วว่า ต้องไปทำรายงานแทน ถ้าเลือกทำรายงาน ปัญหาก็จบ (หวังว่า จขกท จะไม่มาบอกว่าเป็นวิชาบังคับ เพราะนั่นแสดงว่า จขกท ได้เผลอเรียนเอกพุทธฯ ไปเสียแล้ว) จากคุณ : Deckard - [ 26 ธ.ค. 51 19:03:58 ]

ความคิดเห็นที่ 81 คห.78  เห็นด้วยมากๆ จากคุณ : วสันดิลก - [ 26 ธ.ค. 51 22:31:54 ]

ความคิดเห็นที่ 82 ร้อนแรงงงงง จากคุณ : onelegend - [ 27 ธ.ค. 51 04:20:17 ]

ความคิดเห็นที่ 83 ผมว่ามองในแง่ การเข้าสังคอมมากว่า  ทุกอย่างที่ทำๆกันในชีวิตประจำวันก็ล้วนมีแต่ถูกใจ ไม่ถูกใจ  แล้วทำไมเมื่อไม่ถูกใจทำไมต้องทำ  ต้องทำเพราะคนอื่นเขาก็ทำกัน  เราอยู่กันแบบสัตว์สังคม  การที่เรามีชื่อวันพุทธ ในบัตรประชาชน เราก็ควรทำตามคนส่วนใหญ่ และเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องน่าเสียหายตรงไหน  ลองเปิดรับดูดีกว่าครับ ผมก็เป็นชาวพุทธแค่ในนามเช่นกัน ไปแต่ละที การอดอาหารนี่ก็ลำบากพอสมควรเพราะร่างกายปรับไม่ได้ แต่ก็ต้องไป เพราะคนอื่นเขาก็ทำกันได้ จากคุณ : kotkotkot - [ 27 ธ.ค. 51 10:17:35 ]

ความคิดเห็นที่ 84 อ่านไม่ครบทุกความเห็นนะคะ ถ้าเป็นการเรียนระดับวิทยาลัย/มหาวิทยาลัย อาจารย์จะต้องแจ้งตั้งแต่ต้นว่ามีเกณฑ์การให้คะแนนอย่างไร มีกิจกรรมอะไร เจ้าของกระทู้ควรจะต้องรับทราบตั้งแต่ต้นค่ะ ถึงจะเป็นวิชาบังคับ แต่กิจกรรมนอกสถานที่และเกี่ยวพันกับความเชื่อ ไม่สามารถบังคับทุกคนได้ คุณมีทางเลือกที่จะแจ้งอาจารย์ ซึ่งก็ได้พิจารณาไว้เองแล้ว คุณมีทางเลือกที่จะ "ฝึก" (ไม่ใช่"ทน") ให้ทำในสิ่งที่ต้องฝืนใจ (และยังไม่รู้ผลด้วยว่าอาจจะได้อะไรดีๆ กลับมาก็ได้) ถ้าคุณมองอีกมุม นี่เป็นโอกาสอันดีที่จะได้เรียนรู้ เมื่อคุณออกจากชีวิตวัยเรียน เข้าสู่การทำงาน จะต้องทำสิ่งที่ไม่ชอบมากมาย แถมไม่ใช่การทำเพื่อตัวเองด้วย มีโอกาสได้ฝึก แบบมีเพื่อนร่วมทาง น่าสนใจออกนะคะ เชื่อเถอะว่าเพื่อนๆ คุณที่แม้จะประกาศตัวว่าเป็นพุทธ ก็คงมีหลายคนที่ไม่อยากไปทำกิจกรรมนี้หรอกค่ะ ถ้าคุณเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่ากิจกรรมแบบนี้ ไม่สามารถทำให้เกิดประโยชน์ใดๆ ได้เลย ก็แจ้งผู้สอน หน่วยงานเลยค่ะ ว่าไม่ควรทำกิจกรรมแบบนี้ มีเสียงสะท้อนจากผู้ถูกปฏิบัติ หน่วยงานต้องฟังค่ะ (และนำไปพิจารณาสู่การปรับปรุงเปลี่ยนแปลง) นี่เป็นส่วนหนึ่งของการประกันคุณภาพค่ะ ดิฉันแอบหวังว่าอย่างน้อยกระทู้นี้ คงช่วยให้คุณการทบทวนตนเองบ้าง (ไม่ใช่เพียงการได้ความเห็นเพื่อยืนยันสิ่งที่คุณคิด) จากคุณ : scottie - [ 27 ธ.ค. 51 12:46:02 ]

ความคิดเห็นที่ 85 ผมว่าการถือศีลห้าหรือศีลแปดไม่ใช่พิธีกรรมและไม่จำเป็นต้องไปทำกันที่วัดด้วย การถือศีลแปดผม(คิดของผมเอง)ว่าเราแค่รู้ว่าศีลห้าหรือศีลแปดมีข้อห้ามหรือข้อควรละเว้นอะไรบ้าง เราก็ปฏิบัติตามนั้นก็น่าจะถือว่าเราถือหรือรักษาศีลห้าหรือศีลแปดแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องนุ่งขาวห่มขาวไปกินไปนอนที่วัดให้มันวุ่นวาย แก้ไขเมื่อ 27 ธ.ค. 51 14:53:58 จากคุณ : บุญหลง อิสระ - [ 27 ธ.ค. 51 14:52:06 ]

ความคิดเห็นที่ 86 เป็นเรา เราคงไป ถือซะว่าเป็นกิจกรรมร่วมกับเพื่อนๆ แต่ถ้ารู้สึกไม่อยากไปมากๆก็ลองไปขออาจารย์ดู ขอให้อาจารย์เปลี่ยนให้ทำอย่างอื่นคงได้มั้ง ไม่ต้องไปอธิบายมากนักก็ได้ อาจจะบอกว่าไม่สะดวกไปค้างที่อื่น จากคุณ : มาลัยฯ - [ 27 ธ.ค. 51 15:25:08 A:124.120.218.120 X: TicketID:108292 ]

ความคิดเห็นที่ 87 อืม.... ภายใต้สภาพสังคม ณ ปัจจุบันคิดตกได้ว่าตัวเรานั้นหนอ ไม่เชื่อถือในศาสนา แต่เรื่องการเข้าร่วมกิจกรรมแค่นี้ต้องเอามาปรึกษาบนเว็บบอร์ด ผมว่านั่งคิดถามใจตัวเองอีกสักรอบดีกว่าไหมครับ ปล.อยากรู้จังเลยว่าคุณปีกน้อยไม่เชื่อในศาสนาแล้วคุณเชื่อในหลักการอะไรครับ จากคุณ : Zkizzik - [ 28 ธ.ค. 51 00:11:51 ]

ความคิดเห็นที่ 88 เป็นเรา เราไปนะ การจะตัดสินใจว่าชอบหรือไม่ชอบอะไรต้องลองก่อนอ่ะ เคยมั้ย เวลานึกว่าไม่ชอบอะไรสักอย่างแต่พอลองจริง ๆ แล้ว เออ มันก็ไม่ได้เลวร้ายนะ หรือ เออ มันสนุกดีนะ ตัวเราก็คนนึง อยู่กลาง ๆ คำสอนไหนคิดว่าดี ก็เชื่อและปฏิบัติ เชื่อว่าสิ่งเหนือธรรมชาติมีจริง  แต่ไม่ศรัทธาพิธีกรรม ไปมิซซาบ้างเพราะคนใกล้ตัวเป็นคาธอลิก เวลามีญาติเสียหรือทำบุญเลี้ยงพระในโอกาสต่าง ๆ ก็ไปร่วมกับเขา เรียกว่าทำเพื่อความสบายใจของคนรอบข้าง  เรารู้ตัวของเราดี ไม่เห็นต้องยึดติดนี่นะ จากคุณ : proudtobethai - [ 28 ธ.ค. 51 08:06:45 ]

ความคิดเห็นที่ 89 เท่าที่อิฉันทราบมา ศีล แปลว่าปกติ คือไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่แอบมีกิ๊ก ไม่พูดโกหก ไม่อัพยา ไม่ขโมยของ ศีลแปด มีเพิ่มมาแค่ ไม่นอนฟูก กับ กินสองมื้อ แล้วก็ไม่ร้องรำทำเพลง สำหรับอิฉัน การไม่พูดปด ไม่ไปมั่วมีกิ๊ก ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่กินเหล้าอัพยา ไม่ขโมยของ  มันก็ปกติอยู่แล้ว  ไม่เดือดร้อน แต่ศีลแปดมันยากขึ้นมาหน่อย คืออดนอนฟูกนิ่มๆ ต้องนอนฟูกแบนๆ แข็งๆ อดข้าวเย็น (ลดความอ้วนไปในตัว พยายามมานานแล้วไม่สำเร็จซักที) แล้วก็อดไปคาราโอเกะ อดดูใจร้าว (ใกล้จะอวสานซะด้วย) ที่พูดมาทั้งหมด เป็นพิธีกรรมตรงไหนคะ จากคุณ : letsgokrabi - [ 28 ธ.ค. 51 09:19:55 ]

ความคิดเห็นที่ 90 หุหุหุ แวะมาขำๆ แต่อยากถามว่า หลักการไม่นับถือศาสนาของเจ้าของกระทู้เป็นยังไง อันดับแรกต้องถามใจตัวเองก่อนว่าไม่นับถือศาสนาแล้วมีหลักการอย่างไร ๑. ถ้าตอบว่าไม่นับถือศาสนาแล้วก็ไม่รู้ว่าจะเอายังไงใช้ชีวิตตามความพึงพอใจของฉัน อันนี้ แสดงว่าที่ไม่นับถือศาสนานะเพียงเพื่อแค่หาความสุขใส่ตัวเองไม่รับผิดชอบต่อสังคม ก็ไม่ต่างกับเด็กวัยรุ่นอ้างสิทธิของตนแบบกระจั๊วะ ๒. ถ้าตอบว่าไม่นับถือศาสนาและมีหลักการของตัวเอง ก็ต้องมาแยกดูหลักการของตัวเองว่าอิงจากความเชื่อของศาสนาใดมากที่สุด พุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์ ฮินดู ซิก และอื่นๆ อีกมากมายบนโลกใบนี้ เมื่อแยก หลักการที่ตรงกับหลักศาสนาใดออกมาได้มากที่สุดแล้ว พิจารณาใจตนเองว่า ทำไมถึงไปอิงกับเขา แล้วทีนี้ก็มาพิจารณาดูว่าที่มันใกล้เคียงกับเขามันดีหรือเลว ๒.๑ ถ้าหลักการในการนับถือตนเองของคุณ เป็นการทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองได้ดั่งใจไม่สนใจหลักเกณฑ์ของสังคม แบบนั้นเขาไม่ได้เรียกว่าคนไม่นับถือศาสนา แต่เขาเรียกว่า พวกเด็นสังคม ๒.๒ ถ้าหลักการในการนับถือตนเองของคุณ เป็นการกระทำที่ไม่เอาเปรียบสังคม ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน มีความรับผิดชอบต่อสังคม คุณก็เป็นคนดี วิธีแก้ปัญหาสามข้อข้างต้นที่คุณถามมามันจะได้มาจากคำตอบที่คุณถามตัวคุณเองข้างบนนั่นแหละค่ะ ถ้าคุณตอบเข้าหลักเกณฑ์ข้อ ๑ และข้อ ๒.๑ คุณไม่ต้องทำอะไรเลย เลือกข้อ ๑ หรือ ข้อ ๓ ในตัวเลือกของคุณได้เลย เพราะไม่มีใครรู้ถูกผิดดีชั่วในใจคุณอยู่แล้ว มีแต่เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ แต่ถ้าคุณตอบข้อ ๒.๒ คุณก็ควรจะเลือกตัวเลือกที่สองในช้อยส์ของคุณ แล้วก็นำหลักเกณฑ์ศาสนาที่คุณคิดว่าคล้ายคลึงกับความเชื่อของคุณมากที่สุดไปบอกอาจารย์ว่า "ที่หนูไม่ไปเพราะหนูไม่เห็นด้วย แต่หนูก็เชื่อแบบนี้ๆๆ หนูไม่ได้เป็นพวกเด็นสังคม หรือพวกหาเรื่องเอาสบาย แต่หนูมีความคิดเป็นของตนเอง" ความไม่มีศาสนาของคุณมันก็จะน่าเชื่อถือมากกว่าพวกที่ล่องลอยอ้างแบบปัดสวะ อ้อ!!! คงไม่มีใครว่าเอาความคิดแบบพุทธศาสนิกชนมาครอบงำให้ผู้อื่นปฏิบัติตามอีกนะ หลักการพิจารณาใจของตนเองนี่เป็นพื้นฐานคำสอนของชาวพุทธ ที่สอนให้มีสติรู้ทันความคิดตน แต่จริงๆ แล้วคำสอนนี้มีทุกศาสนา แต่วิธีการสอนของแต่ละศาสนามีเทคนิกไม่เหมือนกัน ในศาสนาอื่นอาจจะสอนในรูปแบบอื่น แต่มนุษย์ทุกศาสนาต่างรู้ที่จะพิจารณาสิ่งต่างๆ ด้วยเหตุและผล จริงๆ แล้วศาสนาทุกศาสนา มีคำสอนที่เน้นให้สังคมมีความสงบสุข แต่มนุษย์เราไม่ได้อ่านแล้วทำตามกฏเกณฑ์ของสังคมโดยง่าย ฉะนั้นแล้ว ศาสดาของแต่ละศาสนาจึงได้สอนด้วยเทคนิกการให้ปฏิบัตินู้นปฏิบัตินี่ เหมือนเป็นพิธีกรรม การสอนให้คนอยู่ร่วมกันอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคมมันไม่ได้ง่ายแค่บอกแล้วทำ มันจึงต้องเขียนกรอบให้ปฏิบัติกัน แต่บางคนอาจจะไม่ชอบ เพราะเหมือนการบังคับใจ ถ้าไม่ชอบแล้วเรามั่นใจว่าสิ่งที่เราทำ ไม่ได้สร้างปัญหาให้แก่สังคม เราก็ข้ามขั้นการปฏิบัติพวกนั้นไปได้ แต่ปัญหาคือ มนุษย์มักอยากข้ามขั้นเพื่อเอาแต่ใจตน ไม่ใช่ข้ามขั้นเพื่อสังคมส่วนรวม ถ้าถูกอาจารย์มองแบบแปลกๆ ถูกสังคมตัดสินว่าเป็นคนแปลก หรือคนเลวในมาตรฐานของพวกเขาก็ต้องทำใจ สำคัญที่สุดคือความเชื่อมั่นใจตัวเอง และการตัดสินใจทุกอย่างขึ้นอยู่ที่ตัวเราเองทั้งนั้น ไม่ว่าคุณจะเลือกข้อไหนมันก็เป็นการตัดสินใจของคุณเอง ผลของการกระทำมันก็จะตามมา กรรมคือผลของการกระทำ อันนี้เป็นเรื่องจริง ทำแบบไหนก็ได้แบบนั้น โดยต้องดูสภาพแวดล้อมในขณะกระทำด้วย ที่อยากฝากไว้ การสร้างกระทู้ขอความคิดเห็นจากผู้อื่น เราต้องยอมรับว่าความเห็นที่จะได้กลับมามันมักมีทั้งที่เราต้องการและไม่ต้องการ แต่จากการตอบกระทู้ข้างบนพี่เห็นว่าน้องกำลังใช้อารมณ์เหนือเหตุผล เรื่องความคิดแคบหรือกว้าง มันเป็นสิทธิส่วนบุคคลของผู้แสดงความเห็น บางคนเขานับถือพุทธอย่างจริงจังเขาก็ต้องแสดงความเห็นแบบพุทธศาสนิกชนที่เขาคิดว่าถูกต้อง เราก็เก็บมาเป็นข้อเพื่อพิจารณาของเรา ไม่จำเป็นต้องไปทะเลาะเบาะแว้งกันว่าใครคิดแคบหรือคิดกว้าง เพราะการแคบกว้างในมุมมองของคนที่นับถือต่างกันย่อมไม่เหมือนกัน มันไม่สามารถวัดได้หรอกค่ะว่าใครแคบหรือกว้าง ในเมื่อสิ่งที่เรามองและวัดมันคนละอันกัน ยิ่งถ้าเรามองต่างจากคนอื่นเรายิ่งต้องอดทนกว่าเขา เพราะถ้าเราไม่อดทนเพียงพอ สังคมก็จะรุมสกรัมเรา เพราะเราเป็นแกะหลงฝูง นี่คือกรรมของการกระทำอย่างหนึ่งค่ะ ป.ล. อันนี้ขออนุญาตเจ้าของกระทู้นะค่ะ เห็นมีคนเรื่องเถียงกันเรื่องกินเนื้อบาปไม่บาป กรรมไม่กรรม ไม่บาปทางมโนคติ แต่มีกรรมติดตามมาแน่ๆค่ะ การไม่ได้สั่งฆ่าอย่างน้อยเราก็ไม่ต้องรู้สึกผิดโทษในการเบียดเบียนเอาชีวิตผู้อื่น แต่การกินเนื้อสัตว์อื่น ก็ทำให้เราได้รับกรรมของการกินของเรา เห็นได้ง่ายๆ กินเนื้อสัตว์มากๆ แล้วจะเกิดอาการท้องอืด ท้องผูก กรรมอย่างเห็นได้ชัดเลยค่ะเนี่ย เห็นทันตา ต้องเสียค่าอีโนอีกหลายบาท กินเนื้อสัตว์อย่างต่อเนื่องยาวนาน ก่อให้เกิดโรคทำให้ต้องชักแหงกๆ ตายนี่ก็กรรมอย่างหนึ่งค่ะ ไม่ต้องรอเกิดใหม่ในชาติหน้าหรอกค่ะ มันทันกันชาตินี้เห็นๆ แม้แต่กินผักก็เกิดบาปกรรม ผักที่พ่นยาฆ่าแมลงกินแล้วก็สะสมทำให้ตายก่อนวัยอันควร ความจริงแล้วหลักของศาสนาพุทธคือสอนให้คนรู้จักมองให้ไกล เหตุเป็นแบบนี้ผลจะตามมาแบบนี้ ส่วนประกอบในคำสอนนั้น มีไว้เพื่อให้คนเดินตามได้สะดวก เพราะคนเราคงไม่ฉลาดแบบอ่านแล้วบรรลุโสดาบันได้ทันทีทันใด ได้ทุกคนหรอกค่ะ การประกอบพิธีกรรมเป็นเทคนิคการสอนแบบหนึ่งสำหรับ เหมือนการเอาเกมส์มาช่วยสอนเด็ก เป็นวิธีการที่ถูกสร้างมาเพื่อให้เหมาะสมกับบัวแต่ละระดับที่พวกคุณว่ากัน ถ้าคุณไม่ชอบ คุณเข้าใจวิธีคิด และหลักคำสอนของศาสดาแต่ละศาสนาคุณก็ข้ามขั้นทำตัวเป็นคนดีได้เลย ไม่มีคัมภีร์เล่มไหนสาปแช่งผู้ไม่ประกอบพิธีกรรมให้ตายแหงกแกก นอกจากคำสอนที่ถูกบิดเบือน แล้วพอย้อนกลับไปที่ความเข้าใจในหลักศาสนาของแต่ละศาสนาแล้ว คุณก็จะเห็นว่า พอคุณข้ามขั้นเข้าใจสิ่งเหล่านั้น พฤติกรรมของคุณก็จะเป็นไปตามคำสอนนั่นเองโดยไม่รู้ตัว อย่างเช่นศาสนาพุทธ ถ้าคุณเข้าใจคำสอนขององค์ศาสดา คุณก็จะรู้จักแบ่งปัน ไม่โกหก ไม่ดื่มเหล้า ไม่ลักขโมย ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ถือเป็นความรับผิดชอบต่อสังคม โดยที่คุณไม่ต้องไปนั่งปฏิบัติธรรมรักษาศีล ๘ ในวัด แต่คุณปฏิบัติด้วยความรู้แจ้งของคุณเอง ว่าซะยาว แค่แวะมานะนี่ ถ้าไม่แวะมามันจะยาวกว่านี้สองม้วนกระดาษปาปิรัส จากคุณ : สีน้ำน้อย (sugarhut) - [ 28 ธ.ค. 51 11:14:11 ]

ความคิดเห็นที่ 91 ผมก็คิดเหมือน จขกท ครับ คือเชื่อว่าแก่นของศาสนาไม่ได้อยู่ที่พิธีกรรม และแน่นอนว่าตอน ม ปลาย ก็เคยโดนให้ไปปฎิบัติธรรมราวๆ3วันเช่นกันครับ สิ่งที่ไม่ใช่เปลือกดังเช่นพิธีกรรมหรืออะไรทำนองนั้น แต่ได้หลักในการดำเนินชีวิตและความเข้าใจในอะไรๆมากขึ้น ดังนั้นผมจึงไม่ประกาศตัวว่าเป็นผู้ไม่นับถือศาสนา แต่เป็นผู้ยึดถือในคำสอนของพระพุทธองค์ ส่วนตัวผมมองว่าลองเอาอคติออกก่อนแล้วไปลองดูซิว่าทำไมศาสนาๆหนึ่งจึงได้อยู่มายาวนานนับพันปี ดูซิว่าศาสดาได้มอบอะไรว่าให้ แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญของศาสนาไม่ใช่พิธีกรรมอย่างที่ จขกท คิดแน่ครับ จากคุณ : Alovera - [ 28 ธ.ค. 51 12:13:57 ]

ความคิดเห็นที่ 92 อันนี้อยากถามเฉยๆนะครับ คนไม่มีศาสนามีด้วยหรอครับ ผมอาจจะ conservative นะครับ แต่ไม่เข้าใจว่า คนเราจะไม่มีศาสนาไปได้อย่างไร อย่างน้อยคนในบุพกาลก็นับถือภูติผีปีศาจ สิ่งที่เป็นธรรมชาติ ต่อมาก้พัฒนาเป็นศาสนา แล้วอย่างนี้ คุณมีแนวคิดว่าดีชั่ว บุญบาป การทำบุญ ฯลฯ อย่างไรอะครับ ป.ล.บริษัทบางบริษัท ไม่รับคนเข้าทำงานที่เขียนว่า ไม่นับศาสนา เลยนะครับ จากคุณ : natthaset - [ 28 ธ.ค. 51 14:19:28 ]

ความคิดเห็นที่ 93 ความคิดเห็นที่ 92 มีสิคะ ลองอ่านที่นี่ดูก่อนก็ได้ค่ะ เป็นหน้า FAQ มีคำถามแบบที่คุณอยากรู้ด้วย http://www.ffrf.org/nontracts/freethinker.php อันนี้ก็ดูชัดเจนดีนะ http://en.wikipedia.org/wiki/Rationalist_movement หรือว่าอันนี้ http://en.wikipedia.org/wiki/Secular_humanism การแยกแยะความดีความชั่ว เราว่าsocial norms, objective moral law, และการใช้เหตุผล แค่นี้ก็น่าจะพอแล้วนะคะ --------- ป.ล.บริษัทบางบริษัท ไม่รับคนเข้าทำงานที่เขียนว่า ไม่นับศาสนา เลยนะครับ ------------------------------------------------------------------------เหรอคะ แย่จังเลยเนอะ แก้ไขเมื่อ 28 ธ.ค. 51 18:36:56 จากคุณ : PADAPA--DOO - [ 28 ธ.ค. 51 17:36:51 ]

ความคิดเห็นที่ 94 ผมคิดแบบนี้นะคนไม่นับถือศาสนาอะไรเลยเนี่ย น่าจะเข้าร่วมพิธีกรรมของทุกศาสนาได้อย่างสบายเลย เพราะไม่ยึดติดว่าเราถือนั่นแล้วเข้าร่วมกับนี่ไม่ได้นี่นา ส่วนใหญ่เห็นคนที่ไม่นับถืออะไรเลยมักจะเคารพต่อกฏหมายและวัฒธรรมประเพนีของแต่ล่ะสังคมน่ะครับ (ตอบที่ 92 ถาม) จากคุณ : Jump.Jr - [ 28 ธ.ค. 51 20:38:24 ]

ความคิดเห็นที่ 95 ผมว่าผมเท่กว่า ผมนับถือทุกศาสนา รักศาสดาทุกพระองค์ เคารพทุกพิธีกรรมอันดี เชื่อในทุกคำสอนที่สอนให้คนเป็นคนดี (เป็นข้ออ้างที่นึกเอาไว้ตอบเวลาไปถ่ายรูปในโบสถ์หรือมัสยิด) เป็นไง เท่ปะๆ จากคุณ : Papercut - [ 28 ธ.ค. 51 23:10:47 ]

ความคิดเห็นที่ 96 สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่า เรามีหรือไม่มีศาสนา แต่อยู่ที่สภาวะการมีหรือไม่มีนั้น ทำให้ชีวิตดีขึ้น หรือแย่ลงทุกวัน เพราะศาสนาไม่ใช่ 'ก้อนหินที่แบกไว้บนหลัง' แต่เป็น 'เข็มทิศที่ใช้ชี้ทาง' จากคุณ : in my heart - [ 29 ธ.ค. 51 03:14:39 ]

ความคิดเห็นที่ 97 ขออนุญาตยกเนื้อความส่วนหนึ่งจากคุณเจ้าของกระทู้มา ตัดทอนออกไปบางส่วนเพื่อเน้นความชัดเจน "เราไม่ศรัทธาในการประกอบพิธีกรรมใดๆทางศาสนานานแล้ว......คือเราไม่คิดว่าแก่นของศาสนาคือพิธีกรรมอะไรแบบนั้น" คุณเจ้าของกระทู้คิดถูกแล้ว เพราะแก่นแท้ของศาสนาไม่ได้อยู่ที่พิธีกรรม แต่แก่นแท้ของ "ไม่นับถือศาสนา" นี่จะอยู่ที่การไม่เปิดรับและต่อต้านทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับศาสนาหรือไม่ อันนี้ก็ไม่ทราบใด ถ้าอย่างนั้นน่าจะลำบากในการใช้ชีวิตยิ่งกว่าคนนับถือศาสนาอีกกระมัง เพียงแต่อาจจะฟังดูเท่กว่าเท่านั้นเอง จากคุณ : เค้าจะเชื่อมั้ยเนี่ย - [ 29 ธ.ค. 51 07:24:44 ]

ความคิดเห็นที่ 98 เราอาจจะมองต่างจากคนอื่นว่าคุณปีกฯ ไม่ใช่เด็กที่มีปัญหา ไม่ใช่เด็กที่ไม่นับถือศาสนาใดเพื่อความเก๋เท่ห์ กลับกัน คุณปีกเป็นเด็กที่น่าจะมีปัญญาสูงกว่าผู้ใหญ่หลายคนด้วยซ้ำไป - ถ้าจะให้เราไปถือศีล 8 ที่วัดเราก็ทำได้ แต่มันก็ทำให้เราลำบากใจเหมือนกัน ที่ต้องทำในสิ่งที่ไม่ชอบ - คือเราไม่คิดว่าแก่นของศาสนาคือพิธีกรรมอะไรแบบนั้น - แล้วจะบาปไหมถ้าเราไม่ศรัทธา ถ้าเราทำส่งๆไป - ถ้าพูดถึงการพัฒนาจริยธรรมตนเองเรามองว่าการทำประโยชน์ให้แก่สังคมยังจะมี คุณค่ามากกว่า - ถ้าเปลี่ยนจากไปถือศีลให้ไปช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสอะไรงี้เราคงไม่ลังเลเลย อย่างน้อยที่สุด คุณปีกฯ ก็รู้จักสภาวะจิตของตัวเอง รู้ว่าทำอะไรแล้วลำบากใจ ทำอะไรแล้วไม่ชอบ อย่างน้อยคุณปีกฯ ก็รู้จักแยกแยะระหว่างกายกรรมและมโนกรรม อะไรคือการปฏิบัติทางกาย อะไรคือการปฏิบัติทางจิต (ใจ) อย่างน้อยคุณปีกฯ ก็มองเห็นถึงสิ่งที่เรียกว่ากรรม รู้ว่าทำอย่างนี้แล้วจะได้อย่างนี้ตามมา อย่างน้อยคุณปีกฯ ก็เลือกที่จะทำในสิ่งที่มองเห็นผลแน่นอน มากกว่าเลือกทำสิ่งที่ไม่รู้ว่าจะมีอะไรตามมา นี่คือสภาวะทางปัญญาอย่างหนึ่งที่พุทธตามทะเบียนบ้านหลายคนไม่มี เพียงแต่ปัญหาของคุณปีกฯ นั้นอยู่ตรงที่ ... - ไม่ใช่ไม่ชอบเพราะมันไม่สะดวกสบาย แต่ไม่ชอบเพราะเรามีแนวคิดที่ขัดแย้ง เพราะพุทธในปัจจุบันนั้นเปลี่ยนแปลงไปมาก เปลี่ยนแก่นให้เป็นเปลือก เปลี่ยนคำสอนให้เป็นการปฏิบัติ เพื่อให้เข้ากับสภาวะสังคมปัจจุบัน ในขณะที่คนรุ่นใหม่กลุ่มหนึ่งแสวงหาสัจธรรมของชีวิตอย่างจริงจัง มองหาสิ่งที่มีเหตุมีผล สามารถพิสูจน์ได้ เพื่อที่จะเชื่อถือได้อย่างหมดใจ กลายเป็นการสวนทางกันทางความคิด เป็นการขัดแย้งกันทางปฏิบัติ ทั้งที่สองฝ่ายต่างก็มุ่งหมายไปในทางเดียวกัน วันนี้ไม่มีศาสนาก็ไม่เป็นไร รู้ความคิดตัวเอง รู้จักยั้งตัวเองไม่ให้ไหลลงต่ำ พยายามคิดและทำในสิ่งที่ถูกที่ควร เท่านี้ก็พอแล้ว จากคุณ : in my heart - [ 29 ธ.ค. 51 12:47:33 ]

ความคิดเห็นที่ 99 ไปซะครับดีออก ไปนั่งดูลมหายใจของตนเอง  เคยนั่งดูลมหายใจของตนเองไหม เคยนั่งดูความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในร่างกายตนเองรึเปล่า เคยนั่งดูอารมณ์ที่เกิดขึ้นในจิตใจตัวเองรึเปล่า ถ้าสิ่งเหล่านี้ไม่เคยทำลองไปทำดูครับ ต่อให้เป็นคนไม่มีศาสนา ก็ยังจำเป็นที่จะต้องทำ จากคุณ : muk_22 - [ 29 ธ.ค. 51 13:16:43 ]

ความคิดเห็นที่ 100 ตอนแรกก็นึกว่าถือศีล8 เป็นพิธีกรรม ก็เลยคิดว่า หากเอาสะดวกก็เพียงโกหกว่ามีธุระ คงง่ายดี   แต่พออ่านไล่ลงมาแล้วเห็นว่า ศีล8 เป็นเพียงข้อห้ามไม่ให้ประพฤติผิด ก็คิดว่า จขกท ควรไปร่วมนะ  เพราะไม่ใช่พิธีกรรมอะไรขนาดที่ควรจะต่อต้านหรือหลีกเลี่ยงเลย  ก็อาจจะไม่สะดวกบ้าง แต่ก็แค่ไม่กี่วัน  ถือเป็นการฝึกตัว จากคุณ : Motif - [ 29 ธ.ค. 51 13:58:08 ]

ความคิดเห็นที่ 101 เริ่มขี้เกียจอ่าน ตอบเลยดีกว่า 1. ถ้าไม่มีคะแนนเก็บ ไม่ต้องไป บอกว่าป่วยหรือไป ก็ไปเพื่อนสนิท 2. ถ้ามีคะแนนเก็บ ไป แต่ทำให้จบ ๆ กัน (ไม่มีอันตรายใด ๆ) อย่าคัดค้านกับกระแสสังคมโดยเฉพาะสังคมไทยที่เชื่อในระบบอาวุโส หรือสังคมแบบเน้นหมู่คณะ เพราะจะเดือดร้อนได้ ป.ล. บางมหาวิทยาลัยไปธรรมกายหนักกว่านี้อีก อาจารย์ยังเชื่อเลยอ่ะ จากคุณ : ฟ้าลั่น - [ 29 ธ.ค. 51 15:48:03 A:124.120.217.247 X: TicketID:091427 ]

ความคิดเห็นที่ 102 เรียนอาจารย์ไปตามตรงค่ะ ว่า มีข้อขัดข้องบางประการไม่สามารถไปร่วมกิจกรรมกับทางโรงเรียนในเรื่องนี้ได้ (อาจารย์ถามว่าติดขัดอะไร เราก็บอกว่า เป็นเรื่องส่วนตัวขออนุญาตไม่ตอบค่ะ) ขอทำรายงานหรืองานอื่นทดแทนการทำกิจกรรม การกระทำใดที่ทำไปโดยไร้ความเชื่อ มันเสียเวลา แก่นของทุกศาสนามันอยู่ที่ พูดดี คิดดี ทำดี แค่นี้ จากคุณ : Seraphina - [ 29 ธ.ค. 51 16:33:07 ]

ความคิดเห็นที่ 103 สวัสดีครับน้อง ปีกน้อยที่ไม่อาจโบยบิน. พี่เชื่อว่าในโลกเรามันก็อย่างนี้ มันประกอบไปด้วยผู้คนมากมาย หลายความคิดหลายเหตุผล และโลกเราก็ไม่ได้สวยงามไปเสียทั้งหมด. มันประกอบไปด้วย คนดีมาก คนดี คนพอใช้ คนไม่ค่อยดี คนไม่ดี และคนเลว. คนนับถือศาสนา คนไม่นับถือศาสนา พระ นักบวช มือปืน เจ้าพ่อ... ใช่ว่าเราจะเปลี่ยนคนอีกคนให้คิดได้เหมือนเราเสมอไป... คนเหล่านั้นเกิดมาเพื่อเป็นส่วนประกอบของโลกและสังคมมนุษย์... ไม่เช่นนั้นคนเราก็จะเป็นเหมือนกันทั้งหมด... และการที่คนเราอยู่บนโลกใบเดียวกัน... คนเผาป่าในจีน... ควันลอยมาบังเมฆถึงเหมืองไทย... ไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่เจตนา... น้องคนยังต้องเจอสิ่งเหล่านี้บนโลกอีกเยอะ จากที่พี่ได้อ่านความคิดเห็นของน้อง พี่เชื่อว่าน้องเป็นคนมีเหตุมีผลและช่างคิดอยู่ในตัวอยู่แล้ว... และมันคงไม่ใช่เรื่องที่ผิดที่จะคิดและจะทำ ด้วยเหตุผลข้างต้น... พี่จึงเชื่อว่าน้องสามารถตัดสินใจกับปัญหานี้ได้ ไม่ว่าจะเลือกทางไหน ย่อมส่งผลทั้งดีและร้ายต่อจิตใจเรา... และเชื่อพี่เถอะว่าในอนาคตจะมีปัญหาที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ให้น้องได้ตัดสินใจอีก... แต่ที่สำคัญ พี่อยากให้น้องเป็นคนเลือกเอง และยอมรับมันให้ได้ ไม่ว่าสุดท้ายมันจะส่งผลอย่างไรกลับมากับตัวเรา อนาคตยังอีกยาวไกล ที่สำคัญคือเราต้องเป็นตัวเราและกล้ายอมรับมัน... สิ่งนี้ต่างหากที่สำคัญ อนาคตยังรอเราอยู่อีกยาวไกล... สู้เขาและฝ่าฟันมันไปให้ได้... :) จากคุณ : yuckyai - [ 29 ธ.ค. 51 16:37:48 ]

ความคิดเห็นที่ 104 เป็นเราเราไปนะ เราจะคิดซะว่า ไปทำกิจกรรมนึง ที่อยู่ในการเรียนการสอนของอาจารย์ โดยไม่สนว่า จะเป็นพิธีกรรม หรือไม่ใช่ พิธีกรรมของศาสนาใดๆก็ตามแต่ แต่ไปเพราะต้องการรับผิดชอบหน้าที่ (ซึ่งหน้าที่นั้นก็คือการเรียน และทำกิจกรรม ตามที่เรียน ตัดความรู้สึก ชอบ-ไม่ชอบ ออกไป) แค่นั้น ^^" จากคุณ : cool_pk (cool_pk) - [ 29 ธ.ค. 51 22:41:10 ]

ความคิดเห็นที่ 105 สวัสดีครับจขกท. ผมมาพิมพ์เอาป่านนี้คิดว่าคงไม่ทันเหตุการณ์แล้ว แต่ก็ขอหน่อยละกันนะครับ ฝากถึงเพื่อนๆพันทิบด้วยครับ น่าจะไปนะครับ อยากให้จขกท.เข้าใจว่าจริงๆแล้วศาสนาพุทธไม่ใช่พิธีกรรมอะไรเลย พิธีกรรมคือคนนับถือสร้างมาประกอบทีหลัง พิธีกรรมจริงๆดั้งเดิมเป็นของพระทั้งนั้นซึ่งก็ไม่ค่อยมากนักหรอกครับ การถือศีล 8 ปฎิบัติธรรมอย่างจขกท. ว่า อยากจะอธิบายนะครับว่า ศีล หมายถึง สำรวม ระวัง มีอะไรบ้างก็อย่างที่คห.ที่ผ่ามมาตอบไว้แล้ว ผลของศีลคือการที่เรามีชีวิตอยู่โดยมีสติมากขึ้น (สติเป็นบ่อเกิดของปัญญา) ถ้าเราเข้าใจว่าศีลคือการสำรวมศีลหลายร้อยข้อก็มาสรุปเป็นสามคือ                         สำรวมกาย วาจา ใจ เท่านั้นเอง แล้วผลที่ได้จะเห็นว่าเราจะเกิดปัญญาเวลาจะทำอะไรๆเสมอเพราะเรารู้ตัว เราสำรวมตลอด ส่วนการปฏิบัติธรรม การนั่งสมาธินั้นเป็นของมีมาก่อนพุทธศาสนาอีก พระพุทธเจ้าท่านเห็นว่าดี เป็นประโยชน์เกื้อกูลตลอดจึงบัญญัติไว้ด้วย ฉะนั้นการไปก็เท่ากับเป็นการฝึกตัวเองให้มีจิตใจ การกระทำสูงขึ้น ที่หลายๆท่านบอกว่าไม่ต้องไปก็ได้อยู่ไหนก็ทำได้ มันจริงตลอดเหรอครับ เราจะบังคับตัวเองได้ตลอดเหรอ จริงอยู่ใครก็ไม่ชอบสภาวะแบบนั้น แต่ความจริงแล้วในใจทุกคนคือความรู้สึกที่ใจตัวเองไม่ต้องการการอยู่ในกรอบต่างหาก แต่ถ้าเพียงเราทำตามกรอบนั้นสักหน่อยผลดีจะมีมากและเกิดผลเร็วกว่าเรามานั่งบังคับตัวเองอยู่นะครับ เราเติบโตมาในสังคม เราคงไม่สามารถเลือกสิ่งที่อยากทำและไม่อยากทำได้ทุกสิ่ง แต่พุทธศาสนาท่านสอนว่า ทุกสิ่งมันอยู่ที่ใจเท่านั้น เราจะสำคัญอะไรกับเรื่องว่าชอบ ไม่ชอบ อยาก ไม่อยาก สำคัญคือประโยชน์ที่ปรากฎจากสิ่งนั้นๆนะครับ การได้ไปสงบใจบ้างจะเกิดประโยชน์มากมายเลย แต่ว่าสมัยนี้ก็ไม่ใช่ทุกที่ทุกวัด อยากให้ดูอย่างสวนโมกข์เป็นตัวอย่าง ฝรั่งถือคริสต์มากมายมาเพื่อต้องการวิธีพ้นทุกข์ โดยที่เขาไม่เห็นกลัวบาป กลัวตกนรกในวันพิภาคษาเลย ก่อนไปขอฝากหน่อยเรื่องพุทธศาสนาแม้จะพูดช้ามาสักพันสองพันปีแล้ว แต่อยากให้รู้ว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยเรียกพุทธศาสนาเลย ทรงเรียกว่าวินัย คือข้อปฏิบัติ หรือแนวทางปฏิบัติเพื่อเป็นพุทธ เป็นอริยะต่างหาก ถ้าไม่นับถือศาสนาผมว่าน่าจะง่ายหน่อยถ้าจะละอุปาทานว่านี่ศาสนา นั่นลัทธิ แล้วแล่นไปถึงแก่นคำสอนนั้นๆ ไม่ต้องเครียดนะครับเป็นกำลังใจให้จขกท.นะครับ แก้ไขเมื่อ 30 ธ.ค. 51 01:17:26 จากคุณ : VesinaH - [ 30 ธ.ค. 51 00:21:58 ]

ความคิดเห็นที่ 106 จขกท.คิดมากไปนะ เอาความคิดทั้งหมด แบบไม่ต้องกลัวบาป  เพราะคุณไม่ได้บาปอะไรสักหน่อย  นั่นแหละ ไปบอกกับอาจารย์ตรงๆ เรียนระดับอุดมศึกษาแล้ว อจ.ท่านก็คงไม่ปัญญาอ่อนปานนั้นหรอกครับ   บางทีความคิดแบบตื้นๆ คิดแบบง่ายๆ อาจจะดีที่สุดสำหรับคนคิดเยอะ แคร์อะไรเยอะๆ แบบ จขกท.นะครับ..... จากคุณ : ความตายสีชมพู - [ 30 ธ.ค. 51 03:56:11 ]

ความคิดเห็นที่ 107 เคยลองไปรึยังอ่ะ ไม่เคยลองไปแล้วไปตัดสินก่อนได้ไง   อย่าตัดโอกาสตัวเองสิ (((เมื่อก่อนเราก็รู้สึกเหมือนกันว่าเรานับถือศาสนาแค่ในช่องกรอกข้อมูล    พอมีใครพูดเรื่องศาสนา เราก็ตั้งหน้าq&a ตะพึด    รู้สึก (เอง)ว่ามันเท่ห์เวลาบอกว่าตัวเองไม่มีศาสนา((เราว่าเราคนละแนวกับจขกทชัวร์)))    แล้วเวลาถามก็ถามแบบ...ทำไมต้องไหว้พระ ก็พระน่ะทำ 1.2.3.4...    ทำไมต้องนับถือพระพุทธเจ้าก็ท่านนะ ให้โน่นแจกนี่ไม่นึกถึงคนอื่น มุ่งแต่จะบรรลุ แบบนี้จะเรียกว่าดีได้ไง 1.2.3.4...  ฯลฯ เมื่อก่อนแค่คิดจะเข้าวัดนะ ขาพาเดินเข้าเวิลด์เทรด  ((ก็เข้าวัดปทุมอ่ะนะ)) แต่หลังจากสติแตก แค่เดินเข้าวัดไปนั่งเฉย ๆ ((เฉย ๆ จริง ๆ )) ไปนั่งมองหน้าพระประธานน่ะ ไม่เคยคิดว่าการเข้าวัดมันจะดี เพราะปกติเข้าก็ง่วง แต่วันนั้น นั่งเฉย ๆ ตั้งแต่บ่ายกว่ายัน 5 โมงเย็น มีวูบเป็นบางช่วง ((เพราะอากาศเย็น..ใครไปวัดปทุมจะรู้ อากาศดีมาก)) แต่เดินออกมาแล้วไอ้สติที่แตกเนี่ย นิ่งขึ้น แล้วรู้สึก ตื่นเต้นแบบประหลาด ๆ ไม่รู้จะเรียกว่ายังไง รู้แค่ว่าพอเวลาเราไม่สบายใจ แค่ไปนั่งนิ่ง ๆก็สงบแล้ว ก็คิดซะว่า    แค่ไปทำให้ใจสงบ กับ มีสติกับการทำสิ่งต่าง ๆ แล้วกันนะ การอยู่กับสติน่ะ ไม่ใช่พิธีกรรมนะ แค่เปิดใจอะไรก็เปลี่ยน จากคุณ : aka shuri - [ 30 ธ.ค. 51 06:49:41 ]

ความคิดเห็นที่ 108 สวัสดีครับ เจ้าของกระทู้ พอดีผมหลงเข้ามาห้องนี้ แล้วได้อ่านกระทู้นี้เข้า ตกใจครับ เห็นโพสแรกของเจ้าของกระทู้ มันเหมือนกระจก นึกว่าตัวเองเมื่อก่อน ผมเข้าใจเจ้าของกระทู้นะครับ คุณเป็นเหมือนผม คุณมีชีวิต และวิธีคิดที่เหมือนกับผม ผมเชื่อแบบนั้น (เอ๊ะ !! หรือเราเป็นเนื้อคู่กัน) ไม่ใช่เรื่องศาสนานะครับ มีอย่างหนึ่งจะช่วยคุณได้ คือเวลา ครับ เชื่อผมเถอะ เมื่อก่อนผมก็แบบนี้แหล่ะคุณเอ๋ย แต่สิ่งที่ผมได้รับจากเวลาที่ผ่านมา คือ เราไม่อาจฝืนกระแสสังคมได้ เราต้องกลมกลืนกับสังคม แต่แนวคิดของเราหาได้เป็นตามนั้นซะหน่อย ใช่มั๊ยครับ ? แต่ตอนนี้คุณยังสนุกกับการได้ใช้ชีวิต และแนวคิดแบบนี้อยู่ ดีแล้วครับ เวลาจะสอนคุณเอง เมื่อก่อนพ่อผมพูดมาคำนึง ตอนนั้นผมไม่ชอบมากๆ เกลียดผู้ใหญ่ เกลียดคนอายุมากกว่าแล้วเอา วัยวุฒมาข่ม "เด็กเอ๋ย เด็กน้อย ความรู้เจ้ายังด้อย การศึกษา" ผมโชคดีที่มีพ่อเป็นพ่อ พ่อผมไม่ได้บังคับให้ผมเปลี่ยนความคิด แต่พ่อปล่อยให้ผมเรียนรู้เอง อ้อ.. เรื่องศาสนา ทุกวันคริสมาส ผมก็เข้าโบสถ์ วันไหนตื่นเช้าผมก็ใส่บาตร อะไรที่ทำแล้วสบายใจก็ทำเถอะครับ แต่เวลาจะช่วยคุณได้ จากคุณ : คุณชาย - [ 30 ธ.ค. 51 11:10:14 A:117.47.164.166 X: TicketID:196013 ]

ความคิดเห็นที่ 109 เจ้าของกระทู้ปักธงแล้วนี่นา เราชอบทุกความเห็นที่ชี้แนะ นะ จริงๆ เราว่าทุกความเห็นนะรวมๆแล้ว บอกให้เป็นตัวของตัวเอง แล้วเปิดรับเพื่อกลั่นกรอง แต่เราว่าเจ้าของกระทู้ไม่รับเลย อะไรที่ไม่ตรง ก็ไม่เอา .....ฉันเป็นฉันเอง  กรูเป็นงี้แหละ เราว่าป่วยการพูดน่ะ ไม่มีประโยชน์ ขอโทษนะล่วงหน้านะ ที่เสีอก จากคุณ : พฤหัส - [ 30 ธ.ค. 51 17:22:22 ]

ความคิดเห็นที่ 110 ในความรู้สึกของเราอยากให้น้องเลือกทางที่น้องสบายใจสุด เพราะพี่ไม่ทราบจริง ๆ ว่าอาจารย์ของน้องเป็นคนแบบไหนเพราะผู้ใหญ่กระโหลกกะลาก็มีอยู่มากมาย (กระทั่งอาจารย์มหาลัยบางคน เน้นว่าบางคน) ถ้าน้องไม่สะดวกใจที่จะถือศีลจริงๆ และถ้ามั่นใจว่าอาจารย์เป็นคนที่ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นแน่ๆ ถ้าน้องจะพูดไปตรงๆ ก็แนะนำให้น้องบอกว่าน้องนับถือนิกาย จุดจุดจุด (คิดและจำให้ได้นะตัวเอง อิอิ) แล้วก็บอกไปเลยว่ากฏของนิกายน้องไม่ให้ปฏิบัติหรือนับถือรูปเคารพของศาสนาอื่น ขอทำรายงานครับ แต่กรุณาพูดให้มันดูจริงจังนะคะ แล้วก็ตั้งใจทำรายงานส่งอาจารย์ให้ดีล่ะ ปล.ความเห็นของพี่อาจดูไม่เป็นผู้ใหญ่นัก แต่พี่เคยเจอมาจริงๆ ค่ะกับอาจารย์ที่ไม่รู้ว่ามาเป็นอาจารย์ได้อย่างไร ไม่มีวุฒิภาวะเอาซะเลยอ้ะ เห็นความคิดของตัวเองถูกต้องอยู่คนเดียว ฉะนั้นอยากทำอะไรก็แล้วแต่นะคะ จากคุณ : อ้วนน้อยฯ - [ วันสิ้นปี 06:39:58 A:203.146.171.14 X: TicketID:187891 ]

ความคิดเห็นที่ 111 เรากลับอยากให้คุณไปลองทำรายงานเรื่อง "ทำไมจึงไม่นับถือศาสนา แล้วหลักการปฏิบัติของคุณ" การที่ไม่ได้นับถือศาสนา ก็ไม่ใช่ที่จะไม่จำเป็นต้องเรียนรู้หลักธรรมของศาสนา คุณยังอยู่ในกะลา ที่ปิดกั้นว่า โลกนี้ยังมีอะไรให้ค้นคว้าอยู่มากมาย มากมายกว่าความคิดของคุณ ถามใจตัวเองให้แน่ชัดก่อนว่า ตกลงเราเชื่ออะไรกันแน่ คงไม่ใช่การที่ต้องการเป็นปมด้อยที่เป็นกระแสในสังคมหรอกใช่ไหม เพราะใครคงสอนคุณไม่ได้ นอกจากเวลาและธรรมชาติ ... แก้ไขเมื่อ 31 ธ.ค. 51 09:13:30 จากคุณ : ผมแตกปลาย - [ วันสิ้นปี 09:08:26 ]

ความคิดเห็นที่ 112 คนเราควรทำเฉพาะในสิ่งที่เราอยากทำเท่านั้นจริงเหรอ? ถ้าเป็นดิฉันจะถามตัวเองว่าทำไปแล้ว จะมีผลดีมากกว่าผลเสียหรือไม่อย่างไรมากกว่า... ทุกวันนี้คนเราก็ทุกข์เพราะความอยากมี อยากเป็น ความไม่อยากมี ไม่อยากเป็น แม้อารมณ์ที่เกิดขึ้นในใจคุณในตอนนี้ ก็กำลังทุกข์เพราะความไม่อยากเป็น การที่ได้มีโอกาสรู้จักตัวเอง มีสติรู้เท่าทันอารมณ์ตัวเองก็ถือเป็นโอกาสที่ดี... เมื่อคริสมาสต์ที่ผ่านมา ดิฉันมีโอกาสร่วมงานคริสมาสต์ที่โรงเรียนของลูกสาวที่ร่วมร้องเพลงในโบสถ์ แน่นอนว่าเรานับถือพุทธแต่รู้สึกดีทุกครั้งที่ลูกได้มีส่วนร่วมกับสังคมและเพื่อนนักเรียนด้วยกัน รู้สึกเห็นถึงความกลมกลืนในความต่าง ดิฉันเองก็ไม่ค่อยมีเวลาช่วงนี้แต่พยายามหาเวลาไปให้กำลังใจลูก พอไปถึงกลับได้อะไรมากกว่านั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าคืออะไร แต่รู้สึกได้ถึงพลังและความสุขกลับมาเยอะ เป็นการเริ่มต้นปีใหม่ที่ดีและน่าประทับใจมากๆ... นี่ก็เป็นเพียงความคิดเห็น ส่วนการตัดสินใจก็ขึ้นอยู่กับตัวเองนะคะ ดิฉันแค่รู้สึกว่ามันเป็นการเสียโอกาสที่จะสรุปว่าสิ่งไหนดี หรือไม่ดี ถ้ายังไม่ได้เข้าไปทำความรู้จักกับสิ่งนั้นด้วยตัวเราเอง... สวัสดีปีใหม่ค่ะ ^ ^ จากคุณ : ปัณฑา (pandha) - [ วันปีใหม่ 06:48:46 ]

ความคิดเห็นที่ 113 ก้ไปถือสิครับ ท่านว่าศีเลนนิพุติงยันติ ศีลนำไปสู่นิพพาน ศีเลนโภคสัมปทา ศีลนำมาซึ่งโภคทรัพย์ ดูแล้วถึงไม่นับถือก็มีแต่ได้กับได้ครับ จากคุณ : มังกรใจเย็น - [ วันปีใหม่ 16:06:25 ]

ความคิดเห็นที่ 114 ศาสนาพุทธงดงามมากกว่าสิ่งใด งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด อยู่เหนือความคิดปรัชญาใดใด น่าเสียดาย จากคุณ : นพมาร - [ วันปีใหม่ 17:03:10 ]

ความคิดเห็นที่ 115 ฝรั่งข้างตัวเราก็ "ไม่นับถือศาสนา" ใดๆ แต่ใช้เวลาเป็นสิบๆปี ศึกษาศาสนาอื่นๆบ้าง ก่อนที่จะบอกว่าตัวเราไม่นับถือศาสนาไหน เกิดมาแบบคริสต์ ศึกษาคริสต์ทั้งคริสเตียน ลูเธอริน ออโทด็อกซ์ มีเพื่อนบ้านอิตาลี่ เวียดนาม แอฟริกา อินเดีย ก็ศึกษาความเชื่อพวกเขา ทั้งพุทธ ทั้งฮินดู อิสลาม เข้าวัดก็ไปกับเรา ไหว้อะไรก็ไม่มีปัญหา เวลาไปคุยกับคนศาสนาต่างๆ ทั้งพุทธ คริสต์ อิสลาม ฮินดู เรื่องปรัชญาการใช้ชีวิตที่เขาเชื่อ ใครๆก็จะบอกว่านี่น่ะคือศาสนาชั้นเลย เป็นอะไรที่ universal ดูแล้วก็รู้สึกว่าเขาปฏิบัติแต่สิ่งดีๆ ศีลห้านี่ครบถ้วน แถมกินเจอีกต่างหาก ปล. กระทู้นี้มีประโยชน์มาก ขอบคุณ จขกท และทุกท่านที่มาอธิบาย จากคุณ : yuy - [ วันปีใหม่ 21:56:01 A:124.121.28.203 X: TicketID:124751 ]

ความคิดเห็นที่ 116 เขียนแล้วทิ้งเหรอ จากคุณ : tiki_ทิกิ - [ 2 ม.ค. 52 08:42:51 ]

ความคิดเห็นที่ 117 กระทู้นี้ได้มุมมองดีดีเยอะเลยค่ะ  จากหลายๆความคิดเห็น คงช่วยชี้แนะ จขกท ไม่ได้ เพราะตัวเองเป็นพุทธที่เข้าโบสถ์ เป็นบางครั้ง  แถวบ้านหาวัดยาก   ดิฉันเชื่อว่าพระเจ้ามีองค์เดียวค่ะ แต่เราเรียนรู้จักกันในรูปแบบแตกต่างกันไป จากคุณ : Poo-Ma - [ 2 ม.ค. 52 18:06:57 ]

ความคิดเห็นที่ 118 กลับมาอีกทีเป็นกระทู้แนะนำแบบงงงง ตอบคุณ Deckard ค่ะ เราก็บอกไปตั้งแต่ต้นแล้วว่าเป็นวิชาบังคับนี่คะ อ่านไม่ละเอียดเองนี่นา ถ้าเป็นวิชาเลือกเราจะลงทำไมล่ะ ไม่ได้เรียกเอกเกี่ยวกับศาสนาเลยค่ะ วิชาไม่ใช่วิชาหลักพระพุทธศาสนาค่ะ เป็นวิชาจริยธรรม moralน่ะ ชม.แรกอาจารย์ก็ไม่ได้บอกว่าจะให้ไปวัดเลยด้วย อ.เพิ่งมาติดต่อทีหลังค่ะ จากคุณ : ปีกน้อยที่ไม่อาจโบยบิน - [ 4 ม.ค. 52 01:39:53 ]

ความคิดเห็นที่ 119 ทุกคนก็มีความคิด ความเชื่อ ที่แตกต่างกันทั้งนั้น คงไม่มีใครผิดไม่มีใครถูกค่ะ เถียงกันให้ตายก็ไม่จบ ในเมื่อคนนึงเชื่อ อีกคนไม่เชื่อ หรือบางคนก็มีอคติและยึดถือบรรทัดฐานของตนเองเกินไป(ซึ่งรวมถึงเรา) ทางออกยังไม่ได้เลือกค่ะ สำหรับคนที่อาจจะอยากทราบ เอาเป็นว่ามันไม่สำคัญเท่าข้างในเรารู้สึกอย่างไรล่ะกันค่ะ สำหรับผู้ที่คิดว่าเราไม่นับถือศาสนาเพราะเป็นค่านิยมเพราะมันเท่ห์นั้น คงจะไม่ใช่ล่ะมั้งคะ เพราะมันจะเท่ห์ได้อย่างไรในเมื่อเราไม่เคยไปป่าวประกาศกับใคร เราคิดเรารู้คนเดียว มันจะเท่ห์เองคนเดียวเหรอคะ เราคิดแบบนี้มาเป็นสิบปีแล้วก็น่าจะหลุดพ้นข้อหาเป็นพวกตามกระแสแล้วมั้งคะ ส่วนหนึ่งที่เราไม่ชอบเข้าวัดเป็นเพราะเรามีความรู้สึกบางประการต่อพระพุทธรูปค่ะ (ใช้ภาษาระวังที่สุดแล้วนะ คงไม่มีใครมาด่า) จะอธิบายยังไงดี คือ จะว่ากลัวก็ไม่เชิง ไม่ใช่เห็นแล้วแบบร้องไห้วิ่งหนี ไม่ใช่เห็นไม่ได้ต้องกรี๊ดๆ(อันนั้นออกแนวผีเข้า) แต่รู้สึกไม่สบายใจเวลาที่อยู่ร่วม หรือได้เห็น ไม่ได้ถึงขั้นรุนแรงมากแบบเว่อร์ๆ แต่มันก็รู้สึกมานานแล้วค่ะ เดี๋ยวจะมีคนโยงไหมว่าชาติที่แล้วเราทำบาปไว้เลยเป็นแบบนี้ หรือเรามีปมตอนเด็ก อันนี้ต้องไปถามถามพ่อฟรอยด์ก่อน อย่างไรขอให้ทุกท่านโชคดี ถ้าไม่มีอะไรก็ขอปิดกระทู้แล้วกันนะคะ ชักพาออกทะเลไปไกลแล้ว - -" แก้ไขเมื่อ 04 ม.ค. 52 02:14:11 จากคุณ : ปีกน้อยที่ไม่อาจโบยบิน - [ 4 ม.ค. 52 01:41:15 ]

ความคิดเห็นที่ 120 (อาจารย์เคยสอนในชั้นเรียนว่ามีงานวิจัยบอกว่าคนไม่นับถือศาสนาใดๆเลยมีแนวโน้มฆ่าตัวตายสูงกว่าคนนับถือศาสนา เพราะไม่มีสิ่งยึดเหนี่ยว น่าจะแปลได้ว่าอาจารย์อาจจะรู้สึกในแง่ลบกับคนพวกนี้) จากที่อาจารย์จขกทว่ามาก็ตลกดีนะครับ จขกท ลองถามอาจารย์ดูสิว่าคนที่ฆ่าตัวตายเพราะไม่มีศาสนากับคนที่ฆ่าคนอื่นเพราะนับถือคนละศาสนาเนี่ยคนแบบไหนเยอะกว่ากันแล้วอะไรจะเป็นอันตรายต่อสังคมโลกมากกว่ากัน ในฐานะเป็นคนไม่นับถือศาสนาเหมือนกันก็ขอแนะนำว่า ถ้าไปได้ไม่ลำบากก็ ไปเถอะ นึกซะว่าไปเที่ยวกับเพื่อนๆ เพื่อเอาคะแนนดีๆมาไว้ใช้ ยกเว้นว่าคร้านจริงๆก็บอกอาจารย์ว่าขอทำรายงานแทนเนื่องจากไม่นับถือศาสนาพุทธ "ความดีงามแห่งมนุษย์ไม่ได้มาจากศาสนาเสมอไป ความชั่วร้ายก็เช่นกัน" จากคุณ : Cat's tail - [ 4 ม.ค. 52 08:06:33 ]

ความคิดเห็นที่ 121 ง่ายจะตายไปครับ ก่อนที่จะคิดว่าถือไม่ถือดี ลองอ่านดูรึยังว่าศีล ๘ มีไรบ้าง ไม่ถือ แล้วอาจารย์เค้าจะรู้เหรอครับ ไม่นอนฟูก จารย์เค้ามาดูเรานอนป่าวครับ ไม่ผิดกาเม จารย์เค้ามาดูเราตอน งึ้บๆๆ ป่าวล่ะ จากคุณ : goodnightcry - [ 4 ม.ค. 52 16:24:12 ]

ความคิดเห็นที่ 122 (บางคน) จะเถียงกันไปทำไม -_- ถ้าอึดอัด ก็ไม่ต้องทำ จบ... ถ้าการไม่นับถือศาสนา คือ "การเชื่อในตัวเอง" เหมือนชาว Existentialist ทั้งหลาย, บุญหรือบาปนั้น ก็อยู่ที่ตัวคุณตัดสิน ไม่ใช่ใครเลย ในเมื่อคุณไม่มีศาสนา บาป จะมาจากไหน ถ้าไม่ใช่จากจิตใจตัวเอง...?!? ถ้าคุณทำอะไรซักอย่างแล้ว รู้สึกว่าบาป แปลว่าจิตคุณคิดในแง่ลบกับการปฏิบัตินั้นๆ ตรรกของคุณ ต่อต้านการปฏิบัตินั้นๆ ด้วย "เหตุผล" บางอย่างที่สมเหตุสมผลมากๆ สำหรับคุณ แล้วเหตุผลนั้นคืออะไร...? ตอบตัวเองได้ยังครับ...? ลองคิดด้วยปัญญา... แค่ใช้ตรรกของมนุษย์ทั่วไปคิดก็พอแล้ว ไม่ต้องยึดติดกับคำว่า "ศาสนา" หรือ "ไม่มีศาสนา" ว่าทำไมการปฏิบัตินั้นจึงเกิดทัศนคติในแง่ลบกับตัวเอง...? มันไม่ดีอย่างไร...? มันไม่ดี เพราะมันไปทำใครเดือดร้อน...? มันเบียดเบียนความรู้สึกตัวเอง ต้องฝืนใจ บังคับเป็นอย่างมาก...? ...หรือว่ามันไม่ดี เพียงเพราะแค่มันให้ความรู้สึกของคำว่า "พุทธ"...?? คุณยึดติดกับคำว่าไม่มีศาสนามากเกินไปไหม...? ถ้าใช่... คำว่า "ไม่มีศาสนา" นั่นล่ะคือศาสนาของคุณเอง แก้ไขเมื่อ 05 ม.ค. 52 22:27:10 จากคุณ : Angos - [ 5 ม.ค. 52 22:24:39 ]

ความคิดเห็นที่ 123 สำหรับผม ศีลแปด ที่ 1 ในการปฏิบัติเพื่อเข้าถึงสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ในหมวดของ สมาธิ หรือ ภาวนา (อาจจะเป็นสมถภานาที่แปลว่าสงบ และ วิปัสสนาภาวนาก็ได้) เป็นการเตรียมใจของเราให้พร้อมและสะอาดพอที่จะมองเห็นและรับรู้สำหรับเรื่องข้างต้นได้อย่างดี บางทีอาจจะได้ความสงบและความสุขแบบที่น้องปีกฯ ไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิตก็ได้ ใครจะรู้ :) อย่างน้อยที่สุดก็ได้อิ่มใจที่เรารักษาสัจจะที่เราต้งใจจะละเว้นได้ ศีลแปดนี่ ผมเข้าใจว่ามีไว้สำหรับปุถุชนอย่างเราๆ นี่แหละ พี่ว่า ถ้าน้อง ใจยังไม่สามารถพอ บอกกับอาจารย์ไปเลยไปก็เหนื่อยเปล่า แทนที่จะได้ กลับเสียตังหาก หรือไม่ก็ลองไปดูซักตั้งก็ได้นะ อย่าบอกเลยว่าไม่ได้นับถือศาสนาใดๆ ท้งที่ในบัตรก็บอกไว้ จริงๆ ถ้าน้องอยากจะรู้ว่า ศาสนาพุทธมีเป้าหมายยังไง ควรจะเริ่มต้นยังไง ตอนไหน อย่างไร โลกอินเตอร์เนตก็หาให้ได้หนิครับ จะได้รู้ซักที ไม่ใช่มาอ้างเหตุผลร้อยแปดว่าไม่นับถือศาสนา ทั้งที่ไม่เคยรู้และสนใจเลยว่า ศาสนาพุทธคืออะไร เป็นเช่นไร ไม่ดีเลยนะน้อง จากคุณ : ปีศาจขาว - [ 6 ม.ค. 52 09:50:12 ]

ความคิดเห็นที่ 124 อ่านหลายๆความเห็นแล้วตลกดี เช่นที่บอกให้ทำเป็นพุทธบูชา คนไม่มีศาสนาจะทำพุทธบูชาไปทำไม? หรืออย่างที่ถ้าใครไม่มีศาสนาแล้วเขาจะสับคอ บอกให้น้องเขาซื่อสัตย์ ถ้าลองเขาถามบ้างว่าใครเป็นพุทธจะสับคอ ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าจะมีกี่เปอร์เซนต์ที่เดินออกไปยอมตาย ผมรักตัวกลัวตายครับ ไม่ออกไปหรอก เอาว่าถ้าอยากลอง ก็ไปครับ ถ้าไม่อยากฝืนใจจริงๆก็ทำรายงาน แค่นั้นเอง จากคุณ : house (panote_saechiew) - [ 6 ม.ค. 52 14:43:00 ]

ความคิดเห็นที่ 125 ถึงคุณ 124 ผมอาจจะไม่ใช่พุทธแท้ แต่ถ้าเป็นผม ผมยอมตาย จากคุณ : ปีศาจขาว - [ 6 ม.ค. 52 14:50:21 ]

ความคิดเห็นที่ 126 กระทู้ยาวมากเลยค่ะ แต่น่าสนใจ ขอแชร์ด้วยคนค่ะ สมัยอยู่ปีสี่ เคยไปลงวิชาหนึ่งไว้ โดยไม่ทราบว่าจะต้องไปปฏิบัติธรรมแบบนี้สามวันสองคืน  พอทราบเข้าก็เกิดอาการไม่อยากไปจะ ด้วยเหตุผลร้อยแปดในครั้งนั้น ในวัยนั้น  คิดว่าทำไม่ได้ ไม่ชอบ ไม่สนใจ ไม่ศรัทธา เลยรีบไปถอนวิชานั้นออกไปเลย หาวิชาเลือกใหม่ไปลงแทน เลยรอดไป ตอนนี้ผ่านมาเป็นสิบปีค่ะ จนเห็นว่าแก่นพุทธศาสนานั้นเต็มไปด้วยเหตุผลที่น่าสนใจ และยังเชื่อว่า จงอย่าเชื่ออะไร เพียงเพราะเธอได้ยินบอกเล่ากันมา หรือเพราะมันเป็นประเพณี หรือเธอจินตนาการมันขึ้นมา อย่าเชื่อในสิ่งที่ครูสอน เพียงเพื่อทำให้ครูพอใจ แต่ควรเชื่อโดยการพิสูจน์ จนแน่ใจด้วยตัวเธอเองว่า นั่นเป็นวิถีทางที่ดี ซึ่งจะทำให้เธอพบกับความสุข ในสรรพสิ่งต่างๆ เหมือนกับ พระจันทร์ในวิถีทางของดวงดาว believe nothing merely because you have been told it, or because it is traditional, or because you yourself have imagined it. do not believe what your teacher tells you, merely out of respect for the teacher. but whatever way by thorough examination you find to be one leading to good and happiness for all creatures, that path follow, like the moon in the path of stars ( จากหน้าสุดท้ายของหนังสือ สัมผัสแห่งชีวิต หรือ Beginning to see by Sujata ค่ะ ) จากคุณ : i@home (i@home) - [ 6 ม.ค. 52 22:07:37 ]

ความคิดเห็นที่ 127 ถือว่าอาจารย์ เคร่ง แต่ใจดีนะเนี่ย ที่ให้คนที่นับถือศาสนาอื่นยกเว้นให้ ให้ทำรายงานส่งแทน เพราะตอนสมัยเรียน วิชา จริยธรรมให้ไปวัดเหมือนกัน  ก็บอก อ. ขอเอาจดหมายจากว่าไปร่วมพิธีกรรมทางศาสนาที่นับถือมาให้ อ. บอกไม่ไปก็อดคะแนน ตก กะเท่านั้น โอ้....ไม่ให้ทางเลือกเลย จากคุณ : eulb - [ 7 ม.ค. 52 12:01:01 ]

ความคิดเห็นที่ 128 ป่านนี่ จขกท สอบเสร็จ เกรดออกแล้วละมั้งเนี่ย จากคุณ : หริปรียา - [ 11 ม.ค. 52 04:46:13 A:202.28.27.5 X: TicketID:197397 ]

ความคิดเห็นที่ 129 คห.124  จขกท.ในบัตรเขาแจ้งว่าเป็นพุทธ ที่เขาบอกไม่มีศาสนาเป็นข้ออ้างหรือไม่ได้รับการปลูกฝัง พ่อแม่นับถือพุทธ  ในบัตรว่าเป็นพุทธ หากจะบอกว่าปฏิบัติธรรมเพื่อเป็นพุทธบูชาคงไม่ผิดมั้งหรือคุณว่่าไง และพุทธบูชาใครๆก็ทำได้ไม่จำเป็นต้องเป็นชาวพุทธ สมัยพุทธกาลคนนอกศาสนายังทำความเคารพพระพุทธเจ้าเยอะแยะไป จากคุณ : วสันดิลก - [ 13 ม.ค. 52 23:50:51 ]

ความคิดเห็นที่ 130 คุณกำลังตัดสินคนอื่นด้วยการคิดเอาเองครับ คนไม่มีศาสนามีจริง เช่น เป็น secular humanism ได้รับการปลูกฝังแล้ว แต่ไม่สนใจก็ยังเป็นไปได้ ไม่อย่างนั้น คนเปลี่ยนศา่สนาคงไม่มีในโลกนี้ คนทำพุทธบูชาไม่ต้องเป็นพุทธก็ได้ -ถูก- แต่คนไม่เป็นพุทธ ย่อมไม่จำเป็นต้องทำพุทธบูชา เหตุผลข้อนี้จึงตลกมาก พอๆกับให้ชาวพุทธ ไปบูชายัน เพื่อบูชาพระเจ้าศาสนาไหนซักศาสนานั่นแหละ มันเป็นความดีนะ ในศาสนานั้น แต่พุทธบอกว่ามันไม่ใช่ความดีในศาสนาเรา ถูกไหม ดังนั้นถ้าเรายอมรับได้ว่าศาสนาอื่นไม่ต้องทำพุทธบูชา เพราะขัดกับสิ่งที่ศาสดาของเขาสอน ถ้าเขานับถือ ศาสนา "ไม่มีศาสนา" ทำไมเรายอมรับไม่ได้ว่าเขาก็ไม่ต้องทำพุทธบูชา เพราะขัดกับแนวคิดของเขา? #125 ยินดีด้วยกับศรัทธาครับ จากคุณ : house (panote_saechiew) - [ 14 ม.ค. 52 17:58:00 ]