เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมามีโอกาสได้ไปชมนิทรรการ 100 ปี จุลจักรพงษ์ที่บ้านจักรพงษ์มาค่ะ ประทับใจมาก เลยอยากจะมาเล่าบรรยากาศให้ฟัง
เดิมทีเราเป็นแฟนหนังสือเกิดวังปารุสก์ พระนิพนธ์ในพระองค์จุลอยู่แล้วค่ะ จากนั้นได้อ่านแคทยาก็ยิ่งปลื้มหนักเข้าไปอีก ยังเคยคิดอยู่หลายครั้งว่าชาตินี้จะมีโอกาสได้ไปเยี่ยมเยือนวังปารุสก์และบ้านจักรพงษ์ไหม วังปารุสก์นั้นค่อนข้างยาก ส่วนบ้านจักรพงษ์นั้น เห็นว่าเปิดให้แขกเข้าพักในส่วนของจักรพงษ์วิลล่า แต่ราคาค่อนข้างสูงอยู่สำหรับเรา เลยได้แต่หวัง แต่พอได้ยินข่าวดีนี้ว่าคุณหญิงนริศราจะเปิดบ้านจักรพงษ์ให้คนเข้าชม เลยตั้งใจว่าเป็นตายยังไงก็จะไม่ยอมพลาดแน่ๆ
ก่อนอื่นขออธิบายพิกัดที่ตั้งเล็กน้อยนะคะ ตอนแรกเราก็ไม่รู้ทางเหมือนกันค่ะ ดีว่าได้ถามหลายๆท่านในห้องนี้เอา บ้านจักรพงษ์ตั้งอยู่บนถนนมหาราชค่ะ อยู่ตรงข้ามมิวเซียม สยาม และตั้งตรงจิตรพาณิชยการ อยู่ระหว่างปากคลองตลาดและท่าเตียน และถ้าเข้าใจไม่ผิด รู้สึกจะอยู่ข้างๆโรงเรียนราชินีค่ะ
เราไปถึงวันเสาร์ช่วงเช้า ตอนประมาณสิบโมงครึ่งค่ะ ซึ่งเป็นเวลาเริ่มงานพอดี ไปถึงก็พบว่ามีผู้ให้ความสนใจเข้าชมพอสมควร คือไม่ถึงกับมากจนพลุกพล่าน แต่ก็มากกว่าที่คาดไว้
ไปถึงเราก็ต้องไปจ่ายค่าเข้าชมที่โต๊ะทางเข้าค่ะ จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็จะให้บัตรมาคนละใบ และถุง(รู้สึกจะเป็นถุงกระดาษ)มาไว้ใส่รองเท้าตอนขึ้นบนตำหนักค่ะ
การเข้าชมงานจะแบ่งเป็นสองส่วนค่ะ ส่วนแรกคือการเดินชมตัวตำหนัก ซึ่งจะมีเป็นรอบๆ แต่ไม่ได้ระบุเวลา และรอไม่นานค่ะ หรือหากใครไม่อยากนั่งรอ ก็สามารถไปนั่งชมภาพยนตร์ "ภาพแห่งชีวิต จุลจักรพงษ์" ซึ่งตัดต่อโดยคุณกู้ หลานของพระองค์จุลค่ะ :)
ส่วนเรากับเพื่อน เลือกที่จะถ่ายรูปตามบริเวณรอบๆค่ะ มีมุมสวยๆให้ถ่ายเยอะเลย ลืมบอกไปว่าข้างในเค้าไม่ให้ถ่ายนะคะ แต่ข้างนอกถ่ายได้เต็มที่เลยค่ะ มีหลายจุดที่เราละล้าละลังไม่กล้าเข้าไปถ่าย เจ้าหน้าที่ก็ใจดีมาก เดินเข้ามาบอกว่าถ่ายได้เลย แต่ก็ยกเว้นบางจุดนะคะที่ติดป้ายห้ามผ่านไว้ เพราะถึงจะเป็นช่วงนี้ แต่ก็ยังเปิดให้แขกเข้าพักในจักรพงษ์วิลล่าอยู่ค่ะ
เราถ่ายรูปเล่นได้ไม่นาน ก็ถึงรอบให้เข้าฟังบรรยาย เท่าที่เห็น มีวิทยากรอยู่สามท่านค่ะ (อาจจะมีมากกว่านั้น) ช่วงไหนที่มีแขกชาวต่างชาติมา วิทยากรก็จะจัดบรรยายเป็นภาษาอังกฤษให้เป็นพิเศษด้วยค่ะ
เริ่มแรก วิทยากรจะอธิบายลำดับผังตระกูลจักรพงษ์ โดยเริ่มจากรัชกาลที่สี่เป็นต้นมาค่ะ (น่าเสียดายที่ผังตระกูลนี้ไม่ได้บรรจุอยู่ในหนังสือด้วย เราเพิ่งจะเคยเห็นรูปของคุณแอลเลน เลวี่กับคุณแกรี่ ทอมสันก็จากที่นี่เองค่ะ) จากนั้นวิทยากรก็จะพานำชมไปทีละห้อง ภาพของแต่ละห้องมีอยู่ในหนังสือแล้วค่ะ ไม่ต้องเสียดายว่าบันทึกภาพไว้ไม่ได้ โดยห้องที่วิทยากรบรรยายผังตระกูลคือห้องเขียวค่ะ จากนั้นก็ไปที่ห้องแดงซึ่งเป็นห้องรับแขกค่ะ ห้องนี้มีรูปถ่ายหลายรูป และที่สำคัญ มีฉลองพระองค์ของเจ้าฟ้าจักรพงษ์สมัยยังทรงพระเยาว์ด้วยค่ะ นอกจากนี้ แอบเห็นรูปสมัยเด็กๆของคุณฮิวโก้ด้วยค่ะ น่ารักมากๆ เหมือนเด็กฝรั่งแท้ๆเลย
จากนั้นก็มาที่ห้องชมพูซึ่งเป็นห้องทางอาหารค่ะ สำหรับรายละเอียดในห้องคงต้องไปติดตามกันเอง แต่จะบอกไว้นิดนึงว่าเค้าไม่อนุญาตให้เข้าไปนะคะ จะกั้นไว้แค่ตรงช่วงหน้าประตู (ห้องแดงอาจเดินเข้าไปได้นิดหน่อย) ต้องชะโงกหน้าเข้าไปค่ะ แต่ในแต่ละรอบบรรยาย(สำหรับวันเสาร์นะคะ) ก็จะมีผู้เข้าชมประมาณรอบละสิบถึงสิบกว่าคน ทำให้ผู้ที่มีความสามารถในการแทรกตัวต่ำไม่อาจจะเห็นได้โดยถนัด แนะนำว่าอาจจะเข้าฟังบรรยายซักสองรอบก็ได้ค่ะ รอบแรกฟังอย่างเดียว รอบสองดูอย่างเดียว คือพอเค้าย้ายที่แล้ว เราก็ยังยืนดูให้เต็มตาได้ค่ะ
จากนั้นก็จะเดินอ้อมไปอีกด้าน มีผลงานภาพวาดของหม่อมลิสบาให้ดู สวยมากๆค่ะ ไม่นึกว่าผู้หญิงสมัยก่อนจะวาดภาพได้สวยขนาดนี้(หรือเราอาจจะโลกแคบไป) แต่พอเห็นอย่างนี้แล้ว นึกชื่นชมหม่อมลิสบาขึ้นมามากเลยค่ะ เลยไปอีกนิด จะมีภาพถ่ายและเอกสารใบปลิวต่างๆเกี่ยวกับการแข่งรถของพระองค์พีระ เห็นแล้วก็อดขนลุกไม่ได้นะคะ น่าเสียดายที่สมัยนี้คนรู้จักท่านไม่มากแล้ว ถ้าใครสนใจ ลองหาหนังสือเจ้าดาราทองมาอ่านดูก็ได้นะคะ แต่เนื้อหาก็ค่อนข้างจะคล้ายๆกับในเกิดวังปารุสก์น่ะค่ะ
ต่อมา เป็นห้องที่สำคัญที่สุดในความคิดของเรา คือห้องทรงงานของพระองค์จุลนั่นเอง หนังสือเต็มห้องเลยค่ะ ห้องนี้เราเข้าไปได้ประมาณครึ่งห้อง สามารถลูบๆคลำๆหนังสือตามชั้นได้ (แต่เกรงใจเลยไม่กล้าแตะมาก) ที่กั้นไว้ก็คือโต๊ะทรงงานของพระองค์จุลค่ะ บนโต๊ะมีต้นฉบับพระนิพนธ์ของท่าน รูปถ่าย และรูปปั้น ถ้าสนใจชิ้นไหนเพิ่มเติม บอกเจ้าหน้าที่ให้ช่วยหยิบมาให้ชื่นชมใกล้ๆได้นะคะ เจ้าหน้าที่ใจดีมากค่ะ
ออกจากห้องนี้ ก็จะไปที่ส่วนสุดท้าย ซึ่งเดิมทีคือโถงทางเข้าค่ะ ถ้าใครมีอะไรอยากซักถามเพิ่มเติม วิทยากรก็ยินดีตอบให้นะคะ ไม่ได้เร่งรีบว่าจะต้องไปรับกลุ่มใหม่แต่อย่างใด วิธีการจัดรอบที่นี่ก็คือ เดินไม่ให้ชนอยู่ในห้องเดียวกันเท่านั้นเองค่ะ พอหมดกลุ่มหนึ่งก็ไปรับมากลุ่มหนึ่ง เพราะฉะนั้นก็รอไม่นานค่ะ
หลังจากชมตำหนักแล้ว เราก็ไปนั่งชมภาพยนตร์ซึ่งเราจะได้รับแจกเป็นดีวีดีมาพร้อมกับหนังสือด้วยค่ะ แม้จะเหมือนกัน แต่เราก็ชอบดูในห้องนั้นมากกว่าค่ะ ได้อารมณ์กว่า แล้วแต่ละคนที่ดูด้วยก็ท่าจะคอเดียวกัน ไม่มีใครเบื่อเลยค่ะ(ยกเว้นเพื่อนเรา 555) ลืมบอกว่าคุณจะเข้าไปดูตอนไหนก็ได้นะคะ เพราะจะฉายไปเรื่อยๆ แค่ระวังเวลาเดินเข้าไปอย่าส่งเสียงดังรบกวนคนที่กำลังชมอยู่เท่านั้นเอง แต่ตั้งแต่เราเข้ามาในงาน ก็ไม่มีใครส่งเสียงเอะอะอึกทึกอะไรให้รำคาญใจเลยค่ะ ทุกคนที่มางานล้วนแต่เป็นผู้ที่สนใจและตั้งใจจะมารับความรู้จากงานและซึมซับบรรยากาศที่ดีนี้ไปจริงๆ(ยกเว้นเพื่อนเราอีกน่ะแหละ) เพราะฉะนั้น ถึงแม้จะมีคนมาชมงานหลายคน แต่ก็รู้สึกสงบ และสบายใจดีค่ะ
แต่ดูภาพยนตร์ยังไม่ทันจบ เจ้าหน้าที่ก็อุตส่าห์เข้ามาแจ้งว่าม.ร.ว.นริศรามา แล้วถามว่ามีใครต้องการไปพบปะพูดคุยกับท่านไหม เราก็เลยรีบลุกอย่างไม่ลังเลเลยค่ะ แล้วก็โชคดีจริงๆ คุณหญิงใจดีมาก อนุญาตให้ถ่ายรูปคู่ แล้วยังเซ็นชื่อลงบนหนังสือให้ด้วย ปลื้มสุดๆค่ะงานนี้ (นี่ถ้าเจอคุณฮิวโก้หรือคุณกู้ด้วย สงสัยเราคงฝันหวานไปอีกหลายวัน ^^)
เพราะออกมาทั้งๆที่ยังดูภาพยนตร์ไม่ทันจบ เลยยังรู้สึกไม่เต็มอิ่มเท่าไหร่ แต่เพื่อนก็มีทีท่าว่าไม่อยากจะเข้าไปนั่งดูแล้ว เราเลยเดินถ่ายรูปกันอีกซักพัก (ถ่ายรูปบ้านของคุณฮิวโก้มาด้วยค่ะ แต่เห็นเจ้าหน้าที่บอกว่าทุกวันนี้เป็นห้องสำหรับซ้อมดนตรีอย่างเดียว)
ระหว่างพักจากถ่ายรูป เราเลยถือโอกาสขอกลับเข้าไปฟังบรรยายอีกรอบ ตอนแรกเจ้าหน้าที่เห็นก็ถามว่าเข้าฟังหรือยัง เราก็ตอบอ่อยๆว่าฟังแล้วค่ะ แต่เข้าไปอีกรอบได้ไหมคะ นึกว่าจะไม่ได้ แต่สุดท้ายก็ได้รับอนุญาตด้วยความเต็มใจ นี่ถ้ามาคนเดียวคงได้เข้าไปฟังซักสิบรอบแน่ค่ะ นี่ได้ไปฟังอีกรอบกับวิทยากรอีกท่าน ก็ได้ความรู้เพิ่มมาอีก แนะนำให้ฟังซักสองสามรอบค่ะ (เว้นแต่ว่ามีคนมามาก)
เราอาจจะบรรยายได้ไม่เก่ง เลยทำให้เห็นว่าเหมือนจะไม่มีอะไร และแม้เพื่อนเราที่มาด้วยจะไม่ค่อยประทับใจ (เพราะไม่เคยอ่านหรือศึกษาพระประวัติมาก่อน) แต่เราก็ประทับใจมากค่ะ และอยากแนะนำให้ลองมากันดูนะคะ โอกาสนี้คงเป็นแค่โอกาสเดียวที่คุณหญิงจะเปิดให้เข้าชม 500บาทถูกมากนะคะ เพราะนอกจากจะได้เข้าชม(อย่างไม่จำกัดรอบ^^)แล้ว ยังได้หนังสือปกแข็งกระดาษอาร์ตมันสวยงาม ที่แม้แต่พ่อเราที่ไม่สนใจประวัติศาสตร์ยังบอกเลยค่ะว่าแค่หนังสือก็คุ้มแล้ว รวมถึงดีวีดี(ยังไม่ได้เปิดดูเต็มๆเลยค่ะ)ที่มีภาพที่ไม่ได้หาชมง่ายๆ 500บาท ดีกว่าเอาไปทำอะไรอีกมากมายค่ะ ที่สำคัญ เงินนี้ คุณหญิงนำเข้ามูลนิธิเพื่อช่วยการศึกษาของเด็กด้วยนะคะ อิ่มใจแล้วยังอิ่มบุญอีกต่างหาก
ส่งท้าย อยากจะบอกว่าเรา"รัก"บ้านหลังนี้มากเลยค่ะ แม้จะมาเป็นครั้งแรก แต่ก็ประทับใจกับบรรยากาศที่ร่มรื่นและอบอุ่นนี้มากเลย นอกจากนี้ ยังมีน้องๆมาบรรเลงดนตรีไทยคลอไปด้วย คิดภาพสิคะ นั่งอยู่ตรงระเบียง ใต้เงาไม้ร่มรื่น สายลมเย็นสบาย คลอเสียงดนตรีไทย อาจจะฟังดูเวอร์ แต่ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆค่ะ เราประทับใจแม้แต่ห้องน้ำที่นี่ นี่ยังคิดๆอยู่เลยค่ะว่าอาจจะไปอีกซักรอบ (แต่คงไปคนเดียวแน่ๆ 555) ใครที่ลังเลอยู่ อยากจะเชิญชวนให้ไปจริงๆค่ะ งานนี้จัดถึงแค่วันที่ 7 มกราคมนี้เท่านั้นค่ะ
จากคุณ :
ทาสผู้ซื่อสัตย์ของท่านซิเรียส
- [
29 ธ.ค. 51 02:22:12
]