ปีกแห่งรัตติกาล ตอนที่ 2
ต้นหญ้าที่สั่นไหวตามแรงลมยามดึกสงัดเช่นนี้ ช่างดูวังเวงเสียนี่กระไร กองไฟกองหนึ่งที่จุดกันลมหนาวและสัตว์ป่าส่งเสียงมอดไหม้ฟืนอยู่ไม่ขาด รอบๆ กองไฟมีชายฉกรรจ์สองคนนั่งประจำอยู่ด้วยหน้าตาที่เคร่งเครียด
ชายทั้งสองล้วนมีรูปร่างน่าเกรงขาม รอยบากบนใบหน้าพร้อมทั้งหน้าตาที่ละม้ายคล้ายกัน ทั้งยังใส่เสื้อผ้าสีน้ำตาลเปื้อนเช่นเดียวกันอีก ทำให้ยากยิ่งจะจำแนกได้ว่าผู้ใดเป็นผู้ใด ที่แท้เป็นฝาแฝดคู่หนึ่ง พวกมันทั้งสองเป็นจอมโจรที่มีชื่อเสียงเหม็นฉาวโฉ่ที่สุดในละแวกริมฝั่งแม่น้ำแยงซีเกียง ฉายา สองจอมโจรหน้าบาก
ผู้พี่นั้นมีชื่อว่า ฮงเหมินกั๋ง (ประตูแซ่ฮง) ผู้น้องมีชื่อว่า ฮงเหมินลั่ง (ระเบียงแซ่ฮง) ชื่อทั้งสองกลับดูราวสามัญธรรมดาอย่างยิ่ง เมื่อเทียบกับชื่อเสียงของพวกมัน ฮงเหมินกั๋งเขี่ยกองไฟไปมาด้านหนึ่ง ส่วนฮงเหมินลั่งกลับนั่งนับดาวคำนวณฤกษ์ยามในการลงมือครั้งต่อไปอีกด้านหนึ่ง
พี่น้องต่างความสามารถ คนหนึ่งเก่งกาจวรยุทธ์ อีกคนกลับเก่งกาจวางแผน ทั้งคู่ทำการค้าไม่ลงทุน (อาชีพโจร) ด้วยกันมากี่ครั้ง นับว่าสำเร็จงดงามทุกครั้งไป ไม่เหลือร่องรอยให้ติดตามหาแม้นสักน้อยนิด นับว่าสร้างความปวดหัวให้กับกรมการเมืองเสียนี่กระไร
ฮงเหมินกั๋งจู่ๆ คล้ายรู้สึกวันนี้เงียบจนผิดสังเกต พลันส่งเสียงถามฮงเหมินลั่งว่า
"ยี่ตี๋ (น้องรอง) เจ้าได้ยินข่าวของเสิ่นเจี้ยนกู้ (มั่นคงแซ่เสิ่น) เด็กน้อยนั่นหรือไม่? เห็นว่ามันประกาศจะจับตัวเราสองพี่น้องไปกักขังให้จงได้"
ฮงเหมินลั่งหัวร่ออย่างขบขันเมื่อตั่วกอ (พี่ใหญ่) ของตนกล่าวเช่นนั้นออกมา
"ครั้งก่อนเราจู่โจมเงินตราของสวู่เปี๋ยว (คลุมเครือแซ่สวู่) เจ้าอ้วนนั่นจนมันแทบร้องไห้ ยังไม่เห็นมีพวกกรมการเมืองตัวไหนที่จะสืบสาวเรื่องราวมาถึงที่อยู่ของเราได้สักตัวหนึ่ง"
ฮงเหมินกั๋งส่ายหัวเบาๆ คราหนึ่งก่อนจะบอกกล่าวว่า
"เจ้าอย่าเพิ่งหยิ่งผยองตนเกินไป หากเด็กน้อยนั่นทราบถึงที่อยู่ของเราสอง พวกเราคงตกที่นั่งลำบาก ได้ข่าวว่ามันฝึกเพลงดาบกรีดนภาจนเหนือกว่าบิดาบุญธรรมของมันเสียอีก"
ฮงเหมินลั่งยิ่งฟังยิ่งรู้สึกขบขัน หัวร่อพลางหยิบหมั่นโถวในถุงเสบียงกังขึ้นมาพลาง ก่อนจะเคี้ยวมูมมาม ปากก็บ่งบอกว่า
"หึ เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน บิดาบุญธรรมของมันเองมิใช่รึ ที่ป่าวประกาศว่าจะจับตัวปีศาจค้างคาวมาให้ได้ แล้วสุดท้ายเป็นเช่นไร นำพาอู่มิ่งไต้ซือไปตายอีกคนใช่หรือไม่?"
ฮงเหมินกั๋งนั่งฟังพลาง พยักหน้าพลาง ในมือก็เขี่ยฟืนไฟไปพลาง ปากก็ถามว่า
"ยี่ตี๋เจ้าเฉลียวฉลาดกว่าข้าพเจ้ายิ่งนัก เจ้าเล่าเหตุการณ์นั้นให้ตั่วกอผู้โง่งมคนนี้ได้ฟังสักเล็กน้อยได้หรือไม่"
ได้ยินฮงเหมินลั่งยิ้มกริ่มเมื่อถูกชมจากตั่วกอของตน พลางกล่าวว่า
"ตอนนั้นข้าพเจ้ากับตั่วกอก็ยังเยาว์อยู่ ดังนั้นพวกเราจึงไม่รู้เห็นเรื่องราวรายนี้ ข้าพเจ้าจะเล่าจากที่ได้ข่าวมาแล้วกัน วันนั้นเป็นคืนเดือนมืดเช่นวันนี้ ขงโอวฮุยตอนนั้นรับราชการที่หยางโจว มันได้ข่าวคดีฆาตกรต่อเนื่องพิสดารรายหนึ่งจึงรีบรุดไปดู มันติดต่ออู่มิ่งไต้ซือให้มาช่วยเหลือจับกุมคนร้าย ใช้หวังกงอวี้เป็นเหยื่อล่อ แต่ที่ไหนได้ตอนที่เหตุการณ์สงบลง ผู้คนเข้าไปดูบ้านสกุลเสิ่น เพียงเห็นกองซากศพมากมาย มีเพียงทารกน้อยกับขงโอวฮุยเท่านั้นที่รอดตาย"
ฮงเหมินลั่งหยุดยั้งลงเล็กน้อย ก่อนจะกัดกินหมั่นโถวอีกหนึ่งคำ พร้อมกล่าวต่อไปว่า
"ขงโอวฮุยนั้นถึงกับเสียตาไปข้างหนึ่ง หลังจากพักรักษาตัวนานครึ่งเดือน คำสั่งก็มาถึง ในใบคำสั่งบ่งบอกให้ประหารมัน ยังดีที่เจ้าบ้านตระกูลเสิ่นไม่ติดใจเอาเรื่อง รีบจ่ายเงินทองช่วยเหลือมันไว้ได้ทัน มันจึงเพียงถูกลดขั้นลงมาสามตำแหน่งเท่านั้น เจ้าบ้านตระกูลเสิ่นนั้นสนิทกับขงโอวฮุยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การที่ช่วยเหลือมันจึงเป็นเรื่องปกติ แต่น่าแปลกที่หลังจากนั้นอีกหนึ่งปีเจ้าบ้านตระกูลเสิ่นกลับตกตายอย่างมีเงื่อนงำ"
ฮงเหมินกั๋งอดสงสัยเสียมิได้ จึงกล่าวถามขึ้น
"เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?"
ฮงเหมินลั่งตบหน้าผากตนเองหนึ่งครา ก่อนส่ายศีรษะ ตอบกลับไปแบบจนปัญญาว่า
"ข้าพเจ้าก็มิทราบเช่นกัน อาจจะเป็นเพราะเจ้าบ้านเสิ่นมีโรคประจำตัวอยู่แล้วก็เป็นได้ แต่ทุกคนต่างเพ่งเล็งปริศนานี้มาที่ขงโอวฮุย"
ฮงเหมินกั๋งได้ยินคำพูดถึงกับร้องเพ้ยมาคำหนึ่ง ก่อนจะถามอีกว่า
"แล้วเหตุใดพวกมันสองถึงเป็นบุตรบิดาบุญธรรมกันได้?"
ก่อนที่ฮงเหมินลั่งจะตอบคำตั่วกอของมัน กลับได้ยินเสียงกังวานตอบคำถามนั้นจากพงหญ้าด้านหนึ่งว่า
"นั่นเป็นบิดาของข้าพเจ้าสั่งเสียไว้ก่อนตาย"
จอมโจรหน้าบากทั้งสองคนรีบผุดลุกขึ้นจากเบื้องล่างอย่างรีบร้อน พร้อมส่งเสียงขู่คำรามร้องออกเกือบพร้อมกันว่า
"ผู้ใดมาเสนอหน้าตอบคำถามของเราสองที่นี้"
เสียงนั้นกล่าวตอบอีกว่า
"คนที่พวกเจ้าพูดถึง!"
พวกฮงเหมินกั๋งทั้งสองอดที่จะหน้าเปลี่ยนสีเสียมิได้ ยิ่งเมื่อรู้ว่าคนผู้นี้หลบซ่อนตนเองอยู่นานแล้ว ตนกลับมิทราบถึงความเคลื่อนไหวของมันแม้สักน้อย แสดงว่าพลังฝีมือของมันนั้นเหนือล้ำยิ่งกว่าพวกตนมากนัก ปากของคนทั้งสองถึงกับสั่นระริกไปมาด้วยความกริ่งเกรง ก่อนที่ฮงเหมินกั๋งจะส่งเสียงตอบโต้
"ขงโอวฮุย หรือ เจ้าเด็กแซ่เสิ่น"
"คนแซ่เสิ่น"
เสียงนั้นตอบกลับมาอีก พร้อมนำพากับร่างหนึ่งในชุดเขียวสดทะลุผ่านพงหญ้าด้านหนึ่งเข้ามา หน้าตาของมันนั้นดูคมสันคมคาย ดวงตาเป็นประกายบ่งบอกถึงพลังฝีมือที่ลึกล้ำ ยิ่งผสมกับคิ้วดกหนาของมันที่โค้งมนราวกับเศษเสี้ยวแห่งจันทราตัดที่ผ่านกับราตรีที่มืดมิดอนธการยิ่งดูน่ายำเกรง ที่แท้ คือ เสิ่นเจี้ยนกู้ มือปราบที่พวกมันพูดถึงนั่นเอง
เสิ่นเจี้ยนกู้เดินตรงเข้ามาที่กองไฟอย่างเชื่องช้ามิคล้ายกริ่งเกรงพวกฮงเหมินกั๋งแม้แต่น้อย มันพลางนั่งลงที่ขอนไม้เดิมที่ฮงเหมินลั่งนั่งอยู่ ก่อนหยิบหมั่นโถวในถุงเสบียงกังของคนทั้งสองขึ้นมาส่งเข้าสู่ปากชิ้นหนึ่ง ท่าทางสงบราบเรียบของมันยิ่งขับเน้นความเหนือล้ำของวิชาฝีมือได้มากโข การกระทำที่เหยียบย้ำดูแคลนเช่นนี้ ไหนเลยฮงเหมินลั่งจะอดทนได้ ต้องร้องขู่คำรามขึ้นคราหนึ่ง ก่อนตวาดด่า
"มือปราบบ้าอะไร หยิบฉวยของผู้อื่นได้อย่างหน้าด้านเหลือทน"
เสิ่นเจี้ยนกู้มิสนใจในคำพูด เพียงหันมองมันวูบหนึ่ง ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"แล้วที่เจ้าสองคนเข้าไปขโมยของผู้อื่น ใช่เหมือนกันหรือไม่?"
ฮงเหมินลั่งคิดจะกล่าวตอบโต้คำพูดอีก ตั่วกอของมันรีบผายมือห้ามไว้เสียก่อน ดูท่าทางผู้ที่ฉลาดเฉลียวมิจำเป็นต้องมีความเยือกเย็นเสมอไป กลับกันฮงเหมินกั๋งที่ฝึกวิชาฝีมือได้ดีเยี่ยมกว่า คงเพราะมันเยือกเย็นกว่าฮงเหมินลั่งมากนัก ได้ยินฮงเหมินกั๋งกล่าวอย่างนอบน้อมว่า
"ข้าพเจ้าทราบดีว่า ท่านมือปราบเสิ่นนั้นฝีมือลึกล้ำกว่าพวกข้าพเจ้าสองมากนัก ดังนั้นมีวิธีใดที่ละเว้นโทษให้ข้าพเจ้าโปรดบอกกล่าว"
เสิ่นเจี้ยนกู้ได้ยินคำพูดถึงกับรีบถ่มคายหมั่นโถวที่กลืนกินลงไปในบัดดล ปากก็ว่า
":-) หมั่นโถวลูกนี้ช่างขมเฝื่อนยิ่งนัก คล้ายดั่งมันยัดใส้ด้วยเงินทองก็มิปาน ว่าแต่ท่านเข้าใจความหมายในชื่อของข้าพเจ้าหรือไม่?"
ฮงเหมินกั๋งรีบส่ายศีรษะในทันที เสิ่นเจี้ยนกู้จึงกล่าวตอบคำถามของตนว่า
"ชื่อของข้าพเจ้าแปลว่า 'มั่นคง' ดังนั้นข้าพเจ้าย่อมต้องมั่นคงต่อหน้าที่การงาน มั่นคงต่อราชสำนักมิแปรเปลี่ยน การติดสินบนของท่าน ข้าพเจ้ารับไว้มิได้จริงๆ"
พูดจบเสิ่นเจี้ยนกู้ลุกขึ้นคำนับ ฮงเหมินกั๋งคำนับตอบเช่นกันคราหนึ่ง แตกต่างกับฮงเหมินลั่งที่ยังคงยืนนิ่งสำแดงความหยิ่งผยองอยู่ ฮงเหมินกั๋งคำนับเสร็จสิ้นก็ถามเสิ่นเจี้ยนกู้ขึ้นว่า
"เช่นนั้น วันนี้ยากจะหลีกเลี่ยง?"
เสิ่นเจี้ยนกู้เหม่อมองดวงดาวที่สุกสกาวบนท้องฟ้าคราหนึ่ง พลางระบายลมหายใจวูบหนึ่ง ก่อนจะตอบคำถามของฮงเหมินกั๋งว่า
"ใช่ วันนี้เราทั้งสองฝ่าย ยากยิ่งจะหลีกเลี่ยง เชิญ!"
สิ้นเสียงคำพูด ฮงเหมินกั๋งทั้งสองชักดาบข้างกายออกมาแล้ว เสิ่นเจี้ยนกู้เองก็กระชับดาบที่พาดไว้ข้างเอวเช่นกัน แสงจากกองไฟน้อยที่วูบวาบไปมาตามกระแสลมที่พัดผ่าน เสียงแตกของไฟที่ลามลุกบนฟืนผสมกับเสียงลมที่อื้ออึง เพียงผู้ใดลังเลเพียงวูบอาจกระทบถึงชีวิตได้
ฮงเหมินลั่งขยับกายวูบมาข้างหนึ่งของเสิ่นเจี้ยนกู้ ฝ่ายฮงเหมินกั๋งก็ขยับไปในอีกทิศทางหนึ่ง ท่าร่างที่ผสานเป็นอย่างดีของทั้งสองคนเริ่มสร้างความกดดันให้เสิ่นเจี้ยนกู้เล็กน้อย สายตาที่แหลมคมของเสิ่นเจี้ยนกู้กรีดผ่านไปมาทั้งสองฝาก เพียงผู้ใดขยับมันมั่นใจว่าตนรับมือได้แน่นอน
ทั้งสองฝ่ายตอนนี้กลับประจำที่ของตน ลมหายใจที่ดังฮึดฮัด คล้ายกำลังรบกวนฝ่ายตรงข้ามไม่หยุดหย่อน ลมพัดผ่านมาอีกวูบหนึ่ง เสิ่นเจี้ยนกู้ขยับม่านตาเพียงเล็กน้อย ถึงกับเปิดโอกาสให้ฮงเหมินลั่งกรีดดาบแหวกมา
เสิ่นเจี้ยนกู้ชักดาบออกมาแทบจะทันทีทันใดเมื่อดาบของศัตรูเข้าใกล้ มันเอี้ยวตัวไปด้านหลังหลบดาบที่ฟาดฟันใส่อย่างฉิวเฉียด จากนั้นกระแทกด้ามดาบเข้าที่ท้องน้อยของฮงเหมินลั่ง ส่งผลให้ร่างของฮงเหมินลั่งเซถลาถอยไปสามสี่ก้าว
ฉับพลันแปรเปลี่ยน เสิ่นเจี้ยนกู้ซัดแทงด้านแหลมคมของดาบเข้าหาฮงเหมินกั๋งต่อเนื่องทันที คล้ายกับมันเองนั้นรู้ว่าฮงเหมินกั๋งได้ฟาดฟันดาบเข้ามาแล้วก็มิปาน ที่แท้ท่าแรกเป็นเพียงกระบวนท่าลวงของมันเท่านั้น เป้าหมายแท้จริงคือผู้ที่มีวรยุทธ์ดีกว่า
ฮงเหมินกั๋งตกใจยิ่งกับดาบที่แฝงสภาวะลมปราณติดตามมาด้วยเช่นนี้ มันรีบวกดาบกลับมาคลี่คลายท่าดาบของคู่ต่อสู้ เมื่อดาบกระทบถูก ข้อมือของมันถึงกับสั่นระริกไปมา แม้จะคลี่คลายท่าแรกไปได้ แต่ท่าดาบยังคงคลี่คลายมิหมด ด้ามดาบกลับยังคงวิ่งเข้าติดตามมาจนถึงปลายคางของตน ฮงเหมินกั๋งลอบร้องผิดท่าในใจ รีบกระโดดหมุนตัวไปเบื้องหลังอย่างทุลักทุเล ลมปราณภายในถึงกับสับสนยุ่งเหยิง
เพียงกระบวนท่าเดียวก็ทำให้จอมโจรหน้าบากทั้งสองส่งเสียงหอบหายใจดังแฮ่กๆ แล้ว ฉายา 'เพชฌฆาตทมิฬ' ของเสิ่นเจี้ยนกู้ คงมิได้มาด้วยความบังเอิญเป็นแน่
ฮงเหมินกั๋งมองหน้าน้องชายฝาแฝดของตนเล็กน้อย ก่อนที่ฮงเหมินลั่งจะพยักหน้าคล้ายเห็นด้วยในเรื่องบางประการ
สุดยอดของพิชัยยุทธ์ แท้ที่สุด คือ หนี คำนี้นับว่าจริงแท้!
เพียงฮงเหมินลั่งพยักหน้า พวกมันสองคนก็รีบใช้วิชาตัวเบาตะลุยเข้าสู่พงหญ้าไม่มีปี่มีขลุ่ย ทรัพย์สมบัติที่ติดตัวนั้นพวกมันก็มิได้เอาไปด้วยสักอย่าง ชีวิตนับว่าสำคัญกว่าเงินทองมากนัก
เสิ่นเจี้ยนกู้ตกตะลึงเล็กน้อย มิทันคาดคิดว่าทั้งสองคนจะคิดหนีหน้ารวดเร็วเช่นนี้ มันรีบใช้วิชาตัวเบาทะยานทุ่งผ่านพงหญ้าเข้าไปบ้าง เพียงไม่นานก็เห็นเงาวูบวาบไปมาในป่าใกล้ๆ พร้อมทั้งเสียงหัวร่อของคนทั้งสองจนจำแนกมิได้ว่าเป็นเสียงของใคร ได้ยินเสียงหนึ่งแว่วมาแต่ไกล
"ท่านมือปราบเสิ่น คงสืบทราบเรื่องของพวกเรามิใช่น้อย คิดว่าท่านคงทราบดีว่า พวกเราถนัดวิชาฝีมืออันใด"
เสิ่นเจี่ยนกู้ถึงกับเหงื่อกาฬแตกพลั่ก ก่อนจะขบกรามส่งเสียงตอบ
"ค่ายกลป่าเขา"
ที่แท้พวกมันมิได้หนีไปไหน เพียงลวงศัตรูให้เข้ามาอยู่ในชัยภูมิที่พวกตนถนัดเท่านั้น!
แก้ไขเมื่อ 03 ม.ค. 52 09:51:46
จากคุณ :
กระบี่เก้าเดียวดาย
- [
3 ม.ค. 52 09:51:19
]