มุมมองหนึ่งของนักภาษาศาสตร์อีกกลุ่มเชื่อว่า
"ภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งอีกต่อไป"
ทั้งนี้เพราะจำนวนของผู้ที่ใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารและผู้เรียนภาษาอังกฤษในปัจจุบันที่ภาษาแม่ (ภาษาที่1) ไม่ใช่ภาษาอังกฤษนั้นมีจำนวนมากกว่าของผู้ที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่เองมากแล้ว (งงป่ะ อิอิ) จึงไม่ควรมีคำว่าออกเสียงแบบนี้ถูก แบบนั้นผิดอีกต่อไปตราบใดที่การสื่อสารดำเนินต่อไปได้ด้วยความเข้าใจระหว่างกัน
ดังนั้นเลยมีคำถามขึ้นมาว่า ยังมีความจำเป็น+make sense อีกไหมที่เราจะต้องเลียบแบบการออกเสียงตามคนที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ 1 เสมอไป ซึ่งถ้าว่าไปคนกลุ่มนี้ก็จะเป็นแค่ผู้ที่ออกเสียงภาษาอังกฤษในอีกรูปแบบหนึ่งเท่านั้น (One of a wide variety of English pronunciations) เพราะความจริงก็คือภาษาอังกฤษมีการอออกเสียงหลายแบบตามท้องถิ่นของผู้พูดเอง ไม่เว้นแม้แต่คนที่พูดภาษาอังกฤษเป้นภาษาแม่เองที่ยังออกเสียงไม่เหมือนกัน อีกทั้งเสียงเสียง เช่นเสียงพยัญชนะ dental fricative ที่คุยกันในกระทู้นี้จากการวิจัยทางภาษาศาสตร์พบว่าสามารถแทนที่ด้วยเสียง /d/ alveolar plosive ซึ่งเป็นเสียงพยัญชนะกลางๆที่ผู้พูดในแทบทุกภาษาจะต้องมี และการใช้เสียง /d/ นี้ยังรักษา mutual intelligiblility ความเข้าใจระหว่างกันได้อยู่ดีไม่ว่าคนที่คุยกับเราจะเป็นคนชาติไหนจะใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ 1 ภาษาที่ 2 หรือภาษาต่างประเทศก็ตาม
สรุปคือ ตามแนวการสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษานานาชาติ (Teaching English as an International Language) ไม่มีความจำเป็นที่ต้องยึดถือเอาการออกเสียงของผู้พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาแรกเป็นต้นแบบ ทั้งนี้เพราะภาษาอังกฤษเป็นภาษาของทุกคน และจุดมุ่งหมายที่ที่สำคัญที่สุดของภาษานี้ก็คือการมีไว้เพื่อการสื่อสาร+เข้าใจระหว่างคนหรือกลุ่มคนในสังคมโลกด้วยกันกันโดยไม่เสีย identity ของคนในแต่ละวัฒนธรรมจากการเลียบแบบที่ทำได้ยากโดยเฉพาะสำหรับผู้เรียนที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ 1 และ 2 เหมือนในหมู่คนไทยอย่างๆเราๆท่านๆ ที่ต้องฝืนลิ้น ขาดความเป็นธรรมชาติในตัวเอง จนกลายเป็นผู้เรียนที่ขาดความมั่นใจ ไม่กล้าเรียนพูดภาษาอังกฤษในที่สุด อย่างที่เห็นกันอยู่ดาษดื่นที่เรียนกัยเป็นสิบๆปีแต่พูดไม่ได้สักที
แก้ไขเมื่อ 09 ม.ค. 52 15:23:51
แก้ไขเมื่อ 09 ม.ค. 52 15:20:41
แก้ไขเมื่อ 09 ม.ค. 52 15:17:51
แก้ไขเมื่อ 09 ม.ค. 52 15:12:31