ความคิดเห็นที่ 1 จขกท เข้าใจความหมายผิดเรื่องรุ่น Standard, Deluxe และ Executive มันไม่ต้องแปล ทำให้ที่เหลือเขวไปหมด P. V. Ratnam  RST Ltd manufactures plastic moulded chairs. Three models of moulded chairs, all variation of the same design, are standard, deluxe and executive. The company uses an operation-costing system.  RST Ltd has extrusion, form, trim and finish operations. Plastic sheets are produced by the extrusion operation. During the forming operation, the plastic sheets are moulded into chair seats and the legs are added.  The standard model is sold after this operation. During the trim operation, the arms are added to the deluxe and executive models and the chair edges are smoothed. Only the executive model enters the finish operation in which padding is added. P. V. Ratnam  RST Ltd ผลิต เก้าอี้ขึ้นรูปพลาสติก 3 รุ่นคือ Standard, Deluxe และ Executive ซึ่งแต่ละรุ่นก็มีพื้นฐานการออกแบบเดียวกัน บริษัทใช้ระบบบริหารแบบต้นทุนการผลิต (operation-costing system).  การผลิตมีทั้งขั้นตอน extrusion, form,  trim และ finish แผ่นพลาสติกถูกผลิตโดยวิธี extrusion ส่วนในขั้นตอนขึ้นรูปร่าง (forming) แผ่นพลาสติกถูกหลอมเป็นรูปร่างเก้าอี้และขาเก้าอี้ เสร็จขั้นตอนนี้แล้วก็สามารถเอามาขายในรุ่น Standard ได้เลย ในขั้นตอนการการตกแต่ง (trim) นั้น ที่พาดแขนถูกเสริมต่อเพื่อขายในรุ่น deluxe และ executive และมีการไสขอบเก้าอี้ให้เรียบ สำหรับขั้นตอนสุดท้าย (finish) จะมีในรุ่น Executive คือเสริมเบาะ จากคุณ : K.Senior - [ 24 ม.ค. 52 21:54:09 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ขอบคุณสำหรับตำแนะนำนะครับ แต่ว่ายังมีอีกส่วนนึงอันนี้ผมไม่เข้าใจจริงๆ แปลได้นิดนึง ผมเข้าใจตามนี้นะคับ 1.This is because the IRR method assumes that funds are invested at the internal rate of return, whereas the NPV method assumes that the investment rate is equal to cost of capital, which is the minimum required rate for the company. Because of these different assumptions, the results of both the methods are contradictory. นั่นก็เพราะว่าวิธีการ IRR นั่น ทำให้เกิดอัตราผลตอบแทนภายใน. ซึ่งวธีการ NPV____(ต่อไปผมไม่ค่อยเข้าใจแล้วครับ) 2.CALCULATE the level of earnings before interest and tax (EBIT) at which the EPS indifference point between the following financing alternatives will occur. Equity share capital of Rs 6,00,000 and 12 per cent debentures of Rs 4,00,000; or equity share capital of Rs 4,00,000, 14 per cent preference share capital of Rs 2,00,000 and 12 per cent debentures of Rs 4,00,000. Assume the corporate tax rate is 35 per cent and the par value of equity share is Rs 10 in each case. (อันนี้ก็งงเลยครับ) จากคุณ : อาร์ม (armpacino) - [ 24 ม.ค. 52 22:14:01 ]

ความคิดเห็นที่ 3 1.This is because the IRR method assumes that funds are invested at the internal rate of return, whereas the NPV method assumes that the investment rate is equal to cost of capital, which is the minimum required rate for the company. Because of these different assumptions, the results of both the methods are contradictory. นั่นก็เพราะว่าวิธีการ IRR นั่น มีสมมุติฐานว่าเงินจะถูกลงทุนในระดับที่ได้ IRR ในขณะที่วิธีการ NPV ตั้งสมมุติฐานว่าเงินจะถูกลงทุนในระดับเท่าต้นทุน (cost of capital) ซึ่งก็คือระดับต่ำสุดที่บริษัทจะยอมรับได้ เนื่องจากการตั้งสมมุติฐาน(ในการลงทุน)ต่างกัน ผลของสองวิธีจึงออกมาแย้งกัน 2.CALCULATE the level of earnings before interest and tax (EBIT) at which the EPS indifference point between the following financing alternatives will occur. Equity share capital of Rs 6,00,000 and 12 per cent debentures of Rs 4,00,000; or equity share capital of Rs 4,00,000, 14 per cent preference share capital of Rs 2,00,000 and 12 per cent debentures of Rs 4,00,000. Assume the corporate tax rate is 35 per cent and the par value of equity share is Rs 10 in each case. 2. ให้คำนวนระดับรายได้ก่อนหักภาษีและดอก  (EBIT) ณ.จุดที่ไม่เกิดข้อแตกต่างทาง EPS ระหว่างแผนการเงินสองแผนนี้ Equity share capital of Rs 6,00,000 and 12 per cent debentures of Rs 4,00,000 และ Equity share capital of Rs 4,00,000, 14 per cent preference share capital of Rs 2,00,000 and 12 per cent debentures of Rs 4,00,000. โดยตั้งข้อสมมติฐานว่า ภาษีบริษัท 35% และมูลค่าพาร์ 10 รูปีทั้งสองกรณี จากคุณ : K.Senior - [ 24 ม.ค. 52 22:45:42 ]

ความคิดเห็นที่ 4 คิดว่า จขกท รับหน้าที่แปล จะแปลได้ต้องเข้าใจเรื่องที่แปล จะเข้าใจเรื่องที่แปลนี้ได้อย่างไร ก็ต้องอ่านหนังสือ finance แต่จะซื้อหนังสือ finance ทั้งเล่มซึ่งมันแพง เพื่อมาอ่านเรื่องนี้เรื่องเดียวมันก็ไม่คุ้ม มีอีกวิธี คือเข้าไปดูสูตรการคำนวณในโปรแกรม excel ครับ สั้นๆ ง่ายๆ เพื่อความเข้าใจเบื้องต้นก็คือ IRR จขกท กำลังจะลงทุนในโครงการหนึ่ง สมมติต้องลงทุน 10 ล้านบาท แต่ เอ.. จะลงทุนดีมั้ยน้อ หรือว่าจะเอาเงินฝากแบ็งค์กินดอกดีกว่า ถ้าลงทุนแล้วผลตอบแทนมันมากกว่าดอกเบี้ยแบ็งค์ มันก็น่าลงน่ะสิ แต่ถ้ามันต่ำกว่า เอาเงินฝากแบ็งค์กินดอกดีก่า PV (Present Value) ลงทุนไปสิบล้าน ปีแรกได้กลับมา หนึ่งล้าน ปีที่สองได้อีก หนึ่งล้าน ปีที่สามได้อีก ........... ปีที่สี่ได้อีก ......... อย่างนี้เรื่อยไปจนถึงปีที่สิบ เครื่องจักรหมดอายุใช้งานแล้ว ก็ขายเป็นเศษเหล็กไป เอาเงินที่ได้รับกลับมาตั้งแต่ปีแรกจนถึงปีที่สิบบวกกัน รวมที่ขายเครื่องจักรเป็นเศษเหล็กด้วย เบ็ดเสร็จสิบสองล้าน (สมมติ) มากกว่าเงินที่ลงไปสิบล้านนี่นา กำไรเห็นๆ แต่... แน่ใจนะ!!! เพราะเงินที่ได้รับเข้ามาในแต่ละปี สมมติจำนวนมันเท่ากัน แต่ค่าของเงินมันไม่เท่ากัน เงินหนึ่งล้านบาทในปีนี้ กับหนึ่งล้านบาทในอีกสิบปีข้างหน้า อาจต่างกันลิบลับ วิธีการคำนวณโดยใช้ PV ซึ่งไม่ได้คำนึงถึงเรื่องค่าเงิน แค่เอาตัวเลขมาบวกกันเฉยๆ เป็นจุดอ่อนของวิธีการนี้ NPV (Net Present Value) แก้จุดอ่อนของ PV โดยคำนึงถึงเรื่องค่าเงินด้วย หนึ่งล้านบาทที่จะได้รับในหนึ่งปีข้างหน้า จะมีค่าเท่ากับเท่าไหร่ในปัจจุบัน .................................สอง...................................................... .................................สาม...................................................... .................................สี่......................................................... อย่างนี้เรื่อยไปจนถึงปีที่สิบ แล้วจึงเอามาบวกรวมกัน ถ้ามันมากกว่าสิบล้านตามที่ได้ลงเงินไปครั้งแรก อันนี้ก็กำไร ถ้าสิบล้านพอดี อันนี้ค่อยโล่งอกหน่อย เพราะอย่างน้อยก็ได้ทุนคืน ถ้าต่ำกว่าสิบล้าน ไปขายเต้าฮวยดีกว่า แล้วค่าเงินคำนวณยังไง เอาตัวเลขอะไรมาคำนวณ ส่วนใหญ่ใช้ inflation rate โดยคำนวณถอยหลังครับ ไปดูสูตรการคำนวณใน excel แล้วจะเข้าใจ จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม - [ 25 ม.ค. 52 05:31:24 ]

ความคิดเห็นที่ 5 จขกท สงสัยตรงไหนก็ถามมาได้ เพราะอาจต้องไปเจออีกหลายตัว EBITDA ROI ROA PAYBACK etc. จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม - [ 25 ม.ค. 52 05:39:24 ]

ความคิดเห็นที่ 6 อ้าว ลืมดูเรื่อง EBIT กับ EPS ขอไปกินกาแฟก่อน เดี๋ยวมาอธิบายต่อ จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม - [ 25 ม.ค. 52 05:50:07 ]

ความคิดเห็นที่ 7 1. วกกลับมาเรื่อง IRR นิดนึงก่อน จะได้เข้าใจมากขึ้น IRR เขาว่ากันเป็นอัตราส่วน ไม่ใช่เปอร์เซ็นต์ โดยเอาอัตราดอกเบี้ยแบ็งค์ หรือผลตอบแทนจากการลงทุนในโครงการอื่นซึ่งอาจมีให้เลือก ใส่รวมเข้าไปต้นทุนในการคำนวณผลตอบแทนจากการลงทุนในโครงการที่กล่าวถึงนี้ ถ้าคำนวณแล้ว ผลออกมาได้ตัวเลขมากกว่า 1 หมายความว่า โครงการนี้ดีกว่าแฮะ ได้ผลตอบแทนมากกว่า ถ้าน้อยกว่า 1 ก็เก็บเงินไว้ในแบ็งค์ หรือไม่ก็ลงทุนในโครงการอื่นดีกว่า เพราะให้ผลตอบแทนสูงกว่า ทีนี้มาถึง EBIT และ EPS 2. EBIT ย่อมาจาก Earnings Before Interest and Tax ก็คือเอารายได้ หัก ค่าต้นทุนการผลิตสินค้าของฝ่ายโรงงาน หัก ค่าใช้จ่ายประจำของฝ่ายสำนักงาน หัก ค่าใช้จ่ายในการขายของฝ่ายขาย สุทธิแล้วเหลือเท่าไหร่! ที่เขาสนใจตัวนี้เพราะมันเป็นผลที่แท้จริงจากการดำเนินงาน ยังไม่ต้องคำนึงถึงดอกเบี้ยเงินกู้ ไม่ว่าจะโดยการที่บริษัทออกหุ้นกู้หรือกู้แบ็งค์ เพราะดอกเบี้ยจะมากจะน้อยขึ้นอยู่กับว่าเจ้าของบริษัทจะควักกระเป๋ามากน้อยแค่ไหน ถ้ายอมควักกระเป๋ามากหน่อย ก็กู้น้อยหน่อย ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายก็น้อยตาม ถ้าควักกระเป๋าน้อย ก็ต้องกู้เยอะ ดอกเบี้ยก็เยอะเป็นเงาตามตัว เมื่อต้องจ่ายดอกเบี้ยเยอะ กำไรก็น้อยลงตามส่วน มันวัดประสิทธิภาพในการดำเนินงานไม่ได้ เพราะขึ้นอยู่กับเจ้าของว่าจะควักกระเป๋ามากหรือน้อย Tax หรือเต็มๆ คือ Corporate Income Tax คำนวณจากกำไรที่ได้รับ อัตราภาษีนั้นตายตัวตามกฎหมายอยู่แล้ว แต่เม็ดเงินภาษีที่ต้องจ่าย ขึ้นอยู่กับว่ากำไรมากหรือน้อย 3. EPS หรือ Earning Per Share หรือ กำไรต่อหุ้น อันนี้เจ้าของบริษัทสนใจที่ซู้ดดดดด เพราะมันหมายถึงเงินปันผลเข้ากระเป๋าของเขา ตามโจทย์ที่ จขกท ให้มา เขาจึงกำหนดให้ EPS คงที่ ไม่ว่า combination of source of fund จะเป็นอย่างไร อั๊วต้องได้เท่านี้เป็นพอ ฮ่า ฮ่า ฮ่า เมื่ออั๊วได้เท่านี้แล้ว ปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ค่อยพิจารณากันอีกที ว่าโครงการลงทุนนี้น่ะ มีทางเลือกที่อั๊วต้องควักกระเป๋าเท่าไหร่บ้าง แต่ละทางเลือกบริษัทต้องออกหุ้นกู้เท่าไหร่ ออกหุ้นบุริมสิทธิ์เท่าไหร่ ก็เลือกเอา alternative ที่เสี่ยงน้อยที่สุด เหอๆๆ ป.ล. เรื่อง combination of source of fund จขกท ดูได้จากตรงนี้ครับ ว่ารวมแล้วคือสิบล้านทั้ง 2 alternatives 1. Equity share capital of Rs 6,00,000 บวก 12 per cent debentures of Rs 4,00,000 2. equity share capital of Rs 4,00,000 บวก 14 per cent preference share capital of Rs 2,00,000 บวก 12 per cent debentures of Rs 4,00,000. แก้ไขเมื่อ 25 ม.ค. 52 12:12:16 จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม - [ 25 ม.ค. 52 12:09:11 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ขอบคุณสำหรับ ความรู้ใหม่ๆ มากๆครับ คือโดยส่วนตัวแล้วผมเรียนมาทางด้านมนุษยศ่าสตร์ครับ ถ้าเกิดสนใจเรื่องพวกนนี้แล้วหาอ่านได้จากที่ไหนดีครับ จากคุณ : จขกท (armpacino) - [ 25 ม.ค. 52 13:48:38 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ก็หนังสือเกี่ยวกับ finance ไงครับ หนังสือจะบอกคุณเรื่องทฤษฎี แล้วคุณก็หาความรู้เพิ่มเติมในภาคปฏิบัติจากผู้มีประสบการณ์ โชคดีครับ จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม - [ 25 ม.ค. 52 21:02:40 ]