ความจริงอันที่ 1 ก็คือ เรียนอะไรก็รุ่งได้คุณเก่งและรู้ในภาษานั้นจริงๆ (ภาษาไทยตัวเองก็ต้องดีด้วยนะ) เพราะทุกภาษาย่อมมีที่ทางในการใช้ของมันเอง
ความจริงอันที่ 2 ก็คือ ภาษาจีนกับญี่ปุ่นนี้ถือว่าเป็นภาษาฮิตติดอันดับที่คนเรียนเยอะมากๆ แต่ส่วนตัวคืดว่าคนไทยจะเรียนภาษาจีนง่ายกว่าเรียนภาษาญี่ปุ่นเพราะโครงสร้างภาษา การใช้คำศัพท์ ทัศนะทางวัฒนธรรมที่เป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ภาษาจีนจะใกล้เคียงกับภาษาไทยมากกว่า อีกทั้งอักษรจีน 1 ตัวส่วนมากจะออกได้ 1 เสียง (จำง่าย) ส่วนภาษาญี่ปุ่นที่ว่ายากกว่าเพราะมีอักษรตั้ง 3 ชนิด การออกเสียงตัวคันจิไม่คงที่ (ออกได้มากกว่า 1 เสียงหรือมากกว่า..จำยาก) ระบบไวยากรณ์ยุ่งยากกว่าภาษาจีนเพราะมักจะเรียงกลับกันกับภาษาไทย
ความจริงอันที่ 3 (อันน่าเศร้า) จำนวนคนไทยที่เรียนทั้งสองภาษายอดฮิตนี้มีจำนวนมากสูสีกัน แต่มีคนเรียนได้ประสบความสำเร็จจนใช้การใช้งานนั้น ถือว่ายังมีจำนวนต่ำมากกกกกกกกกกก ด้วยเพราะความขยัน และตั้งใจมีวินัยที่คนไทยที่มีสุดกู่จนกู่ไม่กลับนั้นเอง ตรงข้ามกับคนจีนโดยเฉลี่ยที่เมื่อเรียนภาษาไทยแล้วจะเรียนได้ "ไว" กว่าคนไทยหลายเท่าตัวเพราะความขยันอย่างแท้จริงที่อยู่ในสายเลือด ดังนั้นปัจจุบันสถานการณ์ดูจะไม่สู้ดีเพราะมีคนจีนจำนวนมากเข้ามาแย่งงานคนไทยทำทั้งอาชีพไกด์ ครูสอนภาษาจีน ล่ามภาษา ฯลฯ (ที่เห็นนักศึกษาจีน หรือคนจีนเยอะๆในประเทศเรานั้นแระ จำนวนมากไม่ได้มาทำธุรกิจสร้างรายได้ให้คนไทยหรอกครับ แต่มาแย่งงานต่างหาก) ส่วนคนญี่ปุ่นจะมาแย่งคนไทยคงไม่มีหรือมีน้อยมากๆเพราะส่วนมากมาทำงานเพราะโด้รับการส่งตัวจากบริษัทแม่ หรือมาท่องเที่ยวกัน อีกเหตุผลหนึ่งคือค่าครองชีพบ้านเราต่ำกว่าญี่ปุ่นหลายเท่าตัว มาทำงานเก็บสร้างตัวในเมืองไทยสำหรับคนญี่ปุ่นแล้วคงไม่ใช่ทางเลือกแน่ๆ (แต่คนจีนคิด)
ความจริงที่ 4 คนที่ทำงานกับบริษัทจีนจะรู้กันดีว่า ใช้งานหนัก และขี้เหนียว งานที่ควรจะได้เงินดีอย่างล่ามนี้ บริษัทจีนเขาจ้างกันถูกๆห่างชั้นกว่าบริษัทญี่ปุ่นมากด้วยเพราะค่าต้นทุน+ฐานเงินเดือนของสองประเทศนั้นเอง จบเอกจีนเป็นล่ามเรียกได้แค่หมื่นต้นๆ ทำงานนานไปก็ใช่ว่าจะขึ้นกันง่ายๆ สวัสดิการก็ใช่จะดี ตรงข้ามกับบริษัทญี่ปุ่นที่....ถ้าผ่านวัดระดับ 3 (พอสื่อสารได้) โดยเฉลี่ยเรียกได้เท่าเงินเดือนวิศวะกร (หมือนปลายๆ) และยิ่งเปลี่ยนงานเงินเดือนยิ่งกระฉูด ผ่านระดับ 2 หรือ 1 (ความสามารถถึงด้วย) เรียกได้เป็น 40-50-60K เลยที่เดียว เรื่องระบบการทำงานของจีนก็ยังถือว่าเป็นรองญี่ปุ่นอยู่มาก (คนจีนขาดระบบไม่ค่อยมีระเบียบ) แต่อย่างไรก็ตามเนื่องจากล่ามเป็นอาชีพที่ยาก (เพราะต้องเก่งจริง) ความเครียดในการทำงานนี้คิดว่าทั้งล่ามจีนและญี่ปุ่นคงพอๆกัน
ความจริงที่ 5 ระบบการเรียนการสอนภาษาจีนกลางในบ้านเรายังถือว่าลูกผีลุกคนเพราะมันเกิดมากจากการเห่อ บูนของเศษฐกิจจีนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาทำให้คนไทยตื่นตัวหาที่เรียนภาษาจีนกันเป็นบ้าเป็นหลัง จนมีโรงเรียนและหลักสูตรสอนภาษาจีนที่เปิดขึ้นยิ่งกว่าดอกเห็ด มีมาตรฐานบ้างไม่มีมาตรฐานไปเยอะ อีกทั้งจำนวนคนจีนที่ทะลักเข้ามาสอนภาษาจีนส่วนมากขาดความรู้ในศาสตร์การสอน (เคยเจอหลายคนเลยที่เขียนพินอินไม่เป็นก็ยังมี ส่วนใหญ่ให้นักเรียนท่องตามลูกเดียว) ครูไทยเองก็อ่อนด้อยความรู้ คนที่เก่งๆกันก็ไม่มาเป็นครูจีนเพราะโดยกดเงินเดือน (จ้างถูก) วงจรการสอนภาษาจีนบ้านเราจึงมีแต่ครูจีนที่ย้อมแมว และครูไทยที่ขาดประสบการณ์เป็นจำนวนมาก (เมื่อรวมกับต้นทุนความขยันของคนเรียนคนไทยแล้วจึงไปกันใหญ่เลย) การเรียนการสอนภาษาญี่ปุ่นในไทยเองก็ใช้ว่าจะไม่มีปัญหา แต่โดยเฉลี่ยแล้วสถานการณ์จะดีกว่าจีนด้วยเพราะเรื่องความเป็นระบบคนญี่ปุ่นมีมากกว่า ครูที่สอนภาษาญี่ปุ่นให้คึนไทยส่วนมากจะมีประสบการณ์เรื่องการสอนมาก่อน อีกทั้งการวิจัยการเรียนการสอนภาษาญี่ปุ่นภายในประเทศญี่ปุ่นเองเข้มข้นกว่ามาตรฐานของจีนมาก ครูสอนภาษาของญี่ปุ่นโดยเฉลี่ยจึงดีกว่าครูจีนอยู่มากทีเดียว....นอกจากนี้หนังสือ แหล่งความรู้ภาษาญี่ปุ่นดีๆ มีมาตรฐานสำหรับคนไทยมีจำนวนมากกว่าภาษาจีน แสดงให้เห็นว่าความเข้มแข็งทางวิชาการ+ปริมาณและคุณภาพของอาจารย์คนไทย (ระดับมหาวิทยาลัย) ที่สอนภาษาญี่ปุ่นมีมากกว่าของอาจารย์จีนที่ผลิตผลงานได้น้อยกว่าค่อนข้างมาก (ว่างๆลองไปดูตามร้านหนังสือ หรือหาดูวิทยานิพนธ์งานวิจัยของทั้ง 2 ภาษา)
ความจริงที่ 6 จากสถิติของกระทรวงอุตสาหกรรม มีบริษัทญี่ปุ่นในไทยถึง 70 เปอร์เซ็นต์จากจำนวนบริษัทต่างชาติทั้งหมดที่อยู่ในไทย (ลองเช๊คง่ายๆจากหน้าหางานต่างๆนี้แหละว่างานที่ต้องการคนมีความรู้ภาษาญี่ปุ่นมีมากแค่ไหน) ดังนั้นเชื่อว่าถ้าน้อง จขกท เก่งภาษาญี่ปุ่นยังไงก็ไม่ตกงานแน่นอน เพราะความรู้ภาษาญี่ปุ่นยังเป็นที่ต้องการ ส่วนบริษัทจีนมักจะไม่ตั้งในไทยด้วยเพราะค่าครองชีพของจีนนั้นถูกกว่าไทยมากกกกกกกกกอยู่แล้ว หรือถ้าจะไปตั้งโรงงาน จีนเขาก็มองลาว เวียดนาม ก่อนที่จะมองไทย ส่วนญี่ปุ่นเองถึงมีแนวโน้นว่าจะย้ายหนีเราเหมือนกันแต่ด้วยความชอบเมืองไทยเป็นการส่วนตัวของบริษัทญี่ปุ่นจึงยังคงมีบริษัทญี่ปุ่นส่วนมากที่จะดำเนินการต่อไปในไทยอีกนาน...
ความจริงอันที่ 7 ถ้าพูดถึงความใหญ่โตของเศษฐกิจจีนที่มีอิทธิพลต่อไทยในอนาคตจะมีมากมายมหาศาล การทำมาหากินกับจีนในเง่ของการค้าขายตั้งตัวเองเป็นเถ้าแก่ไม่ใช่ลูกจ้างจึงเป็นเรื่องน่าสนใจมากๆ ผมมีเพื่อนคนไทยที่พูดจีนแค่งูๆปลาๆแต่เอาสินค้าที่จีนมาขายในไทยได้เดือนเหยียบแสน ช่องทางอื่นก็น่าจะมีอยู่แต่ขอเตือนไว้นิดว่า ค้าขายกับคนจีนคุณต้องจับให้ได้ไล่ให้ทันถึงขั้นเทพ เพราะคนจีนเขาเรียกได้ว่า "เป็นชนชาติที่ค้าขายได้เก่งเป็นอันดับ 1 ของโลก ทุกอย่างที่ทำได้ถ้าหมายถึง ผลกำไร เขาทำได้เกือบทุกอย่าง"
ความจริงทั้งหมดเป็นความเห็นส่วนตัวที่มาจากประสบการณ์ในการทำงานที่ใช้ภาษาจีนในประเทศจีนและไทย+การได้รู้ได้เห็นจากคนใกล้ชิดที่ทำงานทั้งด้านภาษาจีนและญี่ปุ่นมามากพอสมควร แต่ไม่อาจกล่าวว่าถูกต้องทั้งหมด ดังนั้นน้อง จขกท ควรเรียนอย่างที่อยากเรียนดีที่สุด แต่ถ้าให้เชียร์แล้วลึกๆคงได้คำตอบนะครับว่าผมเชียร์ให้เรียนอะไร อิอิ
แก้ไขเมื่อ 28 ม.ค. 52 09:25:03
แก้ไขเมื่อ 28 ม.ค. 52 09:23:50
แก้ไขเมื่อ 28 ม.ค. 52 09:13:03
แก้ไขเมื่อ 28 ม.ค. 52 09:07:49