ความคิดเห็นที่ 1 Although it is true that a bilingual translator can definitely outperform a novice translator who has not yet acquired a high level of proficiency in the second language, unfortunately, it does not necessarily follow that anybody can master a second language by just blindly translating it into his own native language. The students’ translations can, of course, be screened, edited, compiled, submitted to the university and published as the instructor’s own works to earn him a higher teaching post; this kind of practice is quite common in many developing countries where students not only engage in passive learning but also are too afraid to speak for themselves. จากคุณ : white rabbit - [ 5 ก.พ. 52 23:39:15 A:124.121.146.149 X: ]

ความคิดเห็นที่ 2 ^ ^ โดน จากคุณ : Care - [ 6 ก.พ. 52 09:01:49 A:125.25.46.90 X: TicketID:102404 ]

ความคิดเห็นที่ 3 Clarification of #1 Well known facts: English is one of the most difficult languages to learn, too difficult that many people have already given up, and resorted to cheating in order to get a degree, a job or even promotion--this kind of practice is quite common in the country which is rife with corruption. Facts often overlooked: Although it is true that a translator who is bilingual in English and Thai can definitely outperform a novice translator who has not yet acquired a high level of proficiency in English, unfortunately, it does not necessarily follow that anybody can master the English language by just blindly translating it into his own native language and vice versa. Instructor’s possible benefits versus vindication of his or her innocence: The students’ translations can, of course, be screened, edited, compiled, submitted to the university and published as the instructor’s own works to earn him or her a higher teaching post --this is a form of corruption, really. Mind you, some instructors are not in the least guilty of corruption because they are ignorant of the facts which are often overlooked – as already mentioned in the foregoing paragraph. Students’ clear disadvantage (which turns into survival methods): Many Thai students engage in passive learning – they just listen and write everything down without any active participation -- and they are too afraid to tell their instructor that they cannot possibly do the translation to save their lives. Therefore, they have to rely on low quality service of some translation agencies; if they cannot afford to pay the translation fees, they will approach their (disgruntled) relatives and friends to get the translation done free of charge, which is quite logical. Outcome: So, what do we have here? The students are learning, of course, that success in academic pursuit and future career can be achieved through corruption. จากคุณ : white rabbit - [ 6 ก.พ. 52 12:12:44 A:124.121.102.96 X: ]

ความคิดเห็นที่ 4 ขอตอบในฐานะที่ให้การบ้านเด็กด้วยการแปลงาน เราให้แค่หนึ่งย่อหน้า และทุกคนได้เหมือนกันหมดทั้งห้อง ตอนให้งาน ประกาศหน้าห้องเลยว่า จะแปลเอง จับกลุ่มแปล หรือจะลอก คนตรวจก็ไม่มีปัญญาจะทราบได้ ขอให้ส่งมาก็แล้วกัน ภายใน deadline ที่กำหนด แต่จงอย่าได้ไปซีรอกซ์แล้วเอา ลิควิดเปเปอร์ป้ายทับชื่อต้นฉบับเขียนชื่อตัวเองก็แล้วกัน ที่ต้องให้การบ้านแบบนั้น เพราะเด็กที่ขึ้นชั้นมา จำนวนหนึ่ง (หลายคนเลยละ) เกรดอ่อนปวกเปียก จะให้สอบกลางเทอม ปลายเทอม กลัวคนที่เรียนอ่อนจะถูกคัดชื่อออก สงสารพ่อแม่เด็ก จึงต้องให้เด็กมีงานอย่างอื่น จะได้มีคะแนนเก็บ ไม่ต้องเอา คะแนนจากการสอบล้วนๆ (คนที่เรียนเก่ง ไม่ต้องไปห่วงหรอก) ปีแรก ให้งานเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกันเลย เอาไปคนละหนึ่งย่อหน้า กว่าจะตรวจแก้เสร็จทั้งชั้น ปากกาหมึกแดงหมดไปครึ่งด้าม (ไม่เกิน ยี่สิบคนนะ!) ปีถัดมา ให้งานทุกคนเหมือนกันหมด ตรวจง่ายขึ้น เพราะ มีต้นฉบับแค่สี่ห้าอัน หรือหกเจ็ดอัน เหอๆๆๆ ที่ต้องให้แปล เพราะจะได้บังคับให้อ่าน ไม่แปลเอง ลอกเพื่อน ก็ยัง ได้อ่านบ้าง เพราะสาขาของเรา ไม่ค่อยมีศัพท์ภาษาไทย (มีบัญญัติ แค่นิดเดียว) แถมจบไปทำงาน ก็ต้องเจอ ก็ค่อยๆ หัดเด็กจะได้ ชินและคุ้นตั้งแต่แรก อีกอย่างนึง เด็กที่เข้ามาเรียนในสาขานี้ มีตั้งแต่เด็กที่จบมาจากโรงเรียนฝรั่ง ไปจนถึงเด็กที่เรียนจากโรงเรียนบ้านนอก การให้งานแบบนี้ จะได้รู้จักเด็กได้ดียิ่งขึ้น จากการให้งานแปล พบว่า เด็กไทยสมัยนี้ภาษาไทยไม่ได้เรื่อง! ในเมื่อภาษาแม่ ยังใช้ผิดๆ ถูกๆ จะไปเรียนภาษา ที่สอง ภาษาที่สามได้ยังไงก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ถ้าเจ้าของกระทู้อยากจะช่วยลูกหลาน ก็จงอย่าไปทำการบ้านแทน เราประกาศหน้าชั้นตอนให้งานไปเลย แปลผิดแปลถูกไม่ว่า ขอให้ส่ง ตรงเวลา แล้วจะตรวจแก้ให้ คะแนนให้เพราะส่งการบ้าน ถ้าไม่ส่งการบ้าน ก็ไม่ให้คะแนน ที่ต้องประกาศอย่างนั้น เพื่อไม่ให้เด็กกลัวภาษาอังกฤษ จนขี้ขึ้นไปอยู่บนสมอง ไม่กล้าทำอะไรเลย เพราะยังไงตอนปีสุดท้าย ก็จะเจอวิชาสัมมนา ต้องค้นงานวิจัย(ก็ภาษา อังกฤษอีกนะแหละ) แล้วมานำเสนอหน้าชั้น จะมาหัดอะไรตอนปีแก่ๆ ถึงตอนนั้นก็สายเกินไปแล้ว เจ้าของกระทู้ไปช่วยทำให้ ก็เป็นการรังแกผู้เยาว์ตั้งแต่เด็กๆ อ่านกระทู้นี้แล้ว ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมคนตั้งกระทู้จึงสงสัยว่า ทำไมอาจารย์เคยคิดไหมว่านักศึกษามีศักยภาพหรือไม่ เพราะ "ศักยภาพ" ไม่ใช่ "ความสามารถ" คนที่มีศักยภาพ ไม่ได้แปลว่า มีความสามารถแล้ว แต่เป็นคนที่มีแนวโน้มที่จะพัฒนาให้เป็นคนที่ มีความสามารถได้ แต่ตราบเท่าที่ศักยภาพยังไม่ถูกพัฒนา ก็ยังไม่มีความสามารถ การให้การบ้าน เป็นวัดความสามารถ ในขณะนั้นของผู้เรียน และดูแนวโน้มว่าจะสามารถพัฒนาตัว ผู้เรียนได้ เจ้าของกระทู้ไปช่วยแปล เท่ากับเป็นการขัดขวาง กระบวนการนี้ แล้วยังจะมาตั้งกระทู้ถามอีก ไม่เข้าใจจริงๆ ว่ะ (ขออภัยที่ใช้คำไม่สุภาพ) จากคุณ : Canossa - [ 6 ก.พ. 52 19:20:13 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ขอบคุณสำหรับทุกความเห็น กลับไปอ่านข้อความอีกรอบเพราะถูกตีความว่าทำการบ้านให้ใครต่อใคร คำว่าช่วยไม่ได้หมายความว่าทำให้้ตลอดกระบวนการทั้งหมดนะ เพราะมีจิตสำนึกพอที่จะไม่ส่งเสริมให้ใครขี้เกียจ และเราก็ไม่มีเวลามากพอสำหรับเรื่องแบบนี้ แค่ถูกขอร้องให้ช่วยแต่เราไม่อยากสาธยายมากมาย แม้จะโดนตัดญาติขาดมิตรกันไปหลายราย ก็ยังยืนยันให้เขาลงแรงทำมาก่อนแล้วจะช่วยแก้ให้เฉพาะส่วนที่ไม่เข้าใจ บางคนแม้กระทั่งคำกริยาพื้นฐาน verb to be ยังไม่รู้จัก อุตส่าเลือกเรียนสาขาวิชาอื่นที่ไม่ใช่เอกอังกฤษเพราะรู้ว่าตัวเองอ่อนมาก ยังเจองานหินมาเป็นบทความทางวิชาการ หลายๆ หน้า จากที่คุณข้างบนอธิบายมาก็พอจะเข้าใจและมองเห็นภาพ สำหรับอาจารย์ที่ประเมินศักยภาพนักศึกษามาแล้ว และมอบหมายงานไม่เกินกำลังไม่ใช่ประเด็นของกระทู้นี้ สิ่งที่ต้องการจะสื่อคือการมอบหมายแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง แล้วส่งผลให้นักศึกษาไม่เกิดการเรียนรู้เท่าที่ควร เจ้าของกระทู้ต้องการสะท้อนมุมมองที่ข้องใจหรือสงสัย ในฐานะคนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงและได้ยินเสียงบ่นมาพอสมควร หากเขาเหล่านั้นเข้ามาอ่านกระทู้นี้จะได้เกิดความเข้าใจเหตุผลมากขึ้น ขณะเดียวกันบรรดาอาจารย์ (ที่พร้อมจะเปิดใจรับฟัง) อาจปรับเปลี่ยนวิธีให้การบ้านนักศึกษาบ้าง ก็แค่นั้นเองหากทำให้ขุ่นข้องหมองใจกรุณาแจ้งลบได้ จากคุณ : แค่สงสัยฯ - [ 6 ก.พ. 52 21:48:10 A:210.86.214.132 X: TicketID:159141 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เราจะเล่าให้ฟังว่าเราต้อง suffer อย่างรุนแรง เพราะโดน (กลไกในสังคมไทย) บีบบังคับให้เราแปลงานให้นักศึกษาหลายๆครั้ง ซึ่งแฟนเราก็เคยโดนแบบนี้หลายๆครั้ง แล้วโดยบังคับให้แปลเรื่องที่เธอไม่ถนัด แต่เป็นเรื่องที่เราถนัด นั่นก็คือเอากสารกฎหมาย เธอก็โทรมาถามเรา เราก็ประสาทจะกิน เพราะว่าเราพยายามทำงานแปลที่เราไม่ถนัด (แต่แฟนเราถนัด) นั่นก็คือการแปลนิยาย...บางทีนี่คือเหตุผลที่ จขกท ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาเพื่อบ่นๆๆๆ ซึ่งเราก็เห็นใจเขาเหมือนกันนะ แต่ก็ไม่ได้จะหาเรื่องทะเลาะกับคุณ Canossa นะเพราะเราเคยเห็นตัวจริงคุณ แล้วรู้ว่าคุณเป็นคนที่สวยน่ารักมากๆคนหนึ่ง... เรื่องมันเป็นอย่างนี้...เรามี distant cousin คนหนึ่งนะ ย่าเธอเป็นพี่น้องกับย่าเรา เธอมีลูกสาวเรียน computer science ลูกสาวเธอเอางานหลายร้อยหน้าจากมหาลัยดังๆมาให้เราแปล ถ้าเราแปลให้ เราจะไม่มีรายได้ไปตั้งหลายเดือนแน่ะ เราปฏิเสธไป ผลก็คือว่า เธอตัดญาติกับเรา อีก 10 ปีต่อมา เราถูกบีบบังคับในเชิงสังคมแบบปฏิเสธได้ยากมากๆ ให้แปลงานให้คนตระกูลนี้อีก คราวนี้เป็นการงานเอกสารกฎหมายของนักศึกษาปริญญาโท (มหาลัยดังๆอีกแห่งหนึ่ง) เผอิญพ่อเธอซึ่งเป็นสามีของ distant cousin ของเราซึ่งมีลูกเรียน computer science แต่เขาก็มีภรรยาอีกคนที่เป็นแม่ของนักศึกษาคนนี้ที่เรียนปริญญาโทกฎหมายและกำลังสอบเนติอยู่ เราก็ไม่อยากแปลให้ฟรีแต่เราโดนพ่อแม่เราบีบบังคับจนทะเลาะกันอลเวงทั้งบ้านเลยหละ ....เรื่องมันยาว...(ขอไม่เล่ารายละเอียด) คิดๆแล้วยังไม่หายโมโหเลย เราจำเป็นต้องแปลให้ ซึ่งส่งผลทำให้ schedule งานอื่นๆของเราพังพินาศยับเยิน และเราลงเอยมีปัญหาทางด้านการเงินอย่างรุนแรง....แถมยังเครียดจนตาขวางๆไปอีกตั้งหลายวันแน่ (เสียสุขภาพจิตมากๆ) จึงอยากจะบอกว่า ถ้าใครไม่เจอ ก็จะไม่รู้ว่า “มันสาหัสขนาดไหน ไอ้การแปลงานให้ฟรีๆน่ะ” ....บางทีเราว่าเราเข้าใจ จขกท นะ ขอโทษด้วยที่พูดแบบนี้น่ะ จากคุณ : white rabbit - [ 6 ก.พ. 52 22:38:10 A:124.121.93.88 X: ]

ความคิดเห็นที่ 7 ไม่ต้องลบ ไม่ต้องลบ ห้องนี้กระทู้น้อยอยู่แล้วไปลบทำไม อาจารย์ Canossa ก็ทำดีอยู่แล้ว เจ้าของกระทู้ก็สงสัยได้ดี กฎเหล็กของการให้การบ้านก็คือการให้เกิดการเรียนรู้ในตัวผู้เรียน ถ้าให้การบ้านมาแล้วผู้เรียนไม่ได้เกิดการเรียนรู้ในสิ่งที่อาจารย์ต้องการก็ถือได้ว่าเป็นการสูญเปล่า ไม่ว่าจะเป็นเพราะยากเกินไปหรือนักเรียนรู้มากเอาไปให้คนอื่นทำแทนเพราะความมักง่ายและขี้เกียจ ไอ้เรื่องนักเรียนมักง่ายและขี้เกียจไม่ต้องไปหาไกล ดูแถวๆนี้ก็เห็น เป็นสิ่งซึ่งไม่ต้องพิสูจน์ เรื่องความยากเกินไปก็อีกเหมือนกัน เจอบ่อยในนี้ เด็กทำไม่ได้ จะบอกว่าเพราะขี้เกียจหรือมักง่ายก็โหดเกินไป มันยากจริงๆเกินฝีมือเด็ก ผมก็ไม่ได้สอนหนังสือใครเสียด้วย บอกไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมคนที่ให้การบ้านโหดๆกับเด็กถึงทำอย่างนั้น จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 6 ก.พ. 52 22:41:24 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เราพอจะเข้าใจเรื่องที่คุณ Cannosa พูด และเชื่อว่าอาจารย์หลายๆท่านบริสุทธิ์ใจจริงๆ ที่จะให้นักศึกษาเอาใจใส่เรียนรู้เมือนคุณ Cannosa ไม่ใช่สักแต่ว่าอาจารย์จะเอางานแปลไปเลื่อนตำแหน่งกันทุกคน แต่เราก็ยังยืนยันว่า การที่อาจารย์บังคับให้นักศึกษาแปลงานมานั้น มันไม่ได้ช่วยให้นักศึกษาเก่งอังกฤษหรือเก่งในวิชาที่เรียนมามากขึ้นแต่อย่างไร เว้นเสียแต่ว่า เว้นเสียแต่ว่าอะไร? ...เว้นเสียแต่ว่า อาจารย์จะดำเนินการดังต่อไปนี้คือ 1. กรณีที่แปลอังกฤษเป็นไทย ตอนนักศึกษา defends thesis หรือ dissertation อาจารย์ต้องซักนักศึกษาเพื่อทดสอบว่า นักศึกษา มีทักษะ reading comprehension พอที่จะอ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษเข้าใจหรือไม่ ซักแบบ impromptu คือแบบเล่นกลอนสด (เหมือนทินกรกับแม่ประยูรเล่นลำตัด) โดยไม่ให้นักศึกษาตั้งตัวเลย 2. กรณีแปลไทยเป็นอังกฤษตอนนักศึกษา defends thesis หรือ dissertation อาจารย์ต้องซักนักศึกษาเพื่อทดสอบว่า นักศึกษา มีทักษะการเขียนภาษาอังกฤษดีพอที่จะแปลไทยเป็นอังกฤษได้ดีขนาดที่ทำมาหรือไม่ คือซักแบบ impromptu คือแบบเล่นกลอนสด (เหมือนทินกรกับแม่ประยูรเล่นลำตัด) ลองให้นักศึกษาเขียนภาษาอังกฤษให้ดู โดยไม่ให้นักศึกษาตั้งตัวเลย แต่จะมีใครกล้าทำแบบนี้บ้างล่ะ เพราะอะไร? เหตุผลง่ายๆก็คือว่า ถ้าอาจารย์เคร่งแบบนี้หมด มหาลัยที่เอ็นเข้ายากๆคงพออยู่รอด เนื่องจากมีนักศึกษาเก่งๆเข้ามาเรียน (แต่ก็จะเสียรายได้ไปบานตะไท) แต่มหาลัยการค้า จะเจ้งกันหมด เนื่องจากว่า พอทดสอบตามขั้นตอน 1. กับ 2. แบบโปร่งใสมากๆ นักศึกษาก็ได้ F กันหมด ทางฝ่ายบริหารก็จะมองดูอาจารย์ว่า "สอนไม่ได้เรื่องนักศึกษาจึงได้ F กันหมด" อาจารย์ก็จะตกงาน และมหาวิทยาลัยก็จะต้องเลิกล้มกิจการไป เนื่องจาก ไม่มีนักศึกษามาเรียนกัน เพราะรู้ว่าจะได้ F กันหมด และจะไม่ได้ปริญญาไปประกอบอาชีพ ......................................... อย่าลืมว่า การที่นักศึกษาต้องเอางานไปให้คนอื่นแปลนั้น ส่วนใหญ่เป็นเพราะนักศึกษาเหล่านั้นเรียนที่มหาลัยระดับหางแถว มหาลัยระดับหางแถวทำหน้าที่เหมือน "อัศวินม้าขาว" ขี่ม้ามาช่วยให้นักศึกษาที่เรียนไม่เก่ง "รอดพ้นจากการเป็นผู้ใช้แรงงาน" จากคุณ : white rabbit - [ 6 ก.พ. 52 22:48:19 A:124.121.93.88 X: ]

ความคิดเห็นที่ 9 มาให้กีฟ ๔ ตอบได้ถูกใจมาก มาบ่นเพิ่ม... (พาออกทะเลคร้าบ แหะ ๆ) เคยเจอไหมล่ะครับ เวลาให้สอบแบบเปิดหนังสือ เด็กยกเอาทั้งย่อหน้า (พารากราฟ) ในหนังสือมาตอบเลย เพียงเพราะว่ามีคำบางคำเหมือนกับที่ถามไว้ในโจทย์.... และหนังสือที่ว่านั้น เป็น....อ่า... เท็กซ์บุ๊กภาษาอังกฤษครับ -"- เคยเจอไหมล่ะครับ เวลาให้ทำรายงาน เด็กมหาวิทยาลัยทำแบบนี้ ... ไปหาหนังสือในห้องสมุด เอามาสักเล่มนึงที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกับที่อาจารย์สั่ง แล้วก็ไปสั่งร้านให้พิมพ์ตั้งแต่บรรทัดนี้ของหน้านี้ ถึงบรรทัดนี้ของหน้านี้ พอถึงเวลาก็ไปรับที่พิมพ์ไว้ มาเย็บเล่ม ใส่ปกใส่รายชื่อคนทำ แล้วก็ส่ง.... อาจารย์วิชานี้ (ผมเองแหละ) ลองออกเป็นข้อสอบถามในตอนสอบปลายภาค ว่าให้อธิบายสิ่งที่คุณเขียนมาในรายงาน... ปรากฏว่าไม่มีใครตอบได้ -"- ง่า พอดีกว่าวุ้ย ขออภัยที่บ่นนอกประเด็นของกระทู้คร้าบ ประเด็นของผมที่ตรงกับของกระทู้นี้มีแค่ว่า ถูกใจความเห็น ๔ มาก ๆ และตรงใจมาก ๆ คร้าบ จากคุณ : star_seeker - [ 6 ก.พ. 52 23:09:35 ]

ความคิดเห็นที่ 10 งงหรือเปล่า? ถ้างงจะอธิบายให้ ในประเทศที่ก้าวหน้ามากๆทางด้านอุตสาหกรรม “ผู้ใช้แรงงานจะรวยเป็นมหาเศรษฐีได้โดยการทำงานก่อสร้างหรืองานอย่างอื่นที่ใช้แรงงาน” ยกตัวอย่างเช่นสมัยเราอยู่เชียงใหม่เมื่อปี 2002 - 2007 เรามีเพื่อนบ้านเป็นกรรมกรก่อสร้างที่ลอนดอน เขามีภรรยาคนไทย เขาบินกลับไปกลับมาอังกฤษกับไทย ทุกสามเดือน ทำงานที่ลอนดอนแล้วเอาเงินส่งเสียภรรยาไทย จนมีเงินซื้อบ้าน และมีเงินทำธุรกิจของตนเองแบบนายทุนได้ นั่นก็เพราะค่าแรงผู้ใช้แรงงานในลอนดอน มันไม่กดขี่คนวุฒิการศึกษาต่ำๆ...เราจำได้ว่าเมื่อปี 1987 เราเคยทำงานกรรมกรก่อสร้างในลอนดอนเราได้ค่าจ้างมากถึง "วันละ 5,000 บาท" (มากกว่ารายได้ผู้จัดการบริษัทเสียอีก)...คอนนี้มันเลย 20 ปีมาแล้ว ค่าแรงมันจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าไหร่กัน? ดังนั้นมหาลัยการค้าในประเทศอุตสาหกรรม คนในประเทศเขาไม่เรียนกัน คือถ้าเรียนไม่เก่งก็ไปทำงานเป็นผู้ใช้แรงงานกัน ก็รวยได้ มีแต่คนจากแถบเอเซียบินไปเรียนกันเพื่อเอาวุฒิการศึกษากลับไปทำงานในประเทศของตน .... เมื่อผู้ใช้แรงงานในเมืองไทยถูกเอารัดเอาเปรียบ ดังนั้น "จึงต้องมีมหาลัยระดับหางแถวเกิดขึ้นเพื่อเป็นอัศวินม้าขาว มาผลิตบัณฑิคที่ไร้คุณภาพออกมาเพื่อให้ทันสังคมไทยที่สวมหน้ากากเข้าหากัน" ดังนั้นการที่นักศึกษาจะ "ทันเกม" เขาก็จะต้องเอางานไปให้คนอื่นแปลเพื่อที่จะเรียนจบรับปริญญามาทำงานให้ได้เพื่อให้รอดพ้นจากการเป็น “ผู้ใช้แรงงาน” และรอดพ้นจาก “การถูกกดขี่” นั่นเอง ...เหตุผลเหล่านี้ไล่กันเป็นลูกโซ่...จนถึงขึ้นที่เรียกได้ว่าเป็น vicious cycle สรุป วิธีแก้ก็คือ "สังคมไทยจะต้องเลิกเอารัดเอาเปรียบผู้ใช้แรงงาน" และให้โอกาสกรรมกร ให้กลายเป็นมหาเศรษฐีได้เหมือนอย่างในประเทศอุคสาหกรรม หากเป็นเช่นนี้ มหาลัยไทยก็จะ "หยิ่งได้" นั่นก็คือ บอกนักศึกษาได้ว่า "ถ้าไม่เก่งจริงก็ให้ไปทำงานที่ไซท์งานก่อสร้าง ซึ่งก็จะรวยได้เช่นกัน" และอาจารย์ก็จะทดสอบนักศึกษาได้อย่างที่เราอธิบายไว้ใน ข้อ 1. ข้อ 2. ใน คคห.8 แบบโปร่งใสมากๆ จนกระทั่ง ไม่มีนักศึกษาคนไหนจะไปจ้างคนอื่นแปลแล้วรอดพ้นจากการถูกจับได้ และอาจารย์ก็จะไม่โดนไล่ออกเพราะนักศึกษาได้ F ด้วย เนื่องจากว่า "มหาลัยหยิ่งตั้งแต่ต้นๆคือรับแต่นักศึกษาเก่งๆเข้ามาเรียนนั่นเอง" และวิธีนี้ก็จะเป็นการคุมกำเนิดมหาลัยด้วย นั่นก็คือ มหาลัยการค้าไม่สามารถเป็นอัศวินม้าขาวได้อีกต่อไป เนื่องจากว่า คนเรียนไม่เก่งเลิกเรียนตั้งแต่เด็กๆ แล้วหันไปทำงานก่อสร้างกันหมด ..... ฟังดูแล้วเหมือนว่ามัน "ชั่วร้าย" ใช่ไหม ที่ยุให้ประเทศไทยกลายเป็นมีกรรมกรก่อสร้างเพิ่มขึ้น จริงๆแล้วนะ มันไม่ชั่วร้ายหรอก เพราะอะไร? เพราะว่า "การมีกรรมกรก่อสร้างเก่งๆรวยๆเต็มบ้านเต็มเมืองนั้น มันดีกว่าการมีบัณฑิตไร้คุณภาพที่ตกงานกันมากมายนั่นเอง" จากคุณ : white rabbit - [ 6 ก.พ. 52 23:09:36 A:124.121.93.88 X: ]

ความคิดเห็นที่ 11 เรื่องที่คุณ star_seeke พูดใน คคห 9 ที่ว่านักศึกษามักง่ายลอกงานคนอื่นมาส่งทั้งดุ้นนั้น คุณมิได้ออกทะเลแต่อย่างใด หากแต่คุณพูด "เข้าประเ็ด็น" มากๆเลยหละ" ในเมื่อคุณพูดเรื่องที่เข้าประเด็นแล้ว เราก็อยากจะถามปัญหาที่เข้าประเด็นด้วยเช่นกันนั่นก็คือว่า ถ้าคุณสอนมหาลัยที่เอ็นติดยากๆ การใช้วิธีการ 1. กับ 2. ที่เราแนะไว้ใน คคห. 8. ก็จะเป็นการกำจัด "เนื้อร้าย(นักศึกษาเฮงซวย)" ในจำนวนที่น้อยนิด ออกไปจากมหาลัยดีๆ แต่ถามว่า ถ้าเผอิญคุณสอนมหาลัยระดับหางแถว (ที่มีมากมายในประเทศไทย) ซึ่งนักศึกษาส่วนใหญ่ไปเรียนกัน เพราะเอ็นเข้ามหาลัยดีๆไม่ติด แล้วทุกคนเป็น "เนื้อร้าย" กันหมด "คุณจะกล้าหรือไม่ที่จะกำจัีดเนื้อร้ายด้วยวิธีการที่เราแนะไว้ใน 1. กับ 2. ใน คคห. 8." ซึ่งถ้าคุณกล้าทำนะ รับรองได้เลยว่า มันจะส่งผลให้ "นักศึกษาที่คุณสอนยกชั้นกันได้ F หมด แล้วคุณก็จะโดนผู้บริหารมหาลัยเพ่งเล็ง จนกระทั่งต้องตกงานในที่สุด และมหาลัยก็จะต้องปิดกิจการในที่สุด" ..."เนื่องจากนักศึกษาเห็นว่าเข้มงวดเกินไป จึี่งไม่มาเรียนกัน เพราะรู้ว่าจะไม่ได้ใบปริญญาบัตรไปประกอบอาชีพนั่นเอง...." ลองพิจารณาดูให้ดีๆ จากคุณ : white rabbit - [ 6 ก.พ. 52 23:27:57 A:124.121.93.88 X: ]

ความคิดเห็นที่ 12 ข้อความที่คุณแอ็ดเขียนใน คคห7 ว่า “เรื่องความยากเกินไปก็อีกเหมือนกัน เจอบ่อยในนี้ เด็กทำไม่ได้ จะบอกว่าเพราะขี้เกียจหรือมักง่ายก็โหดเกินไป มันยากจริงๆเกินฝีมือเด็ก ผมก็ไม่ได้สอนหนังสือใครเสียด้วย บอกไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมคนที่ให้การบ้านโหดๆกับเด็กถึงทำอย่างนั้น “ คำตอบมันมี แต่มันเป็น sensitive issue มากๆ ซึ่งถ้าตอบไปแล้วคนอ่านๆไม่ดี จะเข้าใจผิด หาว่าคนตอบโจมตีอาจารย์ หากแต่ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆบ่งชี้ว่า “ต้องตอบแบบนี้จริงๆ แล้วอาจารย์ที่เก่งๆ ที่เขาไม่เป็นแบบนี้ก็มีเหมือนกัน ดังนั้น โปรดอย่าเข้าใจผิด” คำถามคุณแอ็ด แปลไทยเป็นไทย สรุปใจความสั้นๆได้ว่า “ทำไมอาจารย์ให้งานแปลนักศึกษายากเกิน จนเด็กไม่มีทางทำได้ ต้องไปจ้างคนอื่นทำลูกเดียว เด็กก็เลยไม่ได้ความรู้อะไรกัน” คำตอบก็คือ “ตัวอาจารย์เองไม่เคยทำงานแปล จึงไม่รู้ว่างานที่ให้เด็กแปลมันยากแค่ไหน” จากคุณ : white rabbit - [ 7 ก.พ. 52 07:03:39 A:192.168.0.17 X:124.121.93.88 ]

ความคิดเห็นที่ 13 จะเล่าเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆให้ๆฟัง เพื่อ support argument เมื่อเกือบๆ20 ปีที่แล้วมา cousin (ลูกชายน้องพ่อ) ของเราที่เป็นวิศวะ ไปจีบนักศึกษาสาว นักศึกษาคนนั้นเรียนมหาลัยหางแถวที่เป็นแหล่งชุมนุมกันของคนที่เอ็นเข้ามหาลัยรัฐไม่ได้ เธอเรียนปริญญาตรีศึกษาศาสตร์ assignment ชิ้นสุดท้ายที่เธอต้องทำเพื่อรับปริญญานั้น ก็คือการแปลหนังสือเรื่องจิตวิทยาครูมีความยาวประมาณ 200 กว่าหน้า cousin เรามาขอร้องให้เราช่วยแฟนเขา ไอ้เราก็ไม่อยากช่วย แต่ลองแปลแบบพูดใส่เทปดูเล่นๆบทสองบท แล้วเห็นนักศึกษาคนนั้นนั่งเอาซาวด์เบาท์เสียบหูฟัง แล้ว transcribe คำพูดเร็วๆของเราออกมาบนกระดาษ แล้วร้องไห้ แต่กัดฟันสู้ ดูน่าเวทนาปนกับน่าสรรเสริญเป็นยิ่งนัก ...จนเราสงสารจับใจต้องหลวมตัวแปลให้จนหมดทั้งเล่ม ขณะที่แปล นักศึกษานั่งอยู่ข้างๆ แล้วเรามีเพื่อนแวะมาเยี่ยม 2-3 คน แต่ละคนเคยเรียนต่างแดนมาทั้งนั้น แล้วพำนักอาศัยอยู่อังกฤษ อเมริกา ออสเตรเลียกันคนละ 20 – 30 ปี ทุกคนสงสัยว่านี่มันแปลอะไรกันหว่า ก็เลยผลัดกันหยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมาอ่าน ผลปรากฎว่า มันมีความยากครบถ้วน ตั้งแต่ศัพท์จิตวิทยาลึกๆ + American slang มากมาย + metaphors ที่จินตนาการหลุดโลกมากๆ ยากเกินกว่าที่ตัวเราและเพื่อนๆที่อยู่ต่างแดนมานาน จะอ่านเข้าใจได้ง่ายๆ (ต้องระดมหัวกันตั้งหลายหัวช่วยกันคิด สมัยก่อนมันไม่มี google เดากันแหลกลูกเดียว) ดังนั้นเรากับเพื่อนๆทุกคนจึงลงความเห็นตรงกันว่า “มหาลัยนี้ก็หางแถว อาจารย์ก็คงไม่เก่งเท่ามหาลัยดังๆ ซึ่งตัวอาจารย์เองก็อาจรู้ภาษาอังกฤษไม่มากกว่านักศึกษาคนนั้นนัก ดังนั้น อาจารย์หยิบหนังสืออะไรให้เด็กแปลก็ตาม อาจารย์ก็ไม่มีทางที่จะรู้ว่ามันยากง่ายแค่ไหน” จากคุณ : white rabbit - [ 7 ก.พ. 52 07:05:23 A:192.168.0.17 X:124.121.93.88 ]

ความคิดเห็นที่ 14 อีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดเมื่อเร็วๆนี้เอง เกิดที่มหาลัยรัฐดังแห่งหนึ่ง อาจารย์เรียนจบเมืองนอก อยู่เมืองนอกนับสิบปี อ่านหนังสือภาษาอังกฤษยากๆเข้าใจได้ แต่อาจารย์ไม่เคยรู้เลยว่าตัวเขาเวลาเขียนภาษาอังกฤษ จะมี non-native speaker’s errors เพียบเลย ท่านอาจารย์เขียนหนังสือภาษาไทยเรื่องยากๆเกี่ยวกับศาสนาและปรัชญา ทางคณะต้องการแปลมันเป็นอังกฤษ ก็กะจะไปให้ศูนย์การแปลจุฬาแปลไทยเป็นอังกฤษ(ซึ่งเขาจะใช้อาจารย์ฝรั่งที่อ่านภาษาไทยได้แตกฉานแปล) แต่อาจารย์คนไทยท่านนั้น ยืนกรานว่าท่านจะแปลเอง ทุกคนคัดค้าน แต่ท่านก็แปลมาแล้ว และแปลจนจบเล่ม ทางมหาลัยจึงให้อาจารย์ฝรั่งอ่านดู อาจารย์ฝรั่งอ่านดู แล้วเห็นจำนวน non-native speaker’s errors มีมากมายจนกระทั่งอาจารย์ฝรั่งกลับบ้านไป “นอนฝันร้ายเห็นรูปประโยคภาษาอังกฤษที่ผิดธรรมชาติมาหลอกมาหลอนอีกตั้งหลายเดือน” นั่นก็หมายความว่า ถ้าอาจารย์ท่านนั้นให้นักศึกษาแปลไทยเป็นอังกฤษ ท่านก็ไม่มีทางที่จะรู้ได้เลยว่างานมันยากแค่ไหน เนื่องจากว่า ตัวของท่านๆยังไม่รู้เลยว่าท่านก็แปลไม่ได้... ซึ่งก็นับว่าเป็น very very rare case จริงๆที่ว่าคนอยู่เมืองฝรั่งมานับสิบปี แต่ทำไมไม่รู้ตัวว่าตัวเองอ่านภาษาอังกฤษยากๆได้ ซึ่งตัวเองเรียน to understand เท่านั้น แต่ไม่เคยเรียน to compose ซึ่งไม่ต่างอะไรกับที่เมื่อไม่นานมานี้มีคนเข้ามาในห้องยำภาษาเพื่อมา offer งานแปลวรรณกรรมไทยเป็นอังกฤษเพื่อเอาไปขายในต่างแดน พวกเซียนในห้องนี้ ส่วนใหญ่เป็น “นกรู้” ไม่มีใครสมัครกัน แต่นักแปลหน้าใหม่ซึ่งไม่รู้ตัวว่าตัวเองยังเขียนภาษาอังกฤษมี non-native speaker’s errors เพียบเลย กลับแห่กันไปสมัครงานนั้นกันแบบมืดฟ้ามัวดิน......!!!??? ซึ่งจนป่านนี้ ก็ไม่มีข่าวว่ามีเล่มไหนแปลดีได้ระดับ publishable standard ก็เลยคาดว่า ทุกเล่มที่แปลมา คงต้องโยนทิ้งถังขยะไปหมดเรียบร้อยแล้ว...นั่นเอง จากคุณ : white rabbit - [ 7 ก.พ. 52 07:09:50 A:124.121.93.88 X: ]

ความคิดเห็นที่ 15 ขอบคุณอีกครั้งที่สละเวลาเข้ามาแลกเปลี่ยนกระสบการณ์ อ่านแล้วรู้สึกสนุกดี อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าไม่ได้มีเราคนเดียว ที่ต้องอึดอัดกับความไม่เข้าใจเกี่ยวกับทักษะการแปลของผู้คนในสังคมไทย จากคุณ : จขกท. ไม่สงสัยแล้ว หุหุ - [ 7 ก.พ. 52 18:20:11 A:210.86.216.45 X: TicketID:159141 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ตัวเราสิยิ่งไม่สงสัยใหญ่เลย ไม่สงสัยเรื่องอะไรหรือ? ไม่สงสัยเรื่อง The Law of Attraction ในหนังสือ The Secret ที่เราอ่านน่ะสิ... เขาบอกว่าถ้าคุณคิดถึงเรื่องอะไรมากๆ คุณก็จะดึงดูดสิ่งนั้น ให้เข้ามาหาตัวคุณ อีกนัยหนึ่งก็คือ ความคิด ถ้าคุณคิดถีงมันบ่อยๆ มันก็จะกลายเป็นสิ่งที่มีตัวตนไปได้จริงๆ พอปั่นกระทู้นี้เสร็จแล้วนะ เราเปิด mail แล้วพบว่าเด็กปริญญาโทที่เราพูดถึงใน คคห 6 ส่ง mail มาหาเรา ถามว่า คราวนี้เราพอจะแปลบทคัดย่อ จากไทยเป็นอังกฤษให้เธอจะได้หรือไม่??!! มันทำให้เราต้องรีบหยุดคิดถึงเรื่องกระทู้นี้ แล้วรีบนั่งสมาธิ เดินลมปราณ แล้วเพ่งกระแสจิตไปที่ศูนย์รวมพลังลมปราณ แล้วส่งลมปราณแผ่สร้านไปคลุมจักรวาล เพื่อ (ดึงดูดสิ่งดีๆ) เพื่อให้ตัวเองเห็น "'งานแปลที่ได้เงิน...ได้เงินเป็นจำนวนมาก" ...ยิ่งถ้าได้เงินมาเปล่าๆได้ก็จะยิ่งดีใหญ่เลยอ้ะ...หวังว่าเราจะทำได้นะ ...แฮ่ๆๆๆๆ...The Law of Attraction ทำเสียวไส้ว่ะ บรือวววซซซ ....ขนลุกไปทั้งตัวเลย... เราทั้งอ่านหนังสือภาษาอังกฤษ ฟัง audio book ภาษาอังกฤษ และดูหนัง soundtrack เรื่อง The Secret ตอนดูหนังนะ ขนลุกซู่ไปทั้งตัวเลย เมื่อคืนเปิด mail ก็ขนลุกอีกรอบหนึ่ง สิ่งมหัศจรรย์ในโลกต้องมีจริงๆอย่างแน่นอน! จากคุณ : white rabbit - [ 7 ก.พ. 52 22:08:07 A:124.121.145.148 X: ]

ความคิดเห็นที่ 17 ความมหัสจรรย์ของกระแสจิต แรงสั่นสะเทือนของพลังจิต (ในเชิงลบ) ในครั้งที่มีความกดดันทางด้านจิตใจเมื่อโดนแรงกดดันจากพ่อแม่เราให้ช่วยแปลงานกฎหมายให้ญาติที่เรียนปริญญาโทกฎหมายในครั้งนั้น (ที่เล่าให้ฟังใน คคห 6) มีความรุนแรงมากจน “ดึงดูด” ความพินาศอีกหลายอย่างให้ตามมาเป็นลูกโซ่ นั่นก็คือ 1. เราผู้ซึ่งอดเหล้าไปได้ตั้งหลายเดือนกลับมาดื่มอีกอย่างหนัก 2. เรากำลังรอเงินค่าแปลหนังสือเล่มหนึ่งที่เราเป็นนักแปลผี ซึ่งตอนนั้นถ้ารีบทำงานอื่นให้ได้เงิน การเงินเราจะต่อเนื่องไปได้สวย แต่กลายเป็นเงินขาดมือ 3. ตอนนั้นมีงานจร เป็นงานแปลเอกสารอย่างอื่น ก็ต้องปฏิเสธไป กระแสเงินสดจึงชะงัก 4. ตอนนั้นมีหนังสืออีกเล่ม ประมาณ 200 หน้า ที่แปลค้างอยู่ (มันชนกับเล่มที่เพิ่งแปลเสร็จ เราเป็นนักแปลผีทั้งสองเล่ม) ก็ต้องโอนให้ “ผีตัวที่สองแปล” 5. ผีตัวที่สองเอาหนังสือไปดองไว้ 1 เดือน โดยอ้างว่า แปลเสร็จแล้ว และกำลัง edit (ตรวจแก้) อยู่ บอกว่าให้เจ้าของงาน (นักแปลตัวจริงซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานของเรา) รอไป รอไปอีก 1 เดือนเป็น 2 เดือน คำแปลก็ยังไม่มาถึง รอไปอีก 1 เดือน เป็น 3 เดือน คำแปลก็ยังไม่มาถึง เจ้าของงานเริ่มเครียด แต่ก็เกรงใจผีตัวที่สองซึ่งเป็นเพื่อนเธอ แต่ไม่รู้จะทวงอย่างไร ก็เลยทนเครียดไปเรื่อยๆ พอผีตัวที่สองส่งงานมา at last....ฮ่าๆๆๆๆ.... ผีตัวที่สองบอกว่าแปลเก่งเพราะเคยอยู่ออสเตรเลียมาหลายปี แต่ผีตัวที่สองอ่านภาษาอังกฤษง่ายๆเข้าใจผิดบานเลย แล้วเผอิญหนังสือมันก็ยากเสียด้วยสิ ไอ้ที่ยากๆก็เลยเละดิ... เจ้าของงาน edit (ตรวจแก้) คำแปลเจอแปลผิดทั้งตรงที่ยากๆ และที่ง่ายๆ มากมายหลายร้อยแห่ง จนเจ้าของงานร้องห่มร้องไห้ตาบวมไปเลย ....และเจ้าของงานก็เลยทะเลาะกับเราเนื่องจากเรากดดันเธอว่า “อย่าไปเกรงใจผีตัวที่สอง ให้เรียกเงินค่าแปล(ที่จ่ายล่วงหน้าไปหมดแล้ว) คืนมาบางส่วน โดยเอาให้ดูว่าแปลผิดตั้งกี่ร้อยแห่ง” เจ้าของานก็เลยหงุดหงิดทะเลาะกับเรา เรื่องมัน ก็เลยอลเวงไปเลย และหลังจากนั้นขณะที่เราทำงานแปลยุ่งๆอยู่ถ้าเพื่อนร่วมงานเราโทรมาขอให้ช่วยแปล แล้วเรารู้ว่าข้อความที่ถามไม่ใช่งานที่พวกเราทำกันอยู่ หากแต่เป็น “งานที่โดนบังคับให้แปลฟรี” มันทำให้เราหงุดหงิดมากๆเลยหละ .... พอพูดถึงโจโฉ โจโฉก็มาจริงๆ ที่เล่าให้ฟังว่านักศึกษาคนที่พูดถึงใน คคห6เพิ่งส่ง mail มาขอให้แปลอีก แต่เราปฏิเสธไปแล้ว โดยบอกว่า “ช่วงนี้เราป่วยเป็นโรคจิต” โชคดีที่เธอไม่ขอให้แปลผ่านพ่อแม่เรา ม่ายงั้นเดี๋ยวพ่อแม่ลูกทะเลาะกันทั้งบ้านอีกรอบหนึ่ง จากคุณ : white rabbit - [ 8 ก.พ. 52 14:24:11 A:124.121.145.148 X: ]

ความคิดเห็นที่ 18 ถ้าอาจารย์มหาลัยท่านใดเผอิญผ่านมาเจอกระทู้นี้ ก็ได้โปรดเถิด ทดสอบความรู้ศิษย์ของท่านดูก่อนว่าแปลอะไรได้หรือไม่ได้ ถ้าไม่ได้ ก็อย่าไปบังคับให้ศิษย์ทำงานแปลส่งเลย มันไม่ทำให้ศิษยของท่านเก่งอังกฤษขึ้นมาได้ภายในพริบตาเดียวหรอก "...การเรียนภาษาอังกฤษให้เก่งได้นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีกระบวนการเรียนการสอนที่ถูกต้องตามหลักการ ไม่ใช่เรียนโดยอยู่ดีๆบังคับให้ลูกศิษย์ไปคว้าเอกสารหรือหนังสือยากๆมาแปลสุ่มสี่สุ่มห้า...!!!" นอกจากนี้แล้วการแปลสุ่มสี่สุ่มห้า ไม่ได้ทำให้นักศึกษาเก่งในวิชาที่เรียนขึ้นเลย เพราะยิ่งไม่รู้อังกฤษ แล้วอ่านวิชายากๆจากสื่อภาษาอังกฤษ ก็ยิ่งจะเข้าใจผิดในเนื้อหาของวิชาบานเบอะไปกันใหญ่ แต่มันรังแต่จะไปสร้างความทุกข์ยากให้ญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงของนักศึกษา และนักศึกษาเอง (กรณีที่ต้องไปจ้างคนอื่นแปล) และทำให้คนอื่นทะเลาะกันด้วย .... ถ้าอาจารย์มหาลัยอยากให้นักศึกษาทำงานแปลส่ง ก็ควรจัดหลักสูตรอบรมการแปลพิเศษช่วงสุดสัปดาห์หรือตอนเย็นหลังเลิกเรียน ทักษะในการแปลอังกฤษเป็นไทย แบบแปลพออ่านรู้เรื่อง แต่ไม่สวยนัก นั่นก็คือสอน reading comprehension แล้วลงมือลุยแปลและเรียบเรียงเลยนั้น เราเคยใช้เวลาสอนเด็ก ม.6 ที่เอ็นไม่ติด เพราะทำข้อสอบภาษาอังกฤษได้น้อยกว่า 30% ให้พัฒนาทักษะ reading comprehension มากพอที่จะไปค้นข้อมูลจากสื่อภาษาอังกฤษได้ แล้วแปลออกมาได้แบบพออ่านรู้เรื่อง โดยใช้เวลาสอนเพียงแค่ “หนึ่งปี” เท่านั้น โดยมีเงื่อนไขว่านักศึกษามหาลัย ก่อนเข้ามหาลัยเรียนภาษาอังกฤษ ม. ต้น - ม. ปลาย จากโรงเรียนที่อยู่ในระดับดีพอใช้ได้ใน กทม ไม่ใช่เรียนจากโรงเรียนหลังเขาที่ด้อยความเจริญ (ถ้ารู้วิธีสอนทำได้แน่ๆ ถ้าใครไม่เชื่อจะเรียกเราไปพิสูจน์ให้ดูก็ยังได้) ..... หลักสูตรพิเศษนอกเวลาเรียนเช่นนี้ จะช่วยให้นักศึกษาค้นข้อมูลได้จากสื่อภาษาอังกฤษโดยไม่เครียด และไม่ทำให้ผู้อื่นต้องเดือดร้อนอีกด้วย ส่วนเรื่องการแปลไทยเป็นอังกฤษนั้น ไม่ต้องพูดถึง ต่อให้สอน 4 ปีนักศึกษาก็ยังเก่งขึ้นมาไม่ได้ เว้นเสียแต่ว่า ก่อนเรียน นักศึกษาฟังกับพูดภาษาอังกฤษคล่องอยู่แล้ว ซึ่งคนที่ไม่ได้เรียนเอกอังกฤษ และเรียนในเมืองไทยด้วย คงลำบาก ถ้าบังคับให้นักศึกษาแปลไทยเป็นอังกฤษจริงๆ ก็ต้องยอมรับกันอย่างเปิดเผยว่า “คำแปลภาษาอังกฤษต้องเอาไปให้ฝรั่งเจ้าของภาษา edit (ตรวจแก้) อยู่ดีนั่นแหละ” มันก็จะทำให้นักศึกษาที่ร่ำรวยได้คะแนนดีกว่านักศึกษาที่ยากจนอย่างแน่นอน...ซึ่งไม่ยุติธรรม จากคุณ : white rabbit - [ 8 ก.พ. 52 14:36:04 A:124.121.145.148 X: ]

ความคิดเห็นที่ 19 ขอตอบในฐานะเป็นอาจารย์ด้านเทคโนโลยี และไม่เคยทำอะไรกับการสอนภาษาอังกฤษ ขอย้ำของคุณแอ๊ดว่ากฎเหล็กคือประโยชน์ที่นิสิตได้รับตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมที่ตั้งไว้ ที่สำคัญคือการพัฒนาให้สูงสุดของศักยภาพที่มีตามเอกัตภาพ วิชาที่สอนไม่เคยมีจุดประสงค์ด้านการแปล เลยไม่เคยให้การบ้านไปแปลมาเลย อาจมีใกล้เคียงในวิชาที่ต้องเขียนรายงานแล้วมีใช้แหล่งข้อมูลภาษาอังกฤษที่ต้องอ่านให้เข้าใจเอาเอง (ก็อยากเลือกเรื่องนี้เองนี่) โดยส่วนตัวเห็นว่างานนิสิตที่มีอยู่ก็หนักแล้ว มากเกินไปก็จะเป็นตึงเกินกลายเป็นเสียด้วยซ้ำ อย่างให้อ่าน textbook นี่ก็ใช้เวลากันนานมาก เขียนคำแปลกำกับกันให้พรืด ที่สนใจอ่านจริงก็เห็นได้ชัดเจนว่าได้อะไรไปเยอะ เห็นได้ชัดเวลาที่มาถาม (ส่วนที่ไม่สนใจอ่านก็คงต้องบอกว่าเราแนะนำแล้ว แต่ถ้าไม่ทำก็รับผลไปก็แล้วกัน) ก็พอมองเห็นว่าอาจารย์บางคนคงอยากให้อ่านทุกคน (แต่ก็ไม่เคยได้เห็นด้วยตาตัวเองจริงๆเลยว่ามีใครให้การบ้านแปลยาวๆแบบนั้น) แต่ส่วนตัวถือว่ามากเกินไป นิสิตได้ไม่คุ้มค่าที่ลงทุนลงแรงลงไป ถือว่าอ่านอังกฤษพร้อมศัพท์เฉพาะทางรู้เรื่องก็ใช้ได้ (แค่เขียนบทความเป็นภาษาไทยยังแทบเป็นลมสลบตอนอธิบายแก้ไขเลย อ่านที่คุณCanossaเขียนเรื่องแก้งานแล้วเห็นภาพสุดๆ) ถ้าสนใจงานแปลก็ไปลงพวกวิชาด้านนั้นก็แล้วกัน (วิชาศึกษาทั่วไปเครดิตออกจะเยอะ) แน่นอนค่ะว่าปัญหาหลักอันหนึ่งที่พบว่าเป็นตัวขัดขวางการเรียนรู้คือการลอกงานหรือให้คนอื่นทำอย่างที่คุณ Canossa ว่าอย่าทำการบ้านแทนนั่นแหละค่ะ จากคุณ : jk (jackfruit_k) - [ วันมาฆบูชา 17:31:39 ]

ความคิดเห็นที่ 20 การให้นักศึกษาอ่านและแปลภาษาอังกฤษเพื่อค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมในวิชาทีเรียนเป็นเรื่องที่ดี อันที่จริงแล้ว “การแปลเพื่อเอาความ(คือแปลและเรียบเรียง)” เป็นเรื่องที่สอนกันง่าย ไม่ยากเหมือน “การแปลที่เอาทั้งคำเอาทั้งความ” ซึ่งในกรณีหลังนี้ ยากกว่ามาก เพราะจะต้องแปลให้ซื่อสัตย์ต่อต้นฉบับ ไม่ขาด ไม่เกิน ต้องเป็นนักแปลระดับมืออาชีพที่มีชั่วโมงบินสูงมากๆ จึงจะทำได้ ทางมหาลัยควรเปิดสอนพิเศษภาษาอังกฤษวิชา reading comprehension ช่วงตอนเย็นและ/หรือสุดสัปดาห์ ไม่บังคับให้เรียนทุกคน แต่แนะนำว่าคนที่รู้ตัวว่าอ่านภาษาอังกฤษไม่กระดิกหูเลยควรมาเรียน เพราะถ้าเรียนรู้วิธีอย่างถูกต้องก็จะไม่ต้องจดศัพท์เต็มพืดใน textbooks การสอนตำศัพท์พื้นฐานที่เรียกว่า defining vocabulary ประมาณ 2000 คำ ภายในเวลา 1 ปี เป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยากนัก เมื่อรู้คำศัพท์พวกนี้ และรู้ว่าคำศัพท์ง่ายๆพวกนี้ เมื่อจับกลุ่มกัน แล้วมันจะแปลพลิกแพลงไปอย่างไร ซึ่งเราเรียกกลุ่มคำแต่ละกลุ่มว่า collocation การรู้ defining vocabulary กับ collocations มากพอสมควร จะทำให้นักศึกษามีทักษะพอที่จะเปิด dictionaries อังกฤษเป็นอังกฤษได้ และเรียนรู้การอ่านเพื่อแปลเอาความได้ด้วยตนเองในอนาคตได้ (ถึงจะไม่มีความรู้เรื่อง grammar มากนักก็ตาม) และจะไม่ต้องไปเที่ยวรบกวนเพื่อนฝูงและญาติพี่น้องอีกต่อไป จากคุณ : white rabbit - [ 10 ก.พ. 52 06:51:20 A:124.121.95.117 X: ]

ความคิดเห็นที่ 21 การที่นักศึกษาาพยายามแปลอะไร แล้วแปลไม่ได้นั้น ก็เพราะมัวแต่ไปเปิดดิก อังกฤษเป็นไทย แล้วหาศัพท์ไม่เจอ เพราะ “ไม่รู้” ว่าคำศัพท์ง่ายๆในภาษาอังกฤษนั้น เปลี่ยนความหมายไปเรื่อยๆตาม collocations (ซึ่งจะหาเจอในดิกอังกฤษ-อังกฤษ) ยกตัวอย่างเช่น raise your hand ยกมือขึ้น raise ducks and pigs เลี้ยงเป็ดและหมู raise crops ปลูกพืช get a pay raise ได้เงินค่าจ้างเพิ่ม raise an issue หยิบยกประเด็นขึ้นมา raise the amount เพิ่มจำนวน raise the standard ยกระดับมาตรฐาน raise one’s eyebrows “เลิกคิ้ว” หมายถึง “รู้สึกว่า (สิ่งที่เห็นนั้น) มันไม่เข้าท่า” raise a smile ฝืนยิ้ม (เมื่อยามเศร้า) raise money รวบรวมเงิน (เพื่อเอาไปใช้ประโยชน์อะไรบางอย่าง) raise the roof ส่งเสียงดัง ตอนร้องเพลงหรือเฉลิมฉลอง raise the spectre of something ทำให้หวาดหวั่นว่าอาจมีเหตุการณ์ที่น่ากลัวเกิดขึ้นในเร็วๆนี้ เช่น The violence has raised the spectre of civil war. raise its (ugly) head (ปัญหา) โผล่มาให้เห็น (ซึ่งถึงคราวแล้วที่จะต้องแก้ไข) เช่น Another problem then raised its ugly head. I’ll raise you 10,000 baht = เก 10,000 บาท (ใช้เวลาเล่นไพ่) raise hell โวยวายด้วยความโกรธ หรือแค่ส่งเสียงหนวกหู ให้ดูดีๆว่า 2 ประโยคนี้ แปลไม่เหมือนกัน I'll raise hell with whoever is responsible for this mess. (โวยวาย, ต่อว่าด้วยความโกรธ) The kids next door were raising hell last night. (ส่งเสียงหนวกหูรบกวนชาวบ้าน) raise embargo ยกเลิกการห้าม (สินค้าเข้าออก) จากคุณ : white rabbit - [ 10 ก.พ. 52 06:58:14 A:124.121.95.117 X: ]

ความคิดเห็นที่ 22 ทำไม defining vocabulary มีความสำคัญ? สำคัญเพราะ มันใช้เขียนนิยามของคำศัพท์หลักทุกคำใน dictionaries อังกฤษเป็นอังกฤษ นั่นเอง ซึ่งถ้าใครรู้หมด ก็จะเปิดประตูไปสู่การเรียน reading comprehension ได้ด้วยตนเอง ลองตาม link นี้ไปดู defining vocabulary http://www.cs.utexas.edu/users/kbarker/working_notes/ldoce-vocab.html แล้วจะเห็นได้ว่า การสอน defining vocabulary กับ collocations (เปิดดิก อังกฤษ-อังกฤษ มีเยอะแยะเลย) นี้ และสอนการแปลเพื่อเอาความ (สอนให้จับปลา คือสอนให้เปิดดิก อังกฤษ-อังกฤษเป็น ไม่ใช่หาปลาให้นักศึกษา) เพื่อนักศึกษาจะได้อ่านภาษาอังกฤษค้นคว้าได้ด้วยตัวเอง (ไม่ต้องจดศัพท์เต็มพืดใน textbooks) นั้น เป็นเรื่องที่กระทำได้ภายใน 1 ปี หรือน้อยกว่านั้น (ควรเริ่มสอนตั้งแต่ปี 1ในมหาลัย) อย่างแน่นอน จากคุณ : white rabbit - [ 10 ก.พ. 52 07:07:11 A:124.121.95.117 X: ]

ความคิดเห็นที่ 23 อยากบอกสั้น ๆ ว่า อย่าแปลให้ แต่ให้แปลมา แล้วช่วยตรวจ จะดีกว่า จากคุณ : ลาล่า (arunyach) - [ 10 ก.พ. 52 08:15:46 ]

ความคิดเห็นที่ 24 เข้ามาฮา #16 "...มันทำให้เราต้องรีบหยุดคิดถึงเรื่องกระทู้นี้ แล้วรีบนั่งสมาธิ เดินลมปราณ แล้วเพ่งกระแสจิตไปที่ศูนย์รวมพลังลมปราณ แล้วส่งลมปราณแผ่สร้านไปคลุมจักรวาล เพื่อ (ดึงดูดสิ่งดีๆ) เพื่อให้ตัวเองเห็น "'งานแปลที่ได้เงิน...ได้เงินเป็นจำนวนมาก" ...ยิ่งถ้าได้เงินมาเปล่าๆได้ก็จะยิ่งดีใหญ่เลยอ้ะ...หวังว่าเราจะทำได้นะ ...แฮ่ๆๆๆๆ...The Law of Attraction ทำเสียวไส้ว่ะ บรือวววซซซ ....ขนลุกไปทั้งตัวเลย..." ทำแล้วได้ผลช่วยบอกหน่อยนะคะ จะได้ลองดูมั่ง :) จากคุณ : Care - [ 10 ก.พ. 52 09:19:05 A:125.25.43.4 X: TicketID:102404 ]

ความคิดเห็นที่ 25 รู้สึกว่าจะมีหลายคนพออ่านกระทู้นี้ แล้วพูดทำนองว่า "ก็อย่าไปยอมแปลงานให้นักศึกษาสิ" ... จริงๆแล้ว "ประเด็นของปัญหา" ที่ จขกท มาตั้ง และที่เราพูดถึงปัญหาของเรา และของเพื่อนร่วมงานของเรา (ที่เคยเจอบ่อยๆ) นั้น พวกเรา ก็ไม่มีใครอยากจะแปลให้ฟรีๆ (เพราะมันมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสภาพคล่องทางด้านการเงินและต่อความสำเร็จของงานแปลอื่น (งานที่ได้เงิน) ที่ยังทำค้างอยู่หรือกำลังจะทำ) หากแต่ พวกเราแปลให้นักศึกษาเพราะ "โดนขอร้องแกมบังคับ" ต่างหาก มีการใช้ระบบอุปถัมภ์กันอย่างแพร่หลายในเมืองไทยจนมันกลายเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตของคนไทยไปเสียแล้ว เมื่อญาติผู้ใหญ่ คนรู้จักที่อยู่ในสถานภาพทางสังคมซึ่งสูงกว่า หรือเจ้านาย หรือผู้บังคับบัญชา ขอร้องแกมบังคับให้ทำงานแปลให้ลูกหลานหรือคนรัก ของเขา มันปฏิเสธได้ยากมากๆ เพื่อนร่วมงานของเราเรียนจบมาทางด้านภาษา เธอรู้สึกจะ "โดนรุมทึ้ง" มากที่สุด บางทีเธอโทรมาถามเราเรื่องยากๆ ที่เราก็แปลไม่ได้เหมือนกัน แล้วถามทั้งวันเป็นเรื่องยาวๆอีกด้วย เราก็งงว่า เอ งาน full time ที่ทำในบริษัท กับงานแปลหนังสือหรือแปลเอกสารที่พวกเราช่วยกันทำ ก็ไม่มีข้อความเหล่านี้นิหว่า? มันมาจากไหนกัน? คำตอบก็คือ "รับแปลฟรี แถมบางทีเป็นงานชิ้นยาวอีกด้วย" เพราะไม่กล้าปฏิเสธ ตามเหตุผลดังที่ได้อธิบายไปแล้ว นั่นเองว่าคนที่วานให้ทำ เป็นคนเส้นใหญ่ จากคุณ : white rabbit - [ 10 ก.พ. 52 12:40:53 A:192.168.0.17 X:124.121.95.117 ]

ความคิดเห็นที่ 26 เพิ่งโผล่มาหลังจากหยุดไปสามวัน (ใช้เนตที่ทำงาน) ขอเพิ่มเติมจากความเห็นของเรา ที่ให้การบ้าน เพราะอยากให้เด็กได้ "เริ่ม" อ่านตำราภาษาอังกฤษ ไม่ใช่เพราะ "โปร" ฝรั่ง แต่เพราะรู้ดีว่าความรู้ในสาขาของเรา ส่วนมาก ต้องหาอ่านจากตำราฝรั่ง ถ้าเด็กได้เริ่มเร็วเท่าไร จะดีเท่านั้น ปีแรกเราเฮี้ยบมาก แต่พอตอนหลังก็มาคิดใหม่ว่าจุดประสงค์คือ ให้เด็กได้ตั้งต้น จึงลดความเฮี้ยบลง (และเราจะได้เหนื่อยน้อยลง 555) แต่ตอนนี้พูดยาก เพราะเด็กไทยไม่มีความอยาก และความกล้าจะทำอะไร จากคุณ : Canossa - [ 10 ก.พ. 52 18:21:24 ]

ความคิดเห็นที่ 27 มาเพิ่มเติม พอดีเมื่อวานถูกแกะตัวออกจากเนต คุณกระต่ายขาวมีการเขียนพาดพิงบางอย่างถึงเราด้วย สิ่งที่คุณกระต่ายขาวเขียน เป็น past tense นะขอรับ เอิ้กๆๆๆ จากคุณ : Canossa - [ 11 ก.พ. 52 16:40:22 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ผมจะเล่าเรื่องจริงให้ฟังเรื่องหนึ่ง เหตุเกิดในสถาบันการศึกษาระดับสูงกว่าปริญญาตรีในเมืองไทยนี่ล่ะ   แต่ที่นั่นเขาสอนเป็นภาษาอังกฤษ นักศึกษารายหนึ่งนั่งฟังเพื่อนๆถกโจทย์ที่อาจารย์ให้กันจนเกือบหมดชั่วโมงโดยไม่พูดอะไรเลย   อาจารย์ (เพื่อนผมเอง) อดรนทนไม่ได้   เพราะสั่งให้ถกกันแล้วรายนี้นั่งเงียบ   ก็เลยชี้เข้าให้และบอกว่า  "Say something." นักศึกษารายนั้นลุกขึ้นยืนและพูดเสียงดังฟังชัดไปทั้งห้องว่า "SOMETHING." ไอ้วิชาที่เรียนนั่นก็เป็นแบบเดียวกับของอ. Canossa นั่นล่ะครับ   คือหาตำราภาษาไทยไม่ค่อยได้   แต่ถ้ามหาบัณฑิตมีคุณภาพขนาดนี้มาสมัครงานผมคงไล่ให้ไปผูกคอตาย จากคุณ : Tanis - [ 16 ก.พ. 52 15:53:10 ]

ความคิดเห็นที่ 29 คุณ white rabbit คุณเขียนได้โดนมากนะ โดยเฉพาะเรื่องค่าแรงในเมืองไทย ถ้าเดาไม่ผิด  เราเคยพบกันที่งานสัมมนา ณ สำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง ถ้าเดาผิด ก็ ขอโทษด้วย Well, see you around this web. ^_^ จากคุณ : พระเอกละครหลังข่าว - [ 16 ก.พ. 52 21:41:22 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ส่วนใหญ่ที่เจอ อาจารย์ให้ นศ ไปแปล Text โดยแบ่งกลุ่ม แต่ละกลุ่มรับผิดชอบแต่ละบท แล้วอาจารย์ก็เอาไปทำผลงานวิชาการ จากคุณ : มหัศจรรย์เขาวงกต - [ 17 ก.พ. 52 19:12:24 ]

ความคิดเห็นที่ 31 โอ้คุณ Canossa เป็น past tense สิดี จะได้โฆษณาขายครีมหน้าเด้งได้ อิๆๆๆๆ โอ้คุณพระเอกละครหลังข่าว ไปที่นั่นด้วยเหมือนกันหรือ งั้นสวัสดีอีกรอบหนึ่ง จากคุณ : white rabbit - [ 18 ก.พ. 52 01:02:37 A:124.121.92.224 X: ]

ความคิดเห็นที่ 32 ท่านกระต่ายขาว ใช้โฟโต้ฉอบง่ายกว่านะ คุณกระต่ายเขาวงกต แล้วนักศึกษาก็จ้างคนแปลอีกที จากนั้นรวบรวมเย็บเล่มมาส่ง ใช่ไหม นั่นคือเหตุผลที่หลายคนอ่านหนังสือแปลแล้วเกิดอาการสยอง จนต้องไปหาเล่มต้นฉบับมาอ่านเอง 555 คุณ Tanis ตอนนี้คนเห่อหลักสูตรอินเตอร์กันมาก อยากรู้เหมือนกันว่าจบแล้วไปทำงาน ลูกค้าของบริษัทที่รับคนที่จบ หลักสูตรอินเตอร์เป็นคนชาติไหน หรือเอาแค่ว่า จบแล้วตัวเองจะ อยู่ประเทศไหน สงสัยจริงๆ เพราะภาษาไทยก็ไม่แข็งแรง ภาษาต่างด้าวก็ไม่แข็งแรง เวลาสื่อสารกับคนอื่น มันอึดอัดนะ จากคุณ : Canossa - [ 20 ก.พ. 52 15:04:48 ]

ความคิดเห็นที่ 33 Anyone is interested in exchanging opinions on English language, please contact me. Thanks. จากคุณ : v - [ 25 ก.พ. 52 12:12:35 A:202.142.193.21 X: ]