ความคิดเห็นที่ 1 เพราะ คำว่า ลาว ครับ รักจึงไม่สมหวัง แรกเลย พระองค์เจ้าชายเพ็ญพัฒนพงศ์ แรกประสบพักตร์ คราวไปเที่ยวเชียงใหม่ นั้น เจ้าราชสัมพันธวงศ์ กับ เจ้าหญิงคำย่น นำ พระธิดามาร่วมต้อนรับด้วย ซึ่ง วันนั้น เจ้าชมชื่น อายุ แค่ 16 พระองค์เจ้าชายเพ็ญพัฒนพงศ์ ถึงกับเอ่ยปากขอลูกสาว เจ้าราชฯ ในงานนั้นเลยเชียว ซึ่ง แน่นอน เจ้าราช ย่อมหวง เจ้าหญิงน้อย องค์นี้ ปานแก้วตาดวงใจ จึงได้ทดทานไปว่า เจ้าหล้า ของเฮานั้น ยังอายุไม่ถึงจารีตแต่ง เนื่องด่วยเจ้าหล้า ยังอายุแค่ 16 หากประสงค์องค์ตรงพระทัยแล้วนั้น รอให้เจ้าหล้า อายุได้ 18 เสียก่อนเถิด จึงจะต้องตรงจารีตทางลานนา (ซึ่ง จริง ๆ แล้ว จารีตนี้ ไม่มีนะครับ ชาวบ้านธรรมดา แต่งออกเรือนกัน ตั้งแต่อายุ 11 - 12 กันแล้ว แต่ อีกประเด็นนึงที่ กล่าวขานกันก็คือ สมัยนั้น คนกรุงเทพ นิยม ออกเรือนกับ สาวลานนา เพื่อเอามาเป็นแค่ หญิงบำเรอ โดยเฉพาะ เจ้านายฝ่ายพระนครหลายคน มี ฮาเร็ม หญิงลานนา ด้วยซ้ำ เจ้านายฝ่ายเหนือ จึง ค่อนข้าง ตั้งป้อม การสมรส ระหว่างเจ้านายฝ่ายเหนือ และ เจ้านายฝ้ายพระนคร เป็นประเด็น แม้ขนาด พระราชชายา ดารารัสมี ยังประทับอยู่ใน วังพระนครไม่ได้ ยังต้องย้ายพระประเทียบไปอยู่ถึง เกาะสีชัง" แต่ พระองค์เจ้าชายเพ็ญพัฒนพงศ์ ความลุ่มหลง เจ้านางชมชื่น จน ออกพระอาการ หลงเพ้อละเมอหา กลับมาพระนครแล้ว ก็ ยังระลึกถึง ทุกเวลา แต่นั่นแหละ ด้วยค่านิยม รังเกียจ ลาว จึงไม่ยินยอมให้การสมรสครั้งนี้ บังเกิดขึ้น จากคุณ : greeny pony - [ 7 ก.พ. 52 08:09:28 ]

ความคิดเห็นที่ 2 โอ้ละหนอ ดวงเดือนเอย ข้อยพี่มาเว้า รักเจ้าสาวคำดวง โอ้ดึกแล้วหนอ ข้อยขอลาล่วง   โอ๊ะพี่เป็นห่วง รักเจ้าดวงเดือนเอย   ขอลาแล้ว  เจ้าแก้วโกสุม   ข้อยนี้รักเจ้าหนอ ขวัญตาเรียม   จะหาไหนมาเทียม เจ้าดวงเดือนเอย   หอมกลิ่นเกสร เกสรดอกไม้   หอมกลิ่นคล้าย คล้ายเจ้าสูเรียมเอย   หอมกลิ่นกรุ่นครัน หอมนั้นยังบ่เลย   เนื้อหอมทรามเชย เราละเหนอ   โอ้ละหนอ นวลตาเอย   ข้อยนี้รัก แสนรักดังดวงใจ   โอ้เป็นกรรม ต้องจำจากไป   โอ๊ะพี่อาลัย เจ้าดวงเดือนเอย   เห็นเดือนแรม เริศร้างเวหา   ข้อยเบิ่งดูฟ้า(ละหนอ) เห็นมืดมน พี่จะทนทุกข์ทน เจ้าดวงเดือนเอย   เสียงไก่ขันขาน มันหวานเจื้อยแจ้ว   ช่างหวานสุดแล้ว หวานแจ้วเจื้อยเอย   ถึงจะหวานเสนาะ หวานเพราะกระไรเลย   บ่เหมือนทรามเชย เราจะเหนอ พระองค์เจ้าชายเพ็ญพัฒนพงศ์ ทรงมีอารมณ์อ่อนไหวละเอียดอ่อน          ประกอบกับพระวรกายไม่ค่อยมบูรณ์แข็งแรงเท่าไรนัก ดังนั้น เมื่อผิดหวังจากความรักและทรงหมกมุ่นกับหน้าที่การงานอย่างหนักเพื่อให้ลืมความหลังอันแสนเศร้าของพระองค์ที่ฝังใจอยู่ตลอดเวลา ทำให้พระองค์มีพระชนมชีพสั้นมาก          พระองค์เจ้าชายเพ็ญพัฒนพงศ์ สิ้นพระชนม์ เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2453 ด้วยพระชันษา 28 ปีเท่านั้น (คราวแรกประสบพักตร์ นั้น เมื่อพระชนม์ 21 แปลว่า 7 ปีที่ทรงระทมรัก)          ส่วนเจ้าหญิงชมชื่น ต่อมาเข้าพิธีสมรสกับเจ้าน้อยสิงห์คำหรือเมืองคำ ณ ลำพูน บุตรเจ้าบุรีรัตน์พรหมเทศ มีทายาท คือ เจ้าวุฒิ ณ ลำพูน ซึ่งต่อมาได้สมรสกับเจ้าหญิงฟองแก้ว ณ เชียงใหม่ (ทายาทเจ้ามหาวงศ์ ณ เชียงใหม่ เศรษฐีบ้านสันทราย) และนี่ คือภาพ เจ้านางชมชื่น ในชนมายุ 20 ชันษา แก้ไขเมื่อ 07 ก.พ. 52 08:15:05 จากคุณ : greeny pony - [ 7 ก.พ. 52 08:12:04 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เล่าต่อด้วยค่ะ  ชอบเพลงลาวดวงเดือนมากค่ะ จากคุณ : nervous - [ 7 ก.พ. 52 08:14:45 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เพลงลาวดวงเดือนนี้เดิมชื่อ "ลาวดำเนินเกวียน"  มีคำบอกเล่าที่มาขงเพลงนี้เป็น ๒ แนวทาง  ฝ่ายหนึ่งว่าทรงพระนิพนธ์เมื่อคราวเสด็จประพาสหัวเมืองมณฑลพายัพเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๕  แต่อีกฝ่ายหนึ่งว่า ทรงพระนิพนธ์เมื่อคราวเสด็จไปตรวจราชการเรื่องไหมที่เมืองปักธงชัย   หากพิจารณาจากเนื้อร้องของเพลงนี้ซึ่งใช้คำว่า"ข้อย" และ "เว้า" ซึ่งเป็นคำทางอีสานแล้ว  ก็น่าจะทรงพระนิพนธ์เมื่อคราวเสด็จเมืองปักมากกว่า ส่วนเรื่องเจ้าหญิงล้านนากับเจ้าชายสยามนั้น  ดูจะเป็นเรื่องราวต่อเนื่องกันมาตั้งแต่ครั้งกรมหวงพิชิตปรีชากรเสด็จขึ้นไปจัดราชการที่เมืองเชียงใหม่  ก็ทรงได้เจ้านายเชียงใหม่มาเป็นหม่อม  แต่คราวนั้นไม่พบหลักฐานว่า ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ มีพระราชกระแสว่ากระไร  แต่คราวที่กรมขุนพิทยลาภพฤฒิธาดาเป็นข้าหลวงพิเศษขึ้นไปประจำที่เชียงใหม่เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๒ และทรงรับเจ้านายเชียงใหม่มาเป็นม่อมนั้นมีหลักฐานว่า ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ ทรงกริ้วและทรงตำหนิโทษพระเจ้าน้องยาเธอพระองค์นั้นค่อนข้างรุนแรงเลยทีเดียว  แต่ในระยะต่อมาดูเหมือนจะเป็นช่วงต้นรัชกาลที่ ๖ ที่เจ้านายสยามทรงรับเจ้านายล้านนามาเป็นชายากันหลายองค์  เช่น พระองค์เจ้าบวรเดช กับเจ้าทิพวัน กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน กับเจ้าลดาคำ  เป็นต้น จากคุณ : V_Mee - [ 7 ก.พ. 52 10:36:39 ]

ความคิดเห็นที่ 5 สำหรับคำว่า "ข้อย" และคำว่า "เว้า" น่าจะเป็นการเข้าใจของทางคนบางกอกมากกว่านะครับ ที่แยกแยะระหว่าง ล้านนากับล้านช้างไม่ออก แม้แต่ในสาวเครือฟ้า ก็ยังมีเลยครับ จากคุณ : ศศิศ - [ 7 ก.พ. 52 14:56:15 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ต้องขอทำความเข้าใจ คำว่า ลาว ในอดีต กับคำว่า ลาว ในปัจจุบัน นั้น ต่างกันโดยสิ้นเชิงครับ สำหรับสยามประเทศ เราไม่เคยใช้คำว่า ลาว กับ อีสานทั้งภาค รวมไปถึง สวรรค์เขต จำปาศักดิ์ หรือ ขอนแก่น แม้กระทั่ง โคราช สระบุรี เลย คำว่า ลาว ของสยามนั้น กล่าวขานกันมา ตั้งแต่ ศรีรามเทพนคร นั่นแล้วว่า ลาว คือ ผู้คนนอกเขตสยาม เทียบคำไทยก็ คือ เหล่า ผู้คนในล้านช้าง ล้านนา หัวพันทั้งห้า หัวป่าทั้งหก เท่านั้น สิบสองจุไท ก็ เรียกว่า ไท สยามเองแบ่ง เหล่าไทน้อย ออกเป็น สองฝ้ง แล้ว ถือว่า ลาว มี 2 ประเทศ คือ ล้านช้าง กับ ล้านนา เวียงพิงค์ นอกเหนือจากนั้น จะไม่เรียกว่า ลาว โดยเฉพาะ ภาคอีสาน เป็น ไท ทั้งสิ้น ยกเว้น สองเมือง ที่ สืบเชื้อสายมาจากเจ้าลาว คือ นครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน หรือ หนองบัวลุ่มภู ซึ่งเป็นหลานแท้ ๆ ของพระนางจามเทวี แห่ง ลำพูนนั่นคือ พระวอ กับเจ้าหญิงแสนหวีเครือ ได้ชื่อว่า ลาวพุงขาว กับ ลูกหลานของ พระวอ คือ พระตา และเจ้าคำผง แห่งอุบลราชธานีศรีวนาลัยประเทศราช ผู้บุตรและ หลานของเจ้าหญิงแสนหวีเครือ แห่งผู้ย้ายหนองบัวลุ่มภู  หนีทัพล้านช้าง มาอยู่ดอนมดแดงดงอู่ผึ้ง เรียกว่า ลาวกาว เท่านั้น ที่ว่า ลาว จึงเป็น เจ้า ประเทศ เทียบเท่า กษัตริย์ เช่นกันกับ ประเทศสยาม สืบเนื่องมา ยาวนานมาก เสมอกันด้วยประวัติศาสตร์ และ ศักดินา เท่ากันมาตลอด มี บางครั้งที่ ทัพสยาม ขึ้นไป ตี เมื่อ เห็นว่า กษัตรืย์สองชาตินี้ เอาใจออกห่าง จริง ๆ แล้ว สยาม เอง เห็นว่า ภูมิภาคนี้ มี แค่ 5 กษัตริย์ คือ สยาม พม่า ลานนา ล้านช้าง และ ละแวกญวน จนกระทั่ง เราว่างทัพจากพม่า เพราะ สิ้นสงครามเก้าทัพแล้ว เราจึง แสดงแสนยานุภาพ ออกตี ประเทศเหล่านี้ เข้าร่วม อาณาจักรสยาม ด้วยกัน จะเห็นได้ว่า เมืองใน ของอาณาจักรสยาม มีอยู่เพียงไม่มาก คือ นับจาก ประจวบคีรีขันธ์ ไปประจันต์คีรีเขต อรีญประเทศ วิเศษไชยชาญ กาญจนบุรี แค่นี้เอง นอกนั้น ถือเป็นหัวเมืองบรรณาการ ทั้งสิ้น คำว่า ลาว นี้ เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย สำหรับสยาม มาโดยตลอด สังเกตได้จาก ขนาดรัชกาลที่ 4 พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรง ออกกฎหมายห้าม แอ่วลาว ซึ่งเป้นที่นิยมกันในสมัยนั้น ขนาดที่ว่า ต้องหา หญิงลาว มาบำเรอกันเลยทีเดียว ไม่เว้นแม้กระทั่ง พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว (ได้มีประกาศห้ามมิให้เล่นแอ่วลาว เมื่อ ณ วันศุกร์ เดือน 12 แรม 14 ค่ำ ปีฉลูสัปตศก 1227 (พ.ศ. 2408) การแอ่วลาว ในที่นี้ คือ การ ร้องเพลงลาวลานช้าง หรือ ลานนา เกี้ยวสาว โดยใช้ แคน เป็นเครื่องดนตรีประกอบ) และ หากมองเพลงไทย ในชุด เพลงลาว ทั้งหลาย จะเห็นได้ว่า ล้านมีที่มา จาก พื้นเพแถบภาคเหนือ ทั้งสิ้น เช่น ลาวดำเนินเกวียน ลาวล่องน่าน ลาวลำปางใหญ่ ลาวดวงดอกไม้ ลาวกระแต ลาวกระแซ ลาวครวญ มีเพียงลาวเดียว ที่ได้จาก อุบลราชธานีศรีวนาลัย คือิ ลาวกระทบไม้ (การรำกระทบไม้เป็น อารยธรรม ของ จำปาศักดิ์ หรือ ขอม) แก้ไขเมื่อ 07 ก.พ. 52 17:01:20 จากคุณ : greeny pony - [ 7 ก.พ. 52 16:59:33 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เราเพิ่งจะเรียกอีสานเป็น ลาว เมื่อ ฝรั่งเศส ยึดฝั่งซ้าย ขวา แม่น้ำโขงไป แยกเป็นประเทศ ลาว ไม่นานนี้เองครับ จากคุณ : greeny pony - [ 7 ก.พ. 52 17:00:36 ]

ความคิดเห็นที่ 8 อ่านความเห็นที่ ๕ แล้วก็น่าคิดครับ  แต่มีข้อที่น่าคิดอีกข้อหนึ่งคือ ชื่อ เพลงลาวดำเนินเกวียนนั้น  กล่าวกันว่าพระองค์เพ็ญฯ ทรงได้แรงบันดาลใจเพราะทอดพระเนตรพระจันทร์วันเพ็ญสมกับพระนาม  ในระหว่างประทับเกวียนรอนแรมไปในป่า  แต่การเสด็จไปมณฑลพายัพคราวนั้น  เสด็จทางเมืองแพร่ไปเมืองน่าน  แล้วจึงย้อนมาลำปาง  ลำพูน  เชียงใหม่  แล้วเสด็จกลับทางลำน้ำปิง  จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะทรงดำเนินเกวียน  แต่ในเส้นทางผ่านดงพญาไฟไปโคราชนั้นดำเนินเกวียนสะดวกการทรงช้างและม้า  จึงควรเชื่อได้ว่า พระนิพนธ์ลาวดำเนินเกวียนนี้น่าจะเป็นคราวเสด็จตรวจราชการที่เมืองปักธงชัยมากกว่าเสด็จมณฑลพายัพ จากคุณ : V_Mee - [ 7 ก.พ. 52 22:03:23 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ขอบคุณครับผม...คุณ V_Mee ตกลง สองแนวนี่ หนึ่งเป็นคราวแต่ง อีกแนวหนึ่งคือแรงบันดาลใจ จะได้ไหมครับผม หากสรุปอย่างนี้ ปล1. พอดีไม่ทราบว่า พระองค์เสด็จไปทางไหนก่อนหลังครับผม ปล2. อ่านย้อนอดีตล้านนา สนุกดีครับ และได้อะไรอีกเยอะเลยครับผม จากคุณ : ศศิศ - [ 7 ก.พ. 52 22:11:04 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ปล1. พอดีไม่ทราบว่า พระองค์เสด็จไปทางไหนก่อนหลังครับผม เสด็จมณฑลพายัพปลายปี ๒๔๔๕  เสด็จอีสานไม่แน่ใจว่าปีไหน  แต่คาดว่าน่าจะเป็นปี ๒๔๔๗ หรือ ๔๙  ก่อนสิ้นพระชนม์ในปี๒๔๕๒ ไม่นานครับ ปล2. อ่านย้อนอดีตล้านนา สนุกดีครับ และได้อะไรอีกเยอะเลยครับผม ขอบพระคุณครับ  และได้ข่าวมาว่า ตอนนี้มีการขุดค้นประตูช้างเผือกและวัดอินทขิลเพื่อหาหลักฐานทางโบราณคดี  รวมทั้งมีการศึกษาเรื่องเวียงแก้วเพิ่มเติมด้วย จากคุณ : V_Mee - [ 8 ก.พ. 52 07:10:33 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ^ ^ นั่นสิคะ  เห็นว่าจะรื้อคุกกลางเวียงออก แล้วจะลองขุดพื้นดู เผื่อพบซากโบราณสถาน จากคุณ : ยาควัน - [ วันมาฆบูชา 11:24:00 ]

ความคิดเห็นที่ 12 บริเวณที่เป็นคุกนั้นเป็นเพียง ๑ ใน ๓ ของเวียงแก้ว  อีกประการสิ้งก่อสร้างในเมืองเชียงใหม่ยุคก่อนล้วนเป็นไม้  แล้วมีการรื้อย้ายไปปลูกสร้างเป็นวิหารตามอารามต่างๆ มาโดยลำดับ  จึงเชื่อว่าขุดค้นไปก็คงจะไม่เจอหักฐานอะไรมากนัก  ถ้าจะให้ได้ผลจริงๆ คงต้องขยายแนวขุดค้นขึ้นไปถึงบริเวณบ้านพักข้าราชการที่อยู่เหนือคุก  ซึ่งเป็นอีก ๑ ใน ๓ ของพื้นที่เวียงแก้ว  แต่ต้องระวังพวกเสื้อแดงด้วย  เดี๋ยวจะไปห้ามขุดค้น  เพราะเกรงว่ากรมศิลปากรจะไปวางคุณไสยมิให้ พ.ต.ท.ทักษิณ  กลับมาเมืองไทยเหมือนที่ไปขวางมิให้ขุดหาหลักฐานที่ประตูช้างเผือกมาแล้ว จากคุณ : V_Mee - [ วันมาฆบูชา 13:53:06 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ^ ^ พื้นที่คุกนั้น เคยเข้าไปครั้งหนึ่งครับ ผมก็คิดว่า ซากฐานอะไรคงไม่มีอะไร เพราะเป็นอาคารไม้ แต่อาจจะมีเข้าของอย่างเศษกระเบื้อง เศษถ้วยชามบ้าง (อย่างที่เคยขุดเจอบริเวณหลังศาลากลางหลังเก่า) แต่ที่แน่ๆ "น้ำบ่อ" เท่าที่นับได้ มีตั้ง ๗ บ่อ เป็นบ่อเก่าโบราณ บางบ่อ อยู่ใต้บันไดอาคาร  บางบ่อ อยู่ในตัวอาคารโดยมีฝาปิดปากบ่อไว้ ไม่ได้ถมบ่อแต่อย่างใด และน้ำบ่อ ก็เป็นตัววัดการตั้งบ้านเรือนอีกด้วย เพราะยิ่งในเวียงแก้ว คนอยู่มาก ก็ย่อมที่จะมีน้ำบ่อหลายบ่อ  และยังคงค้างมาถึงปัจจุบัน เพราะคนล้านนาไม่ถมน้ำบ่อ จากคุณ : ศศิศ - [ วันมาฆบูชา 17:48:06 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เห็นตรงข้างวัดพันเตา ที่เป็นอาคารพานิฃยื ก็มีบ่อน้ำอยู่ หน้าอาคาร ริมถนนเลย จากคุณ : akkarachai - [ 13 ก.พ. 52 01:44:16 ]