ความคิดเห็นที่ 1 ก็จะเป็นฝรั่งไปแล้วครับ น่าจะเป็นแนวๆ ฟิลิปินส์ จากคุณ : ชาเขียว - [ 17 ก.พ. 52 10:19:50 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ปัจจัยสุ่มมีเยอะคาดการไม่ถูก จากคุณ : Nexus - [ 17 ก.พ. 52 10:29:32 ]

ความคิดเห็นที่ 3 อืม ออกฟอร์ด ตั้งขึ้นเมื่อ 120 ปี ก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยา แต่ก็เป็นโบสถ์ ที่มีการสอบภาษาละติน กับวิชาอื่นๆ บ้านเราก็คงเป็นวัด ที่มีการสอนพุทธศาสนา กับวิชาอื่นๆ แต่ของเราหนังสือไม่เยอะ เพราะไม่ชอบเขียน ที่สำคัญ พุทธศาสนา มุ่งเน้นจะสอนให้คนหลุดพ้นมากกว่า แล้วก็นิสัยที่หวงความรู้ ไม่ยอมสอนคนอื่น และผู้หญิง จะไม่ให้เรียนหนังสือ เพราะกลัวไปเขียนเพลงยาวโต้ตอบกับผู้ชาย ทำให้ไม่เจริญเท่าที่ควร จากคุณ : กริชครับผม - [ 17 ก.พ. 52 10:33:13 ]

ความคิดเห็นที่ 4 จริงๆในเอเชียของเราก็มีมหาวิทยาลัยมานานแล้วหน่ะครับ เพียงแต่ส่วนมากจะเน้นไปในการสอนทางด้าน ปรัชญา ประวัติศาสตร์ ศาสนสตร์ ภาษาศาสตร์ ศิลปศาสตร์ (อาจจะมีเวทศาสตร์และไสยศาสตร์ควบคู่ไปด้วย) มากกว่าทางด้วยวิทยาศาสตร์ ส่วนสมมติถ้ามีมหาวิทยาลัยในสมัยอยุธยา ผมก็คิดว่ายังไงภายหลังก็ต้องโดนสมเด็จพระเพทราชา ปิดสถาบันไปอยู่ดี หรือถ้ารอดมติของสมเด็จพระเพทราชาไปได้ ก็คงโดนยุบหรือเลิกไป ตอนกรุงแตกๆแน่นอนครับ จากคุณ : อุ้ย (digimontamer) - [ 17 ก.พ. 52 11:06:46 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ในสมัยอยุธยาอาจยังไม่พร้อมด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่าง แต่ในสมัยรัตนโกสินทร์ สยามพร้อมตั้งมหาวิทยาลัยแล้วตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๔ แต่ดำเนินการจนเป็นมหาวิทยาลัยได้จริง ๆ ในสมัยรัชกาลที่ ๖ ส. ธรรมยศ เขียนไว้ในหนังสือ REX SIAMEM SIUM หรือ พระเจ้ากรุงสยาม เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๔ เกี่ยวกับการตั้งมหาวิทยาลัยแห่งแรกในสยาม ไว้ว่า ข้าพเจ้าอยากจะมีกระดาษอีก ๑๐๐ หน้าเขียนเกี่ยวกับเบื้องหลังการตั้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอย่างที่สุด ถ้าจะให้เขียนอย่างโง่ ๆ เกี่ยวกับปัญหาชาติพันธุ์ภายในประเทศ หรือปัญหาการเมืองภายในประเทศของสยามแล้ว เราควรจะตั้งมหาวิทยาลัยภาคที่เชียงใหม่ ที่อุดร ที่อุบลฯ และที่นครศรีธรรมราชมาตั้งแต่รัชกาลของ "พระเจ้ากรุงสยาม" (รัชกาลที่ ๔).... รัชกาลที่ ๔ ทรงร่ำเรียนมากรู้มาก แน่นอนพระองค์ต้องทรงรู้จักคำว่า  universitas ซึ่งแปลว่า "มหาวิทยาลัย" แต่ก็น่าแปลกใจที่ไม่ทรงบัญชาให้ตั้งมหาวิทยาลัยเยี่ยงโลกขึ้นในครั้งนั้น รัชกาลที่ ๕ ก็ดุจเดียวกัน เสด็จไปทอดพระเนตรความเจริญของยุโรปถึงสองครั้ง .....เรื่อง "มหาวิทยาลัย" เป็นหัวใจของความเจริญ ไฉนจึงมองข้าม ข้าพเจ้าเข้าใจไม่ได้ "พระเจ้ากรุงสยาม" ทรงจ้างชาวต่างประเทศมาอำนวยงานแผ่นดินต่างพระเนตรพระกรรณถึง ๘๔ คน ทำไมไม่ทรงจ้างมาอีก ๑๐ คนเพื่อให้ตั้งมหาวิทยาลัยขึ้น ?  ข้าพเจ้าเข้าใจไม่ถึงอีก......... มิสซิสแอนนาสดุดีศิษย์เอกตอนเช้าของนางคือ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ภายหลังเมื่องทรงเป็นกษัตริย์ว่า "ได้ทรงส่งนักเรียนไทยไปศึกษาต่างประเทศมากมายและทรงขนชาวต่างประเทศมาทำงานในเมืองไทยแพง ๆ" แต่ก็ทรงละเว้นไม่ตั้งมหาวิทยาลัย ........ ในรัชกาลที่ ๖ นั้น ถ้าชาติไทยไม่มีนักศึกษาชั้นพิเศษคนเดียวคือ พระยาธรรมศักดิ์มนตรี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะตั้งมิได้เป็นอันขาด แต่ถึงกระนั้นข้าพเจ้าได้เห็นน้ำตาเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี เมื่อกรุณาเล่าเรื่องการต่อสู้เพื่อตั้งมหาวิทยาลัยแห่งแรกแก่ข้าพเจ้า ใน พ.ศ. ๒๔๗๙ ในปีนั้นข้าพเจ้าสอนภาษาฝรั่งเศสที่โรงเรียนสตรีจุลนาค ผู้ขัดขวางการตั้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่รุนแรงที่สุดคือ พระยายมราช (มหาปั้น สุขุม) ได้ต่อว่าเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีว่า "ขืนตั้งราชวงศ์จักรีจะแย่ แต่ถ้าเจ้าคุณจะตั้ง ผมตายก็อย่ามาเผาผม เจ้าคุณตายผมก็จะไม่ไปเผาเจ้าคุณ มันยังไม่ถึงเวลาตั้ง" ผู้บอมบ์เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีคนที่ ๒ คือ พระยาจันทบุรีนฤนาท เสนาบดีกระทรวงคลังสมัยนั้น ถึงกับบันทึกว่า "การตั้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยให้ได้นั้น เสนาบดีกระทรวงธรรมการจะพารัฐบาลเข้าปิ้งทางการเงิน" และข้าพเจ้าขอให้นักศึกษาสังเกตงบประมาณของกระทรวงธรรมการตลอดเวลา ๑๕ ปีหลังจากที่ตั้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยายแล้ว ว่าจะถูกตัดทอนถูกกระเบียดกระเสียน เป็นการลงโทษเสนาบดีกระทรวงธรรมการอย่างไร นอกจากจะป้ายร้ายว่าผู้ต่อสู้เพื่อตั้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นผู้ทำให้การศึกษาของชาติต่ำต้อยถอยลงแล้ว เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีเป็นเจ้าพระยาที่ยากจนที่สุดของประเทศสยาม แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 52 11:46:12 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 17 ก.พ. 52 11:35:18 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ถึงแม้จะไม่มีอย่างเป็นรูปธรรม แต่ก็มีการส่งนักเรียนทุนสยาม ไปเรียนวิชาการที่ฝรั่งเศสนะครับ ในยุคสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชตอนปลายหนะครับ จากคุณ : ศรีสิทธิสงคราม - [ 17 ก.พ. 52 12:04:39 A:192.168.0.17 X:58.10.222.217 TicketID:196977 ]

ความคิดเห็นที่ 7 คห.3  โรงเรียนวัดไม่ได้สอนให้หลุดพ้น   แต่สอนให้เป็นคนดีรู้จักการใช้ชีวิต   โรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ทุกวันนี้ก็ไม่ได้สอนให้หลุดพ้น สอนให้อยู่ในโลกอย่างมีความสุขให้เป็นพลเมืองที่ดีในสังคม   สอนให้หลุดพ้นเป็นหลักการของศาสนา ไม่ใช่ขั้นตอนสอนเด็กๆ วัดไม่ได้หวงวิชาทั้งเจ้าทั้งคนสามัญเรียนเท่าเทียม โดนดุโดนตีเหมือนกัน หวงวิชาต้องเป็นพวกช่างสิบหมู่  ไม่ใช่โรงเรียนวัดที่เรียนฟรีทุกกรณี ที่วัดไม่สอนเด็กผู้หญิง เพราะอาจารย์เป็นพระทำให้ยุ่งยากในการสอน เด็กชายต้องไปเป็นเด็กวัดทำให้ใกล้ชิดการศึกษามากกว่าเด็กหญิง เรื่องแต่งเพลงยาวเป็นขนบของสังคมพ่อแม่ไม่ยอมส่งลูกสาวไปเรียนเอง วัดไม่ได้ออกกฎนี้มา  ตั้งแต่สมัยพุทธกาลศาสนาไม่เคยกีดกันชายหญิง มีสิทธิ์บวชศึกษาบรรลุธรรมเท่ากันหมด ตอบกระทู้  มันมีปัจจัยหลายอย่างที่เป็นไปไม่ได้ ทางบ้านเมืองไม่เริ่ม ประชาชนยังไม่พร้อม (เปลี่ยนความเชื่อวิธีคิด) เป็นประเทศเกษตรกรรมอุดมสมบูรณ์  ภูมิประเทศอากาศเหมาะเพาะปลูก อาหารมีเหลือเฟือ  ไม่ต้องการอุตสาหกรรมเร่งหรือเพิ่มการผลิต ให้พอแก่ผู้บริโภคเหมือนยุโรปซึ่งอากาศหนาวผลิตอาหารไม่พอเพียง คนโบราณมีความเชื่อปลูกฝังจากรุ่นสู่รุ่น ต้องปรับความคิดนานกว่าจะรับวิทยาการตะวันตก อย่างการทำคลอดแบบตะวันตกก็เพิ่งมีสมัยร.5   เรื่องก่อตั้งมหาวิทยาลัยตะวันตกจึงไม่ใช่เรื่องง่าย   สร้างแล้วต้องหาคนมาเรียน ไม่เหมือนสมัยนี้ ฉะนั้นการตั้งมหาวิทยาลัยจึงต้องดูสังคมประกอบกัน แต่มหาวิทยาลัยเอเชียมีมาก่อนยุโรปคือมหาวิทยาลัยนาลันทาที่อินเดีย (ถ้าไม่ยึดติดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์) เป็นความเด่นความนิยมคนละอย่างมากกว่า ตะวันตกเด่นพัฒนาวัตถุ  ตะวันออกเด่นพัฒนาจิตใจ (เดี๋ยวนี้ตะวันตกหันมาสนใจศึกษาวิถีตะวันออกมากขึ้นทุกที) แต่ถ้าสมมุติเล่นๆว่ามีจริงจะเป็นยังไง ก็คงเจริญเหมือนยุโรปหรือใกล้เคียง และคงจะเครียด ค่าครองชีพสูงกว่าปัจจุบัน แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 52 16:43:44 แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 52 13:06:25 จากคุณ : วสันดิลก - [ 17 ก.พ. 52 12:27:11 ]

ความคิดเห็นที่ 8 คุณวสันดิลกพูดโดนใจค่ะ มหาวิทยาลัยเป็นสิ่งที่มีมาในยุคหลัง จะว่าไปแล้ว มันมีหลายสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ในมหาวิทยาลัยอย่างเป็นแบบแผนแต่ก็เป็นสิ่งที่สำคัญต่อชาติเรา มหาวิทยาลัยก็สอนไม่ได้ แต่ต้องอาศัยการเรียนรู้ผ่านผู้ใหญ่ ใช่ครูจะหวงวิชา แต่บางครั้งวิชาหลายอย่างปล่อยคนเรียนมากไปก็จะเกิดปัญหา ในเวลาที่ว่าความรู้อาจถูกนำไปใช้ในทางไม่ดี (ลองดูสมัยนี้สิคะ คนเอาความรู้จากมหาวิทยาลัยไปทำอะไรบ้าง หั่นศพ โกง เยอะไปหมดเลย) ศิษย์จะเรียนก็ต้องมาอยู่กับครูซึ่งครูจะเลือกว่าใครมีปัญหาเท่าใด มีนิสัยเหมาะกับการเรียนสูงแค่ไหน เอเชียเรานี้วิทยาการไปไกลกว่ายุโรปเยอะค่ะ เพียงแต่เขารู้จักการนำมาต่อยอดได้เก่ง หลายๆสิ่งเช่นคณิตศาสตร์ เทคโนโลยี ทางจีน ทางอินเดียคิดได้ก่อน ปรัชญา ศาสนา ก็ใช่   มหาวิทยาลัยสมัยก่อนก็ไม่ใช่เหมือนสมัยนี้ค่ะ ถ้าโต้ว่าทางบ้านเราห้ามหญิงเรียนหนังสือ ศึกษาจริงๆในสมัยก่อนแทบไม่มีผู้หญิงในโลกที่รู้หนังสือ แม้แต่ในราชสำนักยุโรปก็ดี หายากมากๆที่เจ้าหญิงจะอ่านออกเขียนได้เก่ง หากไม่ใช่จากบางราชสำนักที่เข้าใจความสำคัญของการศึกษาก็จะให้พระราชธิดาเรียนภาษาบ้านตัว และภาษาประเทศที่อาจไปแต่งงานการเมืองด้วย แต่โดยรวม สตรีก็ไม่ได้รับการศึกษาจริงๆ อ่อ ที่พอจะมีความรู้มากนั้นกลับเป็นคนที่อยู่ในอาชีพให้ความบันเทิงเช่น นางบำเรอ ซึ่งพวกเธอเก่งกล้าขนาดว่าโต้คารม หรือออกความเห็นทางการเมืองได้ทีเดียว ผู้หญิงไทยสมัยก่อนได้รับการสอนอ่านออกเขียนได้พอสมควร มันก็แล้วแต่ครอบครัวด้วย บางบ้านก็ให้เรียน และเพราะวัฒนธรรมก็ทำให้การเรียนเป็นแม่บ้านแม่เรือน หรือการทำงานชวยครอบครัวสำคัญกว่า ส่วนผู้ชายมีโอกาสในการบวชเรียน เป็นกำลังหาเลี้ยงครอบครัว ไม่รับราชการก็ค้าขายก็ทำนา ถ้าเรียนได้สูงก็รับราชการไป ถ้าครอบครัวไม่ได้มีฐานะมากมายก็เรียนในการประกอบการค้า ออกมาทำมาหากินน่าจะดีกว่าเสียเวลาหลายๆปีเรียนเพื่อทฤษฎีที่เอามาใช้จริงไม่ได้ สมัยก่อนคนจะเข้ารับราชการ พอบวชเรียนเสร็จก็จะไปฝากตัวเขากับเจ้านาย รับใช้ติดตามนายไปทำงาน คนที่ได้ตามขุนนางเข้าวังก็จะหมอบฟังอยู่ด้านนอกและเรียนรู้ไป นอกจากนี้ก็เรียนพร้อมๆกับการทำงานต่างจากปัจจุบันที่เวลาเรียนก็ผสมกับเล่น จนกระทั่งหลายคนเรียนไม่จบเพราะเล่นมากไป คนจะเป็นหมอ ก็ต้องไปฝากตัวเรียนรู้งานสารพัด หรือรับวิชาจากพ่อ (ทางยุโรปก็เป็นเช่นนี้) เดี๋ยวนี้มหาวิทยาลัย จ่ายเงินเข้า แล้วก็ไปลาออกกันตั้งแต่เรียนไม่จบเยอะ เปลืองงบสร้างแพทย์มาก สมัยก่อนที่การเรียนต้องมาเรียนกับครูนั้น เราว่าดีค่ะ ครูจะให้ความสนใจกับศิษย์รายคนได้ง่ายกว่า ความผูกพันเป็น "ลูก" กับ "พ่อ" ไม่มหาวิทยาลัยที่จะเน้นการสอนแบบ mass นักเรียนเป็น ลูกค้า วิชาเป็น product สมัยก่อนในอินเดียมีมหาวิทยาลัยพุทธ ชื่อ นาลันทา เกิดก่อนมหาวิทยาลัยในยุโรป และเราคิดว่าเมืองการศึกษาอย่างตักศิลา ก็เป็นเหมือนเมืองมหาวิทยาลัยอย่าง Oxford มีสารพัดสำนัก มีทั้ง วิชาชีพอย่างการล่าสัตว์ การยิงธนู การแพทย์ การศาสนา วรรณคดี กฏหมาย ปรัชญา ไปถึงยุทธพิชัยการรบ จากคุณ : kurika - [ 17 ก.พ. 52 13:48:39 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ผมไม่อยากเถียงเท่าไหร่เรื่องพร้อมหรือไม่พร้อมเพราะคนที่บอกว่าไม่พร้อม ตอบคำถามไม่ค่อยได้ว่า แล้วเมื่อไหร่จะำพร้อม (คำว่าไม่พร้อมรู้สึกเหมือนเป็นคำตอบสำเร็จรูปมากกว่า) ข้อเท็จจริงคือในไทยไม่มี ในขณะที่ยุโรปมีมาก่อนหน้านั้นหลายศตวรรษไล่ๆกับเวลาที่ประเทศจีนมีการทำ Encyclopedia แล้วอินเดีย กับกรีกก็มีมาก่อนยุโรปเสียอีก มหาวิทยาลัยแห่งแรกๆของโลกไม่ว่าที่ไหนก็สอนแต่เรื่อง ปรัชญา ศาสนวิทยากันทั้งนั้นแหละครับ(ของกรีกมีตรรกศาสตร์ด้วย) หลังจากที่คนมีความรู้มากขึ้น ความสงสัยมากขึ้น ถึงพัฒนาวิทยาศาสตร์ขึ้นมาฟาดฟันกับลัทธิ Dogmatic อย่างศาสนาหรือลัทธิเทวนิยมขึ้นมาทีหลัง จากคุณ : Nexus - [ 17 ก.พ. 52 14:34:28 ]

ความคิดเห็นที่ 10 +-+-+ ถ้าสมัยอยุธยาสยามประเทศมีมหาวิทยาลัย แล้วปัจจุบันจะเป็นอย่างไรครับ+-+-+ ----------------------------------------------------------------------------- ตอบ...ก็คงถูกเผาราบ ตอนเสียกรุงครั้งที่ 2 มั้งครับ...555 (ขำๆนะ) ผมเห็นด้วยกับความเห็นที่ 7 นะ อีกอย่างลักษณะนิสัยใจคอ ความเชื่อ ค่านิยม ความเป็นอยู่ของคนในสังคม และระบอบการปกครองที่ใช้อยู่ ก็คงจะมีส่วนเป็นอย่างมากในการที่จะกำหนดว่า มหาวิทยาลัยจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ ดูอย่างปัจจุบัน ขนาดมีมหาวิทยาลัยในเมืองไทยอยู่มากมาย  มีบัณฑิตจบปริญญาตรีปีละเป็นหมื่น แต่ประเทศก็ไม่ได้พัฒนาไปได้สักแค่ไหน จากคุณ : เด็กข้างห้างฯ - [ 17 ก.พ. 52 15:24:59 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ใช่ครับ คนสมัยนี้เอาคำว่ามหาลัย ดูว่าสูง ผมว่า คนสมัยก่อนเค้าฉลาดกว่าเรา เก่งกว่าเรา รอบคอบกว่าเรา คิดการไกลกว่าเรา ผมว่าคนสมัยก่อนเหนือชั้นกว่าเราเยอะครับ เพียงแต่พวกท่านไม่มีใบปริญญาแค่นั้นเอง และท่านเห็นว่าผลงานของท่านนั้น ยิ่งใหญ่กว่าตัวท่านเอง เราจึงไม่ค่อยรู้จักชื่อเสียงเรียงนามของท่าน แต่เป็นเพราะท่านเหล่านั้น ไม่ยึดติดในตัวตน ไม่เหมือนคนสมัยนี้ เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ต้องอ้างชื่อฝรั่ง ชื่อคนนั้นคนนี้ อัตตาโตกันเหลือเกิน ประเทศเราถึงเจริญช้าและยังเปราะบางเสียอีกด้วย สมัยก่อน เราก็เจริญช้า แต่ก็เจริญบนขาของตัวเองได้เป็นส่วนใหญ่ ผมจึงไม่แน่ใจว่า ไอ้ที่เราว่าเจริญกันอยู่ทุกวันนี้ มันเจริญจริงฤา จากคุณ : ohmed - [ 17 ก.พ. 52 15:47:36 A:161.200.255.162 X: TicketID:188973 ]

ความคิดเห็นที่ 12 อืม ที่คุณวสันดิลกกล่าวไว้ ถูกครับ ผมใช้คำผิดเองแหล่ะ ผมอยากจะบอกว่า ในโรงเรียนวัด ไม่ได้เน้นสอนให้คนบังคับฝืนธรรมชาติ แต่เน้นให้อยู่ร่วมกับธรรมชาติมากว่า ซึ่งเป็นวิถึทางตะวันออก เพราะบ้านเราแถบเอเชีย อุดมสมบูรณ์ ไม่เหมือนทางยุโรป พวกขอทานยังอดตายเป็นแถว ผมอยากรู้เรื่องเบื้องหลังการตั้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยน่ะครับ หาอ่านได้ที่ไหนน่ะครับ จากคุณ : กริชครับผม - [ 17 ก.พ. 52 16:24:54 ]

ความคิดเห็นที่ 13 สมัยนี้เจริญไม่เจริญมันก็ช่วยยืดอายุขัยเฉลี่ยจาก 40 ปี ขึ้นมาเป็น 60 กว่าปีได้ในเวลา 150 ปีแหละครับ อายุขัยเฉลี่ยของคน 2000 BC - 1600 C.E อยู่ที่ 25-30 ปี 1600 C.E - 1800 C.E อยู่ที่ 35-40 ปี 1800 C.E - 1950 C.E อยู่ที่ 55-60 ปี 1950 - ปัจจุบัน 63 - 70 ถ้าไม่ชอบความเจริญอยากอยู่ในยุค 'ทอง' ก็ลองเลิกใช้น้ำใช้ไฟเลิกหาหมอ แล้วมาลองวัดกันดูว่าประชากรฝั่งไหนอายุยืนกว่ากัน ผมชอบอยู่ฝั่งอายุยืนน่ะ จากคุณ : Nexus - [ 17 ก.พ. 52 17:04:16 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เราก็จะมีมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่กว่า จุฬาฯ เท่านั้นครับ จากคุณ : NiGht pRincE - [ 17 ก.พ. 52 19:37:14 ]

ความคิดเห็นที่ 15 พม่าอาจจะเจริญรุ่งเรืองกว่านี้ครับ เพราะพอเสียกรุงฯ พม่าต้องกวาดต้อนคนที่มีความรู้ ความสามารถ ในมหาวิทยาลัยกลับไปพม่าหมดแน่ๆ จากคุณ : Alfa7 - [ 18 ก.พ. 52 10:55:56 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ^ ^ ต่อจากนั้น พอพม่าเสียเมืองให้อังกฤษ ก็จะโดนอังกฤษเอาไปใช้สร้างความเจริญให้กับจักรวรรดิของตนเองอีกทอดนึง...555 จากคุณ : เด็กข้างห้างฯ - [ 18 ก.พ. 52 14:46:29 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ^ ^ ^ <<<<<<<<<                     ^                     ^                     ^ >>>>>>>>> ^ ^ ถ้ามองอย่างนั้นทำไมไม่มองว่าเราอาจไม่เสียเมืองเพราะมีผู้มีความรู้ความสามารถจำนวนมาก (ถ้ารัฐไม่ระแวงและเอามาใช้งานให้ถูกหน้าที่ ..... ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมสงสัยว่าจะทำหรือเปล่า) จากคุณ : Nexus - [ 18 ก.พ. 52 14:54:27 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ดีทีเดียว เราจะมีแหล่งรวบรวมสรรพวิชาไว้ได้ค้นคว้า  เรียนรู้ หากคิดถึงผลดีผลเสียแล้ว คิดว่าน่าจะคุ้มค่าที่จะก่อตั้ง น่าเสียดายไปหน่อย ที่เราไม่มี แม้นไม่ได้เรียกว่ามหาวิทยาลัย ก็มีแหล่งรวบรวมความรู้ก็ยังดี ขนาดประเทศอินเดีย ซึ่งเรียกว่าเป็นผู้ทรงอิทธิพลกับอารยธรรมของเรา  ก็ยังมีสิ่งเหล่านี้ เราน่าจะเลียนแบบเขามาบ้างนะ ไหนๆก็รับอย่างอื่นมามากมายอยู่แล้ว เรื่องไม่ตั้งใจเรียน เปลืองบ หรือใช้ความรู้ในทางที่ผิด มันก็เป็นเรื่องธรรมดา ไม่ชั่วแต่ในสมัยนี้หรอก แต่ถ้ามองภาพรวมแล้ว เราก็ได้ประโยชน์มามากมายไม่ใช่หรือ จากคุณ : ธัมมนันทิ - [ 19 ก.พ. 52 00:18:35 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ถึงมี ก็มีแต่พวกคนใหญ่คนโต พวกเชื้อสายราชวงศ์ได้เรียนเท่านั้นแหละ ตราบใดที่โครงสร้าง และวรรณะทางสังคมในสมัยนั้นยังคงเป็นแบบเดิมอยู่ จากคุณ : Buzz and Busy - [ 19 ก.พ. 52 15:26:51 ]

ความคิดเห็นที่ 20 คุณ nexus ครับ ความเจริญมันมีหลายมุมนะครับ คนโบราณเค้าเจริญอย่างรู้เท่าทันวิทยาการ รู้ถึงผลข้างเคียงผลกระทบของมันครับ ไม่ใช่เหมือนพวกฝรั่งส่วนใหญ่ที่มองโลก แบบพุงไปข้างหน้าอย่างเดียว โดยไม่มองว่าได้ทิ้งอะไรเรี่ยราดให้คนรุ่นหลังตามเช็ดบ้าง อย่างเช่นส่งคนที่มีความรู้แต่ไม่มีความคิดไปเรียนเมืองนอก กลับมาก็ได้แต่ตามก้นฝรั่ง ไม่รู้จักปรับ ไม่รู้จักความคิดความเชื่อของคนที่เค้าอยู่มาก่อน แต่กลับไปคิดว่าเค้ามีความคิดล้าหลังใช้ไม่ได้ เบื่อความคิดแบบฝรั่งเศสครับ ที่คิดว่าชนชั้นสูงใช้แรงงานทาส และก็เบื่อความคิดแบบเทิดทูนชนชั้นสูงแบบไม่ลืมหูลืมตา เชื่อในไสยศาสตร์ อิทธิปาฏิหาริย์ โดยไม่มองให้ลึกถึงเบื้องหลัง ของเหตุผลเหล่านั้น นักวิชาการเหล่านี้มักฝรั่งและความคิดลึก ลึกแบบฝรั่งน่ะครับ มองด้านเดียว ไม่เหมือนปราชญ์อินเดียหรือจีน หรือแม้กรีกโบราณ ที่น่าจะลึกซึ้งกว่า จากคุณ : ohmed - [ 26 ก.พ. 52 17:37:21 A:161.200.255.162 X: TicketID:188973 ]

ความคิดเห็นที่ 21 อ่อ ถึงรัฐมีคนที่มีความรู้ความสามารถมาก ก็อาจจะไม่เจรืญนะครับ ดูอย่าง nex. เป็นต้นครับ เรียนมาตั้งมาก ก็ไม่เห็นว่าบ้านเราจะ.. แถมยังมีความคิด ที่ผมว่า รัฐกำจัดไปเสียจะมีประโยชน์กว่า จริงๆครับ จากคุณ : ohmed - [ 26 ก.พ. 52 17:41:23 A:161.200.255.162 X: TicketID:188973 ]

ความคิดเห็นที่ 22 อยากให้กิ๊ฟคุณวสันดิลกค่ะ เห็นด้วยว่าจะใช้มาตรฐานความคิดในปัจุบันไปเทียบวัดสมัยนั้นไม่ได้ เราว่า กระบวนทัศน์ "เรื่องความรู้"  มันต่างกัน   วิทยาการ ก็มีหลายแง่  แต่ละที่ก็มีดีต่างกันไป จากคุณ : ange du riz - [ 28 ก.พ. 52 21:37:33 ]