ความคิดเห็นที่ 6
ตามที่หลายๆ ท่านข้างบนบอก น้องเพิ่งอยู่ม.4 ตอนนี้ยังไม่ต้องเครียดมาก มีเวลาในการเตรียมตัวอีกเยอะพอสมควรค่ะ
หลานคุณ d4uu4me อ่อนภาษาอังกฤษกับเลข ถึงระบบจะเปลี่ยนไปเป็นแบบไหน คิดว่า 2 วิชานี้ก็ยังเป็นวิชาหลักที่ต้องใช้ในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยอย่างแน่นอน สำหรับบางคน กวดวิชาอาจจะไม่จำเป็นถ้าเราตั้งใจเรียนในโรงเรียนอยู่แล้ว แต่ถ้าต้องการความมั่นใจ หรืออยากแสวงความรู้เพิ่มเติม กวดวิชาก็น่าจะเป็นอีกทางเลือกที่ดีค่ะ
วิชาเลขนี่ ไม่สามารถแนะนำได้ เพราะไม่รู้ว่าตอนนี้มีสถาบันกวดวิชาไหนที่ดีๆ บ้าง แต่เมื่อก่อน เราเรียนของอ.สมัย ไม่รู้ว่าตอนนี้ท่านยังเปิดสอนอยู่รึเปล่า เรียนตั้งแต่ม.4 อะค่ะ อ.สมัยเป็นคนที่สอนทฤษฎีบท ไม่สอนให้จำสูตร ถ้าเราเข้าใจทฤษฎีทั้งหมด ไม่ว่าเจอโจทย์แบบไหนเราก็จะแก้ปัญหาได้ แต่ข้อเสียมีอยู่นิดนึงคือ ท่านจะสอนช้า เรื่อยๆ และมุขฝืด (555) บางคนอาจจะเบื่อหรือง่วงได้ แล้วแต่สไตล์ของคนเรียนค่ะว่าชอบรึเปล่า อีกอย่าง นี่เป็นแค่ความคิดเห็นส่วนตัวของเราเท่านั้นค่ะ :)
ภาษาอังกฤษ แนะนำ Enconcept ของพี่แนน อริสรา ธนาปกิจ (ความคิดเห็นส่วนตัวเช่นเดิม) ถ้าน้องเค้าอ่อนภาษาอังกฤษแนะนำให้เรียนปูพื้นฐานตั้งแต่ช่วงม.4 เลย ที่นี่จะเรียนไม่เครียด เรียนสนุก แต่ต้องตั้งใจ มีสอนคำศัพท์จากเพลง เพลงๆ นึงมีศัพท์ราวๆ 10 คำ ตอนนั้นเราเรียนที่ enconcept 2 คอร์ส (คอร์สเอนท์) ได้เรียนเพลงราวๆ 70-80 เพลง ก็จะได้ศัพท์ใหม่ๆ ราว 700-800 ศัพท์ และจะจำศัพท์ได้เองโดยที่เราไม่รู้ตัว ทุกๆ เพลงที่เคยเรียนกับพี่แนนมา จนถึงวันนี้ก็ยังคงจำได้ทุกเพลง ทุกคำศัพท์ และนำมาใช้ได้อย่างดี ที่นี่มีส่วนสำคัญที่ทำให้เราได้คะแนนภาษาอังกฤษตอนเอนท์ดีมากๆ ค่ะ ไม่แน่ใจว่าปัจจุบันเค้าแบ่งคอร์สอะไรยังไงบ้างแล้ว ลองหาข้อมูลจากเว็บของสถาบันดูแล้วกันค่ะ ของครูสมศรีก็โอเคนะ เพื่อนเคยเรียน
สำหรับวิชาสำคัญที่ควรจะต้องเน้น สำหรับการเรียนสัตวแพทยศาสตร์ คือ ชีววิทยา ภาษาอังกฤษ (และเคมีด้วยก็จะดีมากค่ะ) ควรจะต้องรักในชีวะ เพราะจะต้องอยู่กับการเรียนที่อาศัยพื้นฐานจากชีวะแทบทั้งหมด ต้องรักการอ่านหนังสือและหาความรู้ตลอดเวลา เพราะหนังสือที่จะต้องอ่านในช่วงที่เรียนสัตวแพทย์มีเยอะมากๆ ทั้งหนังสือภาษาไทย และ textbooks เยอะแยะมากมาย อังกฤษ ก็สำคัญอยู่แล้วแน่นอน ไม่ว่าจะเรียนคณะไหนๆ ก็ต้องใช้ ถ้าอ่อนอังกฤษแล้วเข้าไปเรียนอาจจะกดดันตัวเองบ้าง เพราะนอกจากอังกฤษ common use แล้วยังต้องมาเจอศัพท์ทางการแพทย์อีกเยอะมากค่ะ ส่วนเคมี ในปีแรกๆ จะมีวิชาเรียนพื้นฐาน chem และ biochem ถ้าอ่อนเคมีอาจจะมีปัญหาเหมือนกัน เพราะข้อสอบเท่าที่จำได้ จะมีให้เขียนพวกสูตรโครงสร้างทางเคมีค่อนข้างเยอะ ส่วนปีโตๆ ไปแล้วก็ได้ใช้บ้างแต่ไม่มาก
ทั้งหมดนี้จะเล่าตามประสบการณ์ที่เราเรียนมา เท่าที่จะสามารถจำได้นะคะ (อิงหลักสูตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)
ปี 1 จะเรียนวิชาพื้นฐานทั่วไป เช่น อังกฤษ, เคมี (ทั้ง general chem & organic chem), ชีวะ, ฟิสิกส์ (medical physics) ถ้าใครอ่อนฟิสิกส์อาจจะเหนื่อยกับวิชานี้ซักนิด แต่ถ้าผ่านตัวนี้ไปได้ ก็จะไม่ต้องเจอฟิสิกส์อีกแล้วค่ะ และก็จะมีเรียนวิชาอื่นๆ ของคณะบ้าง ราวๆ 2 วิชา
ปี 2 - เรียน Stat Bio เป็นวิชาสถิติทางวิทยาศาสตร์ เรียนเพื่อเป็นพื้นฐานในการใช้วิชาสถิติประกอบการวิจัยต่างๆ (ตามหลักสูตรสัตวแพทย์ จุฬาฯ วิชานี้จะเป็นวิชาเลขเพียงวิชาเดียวที่ได้เรียนค่ะ ไม่มีเรียน calculus หรือตัวอื่นๆ อีก) - นอกนั้นก็จะเรียน biochem, กายวิภาค, สรีรวิทยา และวิชาต่างๆ ทางสัตวบาลค่ะ
ปี 3 - เรียนวิชาที่ต่อยอดมาจากปี 2 - และเรียนจุลชีววิทยา, วิทยาภูมิคุ้มกัน, พยาธิวิทยา, ไวรัสวิทยา, กีฏวิทยา (แมลง), วิทยาเฮลมินธ์ (หนอนพยาธิ), โปรโตซัว - ระบาดวิทยา และ เภสัชวิทยา
ปี 4 - เรียนวิชาที่ต่อยอดจากปี 3 - พิษวิทยา - ศัลยศาสตร์, วิสัญญีวิทยา, รังสีวิทยา, อายุรศาสตร์สัตว์เลี้ยงและสัตว์เศรษฐกิจ, การรักษาและวินิจฉัยโรคต่างๆ ในสัตว์, โรคตา - วิชาทางสูติศาสตร์ เธนุเวชวิทยา และวิทยาการสืบพันธุ์ - เริ่มขึ้นฝึกงานทาง clinic แบบ general practice ค่ะ
ปี 5 - เรียนวิชาทางอายุรศาตร์ที่เฉพาะกับสัตว์แต่ละชนิดมากขึ้น - ระหว่างที่เรียน lecture ในห้องเรียน ก็จะมีฝึกงานตลอดทั้งปีในช่วงปลายสัปดาห์ แบ่งฝึกงานสัตว์เลี้ยงครึ่งเทอม ซึ่งจะได้ฝึกงานที่โรงพยาบาลสัตว์เล็กฯ ของคณะ อยู่ตรง ถ.อังรีดูนังต์ และฝึกงานสัตว์เศรษฐกิจอีกครึ่งเทอม จะได้ออก field ไปศึกษาตามฟาร์มต่างๆ ค่ะ
ปี 6 - ไม่มีวิชา lecture แล้ว - ออกค่ายสัตวแพทย์ชนบท เพื่อช่วยเหลือชาวบ้าน ในด้านการวินิจฉัย-รักษา และให้ความรู้-คำปรึกษา ทั้งสัตว์เลี้ยงและสัตว์เศรษฐกิจ - ปีนี้จะมีการเลือก track ว่าเรามีความสนใจที่จะเรียนในด้านไหน ด้านสัตว์เลี้ยงหรือด้านสัตว์เศรษฐกิจ เช่น ถ้าสนใจทางสัตว์เลี้ยงก็จะได้ฝึกงานที่โรงพยาบาลสัตว์เล็กฯ ตลอดทั้งปีค่ะ (ทั้ง 2 เทอม) โดยมีอาจารย์ควบคุมและ round case แต่ไม่ว่าเราจะเลือกเรียน track ไหน เมื่อจบออกมาแล้วเราก็สามารถทำงานได้ทั้งด้านสัตว์เลี้ยงและสัตว์เศรษฐกิจค่ะ - ทำโครงงาน Special Project (คล้าย Thesis)
คร่าวๆ ละกันนะคะ อาจจะดูยาวไป แต่นี่คือ scope แค่กว้างๆ ทั้งหมดของการเรียนสัตวแพทย์ในระดับปริญญาตรี ถ้าผ่านตรงจุดยากๆ เหล่านั้นมาได้ สิ่งที่รออยู่คือ ความสำเร็จในอีกขั้นหนึ่งของชีวิต และความภูมิใจที่เราก็ผ่านสิ่งยากๆ พวกนั้นมาได้แฮะ :) สัตวแพทย์ ขึ้นชื่อว่าเรียนหนัก เรียนเหนื่อย และจบออกมาก็ต้องทำงานเหนื่อยค่ะ ไม่เมตตาสัตว์คงจะเรียนและทำงานสายนี้ไม่ได้ รักสัตว์อย่างเดียวก็คงไม่พอ ต้องขยัน รักที่จะเรียนรู้ตลอดเวลา กล้าตัดสินใจ รู้จักปรับตัว มีไหวพริบ มีสติอยู่เสมอ อดทนให้มากๆ และสิ่งสำคัญคือ จรรยาบรรณและความรับผิดชอบในวิชาชีพ
ถ้าน้องเค้าตัดสินใจว่าอยากจะเรียนแน่ๆ แล้ว ขอให้มีความมุ่งมั่นและพยายามเข้านะคะ ..ไม่มีอะไรจะได้มาถ้าไม่พยายาม และไม่มีอะไรเกินความพยายามของเราแน่นอน
ส่วนถ้ายังไม่แน่ใจตัวเอง หรืออยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติมว่าเค้าเรียนอะไรกันยังไง ลองหาข้อมูลเรื่องค่ายต่างๆ ของคณะสัตวแพทย์ ตามมหาวิทยาลัยต่างๆ หรืองาน open house อย่างที่คคห.ข้างบนบอก เข้าห้องแนะแนวของโรงเรียนที่น้องเรียนอยู่บ่อยๆ อาจารย์แนะแนวจะให้คำปรึกษาที่ดีแน่นอน และเวลามีข่าวประกาศเรื่องค่ายต่างๆ ก็จะหารายละเอียดได้จากฝ่ายแนะแนวนี่ล่ะค่ะ ค่ายของสัตวแพทย์ จุฬาฯ ที่น่าสนใจ สำหรับน้องที่อยากเรียนทางด้านนี้ คือ ..ค่ายนี้ คือ สัตวแพทย์.. ค่ะ
เป็นกำลังใจให้นะคะ^^
จากคุณ :
I'm a SkyWalkEr
- [
21 ก.พ. 52 00:25:12
]
|
|
|