ความคิดเห็นที่ 1 การเรียน reading comprehension ที่ดีนั้น ไม่ใช่แต่จะเรียน to understand แต่อย่างเดียว แต่จะต้องเรียน to compose ด้วย นั่นก็คือ เอาเรื่องที่อ่านเจอ แล้วทำความเข้าใจแล้ว มา "แยกธาตุ" และลอกเลียนคนเขียนที่เป็นเจ้าของภาษา แล้วดัดแปลงเพื่อเอาไปเขียนได้เองให้ถูกต้องด้วย ในขณะที่ต้องหมั่นศึกษา grammar ในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย เนื่องจากว่า หากไม่รู้ grammar ในบางจุด จะทำให้ถึงกับอ่านไม่รู้เรื่องไปเลย ตอนนี้เราเลยบ้า download หนังสือ grammar กับ software ที่จะช่วยทุ่นแรงเรื่องเรียนภาษาอังกฤษมาเพียบเลย เรียนๆไปตอนนี้ชักจะเพี้ยนเหมือนกันนิ เราทำงานเป็นนักแปล เวลาเจอข้อความที่น่าสนใจเราจะเก็บไว้ใน wordbank ที่เราทำไว้ (ใช้ software บางอย่าง) มันคล้ายๆกับ dictionary ยกเว้นแต่ว่า แต่ละ entry (คำศัพท์หลักที่ป้อนเข้าไป) พอเอา mouse click ดูนะ ไม่มี definitions (นิยาม) จะมีแต่ passage (ข้อความที่เขียนด้วย entry นั้นๆ หรือคำศัพท์ตัวนั้นๆ ซึ่งเป็นข้อความที่คัดมาจากหนังสือหลายๆเล่ม) นั่นก็เพราะว่า หลักการเรื่องความจำก็คือว่า ถ้ากลับไปอ่าน passage นั้นบ่อยๆ มันก็จะทำให้เราจำได้ว่าคำศัพท์ตัวนั้นแปลว่าอะไร (ในบริบทต่างๆอันหลากหลาย) และต้องหัดนำไปเขียนประโยคบ่อยๆ จะได้จำได้ว่า เขียนอย่างไร การเรียนแบบนี้จะทำให้อ่านได้รู้เรื่องมากขึ้น และเขียนได้ดีมากขึ้น ในกระบวนการเช่นนี้ เราใช้วิธีการที่เรียกว่า memorization by association นั่นก็คือว่า เราจะต้องสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งที่เรารู้อยู่แล้ว กับสิ่งที่เราเพิ่งเรียนรู้ และพยายามที่จะจดจำ ซี่งในส่วนของการจำคำศัพท์เป็นจำนวนมากภายในระยะเวลาอันสั้นนั้น เราจะต้องจำ Greek and Latin roots เพราะว่ามันช่วยได้มากๆเลยหละ เราแปลเอกสารได้เงินสบายๆแล้ว ดันมาแปลหนังสือที่ได้เงินยากๆ ด้วยเหตุผลเพียงอย่างเดียวนั่นก็คือว่า ในการแปลเอกสารเราไม่เห็นประโยคภาษาอังกฤษที่เขียนด้วยสำนวนแปลกๆเหมือนการแปลนิยายเรื่องยากๆนั่นเอง ดังนั้นการแปลนิยายเพื่อหวังที่จะเก็บรวบรวมรูปประโยคภาษาอังกฤษสวยๆ เอาไปปรับปรุงการเขียนภาษาอังกฤษของตนเองนั้น (เผื่อว่าสักวันหนึ่งเราจะเขียนหนังสือภาษาอังกฤษเอาไปขายได้บ้าง ไม่รู้ว่าจะฝันเฟื่องมากเกินไปหรือเปล่า) นับว่าเสี่ยงโขเลย เนื่องจากว่าช่วงนี้เศรษฐกิจแย่มากๆ เรื่องเศรษฐกิจไม่ค่อยจะดี ไปอ่านกระทู้นี้ดิ ตลกดี http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K7544808/K7544808.html เรื่องที่ว่าเรียนที่ไหนนั้น เราไม่รู้ว่าใครสอนวิธีไหน แต่ถ้าเราจะสอน เราจะสอนวิธีที่ว่านี้ แต่ที่นี่โฆษณาไม่ได้ ก็เลยไม่ได้โฆษณา หรือว่าโฆษณาไปแล้วเอ่ย? จากคุณ : white rabbit - [ 22 ก.พ. 52 17:29:22 A:124.121.94.96 X: ]

ความคิดเห็นที่ 2 เข้ามาอ่านคุณกระต่ายขาว ขอบคุณนะคะ คุณกระต่ายขาวชอบเข้ามาให้ความรู้ดีๆเสมอ ท่านอื่นก็เหมือนกันนะคะ อย่าได้น้อยใจ แล้วจะพยายามนำไปปฏิบัตินะคะ เอ  wordbank เป็นอย่างไรหรอคะ สนใจค่ะ ตอนนี้ก็ทำแต่ว่า ใช้วิธีพออ่านเวบนี้แล้วเจอคำที่สนใจก็แปะๆๆใส่word ตอนนี้เปลี่ยนเป็นใส่โพสอิท เพราะว่าใส่เวิร์ดแล้วไม่เคยเปิด อิอิ จากคุณ : ploy_angjoe - [ 22 ก.พ. 52 21:53:29 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ไม่ได้ปั่นนะคะ แต่ลืมไปว่าตอนแรกจะเข้ามาให้กำลังใจคุณกระต่าย เขียนนิยายเร็วๆนะคะ อยากเขียนเกี่ยวกับเรื่องอะไรหรอคะ อยากเห็นคนไทยโกอินเตอร์ อยากให้โลกก็รู้ว่าคนไทยก็ทำได้ค่ะ จากคุณ : ploy_angjoe - [ 22 ก.พ. 52 21:55:06 ]

ความคิดเห็นที่ 4 http://www.readbangkokpost.com/ จากคุณ : thakoop - [ 23 ก.พ. 52 12:39:57 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ตอบคุณ ploy_angjoe เรื่อง Post-it เราเคยได้ยินคนกล่าวขวัญเรื่อง Post-it พอคุณพูดถึงมัน เมื่อคืนนี้เราเลยไป download ของฟรีมา แล้วได้อันนี้คือ Post-it Digital Notes Version 4.2.0.28 เพื่อเอามาทดสอบ เราเป็นเซียน download กับ crack และทดสอบ software เนื่องจากนอกจากเราจะมีการป้องกันภัยระบบคอมฯของเราไว้หลายชั้นแล้ว เรายังซ่อมคอมพิวเตอร์ได้เองอีกด้วย หลังจากทดสอบไปแล้ว เราคิดว่า "Post-it ไม่เหมาะสำหรับทำ wordbank" แต่เหมาะสำหรับจดอะไรจุกจิกเล็กๆน้อยๆปัจจุบันทันด่วนเสียมากกว่า แล้วอีกอย่างหนึ่ง ถ้าคุณใช้ Post-it คุณต้องระวังว่า ทุกอย่างที่คุณจดไว้ มันไปรวมกันอยู่ที่ file เดียวคือ PSNDATA และ file นี้อยู่ใน path นี้ คือ C:\Documents and Settings\<your user name>\Application Data\3M\PDNotes (จะเห็น path นี้ได้คุณต้องเลือก Tools, Folder Options, View และ Show hidden files and Folders ถ้าคุณไม่ backup ไอ้เจ้า PSNDATA เอาไว้ดีๆ เกิด Windows คุณล่ม คุณจะไม่เหลืออะไรเลย! ไอ้ PSNDATA นี้พอเปิดอ่าน มันเปิดไม่ได้ มันเป็นภาษาขยะ นั่นก็หมายความว่าถ้าคุณจดไว้มากๆ จะเอาไปตีพิมพ์ (เช่นจะทำ dictionary) มันจะตีพิมพ์ไม่ได้ หรือจะ migrate มันไป run ด้วย program อื่น มันก็ทำไม่ได้ ... การทำ wordbank ด้วย program ประเภท database ก็ไม่เข้าท่าด้วยเช่นกัน มันมีข้อบกพร่องหลายอย่าง ซึ่งจะยังไม่พูดถึงมัน เพราะเนื้อหาเป็นเรื่องซับซ้อนวุ่นวาย จากคุณ : white rabbit - [ 24 ก.พ. 52 15:38:47 A:124.121.97.7 X: ]

ความคิดเห็นที่ 6 ตอนนี้เราทำ wordbank จาก OneNote มันเป็น program ที่ติดมากับ Microsoft Office 2007 ทำไว้ใช้ส่วนตัว แค่มี entry (คำศัพท์หลัก) อยู่ทางcolumn ซ้าย พอเอา mouse click เข้าไปในแต่ละหน้า (ซึ่งเป็นแต่ละ file) จะมี แต่ phrases, sentences หรือ passages ซึ่งสร้างขึ้นมาจาก entry (คำศัพท์หลัก) นั้นๆ แต่เราไม่ใส่ definitions (นิยาม) ของแต่ละ entry ให้เสียเวลา เนื่องจากเราต้องการแค่เก็บสะสมรูปประโยคภาษาอังกฤษไปหัดเชียนเลียนแบบเท่านั้นเอง features ที่น่าสนใจของ OneNote ก็คือ column ซ้ายนั้นจะเรียงแบบ chronological order (ตามลำดับเวลา) ซึ่งเราย้าย files เปลี่ยนลำดับได้โดยเอา mouse ลาก แต่ถ้าจะเรียงแบบอื่นก็ "แกล้งกด" View, Pages Sorted by Date แล้วจะมี column ขวาโผล่มา มันจะมีให้เลือก ว่า Sort list by (เป็น dropdown) เรา เลือก Title มันจะจัดเรียงให้เป็น alphabeticla order (ตามลำดับตัวอักษร) หรือจะเลือกให้จัดเรียงตาม Section ก็ได้...OneNote จะมีประสิทธิภาพสูงสุดถ้าใช้ร่วมกันกับ Windows Desktop Search 3.1 (มีให้ download ฟรี) และรู้สึกตอนนี้จะมี Windows Search 4.0 เพิ่งออกมา แต่ไม่รู้จะใช้ร่วมกับ OneNote ได้หรือเปล่า คงต้องทดสอบมันเล่นๆอีก เราใช้ OneNote ในการท่องเวปเพื่อไล่ล่า download หนังสือเรียนภาษาอังกฤษ มาศึกษาด้วยตนเอง กับ download software มาใช้งานด้านต่างๆ บางทีก็ download หนัง soundtrack มาดู จะได้ไม่โดนเซ็นเซ่อร์เหมือนไปดูตามโรงหนังยังไงล่ะ พอค้นเจอ เวปไหนดีๆ เราก็ copy เนื้อหา webpage ทั้งหน้าจับวางลง โดยแยกเป็น sections และ OneNote จะวาง url ของเวปนั้นให้เราในหน้านั้นด้วย ทำให้กลับไปที่นั่นได้อีกโดยง่ายดาย สิ่งที่คุณจดไว้ใน OneNote นอกจากจะ convert เป็น file ที่ Word อ่านได้แล้ว มันยัง publish เป็น webpages ได้อีกด้วย และคุณจะยักย้ายถ่ายเท folders หรือ files ใน OneNote ยังไงก็ได้ มันไม่เป็นบุรุษลึกลับเหมือน file ของ Post-it (มันมีระบบ backup ในตัวเอง แต่เรา backup ข้อมูล wordbank กับ SERP's (search engine results pages) แยกต่างหากบน hard disk อีกลูกหนึ่งที่ต่อ USB) โปรแกรม OneNote ถึงแม้ว่าจะสั่ง print files หลายๆ files เรียงกัน ตามลำดับตัวอักษรใน folder ได้ (ซึ่งพอจะลุ้นไหวว่าเอาไปทำ dictionary ได้) แต่ก็ไม่เหมาะสำหรับทำ dictionary ...ใช้ทำ wordbank เพื่อเรียนรู้ส่วนตัวจะดีกว่า มันมีโปรแกรมอื่นที่เหมาะสำหรับการทำ dictionary มากกว่านั้น ซึ่งเรากำลังทดสอบอยู่หลายๆตัว แค่ ทดสอบดูเล่นๆ แต่ไม่แน่นะ อาจบ้าทำ dictionary ขึ้นมาขายจริงๆสักเล่มก็ได้ จากคุณ : white rabbit - [ 24 ก.พ. 52 16:02:37 A:192.168.0.17 X:124.121.97.7 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เรื่องหนังสือที่เราอยากเขียนหรือ? ถึงแม้ว่าเราพยายามเรียนโครงสร้างประโยคภาษาอังกฤษให้มันยากเกินไปมากๆ (จดข้อความที่ฝรั่งสติเฟื่องเขาเขียนไว้มากมาย) แต่เราทำสิ่งนี้ ก็เพื่อฝึกตัวเองให้แข็งแกร่งเท่านั้นเอง จริงๆแล้วหนังสือที่เราอยากเขียนนั้น จะเขียนโดยใช้ภาษาอังกฤษง่ายๆ แต่ให้ขายได้เงินมากในแนวคล้ายๆหนังสือเรื่อง The Secret นี่หละ ภาษาอังกฤษมันไม่ยากเหมือนพวกนิยาย แต่คนเขียนเข้าใจ organize ความคิดได้ดีมากๆ จนล่อใจให้คนอ่านกันมากมาย ทำให้คนเขียนรวยเละไปเลย และอีกแนวหนึ่งที่เราอยากเขียน ซึ่งเป็นเรื่องที่เราถนัดมากๆ นั่นก็คือ alternative medicine ...ตอนนี้เราแค่ขอเรียนรู้ไป และฝันไปพลางๆก่อนนะ อิๆๆๆ.... ส่วน Post-it ที่คุณว่านั้น ไหนๆได้มาแล้วเราคงไม่ทอดทิ้งมันไปหรอก เพราะเราชอบนาฬิกาปลุกของมันม๊ากๆๆๆๆ...ฮ่าๆๆๆๆ เราจะเอาไว้ใช้ตั้งนาฬิกาปลุกให้ตัวเองตื่นตอนเช้าๆขึ้นมาทำงานและเรียนรู้เรื่องอะไรต่างๆให้ได้มากๆไวๆ...ก็คงจะเข้าท่าดีเนอะ...อิๆๆๆๆ... จากคุณ : white rabbit - [ 24 ก.พ. 52 16:21:50 A:124.121.97.7 X: ]

ความคิดเห็นที่ 8 อ้ออีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ OneNote มีข้อได้เปรียบเหนือโปรแกรมอื่นๆ ในการใช้จดศัพท์ หรือใช้ทำ wordbank นั้น ก็คือว่า เรากำหนดค่าได้ว่าให้มันแสดง entries (คำศัพท์หลัก) กี่ entries โดยแยกเป็น sections ต่างๆนั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น คุณจะจดตัวอย่างประโยคทั้งหมดจากหนังสือเล่มไหน คุณก็ทำเป็น 1 เล่ม 1 section แล้วเปิดทีละ section ก็ไม่เวียนหัว แต่ถ้าจะ merge sections ทั้งหมด (หนังสือทุกเล่มที่อ่าน) และมองเห็น Titles ทั้งหมด (ซึ่งเป็นชื่อ entries) คุณก็ไม่เปลืองทรัพยากรเครื่องคอมพิวเตอร์ เนื่องจากว่า Titles (หรือ entries คำศัพท์) ทั้งหมดที่มองเห็นทั้งหมดนั้น เป็นเพียงแค่ index เท่านั้น มันไม่ได้เปิด files ทั้งหมด ดังนั้น OneNote จะไม่กินทรัพยากรเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ คุณสามารถจดศัพท์ได้เป็นจำนวนมากมายมหาศาลเลย จะใส่ทั้ง definitions, ระบุ parts of speech หรือจะทำ links ไปยัง files คำศัพท์อื่น (ตามแนวคิดเรื่อง memorization by association ที่เราพูดถึง) ก็ได้ คือทำ link หรือทำ cross-reference จาก entry หนึ่ง ไปยัง entries อื่นๆที่มี criteria ดังต่อไปนี้คือ 1. Greek and Latin roots เหมือนกัน 2. ความหมายคล้ายกัน 3. ความหมายตรงกันข้ามกัน 4. (ในกรณีที่เป็น verb) ถ้า verb forms คล้ายกัน ก็ทำ link หรือ cross-reference โยงถึงกันด้วย 5. หรือทำ cross-references ตาม criteria อื่นๆอีกด้วย...สุดแต่คุณจะต้องการ แต่ในกรณีที่เราทำไว้ศึกษาเองนั้น เราไม่ทำอะไรแบบนี้เลย เพราะเราต้องการประหยัดเวลา เราจึงทำเพียงแค่ entries กับ passages (ข้อความที่เขียนด้วย entries เหล่านั้น) ทั้งนี้ โดยอาศัยหลักการว่า ไม่มี definitions เราก็จำความหมายของคำศัพท์ และจำรูปแบบการใช้งานของมันได้ เนื่องจากว่า เรา click แต่ละ entry ดูบ่อยๆ โดยมี criteria ว่า ให้ click ดูทบทวน entries ต่างๆตามลำดับเวลา นั่นก็คือ ดูพวกที่ป้อนเข้าไว้เนิ่นนานที่สุดก่อน แล้วค่อยดูพวกที่ป้อนไว้ล่่่่าสุดทีหลัง เนื่องด้วยเหตุผลง่ายๆก็คือว่า ของที่เพิ่งอ่านตั้งนานแล้ว เราจะลืมง่ายกว่าของที่เิพิ่งอ่าน นั่นเอง จากคุณ : white rabbit - [ 24 ก.พ. 52 19:08:44 A:192.168.0.17 X:124.121.97.7 ]

ความคิดเห็นที่ 9 แำ้ก้ผิดตก ...จะใส่ทั้ง definitions, ระบุ parts of speech หรือจะทำ links ไปยัง files คำศัพท์อื่น... แก้เป็น ...จะใส่ทั้ง definitions, ระบุ parts of speech ใส่ etymology หรือจะทำ links ไปยัง files คำศัพท์อื่น... ...ของที่เพิ่งอ่านตั้งนานแล้ว... แก้เป็น ...ของที่อ่านตั้งนานแล้ว... จากคุณ : white rabbit - [ 24 ก.พ. 52 19:13:39 A:192.168.0.17 X:124.121.97.7 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เราว่าถ้าเรียนการฟัง การพูด อ่านเขียนกับแกรมม่าโดยตรง แนะนำเรียนกับเจ้าของภาษาอังกฤษ ตอนนี้เราเรียนที่ excel english แถวสีลมอยู่ค่ะ www.excel-english.com จากคุณ : คนสีลม (FORY) - [ 26 ก.พ. 52 11:03:31 ]

ความคิดเห็นที่ 11 โอ้โห คุณกระต่ายขาว เยี่ยมได้อีก จบ ไม่มีคำบรรยายไปมากกว่านี้แล้วค่ะ ขอบคุณนะคะที่เสียสละเวลาเสียยืดยาวมาช่วยตอบคำถามค่ะ จากคุณ : ploy_angjoe - [ 28 ก.พ. 52 04:41:52 ]