ความคิดเห็นที่ 1 อดีตเป็นอย่างไรก็แก้ไม่ได้แล้ว ที่ผ่านมาเรียนอะไร ผ่านอะไรมาก็ตาม ต่างก็มีประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตในปัจจุบันและอนาคตทั้งนั้น เราก็เรียนสายวิทย์มา สาเหตุก็คงไม่ต่างจากจขกท.สักเท่าไหร่ ตอนนี้ ขอเลือกทางเดินของตัวเอง แม้เส้้นทางไปสู่ฝันเส้นนี้จะยาวไกลหรือเลี้ยวลดกว่าคนอื่นก็ตาม ถ้ากลับไปเลือกได้ จะเรียนม.ปลาย สายศิลป์ภาษา และสอบเข้าคณะอักษรศาสตร์ เอกอังกฤษ โทไทย จากคุณ : Flowery - [ 25 ก.พ. 52 15:29:48 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เจอปัญหาเหมือนกันแหละค่ะ พ่อแม่ก็คิดแบบนั้นทำให้ต้องเรียนสายวิทย์เกรดไม่ได้เรื่องเลย ทั้ง ๆ ที่ตอน ม.ต้นเกรดสามกว่าตลอด เรียนวิทย์ได้เพียง สองกว่า ๆ ส่งผลไปถึงการเรียนมหาลัย คือเราคิดว่า ม.ปลายได้สองกว่า ๆ มหาลัยได้สองกว่า ๆ ก็ไม่น่าจะเป้นไร นี่ถ้าได้เรียนสายศิลป์อย่างที่ตั้งใจไว้นะ เชื่อว่าได้สามกว่าตลอดแน่ เพราะชอบเรียนภาษามาก ตอนนี้เจอประสบการณ์ในรุ่นลูกคือเด็ก ๆ จะแห่ไปสอบเข้า ม.1 โปรแกรมความสามารถพิเศษทางวิทย์คณิตมาก ทุ่มเทเรียนพิเศษกันตั้งแต่ ป. 5 โดยที่พ่อแม่บางคนไม่ได้ดูเลยว่าลูกตัวเองหัวไปหรือไม่ สงสารเด็กมากเลย ส่วนลูกสาวฉายแววชอบภาษามาตั้งแต่เด็ก (เลือดแม่มันแรง) ก็เลยให้เขาสอบเข้าโปรแกรมภาษาอังกฤษ ที่คนไม่นิยมเลยมาสอบกันแค่ 230 คนเท่านั้น ลูกสาวสอบได้คะแนนเป็นลำดับที่ 4 ทั้งนี้เป็นผลมาจากคุณเธอไม่เคยติวเลย คะแนนวิชาวิทย์ คณิตทำได้งั้น ๆ แต่วิชาภาษาอังกฤษ รวมทั้งวิชาคณิตและวิทย์ภาคภาษาอังกฤษ+คะแนนสัมภาษณ์ภาษาอังกฤษ สูง สรุปว่า ลูกเดินถูกทางแล้ว ขอให้โชคดีนะลูก ได้เรียนในสิ่งที่ชอบแล้วทำให้ดี ๆ ก็แล้วกัน จากคุณ : ลูน่า เลิฟกู๊ด - [ 25 ก.พ. 52 15:34:07 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เข้าใจว่าเป็นเพราะว่างานทางสายวิทยาศาสตร์มีความเป็น "งานเฉพาะทาง" มากกว่ากระมังคะ ยกตัวอย่าง เรียนจบ มนุษยศาสตร์ ทำงานมัคคุเทศก์ได้ (ถ้ามีใบอนุญาต) เรียนจบ วิทยาศาสตร์ เคมี ก็ทำงานมัคคุเทศก์ได้ (และก็ต้องขอใบอนุญาตเช่นกัน) เรียนจบวิืทยาศาสตร์ เคมี ทำงานวิจัยในโรงกลั่นปิโตรเลียมได้ แต่เรียนจบมนุษย์ศาสตร์ ทำงานวิจัยในโรงกลั่นปิโตรเลียมไม่ได้ ดังนั้นงานมัคคุเทศก์ ซึ่งดูตามลักษณะแล้วเป็นงานของคนสายศิลป์ จึงมีคนสายวิทย์มาร่วมแชร์โอกาสในการเข้าทำงานด้วย การแข่งขันก็เลยสูงกว่าลักษณะงานที่ต้องใช้ความรู้ความชำนาญเฉพาะด้าน และเข้าใจว่าที่คนส่วนใหญ่เห็นว่าเด็กสายวิทย์เก่งกว่าเด็กสายศิลป์ ก็เพราะสามารถเลือกทำงานนอกสายงานวิทยาศาสตร์ได้นี่เองละค่ะ สำหรับตัวเองถูกทางบ้านแนะนำให้เรียนสายวิทย์เหมือนกันทั้งที่ชอบทางศิลป์มากกว่า ตอนสอบเอ็นทรานซ์ได้คะแนนสามวิชาสายศิลป์รวมกันมากกว่าสี่วิชาสายวิทย์รวมกันซะอีก ^^" ตอนที่ท้อกับคณิต ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ฯลฯ ก็นึกถึงคำพูดที่อาม่าเคยสอนเสมอว่า "ทำไมเอ็งอยากทำแต่เรื่องที่เอ็งชอบ ทำไมเอ็งไม่ชอบในเรื่องที่เอ็งต้องทำำบ้าง" แต่ยังไงก็ไม่อยากให้คุณต้องกล้ำกลืนฝืนทนนะคะ ถ้ารู้สึกว่าไม่ไหวจริง ๆ ไม่ชอบจริง ๆ เรียนวิทยาศาสตร์แล้วทนทุกข์ จิตตกรายวัน ลองอธิบายกับทางบ้าน แล้วสอบใหม่เข้าคณะที่ชอบและคิดว่าทำได้ดีดีกว่า คนที่บ้านรัก เข้าใจ และหวังดีกับเราเสมอละค่ะ ^^ จากคุณ : ยอดกมล - [ 25 ก.พ. 52 16:15:29 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เห็นด้วยกับ จขกท จากคุณ : Khun KP - [ 25 ก.พ. 52 16:27:27 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ผมมองว่าเด็กวิทย์ฉลาดกว่า เพราะเด็กวิทย์เรียนเลขได้ครับ ส่วนมากเด็กวิทย์ที่ผมรู้จักจะเก่งทุกวิชานะ ในขณะที่เด็กศิลป์ส่วนมากทำเลขกันไม่ได้เลย จากคุณ : ผู้ชายที่หลงรักตัวอักษร - [ 25 ก.พ. 52 16:30:02 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ขอพูดแบบไม่ถนอมน้ำใจใคร ในฐานะเคยเรียนทั้งสองสาย ได้ปริญญามาสายละใบ ก็น่าจะพูดได้เต็มปาก จริงๆ ถ้าดูเอาเฉพาะเนื้อหาวิชาล่ะก็ ไม่ยากไม่ง่าย จะว่ายากทั้งคู่ก็ได้ ง่ายทั้งคู่ก็ได้ แต่ระบบการศึกษาเมืองไทยคัดกรองเอาคนที่คะแนนด้อยกว่าให้ไปเรียนศิลป์ แถมหลักสูตรวิชาทางสายศิลป์นั้น ดูท่าแล้วจบไม่น่าจะยาก ตัววิชานั้น แตกต่างกัน ยากง่ายแล้วแต่มุมมอง แต่ระบบการศึกษาในบ้านเราต่างหากที่ไปทำให้วิชาสายสังคมศาสตร์ดูอ่อนด้อย ท่องๆ จำๆ ทำรายงาน ตัดแปะ ตัดแปะ (มาขอลอกการบ้านในนี้ออกบ่อย) ด้นๆ ส่งไป อาจารย์ให้คะแนนตามกรุณาก็จบได้ ยกเว้นวิชาด้านอักษรศาสตร์ ซึ่งมีรายการวัดผลกันเป็นจริงเป็นจัง แต่สายวิทย์มันทำแบบนั้นไม่ค่อยจะได้น่ะสิ ถ้ามีก็น้อยกว่าทางสายสังคมศาสตร์ล่ะ จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) - [ 25 ก.พ. 52 16:45:07 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เห็นด้วย เด็กศิลป์เป็นลูกเมียเก็บค้างคืน มากๆครับ มีทางไปก็น้อย พวกเด็กศิลป์เก่งนะ แต่ไม่ได้ขยันเหมือนสายวิทย์เท่านั้นเอง สายศิลป์จะถนัดกับงานที่ครีเอทเอง เช่นละครเวที ทำแฟชั่นโชว์ เต้น ภาพยนตร์ ซึ่งเด็กวิทย์ก็ทำได้ (แต่สายศิลป์ทำออกมาดีกว่านะ 55555) แต่สายวิทย์เราเด็กศิลป์ทำไรไม่ได้เลย จากคุณ : boonyakorn - [ 25 ก.พ. 52 16:54:28 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ในมุมมองของคนสอนบ้าง เด็กที่เรียนทางสายวิทย์ จะจับประเด็นเก่งกว่า นิยมใช้ keyword สั้นๆง่ายๆได้ใจความ เด็กสายศิลป์ จะชอบบรรยายในลักษณะต่อเนื่องเป็นเหตุเป็นผลไปเรื่อยๆ นิยมส่วนประกอบส่วนขยาย แต่ข้อหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ คือ วิชาทางสายศิลป์เด็กวิทย์พอจะเรียนเข้าใจได้ แต่วิชาทางสายวิทย์ เด็กสายศิลป์เรียนไม่รู้เรื่อง จากคุณ : เพราะผมไม่มี Time Machine - [ 25 ก.พ. 52 16:55:03 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เพราะสังคมอยากได้คนเก่งวิทย์เยอะๆ ครับ เราจะได้ตามต่างประเทศเขาทัน แต่ตอนนี้ทั้งวิทย์ทั้งศิลป์มันไม่ได้แล้ว เพราะเราไม่มีคนเก่งปกครองหรือเข้าใจการปกครองบ้างเมืองกันเลย จากคุณ : อยากให้คนเก่งวิชาสมานฉันท์ - [ 25 ก.พ. 52 17:01:05 A:203.131.217.33 X: TicketID:205696 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ^ ^ เราไม่เคยมีคนจบสายวิทย์/วิศวะปกครองต่างหากครับ ส่วนใหญ่ไม่ทนาย ก็ทหาร จากคุณ : เพราะผมไม่มี Time Machine - [ 25 ก.พ. 52 17:11:57 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ผมว่าถ้ามันไม่แยก วิทย์ กับ ศิลป์ แต่แรกคงไม่มีปัญหาหรอกครับ แค่เรียนเหมือนกัน จบมาก็เอ็นเข้าคณะไปเลย จบเรื่อง ...... จากคุณ : เจ้า - [ 25 ก.พ. 52 17:25:06 A:202.176.80.207 X: TicketID:205377 ]

ความคิดเห็นที่ 12 สายวิทยืหรือสายศิลป์ จะดีหรือไม่น่าจะอยู่ที่คนที่เรียนแล้วเอาไปสร้างประโยชน์ให้กับตัวเอง และผู้อื่น รวมไปถึงความสุขความพึงพอใจของแต่ละคนที่รักจะเรียนมากกว่า อย่าว่าใครเก่งกว่ากันเลย คนเรียนวิทย์หรือคนเรียนสายศิลป์ที่เก่งๆประสบความสำเร็จมีเยอะ แต่ที่ไม่เอาไหนเรียนอะไรก้ไม่รู้เรื่อง ล้มเหลวในชีวิตก้มีเยอะไม่ต่างกัน ตัดสินดูความเก่งที่อยู่บนพื้นฐานของชีวิตที่มีความสุขเป็นคนๆน่าจะเข้าท่ากว่า  ว่าไหม? อีกอย่างสังคมไทยเราเป็นสังคมค่อนข้างฉาบโฉย หลายอย่างจะเป็นไปตามกระแส  คนหลายๆคนทั้งคนรุ่นเก่ารุ่นใหม่ไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร และไม่กล้าแสดงออกด้วยอาจเป็นเพราะถูกผุ้ใหญ่ หรือสังคมตั้งมาตรฐานผิดๆให้เลือกเดิน เช่นเรื่องเรียนวิทย์ดีกว่าเรียนศิลป์ เป้นต้น ประเทสเราเลยหาคนที่เก่งและมีความสามารถ ถนัดตรงกับงานได้ค่อนข้างน้อย การพัฒนาอะไรแต่ละอย่างเชื่องช้า...เพราะขาดทรัพยากรคนนั่นเอง แก้ไขเมื่อ 25 ก.พ. 52 18:41:05 จากคุณ : โจโฉ (joechou) - [ 25 ก.พ. 52 18:30:02 ]

ความคิดเห็นที่ 13 แล้วแต่จะชอบ ส่วนตัวผมเรียนศิลป์มา ชอบวิทย์เหมือนกัน ชอบคิด วิเคราะห์ สรุป จับประเด็นมากกว่าท่องจำ บังเอิญเรียนสาขาทางศิลป์็ที่เข้าทาง ได้เรียนอะไรที่วิเคราะห์ คิดอย่างเดียว วิชาร่วมที่ต้องท่องๆ เกรดไม่ค่อยดี วิชาภาคส่วนใหญ่ไม่พลาด ผมว่าวิชาทางสายศิลป์จะยากกว่าสายวิทย์ตรงที่มันไม่ตายตัว ส่วนสายวิทย์ก็จะหนักหน่อย จากคุณ : Alovera - [ 25 ก.พ. 52 19:03:40 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เคยเห็นเด็กม.ปลาย บอกว่าเรียนวิทย์ไม่ไหว เลยย้ายไปเรียนศิลป์หลายคน แต่ยังไม่เคยเจอที่บอกว่าเรียนศิลป์ไม่ไหว เลยย้ายไปเรียนวิทย์แฮะ จากคุณ : ชาเขียว - [ 25 ก.พ. 52 19:38:34 ]

ความคิดเห็นที่ 15 น้อยใจจัง ... ทั้งๆที่สายศิลป์ มันก็ไม่ได้ง่ายเลย มีแต่คนมองว่า เด็กศิลป์ คือเด็กที่หนีวิทย์ เรียนวิทย์ไม่ไหว ทำไมไม่มองว่าเค้ารู้ตัวเองว่าชอบอะไร หรือควรเรียนอะไร มั่งล่ะ T T หนูก็เรียนศิลป์ภาษา  (กำลังจะเลือกปีนี้) เกรดวิทย์คณิตก็ไปได้ เพียงแต่ หนูมีความสุขในการเรียนภาษามากกว่าก็เท่านั้น และอยากประกอบอาชีพ ที่ใช้ทักษะทางด้านภาษา และเด็กวิทย์หลายคน  ก็หนีวิชาภาษาอังกฤษ  และไม่รู้ว่าจะเรียนอะไร เลยเรียนวิทย์ไว้ก่อน T T น้อยใจแทนเด็กศิลป์ทั้งโลกกกกกกกกกก อาจารย์ที่โรงเรียนยังคิดแบบนี้เลย แง่ๆๆๆ T T ปล. เวลาทำข้อสอบวิชาภาษาอังกฤษ หรือ ภาษาไทย ก็ใช้หลักการคิดวิเคราะห์ เป็นระบบระเบียบ อาจจะไม่เหมือนคณิตศาสตร์ แต่ความยาก ก็พอกันแหละ แก้ไขเมื่อ 25 ก.พ. 52 20:47:37 แก้ไขเมื่อ 25 ก.พ. 52 20:46:11 จากคุณ : Rawisara - [ 25 ก.พ. 52 20:40:22 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เด็กวิทย์ ที่ได้คะแนนวิชาสายศิลป์ มากกว่าเด็กที่เรียนสายศิลป์เอง มีเยอะมากๆๆๆ แต่เด็กสายศิลป์ ที่ได้คะแนนวิชาสายวิทย์ มากกว่าเด็กวิทย์เอง มีน้อยสุดๆ ลองดูเกรดของเด็กในโรงเรียน หรือคะแนนสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็ได้ ระดับท็อปๆของวิชาสายศิลป์น่ะ เด็กแผนวิทย์ทั้งนั้นแหละ จากคุณ : maxijojo123 - [ 25 ก.พ. 52 20:46:49 ]

ความคิดเห็นที่ 17 คงเป็นแบบ คห 16 ครับ เมื่อ 40 ปีก่อน คนได้ที่คะแนนเกือบโหล่ห้อง King แผนกวิทย์ในสมัยผม ไม่แน่ใจว่าจะเข้าวิศวะได้เพราะโดดเรียนปีสุดท้าย มัวแต่บ้าเล่นหมากรุก เล่นไฟ่บริดจ์กับเพื่อนๆ อีก 3-4 คนที่โดดเรียนด้วยกัน เปลี่ยนใจเดือนสุดท้ายก็ยังเข้าคณะอักษรศาสตร์ได้ ซึ่งสมัยนั้นเป็นแผนกศิลป์ที่คะแนนสูงสุดแล้ว เห็นแล้วอนาจจริงๆ เด็กวิทย์โดดเรียน 1 ปี อ่านเอง 1 เดือน เข้าคณะอักษรศาสตร์จุฬาได้ เฮ้อ มันบอกว่าวิชาสังคม กขค 90 ข้อ มันทำแค่ 50 นาทีก็เสร็จแล้ว แต่ไม่มีใครออกจากห้อง ก็ทวนอีก 10 นาที ก็ยังไม่มีใครออก เลยเดินออกมาเสียเฉยๆ ครูและคนสอบอื่นๆ มองกันใหญ่ มาตรฐานเด็กศิลป์คะแนนมันต่ำขนาดนั้นเชียวหรือ? แก้ไขเมื่อ 25 ก.พ. 52 21:28:22 จากคุณ : K.Senior - [ 25 ก.พ. 52 21:03:39 ]

ความคิดเห็นที่ 18 "ถ้าลูกคุณคะแนนถึงทั้งสองแผน คุณจะให้ลูกคุณเรียนอะไร" จากคุณ : 12VDC - [ 25 ก.พ. 52 23:03:12 ]

ความคิดเห็นที่ 19 เป็นเด็กสายวิทย์ สอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ตรงสายคนนึงค่ะ ^^ ที่โรงเรียนเรา หลังจากจบม.สาม จะมีการคัดนักเรียนออกไปครึ่งนึง โดยเอาเกรดเป็นตัวตั้ง แล้วก็พฤติกรรม ความประพฤติ เป็นตัวรอง แล้วคุณครูก็จะคัดเด็กเข้าเรียนตามแผนให้เลยค่ะ ไม่ได้ให้เลือกเอง อย่างสายวิทย์เนี่ย เกรดเฉลี่ยก็จะต้องสูงหน่อย แล้วก็จะดูเกรดวิชาวิทยาศาสตร์กับคณิตศาสตร์ ส่วนสายศิลป์ ก็จะดูคะแนนวิชาภาษาเป็นหลักค่ะ พอวันประกาศผลสอบ ม.สาม ก็จะเป็นวันรู้ผลด้วยว่าได้เรียนสายไหน เด็กสายวิทย์จะขอย้ายไปสายศิลป์ได้ ส่วนศิลป์คำนวณ ขอย้ายมาสายวิทย์ได้เป็นบางกรณี แต่ถ้าเป็นศิลป์ ภาษา ก็จะยากหน่อย ตอนนั้นเราได้อยู่สายวิทย์ แต่ไม่ได้ตั้งใจอยากจะเรียนต่อทางนี้เลยนะ ตอนนั้นอยากเข้าอักษร เอกภาษาไทยมาก (ชอบเรียนภาษาไทยที่สุด) แต่ว่าเพื่อนๆ ทุกคนอยู่สายวิทย์หมดเลย แล้วก็คิดว่า เออ..ก็น่าจะพอเรียนได้ พอไปปรึกษาครูแนะแนว แกก็บอกว่า เรียนวิทย์ไปก็ได้นะ ยังไงตอนสอบเอนท์เค้าก็ไม่ได้ห้ามเธอไปสอบสายศิลป์... ตอนนั้นมีเพื่อนหลายคนเหมือนกัน ที่ได้สายวิทย์ แต่ขอย้ายไปศิลป์ภาษา แล้วก็เรียนเก่งมากด้วย รุ่นที่เราเรียนเป็นรุ่นแรก ของหลักสูตรนำร่อง ที่เด็กสายศิลป์ต้องเรียนพวกฟิสิกส์ เคมี ชีวะ  นอกเหนือจากในวิทย์กายภาพอ่ะค่ะ จะได้่ว่า ตอนที่สอบเลข ที่ทั้งชั้นต้องสอบเหมือนกัน คะแนนท็อปไปอยู่ที่ห้องศิลป์ภาษา พวกเด็กห้องวิทย์โดนคุณครูสวดยับเลย 555 เอาจริงๆ พอย้อนกลับไป เราไม่ค่อยชอบระบบนี้ของโรงเรียนเหมือนกันนะ เพราะคะแนนมันไม่ได้วัดอะไรเสมอไป อย่างเพื่อนเราที่ย้ายไปศิลป์ ภาษา ตอนนั้นทุกคนมองว่าเค้าคิดผิดทั้งนั้นเลยนะ แต่เพื่อนบอกว่า "ก็ทำไม เราชอบ เราอยากเรียน" ดีใจที่เพื่อนหาหัวเองเจอตั้งแต่ตอนนั้นน่ะค่ะ (ไม่เหมือนเราที่ไหลตามน้ำ 555) ตอนนี้เพื่อนคนนั้นก็ได้ดิบได้ดี อยู่อักษรฯ จุฬาฯ ตามที่ตั้งใจ ส่วนเรา ถึงจะมารู้ตัวเมื่อสาย แต่ก็ไม่เสียใจที่เรียนสายวิทย์มานะ เพราะวิชาต่างๆ ที่เรียนก็ช่วยสร้างระบบความคิดบางอย่างให้กับเรา (ที่เล่ามานี่เกี่ยวกับกระทู้มั้ยน้าา) จากคุณ : ยิ่งยง นั่งยองยอง - [ 25 ก.พ. 52 23:11:25 ]

ความคิดเห็นที่ 20 เห็นคล้ายๆ คห 3 และ 8 เพราะการเรียนสายวิทย์ฯ จะต้องมีการทดลองมีการปฏิบัติการ ซึ่งส่วนใหญ่จะต้องใช้เครื่องมือเฉพาะทางราคาแพง ซึ่งถ้าคนไม่ได้ไปเรียนในชั้นในคณะ ก้แทบไม่มีโอกาสได้จับต้องกับเครื่องมือพวกนี้ ในขณะที่การเรียนสายศิลป์ไม่ได้ต้องใช้เครื่องมือเครื่องไม้เฉพาะทางมาก ดังนั้นเด็กจบสายวิทย์ถ้าไม่อยากทำงานสายวิทย์ ก็ยังพอมีโอกาสจะขวนขวายหาความรู้ในสาขาที่เรียนทางสายศิลป์ได้เองโดยไม่ยากมาก ซึ่งตรงข้ามกับเด็กสายศิลป์ที่ข้ามไปทำงานสายวิทย์ฯ ได้ยาก เพราะโอกาสขวนขวายหาความรู้เพิ่มเติมในสาขาสายวิทย์ โดยเฉพาะในแง่ปฏิบัติแทบไม่มีทางทำได้ จากคุณ : เกียรตินำ - [ 25 ก.พ. 52 23:15:51 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ส่วนใหญ่ เด็กที่เก่ง มาเลือกวิทย์ มากกว่าเลือกศิลป์ค่ะ น่าจะเพราะค่านิยมเป็นหลัก คนที่เก่งแบบที่เรียนอะไรก็เรียนได้ เลยเลือกเรียนวิทย์ไว้ก่อน ยกเว้นคนที่รู้ตัวเองแน่ๆ ว่าจะไปทางไหน อาจจะด้วยหลักสูตรของทางศิลป์ด้วย ที่ออกมาไม่ได้หนักขนาดที่ว่าถ้าไม่ได้เรียนก็จะไม่รู้เรื่องเลยแน่ๆ ไม่เหมือนกับของวิทย์ ถ้าไม่รู้อะไรเลย มาเจอข้อสอบวิทย์มันไปไม่รอดหรอกค่ะ งานอย่างภาษา จะบอกว่าศึกษาเองได้ มันก็จริง แต่ที่ใช้ภาษาได้ดีมากๆจริงๆ มันก็ต้องใช้เวลาฝึกฝนนะคะ ถ้าไม่ได้เป็นพวกมีพรสวรรค์จริงๆ ล่ะก็ จากคุณ : dittaya - [ 26 ก.พ. 52 00:17:00 ]

ความคิดเห็นที่ 22 โดนใจอย่างแรง เพราะถามตัวเองและเพื่อนๆ มาตลอด ว่าทำไม ชอบคห.6 12 15 แค่เพราะความถนัดไม่เหมือนกัน ความชอบไม่เหมือนกัน เลยเลือกแผนการเรียนที่ตัวเองทำได้ดีกว่า กลับกลายเป็นว่า คนเลือกเรียนศิลป์ถูกมองว่าอ่อนด้อยกว่าคนเลือกเรียนสายวิทย์ ทั้งที่วิชาพื้นฐานที่ต้องเรียนเหมือนกันทุกสาย เด็กศิลป์หลายๆ คนก็เรียนดีกว่าเด็กวิทย์ คิดว่าคงเป็นเพราะการเลือกแผนการเรียนตอนม.ต้นที่กำหนดเกรดสายวิทย์ไว้สูงกว่าเกรดสายศิลป์ ทำให้ดูเหมือนว่าเด็กต้องเก่งมากๆ ถึงจะเข้าสายวิทย์ได้ แถมสายวิทย์ก็เอนท์เข้ามันได้ทุกคณะ (เพราะตัววิชาเองด้วย) พ่อแม่ใครจะไม่อยากให้ลูกเลือกเรียนสายวิทย์ล่ะ? เลยแห่ไปลงสายวิทย์กันหมด ทีนี้พวกเกรดไม่ถึง พวกไม่ตั้งใจเรียน พวกเด็กเก ก็โดนจับมายัดห้องศิลป์กันหมด ทั้งที่บางคนก็ไม่ได้ชอบ และไม่คิดจะเรียน มันเลยกลายเป็นว่าเด็กศิลป์อ่อนด้อย โดดเรียน ไม่ตั้งใจเรียน ถึงจะมีเด็กศิลป์ที่ดีๆ ตั้งใจเรียน หรือเรียนไม่เก่งแต่มีความสามารถอย่างอื่นทดแทนก็เถอะ...แต่เป็นส่วนน้อยไงคะ คนเลยมองแต่ภาพรวมว่ามันด้อยกว่าสายวิทย์ ที่มีภาพลักษณ์ว่าเป็นสายที่มีแต่เด็กเก่งๆ ค่านิยมนี้มันเลยมีมาอย่างต่อเนื่อง จากคุณ : = Un Insomnia = - [ 26 ก.พ. 52 00:53:30 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ^ ^ เด็กสายศิลป์ที่ดีๆ ตั้งใจเรียนเนี่ย ยังไม่เคยเจอครับ เคยเจอแต่เด็กสายศิลป์หัวดีแต่ไม่ตั้งใจเรียนแล้วเกรดออกมาดี อันนี้เห็นบ่อยๆ ยกตัวอย่างเพื่อนคนหนึ่งเข้าเรียนนิติศาสตร์ เป็นวิชากฎหมายที่ยากมากใครจบเล่มนี้ได้ ถือว่า สุดยอดจริงๆ สรุปว่ามันผ่านครับ บังเอิญอยู่ในห้องกับมันตลอดตอนก่อนสอบ เห็นมันนั่งอ่านแปปๆเอง ผลสอบออกมาตก90% มันคือ 1 ใน 10 ที่รอด หลังจากที่เรียนจบมันก็ไม่ได้ทำอะไร แต่เห็นทำนู้น ทำนี่ ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน แต่มีรายได้เดือนละ 6-7หมื่น ก็โอเคนะ จากคุณ : ด้านมืดในใจคุณ - [ 26 ก.พ. 52 01:17:57 ]

ความคิดเห็นที่ 24 #10 แล้วนักธุรกิจปกครอง เป็นไงบ้างล่ะครับ ผมเรียนศิลป์มา น้อยใจเหมือนกับ #15 นั่นล่ะ เดวจะมาอธิบายยาวๆ ดีเหมือนกัน มีกระทู้ให้ระบายความอัดอั้นตันใจ โอ้เย้ จากคุณ : NiGht pRincE - [ 26 ก.พ. 52 01:22:54 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ผมเรียนสายศิลป์-คณิตมา ตอนจบม.3 เข้าม.4 ก็สามารถเลือกสายวิทย์(เกรดเฉลี่ยประมาณ3.7) แต่ไม่เลือกเพราะส่วนตัวคือว่า เวลาสอบแอดมิดชั่นเราคงไม่เลือกสอบคณะวิทย์แน่ๆ แล้วจะทนเรียนไปเพื่อเปลืองค่าเรียนพิเศษทำไม( เคมี ฟิสิกส์ ชีวะ) พอถึงตอนแอดมิดชั่น ตอนนี้ก็ได้เข้าคณะสายศิลป์สมใจ เพื่อมผมสายวิทย์ทั้งหลายก็บ่นกันไม่ขาดสายว่า เฮ้ย ไม่น่าเรียนสายวิทย์มาเลย เพราะสุดท้ายเข้ามาเรียนสิ่งที่เรียนมาก็ไม่ได้ใช้... ที่1 ของรุ่นผมที่ โรงเรียนผมก็เป็นเด็กศิลป์ -คำนวณ ทั้งๆตอน ม.ต้นเค้าได้4.00 สามารถเรียนวิทย์แล้วเข้าคณะแพทย์ได้สบายๆ(เก่งมากๆ) แต่เค้าไม่อยากเรียน ทุกวันนี้ก็เป็นอันดับต้นๆ ของคณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ครับ จากคุณ : dexsil - [ 26 ก.พ. 52 01:41:32 ]

ความคิดเห็นที่ 26 #24 จริงๆ รัฐศาสตร์ ก็เป็น วิทย์การเมือง นะคะ :P แต่ที่เห็นเยอะๆ เป็น วิศวะ-บริหาร ซะมากกว่า ต่อโท MBA กันเป็นว่าเล่น ผลงานเป็นยังไง ดูได้ตามภาคเอกชนค่ะ ส่วนภาครัฐดูได้จากข้าราชการระดับบนๆในกระทรวงค่ะ ทนาย ทหาร ที่ว่า จะอยู่ภาคการเมืองซะมากกว่า จากคุณ : dittaya - [ 26 ก.พ. 52 01:46:16 ]

ความคิดเห็นที่ 27 เราเรียนสายวิทย์เพราะพ่อแม่บังคับ  (เค้าบอกว่าถ้าเรียนสายศิลป์จะไม่ส่งเรียน) เพราะม.ต้นเราเรียนได้ค่อนข้างดี สอบเข้าห้องพิเศษทางวิทย์ของโรงเรียนดังได้ แต่ตอนนี้ก็กำลังจะสอบเข้าคณะทางศิลป์ภาษา (ไม่ใช่พ่อแม่เข้าใจหรอก แต่ลูกเครียดจนซึมเศร้า เค้าเลยยอมๆแบบไม่เต็มใจ) ถ้าให้ย้อนเวลาไปเลือกใหม่  เราเลือกสายศิลป์ภาษาแน่นอนค่ะ จะไปเสียเวลาทำไม ในเมื่อเรารู้จักตนเอง และมีเป้าหมาย   บางสาขาวิชา เด็กสายวิทย์ไม่มีทางสอบแข่งขันกับเด็กศิลป์ภาษาเข้าเรียนได้เลยนะคะ (เช่น เอกญี่ปุ่น อักษรจุฬา)   คนที่บ้านหวังดีจริงค่ะ  แต่จะเข้าใจเด็กรึเปล่า มันก็แล้วแต่ครอบครัว จากคุณ : Kamehameha - [ 26 ก.พ. 52 02:05:48 ]

ความคิดเห็นที่ 28 เรียนสายวิทย์เพราะเป็นเส้นทางสู่ความฝันค่ะ แต่พ่อเคยค้าน ไม่อยากให้เรียนสายวิทย์ (พ่อก็เรียนสายนี้นะ) พ่อบอกว่า คนจบสายวิทย์อย่างเดียวเนี่ย จบมาก็เป็นลูกจ้างเค้า ต้องทำงานตามออเดอร์ แต่คนจบสายศิลป์ ส่วนใหญ่จบมาเป็นเจ้านายคน บริหารคน อันนี้ไม่นับคนที่เรียนทั้งวิทย์และศิลป์นะคะ (ไม่ได้ว่ากล่าวใคร แค่ความคิดเห็นเท่านั้น) ฟังแล้วเลยบอกตัวเอง ฉันจะเรียนวิชาสายวิทย์ เพื่อทำงานอย่างที่อยาก และจะลงเรียนวิชาสายศิลป์ เพื่อเป็นนายตัวเอง ปัจจุบัน เรียนอยู่ ยิ่งเรียนยิ่งถามตัวเอง ทำไมไม่เลือกเป็นนายตัวเองเท่านั้นนะ งึ่มม จากคุณ : ทะเลหวาน - [ 26 ก.พ. 52 07:12:01 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ในอดีตเคยมีเด็กวิดวะรีไทร์เพราะภาษาอังกฤษนะจ๊ะ อาจารย์อักษรสมัยก่อนโหด    เขาว่ากันอย่านั้น จากคุณ : akebi1 - [ 26 ก.พ. 52 07:35:30 ]

ความคิดเห็นที่ 30 อดีตจำได้ว่าใครจะเรียนสายวิทย์ - คณิต - eng ต้องได้เกรดเฉลี่ยรวม 3 วิชานี้ 2.50 ขึ้นไปวิชาอื่นไม่เอามาคิด มันเลยเป็นการกรองคนเก่งระดับหนึ่ง ส่วนสายอื่นๆไม่ดูเกรด สอบเอาอย่างเดียว มันสร้างความแตกต่างตั้งแต่ การเริ่มเรียน คนอื่นมองว่าสายวิทย์ฉลาดกว่าสายศิลป์ก็ไม่แปลก สายวิทย์เกือบครึ่งไม่เก่งภาษา แต่ก็ไม่ถึงกับแย่ พอถูไถเอาตัวรอดได้ สายศิลป์เกือบครึ่งไม่เก่งคณิต สอบกันตกกระจาย เหมือนงูเจอเชือกกล้วย ความแตกต่างของ 2 สายที่เคยเห็นมา จากคุณ : DEDETE - [ 26 ก.พ. 52 09:19:15 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ^ ^ ^ งื่ออ เป็นหนึ่งในเด็กวิทย์ที่คัดแบบนี้ แต่ไม่ได้อยากเรียนวิทย์นะ ม.ปลายเกือบไม่จบเพราะเกรดฟิสิกส์ กับ เคมี เศร้า~ เป็นตัวอย่างของเด็กวิทย์โง่วิทย์ของห้องเลยแหละ ในขณะที่ ไทย สังคม อังกฤษ มันเกือบจะ 4 รวดทุกตัว เฮ่ออ มาเรียนมหาลัย เราได้เรียน (ต่อยอดสายวิทย์) ในสิ่งที่ไม่ชอบมาก แต่ทำได้ดีพอสมควรแหละ~ ตอนนี้ก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจนะที่เรียนวิทย์มา จากคุณ : วารี (varavari) - [ 26 ก.พ. 52 10:28:24 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ไม่อยากให้คิดกันว่า เด็กวิทย์เก่งกว่าเด็กศิลป์ หรือเด็กศิลป์เก่งกว่าเด็กวิทย์ การที่เด็กเลือกเรียนศิลป์ไม่ได้หมายความว่าเขาเรียนด้อยกว่าเด็กที่เลือกเรียนวิทย์ แล้วการที่เด็กเลือกเรียนวิทย์ไม่ได้หมายความว่าเขาเก่งกว่าเด็กที่เลือกเรียนศิลป์ เด็กเรียนสายศิลป์ เพราะเขามีพรสวรรค์ หรืออาจจะพรแสวงในบางคน ในด้านการสร้างสรรค์ การยืดหยุ่นในหลายๆ สถานการณ์ และจุดด้อยของเด็กสายศิลป์ น่าจะหนีไม่พ้นเรื่องคำนวณ ส่วนเด็กเรียนสายวิทย์ ก็แน่นอนว่ามุมมองจะค่อนข้างจะประเภท 1+1 ต้องเป็น 2 เขาจะไม่ค่อยยืดหยุ่นมากนัก มองหลายๆ เรื่องรอบตัวค่อนข้างจะมีทฤษฏี กฎเกณฑ์ และหลักการ  แน่นอนว่าจุดด้อยของเด็กสายวิทย์ส่วนมากคือภาษา แต่สิ่งหนึ่งที่เราต้องยอมรับเลยก็คือ เด็กที่เรียนสายวิทย์ โอกาสเรียนต่อในระดับสูงๆ ขึ้นไป มีมากกว่า หลากหลายกว่าเด็กที่เลือกเรียนสายศิลป์ โดยเฉพาะเด็กสายศิลป์ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับวิชาเลข ตัวเองเรียนสายศิลป์ ภาษา ทั้งที่พอไปสายวิทย์ได้ แต่เพราะพลาดเลขไปไม่กี่ชั่วโมงตอนม. 3 ก็เลยต่อเนื้อหาไม่ติด แล้วมาเจอคำนวณฟิสิกส์อีกเล็กน้อย เลยเกิดความรู้สึกว่า มันช่างยากเย็นกับชีวิตเสียเหลือเกิน เลยตัดสินใจทิ้ง แล้วหันมาเอาดีทางด้านภาษาแทน ทั้งๆ ที่ไม่ได้ชอบท่องจำ ตอนเรียนม.ปลาย ยังเป็นรุ่นที่ไม่ต้องเรียนเลขเลย ตอนเรียนวิทย์กายภาพ ก็รู้สึกว่า เราก็ยังพอไปได้กับสายวิทย์ ขนาดที่ว่าเนื้อหาบางเรื่อง เพื่อนๆ สายวิทย์ต้องมาขอให้ติวให้ แต่ตัดสินใจมาถึงจุดนั้นแล้ว ก็เดินหน้าต่อไปกับสายศิลป์ ถึงเวลาเอนทรานซ์ ก็ค่อนข้างลำบาก เพราะหาคณะลงยากพอสมควร เนื่องจากไม่ชอบสายสังคมเลย ก็จะเหลือแต่พวกสายภาษาเป็นหลัก (ยุคนั้นนิเทศยังไม่มีให้เลือกสอบภาษา) มีเพื่อนสองคนไปเรียนพิเศษติวเลข คนนึงไปได้ดีกับนิเทศศาสตร์ อีกคนไปได้ดีกับคณะบัญชี คนนี้ทำให้รู้สึกทึ่งมาก (เพราะยุคเราสอบเอนทรานซ์ ยังเป็นเลข-ก กับเลข-กข) เพราะคนเลือกบัญชีส่วนมากจะเป็นสายวิทย์ ซึ่งต้องสอบเลข-กข หลายคนพากันมองว่าเด็กวิทย์ฉลาดกว่าเด็กศิลป์ อาจจะเป็นเพราะไม่มีเด็กศิลป์ที่จบออกมาแล้วเป็นนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ที่อยู่ในห้องทดลองคิดค้นหรือวิจัยนวัตกรรมใหม่ๆ (หรือเปล่า) แต่จริงๆ แล้ว นักวิชาการเก่งๆ หลายคน หรือคนเด่นคนดังหลายๆ คนในสังคมบ้านเรา ก็มีที่จบมาจากสายศิลป์ แต่หากเลือกได้ ก็เลือกที่จะเรียนสายวิทย์ดีกว่า ด้วยเหตุผลอย่างเดียวเลย คือโอกาสเรียนต่อมีเยอะกว่าสายศิลป์ ทุกวันนี้ ถามตัวเองว่า ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ จะยังเลือกเรียนสายศิลป์ไหม ... ถ้าย้อนเวลากลับไปได้จริงๆ คงจะไปหาอาจารย์ที่สอนเลขตอนม. 3 เพื่อขอให้ท่านกรุณาอธิบายเนื้อหาช่วงที่เราหายไปจากห้องเรียน เพื่อที่จะต่อกับเนื้อหาต่อไปได้ และแน่นอนว่าเราก็คงจะเลือกเรียนสายวิทย์ แต่ไม่ใช่เพราะอยากให้คนพูดว่าเป็นคนเก่ง แต่เพราะเรามองว่า ชีวิตเราน่าจะไปได้ไกลกว่านี้ หากตอนนั้นเราตัดสินใจเลือกเรียนสายวิทย์ จากคุณ : ดาวอักษร - [ 26 ก.พ. 52 10:30:25 ]

ความคิดเห็นที่ 33 อืม....... ดูท่าทุกคน จะตกอยู่ในสถานะการณ์คล้ายๆกันหมด เราเป็นคนหนึ่งที่เรียนสายวิทย์ แต่เวลาผ่านมา 30 ปีแล้วที่เราคิดว่า ถ้าย้อนเวลาได้เราจะเลือกเรียน ศิลป์ภาษา แต่นั่นหมายความว่าเราต้องขยัน ต้องท่องจำ ที่เราเลือกเรียน สายวิทย์ เนื่องจากพี่ๆทุกคนเรีียนมาทาง สายนี้ และเนื่องจากเราไม่ชอบท่องจำ เราจึงเรียนสายศิลป์ ไม่ได้ เราชอบคณิตศาสตร์มาก เพราะไม่ต้องท่องจำ ไม่ต้องทำการบ้านด้วย แค่เข้าใจ ก็ทำได้ แล้ว แต่ภาษาอังกฤษ ถ้าไม่ท่องศัพท์ ไม่ท่อง แกรมม่า ก็สอบไม่ผ่าน ฟิสิกส์ แค่ตั้งใจเรียนในห้อง และเข้าใจ ก็ไม่ต้องดูอะไรอีกแล้ว สอบผ่าน ทำข้อสอบได้ ง่ายๆ แต่ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ถ้าไม่ท่อง ไม่จำ ก็ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แถมยังสอบไม่ผ่านอีก สมัยก่อน เคยสงสัยว่า ท่องไปทำไมว้า....ประเทศนั้นมีเมืองหลวงชื่ออะไร ประชากรเท่าไร ไม่เห็นอยากรู้เลย รู้ไปก็ไม่เห็นจะได้อะไร แถมยังออกเป็นข้อสอบอีก แล้วภูมิศาสตร์ สมัยก่อนเจอครูที่พอถึงชั่วโมงภูมิศาสตร์นะก็เอาหนังสือมากาง แล้วเขียนตามหนังสือ ไว้บนกระดานดำ แล้วให้นักเรียนลอกตาม เราก็ถามคุณครูว่า ทำไมต้องลอกตามด้วย ในเมื่อเราก็ถูกครูบังคับให้ซื้อหนังสือแล้ว สมุดก็ต้องซื้อ เสียเงินสองต่อ แล้วยังต้องเสียเวลา มาลอกไอ้ที่มีอยู่ในหนังสือ ให้เข้าำไปไว้บนสมุดอีกหรือ...............มันไม่มีเหตุผลเลย..............ผลก็คือ ได้ยืนคาบไม้บรรทัด หน้าห้อง แต่สมัยนี้เวลาไปเที่ยวยุโรป หาอ่านให้ควัก ว่า เมืองหลวงชื่ออะไร มีอะไรเป็นสินค้าส่งออก มีสถานที่สำคัญอะไร ประวัติศาสตร์เป็นอย่างไร เพื่อจะได้ไปเที่ยวสนุก ซื้อของกลับมาได้ถูก ได้แต่คิดอยู่ในใจว่า สมัยก่อน ครูอุตส่าห์ ป้อนให้ถึงปาก ยังไม่สนเลย สมัยนี้ต้องมาหาอ่านเอาเอง สมน้ำหน้าตัวเองนัก เคมี ก็ท่องครึ่งหนึ่ง เข้าใจครึ่งหนึ่ง ก็ผ่าน 50เปอร์เซ็น แต่ภาษาไทย ถ้าไม่อ่าน ไม่ท่อง ก็ทำไม่ได้ แต่เราชอบอ่านนิยาย ก็เลยทำคะแนนภาษาไทยดีหน่อย สมัยก่อนเพราะความขี้เกียจเป็นที่ตั้ง ก็เลยต้องเรียนสายวิทย์ เพราะ คะแนนสายศิลป์มันคาบเส้นมากเลย สมัยก่อนถ้าเราขยันกว่านี้ คงไปได้สวยกว่านี้ จากคุณ : ผ่านมา - [ 26 ก.พ. 52 10:34:39 A:124.121.68.133 X: TicketID:105357 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ผมเป็นคนหนึ่ง ที่เรียนสายวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ตอนม.ปลาย ด้วยค่าที่นิยมกันว่า เด็กเก่งๆต้องเรียน ใครไปอยู่สายศิลป์นั้นคนละชั้น ...พอเอาเข้าจริงๆ ผม ที่อยู่ในระดับหัวปานกลาง กลับไม่ชอบวิทย์-คณิต แฮะ ... ผมกลับไปสนใจไขว่คว้า สังคมศาสตร์ ภาษาไทย หรือภาษาอังกฤษ แทน ...จนกระทั่ง ม.หก จะต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย ... บอกตรงๆว่า ณ ขณะนั้น ไม่ได้มีกะจิตกะใจอะไรกะวิทย์-คณิตเลย ทั้งๆที่ไปกวดวิชามาก็มาก ตำราเสริมก็เต็มบ้าน ... แต่ผมกลับไม่ขวนขวานจะสนใจทางนี้ ... น่าแปลกที่เพื่อนผมส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนั้น ถามว่า ยากหรือ คำตอบคือไม่ยากดอก เพียงแต่มันไม่ใช่เรา ... ในขณะที่เด็กสายศิลป์ดูทีจะมีความสุขสนุกสนาน มีเวลาว่างไปเข้าห้องสมุด เรากลับต้องเรียนกันเต็มวัน ... ณ วินาทีนั้น ผมอิจฉาสายศิลป์ขึ้นมาทีเดียว ถ้าผมเลือกทางถูก ชีวิตเด็กม.ปลาย ของผมคงจะมีความสุขมากกว่านี้ ... ณ ปัจจุบัน ... ผมเรียนอยู่คณะสายสังคมศาสตร์ ...ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ความรู้ทางวิทยืที่เรียนมา แทบไม่ได้ขยับเขยื้อน ... เสียดายระคนดีใจ ที่สุดท้ายแล้วก็เจอทางตัวเอง มีเพื่อนมหาลัยหลายคนถาม ว่าเรียนวิทยืมาแล้วทำไมมาเรียนศิลป์ ... หัวไม่ถึงรึ? ผมตอบอย่างภูมิใจ ... "ปัญญาเรียนน่ะมี ... แต่ไม่ชอบ ...สู้เรียนสิ่งที่ตัวเองชอบไม่ดีกว่าหรือ?" ... ดังนั้น ผมจึงไม่ว่าสายไหน ดีกว่า เก่งกว่า เพราะสรุปสุดท้าย ถ้าจบออกมา แล้วไม่ได้ยังประโยชน์ให้แก่สังคมและคนรอบข้าง ... สิ่งที่เรียนมา ก็ดูจะไร้ค่าอยู่ทีเดียว ... ปล.ไม่ค่อยตรงคำถามเสียเท่าไร ... แค่เข้ามารำพึงน่ะครับ จากคุณ : jassb1 - [ 26 ก.พ. 52 12:06:10 ]

ความคิดเห็นที่ 35 จนถึงทุกวันนี้ยังมีอาจารย์บางคนในโรงเรียน ม.ปลายที่ดังที่สุดในประเทศไทย เห็นเด็กสายศิลป์เป็นนักเรียนชั้นสองอยู่เลย ยิ่งถ้าเด็กสายศิลป์ไปเรียน มธ ไม่ใช่ ฬ เหมือนค่านิยมส่วนใหญ่แล้ว กลับไปเยี่ยม รร หน้าแทบไม่มองเลย (ไม่เกี่ยวกับประเด็น แต่อยากระบาย) น่าเศร้า.. ทั้งๆ ที่ภาษาหรือสังคมศาสต์เป็นรากฐานสำคัญแท้ๆ.. ที่บอกว่าเด็กสายวิทย์ได้คะแนนดีกว่าเด็กสายศิลป์ ก็พื้นฐานแต่แรกมันกรองคนเก่งไปสายวิทย์หมดไง ห้องสายศิลป์ก็เป็นได้แค่ "กาก" แหล่งรวมเด็กไม่เก่ง ที่ทำชื่อเสียงให้โรงเรียนไม่ได้เท่านั้นเอง ก็เหมือนโรงเรียนอาชีวะหรือ โรงเรียนพาณิชย์ที่ควรจะเป็นที่สอนวิชาชีพเฉพาะทาง แต่ด้วยค่านิยมของสังคมก็ทำให้กลายเป็นที่ที่รองรับเด็กที่ตัวเอง (หรือพ่อแม่) คิดว่าเรียนสายสามัญไม่รอด ถ้าลองเปลี่ยนค่านิยม ส่งเด็กเก่งไปเรียนศิลป์หรืออาชีวะบ้าง มันก็ไหลย้อนกลับมาเป็นทางตรงข้ามเองแหละ ตอนนี้เรียนนิติ มีเด็กสายวิทย์เรียนเยอะกว่า เห็นภาพรวมได้ชัดเจนว่า ความสามารถในการใช้ตรรกะทางวิทย์มักจะผกผันกับความสามารถกับความสามารถด้านภาษาต่างประเทศ ที่ที่เรียนอยู่หาคนที่ใช้ภาษาอังกฤษที่ต้องใช้จริงๆ (ไม่ได้เอาไว้ใช้สอบ พวกเก่งแกรมม่าอย่างเดียวแต่ เขียน/อ่าน/พูด ไม่ได้) ได้น้อยมากจนน่าตกใจเลยล่ะครับ น่าเป็นห่วง.. ป.ล. ไม่เคย regret ที่เลือกเรียนสายศิลป์ จากคุณ : Govinda Gopala - [ 26 ก.พ. 52 12:27:48 ]

ความคิดเห็นที่ 36 สมัยที่เราเรียนมัธยมต้น ก็เจอแบบ จขกท.เหมือนกัน เพื่อนในห้องช็อคมาก ที่เราเลือกเรียนสายศิลป์ ตอนม.ปลาย เพราะถือว่าเป็นเด็กที่เรียนดีใช้ได้คนหนึ่งในห้อง อาจารย์ก็ค้านให้เราเลือกเรียนวิทย์ดีกว่า แต่เราอยากเรียนภาษามากกว่าเรียนวิทย์ พอเข้ามหาวิทยาลัยก็เข้าอักษรโดยเลือกเรียนเอกภาษาญี่ปุ่น โทภาษาอังกฤษค่ะ ตอนนี้ไม่เสียใจเลยที่ตัดสินใจมาเลือกเรียนสายศิลป์ จากคุณ : harumi - [ 26 ก.พ. 52 12:47:59 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ส่วนตัว ตอนม.ปลายเลือกเรียนสายวิทย์เพราะอยากให้ดูฉลาด พอมหาลัย เลือกเรียนสายศิลป์เพราะอยากสนุกครับ (ตอนเปลี่ยนเส้นทางเหนื่อยพอสมควร แต่ก็พบสุขในวิชาที่เรียนในที่สุด แล้วจะขอบอกว่า ถ้าเอาวิธีคิดของทั้งสองสายมาผสมกันให้ลงตัวได้ เรียนจะไรก็จะซาบซึ้งไปหมดเกือบทุกอย่างเลยครับ) แก้ไขเมื่อ 26 ก.พ. 52 15:00:15 จากคุณ : . (จันทรมาณพ) - [ 26 ก.พ. 52 14:58:00 ]

ความคิดเห็นที่ 38 เรียนวิทย์ทางเลือกเยอะกว่า เราเรียนศิลป์ เพราะเรารู้ว่าเราคงเรียนวิทย์ไม่รอด และไม่มีความสุข สู้เรียนศิลป์อย่างสบายๆ เกรดดีๆทุกวิชาดีกว่า แต่ไม่ชอบหลักสูตรการศึกษาไทย ในเมื่ออุตส่าห์เลือกสายศิลป์แล้วทำไมยังจะต้องมาให้เรียน เลข กันอีก ตัวถ่วงชัดๆ จะไม่จบก็เพราะอีกวิชาบ้าเนี่ยแหละ แก้ไขเมื่อ 26 ก.พ. 52 15:13:37 จากคุณ : หนูฟั่นเฟือน - [ 26 ก.พ. 52 15:13:18 ]

ความคิดเห็นที่ 39 เราเรียนศิลป์คำนวณมา เรียนระดับปริญญาก็เรียนรัฐศาสตร์ ที่ใช้ชื่อว่า political science ความหมายก็คือ การเมืองที่มีการพิสูจน์ หาเหตุผลตามวิทยาศาสตร์ ถ้าให้เปรียบเทียบกัน เราว่าเด็กวิทย์มาเรียนแล้วน่าจะได้เปรียบกว่านะ เพราะการศึกษาบ้านเราจะสอนให้เด็กวิทย์คิดเองเป็น จับใจความเป็น แต่เราไม่สอนให้เด็กศิลป์คิดเท่าไหร่ เน้นท่องๆหรือถ้าวิเคราะห์ก็ไม่ได้วิเคราะห์ด้วยตัวเอง เป็นแนวที่มีคนอื่นวิเคราะห์มาแล้ว เราเลยเสียดายนิดนึงที่ไม่ได้เรียนวิทย์เพราะรู้สึกตัวเองเป็นคนคิดไม่เป็นระบบอยู่ตอนนี้   ถ้าจขกท.เสียดายที่ไม่ได้เรียนศิลป์ก็ลองคิดแบบเราแล้วกัน แก้ไขเมื่อ 26 ก.พ. 52 15:43:32 แก้ไขเมื่อ 26 ก.พ. 52 15:42:57 จากคุณ : ต้องทำบุญด้วยอะไรถึงสวย - [ 26 ก.พ. 52 15:32:49 ]

ความคิดเห็นที่ 40 เหตุผลก็ตามที่หลายคห.กล่าวถึง แล้วคนรู้จักเรากลายคนที่เรียนวิทย์ สุดท้ายก็เบนสายตอนเลือกคณะ เราก็แอบน้อยใจ -*- 555 เปล่าหรอก เข้าใจๆ ^^ แต่เราอะ เรียนสายศิลป์แต่อยากมีแฟนเรียนสายวิทย์ ><" บ้าๆๆ พูดไร ใครถามยะ จากคุณ : Mi Lady & Mi Lord - [ 26 ก.พ. 52 16:17:23 ]

ความคิดเห็นที่ 41 คนเราเอาความคิดง่ายๆมาคิดครับ คิดว่า วิทยาศาสตร์ มันยากว่า ศิลปศาสตร์ ก็เลยคิดรวมๆไปครับ ว่า เรียนอะไรที่มันยากกว่าก็เลยดูเก่งกว่า สำหรับผมผมไม่รู้นะ ดูที่การทำงาน เรียนสายนั้นสายนี้มาทำงานไม่ตรงสายกันก็เยอะแยะ และผมก็ไม่เคยมีปัญหาเรื่องเรียนสายนั้นสายนี้ของระบบ ม.ปลายเท่าไหร่ เพราะผมจบสายอาชีพ ทุกวันนี้ที่ทำงานลูกน้องผมก็มีทั้งสายวิทย์ และสายศิลป์ ก็ยังทำงานตำแหน่งเดียวกันเลย อีก ไม่กี่ปีข้างหน้าผมว่าเดี๋ยวก็จะมีการเปรียบเทียบแบบใหม่อีกเชื่อผมดิ่ ไม่ใช่แค่วิทย์กับศิลป์ หรอกครับ จากคุณ : ปอมปอม มิยาโตวิช - [ 26 ก.พ. 52 16:30:13 ]

ความคิดเห็นที่ 42 สายวิทย์เข้าได้ทุกสาย กำหนดเกรดขั้นต่ำ 3.5 สายศิลป์เข้าได้บางสาย กำหนดเกรดขั้นต่ำ 3.0 แค่นี้ก็ทำให้คนมองอย่างที่เจ้าของกระทู้ว่าได้แล้ว จากคุณ : the_puppylove - [ 26 ก.พ. 52 16:57:15 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ผม และ เพื่อนๆผม จบสายวิทย์ ทำข้อสอบ ภาษาไทย สังคม อังกฤษ ได้เกินเจ็ดสิบครับ โดยเฉพาะเพื่อนๆ ได้เกินแปดสิบกันทุกวิชา ในขณะที่เด็กสินทำไม่ได้แบบนี้ (เปอร์เซนต์ต่ำกว่ามาก) เรื่องของเรื่อง ผมว่า เด็กวิทย์ เก่งกว่าเด็กศิลป์แน่นอนครับ เพราะ เด็กที่เรียนเก่ง มักจะชอบเรียนสายวิทย์ เด็กที่เรียนไม่เก่ง มักจะชอบเรียนสายสิน เด็กที่ได้คะแนนเยอะๆ จึงกลายเป็นเด็กสายวิทย์ สังเกตง่ายๆนะครับ การเรียนแบ่งเป็น วิทย์-คณิต ศิลป์คำนวน ศิลป์ภาษา และไทยสังคม สายที่เก่งที่สุดคือ วิทย์คณิต และ ศิลป์ภาษา อีกสองสายคงรู้ เวลาผมแนะแนวน้อง ผมไม่บอกให้เรียนสายศิลป์คำนวนเลยครับ เพราะมันสองขาเกิน จากคุณ : natthaset - [ 26 ก.พ. 52 17:10:04 ]

ความคิดเห็นที่ 44 เป็นเหมือน จขกท. ค่ะ ตั้งแต่ ป.4 - ม. 3 อยู่ห้องคิงมาตลอด ตอนเลือกสายทางโรงเรียนจัดชื่อให้เราอยู่สายวิทย์อยู่ ตอนนั้นก็ลังเลเหมือนกัน อยากย้ายไปอยู่ศิลป์ คำนวณ แต่ด้วยที่ติดเพื่อน เพื่อนสนิทอยู่สายวิทย์หมด เลยไม่ย้ายสาย ปรากฎว่าตอนเรียนสายวิทย์ ม. 4 - ม. 6 รู้สึกกดดันมากๆ เลขยังไม่เท่าไหร่ มาเจอ เคมี ชีวะ เกือบแย่ ก็ทนๆ เรียนไป เรียนพิเศษไป ที่ไหนว่าดี ก็ไปเรียนหมด ตอนม. 5 เราคงคอร์สเอ็นทั้ง เลข ฟิสิกส์ เคมี เรียน รู้เรื่องมั่ง ไม่รู้เรื่องมั่ง (ตอนนั้นเราเอ็นระบบเก่า) ปลายๆ คอร์สก็โดดเลย พอม. 6 เทอมต้น เริ่มรู้ตัวละ ว่าถึงเราผ่านด่านเอ็นไปได้ เพราะการเรียนพิเศษ แต่ตอนเรียนในมหาวิทยาลัยเราเรียนไม่ไหวแน่ๆ เพราะยอมรับว่าช่วงนั้นที่ลองทำข้อสอบเอ็น แล้วพอทำได้ เพราะเค้าใช้เทคนิคที่ที่เรียนพิเศษสอนมา ทั้งใช้สูตร แทนค่า ตัดช้อยส์ ฯลฯ ซึ่งพอเข้ามหาวิทยาลัย เค้าคงให้แสดงวิธีทำล้วน ซึ่งเราคิดว่าคงแย่แน่ๆ สุดท้าย พอม. 6 เทอมปลาย เราก็ตัดสินใจได้ เปลี่ยนไปเอ็นสายศิลป์ หลังจากชั่งใจมานาน เพราะตอนนั้นใครๆ ก็บอกว่า เสียดาย อุตส่าห์เรียนสายวิทย์มาตั้ง 3 ปี ถ้ากลัวเอ็นไม่ติด ก็เลือกคณะต่ำๆ ก็ได้ฯลฯ แต่เราก็กลับคิดอีกแบบว่า ถือซะว่า 3 ปี เรียนเอาความรู้สายวิทย์เบื้องต้น แล้วอนาคตเรียนมหาวิทยาลัย เราค่อยไปเรียนหาความรู้ใหม่ๆ เอาก็ได้  และถึงเลือกคะแนนต่ำๆ แต่คะแนนมันก็แค่เกณฑ์ในการสอบเข้า เวลาเรียนมหาวิทยาลัย ความยากของข้อสอบก็คงยากสม่ำเสมอกัน สรุปว่า เราเอ็นติด อักษร แต่ก็เรียนเกรดไม่ค่อยสวยอยู่ดี แค่เกรดเฉียดๆ 3 แต่ก็รู้สึกตัดสินใจไม่ผิดที่ย้ายสาย เพราะถ้าฝืนเรียนสายวิทย์ต่อ มีหวังเรียนไม่จบแน่ๆ ตอนจบอักษร เพื่อนๆ เขาไปเป็นครู เลขา แอร์ หรือไม่ก็เรียนต่อโทกัน แต่เราก็ฉีกแนวอีก ได้ไปทำงานที่บริษัท Non bank อยู่แผนก การตลาด ก็ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่อีก เหมือนตอนเปลี่ยนสายมาเรียนอักษร ซึ่งเราว่ามันก็สนุกดี ได้เรียนรู้อะไรแปลกๆ ตลอดทุกๆ 3-4 ปี ตอนนี้เราลาออกมาแล้วจากที่บริษัท Non bank ได้ประสบการณ์มากมาย ที่เราไม่คาดคิดว่าจะได้รับ ขณะนี้ออกมาขายของอยู่บ้านได้ 1 ปีแล้วค่ะ สรุปว่าประสบการณ์ การเรียน/การทำงาน ทั้งสายวิทย์ / สายศิลป์ / สายธุรกิจ มีประโยชน์ต่อเราในชีวิตประจำวันมากจริงๆ ถ้าเรารู้จักผสมผสานให้มันลงตัวค่ะ จากคุณ : icyssth - [ 26 ก.พ. 52 17:40:28 ]

ความคิดเห็นที่ 45 คห 43 ฟันธงเกินไปหน่อยหรือเปล่าครับ? มันขึ้นอยู่กับสถานศึกษาด้วย ผมและเพื่อนๆ ก็เรียนสายศิลป์ ก็ได้ 70-80 กันหมดทุกคนเหมือนกัน มีคนได้ที่หนึ่งประเทศในบางวิชาทางสายศิลป์ก็มี ต้องแยกให้ออกระหว่าง "เด็กที่เลือกเพราะชอบจริงๆ" กับ "เด็กที่เลือกเพราะระบบมันบีบ" เพราะทุกวันนี้มีเด็กเก่งหลายคนเรียนสายวิทย์ ไม่ใช่เพราะตัวเองชอบ แต่เพราะสภาพของสายศิลป์ไม่เอื้อ โดยเฉพาะโรงเรียนที่เน้นแค่สายวิทย์อย่างเดียว ไม่มีการกระจายความรู้หรือครูดีๆ ให้สายศิลป์ สายศิลป์ก็เลยเป็นที่รวมของ.... ละไว้ในฐานที่เข้าใจ เป็นผม ถึงจะเก่งยังไงก็ทนเรียนในสภาพสังคมแบบนั้นไม่ได้หรอก จากคุณ : Govinda Gopala - [ 26 ก.พ. 52 18:03:44 ]

ความคิดเห็นที่ 46 เรื่องแบบนี้กลับไม่อยู่ในความคิดของเราแฮะ... -''- ในฐานะที่เป็นเด็กศิลป์ แล้วเรียนในโรงเรียนประจำจังหวัด (ที่แรงกิ้งดีพอสมควร ในระดับประเทศ) รู้สึกว่าเด็กวิทย์ กับเด็กศิลป์ไม่ได้เก่งมาก หรือน้อยไปกว่ากันเท่า ไหร่เลย เพราะว่า แต่ละคนก็ถนัดไปคนละอย่าง แถมที่โรงเรียนก็ไม่ได้มีการแบ่งชน ชั้นกันอย่างที่หลายๆ คนในกระทู้ว่าด้วย (แต่เรื่องทัศนคติของผู้ปกครองนั้นไม่รู้) ส่วนค่านิยมของสังคมที่ยกย่องเด็กวิทย์ว่าเก่งมากกว่าเด็กศิลป์ อาจจะเป็นเพราะว่า คณะที่ดูมีภาพลักษณ์ดีในสังคมอย่าง แพทยศาสตร์ วิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ สถาปัตยกรรมศาสตร์ ฯลฯ เป็นคณะที่ต้องใช้วิชาทางวิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ เข้าสอบ เลยทำให้ผู้ปกครองที่อยากให้ลูกมีความมั่นคงในหน้าที่การงาน เรียนวิชา พวกนี้เป็นหลัก (ซึ่งก็ไม่ใช่ความผิดอะไรถ้าเด็กมันมีใจรัก) ส่วนตัว เป็นนักเรียนแผน อังกฤษ-ฝรั่งเศส (รุ่นที่ไม่จำเป็นต้องเรียนคณิตศาสตร์) ซึ่ง การเลือกแผนการเรียนนั้นเป็นการตัดสินใจมาตั้งแต่ม. 2 แล้วว่าอยากเรียนแผนการ เรียนนี้ เพราะชอบวิชาภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส และไม่ชอบวิชาคณิต (คือ เรียนให้ตายยังไงก็ไม่เข้าใจ) และอยากเรียนคณะที่ต้องใช้วิชาทางสายนี้สอบโดย เฉพาะด้วย (สมัยนั้นบางคณะยังไม่เปิดให้เอาคณิตศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์สอบ) และก็ทำได้ค่อนข้างดีในช่วงมัธยมปลายด้วย สมัยเรียนมอปลายเพื่อนที่เรียนสายวิทย์ชอบให้มาติววิชาภาษาอังกฤษและ สังคม ศึกษาและวิชาสายศิลป์อื่นๆ บ่อยๆ เพราะว่าเพื่อนๆ สายวิทย์บางคนก็ไม่ได้เรียนเก่ง อะไรในวิชาทางนี้ เลยเลือกหนีไปอยู่สายวิทย์กัน (ที่โรงเรียนมีวิทย์สองประเภท คือ วิทย์-คณิต ธรรมดา และวิทย์-คณิต พิเศษ) เรียนได้แฮปปี้ดี ไม่มีปัญหาอะไร และไม่ รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่เรียนสายศิลป์เลยแม้แต่น้อย เพราะว่าอาจารย์ที่โรงเรียนไม่มีการ เลือกปฏิบัติ (แต่ห้องสายศิลป์จะมีจำนวนน้อยกว่าสายวิทย์แค่นั้นเอง) ตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้โควต้าคณะนิติศาสตร์ และจบออกมาทำงานตรงสาย ไม่มีปัญหาอะไรทั้งสิ้น มีความสุขกับชีวิตดีด้วย อิอิ (จำได้ว่าพ่อเคยเล่าให้ฟังว่า ท้าย ที่สุดหมอเวลาทำอะไรพลาดขึ้นมาก็ยังต้องมาหาทนาย ดังนั้นทนายนั่นแหละ คือ Best choice แล้วสำหรับคนอย่างเรา ฮา....) เรียนอะไรไม่สำคัญ แต่สำคัญที่ว่าจบออกมาแล้วตั้งใจทำงาน และเป็นคนดีของสังคม ก็พอ เนอะ ^ ^ จากคุณ : waidhaya - [ 26 ก.พ. 52 18:51:07 ]

ความคิดเห็นที่ 47 คห. 46 เรียนจังหวัดอะไรเหรอครับ? กำลังสงสัยว่าโรงเรียนเดียวกันหรือเปล่า จากคุณ : Urashima - [ 26 ก.พ. 52 19:56:47 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ^ ^ ^ ตรรกะของพ่อคุณแปลกๆนะ....แล้วเวลาคุณป่วย คุณไม่ต้องไปหาหมอหรอกรึ หรือคุณจะบอกว่าทนายรักษาตัวเองได้ ทำนองเดียวกันคุณจะสร้างตึกคุณไม่ต้องปรึกษาวิศวกร ( อย่าบอกนะว่าเขียนแบบเองบนกระดาษ )หรือเทคโนโลยีใหม่ๆที่คุณใช้ไม่ได้เกิดจากนักวิทยาศาสตร์หรอกหรือ ถ้าทนายเป็น best of the best ทำไมบางส่วน ( ส่วนมาก ) ยังปากกัดตีนถีบอยู่ล่ะครับ หรือไม่ก็ยังพยายามไปสอบเป็นอัยการ ศาล เพราะทนความไส้แห้ง หรือไม่ก็ทนความเห็นแก่ตัวของทนายรุ่นพี่ใน สนง.เดียวกันไม่ได้ ไม่ได้อะไรนะ แต่มองว่าจะทนาย จะวิศวกร จะหมอ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมเหมือนกันน่ะ อย่ายกตนเหนือคนอื่นไปหน่อยเลย จากคุณ : weevi - [ 26 ก.พ. 52 20:02:36 ]

ความคิดเห็นที่ 49 จริงเหรอครับ ผมไม่เคยได้ยินนะที่บอกว่าเด็กวิทย์ฉลาดกว่าเด็กศิลป์อ่า ผมเป็นเด็กวิทย์ เลือกเรียนวิทย์เพราะชอบวิทย์ครับ อีกเหตุผลคือ ผมโง่ภาษามากมาย ผมสู้เพื่อนผมที่เป็นเด็กศิลป์ไม่ได้เลยเรื่องภาษา วรรณคดี คะแนนผมห่วยมากมาย  พยายามอ่านแล้ว แต่มันก็ไม่เข้าหัวเลยครับ   ผมว่ามันแล้วแต่คนชอบและคนถนัดมากกว่านะ อย่าตัดสินว่าเรียนอย่างงี้ ฉลาดกว่าอย่างนี้เลยครับ จากคุณ : sUnTaO - [ 26 ก.พ. 52 20:19:42 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ^ ^ คคห. 47 อยู่จังหวัดเชียงรายจ้า (ถ้าอยู่โรงเรียนเดียวกันก็ดีสิเนอะ) คคห. 48 คุณพ่อไม่ได้หมายความว่านักกฎหมายเป็น best of the best แต่ เป็นตอนที่คุณพ่อบอกเอาไว้ตอนจะเลือกคณะที่ตอนนั้นยังไม่ได้เลือกนิติศาสตร์เป็น คณะแรก ซึ่งเป็น Best Choice สำหรับเราในสถานการณ์นั้นๆ (เด็กที่เรียนสายศิลป์ ที่ ไม่มีทางไปเรียนหมอได้) และก็ไม่ได้หมายความว่าทนายจะดีกว่าหมอ หรืออะไรจะดี กว่าอะไร เพราะทุกสาขาอาชีพล้วนเป็นส่วนประกอบส่วนหนึ่งของสังคม  ไม่ได้มี เจตนายกตนข่มคนอื่นแต่อย่างใด ทนายป่วยแล้วก็ต้องไปหาหมอ แต่ในทางกลับกัน ถ้าหมอมีคดีความหมอก็ว่าความ เองไม่ได้ (ในกรณีที่หมอไม่ได้ไปเรียนนิติศาสตร์เพิ่ม) ก็ต้องไปหาทนาย หรือทั้ง ทนายและหมอจะก่อสร้างบ้าน ก็ต้องไปหาวิศวกรเพื่อสร้างบ้าน ทนาย หมอ วิศวกร หิวข้าวก็ต้องไปซื้อข้าวแกงกินจากแม่ค้า เราทุกอาชีพ และทุกๆ คนล้วนเป็นส่วน ประกอบของสังคม ไม่มีใครเหนือกว่าใคร เพราะต่างคนต่างขาดกันและกันไม่ได้ :D เรียนอะไรไม่สำคัญ แต่ขอให้เป็นคนดี มีความสามารถมาพัฒนาสังคมได้ก็พอแล้ว ^ ^ *แก้ไขตัวสะกด แก้ไขเมื่อ 26 ก.พ. 52 20:27:20 จากคุณ : waidhaya - [ 26 ก.พ. 52 20:24:05 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ตอนนี้หนูอยู่ ม.5 ค่ะ เรียน ศิลป์-ภาษา ฝรั่งเศส เห็นพี่ๆบางคนเขียนแล้วก็น่าน้อยใจจัง ที่เลือกศิลป์เพราะ "ชอบ" อยากพูด อ่าน เขียนฝรั่งเศสเป็น ชอบประวัติศาสตร์ การเมืองไทย ชอบภาษาอังกฤษ ชอบแกรมม่า ชอบไปหมดทุกอย่าง แต่ก็ไม่ได้หนีวิทย์หรือเลขเลย หนูไม่กล้า และ ไม่อาจไปเถียงพี่ๆเลยค่ะ ว่าเด็กสายวิทย์ เก่งกว่าสายศิลป์ แต่หนูเชื่อค่ะ ว่าถ้าให้เด็กศิลป์เรียนวิทย์ในระยะเวลาที่เท่ากับเด็กวิทย์ เด็กศิลป์ก็ทำได้ไม่ขี้เหร่ แน่ๆค่ะ ความแตกต่างมันอยู่ที่รายละเอียดนะคะ ไม่อยากให้มองเอนไปข้างใด ข้างหนึ่ง (เดี๋ยวตาชั่งหัก อิอิ) คิดในทางกลับกัน หากให้เด็กวิทย์มาเรียนภาษาที่สาม คงไม่ยากไม่ง่ายไปกว่าการเรียนฟิสิกส์ หรือ เคมี หรอกค่ะ **** สิ่งสุดท้ายที่ภูมิใจสำหรับการเป็นเด็กศิลป์ **** ** คือ "ความเป็นเอกภาพของคนกลุ่มใหญ่ในห้อง 5/1 นี้ค่ะ ** ^^ จากคุณ : พรุ่งนี้สอบแล้วววว - [ 26 ก.พ. 52 21:13:56 A:222.123.121.59 X: ]

ความคิดเห็นที่ 52 จริงๆส่วนนึงเพราะวิชาอย่างสังคมศึกษาในระดับประถม มัธยม ระดับนักเรียนด้วยกันเองก็ยังค่อนขอดกัน วิชานี้ สอนแบบกว้างๆตื้นๆ เพราะอะไร เพราะเรียนรู้เรื่องของสังคม แต่เรื่องของสังคมมันมีมากมายเหลือเกิน ทำให้พูดถึงได้แบบละนิดละหน่อย เพราะเวลาัมันจำกัด ข้อสอบที่่ออกมามันก็ส่งผลมาจากเนื้อหาอีกที ไม่ได้วิเคราะห์เชิงลึกเหมือนที่ระดับอุดมศึกษา อย่างที่ในสาขาอย่างรัฐศาสตร์ เศรษญศาสตร์ นิติ สังคมวิทยา ฯลฯ กระทำกัน คือเน้นท่องจำเนื้อหาให้ได้ซะมากกว่าที่จะมาวิเคราะห์เหตุการณ์ ความสำคัญปรากฏการณ์ อีกอย่างคะแนนเก็บค่อนข้างมากพอสมควร ทำให้ไม่ต้องสอบเครียดมาก ขยันอ่าน ขยันจำเอาหน่อยก็ได้คะแนนพอสมควรละ ขณะที่วิชาอย่าง วิทย์ หรือ คณิต อาจจะคะแนนเก็บไม่มาก แต่เนื้อหาซีเรียส ต้องเข้าใจอย่างดี เตรียมตัวอย่างดี ทำแบบฝึกหัดอย่างดี แค่จำๆก็ไม่ผ่าน ไม่ได้คะแนน เผลอๆตกซะอีก เลยรู้สึกได้เลยถึงอุปสรรค ความรู้สึกมันสะท้อนออกมา ว่าอันไหนมันอุปสรรคมาก อันไหนเกรดได้ยาก มันส่งต่อๆกันมาว่า อันนึงยาก อันนึงง่าย จากรุ่นพ่อรุ่นแม่ มารุ่นเรา มันก็ถูกปลูกฝังตั้งแต่ระดับประถม มัธยมแล้ว ที่พูดแบบนี้ไม่ได้ดูถูกเด็กสายศิลป์ ตรงกันข้ามนี่คือสิ่งที่หลายๆคนคิด หลายๆคนเชื่อว่าเป็นเช่นนี้ อยากจะฝากบอกคนที่คิดแบบนี้เลยว่า วิชาสังคมที่คุณๆผ่านๆกันมาอะ มันไม่ได้เสี้ยวแม้แต่ปลายเล็บของเนื้อหา และกระบวนทัศน์ที่แต่ละสาขามีเลย เป็นเเค่เปลือกยิ่งกว่าเปลือก วิเคราะห์อะไรไม่ได้ซักอย่าง เด้กวิศวะ หรือ  นักเีรียนหมอ หรือ นักศึกษาวิทยาศาสตร์ "บางคน"ยังมีความรู้ ความเข้าใจต่อประวัติศาสตร์เท่าหางอึ่ง มีภาพ มีการมองสังคมที่คับแคบ มีการใช้เหตุผลที่แปลกกับเรื่องทางสังคม ทางการเมือง หรือบางทีไม่มีทั้งเหตุผลและตรรกะเลย ใช้แต่ความรู้สึก ใช้อารมณ์ในบางเรื่อง ใช้ความเชื่อนำทุกอย่าง ไม่ว่ากัน เค้าไม่จำเป้นต้องศึกษาไม่ใช่สิ่งที่ตัวไม่ได้เรียน แต่อย่ามาคิดว่าตัวเหนือกว่า เจ๋งกว่า ข้าเรียนยากกว่าอะไรงี้ ไม่จริงหรอก แต่ละศาสตร์มันก้มีเสน่ห์ มีความน่าสนใจ มีความซับซ้อนในตัวของมันเอง ชอบอะไร สนใจอะไร ก็เรียนไปแบบนั้น ที่กล้าพูดแบบนี้ เพราะสัมผัสมาหมดทั้งวิทย์ ทั้งศิลป์ ถ้า จขกท หรือ เด้กๆคนอื่นๆ เจอคำพูด หรือคำดูถูกแบบที่ จขกท เล่า ให้คิดแบบนี้ว่า ทำในสิ่งชอบอยู่ใช่ไหม ทำสิ่งที่ตัวเองรักอยู่ใช่ไหม ถ้า ใช่ ก็ไม่เห็นต้องแคร์ลมปากใคร จากคุณ : Loss of Divinity - [ 26 ก.พ. 52 21:15:37 ]

ความคิดเห็นที่ 53 สมัยผมเรียนมัธยมเมื่อสิบกว่าปีก่อน มีเด็กสายศิลป์เก่งกว่าเด็กสายวิทย์หลายคนครับ (ในแง่ของระดับคะแนนน่ะนะครับ) สมัยนี้ก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมแหละครับ :) จากคุณ : Zero_Zero - [ 26 ก.พ. 52 21:23:34 ]

ความคิดเห็นที่ 54 เมื่อก่อน ผมก็เคยคิดแบบ จขกท.ครับ แต่เดี๋ยวนี้ไม่คิดเช่นนั้นแล้ว ประเด็นก็คือ ที่บอกว่าฉลาดนี่ ฉลาดในแง่ไหนครับ? ถ้าฉลาดในแง่การคิดคำนวณต่างๆ สายวิทย์เหนือกว่าแน่นอนครับ แต่ถ้าเป็นเรื่องการใช้ตรรกะทั่วๆไปในชีวิตประจำวัน เท่าที่ประสบการณ์ของผมในการเรียนสายวิทย์ ผมว่า คนเรียนสายวิทย์ส่วนใหญ่มีตรรกะการใช้เหตุผลในชีวิตประจำวันห่วยแตกมากๆครับ คิดอะไรได้ไม่เกินแบบเรียนของกระทรวงศึกษาธิการ ต่างจากเด็กสายศิลป์ ที่ผมมองว่า พวกเขาส่วนมากคิดอะไรได้นอกกรอบของแบบเรียนมากกว่า ตรงนี้ อาจจะเป็นเพราะเด็กสายวิทย์ถนัดการคิดตามโจทย์ที่ถูกกำหนดโดยแบบเรียนมากกว่าเด็กสายศิลป์ ผมเองก็เป็นเด็กสายวิทย์ แต่มีความสนใจด้านสังคมมากว่า ส่วนใหญ่ผมเลยคุยกับเด็กสายศิลป์ได้ถูกคอมากกว่าเด็กสายวิทย์ ที่ผมโพสต์มาเป็นมุมองส่วนตัวของผม ผมอาจจะรู้จักคนน้อยไปก็ได้ และอาจทำให้ผมเข้าใจอะไรผิดได้เหมือนครับ แต่ผมไม่คิดว่า เด็กสายวิทย์ และเด็กสายศิลป์ จะเป็นแบบที่ผมว่าทุกคนนะครับ คำพูดที่บอกว่า "เด็กสายวิทย์ คิดอะไรเป็นระบบมากกว่า เด็กสายศิลป์"ผมไม่ค่อยเชื่อครับ แก้ไขเมื่อ 26 ก.พ. 52 22:27:12 จากคุณ : สนิมเหล็ก - [ 26 ก.พ. 52 22:19:18 ]

ความคิดเห็นที่ 55 เป็นเด็กวิทย์ และคิดว่าตัวเองเรียนวิทย์ตามค่านิยม แต่ไม่เสียใจที่เรียนสายนี้ ชอบทุกวิชาแต่ตกม้าตายฟิสิกส์ เรียนคณิตได้ดี แต่แอนตี้อาจารย์ฟิสิกส์ตอนม.4 ผลกรรมเลยสนอง เรียนไม่เ้ขาหัวยันมหาลัย (มาบ่นเหมือนกัน) ส่วนตัวมองว่ามันฉลาดคนละอย่าง วิทย์ฉลาดเพราะมีเหตุผลพิสูจน์ได้ ศิลป์ฉลาดเพราะจินตนาการ และความกล้าแสดงออก จากคุณ : env42_tay - [ 26 ก.พ. 52 22:21:50 ]

ความคิดเห็นที่ 56 วิทยาศาสตร์ = ความจริง ศิลปศาสตร์ = อารมณ์ ความรู้สึก สายวิทย์ อาจจะฉลาดกว่าสายศิลป์ทางด้านข้อเท็จจริง สายศิลป์ ฉลาดกว่าสายวิทย์ในด้านจรรโลงจิตใจให้งดงามชื่นบาน เปรียบเสมือน  เราต้องมีหมอรักษาโรค  และเราก็ต้องมีสิ่งบันเทิงเริงรมย์ เช่น ดนตรี หรือละครด้วย (หมอก็ต้องดูหนังมั่งล่ะ  ไม่งั้นเดี๋ยวจะบ้าก่อน) จะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปไม่ได้  เป็นสัจธรรมของมนุษย์ สรุปแล้ว  ศิลปินก็ฉลาดกว่านักวิทยาศาสตร์เหมือนกัน  แต่ฉลาดในด้านของเขา ทำไมคนชอบมองว่าเด็กวิทย์ฉลาดกว่าเด็กศิลป์  เพราะ คนเหล่านั้นมองด้านเดียว แก้ไขเมื่อ 27 ก.พ. 52 00:14:19 จากคุณ : ล็อกอินขอยืม (พระเอกละครหลังข่าว) - [ 27 ก.พ. 52 00:13:53 ]

ความคิดเห็นที่ 57 เข้ามาอีกที เราคงด่วนสรุปไปว่า เด็กวิทย์คิดเป็นระบกว่าเด็กศิลป์ จริงๆคงต้องพูดเป็นคนๆดีกว่า จขกท. อย่าซีเรียสว่าใครจะมองยังไง นึกดีกว่าว่าคุณอยากทำหรือเรียนอะไรในอนาคต ศิลป์-วิทย์บ้านเรามันเป็นนิยายน้ำเน่าของการศึกษาบ้านเราที่ทำให้เด็กติดอยู่ในกรอบแคบๆจนหาทางออกไม่เจอ จากคุณ : ต้องทำบุญด้วยอะไรถึงสวย - [ 27 ก.พ. 52 00:19:48 ]

ความคิดเห็นที่ 58 อืม ขอแตกเป็นอีกประเด็นได้ไหม เรียนวิทย์ แต่บางคนกลับไม่ได้มีวิธีคิดที่เป็นวิธียาศาสตร์ เป็นเหตุผล หรือตรรกะ โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับ... เกี่ยวกับ สังคมการเมือง มันหมายถึงว่า บางมีเค้าอยู่กับวิทยาศาสตร์แต่ไม่ได้คิดแบบวิทยาศาสตร์หรือป่าว ? จากคุณ : Loss of Divinity - [ 27 ก.พ. 52 00:26:08 ]

ความคิดเห็นที่ 59 คห. 50 คุณ waidhaya ส.ว.ค. สินะครับ =w= เฮๆๆๆๆ จับมือรุ่นพี่ 555+ จากคุณ : Urashima - [ 27 ก.พ. 52 01:15:53 ]

ความคิดเห็นที่ 60 ^ ^ กร๊าก บรรดาเรา เราส.ว.ค. กันเชียว (เราน่าจะเป็นรุ่นพี่สินะ กร๊าก เพราะเป็น ส.ว.ค. 42) อยู่ห้องไหนเอ่ย? จากคุณ : waidhaya - [ 27 ก.พ. 52 01:45:56 ]

ความคิดเห็นที่ 61 จำได้ว่าสมัยก่อน(หลายปีแล้วน๊า) เด็กที่ได้ คะแนนสูงสุดของ เอเลเวล (การสอบวัดผลของประเทศอังกฤษค่ะ) เลือกคณะนิติ หรือไม่ก็ เศรฐศาสตร์ กันเป็นส่วนใหญ่ เพราะเขาเล็งเห็นว่า ประเทศจะพัฒนาไปได้ กม.ต้องเข้มแข็งและศก.ต้องแข็งแรง เมืองไทยเราคงไม่ได้คิดถึงข้อนี้ ดังนั้นจึงเห็นผู้ปกครองคุยข่มกันอยู่ว่าลูกเรียนหมอ หรือเรียนวิศวะ จากการสอบถามเพื่อนหลายๆคน เขาให้ความเห็นว่า การเรียนทั้งหมอและวิศวะได้นั้นต้องเป็นคนที่ฉลาดมากๆถึงจะจบ แต่การเรียนกฎหมายและเศรฐศาสตร์ให้จบได้นั้นต้องทั้งฉลาดและเฉลียว อาจเป็นไปได้ว่าหลักการเรียนกฎหมายและเศรฐศาสตร์ของไทยต่างจากของต่างประเทศ เราจึงไม่สามารถกรองคนที่ทั้งฉลาดและเฉลียวออกมาได้ แต่การเรียนหมอและวิศวะเป็นอะไรที่ตายตัวกว่า มีมาตราฐานกว่า จึงกรองคนเก่งออกมาได้เกือบเท่าๆกัน เพราะมันเป็นศาสตร์ ที่บอกไว้แล้วว่า 1+1 =2 แต่การเรียนศิลป์นั้น ไม่ได้มีกฎเกณฑ์ตายตัวเช่นนั้น เป็นการเรียนที่บอกว่า ทำไมต้องเป็น 1 และทำไมจึงต้องบวก 1 เพื่อให้เท่ากับ 2 ซึ่งเป็นการเรียนที่ต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์อยู่ในตัวของมัน ดังนั้นควรที่จะพูดว่า ทำไมประเทศเราไม่สามารถสอนคนให้มีทั้งศาสตร์และศิลป์ได้มากกว่าค่ะ แค่สายวิทย์สายศิลป์เด็กสามัญยังบ่นว่าไม่เท่าเทียม เจอเด็กสายอาชีพ ที่เป็นลูกที่ถูกลืมของสังคมหน่อยเป็นอย่างไรคะ ต้องเข้าม.เหมือนๆกัน แต่วิชาภาษาไทย อังกฤษ สังคม ล้วนมาจากบทเรียนของสายสามัญทั้งนั้น เด็กสายอาชีพก็ก้มหน้ารับโชคชะตากันไป ปล.เพ่ือนเราได้คะแนนวิชาทางด้านวาดรูปสูงที่สุดในประเทศ (ขอไม่บอกนะคะว่าวิชาอะไร) ทั้ง 2 ตัว แต่เอ็นท์ไม่ติดเพราะวิชาสามัญสู้เด็กสามัญไม่ได้ น่าเสียดายไหมล่ะค่ะ 3 ปีที่เรียนโรงเรียนทางศิลปะมาไม่ได้ช่วยอะไรพวกเราเลย เพราะพวกเราไม่ได้เรียน วรรณสานวิจักร หรือสังคม หรือภาษาอังกฤษแบบที่คุณๆเรียนกัน ขอถามว่าพวกเราจะเอาที่ไหนไปตอบในข้อสอบ เงินจะไปเรียนพิเศษครอส์ละ สามพันห้าพันก็ไม่มี ปล.2 เรื่องมันนานมาแล้วค่ะ ช่างมันเถอะเนอะ ก็แค่อนาคตของเด็กสายอาชีพเนอะ จากคุณ : Hergest - [ 27 ก.พ. 52 09:24:03 ]

ความคิดเห็นที่ 62 ยังไม่ได้อ่าน แต่มาเขียนไว้ก่อนว่า ตอนเรียนป.ตรีรู้จักคนๆหนึ่งเป็นตัว Top ของ science สาขาหนึ่ง เค้าจบสายพาณิชมา ไม่เคยเรียนวิทมาก่อน สมัยม.ปลายเพื่อนผมเรียนเก่งต้นๆของสายวิทย์ม.ต้น แต่อยากเรียนบัญชีเลยเลือกศิลป์คำนวน แล้วก็ได้เกียรตินิยมเหรียญทองม.ดัง ด้วย ทุกอย่างแล้วแต่คน และแต่ละคนก็มีวิธีคิดต่อวิถีชีวิตที่ต่างกัน จากคุณ : Disorder - [ 27 ก.พ. 52 09:28:23 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ที่คนคิดแบบนั้นเพราะตอน ม.ปลาย บางโรงเรียนคัดเด็กที่เรียนสายวิทย์ไม่ได้ไปสายศิลป์คำนวนมั้ง รู้สึกว่าทางเลือกของเด็กที่จบสายวิทย์มีมากกว่า สายวิทย์ก็เข้าหมอ เข้าวิศวะได้ พ่อแม่เลยนิยมให้เรียน ส่วนภาษาเรียนเป็นวิชาเสริมได้ เด็กเรียนสายศิลป์สอบเข้าสาขาสายวิทย์ลำบาก แต่เด็กสายวิทย์สอบเข้าสาขาสายศิลป์ได้เยอะ (ยกเว้นอักษร) จากคุณ : มาลัยฯ - [ 27 ก.พ. 52 09:40:09 A:58.8.189.224 X: TicketID:108292 ]

ความคิดเห็นที่ 64 ศิลป์ไม่ได้เก่งจินตนาการ การแสดงออก หรือเรื่องไร้สาระหรอกค่ะ ศิลป์จะเป็นฝ่ายที่ใช้สมองอีกซีกที่วิทย์อาจจะไม่เคยไปแตะต้องส่วนนั้นเลย พวกเรามีเหตุผลสูง และอารมณ์สูง วิชาภาษาใช้ความละเอียดอ่อนในการเรียน  หรือศิลปะก็ดีเป็นสุนทรียศาสตร์ที่อาศัยหลักเหตุผลที่ไม่มีสูตรตายตัว ทำให้ต้องเปลี่ยนเสมอและใช้ใจมากกว่า ดูสายวิทย์จะมีสูตรคำนวณและเครื่องอำนวยความสะดวกไม่น้อย แต่สายศิลป์สิคะ พจนานุกรมยังช่วยอะไรไม่ได้เลย จากคุณ : kurika - [ 27 ก.พ. 52 10:28:01 ]

ความคิดเห็นที่ 65 เป็นคนหนึ่งที่ตัดสินใจว่าชีวิตนี้จะเรียนสายศิลป์แน่นอนตั้งแต่อยู่ม.ต้น เพราะเป็นคนที่ไม่ชอบเรียนเลขและวิทยาศาสตร์มาแต่ไหนแต่ไร วิชาพวกคำนวณ เราเริ่มติด 0 ตั้งแต่ป.4 คือพอเริ่มเรียนบัญญัติไตรยางค์ ชีวิตเราก็ไม่เคยเจอเกรดอื่นในวิชาเลขเลยนอกจาก 1 และ 0 ในขณะที่วิชาอังกฤษ สังคม ฝรั่งเศส ภาษาไทย ได้เกรด 4 ตลอด ยอมรับว่าเราชอบดูคนที่เก่งคำนวณ เพราะคำนวณเราไม่ได้เรื่อง เวลานั่งเรียนเลขมักมีแต่คำถามเต็มหัว ทำไมต้องใช้ X ใช้ Y ทำไมไม่ใช้ก.ไก่ กับจ.จาน หรือทำไมไม่ใช้วงกลมกับสามเหลี่ยม ทั้งที่รู้ว่ามันใช้ได้ แล้วทำไมทุกคนจะต้องใช้ X กับ Y ทำไมๆๆๆๆๆๆๆๆๆ มีแต่คำถาม เรียนเรื่องวงกลม เส้นรอบวง อะไรสักอย่าง ตอนแรกก็ตั้งใจดี เรียนไปเรียนมา เราเริ่มมองวงกลมเป็นรูปนั้นรูปนี้ จินตนาการไปว่าเป็นไอติมมั่ง วาด(ในความคิด) เป็นหมี หมา แมว ไม่ชอบอะไรที่ตายตัว ทำไมต้องใช้สูตร ทำไม 1+1 คือ 2 ทำไมไม่เป็น 18 ฯลฯ พอเรียนม.ปลายจบ เข้าเรียนนิเทศศาสตร์ สาขาวารสารศาสตร์ ซึ่งแน่นอนว่าตั้งใจจะเรียนเอกวารสารฯ ตั้งแต่อยู่ม.4 ความใฝ่ฝันคืออยากเป็นบก.นิตยสาร บอกใครไปหลายคนก็ขำ พูดออกมาว่านิเทศศาสตร์จะเป็นวิชาสุดท้ายที่เค้าจะเลือกเรียน เราเองฟังเค้าพูดแล้วก็ขำเหมือนกัน ที่ตัดสินอะไรง่ายถึงเพียงนั้น ตัวเราเองไม่เคยคิดว่าเด็กสายวิทย์เก่งกว่าเด็กสายศิลป์ ไม่เคยคิดว่าใครจะด้อยกว่าใคร แต่ละคนก็มีความถนัดที่แตกต่างกันไป และมีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบแตกต่างกันเท่านั้นเอง แก้ไขเมื่อ 27 ก.พ. 52 10:33:16 จากคุณ : ป่ามป๊าม - [ 27 ก.พ. 52 10:31:17 ]

ความคิดเห็นที่ 66 เป็นอีก 1 คน ที่เรียน สายวิทย์ แล้วไม่ได้ ใช้ ตอน ม.ปลาย เลือก เรียนเพราะ เกรดถึง กับตาม ๆ เพื่อน เพราะ ม.ต้น เกรด พอดูได้ ไม่เคยต่ำกว่า 3.5 เลยได้ สายวิทย์ ที่ โรงเรียนเก่าโดยไม่ต้องสอบเข้าแต่ต้อง สอบเลือกห้อง พอเรียนสายวิทย์ เทอม แรกก็ ตกเคมี ได้ 0 ทั้ง ๆ ไม่เคยได้ เกรด นี้มาก่อนในชีวิต ม.4 เทอม 1 อาจารย์เค้าก็ เตือนตลอด เวลา ว่า ถ้ารู้ ตัวว่าไปไม่ไหว อยากย้าย สามารถย้ายได้ ไป สาย ศิลป์ แต่ตอนนั้น คิดว่าตัวเองเรียน เก่ง + กับ ความคิดเรื่อง สาย ศิลป์ ด้อยกว่า แล้วก็ เรียนสายวิทย์ เลือก เรียนได้เยอะกว่า เลย ไม่ย้าย จบ มา สายวิทย์ด้วย เกรด 2 กว่า ๆ ตอน เอ็น คะแนนวิทย์ ห่วยมาก ทำข้อสอบ เคมี แบบ งง เหมือนไม่เคยเรียนมา เลย สักนิด ทั้ง ๆ ที่อ่านกับเรียนพิเศษ ตลอด ถ้าถามว่าตัวเอง ชอบอะไร ชอบ ศิลปะ เลือกเรียน วิชา เลือก ศิลปะ มาโดย ตลอด ที่โรงเรียนเรา จะให้ เด็กเลือกเรียน วิชาเลือก 1 วิชา สามารถเลือกเรียน ได้ อิสระ มี 2 คาบ ต่อสัปดาห์ จบ ม.ปลายมา มาต่อ คณะวิทย์ มหาวิทยาลัย เล็ก ๆ ไปไม่รอด ต้องออกมาเรียน ศิลปะ อย่างที่ตัวเอง ชอบ ถ้าย้อนไปได้ อยากจะ เรียนสาย อาชีพ ปวช แทน การเรียน ม. ปลายเพราะรู้ สึกว่ามันได้อะไรมากกว่า ที่เราได้ ตอน เรียน ม.ปลาย จากคุณ : เด็กชาย (คุณชายแรง) - [ 27 ก.พ. 52 11:32:46 ]

ความคิดเห็นที่ 67 คห. 60 ผมเรียนศิลป์ฝรั่งเศสล่ะ ห้องห้าคับ รุ่นพี่ศิลป์ฝรั่งเศสเหมือนกันอีก เอ่อ ผมรุ่นไรไม่รู้อะ แต่ตอนนี้เรียนอยู่ปีสาม มธ. คับ =w= (ไม่ได้ตอบกระทู้เล้ย... ขอเป็นผู้อ่านต่อไป 555+) จากคุณ : Urashima - [ 27 ก.พ. 52 16:59:20 ]

ความคิดเห็นที่ 68 จบมาเป็นสิบปีแล้วครับ บอกตามตรง ไม่อยากเรียนมันทั้งสองสายนั่นแหละ อยากเรียนช่างศิลป์ อยากไปไทยวิจิตรมากๆ ผมไม่สนหรอกไอ้พวกสายสามัญอ่ะ ไม่ได้ตอบอะไรในชีวิตผมเลย... แต่ก็ต้องเรียน เพราะพ่อแม่ไม่ยอมให้เรียนช่าง อาจารย์เลยจับมาใส่ศิลป์-ฝรั่งเศส แล้วมันก็จริง เด็กมันโง๊...โง่...แต่งตัวหรูหราไฮโซไปวันๆ กระแดะเป็นอินเตอร์ก็เท่านั้น เพลงฝรั่งที่ฟัง ไม่รู้มันแปลออกกันมั่งป่าว ส่วนไอ้พวกห้องวิทย์โรงเรียนผมก็โคตระเห็นแก่ตัว ไม่รู้วันๆมันคุยกันแบบจริงใจมั่งป่าว...คะแนนออกทีก็พาลเกลียด พาลอิจฉากัน แก่งแย่งชิงดี แกล้งเพื่อนจนกระทั่งมีเพื่อนผมคนนึงมีอาการทางประสาทจนถึงปัจจุบัน เห็นแก่ตัวทั้งเพ...เลวราก ปัญญาอ่อน ชวนคลื่นไส้มากๆ อย่าไปสนใจเลยครับว่าใครจะว่าอะไร อย่าไปน้อยใจเลย ไม่ต้องวัดที่คะแนนเอนท์ด้วย ไอ้พวกขี้โอ่ไร้สาระอย่าไปทนเหม็นขี้ฟันมัน...เอาเป็นว่าเรียนตามที่ชอบ แบบที่ตอบใจคุณได้มากกว่าแล้วกันครับ ผมเองเอนท์ก็ไม่ติด แต่ตอนนี้ผมก็มีปัญญาเลี้ยงไอ้พวกเด็กเอ็นท์ติดจุฬา เกษตร กับลาดกระบัง ได้ด้วยวิชาที่ผมรัก ไม่เห็นจะต้องไปแคร์ปากคน ไร้สาระ จากคุณ : กระบี่บูรพา - [ 27 ก.พ. 52 17:43:13 ]

ความคิดเห็นที่ 69 คคห. 67 สมัยพี่ห้องฝรั่งเศสมีสองห้องคือ ห้อง 6.2 และ 6.3 จ้า (พี่อยู่ 6.2) คิดถึงเจ๊ศรีไพร ได้ข่าวว่าตอนนี้อาจารย์แกลงจากคานมีครอบครัวไปแล้ว คิดถึงอาจารย์หลายๆ คนในโรงเรียนเหมือนกันนะเนี่ย ป.ล. ตอนพี่เป็นนักเรียน ได้อาจารย์มลวิภาเป็นที่ปรึกษาประจำห้อง เสียดาย ที่น้องรุ่นนี้น่าจะไม่ทันอาจารย์แก ^ ^ จากคุณ : waidhaya - [ 27 ก.พ. 52 21:07:54 ]

ความคิดเห็นที่ 70 เด็กสายวิทย์  =  เก่งคำนวณ คิดแบบตรรกะ  เป็นเหตุเป็นผล อยู่ในกรอบ ในระบบ เด็กศิลป์ =  เก่งภาษา คิดแบบจินตนาการ ไร้กฏเกณฑ์ creative  อิสระไม่เป็นระบบ ไม่เคยมองว่า เด็กสายวิทย์ ฉลาดกว่าเด็กสายศิลป์ อยู่ที่ทักษะเฉพาะทาง ความถนัดของแต่ละคนมากกว่า ปล. ถ้าสายวิทย์จบไปทำงานได้ดีกว่าสายศิลป์จริง ทำไมเด็กสายวิทย์มาแย่งคณะเด็กสายศิลป์เรียนเยอะแยะ จากคุณ : L'enFer - [ 27 ก.พ. 52 21:57:51 ]

ความคิดเห็นที่ 71 คห. 69 อ๋อ ครูศรีไพรเค้ามีครอบครัวละคับ ผมได้ครูศรีไพรเป็นครูประจำชั้น ม.4-5 พอ ม. 6 โรงเรียนมีนโยบายให้เปลี่ยนครูประจำชั้นเลยได้ ครูราตรี แทน ห้องผมเฮี้ยวที่สุดในสายชั้นแล้ว ครูศรีไพรบอกไม่ไหว ถือโอกาสลี้หนีเลย 555+ (เค้าล้อเล่น) อ.มลวิภาเค้าเออร์ลี่รีไทร์ไปเรียบร้อย ตอนนี้สอนที่ เชียงรายวิทยาคม ครับ แต่แกยังคงครองตำแหน่งมือหนึ่งฝรั่งเศสประจำจังหวัดต่อไป อิอิ ^^ ป.ล. ผมเป็นลูกครูครับ คนที่ตัดผมหน้าม้าแล้วได้ฉายาว่า คลีโอพัตรา นั่นง่ะ 555+ (พี่จะเคยเรียนด้วยป่าวหว่า) ตอบกระทู้บ้าง ผมไม่คิดว่าคนเรียนสายวิทย์จะเก่งกว่านะครับ อันที่จริง ประเด็นมันอยู่ที่ว่า "การคัดกรองโดยกลไกทางสังคม" โดยค่านิยมที่ผมขอเรียกว่า "ค่านิยมสายวิทย์ดีกว่า" สายวิทย์จึงเกิดการคัดกรองเด็กเก่งมาต้อนเก็บไว้หมด โดยที่บางทีนั่นมันไม่ใช่ประสงค์ที่แท้จริงของเจ้าตัว ส่วนสายศิลป์คือกากเหลือเดน เมื่อเป็นกากเหลือเดน ปล่อยๆ มันไปไว้ที่สายศิลป์น่ะแหละ หมกๆ รวมกันไว้ (แรงไปนิด แต่นี่ความรู้สึกของคนบางคนจริงๆ นะ อย่าว่างั้นงี้เลย แม้แต่ครูบางคนก็เหอะ = =") ประเด็นต่อมา เด็กวิทย์มันเก่ง เด็กศิลป์มันห่วย ก็เพราะกลไกทางสังคมดังกล่าวเลยทำให้เด็กวิทย์เก่งกว่าไม่ใช่รึ? ประเด็นนี้ทำให้เราตอบได้ว่า ทำไมคนจากสายวิทย์ถึงทำคะแนนวิชาทางสายศิลป์ได้ดี ก็เด็กวิทย์คือเด็กที่คัดไปแล้วไงคุณ ทำไมวิชานอกจากสายวิทย์มันจะเก่งสุดๆ ไม่ได้ล่ะ (แต่อาจจะมีบางคนที่ไม่เก่งภาษากะสังคมเลยหนีไปเรียนวิทย์ ถือเป็นคนละกรณี) เอาจริงๆ แล้ว อย่าว่างั้นงี้เลยนะครับ คนบางคนที่เรียนสายศิลป์ก็มีปัญญาจะเรียนสายวิทย์ แต่ไม่เลือกเอง ปัจจุบันมีให้เห็นมากขึ้น สำหรับคนบางคนที่มองว่าเด็กสายศิลป์ห่วย คุณใช้อะไรมาวัด "ค่า" ของคนอื่นครับ ผมคิดว่านั่นคือ "อคติ" รึเปล่า? ประเด็นต่อมา สายวิทย์ทางเลือกมากกว่า เพราะสามารถมาแย่งคณะหรือแย่งงานสายศิลป์ได้ ข้อนี้จริง และเห็นอยู่บ่อยๆ ไม่เถียงหรอกครับ งี้แหละ เมื่อเรามีทางเลือกที่ดีกว่าเราก็ต้องเลือก จริงมั้ย เรื่องที่บอกว่า ความสามารถทางด้านภาษา ฯลฯ ของเด็กวิทย์จะไม่เท่าเด็กศิลป์นั้น ฝึกได้ครับ อย่างที่มีคนบอกว่า เด็กวิทย์ มาศึกษาวิชาทางศิลป์เองก็เข้าใจ แต่เด็กศิลป์ไปศึกษาทางวิทย์เองก็เข้าใจได้ยาก ทุกอย่างย่อมมีข้อดีและข้อเสียในตัวแตกต่างกัน แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าอะไรกันที่ "เหมาะ" กับคุณที่สุด ไม่ต้องดีเลิศที่สุดในสายตาใคร แต่ดีเลิศที่สุดสำหรับเราก็เพียงพอแล้ว ชีวิตคน คุณค่าของคนใช่จะวัดกันที่สายวิทย์สายศิลป์ *แก้คำผิด แก้ไขเมื่อ 27 ก.พ. 52 22:48:27 จากคุณ : Urashima - [ 27 ก.พ. 52 22:47:28 ]

ความคิดเห็นที่ 72 เป็น stereotype อย่างหนึ่งนะเราว่า คนมักจะคิดกันว่า ความสำเร็จวัดกันได้ที่เม็ดเงิน เพราะฉะนั้นต้องทำงานที่ได้เงินดีๆ งานที่เงินดีๆ ก็เป็นแพทย์ วิศวะอะไรแบบนี้ ซึ่งมันเห็นเม็ดเงินได้ชัดเจน อาชีพพวกนี้จึงมีการแข่งขันกันสูง คนเก่งๆอยากเข้าไปเรียน อยากทำอาชีพนี้ และจะทำอาชีพพวกนี้ได้ก็ต้องเรียนสายวิทย์มา อีกอย่างนึงก็เหมือนความเห็นข้างบนๆคือ คิดกันว่าสายวิทย์มีทางเลือกเยอะ จะสอบวิทย์ก็ได้สอบศิลป์ก็ได้ แต่เด็กศิลป์สอบได้แค่ศิลป์ เพื่อนเราที่เรียนสายวิทย์ก็คิดแบบนี้ แต่อย่าลืมว่ามีทางเลือกเยอะก็จริงแต่ถ้าเรียนไม่ได้ดี มันก็ไปไหนไม่ได้เหมือนกัน ส่วนตัวเราเป็นเด็กสายศิลป์และตัดสินใจเลือกเรียนเพราะชอบ ไม่สนใจใครตั้งใจเรียนให้ดี เข้าคณะที่เราอยากเรียนให้ได้ เรามักจะเจอพวกเด็กวิทย์มองเรา พูดกับเราแบบประมาณว่าพวกห้องศิลป์ ก็พวกห้องท้ายๆ เหมือนเหลือเดน เข้าแผนการเรียนอื่นไม่ได้ถึงกระเด็นมาอยู่นี่ แต่พอตอนเห็นคะแนนเอนท์เป็นยังไงคะ เดินยิ้มมาหาเราเชียว บอกว่าอยากเรียนนิเทศ มาขอหนังสือสังคมของเรา อยากรู้ว่าเราใช้หนังสืออะไร ด๋อยยยย สายวิทย์ถ้าทำคะแนนไม่ได้ดี ก็ต้องมาเลือกคณะอะไรก็ได้ที่ทำให้เอนท์ติด แล้วไง เรียกว่าฉลาดกว่าตรงไหน แค่รู้จักตัวเอง เลือกทางเดินชีวิตที่ดี่ที่สุดและรักที่สุดให้ตัวเองยังทำไม่ได้ แบบนี้ไม่เรียกว่าฉลาดนะคะ จากคุณ : ชั้นไม่มีอนาคตกับผู้ชายคออ่อน - [ 28 ก.พ. 52 01:24:21 ]

ความคิดเห็นที่ 73 อ่านแล้วโดนมากกกก... เหมือนกับเราเป็นคนเขียนกระทู้นี้ขึ้นมาเลย โดยส่วนตัวเราว่าแต่ละสายก็เก่งและมีความเท่คนละแบบ เวลาเห็นคนแก้โจทย์ฟิสิกส์ยากๆได้หรือคนที่พูดได้หลายภาษา เราก็รู้สึกชื่นชมเท่ากันนะ แต่คนสมัยก่อน โดยเฉพาะพ่อแม่ เค้าไม่ได้คิดแบบนั้นหรอก เค้าคิดว่าคนที่เก่งจริงๆต้องสายวิทย์  มีคำพูดนึงที่เรายังจำได้ดี "คนที่เรียนภาษา เก่งวิทย์ไม่ได้  แต่คนที่เรียนวิทย์ เก่งภาษาได้" ตอนนั้นยังเด็ก ก็เชื่อทุกอย่าง แต่ผ่านมาถึงตอนนี้....เราอยากเถียงใจจะขาด!!!! จากคุณ : Devily - [ 28 ก.พ. 52 04:06:32 ]

ความคิดเห็นที่ 74 เพิ่งมาอ่านเจอ คห.นี้ ความคิดเห็นที่ 63 ที่คนคิดแบบนั้นเพราะตอน ม.ปลาย บางโรงเรียนคัดเด็กที่เรียนสายวิทย์ไม่ได้ไปสายศิลป์คำนวนมั้ง รู้สึกว่าทางเลือกของเด็กที่จบสายวิทย์มีมากกว่า สายวิทย์ก็เข้าหมอ เข้าวิศวะได้ พ่อแม่เลยนิยมให้เรียน ส่วนภาษาเรียนเป็นวิชาเสริมได้ เด็กเรียนสายศิลป์สอบเข้าสาขาสายวิทย์ลำบาก แต่เด็กสายวิทย์สอบเข้าสาขาสายศิลป์ได้เยอะ (ยกเว้นอักษร) จากคุณ : มาลัยฯ ---------- ถูกเลยค่ะ สมัยก่อนรร.เราจะแบ่งว่า ถ้าเกรดม.ต้นไม่ถึง 2.5 ก็จะเรียนสายวิทย์ไม่ได้ แล้วเค้าจะคัดให้คนเก่งมาเรียนสายวิทย์  พวกที่เหลือเอาไปสายศิลป์ ยิ่งห้องสุดท้ายก็จะเลวร้ายที่สุด(ทั้งๆที่มีคนที่เก่งมากๆสมัครใจอยากจะเรียนสายศิลป์เองด้วย) จากคุณ : Devily - [ 28 ก.พ. 52 04:10:22 ]

ความคิดเห็นที่ 75 ผมรู้จักคนหนึ่งซึ่งเคยคุยกับเขาเรื่องราวที่เกี่ยวกับ การเรียน การทำงาน และเป้าหมายในชีวิต.. คนนี้เป็นคนถ่อมตัว เรียนจบเพียงแค่ ป.ตรี จากสถาบันแห่งหนึ่งใกล้ชายแดน เรียนจบสาขาประวัติศาสตร์ที่ใครๆก็ค่อนแคะเขาว่าจบมาก็หางานทำไม่ได้ ... ในขณะที่คุย กิจการเสื้อผ้าส่งออกและเครื่องหนังของเขากำลังไปได้ดี ก่อนจะมาลงทุนในกิจการนี้ ในสมัยเรียนเขากับแฟนชอบไปขายของที่ตลาดตอนเช้าๆทุกวัน ขายเสื้อผ้าขายรองเท้า ถ้าไม่ขายก็ไม่มีเงินเรียนไม่มีเงินกินข้าว เพราะบ้านจน แถมกู้เงินเรียนก็ไม่ได้ ตอนเรียนจบมาใหม่ไม่มีบริษัทที่ไหนอยากรับคนเรียนจบประวัติศาสตร์เข้าไปทำงานซักที่ เขาไม่รู้ว่าจะเอาไปทำงานอะไรในบริษัท.. ส่วนคนที่เรียนจบสายวิชาชีพมา ส่วนใหญ่ได้งานไปหลายคนแล้ว สตาร์ตเงินเดือนไม่ใช่น้อย และต่างคนต่างพอใจในสิ่งที่ตนเองเรียนมา ... เมื่อหางานไม่ได้ เขาก็บอกผมว่า ทำไมจะต้องรอให้งานวิ่งมาหาตัวเองอยู่เรื่อยไป ทำไมเราสร้างงานให้ตัวเองไม่ได้ อย่าดูถูกตัวเองสิ .. เขาเป็นคนขยัน อดทน รู้จักใช้รู้จักลงทุน แฟนเขาก็เป็นเหมือนกัน การตัดสินใจครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขาก็คือ กลับไปที่บ้านคุยกับพ่อแม่ เขาต้องการเงินลงทุนกิจการครั้งใหญ่สุด เขามองเห็นอะไรบางอย่างที่คนอื่นมองข้าม เขาพูดจนพ่อแม่เข้าใจ และเอาโฉนดที่ดินและบ้านให้ลูกชายเอาเข้าธนาคารเพื่อไปลงทุน!! ถ้าหากกิจการล้มละลาย บ้านที่ดินที่จำนองไว้ต้องหลุดแน่นอน เป็นความเสี่ยงที่คนอายุ 22 ในขณะนั้นอาจจะไม่สามารถรับได้.. ขณะนี้เขาขยายกิจการไปไกล สวนกระแสเศรษฐกิจโลก เพราะเขาทำในสิ่งที่คนทั่วไปมองข้าม(ผมขอไม่บอกละกัน) และมีลูกจ้างในบริษัทที่จบสายวิทย์และสายวิชาชีพอื่นๆมาทำงานด้วยหลายสิบคน ส่วนเขาบริหารงานและบริหารคนได้ดีมากๆ .. แต่โดยนิสัยส่วนตัวแล้ว เขาเป็นคนเหมือนเจ้าสัวสมัยก่อนๆ ที่ทำตัวติดดิน ไม่ฟุ้งเฟ้อ ขยันตื่นเช้านอนดึกแทบทุกวัน ทำงานเอาใจใส่ทุกอย่างในบริษัท โดยเฉพาะลูกน้องจะรักเขามากเฉพาะเขาไม่ดูถูกใครเลย ใครเดือดร้อนเขาจะช่วยทันที ลูกน้องทำงานให้แทบทุกอย่าง... คุณภาพชีวิตของคนนี้จัดได้ว่าไม่แตกต่างอะไรกับคนทั่วไป ใช้ชีวิตอย่างชาวบ้าน(ที่มีคุณสมบัติโดดเด่น) ขับรถกระบะญี่ปุ่นมือสอง ใช้มือถือจอขาวดำ ทำกับข้าวกินเอง เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับกิจการที่เขาสร้างมากับมือ .. ชีวิตของคนนี้สวนทางสูตรสำเร็จในค่านิยมของคนในสังคมเกือบจะสิ้นเชิง โดยเฉพาะความเชื่อว่าคนที่เรียนสายวิชาชีพ(แผนวิทย์) ย่อมต้องได้ดีกว่าคนเรียนแผนศิลป์ ... แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นอย่างนี้เช่นเดียวกันครับ .. คนนี้มีตัวตนอยู่จริงๆอยู่ที่ชลบุรีนี่เอง ผมรู้จักเขาเพราะเขาเคยมาซื้อของที่ร้านผมและคุยกันบ่อยๆทั้งเรื่องเรียนหนังสือและเรื่องทำงาน.. จากคุณ : นายอึเหม็น - [ 28 ก.พ. 52 09:50:38 ]

ความคิดเห็นที่ 76 ถ้าพยายามแล้วทำได้ดี ถือว่ายังดีครับ นั่นคือความสามารถเราถึง ทำได้ คนที่เข้าไปได้ แต่ทำไม่ได้แบบนี้ ยังมีครับ จากคุณ : คนบ้านั้นชอบหอบ "ฟาง" - [ 28 ก.พ. 52 13:46:30 ]

ความคิดเห็นที่ 77 ผมเป็นคนนึงที่ต้องอดทนเรียนสายวิทย์ทั้งๆที่ไม่ชอบเลย ที่ต้องมาเรียนสายวิทย์เพราะพ่อบังคับ และเกรดตอนม.ต้นถึงด้วยครับ ทั้งๆที่ผมชอบภาษาแล้วก็อยากจะไปเรียนศิลป์ภาษามากๆก็เรียนไม่ได้เพราะ ต้องทำตามที่พ่อบอก  ตอนนี้ก็ได้แต่อดทนอีกปีนึงเท่านั้นผมก็จะหลุดพ้นจาก ความทรมานซักที เมื่อหลุดพ้นแล้วต่อไปผมจะเดินตามทางที่ผมเลือกเองคงจะดีกว่าให้พ่อแม่     ขีดเส้นไว้ให้ จากคุณ : เขี้ยววายุ - [ 28 ก.พ. 52 13:50:46 ]

ความคิดเห็นที่ 78 ตอนนี้เรียนอยู่สายวิทย์ค่ะ อยู่ชั้น ม.5 คิดว่าจบมัธยมแล้วจะสอบอักษรศาสตร์กับมนุษยศาสตร์ค่ะ เพราะชอบด้านภาษา ไม่ชอบวิชาคณิตศาสตร์ค่ะ แต่พอทำได้ คะแนนก็อยู่ในระดับโอเค แต่คะแนนพวกภาษาอังกฤษ สังคม ภาษาไทยนี่จะอยู่ในระดับต้นๆ ของสายชั้นเลยนะคะ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษจะท็อปตลอด ส่วนตัวไม่ได้คิดว่าสายวิทย์ฉลาดกว่าสายศิลป์เลยค่ะ เพราะมันเป็นคนละแบบกัน คนเรามีความถนัดไม่เหมือนกันค่ะ ถ้าย้อนเวลาได้ อยากเรียนสายศิลป์ภาษาค่ะ จากคุณ : e.chelsea - [ 28 ก.พ. 52 14:58:52 A:192.168.0.17 X:124.122.223.217 ]

ความคิดเห็นที่ 79 เรียนสายศิลป์ฝรั่งเศสมาค่ะ รู้สึกภูมิใจมากที่ได้เรียนสายนี้ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็ยังจะเลือกเรียนสายศิลป์ฝรั่งเศสอยู่ค่ะ ตอนนี้เรียนอยู่คณะอักษร ก็ยังภูมิใจอยู่ที่ได้เรียนสิ่งที่ตัวเองชอบ จริงอยู่ที่ว่าไม่เลือกสายวิทย์คณิตเพราะเราไม่ถนัดวิทย์กับเลข แต่เราเลือกศิลป์ภาษาเพราะเราชอบค่ะ ชอบเรียนภาษา แล้วเราก็ไม่เคยรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอะไรเลยค่ะที่เรียนคณะด้านภาษา เราไม่เคยรู้สึกว่าเราด้อยกว่าเด็กสายวิทย์เลยด้วย รู้สึกว่าเราแค่เรียนต่างกัน ตามแบบที่แต่ละคนถนัดเท่านั้นเอง ทำไมจะต้องมาวัดว่าใครฉลาดกว่าใครด้วยล่ะคะ? โดยส่วนตัวคิดว่า คนที่ตัดสินคนว่าฉลาดหรือไม่จาก สายวิทย์หรือสายศิลป์นี่มองโลกแคบจัง จากคุณ : Honey And Clover - [ 1 มี.ค. 52 00:06:20 ]

ความคิดเห็นที่ 80 เรียนสามวิทย์มาค่ะ แต่ตอนเอ็นทรานเลือกคณะสายศิลป์ตลอด ไม่ใช่คะแนนไม่ดี ไม่ได้ถูกพ่อแม่บังคับและเป็นคนเดียวที่เรียนม.สี่ห้าหก ที่เหลือคนที่แวดล้อมเรียนวิชาชีพกันหมด ไม่อยากให้รู้สึกว่าสายวิทย์ดีกว่าสายศิลป์เหมือนที่เจ้าของทู้บอกเลยนะคะ ในฐานะที่เป็นคนเลือกเรียนวิทย์เอง ตอนพาแม่ไปมอบตัวตอนเซ็นต์ชื่อว่าเลือกเรียนวิทย์ แม่ยังค้านจะให้เปลี่ยนใจอยู่เลย  คะแนนจบม.สามเลือกได้ทั้งสองสายค่ะ แต่ตัวเองชอบและสนุกที่ได้เรียนรู้สายวิทย์ที่เค้าว่ายากๆกัน ขณะที่ตัวเองได้ทำกิจกรรมแบบสุดๆ ไปเลย เป็นประธานนักเรียนตั้งแต่ม.ต้นจนจบม.หก กิจกรรมเพีี๊๊ยบเป็นนักเรียนดีเด่นทุกปี เป็นกีฬารร.ตัวแทนรร. และเรียนจบสายวิทย์ที่ด้วยคะแนนเกือบๆสาม อาจจะไม่มากแต่เรียกได้ว่าได้ทำทุกอย่างตามที่ตัวเองอยากทำ พ่อแม่ก็เข้าใจและตามใจ ตอนเอ็นท์เลือกคณะโบราณคดี วารสาร ของพวกสายศิลป์เรียน แต่สอบไม่ติด ไม่เคยคิดน้อยใจ แม่แนะนำให้เรียนบริหาร  ก็ทำตามและตั้งใจทำให้ดีที่สุด สรุปมาจบตรีโทบริหารอินเตอร์ ทำงานในสายที่ไม่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์เลย แต่ไม่เคยหยุดท้อกลับคิดว่าท้าทายดี ระหว่างเรียนทำงานพิเศษไปด้วย(ฐานะทางบ้านไม่มีปัญหาอะไรแต่ก็ไม่ได้ร่ำรวยนะคะ)เป็นไกด์อาชีพ เป็นอาจารย์สอนคอมพิวเตอร์ ทำทุกอย่างตามที่ตัวเองอยากทำ ตอนจบตรีคะแนนสูงขนาดมีบริษัทที่มั่นคงมาจองตัวเสียด้วยซ้ำจบโทเกรดเฉลี่ยเกือบๆสี่ ไม่ได้อยากอวดตัวอะไร แต่อยากให้ลองคิดในอีกแง่มุมหนึ่งค่ะ แค่อยากจะบอกว่าเรียนอะไรมาก็แล้วแต่ขอให้รักที่จะเรียนและรักที่จะทำให้ตัวเองดียิ่งๆขึ้น ไม่ต้องสนใจหรอกคะ่ว่าใครจะมองว่าเด็กศิลป์ไม่ฉลาดไม่เก่งเท่าเด็กวิทย์ คนเก่งก็คือคนเก่ง ไม่ว่าจบสายไหนมาเป็นคนดีเป็นคนเก่งได้ทั้งนั้นค่ะอย่าน้อยใจไปเลยค่ะ ทุกวันนี้พออายุมากขึ้นจนเป็นเจ้านายคนแล้วเห็นคนจบวิศวะ จบหมอแล้วก็เฉยๆ ไม่ได้รุ้สึกว่าเก่งไปกว่าเราตรงไหน แต่ก็ศัทธานะคะ ถือว่าเป็นงานเฉพาะทางอย่างหนึ่งเหมือนกัน คิดในทางกลับกันว่าถ้าเค้ามาทำงานอย่างเรา(หาเงินเข้าองค์กร ทำตลาดให้ได้กำไร) ก็คงทำไม่ได้ดีเท่าเราหรอก ต่างคนต่างมีความชำนาญเฉพาะทางค่ะ ทางใครทางมัน ไม่งั้นคงไม่มีอาชีพที่แตกต่างกันไปตามถนัดหรอกค่ะ คิดเสียอย่างนี้เรียกว่าความภูมิใจในตนเอง ส่วนค่านิยมจะเป็นอย่างไรเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่ความภูมิใจในตนเองสร้างได้ค่ะ ส่วนที่พลาดเลือกสายที่ตัวเองไม่ชอบไปแล้วถ้ากลับตัวทันก็ลองคุยกับพ่อแม่ดูค่ะ แต่ถ้าไม่ทันแล้วก้ลองฮึดสู้สักตั้งดีกว่านะคะเพื่อตนเองค่ะไม่ใช่เพื่อพ่อแม่ สำหรับเรื่องลูกนี่จะส่งเสริมทุกทางเท่าที่จะทำได้ค่ะ  ส่วนเค้าจะเลือกเรียนเลือกเดินแบบไหน แล้วมีความสุขก็ยินดีค่ะ เพราะแม่ของลูกเอง คุณตาคุณยายก็เลี้ยงมาแบบนี้ ขอให้เค้ามีความสุขในสิ่งที่เค้าทำเค้าเลือกเค้าก็น่าจะทำได้ดี ปล.อันนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะคะ เอามาบอกเล่าแลกเปลี่ยนกัน ไม่มีเจตนาจะโต้ตอบหรือจงใจว่าใครค่ะ . จากคุณ : คนชอบกลอน (mon_m&m) - [ 1 มี.ค. 52 16:13:29 ]

ความคิดเห็นที่ 81 กำลังใคร่ครวญเรื่องลูกสาวอยู่ มาอ่านทบทวนอดีตด้วยค่ะ คุณ คคห.71 คะ โดนใจค่ะ   ไม่ใช่เพียง "การคัดกรองโดยกลไกทางสังคม"  เท่านั้นนะคะ แต่เป็นการ "เลือกปฏิบัติทางสังคม" ด้วยค่ะ สมัยเรียน (สายวิทย์) โรงเรียนดังของจังหวัดที่เอน?ติดเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ จำได้ว่า วิชาที่เรียนเป็นภาษาอังกฤษหลายวิชา เช่น เคมี ชีวะ ตรีโกณ ภูมิศาสตร์ วิชาภาษาอังกฤษของห้องวิทย์ ก็เลยดูเหมือนได้เรียนมากกว่าห้องศิลป์ คะแนนภาษาอังกฤษของห้องวิทย์ก็จะมากกว่าห้องศิลป์ ทั้งๆที่ ทางโน้นเรียนอังกฤษมากกว่า แถมครูที่สอนแต่ละคน ทำหน้าตาท่าทางแสนจะเหนื่อยหน่าย เดินเนือยๆเข้าห้องศิลป์ แต่กลับกะตือรืิอร้นที่จะมาสอนห้องเรา แลดูมีชีวิตชีวา และทำให้ห้องเรียนคึกคัก สมัยนั้น ยืด... และดูถูกพวกเขาห้องโน้นมากมาย แต่พอจบไปนานๆ อิจฉาเขามากเลยที่แสนจะมีชีวิตที่แสนปราณีต มีโอกาสได้อ่านวรรณกรรมดีๆ เข้าใจศิลปะหลายแขนง แถมยัง มีกิจการของตัวเอง  รายได้ดีกว่าพวกเรา พอมีลูก ก็เริ่มมองและคิด เพราะแกไปได้ทั้งสองสาย ให้เลือกความมั่นคง(ทางเศรฐกิจ) กับความมั่นคงทางจิตใจ ก็ยังหวั่นไหวอยู่นะคะ สามีก็ไม่ให้ความมั่นใจเลย มองแต่โอกาส และความเป็นไปได้ที่จะเอนท์เท่านั้นเองว่า สายวิทย์มี"มากกว่า" ดูเหมือนเมืองไทยไม่ได้ให้โอกาสทางสังคม สำหรับนักภาษาศาสตร์  นักสังคมศาสตร์ หรือสาย social scienceใดๆ ยุโรปกับอเมริกา มีนักสังคมวิทยามามีบทบาทในโรงพยาบาล คอยตัดสินใจเชิงสังคมไปกับคนไข้ด้วย แต่เมืองไทย น่าจะมีเพียงนักสังคมสงเคราะห์ ที่คิดแต่ในเชิง "สงเคราะห์" ไม่ใช่ สังเคราะห์ การผสานความรู้เพื่อให้โอกาสและทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์ ให้ใช้ศักยภาพสูงสุดในตัวคน น่าจะยังหวังไม่ได้นะคะ จากคุณ : ดอกเหมย (Fiorina) - [ 1 มี.ค. 52 16:33:02 ]

ความคิดเห็นที่ 82 จริงๆมันเอามาเทียบกันไม่ได้หรอกค่ะ ว่าเด็กสายไหนเก่งกว่ากัน เพราะมันอยู่ที่ "ความถนัด" ของแต่ละคนมากกว่า เราเอง ตอนม.ต้นก็เรียนได้สามกว่าเกือบสี่ อยู่ห้องคิงมาตลอดสามปี แต่พอเข้า ม.ปลาย ก็เลือกศิลป์-ภาษา เพราะแน่ใจอยู่แล้ว ว่าสายวิทย์-คณิตมันไม่ใช่ตัวเราแน่นอน เพื่อนบางคน คะแนนถึง พอเรียนได้ มันก็เลือกกันไปเพราะคิดว่ามีโอกาสมากกว่า สุดท้ายแล้ว ชีวิต ม.ปลาย สามปี แทบจะหมดไปกับการเรียนพิเศษ บางคนก็เข้าคณะสายศิลป์ในตอนสุดท้าย ของอย่างนี้มันอยู่ที่ใจค่ะ ส่วนเรื่องค่านิยม อย่างน้อยคนที่มาตอบกระทู้นี้ ก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่ไม่ได้คิดว่าเด็กวิทย์ฉลาดกว่าเด็กศิลป์หล่ะนะคะ จากคุณ : Lady Rabbit Sparrow - [ 1 มี.ค. 52 20:40:59 ]

ความคิดเห็นที่ 83 ตอน ม. ปลาย เรียนสายวิทยาศาสตร์ เห็นด้วยที่คนมองว่าเรียนวิทย์ จะเก่ง ดูตั้งอกตั้งใจเรียน พอเข้าสู่ระดับมหาวิทยาลัย เรียนที่มหาวิทยาลัยมหิดล เวลาบอกอย่างนี้คนจะบอกว่าเก่งเนอะ แล้วพอบอกต่อว่า  เรียนศิลปศาสตร์ เอกภาษาไทย คนที่เพิ่งชม ทำท่าเหมือนจะเปลี่ยนและขอคำชมคืน ไม่ได้รู้สึกโกรธอะไร เพียงแต่ทุกครั้งจะคิดในใจว่า เราเลือกแล้ว และเรามองเห็นสิ่งที่คนอาจจะไม่เห็น เราเห็นค่าในวิชาที่เราเรียน ในขณะเดียวกันก็ไม่เคยมองว่าอะไรสำคัญกว่าอะไร เพียงแต่มองว่า ทุกอย่างต้องดำเนินไปพร้อมๆ กัน ทุกวันนี้หลานกำลังโต ก็บอกพ่อแม่พวกเขาว่า ถ้าลูกชอบอะไร ก็สนับสนุน อย่าไปยึดกับสิ่งที่คนมอง ถ้าลูกอยากร้องเพลง ก็ให้เขาเรียน  ลูกอยากเป็นนักเขียนก็ให้เป็น อย่ากำหนดและบังคับว่าต้องสายวิทย์ฯ  เพราะเรารู้ดีว่ามันกดดันไม่น้อยเลย จากคุณ : popodyssey - [ 1 มี.ค. 52 20:54:48 ]

ความคิดเห็นที่ 84 สายวิทย์ สายศิลป์ สายวิทย์ สายศิลป์ สายวิทย์ สายศิลป์ น้อยคนที่นึกถึงตัวเลือกอื่นๆในการเรียนและฝึกฝน ปล่อยคะแนนให้มาทำร้ายอนาคตของเด็กทั้งๆที่รู้ว่าไม่ใช่ตัวกำหนดความสำเร็จในชีวิต ...ส่วนตัวแล้ว กลุ่มคนที่เชื่อว่าเก่งกว่าทั้งสายวิทย์และศิลป์คือผู้ที่สามารถทำประโยชน์จากความรู้ทั้งสองสาขาได้ดีมากกว่า เสียดายว่าระบบไม่อำนวยต่อความคิดที่ต่างออกมานี้เท่าไหร่นัก แนวเลือกสาย "กีฬา"... ไม่มีใครเห็นความสำคัญกันเลยจริงๆนะ จากคุณ : abstract - [ 1 มี.ค. 52 21:07:15 A:124.120.146.79 X: TicketID:071021 ]

ความคิดเห็นที่ 85 เม้นเยอะ ขี้เกียจอ่านจนหมด ขอตอบแบบเป็นตัวเองแล้วกัน จะด่าแล้วนะ ใครรับไม่ไหวหรืออยากด่ากลับก็เชิญตามสบาย คุณได้สิทธิ์นั้นเดี๋ยวนี้ 555 คือแบบ คนที่บอกว่าเด็กวิทย์ฉลาดกว่าเด็กศิลป์อะ "ใจแคบ" ไปปะครับ ? ทำคะแนนในการสอบได้มากกว่า เรียกว่าฉลาดกว่า ? ถามหน่อยครับ เด็กคนหนึ่งดิฟเลขได้ กับเด็กคนหนึ่งทอดแหเป็น ใครฉลาดกว่าครับ ? ส่วนตัวไม่แปลกใจเลยที่พวกเด็กวิทย์ชอบคิดว่าตัวเองฉลาดล้ำ(เรียนกะพวกสายวิทย์มา แต่ใจไม่อยาก เลยพอเห็นความแตกต่าง) ก็มองเห็นแต่ตัวเลขกันนี่น้า เอาเกรดมาตัดสินความฉลาด งั้นอาจารย์ที่เป็นคนให้ตัวเลขเหล่านั้นมาก็คงฉลาดที่สุดสินะ จะกำหนดให้ใครฉลาดหรือไม่ก็ได้ นักวิทยาศาสตร์ชอบบอกว่าผีไม่มีจริง แต่ยังไม่เคยเจอใครไปลองพิสูจน์ฉี่รดศาลที่เค้าว่าดังๆเฮี้ยนๆกันซักที น่าเสียดาย ถ้าตอนจะเข้าเรียนสายศิลป์มีสอบเขียนเรื่องสั้น หรืออะไรที่มันแสดงถึงความสามารถเฉพาะทางเหมือนทำการทดลองนู่นนี่(ข้อสอบไทยอังกฤษสังคมไม่นับนะ มันก็ไอ้แค่ท่องๆอ่านๆ อยู่ดีนั่นแหละ) เด็กวิทย์หลายๆคนคงมองโลกกว้างขึ้น เบื่อพวกใจแคบ จากคุณ : only 1 meter , เพียง ฉัน มีเธอ - [ 1 มี.ค. 52 21:36:57 ]

ความคิดเห็นที่ 86 ผมว่ามันวัดกันไม่ได้หรอกครับ วิชาอย่างไรก็คือวิชาจะมาวัดว่าอะไรยากง่ายก็ไม่ได้หรอกครับมันอยู่ที่ คนที่เรียนว่าชอบ ถนัด อะไร และทุกสายทุกอาชีพนั้นอย่างไรต้องพึ่งพาอาศัยกัน มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ต้องอยู่ร่วมกัน ลองนึกดูง่ายๆ สายวิทย์จบมาเป็นหมอ สายศิลป์จบมาเป็นทนาย ทนายไม่สบายไปหาหมอ  หมอถูกฟ้องก็ไปหาทนาย นี่ยังไม่นับแม่ค้า เกษตรกร ฯลฯ ขาดกันได้ใหมครับ ปล.ที่เป็นแบบนี้เพราะค่านิยมที่ยึดถือตามกันมาแต่เดิมโดยไม่รู้ความหมาย เหมือนรู้ว่าไอสไตร์ฉลาดแต่ไม่รู้ว่า e=mc2 คืออะไร ถ้าสายวิทย์กันหมด หรือสายศิลป์กันหมด เราจะอยู่กันได้อย่างไร จากคุณ : fays (by_faith) - [ 1 มี.ค. 52 22:55:20 ]

ความคิดเห็นที่ 87 ตัวเองเรียนสายศิลป์ค่ะ อังกฤษ-ญี่ปุ่น ชื่นชมความขยันอดทนมานะพยายาม และสิ่งที่พวกเพื่อนๆเรียนมาก เห็นฟิลิกส์ เห็นวิชาหนังสือที่มันเรียนแล้ว โอ้โห... ขยันแบกจริงๆ เยอะแยะตาแป๊ะขายถั่ว จบไปอย่างเจือกมาลงนิติละกันนะ แต่เราว่า เด็กศิลป์กับเด็กวิทย์มันก็ไม่ได้ต่างกันหรอกค่ะ ถ้าคุณมองจากคนที่รักศิลป์จริงๆ รักวิทย์จริงๆ เราอยู่ห้องคิงมาตลอด อยู่ระดับกลางๆค่อนต้นๆ ของห้อง(ถ้าไม่เอาวิชาคณิตมารวมนะ ฮ่าๆๆ) ม.ต้น เกรดไม่ต่ำกว่า 3.9 โรงเรียนเราเป็นโรงเรียนประจำจังหวัด เป็นจังหวัดใหญ่ของประเทศเลย คะแนนเข้าสายวิทย์ห้องคิงแบบสบายๆ แต่เลือกศิลป์ญี่ปุ่นเพราะใจรักในศิลป์ เกลียดคณิตมากมหาศาล คิดอยู่เหมือนกันว่าถ้าเก่งเลขจะเข้าสายวิทย์ เพรราะชอบวิทยาศาสตร์มาก เพื่อนที่เหลือเข้าสายวิทย์ หลายคนที่ไม่สนิทกับเรามาทักว่าทำไมไม่ค่อยเห็นหน้า (สายศิลป์ชอบไปสิงแถวห้องสมุด ไปนอน ฮ่าๆๆ) มันนึกว่าเรียนสายวิทย์ พอรู้ความจริงมันทั้งหลายออกแนวเหนือคาด แต่ไม่มากเพราะออกแนวไปศิลป์ตั้งแต่ม.สามแล้ว เรียนสายศิลป์มีความสุขมาก เพื่อนดี เฮฮาปาร์ตี้ เรียนด้วยใจรัก และความสุข รู้สึกว่าตัวเองเลือกแนวทางถูกแล้ว มาถึงเพื่อนสายวิทย์ มันเรียนกันได้ แต่เรียนไปบ่นไป ตามสไตล์ เรียนๆลอกๆ มันเรียนได้ แต่ลอกกันดวย ส่วนเราเรียนแต่ไม่ลอก ทำด้วยตัวเอง สายวิทย์คนที่เก่งก็เทพมากๆ การแข่งขันสูง ออกแนวเห็นแก่ตัวด้วยในบางที เห็นใครดีกว่าไม่ได้ แต่คนที่ดีก็มีนะ เป็นบางคนเท่านั้นล่ะ ไอ้เรื่องต้องเอาชนะกันนี่แหละเลยมาลำบากเรา พอดีถนัดเรื่องคอม ทำเว็บอะไรพวกนี้ เพื่อนเลยจ้างให้ทำสื่อนำเสนอรายงานมันบ่อยๆ วิชาสิลปะก็ด้วย จะขอให้ทำให้ (ทั้งงานเลยนะบางที) ผิดกับห้องเราสายศิลป์ ทำไม่ได้ก็ทำเท่าที่ฝีมือตัวเองมี ถามว่าถ้าเราเรียกสายวิทย์จะเรียนได้ไหม ตอบเลยวว่าดิ้นรนเรียนไปแบบใจเกลียดก็ได้ แต่เราเลือกทางที่เราชอบ เราถนัดมากกว่า วิทย์ศิลป์ มันถนัดกันคนละด้านสมองก็คนละซีกแล้ว ที่ดูวิทย์ฉลาดกว่าศิลป์เพราะค่านิยมต่างหาก พ่อแม่เราเปิดกว้าง เราชอบวาดรูป ชอบภาษา จะยัดเข้าวิทย์ก็กระไรอยู่ เพราะตอนเข้ามหาวิทยาลัยสุดท้ายก็เอ็นเข้าคณะศิลป์อยู่แล้ว จากคุณ : The Gargoyle - [ 1 มี.ค. 52 23:32:40 ]

ความคิดเห็นที่ 88 เราเรียนสายวิทย์มาตลอดค่ะ ด้วยเหตุผลที่บ้านให้เรียน เรียนไปได้อะไร....ได้ทฤษฎีล้วนๆค่ะ เพราะเราเป็นคนที่พลิกแพลงไม่เป็น ไม่เป็นคนที่ช่างสังเกต ตามที่นักวิทยาศาสตร์ควรจะเป็น .......................................................................................... เราชอบวาดรูปมาตั้งแต่เด็ก....แต่ที่บ้านไม่สนับสนุน ด้วยเหตุผลที่ว่า....ไปวาดรูปหากิน จะได้อะไร ซึ่งเราคิดว่า ถ้าเราเลือกเรียนด้านนี้ เราไปได้ไกลแน่นอน .......................................................................................... เราแอบอิจฉาคนที่พูดภาษาต่างประเทศได้คล่อง เพราะตัวเราพยายามฝึกแล้วก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จ .......................................................................................... แต่ที่เราเรียนได้ อยู่รอดมาได้ ไม่ใช่เพราะว่าเก่งนะคะ เราจำเอาล้วนๆค่ะ ขนาดเรียน match, physics เราจำโจทย์ จำขั้นตอน แล้วเปลี่ยนตัวเลขเอา วิชาอื่นที่เกี่ยวกับคำนวณ ได้เกรดไม่เคยเกิน c+ .......................................................................................... ที่ยกตัวอย่างมาซะยาว เพื่อจะให้เห็นว่า เด็กเรียนสายวิทย์ ไม่จำเป็นจะต้องเก่งเสมอไปนะคะ ซึ่งแต่ละคนมีความถนัดที่แตกต่างกัน เก่งกันคนละด้านเท่านั้นค่ะ จากคุณ : lovesecret - [ 5 มี.ค. 52 19:49:47 ]

ความคิดเห็นที่ 89 โรงเรียนผมสายวิทย์เก่งกว่าสายศิลป์ เพราะกำหนดเกรดสูงกว่า และคะแนนสอบสายวิทย์สูงกว่าสายศิลป์ทั้งนั้น ส่วนคนเก่งๆ มากๆ อาจารย์จะ แนะนำให้เรียนสายวิทย์ แม้ว่าเด็กอยากเรียนสายศิลป์ คนที่ได้คะแนนอังกฤษเยอะสุดก็เป็นสายวิทย์เกือบทุกครั้งเลย มีน้อยมากๆ ที่สายศิลป์เก่งกว่า แต่มีไม่ถึง 5% เลย ที่เก่งๆมากๆ ก็มีนะ สายศิลป์เนี่ย คนก็เลยเหมารวมเลย จากคุณ : the_puppylove - [ 5 มี.ค. 52 21:43:43 ]

ความคิดเห็นที่ 90 ตอนนี้ผมอยู่ในโรงเรียน ม. ปลายที่ต้องสอบเข้าไม่ว่าจะสายวิทย์หรือศิลป์ ไม่ใช่การแบ่งโดนการคัดเกรด ม.ต้น เหมือนบาง รร จะพบได้ว่าศักยภาพของเด็กวิทย์และเด็กศิลป์ที่นี่เท่าเทียมกัน ที่นี่... ไม่ใช่เฉพาะเด็กวิทย์ที่ได้รับรางวัลจากการแข่งขันระกับชาติและนานาชาติมากมายนะครับ เด็กศิลป์ก็เหมือนกัน และถ้าหากมองดีๆ ตัวตั้งตัวตีในการทำกิจกรรมของที่นี่ก็จะเป็นเด็กศิลป์ซะด้วย เลยเกิดประเด็นที่ว่า คำถามว่าวิทย์หรือศิลป์ดีกว่ากันนั้น มันขึ้นอยู่กับตัวระบบสังคมที่ไปขีดเส้นให้มันเองหรือเปล่า เริ่มตั้งแต่การคัดเด็กเก่งให้ไปเรียนวิทย์เลย ก็เป็นซะอย่างนี้ แล้วเราจะมีนักเรียนศิลป์ที่เก่งได้มากเท่าหรือครับ การสนับสนุนทางด้านการเรียนการสอน จะมีสักกี่โรงเรียนกันครับที่ให้การสนับสนุนการเรียนแผนกศิลป์จริงๆ จังๆ ตอนนี้ผมเรียนศิลป์ภาษาครับ และผมก็ภูมิใจด้วย จากคุณ : K Potter - [ 5 มี.ค. 52 21:52:54 ]

ความคิดเห็นที่ 91 เรียน ศิลป์ ภาษา แต่ เลข เอเนต ยังพอทำได้บ้าง ไม่เหมือนสายวิทย์บางคน ยังทำไมได้ สักข้อ มันวัดอะไรกันไม่ได้หรอกคับ บางคนเรียนวิทย์ เพราะ ว่า ทางบ้านอยากให้เรียน ผมว่าเรียนในสิ่งที่ชอบดีกว่าคับ ไม่ว่า วิทยื หรือ ศิลป์ มันก้อเก่งคนละแบบ สุดท้ายมันก้อ มาพัฒนาประเทศร่วมกันอยู่แล้ว ^^ จากคุณ : ดกดดด - [ 6 มี.ค. 52 21:43:33 A:192.168.0.17 X:58.8.154.235 ]