ความคิดเห็นที่ 1 อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ differentiation หรือ meaning shift ได้ที่นี่ http://en.wikipedia.org/wiki/Differentiation_(linguistics) สมัยเรียนการแปลไทยเป็นอังกฤษใหม่ๆ เวลาเราแปลอะไรไม่ได้ แล้วลากเอกสารต้นฉบับไปถามนักแปลรุ่นพี่ที่เคยแปลมานานนับ 10 ปี เขาอ่านภาษาไทยที่เราแปลไม่ได้ แล้วเขายิ้มพลางพูดกับเราว่า "คู๊ณณณณณ...สิ่งแรกที่คุณจะต้องเรียนรู้ ในการแปลไทยเป็นอังกฤษนั้น ก็คือว่า 'อย่าไปเชื่อไอ้คนเขียนมันมากนัก...ฮ่าๆๆ...!'" และนั่นก็เป็นคำอธิบายว่า ทำไมเมื่อหัดแปลเดือนแรกๆ เราแปลได้แค่วันละ 3-4 หน้าเอง แต่พอแปลได้ 3 ปีดันซ่า แปลได้วันหนึ่งตั้ง 20 หน้าแน่ะ แต่พอแปลได้ 10 ปีกลับไปเหลือแปลได้วันละ แค่ 4-5 หน้าเองถ้าเป็นงานแปลราคาแพงที่รับโดยตรงจากลูกค้า หรือแปลได้แค่วันละ 10 หน้าเองถ้าเป็นงานแปลก๋วยเตี๋ยวเรือ (งานแปลราคาถูกที่รับจากร้านแปล) งานแปลก๋วยเตี๋ยวเรือชิ้นสุดท้่ายที่รับไป เราแปลไม่ทัน แล้วลูกค้าก็ไม่ยอมจ่ายเงินด้วย แต่เราก็ไม่ได้ไปตามทวงเงินส่วนที่เราแปลไป ซึ่งเขายังต้องจ่ายให้เรา เพราะอะไร? ลูกค้าอ้างว่า ผู้บริหารแปลเสร็จเรียบร้อยไปแล้วเพราะทนรอไม่ไหว งานมันมีทั้งหมด 60 หน้า เป็นคดีความที่ฟ้องร้องกันมูลค่าหลายร้อยล้านบาท! ลูกค้าบอกผู้บริหารแปลมาให้ดู 7 หน้า เราอ่านดูแล้วเห็นว่าคำแปลภาษาอังกฤษที่เขาเขียนมามี non native speaker's errors อยู่เกือบทุก paragraph เลย เมื่อเราแปลๆไป เราพบว่าทนายความเขียนภาษาไทยมี differentiation หรือ meaning shift อยู่หลายแห่งในเกือบทุกหน้า นั่นก็หมายความว่าเราต้องฝ่าฟันอุปสรรคอย่างมหาศาล ในการแปลไทยเป็นไทย ก่อนที่จะแปลมันเป็นอังกฤษได้ นั่นก็หมายความว่าขนาดผู้บริหารเขียนภาษาอังกฤษไม่ค่อยจะแข็งแรง แล้วยิ่งเขา "รู้ไม่ทันคนเขียน (เพราะเขาไม่ใช่นักแปลมืออาชีพ)" เขาก็จะต้องแปลๆไป แล้วพอเจอ diffierentiation เข้า เขาก็จะสื่อความหมายผิดไปเกือบจะหน้ามือเป็นหลังมือไปเลยหละ เมื่อคิดเช่นนี้ มันก็เป็นน้ำท่วมปากอยู่ เรากึ่งสงสารตัวเราเอง และกึ่งสงสารลูกค้า ก็เลยไม่ได้ไปตามทวงเงินค่าแปลไม่กี่หน้าที่เราแปลเสร็จ ตกลงมันเป็นไปได้หรือเปล่าที่คดีความในศาลบางคดี ถึงกับแพ้ชนะกันไป เพราะนักแปลรู้ไม่ทันทนายความไทยที่ชอบคิดอะไรได้ก็เขียนโดยไม่ตริตรอง จนวาง differentiation เอาไว้หลายแห่ง แล้วนักแปล ก็เลยแปลผิด จนกลายเป็นเกิดความได้เปรียบเสียเปรียบกัน? จริงๆแล้วครั้งหนึ่งที่เรามองดูนักแปลรุ่นพี่เรา ที่ขนาดเด็กๆรุ่นหลังไปเรียนต่างประเทศมาแล้วเขียนภาษาอังกฤษเก่งดุจเทพ มาทำงานแปลแข่งกับนักแปลรุ่นพี่ๆของเรา แต่รุ่นพี่ๆของเราก็ยังไม่ตกงาน เพราะอะไร? ก็เพราะนักแปลรุ่นลายครามพวกนี้ เป็นนกรู้ เขารู้ว่าตรงไหนเป็น differentiation นั่นเอง แก้ไขเมื่อ 05 มี.ค. 52 14:13:09 จากคุณ : หมอดูสำนัก white rabbit (fortuneteller) - [ 5 มี.ค. 52 09:55:25 ]

ความคิดเห็นที่ 2 differentiation หรือ meaning shift นี้น่่าจะมีในทุกภาษา แต่ภาษาไทยรู้สึกว่าจะมีมากมายกว่าภาษาอื่น จนกระทั่งศรีธนญชัยเอาไปใช้หากินได้จนประสบความเจริญรุ่งเรือง ตัวอย่าง differentiation ตอนนั่งกินอาหาร แฟนเราพูดว่า "เมนูร้านนี้ไม่อร่อยเหมือนแต่ก่อน" เราย้อนกลับไปว่า "เมนูร้านนี้ไม่เคยอร่อย" เธองง? เราอธิบายว่า "เราไม่ได้มากินเมนู แต่เรามากินอาหาร" และเผอิญแฟนเราก็เป็นมหาบัณฑิตการแปลด้วยนะ เราก็เลย "กล้อมแกล้ม" พูดว่า "ํYou must watch your language, if you want to be a good translator." เราเลยโดนค้อนไปหลายๆขวับอ้ะ...เผอิญวันนั้นเราไม่มีตังด้วย ดีว่าเธอไม่ปล่อยให้เราล้างชามที่นั่น...ฮ่าๆๆ... ผลงานแปลไทยเป็นอังกฤษของ novice translator ถ้าตรวจดูดีๆ จะเห็นมีแปลผิดตรง differentiation มากมาย และนี่คือสาเหตุที่นักแปลรุ่นพี่เราสอนเราไว้ว่า "คู๊ณณณณณ...สิ่งแรกที่คุณจะต้องเรียนรู้ ในการแปลไทยเป็นอังกฤษนั้น ก็คือว่า 'อย่าไปเชื่อไอ้คนเขียนมันมากนัก...ฮ่าๆๆ...!'" แก้ไขเมื่อ 05 มี.ค. 52 15:12:20 แก้ไขเมื่อ 05 มี.ค. 52 10:03:58 จากคุณ : หมอดูสำนัก white rabbit (fortuneteller) - [ 5 มี.ค. 52 10:03:04 ]

ความคิดเห็นที่ 3 อะโห ได้ล็อกอินใหม่เร็วจังค่ะ รออ่านนะคะ จากคุณ : Guga - [ 5 มี.ค. 52 10:18:45 ]

ความคิดเห็นที่ 4 นั่งๆทำงานไปเดี๋ยวจะค่อยๆคิด differentiation มาเรื่อยๆ ยังไม่อยากงัดของเก่ามาฉายซ้ำ ก็เลยพยายามคิดของใหม่ๆขึ้นมา ตอนนี้คิดได้ประโยคหนึ่ง ฉันจะไปกดเิงิน I shall go to press the money. แปลแบบศรีธนญชัย แปลผิดๆเอามันเล่นๆ  ฮ่าๆๆ... แก้ไขเมื่อ 05 มี.ค. 52 13:55:47 จากคุณ : หมอดูสำนัก white rabbit (fortuneteller) - [ 5 มี.ค. 52 13:55:14 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ตามมาอ่าน + รออ่านอยู่นะครับ ตอนนี้กำลังอยากได้แนวคิด+หลักการแปลจากผู้มีประสบการณ์อย่างแรง หุหุ แก้ไขเมื่อ 05 มี.ค. 52 14:49:07 จากคุณ : โจโฉ (joechou) - [ 5 มี.ค. 52 14:45:04 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เมื่อเที่ยงนี้ผมเพิ่งไปกินร้านอร่อยที่สุดในเมือง จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม - [ 5 มี.ค. 52 17:25:01 ]

ความคิดเห็นที่ 7 บ้านแม่มดของเกรเทลฮันเซลหรือเปล่าคะ จากคุณ : Guga - [ 5 มี.ค. 52 18:11:00 ]

ความคิดเห็นที่ 8 คุณหนุ่มฯ ขอบคุณนะที่หา differentiation มาให้เรา ใน #6 ขอแปลผิดเอามันอีกรอบหนึ่งอ้ะ เมื่อเที่ยงนี้ผมเพิ่งไปกินร้านอร่อยที่สุดในเมือง At midnight I just ate the most delicious shop in town. ฮาๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ...... จากคุณ : หมอดูสำนัก white rabbit (fortuneteller) - [ 5 มี.ค. 52 21:49:12 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เมื่อเที่ยงนี้ผมเพิ่งไปกินร้านอร่อยที่สุดในเมือง At midnight I just ate the most delicious shop in town. น่าจะเป็น midday มากกว่า midnight นะคะ จากคุณ : ปลาทองอัลไซเมอร์ (zaida, film mania) - [ 6 มี.ค. 52 11:01:01 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ^ ^ เอ่อใช่ ตาลาย เห็น differentiation ก็รีบตะครุบ เลยแปลผิดมากกว่าเดิม...ฮ่าๆๆ เอ่อเพิ่งนึกได้อีก 1 ประโยค เธอไปสอนโรงเรียน She goes to teach school. จากคุณ : หมอดูสำนัก white rabbit (fortuneteller) - [ 6 มี.ค. 52 11:23:20 ]

ความคิดเห็นที่ 11 differentiation ที่เนียนที่สุด (อันนี้งัดเอาของเก่ามาเล่าใหม่) นั่นก็คือประโยคนี้ มาจากเอกสารประมูลจัดซื้อจัดจ้างคอมพิวเตอร์ของธนาคารออมสิน (ตั้งแต่สมัยธนาคารออมสินยังพิมพ์จำนวนเงินฝากลงสมุดด้วยพิมพ์ดีดธรรมดาๆ แต่กำลังจะเปลี่ยนเป็นระบบคอมพิวเตอร์) เจอข้อความนี้เรื่องเสป๊คของเครื่องพิมพ์ เครื่องพิมพ์ (printer) จะต้องสามารถพิมพ์สมุดคู่ฝาก ใบฝาก ใบถอนได้ ทีแรกเราแปลไปว่า The printers must be capable of printing passbooks, payin slips and withdrawal slips. พอแปลเสร็จเราอ่านทวนประโยคภาษาอังกฤษแล้วเห็นมันเพี้ยนๆยังไงบอกไม่ถูกก็เลยนั่งคิดอยู่นานมากๆกว่าจะคิดได้ว่ามันผิดตรงไหน พอคิดได้ ก็เอาต้นฉบับกับคำแปลไปให้นักแปลหลายๆคนในบริษัทลองคิดดูว่ามันผิดตรงไหน นักแปลทุกคนก็ "เชื่อคนเขียนต้นฉบับภาษาไทย" กันหมด แล้วตอบว่า "ก็แปลไม่ผิดนี่นา" พอเราเฉลยให้ดูว่า ที่ถูก ต้องแปลแบบไหน เล่นเอานักแปลทุกคนฮากันครึนเลย  เพราะว่า เฉลยแบบนี้ เครื่องพิมพ์ (printer) จะต้องสามารถพิมพ์สมุดคู่ฝาก ใบฝาก ใบถอนได้ The printers must be capable of printing all kinds of transactions onto passbooks, payin slips and withdrawal slips. เหตุผลก็คือว่า printer ตัวที่ต่อกับคอมพิวเตอร์ไม่สามารถ พิมพ์สมุดคู่ฝาก ใบฝาก ใบถอนได้ (สิ่งเหล่่านี้ต้องไปพิมพ์ด้วยแท่นพิมพ์ใหญ่ๆ)  printer จะพิมพ์ได้แต่ "รายการธุรกรรม (transactions) ลงบน (onto)" สมุดคู่ฝาก ใบฝาก ใบถอน เท่านั้น ถ้าแปลแบบตรงตัวแบบ version แรกไปผู้ยื่นประมูลก็จะหา printers มาขายให้ไม่ได้ ตกลงประโยคนี้มี differentiation หรือ meaning shift ในภาษาไทย ที่ tricky มากที่สุด มองเห็นยากที่สุด เท่าที่เราเคยพบมา ในการแปลไทยเป็นอังกฤษ แก้ไขเมื่อ 06 มี.ค. 52 11:56:12 แก้ไขเมื่อ 06 มี.ค. 52 11:53:08 แก้ไขเมื่อ 06 มี.ค. 52 11:52:05 แก้ไขเมื่อ 06 มี.ค. 52 11:50:45 จากคุณ : หมอดูสำนัก white rabbit (fortuneteller) - [ 6 มี.ค. 52 11:45:55 ]

ความคิดเห็นที่ 12 มาลงชื่อไว้ก่อนครับ เห็นด้วยมาก ๆ เลย เรื่องที่ว่า เวลาแปลจากภาษาไทยไปเป็นภาษาอื่นนี่ "อย่าเชื่อคนเขียน" (กรณีของผมคือ แปลไทยเป็นญี่ปุ่นอะนะ) จากคุณ : star_seeker - [ 6 มี.ค. 52 12:46:30 ]

ความคิดเห็นที่ 13 เอกสารกฎหมาย 60 หน้าที่พูดถึงใน #1 ที่มี differentiation หรือ meaning shift ที่ "โหดร้ายที่สุด"...จะแปะให้ดู หมายเหตุ นี้เป็นเอกสารจริง แต่เอาชื่อบริษัทลูกค้าออกไป และเปลี่ยนแปลงจำนวนเงิน แต่จำนวนเงินจริงก็ใกล้เคียงจำนวนนี้มากๆเลยหละ ยังทำให้สงสัยเลยว่าทนายความทำไม่ไม่ระวังให้มากกว่านี้ มันถึงกับทำให้เราถึงกับแปลไม่ทัน เพราะถ้าแปลเร็วจะแปลผิดหมด  มีอยู่วรรคหนึ่ง มันมีข้อความนี้คือ "โจทก์และจำเลยมีข้อตกลงกันตามเอกสารหมาย จ.20 แผ่นที่ 2 ข้อ 1 ว่าแบบที่อนุมัติการก่อสร้างหลังจากวันที่ 30 มีนาคม 2543 ถือเป็นงานเพิ่ม นอกเหนือจากวงเงิน 100,000,000 บาทตามสัญญา" ทีแรกเราแปลไปทำนองเนี้ยว่า We (ไม่ใช้ the Plaintiff แต่ใช้บุรุษที่ 1 แทน เพราะโจทก์ เป็นคนเขียนคำฟ้อง และใช้ we เพราะมันเป็นบริษัท) and the Defendant have entered into an agreement, stating that the as-built drawings approved for the constructions after March 30, 2000 shall be regarded as additional works not covered by the contract price of 100,000,000 baht, the details of which appear in Clause 1, Sheet 2, Exhibit Jor. 20.   พอแปลไปแล้วก็ฉุกคิดว่า อะไรกันแน่ที่เป็นงานเพิ่ม "งานก่อสร้าง" หรือ "งานออกแบบ"?  ก็เลยพลิกกลับไปกลับมาดูดีๆ แล้วเห็นหน้าต้นๆ ทนายเขียนไว้ว่า "งานออกแบบ consultant firm เป็นคนทำ ไม่ใช่โจทก์ เป็นคนทำ" คดีนี้ที่เขาทะเลาะกัน เขาทะเลาะกันค่าก่อสร้าง ไม่ใช่ค่าเขียนแบบ ดังนั้น เราจำเป็นต้องแปลไทยเป็นไทย จาก     "โจทก์และจำเลยมีข้อตกลงกันตามเอกสารหมาย จ.20 แผ่นที่ 2 ข้อ 1 ว่าแบบที่อนุมัติการก่อสร้างหลังจากวันที่ 30 มีนาคม 2543 ถือเป็นงานเพิ่ม นอกเหนือจากวงเงิน 100,000,000 บาทตามสัญญา" ให้เป็น "โจทก์ และจำเลยมีข้อตกลงกันตามเอกสารหมาย จ.20 แผ่นที่ 2 ข้อ 1 ว่างานก่อสร้างที่ทำตามแบบก่อสร้างซึ่งอนุมัติหลังจากวันที่ 30 มีนาคม 2543 ให้ถือเป็นงานเพิ่ม นอกเหนือจากวงเงิน 100,000,000 บาทตามสัญญา" แลัวแปลใหม่เป็น We and the Defendant have entered into an agreement, stating that the constructions done according to the as-built drawings approved after March 30, 2000 shall be regarded as additional works not covered by the contract price of 100,000,000 baht, the details of which appear in Clause 1, Sheet 2, Exhibit Jor. 20. แก้ไขเมื่อ 06 มี.ค. 52 15:25:35 จากคุณ : หมอดูสำนัก white rabbit (fortuneteller) - [ 6 มี.ค. 52 15:23:30 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ก๊ากกกกก ใครจะไปรู้ล่ะครับว่าผมหมายถึงเที่ยงวันหรือเที่ยงคืน กินข้าวต้มมื้อดึกตอนเที่ยงคืนน่ะเป็นเรื่องธรรมดา แล้วกลับมาคุยกันต่อที่บ้านจนตีสาม จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม - [ 6 มี.ค. 52 15:26:47 ]

ความคิดเห็นที่ 15 จากการที่เราพยายามทำดีเพื่อลูกค้า เพราะกลัวแปลผิด แล้วปัญหาจะเกิดขึ้นกับตัวลูกค้าเอง (ลูกค้าเป็นโจทก์) เราเลยต้องฝ่าฟันอุปสรรค์ในการ handle ไอ้ข้อความที่มันมี differentiation กับ meaning shift ซึ่งทนายความวางยาเอาไว้อีกหลายจุด ใน 60 หน้าที่ว่านั้น (ซึ่งเราคิดว่าคนไทยใช้ภาษาในลักษณะนี้ค่อนข้างจะมากติดอันดับหนึ่งของภาษาอื่นใดในโลกเลยหละ) เอาไว้ถ้ามีเวลา และถ้าทนอ่านไอ้ 60 หน้านั่นได้โดยที่ประสาทเราไม่พิการก่อนนะ เราจะลองงัดมาให้ดูใหม่ว่ามี differentiation หรือ meaning shift อีกตั้งกี่แห่งกัน ซึ่งในคดีความที่ฟ้องร้องกันเงินมหาศาลแบบนี้ทนายน่าจะเขียนภาษาไทยให้รัดกุมมากกว่านี้ เมื่อเราถึงกับต้องนั่งแปลไทยเป็นไทยอยู่นาน มันก็ทำให้แปลเป็นอังกฤษได้ล่าช้า (จริงๆแล้วจะแปลได้เร็วต้องเรียกทนายความมาแปลไทยเป็นไทยปากเปล่าให้เราฟัง) จนกระทั่งทาง agency โทรมาบอกเราว่า ลูกค้าให้พนักงานสาวโทรมาเสียงเจื้อยแจ้วบอกว่า "เอกสาร 60 หน้านี้ ไม่ต้องแปลแล้วนะคะ เพราะแปลช้าเกินไปค่ะ ทางเราต้องการใช้ด่วนค่ะ และตอนนี้ทางผู้บริหารของเราก็ได้แปลเองจนเสร็จหมดแล้วนะคะ" พอเราฟังข้อมูลนี้ แล้วก็เลยเหลือบกลับไปดูตัวอย่างการแปลที่ผู้บริหารแปลมาให้ดู 7 หน้าแรกด้วยความภาคภูมิใจ แล้วพอเราเห็นว่่าเขาเขียนภาษาอังกฤษเละขนาดไหน และเมื่อคำนึงถึงว่าถ้าเขาแปลไปตรงตัวตามเนื้อผ้า (ซึ่งก็น่าจะเป็นเช่นนั้นเพราะเขาแปลเร็วแบบไม่น่าเชื่อ) มันจะแปลผิดตั้งกี่แห่งกัน? พอคิดได้เช่นนั้นแล้วเราก็ไม่รู้ว่า ควรสงสารตัวเราเองที่ไม่ได้เงินค่าแปลในส่วนที่แปลไปแล้วบ้าง (ขี้เกียจตามไปทวง) หรือควรสงสารลูกค้าดี แล้วเราก็เลยนั่งปลงแล้วคิดได้ว่า "ใดๆในโลกนี้ล้วนอนิจัง" แก้ไขเมื่อ 06 มี.ค. 52 15:53:26 จากคุณ : หมอดูสำนัก white rabbit (fortuneteller) - [ 6 มี.ค. 52 15:44:52 ]

ความคิดเห็นที่ 16 แวะมาบอกว่า ผมไม่ได้ว่าคุณปลาทอง คห.9 นะครับ ประโยคนั้นเป็นเรื่องสมมติ ช่วยคุณกระต่ายเขายกตัวอย่างแค่นั้นเอง จริงๆ แล้วตอนแรกจะเขียนว่า "มื้อเที่ยงนี้ผมเพิ่งไปกินร้านอร่อยที่สุดในเมือง" แต่คิดไปคิดมา เปลี่ยนคำว่า มื้อ เป็น เมื่อ ดีกว่า เพื่อให้มันตีความได้หลายทาง แค่นั้นเองจริงๆ ครับ จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม - [ 6 มี.ค. 52 23:16:07 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ^ ^ เราแกล้งแปลผิดเอง เพราะเรารู้ว่าเดี๋ยวเธอต้องเข้ามาแอบดู อยากรู้ว่าเธอจะตาไวแค่ไหนเท่านั้นเอง แก้ไขเมื่อ 07 มี.ค. 52 15:00:51 จากคุณ : หมอดูสำนัก white rabbit (fortuneteller) - [ 7 มี.ค. 52 14:55:01 ]

ความคิดเห็นที่ 18 งั้นถ้าอ้างอีกแบบหนึ่งได้ไหมว่า pragmatically แล้ว คนไทยเมื่อจะพูดถึงเที่ยงคืน เกือบตลอดเวลาจะไม่พูดว่า "เที่ยง" เฉยๆ เว้นแต่จะพูดติดตลก (อันนี้คิดเองนะ อย่าซีเรียส) จากคุณ : ล็อกอินขอยืม (พระเอกละครหลังข่าว) - [ 7 มี.ค. 52 15:25:26 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ไม่ซีเรียสเช่นกันครับ เป็นประโยคที่สมมติขึ้นมาเพื่อเล่นคำแค่นั้นเอง จะว่าเถียงน้ำขุ่นๆ ก็ได้ จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม - [ 7 มี.ค. 52 15:49:53 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ไม่คิดอะไรหรอกค่ะ คุณหนุ่มไทยไร้นาม ที่บอกว่าน่าจะเป็นเที่ยงวัน มากกว่า เที่ยงคืน ก็เพราะคิดเหมือนคุณ ล็อกอินขอยืม (พระเอกละครหลังข่าว) ว่า ถ้าพูดว่า เที่ยง คนทั่วไป มักจะนึกถึง เที่ยงวัน มากกว่า เที่ยงคืน ว่าแต่กินหมดร้านไม่เหลือเลยเหรอคะ อิ ๆ จากคุณ : ปลาทองอัลไซเมอร์ (zaida, film mania) - [ 10 มี.ค. 52 10:23:28 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ทำให้นึกถึงหนังสือแปลเรื่องนั้น ตัวละครกำลังนั่งอยู่ในห้อง แล้วโทรศัพท์ดัง หล่อนหันไปมองนาฬิกา eleven minutes to twelve เลยไม่รู้จะเอา โมง ยาม ทุ่ม ดี จากคุณ : ล็อกอินขอยืม (พระเอกละครหลังข่าว) - [ 11 มี.ค. 52 10:03:45 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ผมไม่ใช่นักแปลนะ ต้องขอออกตัวซะก่อน   แต่ก็เป็นนักอ่าน จึงอยากจะออกความเห็นนิดนึง จากประสบการณ์ คำว่า twelve มักจะใช้มากกว่า noon และคำว่า midnight นั้น จะใช้มากกว่า twelve ถ้าในประโยค หรือ paragraphs ก่อนและหลังไม่ได้เป็นตัวช่วย ผมคงจะเดาว่า อีกสิบเอ็ดนาทีเที่ยงวัน ไม่ฟันธงนะครับ จากคุณ : tnu - [ 11 มี.ค. 52 11:40:03 ]

ความคิดเห็นที่ 23 อ้าหา differentiation หรือ meaning shift ได้อีกอันหนึ่งแล้ว มันเป็นหัวข้อกระทู้อันนี้เอง http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K7562493/K7562493.html เขาจั่วหัวว่า เมืองไทยนี่หาคนคุยภาษาอังกฤษด้วยยากจังเลย ว่ามั้ย Thailand has difficulty in finding somebody to talk to in English. Don't you think so? เห็นไหม ภาษาไทยมี differentiation หรือ meaning shift มากมาย ซึ่งทำให้ยากแก่การแปลเป็ฯภาษาใดๆในโลก เรื่องง่ายๆที่เอามาสาธิตให้ดู บางคนจะหัวเราะ แล้วคิดว่า ไม่มีนักแปลที่ไหนโง่ขนาดนั้น แต่ถ้านักแปลๆเรื่องอะไรที่เขาไม่รู้เช่น เอกสารที่จั่วหัวว่า "ข้อถือสิทธิ" ถ้าจำไม่ผิดนะว่าเขาจั่วหัวแบบนี้ มันเป็นเอกสารจดทะเบียนสิทธิบัตรงานประดิษฐของคนไทย ที่เราเคยแปลหลายครั้ง แล้วไม่เคยแปลมันถูกเลย เนื่องจากว่า ภาษาไทยมีโครงสร้่างง่ายๆ การที่เราจะเขียนอะไรยากๆนั้น เราไม่สามารถสร้างประโยคที่ซับซ้อนแบบภาษาอังกฤษได้ ดังนั้น เราจึงต้องซอยประโยคภาษาไทยออกเป็นประโยคง่ายๆ สั้นๆ หลายๆประโยค ในการพยายามอธิบายกลไกการทำงานของระบบอะไรที่ซับซ้อน หากมิเช่นนั้นแล้วคนอ่านก็จะอ่านไม่รู้เรื่อง ในเอกสาร"ข้อถือสิทธิ" นั้น นอกจากคนเขียนจะเขียนไปเรื่อยตามแต่จะคิดอะไรขึ้นมาได้ โดยไม่จัดลำดับตามเหตุผล เวลา และตัวเลขแล้ว เขายัง "วางยา" ไว้หลายแห่ง โดยการใส่ differentiation หรือ meaning shift ไว้หลายแห่งนั่นเอง นักแปลที่ไม่รู้ว่าระบบมันมีกลไกการทำงานเป็นอย่างไร ก็ต้องตีควาามภาษาไทยผิด แล้วแปลเป็นภาษาอื่นผิดนั่นเอง จากคุณ : หมอดูสำนัก white rabbit (fortuneteller) - [ 11 มี.ค. 52 11:43:08 ]

ความคิดเห็นที่ 24 น่าจะเป็นอย่างทีี่คุณ tnu พูดน่ะ แต่เราเคยเจอ nine o'clock แล้วหาบริบทไม่ได้จริงๆเลยว่ามัน เก้าโมงเช้าหรือสามทุ่ม เคยปรึกษานักแปลด้วยกัน แล้วเธอแนะนำว่าให้แปลว่า ขณะนี้เข็มนาฬิกาชี้ที่เลขเก้า ถ้าเป็น eleven minutes to nine ก็แปลว่า อีกสิบเอ็ดนาทีเข็มนาฬิกาจะชี้ที่เลขเก้า จากคุณ : หมอดูสำนัก white rabbit (fortuneteller) - [ 11 มี.ค. 52 11:48:04 ]

ความคิดเห็นที่ 25 วิธีที่ว่าใน คคห 24 นี้ เราเรียกว่า "แทงกั๊ก" เมื่อสมัยพี่ nickycharles ยังมีชีวิตอยู่ นักแปลตั้งหลายคนต้องยึดพี่เป็นที่พึ่ง เวลาแปลอะไรไม่ได้เพราะไม่มีความรู้ในเรื่องที่จะแปล ก็ต้องโทรถามพี่เขา เพราะพี่เขามีความรู้รอบตัวมากมายหลายสาขาเลยหละ แต่คำถามบางคำถามมันตอบไม่ได้จริงๆ พี่เขาก็จะช่วยใช้ไหวพริบคิดประโยคที่แปลแล้วคนอ่านไม่รู้ว่าแปลผิดหรือแปลถูก แล้วพี่เขาพอคิดประโยคเด็ดๆได้แล้ว เขาก็จะพูดกับคนถามว่า "แทงกั๊กไปแบบนี้เลย" เดี๋ยวจะสาธิตประโยคที่เราแทงกั๊กให้ดู จริงๆแล้วไม่ได้แทงกั๊ก แต่คิดว่าเห็นบริบท แล้ว แต่แปลๆไปพบว่า "พลิกล็อค" อันแรกคือตัวอย่างการแทงกั๊กในการแปลประโยคนี้ Back at home, he sat on his new sofa drinking beers from his six-pack, trying to calm his nerves over the near miss on the parkway. เราสมองตันพอแปลๆเจอ six-pack ไม่รู้ว่าจะแปลว่าเบียร์หกขวดหรือหกกระป๋องดี เผอิญเพื่อนร่วมงานโทรมา เราจึงถามเจอแบบนี้เอาไงดีหว่า? เธอตอบว่า แปลไปว่า "แพ๊คครึ่งโหล" คือ "ดื่มเบียร์จากแพ๊กครึ่งโหล"...เข้าใจคิดนะ...เอ่อใช่สิ เราโง่จริงๆนะ ทำไมถึงคิดไม่ได้ตอนแรก แล้วก็หวั่นๆใจว่า ถ้าเผอิญมันมี 4-pack ละจะแปลยังไงให้แก้ปัญหา "ลักษณะนาม" ของภาษาไทยได้ แต่ก็ดีใจว่าเผอิญมันไม่มี 4-pack หรือว่ามีแต่เราไม่เคยต้องแปลมัน? แต่ในหนังสือเรื่องเดียวกันนะ ในฉากอื่น ไม่ถึงกับแทงกั๊ก แต่หาบริบท เพื่อจะฟันธงว่าตัวละครดื่มเบียร์เป็นขวดหรือกระป๋อง แล้วไปเจอของแข็งเข้าอย่างแรง  เดี๋ยวถ้าค้นประโยคเจอ จะเอามาแปะให้ดู แก้ไขเมื่อ 11 มี.ค. 52 13:23:57 จากคุณ : หมอดูสำนัก white rabbit (fortuneteller) - [ 11 มี.ค. 52 13:20:06 ]

ความคิดเห็นที่ 26 อันเนี้ยคือเรื่องปัญหากับลักษณะนามของภาษาไทย ชื่อตัวละครใช้ตัวย่อ "P" walked through the house, grabbed two Heinekens from the refrigerator, and elbowed his way through the swinging screen door to the backyard. ...เอาแล้วดิ ยุ่งแล้วดิ ไม่รู้ว่าหยิบเบียร์มาสองขวดหรือสองกระป๋อง...555+++ แล้วเรื่องเดินต่อไปแบบนี้... "A regular bathing beauty," he said cheerily. "Is that you," P", or one of the Chippendales gone for beer?" " "P". City detective at your service." She made a pouting face with her bottom lip. He didn't ask her how she knew he had the beers in his hand. "S" heard everything. Absolutely everything. ...มีคำว่า beers อีก แต่ยังไม่รู้ว่าเป็นขวดหรือกระป๋องน่ะ...ฮือๆๆ...แย่จังการเป็นนักแปลน่ะ ทำไมมันลำบากแบบนี้? "P" twisted the top off one and reached out to touch the back of her wrist. She took it from him and put it to her forehead. ...อ้าสวรรค์มาโปรดแล้ว... twisted the top off หรือ?...ยังงี้ฟันธงได้เลยว่าต้องเป็น "กระป๋องแหงๆ".... He set the other beer on the ground, unbuttoned his shirt, and fanned himself with it for a moment. "God," he said. "How can you stand this? You know there's air-conditioning in your house." "S" put the beer to her lips and sighed with delight. "This, "P", is what I live for." ..................................................................................................... ..................................................................................................... แล้วทั้งคู่สนทนากันต่อไปยาวเลย ยาวเป็นหน้าเลยหละ แล้วอยู่ดีๆนะ มีประโยคนี้โผล่ขึ้นมา  มันเหมือนกับ "ฟ้าผ่า!" "Cool," she repeated, raising the beer to her lips. A drop of condensation from the bottle fell, striking her collarbone, and it slid down her chest between her breasts. อ้าว! เวรกรรมตู อะไรกันเนี่ย มีคำว่า bottle ด้วย คนเขียนเขาเมาเบียร์หรือเมายาหรือเปล่าหว่า? เฮ้ย อะไีรกันเนี่ย ผีหลอกกลางวันแสกๆง่ะ  สงสัยมันจะเป็นเบียร์ขวดจริงๆตั้งแต่แรกที่เอาออกมาจากตู้เย็นแล้ว แต่มันมีคำว่า twisted the top off ก็แสดงว่ามันเป็นขวดที่มีฝาดึงเปิดได้เหมือนเหล้าขาวของไทยนั่นหละ...555+++... เราเคยเห็นเบียร์ฝรั่งใช้ขวดแบบนี้นะ มันก็ตั้งหลายปีมาแล้ว แต่เห็นในต่างแดน ไม่เคยเห็นในเมืองไทยเลย จนลืมไปสนิทเสียแล้วว่ามีขวดเบียร์ฝาแบบขวดเหล้าขาวของไทย หรือว่าคนเขียนเขา "หลุด" จริงๆ? สรุปแล้วนะ หนังสือเล่มหนึ่งจะแปลให้ถูกหมด มันเป็นไปได้ยากเหลือเกิน ถ้าสายตาไม่ไวนะ เผลอนิดเดียวเป็นพลาดท่าแปลผิดจนได้เลยหละ... แก้ไขเมื่อ 11 มี.ค. 52 13:50:09 จากคุณ : หมอดูสำนัก white rabbit (fortuneteller) - [ 11 มี.ค. 52 13:46:15 ]

ความคิดเห็นที่ 27 มายุ่งอีกแล้ว  "Twisted Top" มันน่าจะหมายถึงขวดที่บิดฝาออกได้ ซึ่งอาจจะเป็นฝาแบบ "ฝาจีบ" แต่ว่าสามารถใช้มือบิดออกได้แทนการใช้ที่เปิดขวดเปิดแบบฝาจีบธรรมดา ซึ่งในสหรัฐฯ จะมีขาย อยู่หลายยี่ห้อ หรือไม่ก็แบบที่เป็น "ฝาเกลียว" (one-piece bottle top with deformable break-open seal) ซึ่งเมื่อบิดแล้วฝาส่วนบนมันจะแยกตัวขาดออกจากวงยึดด้านล่าง ที่เชื่อมติดอยู่นะ เป็นฝาแบบ น้ำอัดลมขวดใหญ่น่ะ ขวดที่มีห่วงดึงที่ฝาให้หลุด มันน่าจะเป็น pull off top/tap-top นะครับ...ส่วนที่เป็นกระป๋อง ก็จะเรียก เหมือนกันคือ pull off top/tap-top หรือ self-opening top นะ...ผมว่า จากคุณ : tnu - [ 11 มี.ค. 52 14:36:54 ]

ความคิดเห็นที่ 28 อืม พอเห็น twist off ปั๊บ ในหัวดิฉัน เห็นภาพบิดฝาเพื่อเปิดขวดทันที ทั้งนี้  เนื่องจากตนเองเคยเห็นเบียร์ขวด ฝาจีบ แต่บิดเปิดได้โดยไม่ต้องใช้ที่เปิดขวดนั่นเอง (อย่างที่คุณธนูเล่ามาเลย)  ตอนที่เห็นการเปิดแบบนี้ครั้งแรก งงไปเลยเหมือนกัน ฮ่าๆ ขอเป็นหมอเดา แข่งกับหมอดู เบียร์มันจะซ่าๆและมีฟอง จึงต้องบรรจุป้องกันความซ่าระเหยออกด้วย ลักษณะฝา จึงต้องใช้ฝาจีบ และมีพลาสติกติดด้านใน เหมือนน้ำอัดลม เพื่อให้ปิดปากขวดแนบสนิท แก้ไขเมื่อ 11 มี.ค. 52 19:28:55 จากคุณ : ล็อกอินขอยืม (พระเอกละครหลังข่าว) - [ 11 มี.ค. 52 19:28:18 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ความจริงรู้สึกว่า เบียร์ที่มีฝาจีบแบบที่ว่านี้ เราก็เคยกินเหมือนกันนะ แต่โห มันนานแสนนานแล้ว จนจำไม่ได้เสียแล้วน่ะ เลยงงตอนแปล... ตอนนี้ เรา้เพิ่งเจอประโยคที่ยากๆประโยคหนึ่ง ซึ่งยังตีความไม่ได้เลย ปัญหามันแปลกมากๆนั่นก็คือ มันมี verb อยู่ตัวสองตัว ในประโยคยาวๆ ซึ่งเป็น transitive ก็ได้ แต่ถ้ามันเป็นเ่ช่นนั้น object ของมันอยู่ในตำแหน่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้  และพอค้นจริงๆก็ได้ข้อมลใหม่ว่า verb ตัวเดีึยวกันนี้ ก็กลายเป็น intransitive ก็ได้ แต่แปลอีกอย่าง แต่จะตัดสินว่าเป็นอะไรนั้น ตัวที่ตัดสินคือ proper noun ซึ่งเป็นชื่อบริัษัทที่ขายหรือให้บริการอะไรบางอย่าง แต่ก็ดันมีบริษัทหรือผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อเหมือนๆกันตั้งหลายๆราย ซึ่งจะตีความได้ก็ต้องไปไล่เปิดแผนที่ใน google ดูว่า ในละแวกนั้นของเมืองนั้นๆ มีร้านอะไรบ้าง ที่มันขายหรือให้บริการ A หรือ B หรือ C เมื่อรู้ข้อมูลนี้แล้วจึงจะกลับมาตีความประโยคได้ นั่งคิดอยู่เป็นวันเลย ตอนนี้คิดว่าพอจะรู้แล้ว ใช้เดาจาก grammar ... แต่ยังไม่แน่ใจ 100% ก็เลยจะไปถามฝรั่งที่อยู่ละแวกนั้น เผื่อเขาจะบอกได้ว่าย่านนั่นมันมีร้านหรือผลิตภัณฑ์อะไรบ้าง แต่ตอนนี้ชักปวดหัว ต้องหยุดแปลหนังสือไปวันสองวันก่อน เพราะมีงานแปลไทยเป็นอังกฤษ เป็นโฆษณาผลิตภัณฑ์มาแทรก แต่ก็ดี จะได้ ได้เงินเข้ามาบ้าง จากคุณ : หมอดูสำนัก white rabbit (fortuneteller) - [ 11 มี.ค. 52 23:58:29 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ^ ^ ขอดูมั่งจิอาจารย์ จากคุณ : ล็อกอินขอยืม (พระเอกละครหลังข่าว) - [ 12 มี.ค. 52 17:15:14 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ^ ^ ว่าาาาา...ตอนนี้ขอแปลให้หมดก่อน แล้วค่อยกลับมาจัดการกับช่องโหว่พวกนี้ แปะให้ดูตอนนี้เดี่ยวไม่ sure ตีความผิดหน้าแหก ฮ่าๆๆ...โหตอนนี้ช่องโหว่บานเลย... จากคุณ : หมอดูสำนัก white rabbit (fortuneteller) - [ 16 มี.ค. 52 04:36:46 ]

ความคิดเห็นที่ 32 สุดยอดมากครับ เจ้าของกระทู้ ขอคาราวะฝากตัวเป็นศิษย์ด้วยคน จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน - [ 18 มี.ค. 52 01:26:28 ]

ความคิดเห็นที่ 33 โอ้โห สุดยอด! ก็พอทราบนะคะว่าการแปลมันเป็นเรื่องที่ยากมากๆ ผู้แปลที่ดีต้องอาศัยความรู้ องค์รวมต่างๆมากมาย แต่พอมาอ่านกระทู้นี้แล้ว โอ้โห รู้สึกสงสารคนแปลขึ้นมาจับใจเลย ทำไมมันยากเย็นแสนเข็นแบบนี้ มิน่าหละ คุณพ่อของเราเคยบอกเสมอว่า หนังสือบางเล่มนะ ขอเพียงได้อ่านเพียงแค่สามประโยคก็คุ้มค่าแล้ว ซื้อๆไปเถอะหนังสือหนะ คนเขียน คนแต่ง คนแปลเขาอุตส่าห์ทำก็ต้องให้เขาไป (คือ เราชอบบ่นว่า หนังสือแพง ไม่อยากซื้อเลย) เห็นแบบนี้แล้ว กระอักไปเลย เราคงไม่มีโอกาสได้แปลหนังสือแล้วแหละ ไม่ใช่คนขี้แพ้นะ แต่ว่า ไม่ไหว มันยากเกิ๊น จากคุณ : ploy_angjoe - [ 18 มี.ค. 52 21:32:15 ]

ความคิดเห็นที่ 34 หัวใจของการแปลคือการถ่ายทอดโดยไม่ผิด ไม่ขาด ไม่เกิน การจะถ่ายทอดได้โดยไม่ผิดไม่ขาดไม่เกินก็คือ 1.คนแปลต้องเข้าใจต้นฉบับโดยกระจ่าง ไม่ผิด ไม่ขาด ไม่เกิน 2.คนแปลต้องสามารถถ่ายทอดเป็นภาษาต้นทางได้สละสลวย ไม่ผิด ไม่ขาด ไม่เกิน อีกเหมือนกัน จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก forum นี้ที่จริงก็มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็น support forum สำหรับนักแปลอาชีพหรือกึ่งอาชีพเอาไว้ช่วยกันเวลาติดขัดเพราะมันไม่มีเซียนที่ไหนเก่งทุกเรื่องรู้ทุกเรื่องหรอก มันก็ต้องมีติดขัดกันบ้าง ติดทีไรก็มาถามๆพรรคพวกในนี้ก็ได้คำตอบทุกทีไป เป็นประโยชน์ซึ่งกันและกัน แล้วก็ได้มีโอกาสช่วยเหลือคนที่กำลังเรียนหรือกำลังคลำทางที่เขาพยายามแล้วแต่ยังไปไม่เป็นได้อีกด้วยหรือคนที่ไม่มีทางช่วยตัวเองทางอื่น อย่างนี้ก็น่าช่วย แต่ที่ไม่อยากต้อนรับคือเด็กที่มาขอให้ทำการบ้านแทนให้หรือคนที่ไม่พยายามช่วยตัวเอง จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 18 มี.ค. 52 22:11:49 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ฮะฮะ อ่านเรื่องเบียร์ six-pack แล้วโดนใจมากๆเพราะเพิ่งเจอมาเหมือนกัน แถมในเรื่องน่ะ พ่อคนกินเบียร์ตายไปแล้ว! ทิ้งไว้แต่ลังเบียร์ในตู้เย็นกับรอยวงแหวนที่วางขวดหรือกระป๋องเบียร์ไว้บนโต๊ะ ตอนแปลปวดหัวมากๆ จริง ที่ว่างานแปลยากมากๆเพราะภาษามันพลิกแพลงได้สารพัด แต่เยี่ยมก็ชอบนะคะ เยี่ยมว่าท้าทายดี สนุก แถมฟอรั่มนี้กับเพื่อนๆพี่ๆทุกคนนี่ช่วยได้มากเลย อันนี้ต้องขอบคุณทุกๆคนที่ช่วยเยี่ยมเวลาติดขัดอะไรด้วยค่ะ ตอนนี้ได้งานใหม่แล้ว ดีใจมากๆที่เจอฟอรั่มนี้ แล้วดีใจที่ตัวเองไม่ท้อหรือเบื่อไปกลางคันด้วยค่ะ จากคุณ : เยี่ยมจริงๆเลยค่ะคุณนายแอนดรู - [ 22 มี.ค. 52 01:45:28 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ลองคุยกับเพื่อนที่เคยอยู่อเมริกามาค่ะ เพื่อนบอกว่าฝาขวดเบียร์ที่โน่นเป็นฝาจีบ แต่สามารถบิดเปิดได้ด้วยมือเปล่า ไม่จำเป็นต้องใช้ที่เปิดขวด หมายเหตุ เบียร์ในเรื่องที่คุณ  หมอดูสำนัก white rabbit (fortuneteller) ยกตัวอย่าง คือ เบียร์ไฮเนเกนค่ะ จากคุณ : ปลาทองอัลไซเมอร์ (zaida, film mania) - [ 23 มี.ค. 52 18:14:27 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ^ ^ อ่านตั้งหลายรอบเพิ่ง get มุกเนี่ย...แต่ปิดไว้เป็นความลับให้เซ็งแซ่เลย...555+++... แก้ไขเมื่อ 24 มี.ค. 52 17:38:21 จากคุณ : หมอดูสำนัก white rabbit (fortuneteller) - [ 24 มี.ค. 52 16:54:24 ]

ความคิดเห็นที่ 38 เจอแล้ว อย่างแรง differentiation หรือ meaning shift ในภาษาอังกฤษ! "Hey, Lieu, J... P..., Philadelphia." "Detective P..." She smiled. "Been a while. How's your case going?" "Nowhere until this morning. I used the Scaglia underboss angle on the FBI and got my ballistics report back in record time. Guess what they found? My murder weapon was used in Cape May County in 1974. Open-case shooting at Atlantic and Cresse." ในที่นี่ "My murder weapon..." ไม่ได้แปลว่า "อาวุธฆาตกรรมของผม" เพราะถ้าแปลแบบนี้ มันจะทำให้คนอ่านคิดว่า "อาวุธที่ผม(ตำรวจ)ใช้ฆาตกรรม" ก็เลยกลายเป็นว่า "คนพูดที่เป็นนักสืบ ฆ่าคนตาย" จะแปลว่า "อาวุธฆาตกรรมที่(เป็นของกลางซึ่ง)ผมมีอยู่" ก็ไม่ได้อีก เพราะว่าตำรวจยังหาอาวุธที่ผู้ร้ายใช้ฆ่าคนไม่เจอ  ตกลงมันต้องแปลว่าอะไรกันหว่า? ... มันน่าจะแปลว่า "อาวุธที่ใช้ฆาตกรรมในคดีที่ผมทำอยู่" หรือแปลว่า "อาวุธที่ใช้ฆาตกรรมซึ่งผมตามหาอยู่" เฮ้ยยากจริงๆ...เปลี่ยนอาชีพไปเป็นหมอดูเสียตั้งแต่คราวนั้นนะ ก็หมดเรื่องแล้ว ได้เงินง่ายกว่าตั้งเยอะ... เกือบจะเอา notebook ออกไปนั่งดูดวงใต้ต้นมะขามแล้ว ต้องเลือกเอาทำเลที่มีนักท่องเที่ยวเยอะๆอ้ะ...เอาคอมฯไปทำไมหรือ? เอาไปใช้ excel คำนวณปฏิทิน 500 ปีเทียบวันเดือนปีเกิดลูกค้าไงล่ะ...(เผื่อจะเจอลูกค้าอายุยืนตั้งหลายร้อยปีหน้าตายังเด็กๆอยู่) ...555+++ เกืือบเป็นหมอดูได้สำเร็จแล้ว แต่ก็มีใครคนหนึ่งพยายามสนับสนุนให้เราเป็นนักแปลต่อไป...555+++... แก้ไขเมื่อ 11 เม.ย. 52 03:03:34 จากคุณ : fortuneteller - [ 11 เม.ย. 52 02:57:47 ]