ความคิดเห็นที่ 1 ผมไม่รู้เรื่องระบบ onet, anet, ระบบแอดมิชชั่น เลยเพราะรุ่นผมถ้าจะเข้าก็สอบเข้ากันตามระบบเดิมๆ และตัวผมเองก็ไม่ได้สอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยครับ แต่ผมมองว่าระบบเดิมๆมันก็ไม่ได้ทำให้โอกาสสำหรับเด็กที่ต้องการเข้าเรียนจริงๆ ต้องเกิดปัญหานะครับ จำไม่ได้ว่ายกเลิกไปด้วยเหตุผลใด  แต่ระบบปัจจุบันผ่านมาก็หลายปี เห็นก็ยังแก้ปัญหากันไม่จบไม่สิ้น คิดจะเปลี่ยนระบบอะไรก็มองแก่เด็กที่กำลังจะโตขึ้นมารับผลที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยนะครับ สาธุ!!!!! จากคุณ : in7 - [ 10 มี.ค. 52 19:14:07 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ผมเพิ่งจบม.6มาร้อนๆ เข้าใจว่าการที่มีการทำงานบ้างก็เพื่อที่จะฝึกฝรเรื่องต่างๆรวมทั้งทักษาะของนักเรียนแต่ที่บางคนอดรนทนไม่ไหวเพราะว่าครูบางคนสั่งงานเด็กเหมือนกับว่าเด็กเรียนกับท่านคนเดียวทั้งปีโดยไม่คำนึงถึงว่าจะต้องมีการเตรียมตัวอ่านหนังสือเพื่อที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัย ยกตัวอย่างเช่น วิชาเคมีที่ผมเรียน คะแนนเก็บ20คะแนน แต่สั่งงานมาประมาณ30งานซึ่งเกิดคำถามกันว่าจะเอาไปทำอะไรกันเยอะแยะเพื่อนบ้านคนที่ทำงานปราณีตก็อย่างต่ำตี3-ตี4กว่าจะเสร็จไม่เข้าใจเหมือนกันว่าจะสั่งอะไรหนักหนา อีกประเด็ดคือการเรียนสิ่งที่สะท้อนออกมาจากการสอบคือปัจจุบันเด็กม.5ที่กำลังจะขึ้นม.6ต้องสอบเข้ามหาลัยแล้ว ..... แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นคือ จะต้องจบม.6ภายในก่อนจบม.5 แล้วอย่างนี้การเรียนที่โรงเรียนจะเหลือความสำคัญอะไรอีกในสายตาของเด็กนักเรียน จากคุณ : รักนะหอยขม - [ 10 มี.ค. 52 19:49:17 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ไม่ควรยุบแต่ควรพัฒนาโรงเรียนสิ ในฐานะที่ยังเป็นน.ร.อยู่ ยอมรับว่าการเรียนในปัจจุบันยากมาก ครูมักจะสั่งงานเยอะ อีกทั้งการสอบวัดความรู้ในปัจจุบันก็มีมากมาย GAT PAT ONET มีเยอะมาก การเรียนกวดวิชามีส่วนสำคัญกับน.ร.ในปัจจุบันนี้ แต่รู้สึกว่าจะสำคัญมากเกินไป ในการสอบGATที่ผ่านมา น.ร.ส่วนใหญ่ไม่มีใครรู้ว่าข้อสอบจะออกมาแบบไหน แต่มีน.ร.จากสถาบันกวดวิชาแห่งหนึ่งทราบ และได้เปรียบมากกว่าน.ร.คนอื่นๆ นับว่าไม่ยุติธรรมอย่างมาก เหตุใดน.ร.ที่เรียนกวดวิชาจากสถาบันนี้ถึงทราบ ในขณะที่น.ร.ธรรมดาได้แต่นั่งทำความเข้าใจกับวิธีการทำข้อสอบเป็นชั่วโมง ยังมีข่าวลือออกมาอีกว่าอ.ของสถาบันนั้นๆเป็นผู้ออกข้อสอบ เป็นเรื่องที่น่าผิดหวังที่สุด ในเมื่อต้องการจะวัดความรู้ของน.ร.ทั้งประเทศ ถ้าจะทำอย่างนี้ก็วัดความรู้ของน.ร.ที่เรียนกวดวิชาไปเลยดีกว่า ทำอย่างงี้ไปการศึกษาในร.ร.ก็ไม่เจริญขึ้นมาหรอก ป.ล.แม้จุดประสงค์ที่ข้าพเจ้าตอบในโพสนี้อาจจะไม่ตรงจุดประสงค์ของจขกท. ก็ขออภัย แต่เห็นว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการศึกษาของประเทศชาติจริงฝากมาให้รับทราบ จากคุณ : S.K. - [ 10 มี.ค. 52 21:37:33 A:58.8.188.128 X: ]

ความคิดเห็นที่ 4 สิ่งที่กวดวิชาให้ได้ไม่เท่าโรงเรียนคือการฝึกการเข้าสังคมครับ แต่ถ้าโรงเรียนฝึกแค่นั้นอย่างเดียว ไปเรียนวัดก็คงได้ผลคล้ายกัน ผมจึงคิดว่า โรงเรียนคือที่ที่ฝึกคุณธรรมและวิชาการสำหรับเด็กครับ แต่พอดีว่า การทดสอบเพื่อการเข้ามหาวิทยาลัยนั้นมีเกณฑ์ซับซ้อน แล้วก็เน้นวิชาการมากกว่า โรงเรียนเลยพยายามหาทางเพิ่ม GPA+GPAX ให้เด็ก (นั้นอาจหมายถึงการสอบที่ง่ายขึ้น เพื่อเกรดดีๆ ของเด็ก) อาจทำให้นักเรียนเห็นว่าการสอนของโรงเรียนดีไม่เท่ากวดวิชา เลยแห่ไปกวดวิชากัน สรุป... ผมโทษ Admission ครับ จากคุณ : Wohlklang156 - [ 10 มี.ค. 52 21:49:07 ]

ความคิดเห็นที่ 5 น่าจะลงโทษคนที่คิดระบบห่วยๆ แล้วอ้างว่าเป็นระบบ admissin เหมือนประเทศที่เจริญแล้วอย่าง อเมริกา ระบบที่ทำขึ้นมา ห่วยยิ่งกว่าของเดิม แล้วก็ต่างกับระบบของอเมริกาตั้งเยอะ แต่ใช้คำเรียกเหมือนเขาเท่านั้นเอง แล้วก็บอกว่าดีเหมือนเขา จากคุณ : คนไทย - [ 10 มี.ค. 52 22:00:22 A:58.9.155.157 X: TicketID:117365 ]

ความคิดเห็นที่ 6 กระดานข่าวเป็นที่ใช้แลกเปลี่ยนทัศนคติหรือความรู้กันครับ ไม่ควรนำข้อความของผู้อื่นมายึดติด เรื่องรายงานผมจะพยายามบอกเด็กที่รู้จักว่า สิ่งสำคัญคือแนวคิดหรือความรู้ที่อยู่ในรายงาน ถ้าเราเข้าใจถึงสิ่งที่อยู่ในนั้น ถือว่าบรรลุวัตถุประสงค์ของการทำรายงานแล้ว ส่วนการนำเสนอเป็นเพียงเปลือกนอก ที่ไม่จำเป็นต้องประดิษฐ์ประดอยมากนัก ถ้าถึงขั้นต้องสิ้นเปลืองมากมายก็อย่าทำเช่นนั้นเลย ลูกคนจนไม่มีเงินไม่มีทองจะเอาเงินที่ไหนไปละเลงเล่นตรงนั้น ถ้าโรงเรียนจะใ้ห้ทำถึงขนาดนั้นก็ต้องมีอุปกรณ์ที่ทำได้ที่โรงเรียน ไม่ต้องเสียเงิน ให้ชั่งน้ำหนักระหว่างเวลาในการทบทวน กับการทำรายงานหรือกิจกรรม ว่าควรจะเป็นเท่าไรดี เช่น 3:1 หรือ 2:1 หรือ 1:2 ? นั่นก็คือให้คิดว่ารายงานเรื่องนี้ควรใช้เวลาทำอย่างมากที่สุดกี่วันดี และเมื่อถึงเวลาที่ควรจะส่งรายงานนี้แล้ว ก็ต้องทำส่งให้เสร็จ เพื่อเอาเวลาที่เหลือซึ่งสำคัญกว่าไปทบทวนตำรับตำรา โดยให้รีบทำขอเพียงมีส่งเท่านั้นก็พอ เรื่องนี้อาจจะมีปัญหาสำหรับเด็กบางคนที่แยกแยะไม่ออก เพราะกลัวได้เกรดน้อย (แต่ความรู้ในสมองกลวง) ซึ่งจะส่งผลให้คะแนนแย่ แต่ก็โทษเด็กไม่ได้ทั้งหมด เพราะเป็นที่ระบบเองซึ่งพยายามจะบีบเด็ก ถ้าได้อาจารย์ดี ปัญหาคงไม่มีเท่าใดนัก แต่ถ้าได้อาจารย์แย่ก็เป็นเรื่องที่ต้องแก้ไขเป็นรายบุคคลไป จากคุณ : mrgon - [ 10 มี.ค. 52 23:29:23 ]

ความคิดเห็นที่ 7 พ้นม.ปลายมานานโขอยู่ ไม่ทันยุค admission เหมือนกันค่ะ สมัยเรียน กวดวิชาตลอด แต่ไม่รู้สึกว่ากวดวิชาจะดีอะไรกว่าโรงเรียนนักหนา อาจจะเป็นโชคดีที่เจออาจารย์ดีๆในโรงเรียนด้วยส่วนนึง จำได้ว่า สมัยนั้นมีคนด่ากวดวิชากันด้วย ว่าเล่นสอนแต่สูตรลัด ไม่สอนพื้นฐานเลย แล้วเด็กมันจะไปรู้เรื่องได้ยังไง เรื่องรายงาน การบ้าน ถ้าทำจริงๆ มันก็ได้อะไรเยอะนะคะ ดิฉันยอมรับว่าตอนนั้นทำรายงานไม่เป็นเลย ตัดแปะ ไม่ก็ลอกหนังสือส่งตลอด แต่ก็รู้สึกเหมือนอาจารย์จะไม่ได้ตรวจอะไรละเอียดมากมาย ถ้าตรวจจริงจัง ให้ความเห็นเพิ่มเติม หรือคำแนะนำประกอบ เด็กคงได้อะไรเยอะค่ะ ซึ่งกวดวิชาให้ตรงนี้ไม่ได้ ส่วนความคิดของเด็กเตรียมเอ็นท์ที่มุ่งจะเอาแต่วิชาการ เป็นเหตุให้ผู้ใหญ่ต้องออกนโยบายมาให้เด็กสนใจกิจกรรมในห้องเรียน แต่แนวทางที่ผู้ใหญ่ออกมาให้ปฏิบัติดันล้มเหลวโดยสิ้นเชิง การพยายามให้เด็กสนใจกิจกรรมในห้องเรียนเป็นสิ่งที่ถูกต้องค่ะ แต่การเอาคะแนนมาล่อ มันไปไม่รอด โรงเรียนก็ไปซิกแซกด้วยการปล่อยคะแนนช่วยเด็กซะอีก ไม่ได้ผลตามวัตถุประสงค์ที่อุตส่าห์วางไว้เลย บ่นซะนอกเรื่อง เข้าประเด็น ไม่ควรเปิดแต่กวดวิชาค่ะ เพราะสิ่งที่โรงเรียนต้องทำไม่ใช่มีแค่สอนวิชาการ ยังมีอย่างอื่นอีกหลายอย่างค่ะ อย่างน้อยที่สุด ตอนนี้โรงเรียนต้องปรับทัศนคติของเด็กให้ได้ก่อน (หรือจริงๆมันต้องปรับของผู้ใหญ่นะ) ให้มองการเรียนให้กว้างกว่าเฉพาะเรื่องวิชาการ ซึ่งอันที่จริงตอนนี้นี่น่าจะมองกันแค่ตัวเลขคะแนนด้วยซ้ำ ไม่ได้มองที่ตัวความรู้หรอก จากคุณ : dittaya - [ 10 มี.ค. 52 23:51:33 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เรื่องการเรียนในโรงเรียนมันก็แล้วแต่วิชาค่ะ ปฏิเสธไมได้ว่าคุณภาพของอาจารย์แต่ละท่านไม่เท่ากัน อาจารย์บางท่านก็ตั้งใจสอนซะจนนักเรียนอาย สอนดี เทคนิคดี อาจารย์ขยันกว่านักเรียนซะอีก  ทำให้นักเรียนมีกำลังใจจะเรียน ที่สำคัญอาจารย์เป็นสิ่งสำคัญมากๆค่ะ ทุกคนเป็นครูได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นครูที่ดี ครูเลือกสอนแต่นักเรียนที่สนใจเรียนได้ (ไม่ได้โทษว่าครูลำเอียงนะคะ มันก็สมควรค่ะ เพราะ ม.ปลายก็โตแล้ว คิดได้แล้ว ใครไม่เรียนก็สมควรจะปล่อยมันไป ) แต่พวกหนูเลือกครูไม่ได้ค่ะ  ถ้าได้ครูดี ถึงจะเรียกว่าโชคดีไป อย่าหาว่าหนูว่าครูเลยนะคะ  แต่อาจารย์บางท่านก็ขี้เกียจจนหนูเสียดายเงินเดือนแก - -" (เป็นส่วนน้อยนะคะ  -- ") เล่นไม่สอนเลย  ให้นักเรียนทำรายงานหาเองตลอด พอมาสอนก็ชวนนักเรียนคุยซะงั้น  สอนก็เหลาะๆแหละๆ  ขี้เกียจสอนเด็ก เหอะๆๆๆๆๆ มันก็จริงอยู่ค่ะ ว่าคะแนนมันได้ง่าย แต่หนูอยู่ ม. 5 นะคะ ? หนูไมได้ต้องการคะแนนอย่างเดียว  ความรู้ด้วยค่ะ คะแนนในโรงเรียนไม่ได้ทำให้หนูเอ็นติดนะคะครู -*-   ยังดีที่พ่อกับแม่หนูมีเงินให้เรียนพิเศษ  แล้วพ่อแม่บางคนละคะ ? - - และบางท่านก็ให้งาน ให้การบ้านซะจนเหมือนว่า เราเรียนแต่วิชานี้อยู่วิชาเดียว -*- ครูสอนวิชาเดียว  นักเรียนๆเป็นสิบนะคะ ให้งานแต่พอดีๆ เถอะค่ะ (ดีนะที่ตอนนี้ไม่ค่อยเจอปัญหานี้แล้ว -*-) สรุปว่า ..  แทนที่จะเอาเวลาไปเปลี่ยนระบบแอดมิดชั่น หนูว่า เอาเวลาและงบประมาณไปพัฒนาบุคลากรของคุณเถอะค่ะ ครูได้เงินเดือนเท่ากัน แต่มาตรฐานไม่เท่ากัน หนูสงสารครูหนูท่านที่ตั้งใจๆสอนน่ะค่ะ ฉะนั้น .. กวดวิชายังเป็นสิ่งสำคัญอยู่ค่ะ เพระพวกหนูเลือกคนสอนที่หนูมั่นใจว่าดีได้ แก้ไขเมื่อ 11 มี.ค. 52 11:58:18 จากคุณ : เจ็บแล้วจำคือคน !!! - [ 11 มี.ค. 52 11:57:15 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เอ้า มีการยกมางี้ด้วย ที่ว่าปัญญาอ่อน ถ้าทำงานเพื่อทวบทวนบทเรียน ไม่ว่าหรอกครับ แต่บางทีทำงานเพื่อตัวอาจารย์เอง จนไม่มีเวลาอ่านหนังสือสอบเข้ามหาวิทยาลัย ผมเองเข้าใจถึงประโยชน์ของแบบฝึกหัด แต่บางที ควรจะเน้นที่ประโยชน์ต่อผู้เรียน มากกว่า ประโยชน์ผู้สอน   มีอาจารย์บางพวกให้ส่งสมุดเก็บคะแนนจากการที่ลอกๆเพื่อนๆมา นี่ก็ไม่เห็นเป็นประโยชน์นะครับ เข้าใจให้ถูกต้องนะครับ ก่อนจะอ้างอิงมา อ่อ แทนที่คุณจะสงสารอาจารย์เหล่านั้น คุณควรสงสารเด็กเหล่านั้นที่ต้องเสียเงินค่าทำผลงานให้อาจารย์ ดีกว่านะครับ อาจารย์ดีผมละโคตรๆยกย่อง รักมาก แต่อาจารย์บางจำพวกก็นะ อาศัยอาชีพ "ครู" หากิน โดยไม่มีสำนึกของความเป็นอาจารย์ จากคุณ : natthaset - [ 11 มี.ค. 52 13:02:36 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เรียนคุณ mrgon มิได้ยึดติดค่ะ เพียงแต่ทำให้มองถึงน้องๆ ปัจจุบันว่าต้องแบกรับแรงกดดันจากหลายๆ ด้านมากๆ ที่เค้าแสดงความเห็นมาเค้ากำลังพูดถึงเรื่องอื่นและมีการเปรยขึ้นมา ไม่ใช่ใจความหลักของกระทู้ดังกล่าวค่ะ ส่วนคุณ natthaset ไม่แปลกเลยที่คุณบอกว่าอาจารย์มีทั้งดีและไม่ดี เพราะทุกสังคมล้วนมีดีเลวแตกต่างกันไปตราบใดที่ยังใช้ "คน" เป็น "ครู" อยู่  หากคุณวางใจกลางจากข้อความข้างบนเพียงแต่เอ่ยถึงสิ่งที่คุณเปรยขึ้น ว่าเป็นแรงกดดันที่คุณได้รับและอาจทำให้คุณแสดงความคิดเห็นออกมาเช่นนั้น ซึ่งอาจหมายรวมถึงคุณ เพื่อนๆ น้องๆ ของคุณและเยาวชนในรุ่นต่อๆ ไป สะท้อนว่าชีวิตของการเป็นนักเรียนปัจจุบันมีแง่มุมแบบไหน เช่นที่กล่าว ว่าไม่ใช่เด็กเรียบร้อยหรือเด็กครูรัก ในช่วงชีวิตที่ผ่านมาก็เคยมีไม่ชอบครูบางคน รู้สึกว่าเค้าไม่มีเหตุผล ฯลฯ เช่นกัน  แต่สิ่งหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือสถานภาพที่เค้าดำรงอยู่ อาชีพที่เค้าทำ เป็นสิ่งสูง เป็นอาชีพน่ายกย่อง เป็นผู้แบกภาระหนัก ทำให้ถ้าครูดีๆ บางคนได้มาอ่าน ไม่ทราบเหมือนกันว่าท่านเหล่านั้นจะรู้สึกเช่นไร พอดีว่าบ้านญาติที่ต่างจังหวัดอยู่ติดบ้านพักอาจารย์น่ะค่ะรู้หมดแหละค่ะ อาจารย์บางท่านส่งเกรดก่อนไปเบิกกระดาษคำตอบยังมีเลย ส่วนเรื่องประเด็นที่คุณจะมาบอกให้ใครสงสารคนนั้นคนนี้ คุณอาจลืมไปว่าคุณไปบังคับใจใครไม่ได้ ประเด็นเรื่องเสียเงินนั้น ส่วนตัวแล้วเสียดายเงินคุณพ่อคุณแม่น้องๆ มากกว่าค่ะ  เว้นแต่น้องที่ทำมาหาเลี้ยงตัวเอง นั่นน้องน่าสงสารมากเลย จากคุณ : สตอร์เบอร์รี่ราดครีม - [ 11 มี.ค. 52 14:46:35 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ตราบใดที่ค่านิยมในสังคมไทยยังคงยืนหยัดอยู่กับการเรียน "เพื่อไปเป็นเจ้าคนนายคน" อย่างทุกวันนี้  คงเป็นเรื่องยากที่จะไปห้ามมิให้มีโรงเรียนกวดวิชา  และจะไปห้ามมิให้นักเรียนแข่งกันไปเรียนกวดวิชาก็ไม่ได้  เพราะทราบมาว่าขนาดเรียนมหาวิทยาลัยยังกวดวิชาเพื่อแข่งกันทำคะแนนให้ได้เกียรตินิยมอันดับ ๑ อันดับ ๒ กัน  จนแทบจะไม่นักเรียนคนไหนที่ไม่ได้เกียรตินิยม   ทางแก้ในเรื่องนี้ผมว่าเราควรจะปรับเปลี่ยนนโยบายการศึกษาเสียใหม่  โดยเฉพาะนโยบายเรียนฟรี ๑๕ ปี  ควรปรับเปลี่ยนแนวให้นักเรียนในชนบทมี่เรียนจบชั้นประถมแล้ว  ให้ไปเรียนในสายเกษตรกรรมและสัตวบาลให้มีความรู้เหมาะสมแก่การประกอบอาชีพในท้องถิ่น  โดยใช้มหาวิทยาลัยราชภัฏเป็นแกนในการจัดการเรียนการสอน  เพื่อให้นักเรียนเหล่านั้นเอาวชิชาความรู้ที่ได้รับไปพัฒนาการทำมาหาเลี้ยงชีพของครอบครัว  หากไม่รีบปรับเปลี่ยนเสียแต่วันนี้อีกไม่ช้าคงได้เห็นประเทศไทยนำเข้าผลผลิตการเกษตรโดยเฉพาะข้าว  เพราะไม่มีชาวนาเหลืออีกแล้ว  จะมีก็แต่พวกที่แบกปริญญาตรี โท เอก  แล้วเดินเตะฝุ่นแข่งกัน สำหรับพวกที่มุ่งหมายจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเพื่อออกมาแข่งกันเตะฝุ่นก็คงต้องปล่อยให้เขาแข่งขันกวดวิชากันต่อไป  อย่าไปคิดยุ่งกับเขาเลยครับ  เดี๋ยวอาจารย์ที่จัดสอนพิเศษท่านจะยากจนลง จากคุณ : V_Mee - [ 11 มี.ค. 52 19:13:33 ]

ความคิดเห็นที่ 12 เรื่องที่ว่าทำเพื่อตัวอาจารย์เอง == อันนี้คงจะต้องมองถึงเรื่องการทำวิทยฐานะของครู ซึ่งก็เหมือนการทำผลงานเพื่อเลื่อนหรือเปลี่ยนแท่งอะไรประมาณนี้น่ะ (ซึ่งเป็นระบบที่กระทรวงคิดขึ้นมา อยากโทษก็ไปโทษคนที่เค้าคิดระบบนี้ขึ้นมาแล้วกัน) เพราะการที่จะเลื่อนวิทยฐานะของครูได้ ส่วนหนึ่งต้องอาศัยงานของเด็กด้วย  โดยที่งานนั้นต้องมีความสัมพันธ์กับโปรเจกต์ที่อาจารย์ จะทำส่งเพื่อเลื่อนวิทยฐานะ (ก็คิดว่าใครหลายๆคนน่าจะรู้เรื่องนี้บ้างแล้ว) แบบว่าประกอบแผนการสอน เพื่อวัดว่าเด็กเข้าใจตามที่สอนหรือไม่อย่างไร พร้อมกับประเมินผล มันเป็นความพยายาม ที่จะให้อาจารย์นำแผนการสอนของตนไปใช้กับเด็กมากขึ้นแต่ ...ดีขึ้นในบางส่วนเท่านั้น === แล้วก็รายงานปัญญาอ่อนเนี่ย ที่เราเคยทำมาหลายเรื่องก็ Copy Paste อยู่เหมือนกัน แ่ต่เวลาจะ Copy Paste ก็ต้องอ่านด้วย แปะมั่วใครเขาก็ดูรู้... (นึกถึงตอนทำงานบู ตอนอยู่ม.ปลาย แต่ละคนทำสิ่งที่ตัวเองถนัด รู้มั่งมั่วมั่ง ก็พอจะจำได้้บ้างถึงตอนนี้นะ เหอๆๆ) === ระบบเก็บคะแนนนี่ไม่งี่เง่าหรอกเราว่า เราว่าก้อดีนะ เพราะทำให้เราต้องพยายามตามงาน ฝึกความรับผิดชอบไปในตัวนา  (เว้นแต่อาจารย์จะให้อะไรที่งี่เง่าจริงๆ) .......................................... === เราว่าเปิดโรงเรียนเป็นหลักไปเถอะ แล้วก็เปิดกวดวิชาประกอบไป สำหรับใครที่อยากรู้เพิ่ม แบบนี้ดีกว่าไหม แล้วก็ถ้าอยากพัฒนาก็ไปพัฒนาระบบการเรียนการสอนให้ดีกว่าเดิม เรียนให้เข้าใจจริง อย่าทิ้งกิจกรรม เพราะโรงเรียนนี่แหละที่หล่อหลอมคนจริงๆ ทั้งเพื่อน ทั้งกิจกรรมต่างๆ ส่วนโรงเรียนกวดวิชาเป็นอะไรที่ เสริมมากๆ เหมือนตัวเลือกที่คุณจะเลือกหรือไม่เลือกก็ได้ ให้อะไรไม่ได้เท่าโรงเรียนหรอก ยกเว้นความรู้เพิ่มเติม ปล. ตอนนี้อยู่มหาลัยก็ยังปรินท์งานเยอะอยู่เลย จากคุณ : agenaise - [ 11 มี.ค. 52 19:54:48 ]

ความคิดเห็นที่ 13 นักวิจัยจากเพนสเตท สองคน คือ Gerald K. LeTendre และ David P. Baker ได้ทำการค้นคว้าแล้วกล่าวว่า การที่ครูมอบการบ้านให้เด็กมากเกินไป ทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของ นร ต่ำลง โดยทำการศึกษาใน 41 ประเทศ 4 ชั้นปี(เกรด 8-12 คงราวๆ ม ปลาย) และในนั้นรวมไทยด้วยครับ ทั้งสองคน กล่าวว่า ประเทศที่ อ ให้การบ้านน้อย เช่น ญี่ปุ่น เดนมาร์ก และ เช็ก มี นร ที่คุณภาพสูงกว่าประเทศที่ อ แจกการบ้านท่วมหัวอย่าง อิหร่าน กรีก และ ไทย(แปลว่าเยอะจริง ดังไปทั่วโลก -_-" ) เนื่องจากการบ้านจำนวนมาก จะทำให้ นร ไม่มีเวลาคิด หรือไตร่ตรอง และการบ้านก็มักจะทำให้ นร เน้นไปที่การท่องและทำซ้ำๆ ซึ่งไม่เกิดประโยชน์ สุดท้ายก็จะทำให้ผู้ปกครอง(ที่พอมีเวลา) เข้ามาช่วย http://house.exteen.com/20050601/entry http://www.physorg.com/news4333.html เอวัง การศึกษาไทย จากคุณ : house (panote_saechiew) - [ 13 มี.ค. 52 10:08:51 ]