PANTIP.COM : K7635899 เตือนระวังโดนโกง จากคนรับจ้างแปลงานที่ชื่อ ป.ปลา หรือ ปาริชาติ แถวม.เกษตร [ห้องเรียนภาษาอังกฤษ]

ความคิดเห็นที่ 3

ใช่คุณ K.Senior พูดถูก จริงๆแล้วมีแต่นักแปลที่เป็นบุคคลธรรมดาโดนลูกค้าเบี้ยวเงิน

เรื่องของ จขกท นับว่า ผิดปกติมากๆ

ลองเปรียบเทียบดูดีๆ

1. บริษัทแปลซึ่งมีที่ตั้งแน่นอน ลูกค้าขาจรเดินเข้ามาแปลงาน เขารับมัดจำ 50% ก่อน แล้วก็เอาเงิน 50% นั่นหละ ไปจ้างนักแปล ให้แปล ถ้าลูกค้าเบี้ยวไม่มารับงาน เขาก็เสมอตัว แต่ถ้าลูกค้ามารับงาน บริษัทแปลก็ได้อีก 50% ที่เหลือเป็นของเขา ซึ่งเท่ากับอยู่เฉยๆได้เงินฟรีๆ ในขณะเดียวกัน บริษัทแปลก็รับงานทางโทรสาร หรือทาง email แล้ว "เสี่ยง" แปลไปก่อนเหมือนกัน แล้วตามไปเก็บเงินทีหลัง บางทีเก็บไม่ได้โดนลูกค้าเบี้ยวก็มี นี่หมายถึงงานราคาแค่ไม่กี่พัน แต่ถ้างานราคาหลายหมื่นหรือหลายแสนบาท เขาจะเซ็นสัญญากันก่อนแปล หรือขอเก็บเป็นงวดๆไป แต่ก็มีบริษัทแปลบางแห่งยอมแปลงานไปล่วงหน้าราคาหลายแสนบาท แล้วตามไปเก็บเงินเป็นก้อนใหญ่ๆเลยก็มี เพราะเห็นลูกค้าเป็นบริษัทมีชื่อเสียงน่าเชื่อถือ

2. นักแปลที่เป็นบุคคลธรรมดาๆ ไม่ใช่นิติบุคคล ถ้าจะรับงานจากลูกค้า เขาก็ต้องดูด้วยว่าลูกค้าเป็นบริษัทที่น่าเชื่อถือหรือเป็นบุคคลธรรมดา ถ้าลูกค้าเป็นบริษัท นักแปลต้องรอให้ลูกค้าออกใบงาน (purchase order) ก่อน แต่ส่วนใหญ่แล้วลูกค้าที่เป็นบริษัทมักจะไปใช้บริการแปลจากบริษัทแปลที่เป็นนิติบุคคล จะใช้บริการแปลจากนักแปลที่เป็นบุคคลธรรมดาก็ต่อเมื่อมีคนในบริษัทรู้จักกับนักแปลโดยเป็นการส่วนตัว ซึ่งในกรณีนี้ทั้งนักแปลและลูกค้า ก็เชื่อใจกัน แทบจะไม่มีรายการเบี้ยวกันเลย

แต่ในกรณีที่นักแปลที่เป็นบุคคลธรรมดา จะรับงานจากลูกค้าที่เป็นบุคคลธรรมดานั้น ถ้างานราคาแพงๆ เขาคงไม่กล้าแปลไปก่อน เพราะกลัวโดนเบี้ยว แต่เขาจะต้อง "นัดเจอกับลูกค้า" โดยให้ลูกค้าไปที่บ้านหรือที่ทำงานเขา เพื่อลูกค้าจะได้รู้ว่านักแปลอยู่ที่ไหน แล้วนักแปลก็จะเก็บมัดจำจากลูกค้าได้ ลูกค้าก็จะไว้ใจเพราะรู้ว่านักแปลบ้านหรือที่ทำงานอยู่ที่ไหน ดังนั้น ถ้านักแปลไม่อยากเสี่ยงแปลฟรีไม่ได้เงิน เขาไม่มีทางเลือก

"แต่จะต้องแสดงตน และยอมให้ลูกค้าไปติดต่อที่บ้านหรือที่ทำงานเขา"

ดังนั้น ในกรณีของคุณ จึงต้องถือว่า เรื่องมันผิดปกติตั้งแต่แรก นั่นก็คือ นักแปลไม่ยอมแสดงตน แถมยังมีหน้าม้าอีกด้วย เราว่าเป็นไปได้ที่บางทีคนที่รับสายคุยกับคุณนั้น อาจเป็นแค่หน้าม้าอย่างเดียว ซึ่งกะโกงคุณตั้งแต่แรกแล้ว หรือหน้าม้าไม่ได้กะโกง แต่เผอิญรับงานมาแล้วหานักแปลว่างไม่มีหรือให้นักแปลน้อยไปแล้วนักแปลไม่ยอมแปลให้

เราว่าคนที่คุณติดต่อด้วย ไม่ใช่นักแปลหรอก คงไม่มีนักแปลที่ไหนกล้าหากินแบบนี้ ซึ่งมันเท่ากับทุบหม้อข้าวหม้อแกงตัวเอง แล้วในกรณีนี้ ถ้าคนๆนั้นบอกชื่อคุณว่า ปาริชาติ เผลอๆเธอเอาชื่อคนอื่นมาอ้างก็ได้ เพราะอ่านเรื่องคุณแล้ว มันค่อนข้างผิดธรรมดา แต่ถ้าคุณบอกรายละเอียดว่าเป็นงานประเภทไหน บางทีเราพอจะเดาได้ว่าสถานการณ์มันเป็นเช่นไรกันแน่
แก้ไขเมื่อ 18 มี.ค. 52 19:10:48
แก้ไขเมื่อ 18 มี.ค. 52 18:56:29

จากคุณ : นักแปลตกงานเปลี่ยนอาชีพเป็น (fortuneteller) - [ 18 มี.ค. 52 18:55:46 ]

ความคิดเห็นที่ 4

จะบอกเคล็ดลับให้คุณและคนที่มองหานักแปล นั่นก็คือ ในระหว่างการจ้างบริษัทแปลที่เป็นนิติบุคคลกับจ้างนักแปลที่เป็นบุคคลธรรมดานั้น มีข้อดีข้อเสียดังนี้คือ

1. บริษัทแปลที่มีอยู่เกลื่อนกลาดในท้องตลาด ส่วนใหญ่ แปลมาแค่ "พออ่านรู้เรื่อง" เพราะกินหัวคิวนักแปลไป 50% นักแปลก็ต้องรีบเอา teen เขี่ยมา เพื่อทำจำนวนหน้า แต่ลูกค้าที่ต้องแปลเอกสารเป็นจำนวนมาก ไม่มีงบพอที่จะไปจ้างศูนย์การแปลจุฬาหรือหนังสือพิมพ์ Bangkok Post ที่แปลได้เลิศเลอ perfect เนื่องจากว่าค่าแปลคงตกอยู่ที่หน้าหนึ่ง 2000 - 3000 บาท ก็เลยไปจ้างบริษัทแปลแถวๆ เพลินจิต/สุขุมวิท/วิทยุ บริษัทแปลพวกนี้คิดแค่หน้าละ 300 - 500 บาท ขึ้นอยู่กับว่าใครตัดราคาใครมากกว่าใคร และใครมีนักแปลห่วยมากกว่าใคร ก็กล้าคิดลูกค้าต่ำกว่าคนอื่น เพื่อแข่งขันกันด้านราคา

พี่ nickycharles อดีตสมาชิก pantip ที่ล่วงลับไปแล้ว บัญญัติศัพท์งานแปลด่วนๆแบบนี้ว่า "(งานแปล)ก๋วยเตี๋ยวเรือ" แต่มีคนทำงานแปลก๋วยเตี๋ยวเรือที่แปลเร็วมากถึงวันละ 15 หน้า ถ้าได้หน้าละ 200 บาท วันหนึ่งก็ได้วันละ 3000 บาท มีงานให้ทำทุกวัน ไม่เหมือนรองานแปลร้านอาหารฝรั่งเศสหน้าละ 2000 บาท (ถ้าไม่ใช่ศูนย์การแปลจุฬา) รอไปหลายปี กว่าจะมีใครจ้างแพงขนาดนั้น

2. งานแปลที่แปลโดยนักแปลซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา มีผลงานในระดับแตกต่างกันดังนี้ พวกที่ไปโฆษณาตามเวป รับแปลหน้าละ 100 ส่วนใหญ่ตกงาน หรือมือสมัครเล่น ถึงจะรับแปลหน้าละ 200 - 300 บาท แต่ถ้ารับแปลไทยเป็นอังกฤษราคาขนาดนี้ ลูกค้าอย่าได้หวังเลยว่า จะแปลหนังสือภาษาไทยเป็นอังกฤษได้ระดับ publishable standard (ระดับที่ได้มาตรฐานเอาไปตีพิมพ์ได้)

เกือบร้อยทั้งร้อยของนักแปลที่คิดค่าแปลต่ำขนาดนี้ เวลาเขียนภาษาอังกฤษ จะมี non-native speaker's errors (ข้อผิดพลาดของคนที่ไมใช่เจ้าของภาษา) อยู่มากมายจนอ่านแล้วปวดหัว แล้วยิ่งแปลด่วนๆ วันละ 15 หน้าด้วย จะยิ่งพลิกตำรา grammar ไม่ทันอีกด้วย ว่าตรงไหนควรใช้ภาษาอังกฤษแบบไหน

3. ถ้าอย่างนั้นเราสรุปได้หรือไม่ว่า นักแปลทึ่เป็นบุคคลธรรมดา ที่รับงานแปลราคาแพง จะต้องแปลได้ดีกว่ารายที่รับงานแค่หน้าละ 100 -300 บาท

ตอบ ไม่แน่เสมอไป เพราะบางทีรับแพงแบบลักไก่ ก็มี โดยการอาศัยสถานภาพทางสังคมที่น่าเลื่อมใส ภาษาอังกฤษ ไม่เข้าใครออกใคร ต่อให้คุณเรียนจบต่างประเทศ แต่ถ้าคุณไม่ศึกษาเจาะลึก คุณเขียนไม่ได้ดี

ตัวอย่างเหตุการณ์จริง ที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ก็คือ อาจารย์มหาลัยท่านหนึ่งอยู่ต่างประเทศมาหลายปี เขียนตำราภาษาไทย เรื่องยากๆ พวกปรัชญาและศาสนา แล้วทางมหาลัยต้องการให้มีการแปลไทยเป็นอังกฤษ คนเขียนยืนกรานว่า "ขอแปลเอง" พอแปลเสร็จ ทางมหาลัยส่งไปให้อาจารย์ฝรั่งที่อ่านภาษาไทยได้ตรวจทานภาษาอังกฤษ ปรากฎว่า อาจารย์ฝรั่งงง ไม่รู้จะแก้ตรงไหนดี (ถึงกับนอนฝันร้ายไปหลายคืน) เนื่องจากภาษาอังกฤษมี non-native speaker's errors อยู่เกือบทุก paragraph ในขณะที่คำศัพท์ที่อาจารย์คนไทยเขียนมา มี technical terms ยากๆ ทางด้านวิชาการมากมาย

นี่แสดงให้เห็นว่า การเรียนอังกฤษเพื่ออ่านอังกฤษยากๆ (learn to understand) มันยาก แต่ไม่ถึงยากสุด แต่การเรียนอังกฤษเพื่อเขียนเรี่องยากๆ (learn to compose) มันเป็นเรื่องที่ยากมากๆ

ด้วยเหตุนี้ ค่าแปลของศูนย์การแปลจุฬา จึงต่างกันลิบลับกับค่าแปลของนักแปลระดับล่างๆ เพราะศูนย์การแปลจุฬาแปลไทยเป็นอังกฤษโดยใช้อาจารย์ฝรั่งเจ้าของภาษา ที่อ่านภาษาไทยรู้เรื่อง แปล

แต่ในขณะเดียวกันก็มีนักแปลคนไทยที่ชำนาญ (ชั่วโมงบินสูงมากๆ) และแปลไทยเป็นอังกฤษได้ดี แล้วรับแปลอยู่ที่หน้าละประมาณ 500 ขึ้นไป ถึงหน้าละ 800 บาท แต่บางทีถึงหน้าละ 1000 กว่าบาท (งานเฉพาะทางยากๆ) ที่ฝีมือแปลใช้การได้ดี ซึ่งนักแปลพวกนี้ จะไม่รับงานแปลจากบริษัทแปล (เพราะราคาถูก) แต่จะรับจากลูกค้าโดยตรง โดยมีเพื่อนฝูงที่เรียนจบมาทางด้านภาษาทำงานอยู่ในบริษัทลูกค้า หรือทำงานในหน่วยงานบางแห่ง ซึ่งเป็นคนแนะนำให้นักแปลกับลูกค้าเจอกัน ลูกค้าจึงได้งานสมกับราคา
แก้ไขเมื่อ 18 มี.ค. 52 19:06:10
แก้ไขเมื่อ 18 มี.ค. 52 19:04:09

จากคุณ : นักแปลตกงานเปลี่ยนอาชีพเป็น (fortuneteller) - [ 18 มี.ค. 52 19:03:06 ]