ความคิดเห็นที่ 1 การเสด็จประพาสจังหวัดราชบุรี เริ่มต้นที่ตลาดดำเนินสะดวก โดยวันที่16 กรกฎาคม 2447 เรือพระที่นั่งได้เดินทางผ่านจังหวัดสมุทรสงคราเข้าสู่คลองดำเนินสะดวก จากคุณ : ใบนท - [ 27 เม.ย. 52 13:18:56 ]

ความคิดเห็นที่ 2 คลองดำเนินสะดวก เป็นคลองที่เพิ่งขุดขึ้น ตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่มีพระราชประสงค์ให้เป็นเส้นทางคมนาคมเชื่อมระหว่างแม่น้ำท่าจีนในเขตเมืองสมุทรสาคร และแม่น้ำแม่กลองในเขตเมืองราชบุรี   ดำเนินสะดวก ในวันที่ทีมงานไปบันทึกภาพค่ะ จากคุณ : ใบนท - [ 27 เม.ย. 52 13:21:13 ]

ความคิดเห็นที่ 3 วิถีชีวิตแบบนี้ หลายคนคงเคยไปสัมผัสกันมาบ้างแล้ว จากคุณ : ใบนท - [ 27 เม.ย. 52 13:22:16 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ในวันนั้น จดหมายเหตุนายทรงอานุภาพ เล่าเรื่องราวไว้ว่า “พอประมาณ ๔ โมงเช้ากระบวนเสด็จมาถึง เลยเข้าคลองต่อมา น้ำกำลังท่วมทุ่งท่วมล้นคลองเจิ่งทั้งสองข้าง เรือแล่นได้สะดวก พอสักบ่าย ๒ โมงก็มาถึงหลักหก หยุดกระบวนประทับแรมที่วัดโชติทายการาม” จากคุณ : ใบนท - [ 27 เม.ย. 52 13:26:01 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ในช่วงเวลานั้น วัดโชติทายการาม มีชื่อที่ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่า “วัดใหม่” ด้วยเหตุที่เป็นวัดที่เพิ่งสร้างเสร็จในปีพุทธศักราช ๒๔๑๗ ท่าน้ำของวัดโชติทายการาม จากคุณ : ใบนท - [ 27 เม.ย. 52 13:28:02 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ในวันนั้น นอกจากพระองค์จะพระราชทานเงินบูรณะวัด เป็นจำนวน ๑๐ ชั่ง และพระราชทานแก่พระสงฆ์รูปละ ๑ ตำลึงแล้ว พระองค์ท่านยังได้พระราชทานสิ่งของอีกหลายอย่าง ซึ่งในปัจจุบัน วัดยังคงเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี และจัดแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์วัดโชติทายาการาม ร่วมกับโบราณวัตถุอีกมากมายหลายชิ้น ที่ชาวบ้านนำมาถวาย และที่ทางวัดเก็บสะสมไว้เอง ภาพพิพิธภัณฑ์ภายในวัด จากคุณ : ใบนท - [ 27 เม.ย. 52 13:30:47 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ภาพสิ่งของพระราชทานในตู้ จากคุณ : ใบนท - [ 27 เม.ย. 52 13:31:56 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ตะเกียงก็ใช่ จากคุณ : ใบนท - [ 27 เม.ย. 52 13:33:26 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ใครไปเที่ยวตลาดน้ำดำเนินสะดวก ก็อย่าลืมแวะไปชมที่พิพิธภัณฑ์ของวัดได้นะคะ จากคุณ : ใบนท - [ 27 เม.ย. 52 13:35:23 ]

ความคิดเห็นที่ 10 คำขวัญของชาวดำเนินสะดวก จากคุณ : ใบนท - [ 27 เม.ย. 52 13:36:35 ]

ความคิดเห็นที่ 11 หลังจากนี้ พระองค์ได้เสด็จประพาสไปในลำคลองเล็กๆ สายหนึ่ง จนถึงบ้านเพื่อนต้น ซึ่งเรารู้จักกันดีในชื่อ นายฮวด มหาดเล็ก เรื่องราวระหว่างประทับบ้านนายฮวด คุณจดหมายลัยเล่าไว้ละเอียดในกระทู้ด้านบน ขอข้ามไปเล่าเกี่ยวกับการเสด็จประพาสจังหวัดสมุทรสงครามนะคะ จากคุณ : ใบนท - [ 27 เม.ย. 52 13:41:12 ]

ความคิดเห็นที่ 12 เช้าวันที่ 21 กรกฎาคม  พุทธศักราช 2447 ขบวนเรือพระที่นั่งล่องจากราชบุรีมาถึงอำเภออัมพวา เมืองสมุทรสงคราม      พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จขึ้นประพาสตลาดปากคลองวัดประดู่เป็นที่แรก  เพื่อให้คณะผู้ตามเสด็จได้ตระเตรียมซื้อเสบียงอาหาร อัมพวา ยามเย็น จากคุณ : ใบนท - [ 27 เม.ย. 52 13:45:23 ]

ความคิดเห็นที่ 13 จากนั้น ขบวนเรือประพาสต้นล่องเข้ามาในคลองจนถึงวัดประดู่  ที่นี่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสวยพระกระยาหารพร้อมกับผู้ตามเสด็จ นี่คือเรือมาศ 4 แจว เรือพระที่นั่งรองในขบวนเสด็จประพาสต้น ซึ่งต่อมาพระองค์ได้พระราชทานเรือนี้ให้แก่วัด ซึ่งได้เก็บรักษาและบูรณะซ่อมแซมให้มีสภาพดังเดิมจวบจนทุกวันนี้ จากคุณ : ใบนท - [ 27 เม.ย. 52 13:48:15 ]

ความคิดเห็นที่ 14 รายละเอียดความงดงามของเรือพระที่นั่ง ในสมัยก่อน จากคุณ : ใบนท - [ 27 เม.ย. 52 13:49:30 ]

ความคิดเห็นที่ 15 อีกมุมค่ะ จากคุณ : ใบนท - [ 27 เม.ย. 52 13:50:07 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ในวันนั้น พระองค์มีพระราชปฏิสันถารกับ หลวงปู่แจ้ง เจ้าอาวาสวัดประดู่ในเวลานั้น ซึ่งท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดังแห่งเมืองสมุทรสงคราม มีฌานอภิญญาแก่กล้าในเรื่องการรักษาโรคด้วยน้ำมนต์และสมุนไพร   ดังมีบันทึกในจดหมายเหตุเสด็จประพาสต้นว่า       “ความแปลกประหลาดที่วัดนี้ ว่าเป็นหมอน้ำมนตร์ มีผู้คนที่เจ็บไข้ไปคอยรดน้ำมนตร์รักษาตัวอยู่หลายคน ได้ความว่าเป็นโรคผีเข้าบ้าง ถูกกระทำย่ำยีบ้าง และเป็นโรคอื่นๆบ้าง รดน้ำมนตร์อย่างนี้ฉันพึ่งเคยเห็น คนพูดจากันอยู่ดีๆพอเข้าไปนั่งให้รดน้ำมนตร์ก็มีกิริยาอาการวิปลาสไปต่างๆ” รูปปั้นหลวงปู่แจ้ง ภายในวัดค่ะ จากคุณ : ใบนท - [ 27 เม.ย. 52 13:52:48 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ภายหลัง พระองค์ได้ทรงนิมนตร์หลวงปู่แจ้งไปที่พระบรมมหาราชวังหลายครั้ง  ดังมีหลักฐานเป็นเครื่องราชศรัทธาที่พระองค์ถวายแก่หลวงปู่แจ้งจำนวนหลายชิ้นซึ่งตกทอดสืบมา และปัจจุบัน ได้เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงให้ผู้สนใจเข้าเยี่ยมชม จากคุณ : ใบนท - [ 27 เม.ย. 52 13:57:26 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ภายในพิพิธภัณฑ์ มีสิ่งของพระราชทานหลายอย่างค่ะ ทั้งพระแท่นบรรทม  ตาลปัตรประดับอักษรพระปรมาภิไธยย่อ จปร  ตาลปัตรนารายณ์ทรงครุฑ  ตู้ไม้  ปิ่นโต  กาน้ำทองแดง บาตร  และสลกบาตรพร้อมฝาบาตรไม้ฝังมุกอักษรย่อ สมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ จากคุณ : ใบนท - [ 27 เม.ย. 52 14:00:35 ]

ความคิดเห็นที่ 19 อีกชิ้นหนึ่ง จากคุณ : ใบนท - [ 27 เม.ย. 52 14:01:13 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ไปอัมพวาทั้งที ก็ลองหาเวลาไปแวะชมด้วยนะคะ จากคุณ : ใบนท - [ 27 เม.ย. 52 14:02:25 ]

ความคิดเห็นที่ 21 มีหลายสิ่งจริงๆค่ะ จากคุณ : ใบนท - [ 27 เม.ย. 52 14:03:21 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ในตู้โชว์ และสิ่งของอื่นๆ จากคุณ : ใบนท - [ 27 เม.ย. 52 14:04:52 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ขอบคุณครับ ยังรอนี่อยู่นะครับ "สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ และงานทางปกครองของพระองค์" ผมมีโอกาสไปวัดประดู่โดยบังเอิญ เพราะเจ้าหน้าที่สำนักงานผมชวนไปกินก๋วยเตี๋ยวเรือที่ท่าน้ำวัด แต่พอไปถึง เจอป้ายพิพิธภัณฑ์เครื่องราชศรัทธา แปลกใจเพราะไม่เคยได้ยินคำนี้ เลยแวะเข้าไปชม เจอมัคคุเทศน์รุ่นเยาว์ที่พูดเป็นต่อยหอย เก่งมาก แกอธิบายปนหลอกล่อผู้ชมไปเรื่อย ผมเห็นของในพิพิธภัณฑ์แล้วขนลุกซู่ เพราะเป็นคนที่เห็นอะไรเกี่ยวกับล้นเกล้าฯรัชกาลที่ ๕ แล้วเป็นปลื้ม จากคุณ : CVTบ้านโป่ง - [ 27 เม.ย. 52 14:07:15 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ในการเสด็จประพาสครั้งนี้ อัมพวายังไม่มีที่ว่าการอำเภอ จึงต้องอาศัยบ้านพักนายอำเภอใช้เป็นที่ว่าการไปด้วย เรือนไทยเก่าแก่กว่าร้อยปี บริเวณหัวแหลมตรงข้ามวัดท้องคุ้งแห่งนี้ คือบ้านขุนวิชิตสมรรถการ  นายอำเภออัมพวาสมัยนั้น  และเป็นบ้านหลังเดียวกับที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเคยประทับ และโปรดให้ทำครัวที่นี่ แก้ไขเมื่อ 27 เม.ย. 52 14:23:28 จากคุณ : ใบนท - [ 27 เม.ย. 52 14:07:35 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ที่น่าสนใจคือ ทรงปลอมพระองค์มิให้เจ้าบ้านรู้ว่าเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ดังมีบันทึกในจดหมายเหตุเสด็จประพาสต้น " ... พวกที่ไปตามเสด็จรับกระแสรับสั่งไว้ให้หมอบกรานรับเสด็จกรมหลวงดำรงเป็นอย่างข้าในกรม ส่วนพระเจ้าอยู่หัวเสด็จหลบออกไปบังอยู่เสียหลังเก๋งท้ายเรือ" บ้านขุนวิชิตสมรรถการ ปัจจุบันมีสภาพทรุดโทรมค่ะ แต่ยังมีร่องรอยความหรูหราของบ้านในอดีตไว้อย่างชัดเจน แก้ไขเมื่อ 27 เม.ย. 52 14:23:53 จากคุณ : ใบนท - [ 27 เม.ย. 52 14:10:37 ]

ความคิดเห็นที่ 26 เป็นสารคดีการเสด็จพระราชดำเนินของพระพุทธเจ้าหลวงที่น่าสนใจพอ ๆ กับสารคดีไกลบ้านที่คุณใบนทและคุณจดหมายลับเคยเสนอไว้ในห้องสมุดพันทิป ขอเข้ามาเป็นเพื่อนร่วมเดินทางกับคุณใบนทด้วยคน เรื่องของเจ๊กฮวดใน # ๑๑ เป็นร่องรอยทางประวัติศาสตร์ของการเสด็จประพาสต้นที่ยังอยู่ในความทรงจำของคนรุ่นหลังเสมอมา เจ๊กฮวดซึ่งมานั่งยอง ๆ ดูพระเจ้าอยู่หัว แล้วก็หันไปดูพระบรมฉายาลักษณ์ที่หิ้งบูชา ดูแล้วดูเล้า แล้วก็เอ่ยขึ้นว่า “ คล้ายนัก คล้ายนักขอรับ” พระเจ้าอยู่หัวจึงตรัสถามว่า “ คล้ายนัก คล้ายนักคล้ายอะไร” เจ๊กฮวดบอกว่า “คล้ายรูปที่บูชาไว้” เรื่องของเจ๊กฮวดมหาดเล็ก http://www.dnhospital.com/jakhod/jakhourd01.htm จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 27 เม.ย. 52 14:10:53 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ยินดีต้อนรับเพื่อนร่วมทางคนเก่า อย่างคุณเพ็ญชมพูค่ะ ท่านอื่นๆ เก็บกระเป๋ากันยังคะ จากคุณ : ใบนท - [ 27 เม.ย. 52 14:12:34 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ปัจจุบัน  บ้านขุนวิชิตสมรรถการเป็นเรือนไม้ริมน้ำที่ได้รับการอนุรักษ์ซ่อมแซม เพื่อฟื้นฟูเส้นทางประวัติศาสตร์เสด็จประพาสต้น สำหรับเป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้วิถีชุมชนริมสองฝั่งคลองในอดีต จากคุณ : ใบนท - [ 27 เม.ย. 52 14:13:34 ]

ความคิดเห็นที่ 29 หันไปเห็นเพื่อนร่วมทางอีกคน คุณCVTบ้านโป่ง ขออีเมล์ได้ไหมคะ เดี๋ยวส่งให้ทางเมล์ดีกว่า ขอบคุณที่ติดตามค่ะ จากคุณ : ใบนท - [ 27 เม.ย. 52 14:18:52 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ทักทายคุณเพ็ญชมพูครับ ช่วยๆ กันส่งให้กระทู้ได้เป็นที่รู้จักนะครับ อยากเฉลิมพระเกียรติพระองค์ท่านให้คนไทยได้รู้เรื่องราวมากขึ้นครับ จากคุณ : secret letter - [ 27 เม.ย. 52 14:20:13 ]

ความคิดเห็นที่ 31 วันที่ 22 กรกฎาคม พุทธศักราช 2447  วันที่สองของการเสด็จประพาสเมืองสมุทรสงคราม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวประทับเรือพระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรวัดพวงมาลัย  ซึ่งเพิ่งสร้างขึ้นใหม่ในรัชสมัยของพระองค์ ภาพวัด ถ่ายจากในเรือค่ะ จากคุณ : ใบนท - [ 27 เม.ย. 52 14:30:49 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ครั้งนั้นพระองค์ทรงพบกับพระครูวินัยธรรม หรือหลวงพ่อแก้ว เจ้าอาวาสวัดพวงมาลัย พระเกจิอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงแห่งลุ่มแม่น้ำแม่กลองอีกท่านหนึ่ง  เป็นพระธุดงค์ที่เชี่ยวชาญทางสมถวิปัสสนากรรมฐาน จากคุณ : ใบนท - [ 27 เม.ย. 52 14:31:31 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ซุ้มประตูพระอุโบสถวัดพวงมาลัย ตกแต่งด้วยงานปั้นที่มีลวดลายละเอียด ประดับด้วยกระเบื้องลายครามและเปลือกหอย ดูสวยงามแปลก จากคุณ : ใบนท - [ 27 เม.ย. 52 14:32:34 ]

ความคิดเห็นที่ 34 นอกจากนี้ ยังมีเจดีย์มอญจำลองที่เรียกว่า เจดีย์หงส์สาวดี ซึ่งหลวงพ่อแก้วได้นำแบบจากพม่า และนำพระสารีริกธาตุที่ได้มาในคราวเดียวกันมาบรรจุไว้ จากคุณ : ใบนท - [ 27 เม.ย. 52 14:33:03 ]

ความคิดเห็นที่ 35 เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสตลาดคลองอัมพวา ในวันที่ 22  กรกฏาคม พุทธศักราช 2447   พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพทรงบันทึกบรรยากาศวันนั้นไว้ในจดหมายเหตุเสด็จประพาสต้นว่า ตลาดนี้คลาคล่ำไปด้วยผู้คนจนแทบจะหาโอกาสเสด็จประพาสเป็นการส่วนพระองค์มิได้เลย อัมพวาวันนี้ แทบไม่ต่างจากเมื่อก่อนเลย คนเยอะจริงๆ จากคุณ : ใบนท - [ 27 เม.ย. 52 14:34:52 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ในจดหมายเหตุเสด็จประพาสต้นเล่าไว้ด้วยว่า    “ถ้าเรือหรือผู้คนแปลกประหลาดมาในท้องที่ ราษฎรบอกกำนันผู้ใหญ่บ้านๆ ต้องรีบลงเรือไปทักถามเป็นธรรมเนียมบ้านเมืองอยู่ดังนี้ วันนี้ไม่ได้บอกให้ใครทราบว่าเสด็จอัมพวา เขาคงจะทราบแต่ว่า มีเรือและคนแปลกประหลาดมา ก็ทำตามหน้าที่ จนเรารำคาญ แจวกระดิกไปข้างไหนก็พบแต่เรือกำนันผู้ใหญ่บ้าน ออกมาถามว่าเรือใครไปไหน ลงที่สุดพระเจ้าอยู่หัวต้องเสด็จลงเรือต้นแยกไปประพาสแต่ลำเดียว” จากคุณ : ใบนท - [ 27 เม.ย. 52 14:36:46 ]

ความคิดเห็นที่ 37 คคห ๒๙ เปิดหลังไมค์เลยครับ คุณใบนท ขอบคุณครับ ทีมงานมีรายละเอียดเรื่องหลวงพ่อลพบุรีราเมศวร์ ของวัดโชติฯหรือเปล่าครับ จากคุณ : CVTบ้านโป่ง - [ 27 เม.ย. 52 14:40:33 ]

ความคิดเห็นที่ 38 วัดสำคัญอีกวัดหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จประพาส และเสวยพระกระยาหารเช้าคือ วัดดาวดึงส์ค่ะ จากคุณ : ใบนท - [ 27 เม.ย. 52 14:43:24 ]

ความคิดเห็นที่ 39 วัดดาวดึงส์ที่พระองค์เสด็จประพาสนี้ เป็นวัดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยอยุธยา  ที่สำคัญบริเวณหน้าวัดซึ่งมีแม่น้ำราชบุรีไหลผ่านนั้นเป็นจุดที่คลอง 3 สาย คือ คลองผีหลอก คลองอัมพวา และคลองดำเนินสะดวก จะไหลมาบรรจบกัน และบริเวณนี้เป็นจุดที่ใช้ตักน้ำมูรธาภิเษก  สำหรับใช้ประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระมหากษัตริย์ไทยตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ รวมทั้งใช้ทำน้ำพระพุทธมนตร์ในพิธีสำคัญๆ จากคุณ : ใบนท - [ 27 เม.ย. 52 14:44:25 ]

ความคิดเห็นที่ 40 จากวัดดาวดึงส์ พระองค์เสด็จประพาสต่อไปที่บ้านนายจันทร์ จันทร์ประภา กำนันตำบลท่าคา เป็นเรือนไทยหมู่สามหลังตามแบบที่ชาวสมุทรสงครามนิยมปลูกอาศัย จากคุณ : ใบนท - [ 27 เม.ย. 52 14:45:20 ]

ความคิดเห็นที่ 41 มีเรื่องเล่าสืบกันมา ถึงสาเหตุที่พระองค์เสด็จประพาสที่นี่ เพื่อทอดพระเนตรและทรงติดตามว่า บ้านคหบดีหลังนี้ ได้ปฏิบัติตามพระราชกระแสรับสั่งให้เลิกทาสหรือยัง จากคุณ : ใบนท - [ 27 เม.ย. 52 14:51:07 ]

ความคิดเห็นที่ 42 เมื่อพระองค์ได้ทอดพระเนตรแล้วว่ามีการเลิกทาสจริงตามที่เคยรับสั่งไว้  พระองค์จึงได้พระราชทานของกำนัลและทรงแต่งตั้งให้กำนันจันทร์ผู้นี้เป็น “หมื่นปฏิคมคุณวัต” นับแต่นั้นมา เล่ากันว่า เสาอันนี้ เคยเอาไว้ล่ามทาสที่นิสัยไม่ดี จากคุณ : ใบนท - [ 27 เม.ย. 52 14:55:43 ]

ความคิดเห็นที่ 43 เสาในบ้าน จากคุณ : ใบนท - [ 27 เม.ย. 52 14:56:56 ]

ความคิดเห็นที่ 44 รุ่งเช้าวันที่ 23 กรกฎาคม พุทธศักราช 2447   พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปที่ว่าการเมืองสมุทรสงคราม ซึ่งขณะนั้นยังตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำแม่กลองบริเวณวัดใหญ่   ที่นี่เราได้พบหลักฐานชิ้นสำคัญ ที่มีที่จังหวัดนี้เพียงแห่งเดียว จากคุณ : ใบนท - [ 27 เม.ย. 52 14:59:37 ]

ความคิดเห็นที่ 45 และนี่คือสมุดเยี่ยมของจังหวัดสมุทรสงครามมีอายุกว่าร้อยปี ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่ศาลางกลางจังหวัด ด้านในปรากฏลายพระหัตถ์ของพระองค์ที่ทรงลงไว้เป็นที่ระลึกมีข้อความสั้นๆว่า เห็นเรียบร้อยดี จากคุณ : ใบนท - [ 27 เม.ย. 52 15:01:48 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ใกล้ๆ ลายพระหัตถ์ จากคุณ : ใบนท - [ 27 เม.ย. 52 15:02:48 ]

ความคิดเห็นที่ 47 พระราชประสงค์ในการเสด็จประพาสครั้งนี้ จากคุณ : ใบนท - [ 27 เม.ย. 52 15:03:55 ]

ความคิดเห็นที่ 48 จากที่ว่าการเมืองสมุทรสงคราม  พระองค์เสด็จประพาสต่อที่วัดอัมพวันเจติยาราม หรือเดิมเรียกว่าวัดอัมพวา   บริเวณเดียวกับวัด ยังเป็นที่ตั้งของอุทยานพระบรมราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย หรือ อุทยาน ร.2   หลายท่านที่เคยไปเที่ยวอัมพวา คงจะเคยไปวัดแห่งนี้กันแล้ว ขอจบการเสด็จประพาสสมุทรสงครามเพียงเท่านี้ค่ะ ตอนต่อไป เป็นการเสด็จประพาสเพชรบุรี และสมุทรสาค เดี๋ยวให้คุณจดหมายลับมาต่อนะคะ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามค่ะ จากคุณ : ใบนท - [ 27 เม.ย. 52 15:06:26 ]

ความคิดเห็นที่ 49 คห. 37 คุณ CVT บ้านโป่ง ทีมงานไม่ได้ใส่ข้อมูลของ หลวงพ่อลพบุรีราเมศวร์ ของวัดโชติฯ ค่ะ ถ้ามีข้อมูลอะไรน่าสนใจ ช่วยเล่าให้ท่านอื่นๆ และพวกเราฟังด้วยค่ะ วันหลังไปแถวนั้น จะได้มีความรู้มากขึ้น จากคุณ : ใบนท - [ 27 เม.ย. 52 15:15:42 ]

ความคิดเห็นที่ 50 คคห ๔๙ ผมก็ไม่ทราบครับ เพียงแต่อ่านเจอว่าเป็นพระพุทธรูปที่หลวงพ่อเชย นำมาจากลพบุรี แตไม่มีใครบอกถึงที่มาของชื่อ ผมเองก็ยังไม่เคยเจอว่าเสด็จฯกรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ท่านมาทำอะไรแถวนั้น เป็นประเด็นที่น่าสนใจครับ จากคุณ : CVTบ้านโป่ง - [ 27 เม.ย. 52 15:45:10 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ขอต่อเรื่องการเสด็จประพาสต้น ตามรอยเสด็จประพาสเมืองเพชรบุรีกันเลยนะครับ นี่คือเส้นทางการเสด็จนะครับ จากคุณ : secret letter - [ 27 เม.ย. 52 16:09:14 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ผมไม่ได้ดูสารคดีทางโทรทัศน์ ขอมาติดตามผ่านในนี้แล้วกันครับ ขอบคุณคุณ ใบนทครับ จากคุณ : เด็กท้ายวัง - [ 27 เม.ย. 52 16:12:28 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ภาพเล็กไป ขอลงใหม่นะครับ จากคุณ : secret letter - [ 27 เม.ย. 52 16:14:51 ]

ความคิดเห็นที่ 54 รุ่งเช้าวันที่ 24 กรกฎาคม พุทธศักราช 2447  วันสุดท้ายของการเสด็จประพาสเมืองสมุทรสงคราม   เวลานั้นยังไม่มีคณะผู้ตามเสด็จคนใดล่วงรู้ว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดที่จะเสด็จประพาสที่ใดต่อไป  จนกระทั่งเมื่อขบวนเรือพระที่นั่งได้แล่นเข้าสู่ปากน้ำบ้านแหลม  จึงเป็นที่ทราบแน่ชัดว่าจะเสด็จประพาสเมืองเพชรบุรี ระหว่างทางก่อนที่ขบวนเรือจะล่องเข้าสู่ลำน้ำเมืองเพชรบุรี พระองค์ได้เสด็จแวะประพาสละมุ ซึ่งเป็นโป๊ะขนาดเล็กที่ชาวประมงแถบนั้นทำไว้เพื่อจับปลา  และปัจจุบันการทำประมงแบบนี้ยังพบเห็นได้ตามชายฝั่งทะเลอ่าวไทย ภาพการประมงในวันที่ทีมงานเดินทางไปถึงครับ จากคุณ : secret letter - [ 27 เม.ย. 52 16:18:24 ]

ความคิดเห็นที่ 55 วัดที่พระพุทธเจ้าหลวงทรงเสด็จประพาสต้นครั้งแรก ร.ศ. ๑๒๓ มีอยู่ด้วยกันหลายวัด ได้แก่ วัดปรมัยยิกาวาส และวัดเขมาภิรตารามราชวรวิหาร จ.นนทบุรี (ซึ่งทั้งสองวัดนี้ได้เสด็จอีกครั้งใน ร.ศ. ๑๒๕), วัดหนองแขม กทม., วัดโชติทายการาม วัดเพลง วัดสัตนาถ จ.ราชบุรี, วัดประดู่ วัดพวงมาลัย วัดดาวดึงส์ และวัดอัมพวัน จ.สมุทรสงคราม, วัดโกรกกราก วัดบางปลา และวัดตีนท่า จ.สมุทรสาคร, วัดพระประโทน จ.นครปฐม, วัดบางบัวทอง วัดบางสาม วัดแค วัดมหาธาตุ วัดป่าเลไลยก์ และวัดบางยี่หน จ.สุพรรณบุรี ส่วน ร.ศ. ๑๒๕  ซึ่งเป็นการเสด็จประพาสต้นครั้งที่สอง วัดที่ทรงเสด็จไป ได้แก่ วัดเทียนถวาย วัดท้ายเกาะใหญ่ และวัดเวียงจาม จ.ปทุมธานี, วัดท่าหลวง และวัดสมุหประดิษฐ์ จ.สระบุรี, วัดสีกุก จ.พระนครศรีอยุธยา, วัดป่าโมกข์ จ.อ่างทอง, วัดชลอนพรหมเทพาวาส และวัดสนามไชย จ.สิงห์บุรี, วัดวังพระธาตุ วัดพระแก้ว วัดพระนอน วัดพระยืน วัดกำแพงงาม วัดใหญ่ วัดมหาธาตุ และวัดเขาดิน จ.กำแพงเพชร, วัดโบสถ์ วัดพระปรางค์ และวัดบ้านเกาะ จ.อุทัยธานี, วัดโพธิ์ วัดช่องลมวารินศรัทธาราม วัดอรุณราชศรัทธาราม และวัดหัวเมือง จ.นครสวรรค์ http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13225 หลวงพ่อลพบุรีราเมศร์เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย สมัยสุโขทัย – ลพบุรี เดิมอยู่ที่วัดร้างในจังหวัดลพบุรี เป็นพระพุทธรูปศิลาแลง สีค่อนข้างเขียว หลวงพ่อเชย อัญเชิญมาทางเรือ โดยแยกเป็นชิ้นส่วน เมื่อก่อนจะทำการผูกพัทธสีมา ได้ประกอบองค์ท่าน ตกแต่งให้สวยงาม ลงรักปิดทองแล้วถวายนามว่า “หลวงพ่อลพบุรีราเมศร์” ที่มาของชื่อหลวงพ่อลพบุรีราเมศร์ จึงไม่น่ามีอะไรซับซ้อน ท่านมาจากลพบุรี หลวงเชยจึงถวายนามว่า "หลวงพ่อลพบุรีฯ" จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 27 เม.ย. 52 16:18:46 ]

ความคิดเห็นที่ 56 เอาภาพสัตว์ทะเลมาให้ชมนะครับ สดจริงๆ จากคุณ : secret letter - [ 27 เม.ย. 52 16:20:50 ]

ความคิดเห็นที่ 57 การประมงในแถบนี้ เป็นที่มาของอาหารชนิดหนึ่งครับ วันนั้นพระองค์ทรงเลือกซื้ออาหารทะเลสด 3อย่าง คือปลาทู ปลาหมึก กุ้ง สำหรับใช้แทนเนื้อหมู และทรงนำมาปรุงเป็นข้าวต้มด้วยพระองค์เอง  ทรงเรียกสูตรนี้ว่า ข้าวต้มสามกษัตริย์  ปรากฏว่าบรรดาผู้ตามเสด็จต่างชื่นชอบในรสชาติ ดังที่พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพทรงเล่าไว้ในจดหมายเหตุเสด็จประพาสต้น และภายหลังยังพบว่าสูตรข้าวต้มสามกษัตริย์นี้ได้นำมาปรุงภายในวังสืบต่อมา “ที่เรียกว่าข้าวต้ม ๓ กษัตริย์นั้นคือ ต้มอย่างข้าวต้มหมู แต่ใช้ปลาทู กุ้ง กับปลาหมึกแซกแทนหมู เป็นของทรงประดิษฐ์ขึ้นเช้าวันนั้นเอง ตั้งแต่ฉันเกิดมาไม่เคยกินข้าวต้มอร่อยเหมือนวันนั้นเลย” หน้าตาของข้าวต้มสามกษัตริย์ครับ จากคุณ : secret letter - [ 27 เม.ย. 52 16:24:14 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ในวันนั้น หลังจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปรุงข้าวต้มสามกษัตริย์ และพระราชทานแก่คณะผู้ตามเสด็จแล้ว พระองค์มีพระราชประสงค์ที่จะตอบแทนเจ้าพระยาสุรพันธ์พิสุทธ์ อดีตผู้ว่าราชการเมืองเพชรบุรี และข้าหลวงเทศาภิบาล มณฑลราชบุรี ซึ่งเคยเดินทางมาเฝ้ารับเสด็จถึงสถานีรถไฟปากท่อ  เมืองราชบุรีในสัปดาห์ก่อน  แม้ว่าไม่มีการแจ้งข่าวให้ใครรู้ล่วงหน้า  แต่เจ้าพระยาสุรพันธ์พิสุทธ์ผู้นี้กลับสืบหาข่าวนั้นจนได้  นับเป็นเรื่องที่สร้างความประหลาดใจให้กับพระองค์รวมทั้งคณะผู้ตามเสด็จเป็นอย่างมาก   ครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วย พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวัฒนานุวงศ์ กรมขุนมรุพงษศิริพัฒน์ ไปประทับที่บ้านเจ้าพระยาสุรพันธ์พิสุทธิ์ (เทศ บุนนาค)โดยมิได้ทรงแจ้งล่วงหน้า ทำให้เจ้าพระยาสุรพันธ์พิสุทธิ์ซึ่งได้ไปรอรับเสด็จที่พลับพลาหน้าเมือง  ต้องพบกับความผิดหวัง ดังที่พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพทรงเล่า ไว้ในจดหมายเหตุเสด็จประพาสต้นว่า “...ประเดี๋ยวใจเจ้าพระยาสุรพันธ์วิ่งตุบตับมาหน้านิ่วถวายคำนับ แล้วยืนถอนใจใหญ่ มีรับสั่งว่า มาตอบแทนที่เจ้าพระยาสุรพันธ์ล่วงหน้าไปรับถึงบ้านปากธ่อเมื่อเสด็จคราวก่อน...พอลับหลังพระที่นั่งเจ้าพระยาสุรพันธ์ไพล่มาโกรธเอาพวกเราไม่เลือกหน้าว่าใคร ..แต่ท่านยิ่งโกรธเท่าใดก็ยิ่งทำให้พวกเราหัวเราะยิ่งขึ้นจนหายโกรธไปเอง” จากคุณ : secret letter - [ 27 เม.ย. 52 16:28:29 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ประวัติเจ้าพระยาสุรพันธ์นะครับ เจ้าพระยาสุรพันธ์พิสุทธิ์  เข้ารับราชการมาตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระเพชรพิไสยศรีสวัสดิ์ ปลัดเมืองเพชรบุรี  ต่อมาในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เลื่อนเป็นพระยาสุรินทรฤาชัย ผู้ว่าราชการเมืองเพชรบุรี และรับผิดชอบงานบางอย่างในเมืองเพชรบุรี  เช่น ดูแลการทำโทรเลขทางเมืองทวาย หาที่สร้างพระราชวังบ้านปืน จนกระทั่งท้ายสุดได้รับพระราชทานเป็นข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลราชบุรี จากคุณ : secret letter - [ 27 เม.ย. 52 16:30:13 ]

ความคิดเห็นที่ 60 เจ้าพระยาสุรพันธ์พิสุทธิ์สร้างคุโณปการแก่เมืองเพชรบุรีไว้หลายประการ ดังเห็นได้จากชื่อถนนในเมืองเพชรบุรีที่ตั้งชื่อไว้เป็นอนุสรณ์ จากคุณ : secret letter - [ 27 เม.ย. 52 16:32:48 ]

ความคิดเห็นที่ 61 เจ้าพระยาสุรพันธ์พิสุทธ์มีบุตรและธิดารวม 62 คนด้วยกัน ในจำนวนนี้มีธิดาของท่านถึง 5 คน ที่มีโอกาสได้เข้ารับราชการฝ่ายใน เป็นพระสนมเอก ได้แก่ เจ้าจอมมารดาอ่อน เจ้าจอมเอี่ยม เจ้าจอมเอิบ เจ้าจอมอาบ และเจ้าจอมเอื้อน ซึ่งรู้จักกันดีในชื่อที่เรียกขานกันว่าเจ้าจอมก๊กออนั่นเองครับ จากคุณ : secret letter - [ 27 เม.ย. 52 16:34:33 ]

ความคิดเห็นที่ 62 พระกระยาหารที่ทรงโปรดเป็นพิเศษเห็นจะได้แก่ ปลาทู ดร. กัณฑาทิพย์ สิงหะเนติ เขียนเล่าไว้ในหนังสือ “ย้อนรอยเจ้าจอมก๊กออ ในรัชกาลที่ ๕” ว่า สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงโปรดเสวยปลาทูเป็นอย่างมาก ในสมัยนั้นถือว่าปลาทูเป็นของหรู เสด็จเมืองเพชรคราวใดก็มักจะเอ่ยถึงปลาทูเสมอ บุญมี พิบูลย์สมบัติ จากบทความ “ข้าวต้มสามกษัตริย์”  หน้า ๒๐๕-๒๐๖ ในหนังสือ พระปิยมหาราชกับเมืองเพชร กล่าวว่า “ปลาทูก็เป็นของกินอร่อย เพราะตัวโต และมีจำนวนมาก” และอีกตอนว่า “เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ ๕ เสด็จมาเมืองเพชรบุรี แต่ละคราวของกินในฤดูกาลปลาทูชุก ก็ทรงโปรดเสวยปลาทูเป็นอย่างมาก เช่น เมื่อคราวเสด็จประพาสเพชรบุรีเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๒ ในวันที่ ๑๔ กันยายน ได้เสด็จลงเรือเล็ก ๒ ลำ มีเจ้าพนักงานเตรียมของแห้ง และเครื่องครัวขึ้นไปเที่ยวตอนเหนือลำน้ำเพชรบุรีจนถึงท่าเสน แล้วจอดเรือเสด็จขึ้นไปทำกับข้าวกลางวันกินกันที่ท่าน้ำวัดท่าหมูสี หรือวัดศาลาหมูสี” พระราชหัตถเลขาจากเพชรบุรี ฉบับที่ ๕ วันที่ ๑๕ กันยายน ร.ศ. ๑๒๘ ที่มีมาถึงมกุฎราชกุมาร หน้า ๓๑ ได้กล่าวถึงเรื่องปลาทูไว้ว่า “น้ำที่เพชรบุรีวันนี้ขึ้นสูงอีกมาก แต่ถ้าฝนไม่ตกก็น่าจะยุบลงได้อีก อากาศวันนี้แห้งสนิท มีฝนประปรายบ้างในเวลาจวนพลบ แต่ก็ไม่ชื้น มีความเสียใจที่จะบอกว่าปลาทูปีนี้ใช้ไม่ได้ ผอมเล็กเนื้อเหลว และมีน้อย ไม่ได้ทุกวันด้วย” หรือในพระราชหัตถเลขาจากเพชรบุรีถึงพระยาบุรุษรัตนราชพัลลภ หน้า ๑๐๙ ที่ว่า “พระยาบุรุษ วันนี้เห็นปลาทูตัวโต ควรจะมีการเลี้ยงได้เช่นเมื่อปีกลายนี้ เป็นอาหารเช้าเวลาก่อฤกษ์แล้วให้ไปคิดจัดการกับพระยาสุรินทร์และกรมดำรง จะหาปลาได้ฤๅไม่” หรืออีกฉบับหนึ่งจากเพชรบุรีถึงพระยาบุรุษรัตนราชพัลลภเช่นกัน “พระยาบุรุษ ปลาทูที่ได้มา ให้แจกไปตามเจ้านายและขุนนางคนละตัวสองตัว เพราะได้มาไม่ทันเลี้ยง” หรือสำเนาพระราชหัตถเลขา ลงวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๒๘ ที่มีมาถึงพระราชชายา เจ้าดารารัศมี จากหนังสือ ราชสำนักสยาม ของ ชาลี เอี่ยมกระสินธุ์ หน้า ๖๕ มีพระดำรัสถึงปลาทูไว้ว่า “หมู่นี้ฝนชุกหาเวลาเที่ยวยาก....ในเดือนสิงหาคมคิดจะไปกาญจนบุรี ราชบุรี และเพชรบุรีสอนกินปลาทูเสียใหม่อีกสักที เพราะเหตุที่หมู่นี้กินไม่ได้ เหม็นคาว....” บทความเรื่อง “ข้าวต้มสามกษัตริย์” ในหนังสือ พระปิยมหาราชกับเมืองเพชร ของ บุญมี พิบูลย์สมบัติ หน้า ๒๐๖ เล่าถึงการที่ทรงเอาจริงเอาจังมากกับปลาทู ซึ่งเป็นอาหารโปรดเวลาที่เสด็จเมืองเพชร และคนทอดปลาทูที่ถูกใจก็เห็นมีแต่เจ้าจอมเอิบเท่านั้น “การเสวยปลาทูนั้น ในรัชกาลที่ ๕ ทรงพิถีพิถันมาก แม้แต่คนทอดปลาทูก็ทรงใช้คนที่มีความรู้ความเข้าใจในการปรุง การทำให้ถูกต้องคือกินอร่อย ใช่สักแต่ว่าทำได้พอเสร็จ โดยเฉพาะทรงเลือกหาคนทอดปลาทูที่ถูกใจ และมีฝีมือตามพระราชประสงค์นั้นคงได้แก่ เจ้าจอมเอิบ ซึ่งเป็นท่านหนึ่งในจำนวนเจ้าจอมจากสกุลเมืองเพชร ๘ ท่านนั่นเอง” ในงานขึ้นพระตำหนักพญาไท  เมื่อเดือนพฤษภาคม ร.ศ. ๑๒๙ ก็ทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงพระยาบุรุษในเรื่องการทอดปลาทู โดยให้รถไปรับเจ้าจอมเอิบมาที่พระตำหนักพญาไทเพื่อมาทอดปลาทูโดยเฉพาะ ดังความว่า สวนดุสิต ๒๘ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๒๙ พระยาบุรุษ เรื่องทอดปลาทูข้าอยู่ข้างจะกลัวมาก ถ้าพลาดไปแล้วข้ากลืนไม่ลง ขอให้จัดตั้งเตาทอดปลาที่สะพานต่อเรือนข้างหน้าข้างใน บอกกรมวังให้เขาจัดรถให้นางเอิบออกไปทอดเตรียมเตาและกระทะไว้ให้พร้อม” นอกจากจะโปรดเสวยปลาทูแบบที่ทอดตามปกติแล้ว สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงคิดเมนูใหม่โดยนำปลาทูมาทำข้าวต้ม เรียก “ข้าวต้มสามกษัตริย์” ตามที่ บุญมี พิบูลย์สมบัติ เล่าไว้ในบทความเรื่อง “ข้าวต้มสามกษัตริย์” ในหนังสือ พระปิยมหาราชกับเมืองเพชร หน้า ๒๐๗ ความว่า “ข้าวต้มสามกษัตริย์ ประกอบด้วย ปลาทู หมึก และกุ้ง ที่ได้สด ๆ จากทะเล ปรุงเป็นข้าวต้มอย่างง่าย ๆ ตามที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงคิดคราวเสด็จประพาสทางทะเล ขณะเสด็จจากปากอ่าวแม่กลอง จะมายังปากอ่าวบ้านแหลม มายังจังหวัดเพชรบุรี” จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 27 เม.ย. 52 16:34:38 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ขอบพระคุณสำหรับข้อมูลครับ จากคุณ : secret letter - [ 27 เม.ย. 52 16:37:19 ]

ความคิดเห็นที่ 64 การเสด็จประพาสต้นเพชรบุรีคราวนี้ นอกจากได้เสด็จพระราชดำเนินมาเยี่ยมเจ้าพระยาสุรพันธ์พิสุทธิ์แล้ว พระองค์ยังได้เสด็จประพาสชายฝั่งทะเลที่บางทะลุ  กล่าวกันว่า ชายหาดนี้เป็นที่โปรดปรานของพระมหากษัตริย์และเจ้านายหลายพระองค์ ภายหลังในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว  พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินมาประทับแรมเพื่อรักษาพระวรกายที่ตำบลบางทะลุนี้  และเมื่อทรงหายจากพระอาการประชวรแล้ว ก็ได้พระราชทานชื่อใหม่ว่า  "หาดเจ้าสำราญ" ด้วยทรงเห็นว่าชื่อเดิมไม่เป็นสิริมงคล  จากนั้นจึงเรียกตำบลหาดเจ้าสำราญสืบต่อมาจนถึงทุกวันนี้ จากคุณ : secret letter - [ 27 เม.ย. 52 16:38:10 ]

ความคิดเห็นที่ 65 หาดเจ้าสำราญในวันที่ทีมงานเดินทางไปถึงครับ จากคุณ : secret letter - [ 27 เม.ย. 52 16:40:00 ]

ความคิดเห็นที่ 66 ตอนนี้ กำลังหิว ข้าวต้มสามกษัตริย์ เรียกน้ำย่อยให้ทำงานอย่างรุนแรงเลยค่ะ จากคุณ : ใบนท - [ 27 เม.ย. 52 16:42:35 ]

ความคิดเห็นที่ 67 เมืองเพชรบุรีขึ้นชื่อว่ามีอากาศดี และเหมาะแก่การพักผ่อนตากอากาศครับ ย้อนกลับไปในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงพอพระราชหฤทัยบรรยากาศและธรรมชาติของเมืองเพชรบุรียิ่งนัก  ด้วยเหตุนี้ จึงรับสั่งให้สร้างพระราชวังพระนครคีรีขึ้น หรือที่รู้จักกันว่า “เขาวัง” พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเคยตามเสด็จพระบรมราชชนกมาประพาสที่พระนครคีรีตั้งแต่ทรงพระเยาว์   และการเสด็จประพาสต้นหนนี้ พระองค์ได้เสด็จประพาสพระนครคีรีในวันที่ 28 กรกฎาคม  พุทธศักราช 2447   เพื่อถวายเครื่องอัฏฐบริขารแด่พระภิกษุสงฆ์ในเทศกาลเข้าพรรษา   วิวสวยๆ ของพระนครคีรีครับ จากคุณ : secret letter - [ 27 เม.ย. 52 16:43:13 ]

ความคิดเห็นที่ 68 ลองชมภาพเก่าภาพนี้นะครับ จากคุณ : secret letter - [ 27 เม.ย. 52 16:44:06 ]

ความคิดเห็นที่ 69 เรื่องข้าวต้มสามกษัตริย์, เรื่องเจ้าพระยาสุรพันธ์มารอรับเสด็จ และเรื่อง เสด็จประพาสพระนครคีรี อยู่ในจดหมายฉบับที่ ๕ ของนายทรงอานุภาพ จดหมายฉบับที่ ๕ เมืองเพชรบุรี ณ วันที่ ๒๙ เดือนกรกฎาคม ร.ศ. ๑๒๓ ถึง พ่อประดิษฐ์         จดหมายฉบับก่อนฉันส่งไปแต่เมืองสมุทรสงคราม บัดนี้ได้ตามเสด็จมาประพาสเมืองเพชรบุรีได้ ๖ วัน จะเสด็จจากเมืองเพชรบุรีพรุ่งนี้ มีเวลาว่างอยู่บ้างฉันจึงได้จดหมายฉบับนี้ส่งมาบอกข่าวคราว         วันที่ ๒๔ เวลาเช้า เสด็จลงเรือฉลอม(๑)แล่นใบออกไปประพาสละมุ(๒) ที่เขาไปจับปลาตามปากอ่าวแม่กลอง มีเรือฉลอมแล่นไปในกระบวนเสด็จ ๓ ลำด้วยกัน เที่ยวหาซื้อกุ้งปลาที่เขาจับได้ตามละมุ แล้วต้มข้าวต้ม ๓ กษัตริย์ขึ้นในเรือฉลอม ที่เรียกว่าข้าวต้ม ๓ กษัตริย์นั้นคือ ต้มอย่างข้าวต้มหมู แต่ใช้ปลาทูกุ้งกับปลาหมึกแซกแทนหมู เป็นของทรงประดิษฐ์ขึ้นเช้าวันนั้นเอง ตั้งแต่ฉันเกิดมาไม่เคยกินข้าวต้มอร่อยเหมือนวันนั้นเลย เฉพาะเหมาะถูกคราวคลื่นราบลมดี เรือฉลอมแล่นใบลมฉิวราวกับเรือไฟ เสด็จพระองค์อาภา(๓)เป็นกัปตันถือท้ายเรือพระที่นั่ง แล่นลิ่วออกไปจากปากน้ำแม่กลอง แต่อย่างไรแล่นไกลออกไปทุกทีๆ นานเข้าพวกเจ้าของเรือเห็นจะออกประหลาดใจแลดูตากันไปมา ท่านก็ทอดพระเนตรเห็นแต่เห็นท่านยิ้มๆกัน ฉันออกเข้าใจว่าเห็นจะแล่นใบเลยไปเมืองเพชรแน่แล้ว ดูใกล้ปากน้ำบ้านแหลมเข้าทุกที พอแล่นเข้าไปก็พบกรมหมื่นมรุพงศ์(๔)ทรงเรือไฟศรีอยุธยามาคอยรับเสด็จอยู่ที่ปากน้ำ เป็นอันเข้าใจได้ว่ามีอะไรที่จะเล่นกันสักอย่างหนึ่งซึ่งท่านได้ทรงนัดแนะกันไว้แล้วเป็นแน่ ได้ยินแต่กรมหมื่นมรุพงศ์กราบทูลว่าสำเร็จสนิททีเดียว         เสด็จลงเรือศรีอยุธยาแล่นขึ้นไปตามลำแม่น้ำเมืองเพชรบุรี พอจวนจะถึงเมืองรับสั่งเรียกพวกที่ไปตามเสด็จให้เข้าซ่อนตัวอยู่ในเก๋ง มีแต่กรมหมื่นมรุพงศ์ประทับอยู่หน้าเรือพระองค์เดียว ฉันแอบมองตามช่องม่าน เมื่อแล่นผ่านพลับพลาเห็นเจ้าพระยาสุรพันธ์นั่งอยู่ที่นั้น ได้ยินเสียงกรมหมื่นมรุพงศ์ร้องรับสั่งขึ้นไปแก่เจ้าพระยาสุรพันธ์ว่า "เห็นจะเสด็จถึงค่ำละเจ้าคุณ ให้เตรียมคบไฟไว้เถิด ฉันจะขึ้นไปหาเสบียงที่ตลาดสักประเดี๋ยวจะกลับลงมา" แล้วเรือศรีอยุธยาก็แล่นลอดสะพานช้างชึ้นไปจอดหน้าบ้านเจ้าพระยาสุรพันธ์ เสด็จขึ้นประทับในบ้านเจ้าพระยาสุรพันธ์ แล้วรับสั่งให้กรมหมื่นมหิศร(๕)ไปตามเจ้าพระยาสุรพันธ์ ประเดี๋ยวใจเจ้าพระยาสุรพันธ์วิ่งตุบตับมาหน้านิ่วถวายคำนับ แล้วยืนถอนใจใหญ่ มีรับสั่งว่า มาตอบแทนที่เจ้าพระยาสุรพันธ์ล่วงหน้าไปรับถึงบ้านปากธ่อเมื่อเสด็จคราวก่อน เจ้าพระยาสุรพันธ์ก็ไม่เพ็ดทูลว่ากระไร พวกเราก็สิ้นเกรงใจลงนั่งหัวเราะเจ้าพระยาสุรพันธ์งอๆไปตามกัน พอลับหลังพระที่นั่งเจ้าพระยาสุรพันธ์ไพล่มาโกรธเอาพวกเราไม่เลือกหน้าว่าใคร กรมหมื่นมรุพงศ์เป็นผู้ถูกตัดพ้อต่อว่ากว่าผู้อื่น แต่ท่านยิ่งโกรธเท่าใด ก็ยิ่งทำให้พวกเราหัวเราะยิ่งขึ้นจนหายโกรธไปเอง         เสด็จประทับอยู่ที่เมืองเพชรบุรีนี้ ไม่ใคร่มีโอกาสได้เสด็จประพาสต้น เพราะไม่มีทางที่จะเล็ดลอดหลีกไปได้เหมือนแถวแม่น้ำราชบุรี และสมุทรสงคราม ความสนุกแปลกประหลาดไม่ใคร่จะมี จะเล่าระยะทางที่เสด็จให้พ่อประดิษฐ์ทราบแต่พอเป็นเลาๆคือ วันที่ ๒๕ เสด็จประพาสทางเรือข้างเหนือน้ำ วันที่ ๒๖ เสด็จทางเรือไปประพาสบางทะเล ประทับแรมที่บางทะลุคืนหนึ่งยุงชุมพอใช้ วันที่ ๒๗ เสด็จเรือฉลอมแล่นใบจากบางทะลุมาทางทะเลเข้าบ้านแหลม น้ำงวดเรือติดปากอ่าว พายุก็ตั้งมืดมาจะรออยู่ช้ากลัวจะถูกพายุ ผู้ไปตามเสด็จจึงพร้อมใจกันอาสาลงลุยเลนเข็นเรือกับพวกเจ้าของเรือ สงสารแต่นายอัษฎาวุธเข้ายอมยกให้แล้วว่าไม่ต้องลงไปก็ไม่ฟัง พอเรือพ้นตื้นเข้าปากน้ำได้ก็ถูกฝนใหญ่เปียกกันมอมแมม กลับมาถึงเมืองเพชรบุรีสักทุ่มหนึ่ง วันที่ ๒๘ เสด็จประพาสพระนครคีรี ถวายพุ่มพระสงฆ์เข้าพรรษาด้วย วันที่ ๒๙ เช้าเสด็จประพาสวัดต่างๆในเมืองเพชรบุรี บ่ายวันนี้จะออกกระบวนเรือใหญ่ล่องลงไปประทับแรมที่บ้านแหลม พรุ่งนี้จะออกจากบ้านแหลมเสด็จไปประทับแรมที่เมืองสมุทรสาคร                                                                                          นายทรงอานุภาพ .................................................................................................................................................... (๑) "ฉลอม" เป็นชื่อประเภทของเรือนี่เอง ท่าฉลอมก็หมายถึง ท่าที่มีเรือประเภทหนึ่งชื่อว่าเรือฉลอมอยู่มาก (๒) ละมุ คือ โป๊ะเล็กๆ ที่ทำไว้สำหรับจับปลาตามชายฝั่งทะเล ห่างฝั่งออกไปไม่มากนัก (๓) พระเจ้าบรมวงศ์เธอชั้น ๕ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ (๔) พระเจ้าบรมวงศ์เธอชั้น ๔ พระองค์เจ้าวัฒนานุวงศ์ กรมขุนมรุพงษศิริพัฒน์ (๕) พระเจ้าบรมวงศ์เธอชั้น ๔ พระองค์เจ้าไชยันตมงคล กรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย จากบล็อกของคุณกัมม์ http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=rattanakosin225&month=21-03-2007&group=2&gblog=36 แก้ไขเมื่อ 27 เม.ย. 52 16:47:39 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 27 เม.ย. 52 16:45:25 ]

ความคิดเห็นที่ 70 เปรียบเทียบกันดูครับ กับที่ทีมงานไปพบเจอ จากคุณ : secret letter - [ 27 เม.ย. 52 16:45:37 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ครั้งนั้นพระองค์ยังได้เสด็จประพาสวัดอื่นๆรอบเมืองเพชรบุรีอีกหลายแห่งนะครับ  ดังที่ทรงบันทึกไว้ในจดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน พุทธศักราช 2446-2447   หนึ่งในนั้นคือ วัดป่าแป้น เป็นวัดที่พระองค์เสด็จประพาสในวันที่ 25 กรกฎาคม  ได้ทรงสนทนาธรรมกับพระอธิการหนู เจ้าอาวาสวัด และจากนั้นก็ได้พระราชทานพัดยศและนิตยภัตแก่พระธิการหนูเป็นประจำ      ดังปรากฏหลักฐานกระเป๋าและปิ่นโตมีข้อความว่า  “งานพระศพ  พระองค์เจ้าอุรุพงศ์รัชสมโภช  พระราชปิโยรส”   ซึ่งปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่วัด จากคุณ : secret letter - [ 27 เม.ย. 52 16:50:22 ]

ความคิดเห็นที่ 72 ภาพบรรยากาศวัดป่าแป้นครับ จากคุณ : secret letter - [ 27 เม.ย. 52 17:02:55 ]

ความคิดเห็นที่ 73 อีกหนึ่งมุมครับ จากคุณ : secret letter - [ 27 เม.ย. 52 17:04:50 ]

ความคิดเห็นที่ 74 กระเป๋าและปิ่นโต “งานพระศพ  พระองค์เจ้าอุรุพงศ์รัชสมโภช  พระราชปิโยรส”   ซึ่งปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่วัด จากคุณ : secret letter - [ 27 เม.ย. 52 17:06:58 ]

ความคิดเห็นที่ 75 ข้อความระบุว่า  “งานพระศพ  พระองค์เจ้าอุรุพงศ์รัชสมโภช  พระราชปิโยรส” จากคุณ : secret letter - [ 27 เม.ย. 52 17:08:36 ]

ความคิดเห็นที่ 76 มาต่อที่วัดเก่าแก่ที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของเมืองเพชรบุรีคือวัดใหญ่สุวรรณาราม ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จประพาสในวันที่ 29 กรกฎาคม พุทธศักราช 2447  นะครับ ชาวเมืองเพชรบุรี รู้จักคุ้นเคยวัดนี้ในชื่อ “วัดใหญ่    วัดนี้สร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา  ถือเป็นแหล่งรวมงานฝีมือชั้นเยี่ยมของช่างชาวเพชรบุรีไว้หลายแขนง เช่นลายปูนปั้น ที่หน้าบันอุโบสถ รูปพระนารายณ์ทรงครุฑ ลายพุ่มกระจัง ฝีมือช่างชั้นครูที่มีมาแต่ปลายสมัยอยุธยาถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ จากคุณ : secret letter - [ 27 เม.ย. 52 17:12:59 ]

ความคิดเห็นที่ 77 บรรยากาศภายในวัดครับ จากคุณ : secret letter - [ 27 เม.ย. 52 17:14:27 ]

ความคิดเห็นที่ 78 ด้านในอุโบสถมีภาพจิตรกรรมฝาผนังสมัยอยุธยาที่ยังคงสภาพสมบูรณ์   มีความวิจิตรงดงามยิ่งนักถึงขนาดที่ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะไทยหลายคนยกย่องฝีมือช่างชาวเพชรบุรีที่เขียนภาพนี้ว่าเป็นฝีมือช่างเทวดา จากคุณ : secret letter - [ 27 เม.ย. 52 17:15:38 ]

ความคิดเห็นที่ 79 ส่วนหนึ่งของภาพจิตกรรมที่ยังคงมีให้เห็นในปัจจุบัน จากข้อมูลเมื่อลงพื้นที่พบว่า  ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์โปรดงานฝีมือช่างศิลป์ของวัดนี้เป็นอย่างยิ่ง   และมีรับสั่งให้บูรณปฏิสังขรณ์วัดครั้งใหญ่  หนึ่งศตวรรษที่ผ่านมางานศิลปะในวัดใหญ่สุวรรณารามยังคงสภาพฝีมือช่างดั้งเดิมไว้ได้เป็นส่วนมาก  เป็นแหล่งมรดกทางศิลปะอันล้ำค่าที่มีผู้สนใจศึกษา รวมทั้งนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติเดินทางมาเยี่ยมชมอย่างไม่ขาดสาย จากคุณ : secret letter - [ 27 เม.ย. 52 17:18:06 ]

ความคิดเห็นที่ 80 หลังจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสเมืองเพชรบุรีเป็นเวลา 5 วัน ในวันที่ 29 กรกฎาคม พระองค์ก็ประทับเรือพระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินต่อไปยังเมืองสมุทรสาคร หรือที่เรียกกันว่า “มหาชัย” เมืองประมงปากแม่น้ำท่าจีน เป็นชุมชนดั้งเดิมที่มั่งคั่งด้วยการค้าขาย การประมง และการต่อเรือ เช่นเดียวกับเมืองท่าแห่งอื่น ภาพท่าเรือในปัจจุบันครับ จากคุณ : secret letter - [ 27 เม.ย. 52 17:20:50 ]

ความคิดเห็นที่ 81 เส้นทางเสด็จประพาสทางทะเลจากอำเภอบ้านแหลมเมืองเพชรบุรีมายังเมืองสมุทรสาครในครั้งนั้นครับ จากคุณ : secret letter - [ 27 เม.ย. 52 17:22:23 ]

ความคิดเห็นที่ 82 ณ เมืองสมุทรสาครในครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเปลี่ยนพระราชพาหนะไปประทับเรือทะเลชนิดหนึ่ง  ที่เรียกว่า เรือเป็ดทะเล  เพราะมีผู้กราบบังคมทูลว่า เรือชนิดนี้ แล่นในทะเลได้ดีกว่า  ดังที่พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพทรงเล่าถึงเรือเป็ดทะเลรวมถึงพระอาการเมาคลื่นไว้ในจดหมายเหตุเสด็จประพาสต้น “เห็นเรือเป็ดทะเลทอดอยู่ที่นั่นหลายลำ รับสั่งว่า เรือเป็ดทะเลมีประทุนน่าจะสบายดีกว่าเรือฉลอม ใครกราบทูลไม่ทราบ ว่าเรือเป็ดแล่นใบทะเลเสียดดีกว่าเรือฉลอมด้วย จึงตกลงว่าจะลองเสด็จเรือเป็ดทะเลแล่นใบจากบ้านแหลม ลงมาปากน้ำท่าจีน..ได้เห็นเรือเป็ดทะเลแล่นเสียดรวดเร็วดีกว่าเรือฉลอม จริงดังเขาว่า..คลื่นเจ้ากรรมก็หนักขึ้นลงปลายฉันเองก็ล้มขอนกับเขาอีกคนหนึ่ง..ขึ้นชื่อว่าเรือเป็ดทะเล ถึงจะแล่นใบเสียดดีกว่านี้อีกสักเท่าใดๆ ก็เห็นจะไม่ยอมไปเรือเป็ดทะเลอีกแล้ว” จากคุณ : secret letter - [ 27 เม.ย. 52 17:24:54 ]

ความคิดเห็นที่ 83 สมุทรสาครเป็นเมืองท่าใหญ่ที่มีการติดต่อค้าขายกับชาวจีนมาตั้งแต่สมัยอยุธยา  บริเวณนี้เคยมีเรือสำเภาจากประเทศจีนมาจอดเทียบท่าขนถ่ายและซื้อขายสินค้ากันอย่างคับคั่งจนเป็นที่รู้จักกันทั่ว  ทำให้ที่นี่มีชื่อเรียกกันมาแต่เดิมว่า "ท่าจีน” แม้วันนี้เวลาได้ผ่านล่วงเลยมากว่าร้อยปีหลังการเสด็จประพาสต้นเมืองสมุทรสาคร  แต่อาชีพประมงของชุมชนท้องถิ่นยังเป็นวิถีที่ดำเนินสืบมา และพัฒนาไปสู่อุตสาหกรรมประมงที่สร้างรายได้ให้แก่คนในท้องถิ่นเป็นเม็ดเงินมหาศาล ภาพเก่าเรือสำเภาจากจีนครับ จากคุณ : secret letter - [ 27 เม.ย. 52 17:27:03 ]

ความคิดเห็นที่ 84 หน้าตาของการค้าขายในอดีต ซึ่งมีสัตว์ทะเลเป็นสินค้าครับ จากคุณ : secret letter - [ 27 เม.ย. 52 17:28:20 ]

ความคิดเห็นที่ 85 ปัจจุบัน การประมงก็ยังแลดูคึกคักนะครับ ดังที่เห็นในภาพ จากคุณ : secret letter - [ 27 เม.ย. 52 17:30:11 ]

ความคิดเห็นที่ 86 ในวันนั้น ปรากฏหลักฐานว่า ขบวนเรือแล่นมาถึงเมืองสมุทรสาคร และที่หมายแรกคือ  "ตลาดบ้านท่าฉลอม"  ชุมชนซึ่งชาวจีนโพ้นทะเลหลายชีวิตได้มาตั้งรกรากค้าขายกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน  บริเวณนี้มีเรือฉลอมซึ่งเป็นเรือบรรทุกสินค้าและใช้หาปลามาจอดเทียบท่าเรียงราย จึงเรียกกันต่อมาว่า ท่าฉลอม แต่ทว่า... พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จประพาสตลาดท่าฉลอม หรือตลาดท่าจีน และมีรับสั่งถึงสภาพตลาดอันเสื่อมโทรมสกปรก  เป็นเหตุให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยมีหนังสือตราพระราชสีห์ไปถึงพระยาพิไชยสุนทร ให้ดำเนินการปรับปรุงตลาดเสียใหม่   สำเนาพระราชหัตถเลขาเรื่องดังกล่าวครับ จากคุณ : secret letter - [ 27 เม.ย. 52 17:34:31 ]

ความคิดเห็นที่ 87 บรรยากาศตลาดในอดีตครับ จากคุณ : secret letter - [ 27 เม.ย. 52 17:35:02 ]

ความคิดเห็นที่ 88 จากสำเนาดังกล่าวที่ทรงแจ้งไว้ว่าจะประทับรถไฟเพื่อมาชมตลาด วันนั้นก็มาถึงครับ เป็นภาพพระบรมรูปขณะเสด็จเป็นประธานเปิดตลาดครับ จากคุณ : secret letter - [ 27 เม.ย. 52 17:36:57 ]

ความคิดเห็นที่ 89 ภาพต่อเนื่องครับ จากคุณ : secret letter - [ 27 เม.ย. 52 17:38:12 ]

ความคิดเห็นที่ 90 พระยาพิไชยสุนทร ผู้ว่าราชการเมืองสมุทรสาคร รวมทั้งพ่อค้าประชาชน ได้ช่วยกันเรี่ยไรเงินรวม 5,472 บาท นำมาปรับปรุงตลาดท่าฉลอมให้สะอาด และปูอิฐพื้นผิวถนนขึ้นใหม่อย่างสวยงามตลอดทั้งสาย   อีกหนึ่งปีถัดมาวันที่ 18 มีนาคม พุทธศักราช 2448 เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดถนนสายนี้ พร้อมพระราชทานชื่อว่า “ถนนถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว”เพราะทรงเห็นถึงความร่วมแรงร่วมใจกันของประชาชนดังพระราชดำรัสในวันนั้นว่า     “การที่ท่านทั้งหลายทำตามนี้  ไม่เฉพาะแต่จะได้ความพอใจของเรา  แต่จะเป็นความสุขสำราญและความสะดวกแก่ชนทั้งหลายด้วย..ถ้าจะทิ้งไว้คอยซ่อมเมื่อชำรุดมากก็จะเหมือนทำใหม่  และยังจะต้องรับความลำบากก่อนเวลาที่ได้ซ่อมไปช้านาน  เพราะฉะนั้นเราได้ยอมยกภาษีเรือ  โรงร้าน  เฉพาะตำบลนี้ให้เป็นเงินรักษาถนนให้สะอาดบริบูรณ์อยู่เสมอและจัดการให้เป็นที่สะอาดตามทุนที่จะทำได้”   จากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  กระทรวงมหาดไทยจึงริเริ่มตั้งสุขาภิบาลในหัวเมืองแห่งแรกที่ตำบลท่าฉลอมแห่งนี้  ดังมีประกาศอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 เมษายน พุทธศักราช 2449 จากคุณ : secret letter - [ 27 เม.ย. 52 17:39:40 ]

ความคิดเห็นที่ 91 นอกจากการเสด็จประพาสตลาดท่าฉลอมอันเป็นที่มาของการก่อตั้งสุขาภิบาลในเขตหัวเมืองแห่งแรกแล้ว ครั้งนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังเสด็จประพาสล่องเรือไปตามลำน้ำท่าจีนจนมาถึงวัดโกรกกราก  ที่นี่ขบวนเรือเสด็จได้แวะพักทำครัว และพระองค์ได้เสวยพระกระยาหารเย็นที่วัดนี้ จากคุณ : secret letter - [ 27 เม.ย. 52 17:42:51 ]

ความคิดเห็นที่ 92 ภาพอีกมุมของวัดครับ เมื่อทีมงานล่องเรือไปตามเส้นทางเสด็จ จากคุณ : secret letter - [ 27 เม.ย. 52 17:44:43 ]

ความคิดเห็นที่ 93 วัดโกรกกราก สร้างในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ปัจจุบันมีอายุกว่า 200 ปี  พระประธานในพระอุโบสถ เป็นพระเนื้อศิลาแลงมีอายุมากกว่า 100 ปี มีความแปลกและน่าสนใจตรงที่พระประธานองค์นี้สวมแว่นดำ  สาเหตุเพราะครั้งหนึ่งเกิดโรคตาแดงระบาดไปทั่วตำบล  รักษาอย่างไรก็ไม่หายขาด ชาวบ้านจึงมาบนบานว่าหากหายจากโรคตาแดง จะนำแว่นตาดำมาถวาย และแล้วไม่นานก็หายจากโรคได้ จากคุณ : secret letter - [ 27 เม.ย. 52 17:45:38 ]

ความคิดเห็นที่ 94 ขบวนเรือเสด็จออกจากวัดโกรกกราก ในวันรุ่งขึ้น 31 กรกฎาคม พุทธศักราช 2447 และล่องมาตามลำน้ำจนกระทั่งหยุดพักทำครัวที่วัดบางปลา  พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพบกับเจ้าอาวาส คือหลวงปู่เฒ่าเก้ายอด พระเกจิอาจารย์ชื่อดังซึ่งเป็นที่เลื่อมใสของพุทธศาสนิกชนในท้องถิ่น  เหตุการณ์ครั้งนั้นได้เล่าขานกันต่อมาจากรุ่นสู่รุ่นจนถึงปัจจุบัน จากคุณ : secret letter - [ 27 เม.ย. 52 17:47:32 ]

ความคิดเห็นที่ 95 จากเมืองสมุทรสาคร ที่หมายต่อไปของการเสด็จประพาสต้นครั้งนั้นคือ "จังหวัดนครปฐม" ขอบคุณที่ติดตามนะครับ... จากคุณ : secret letter - [ 27 เม.ย. 52 17:56:51 ]

ความคิดเห็นที่ 96 มีคนถามผมว่า ขอบคุณใคร ไม่เห็นมีคนสนใจเลย... ช่วยมายืนยันว่า ผมไม่ได้บ้าไปคนเดียวด้วยนะครับ จากคุณ : secret letter - [ 27 เม.ย. 52 17:57:58 ]

ความคิดเห็นที่ 97 ผมตามอ่านกระทู้ชุดนี้ตลอดครับ ไม่ต้องห่วง ว่าไม่มีคนสนใจครับ ขอบพระคุณท่านที่มาแลกเปลี่ยนทุกท่าน จากคุณ : jassb1 - [ 27 เม.ย. 52 18:20:18 ]

ความคิดเห็นที่ 98 ขอบคุณครับสำหรับการติดตาม เห็นมั้ยว่ามีคนสนใจเหมือนกัน... ขอบคุณอีกครั้งครับ จากคุณ : secret letter - [ 27 เม.ย. 52 18:34:46 ]

ความคิดเห็นที่ 99 ขอบคุณครับ ตอนนี้กำลังนั่งรอชมทางทีวีอยู่ครับ ต้องจองทีวีไว้ก่อน คคห ๕๕ คุณเพ็ญชมพูครับ ผมยังติดใจ เพราะ ลพบุรีราเมศวร์ เป็นพระนามของเจ้าฟ้า จึงไม่น่าที่จะนำมาตั้งเป็นชื่อพระพุทธรูปแบบไม่มีที่มาที่ไป คคห ๖๘ คุณจดหมายลับครับ แนวเส้นตรงกลางๆภาพ เป็นอะไรครับ กำแพงหรือเปล่า รูปปัจจุบันกลายเป็นต้นไม้ปกคลุมหมดแล้ว คคห ๙๘ คุณจดหมายลับ ผมติดตามมาตลอดครับ แต่ไม่ต้องขอบคุณผม ผมต้องเป็นฝ่ายขอบคุณทั้งคุณจดหมายลับ, คุณใบนท, คุณเพ็ญชมพู ที่ถือว่าเป็นผู้ใจบุญที่แจกวิทยาทานอันทรงคุณค่า แก่ผู้เยาว์อย่างผมครับ จากคุณ : CVTบ้านโป่ง - [ 27 เม.ย. 52 19:36:00 ]

ความคิดเห็นที่ 100 ขอบคุณมากเลยนะคะ ซื้อหนังสือเรื่องนี้มาเมื่อปีที่แล้ว เห็นภาพในกระทู้แล้วต้องไปหยิบมาอ่านอีกรอบแล้วค่ะ จากคุณ : January Friend - [ 27 เม.ย. 52 20:30:45 ]

ความคิดเห็นที่ 101 ขอบคุณสำหรับกระทู้ดีๆครับ คุณsecret letter จากคุณ : โอ๊ต-ครับ-ผม - [ 27 เม.ย. 52 22:33:01 ]

ความคิดเห็นที่ 102 เรื่องของนายช้าง สุดยอดเลยครับ คืนนี้ จากคุณ : CVTบ้านโป่ง - [ 27 เม.ย. 52 22:35:02 ]

ความคิดเห็นที่ 103 คห.102 ขอบคุณค่ะ จากคุณ : ใบนท - [ 27 เม.ย. 52 23:51:50 ]

ความคิดเห็นที่ 104 ติดตามดูรูปและเรื่องราวดีๆ มาแต่ต้นแล้วค่ะ ขอบคุณสำหรับกระทู้นี้ค่ะ จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) - [ 28 เม.ย. 52 01:43:29 ]

ความคิดเห็นที่ 105 เรื่องของนายช้าง # ๑๐๒ เป็นร่องรอยทางประวัติศาสตร์ของการเสด็จประพาสต้นเช่นเดียวกับเรื่องของเจ๊กฮวด # ๒๖ ที่ยังอยู่ในความทรงจำของคนรุ่นหลังเสมอมา เรื่องของนายช้าง-หมื่นปฏิพัทธ์ภูวนาถ เพื่อนต้นผู้จำพระพุทธเจ้าหลวงไม่ได้นี้ นำมาจากเว็บไซต์ของอำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา http://www.bangban.go.th/articles.php?page=10 ขอเชิญย้อนรำลึกถึงอดีตเมื่อครั้งกระโน้น โดยพลัน ๗ สิงหาคม ๒๔๔๗ เรือลำน้อยล่องนาวาเข้ามายังคลองสาขาของแม่น้ำเจ้าพระยา คนในเรือสังเกตเห็นบ้านหลังหนึ่งริมตลิ่งมีโรงไม้ มีหลังคายื่นออกมาชายน้ำ "เหมาะสมแล้ว"  เสียงชายในเรือดังขึ้นมาจากเรือไปบนบ้าน ก่อนจะบอกว่าตนเองมาจากบางกอก   อยากจะขอใช้โรงครัวเป็นที่หุงหาอาหารสักมื้อหนึ่ง เมื่อเจ้าของบ้านอนุญาตแล้วเขาจึงเดินกลับไปเชิญคนในเรือ "เป็นเรือนของอำแดงพลับกับตาช้างขอรับ" เป็นเสียงกล่าวรายงานกับชายท่าทางภูมิฐานที่ดูเหมือนกับเป็นหัวหน้า   ด้วยอัธยาศัยไมตรีของคนชนบทที่มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ยายพลับจึงขมีขมันลงมาช่วยทำครัวอย่างเต็มอกเต็มใจ   ปล่อยให้ตาช้างรับหน้าเสื่อต้อนรับแขกบนเรือนชานด้วยน้ำร้อนน้ำชาที่สนุกสนาน โดยไม่รู้ว่านั่นละ....พระพุทธเจ้าหลวงได้เสด็จมาเยือนเรือนแล้ว "โธ่ พูดแล้วจะหาว่าคุย ฉันขึ้นล่องบางกอกเป็นว่าเล่น ลูกชายบวชเณรอยู่วัดเบญจมบพิตรโน่น ขุนน้ำขุนนางรู้จักกันหลายคน เรียกว่าสนิทกันทีเดียว" นายช้างเริ่มสนุกปาก ขณะที่กรมพระยาดำรงฯ ที่ปลอมตัวมาด้วยชักสนุกตาม ตรัสถามตาช้างกลั้วหัวเราะว่า   "อ้อ งั้นเคยเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวไหมละ"             "ปู้โธ่ เคยเฝ้ามาหลายหน พระบรมรูปก็มี เห็นที่ไหนก็จำได้  พระองค์ท่านว่าง่ายจะตาย ไปเฝ้าครั้งเดียวก็จำได้แล้ว"  ตาช้างโม้ต่อ ขณะที่สำหรับอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงถูกยกมารับประทานเป็นที่สำราญทั้งเจ้าของบ้านและแขกเรือน  ตาช้างที่บอกว่าจำในหลวงได้ก็ตบพระเพลาท่านที่ประทับนั่งข้างพลั่ก ๆ อย่างสนิทสนม จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 28 เม.ย. 52 10:52:19 ]

ความคิดเห็นที่ 106 คคห ๑๐๕ ตาช้างที่บอกว่าจำในหลวงได้ก็ตบพระเพลาท่านที่ประทับนั่งข้างพลั่ก ๆ อย่างสนิทสนม ผมชอบตรงนี้แหละครับ มองเห็นภาพพจน์ชัดเจน พยายามนึกถึงสีหน้าของผู้ที่ตามเสด็จ ผมสังเกตดูรูปนายช้างที่ติดที่ผนังบ้าน ประทับใจที่มีการนำรูปถ่ายเก่าไปก๊อปปี้ แล้วติดคู่กับรูปต้นฉบับ เพียงแต่เปลี่ยนจากสีซีเปีย เป็นขาวดำ แสดงว่าทายาทเห็นความสำคัยของรูปเก่าของบรรพบุรุษ จากคุณ : CVTบ้านโป่ง - [ 28 เม.ย. 52 11:01:27 ]

ความคิดเห็นที่ 107 "พ่อคุณเถอะ ฉันมีสตางค์อยู่บ้าง อยากได้ปืนบัสตันเมาเซอร์สักกระบอกหนึ่ง ไม่รู้ว่าเขาขายกันที่ไหน เรื่องเงินเรื่องทองเรียกร้องได้เต็มที่เลย ไม่รู้จะซื้ออย่างไร"       พระพุทธเจ้าหลวงทรงรับปากหลังทรงสำราญอิริยาบถมาพอควรก็เสด็จลงเรือ  ก่อนกลับทรงพระราชทานซองขาวซองหนึ่งให้สองสามีภรรยา ซึ่งทั้งคู่ชะล่าใจไม่ได้เปิดดู ไปส่งถึงเรือเป็นปกติ  พอเรือน้อยล่องไปลับตาแล้ว ผู้ใหญ่บ้านเกิดกระหืดกระหอบ ขึ้นมาบนเรือแล้วบอกตาช้างแกว่า   "แกมันหัวจะขาดแล้ว เมื่อกี้ฉันเห็นพระเจ้าอยู่หัวมาประทับนั่งร่วมเสวยกับแก   แกหยอกล้อเหมือนคนกันเอง หัวแกถ้าจะขาดแน่"   ตาช้างทำไมไม่เชื่อ  พอเปิดซองที่ได้มาแกก็ลมแทบจับ   เพราะภายในมีเงินบรรจุอยู่ถึง ๕ ชั่ง หรือ  ๔๐๐ บาท รุ่งขึ้นเขากับภรรยาจึงรีบจับเรือเข้าบางกอก   เที่ยวตามหาบ้านขุนนางที่ตามเสด็จพระองค์วันนั้นเพื่อกราบขอขมา จนในที่สุดจากคำแนะนำของข้าราชการ ตาช้างกับยายพลับจึงได้ไปที่วังหลวง     รัชกาลที่ ๕ ทรงเสด็จลงมาให้สองคนเฝ้าเป็นกันเอง พร้อมกับพระราชทานอภัยโทษ แถมยังทรงมอบปืนตามที่นายช้างต้องการและแต่งตั้งเป็น   " หมื่นปฏิพัทธ์ภูวนาถ"   ถือเป็นเพื่อนต้นที่พระองค์ทรงคบหา ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา   และยังปรากฏว่าภายหลังยังทรงเสด็จไปบ้านนายช้าง อีกถึง ๒ ครั้ง สำหรับเพื่อนต้นมีบันทึกไว้ว่ารัชกาลที่ ๕ จะทรงพระราชทานของสำคัญคือ ไม้เท้าหัวเหลี่ยมเงินเหรียญเสมาพระราชทานที่ระลึก  เสด็จกลับจากประพาสยุโรปครั้งที่  ๒  และสุดท้ายคือ หีบหมากพระนามาภิไธยย่อ จ.ป.ร.   และเมื่อมีหรือถือของเหล่านี้  พอมหาดเล็กของพระองค์เห็นเข้าก็จะเปิดทางให้เข้าเฝ้าได้ โดยไม่ต้องมีพิธีรีตองมากมายเหมือนกับคนอื่น ๆ จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 28 เม.ย. 52 11:03:32 ]

ความคิดเห็นที่ 108 เรื่องของนายช้างและยายพลับอยู่ในจดหมายฉบับที่ ๗ ของนายทรงอานุภาพ จดหมายฉบับที่ ๗ บ้านถนนเจริญกรุง วันที่ ๑๐ สิงหาคม ร.ศ. ๑๒๓ ถึง พ่อประดิษฐ์         ฉันตามเสด็จกลับมาถึงกรุงฯ เมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ต่อมาอีกสองวันฉันก็จะไปบ้านพ่อประดิษฐ์ หมายว่าจะไปเยี่ยมเยียนถามข่าวคราว คนที่บ้านบอกว่าพ่อประดิษฐ์ออกไปเมืองสงขลาเสียแต่เทื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม และไม่ทราบกำหนดว่าจะกลับเมื่อใดแน่ ฉันเสียดายที่มาแคล้วคลาดกับพ่อประดิษฐ์เสียดังนี้ เมื่อกำลังไปตามเสด็จฉันได้รับจดหมายพ่อประดิษฐ์หลายฉบับ พ่อประดิษฐ์จะได้รับทั้งหมดหรือพลัดพรายหายสูญไปเสียบ้างก็ไม่ทราบ ฉันได้บอกมาในจดหมายฉบับหลังที่ส่งมาจากบ้างผักไห่ ว่าถ้ามีข่าวคราวในการเสด็จต่อมาอย่างใด จะไว้มาเล่าให้ฟังเมื่อถึงบ้าน มาไม่พบกันเสียเช่นนี้ ยังมีข่าวคราวอีกเล็กน้อย จึงบอกมาให้ทราบในจดหมายฉบับนี้         วันที่ ๗ สิงหาคม กำหนดระยะทางเสด็จตามที่กะไว้ในวันนั้น กระบวนเรือใหญ่จะล่องลงมาทางบ้านเจ้าเจ็ดและบางไทร ไปรอเสด็จที่บางปะอิน แต่พระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จกระบวนต้นแยกขึ้นทางโผงผาง เข้าคลองบ้านกุ่มมาออกภูเขาทอง ล่องมาบรรจบกระบวนใหญ่ที่บางปะอิน แต่ไปเกิดเข้าใจผิดกันด้วยเหตุใดไม่ทราบ พวกหัวเมืองเข้าใจว่า กระบวนเรือใหญ่จะแยกขึ้นทางบางโผงผางแล้วไปล่องลงทางลำน้ำสีกุก พวกนำร่องนำเรือกระบวนใหญ่ไปทางบางโผงผาง เรือกระบวนต้นตามาภายหลังติดกระบวนใหญ่ ถูกทั้งคลื่นและเครื่องบูชาชยันโตรับเสด็จทั้งสองฟาก เป็นเหตุให้ลำบากและข้องแก่การประพาสเป็นอันมาก จะรีบไปก็จะเข้าไปถูกคลื่นอยู่ระหว่างกลางกระบวนใหญ่จึงจำเป็นต้องรอเรือลากตุบๆตามมา จะหาที่แวะทำครัวเช้าที่วัดวาแห่งไร พระก็ลงมานั่งสวดชยันโต ตั้งเครื่องบูชาเสียทุกวัด         แต่เสาะแสวงหาที่ทำครัวมาจนหิวอ่อน จึงมาพบบ้านแห่งหนึ่งที่บางหลวงอ้ายเอียง ดูท่าทางชอบกลมีสะพานและโรงยาวอยู่ริมน้ำ หน้าเรือนฝากระดาน เจ้าของบ้านเห็นจะอาศัยทำครัวเลี้ยงกันที่นั้นได้ จึงแวะเรือเข้าไปไต่ถามได้ความว่าเป็นบ้านกำนัน แต่ตัวกำนันไปค้าขายอยู่ แต่นายช้าง อำแดงพลับ พ่อตาแม่ยายออกมาต้อนรับแข็งแรง ตัวนางพลับเองมาช่วยทำครัวด้วย         ดูท่าทางนายช้างจะรู้จักผู้ลากมากดีกว้างขวาง พอเห็นพวกเราก็ไม่ต้องไต่ถามว่าใครเป็นใคร เข้าใจเอาทีเดียวเราเป็นพวกขุนนางที่ตามเสด็จมาข้างหลัง บอกว่าเสด็จไปเมื่อสักครู่นี้เอง เชิญให้พวก้ราเข้าไปนั่งบนแคร่ในโรงยาว หาน้ำร้อนน้ำชามาตั้ง แล้วเข้าไปนั่งเคียงไหล่สนทนากับพระเจ้าอยู่หัว มิได้มีรู้สึกสงสัย ที่เราคาดว่าแกกว้างขวางทางรู้จักผู้ลากมากดี ก็สมดังคำที่แกเล่า ว่าแกเคยลงไปบางกอกบ่อย ๆ และบุตรชายของแกก็บวชเป็นเณรอยู่ที่วัดเบญจมบพิตร แกรู้จักขุนน้ำขุนนางมาก ถึงพระเจ้าอยู่หัวแกก็เคยเฝ้า มีใครสอดเข้าไปตรงนี้ว่า แกจำพระเจ้าอยู่หัวได้หรือไม่ แกกลับขู่เอาว่า ทำไมจะจำไม่ได้เคยเฝ้าแล้ว และพระรูปก็ยังมีติดอยู่บนเรือน เลยชวนพวกเราขึ้นไปบนเรือน ไปนั่งคุยที่หอนั่งอีกพักหนึ่ง          ประเดี๋ยวได้ยินเสียงยายพลับเอะอะขึ้นในครัว ได้ความว่าแกเอ็ดหมื่นสรรพกิจเรื่องชิมแกง แกว่าเป็นผู้ลากมากดีทำไมชิมแกงด้วยจวักเขาถือกันไม่รู้หรือ เลยฮากันใหญ่ การทำครัวที่บ้านนายช้างวันนี้สนุกยิ่งกว่าที่ได้เคยทำมาในที่อื่นๆ ด้วยเจ้าของบ้านทั้งผัวเมียรับแรงแข็งขอบ มิได้มีความสงสัยว่าผู้ใดเป็นใครเลย         เมื่อเลี้ยงดูกันเสร็จแล้ว นายช้างปรารภว่าอยากจะได้ปืนเมาเซอร์สักกระบอกหนึ่ง เขาว่าจะสั่งเสียซื้อหาต้องขออนุญาต แกไม่รู้จะไปขออนุญาตที่ไหนขอให้คุณ (คือพระเจ้าอยู่หัว) ช่วยเป็นธุระหาซื้อให้แกสักที ส่วนเงินทองราคาปืนจะสิ้นยังเท่าใดไม่เป็นไรแกจะคิดให้ ให้เต็มราคาอย่าวิตก "คุณ" ก็ยินดีรับเป็นพระธุระที่จะให้นายช้างได้ปืนเมาเซอร์ดังประสงค์         เมื่อก่อนจะออกเรือจากบ้านนายช้าง พระราชทานกระดาษธนบัตรซองหนึ่ง ดูเหมือนเป็นเงินสักสามสี่ร้อยบาทตอบแทนที่นายช้างรับเสด็จ บางทีนายช้างจะรู้ได้ว่าใครเมื่อตรวจธนบัตรดู รู้ว่าจำนวนเงินมากผิดปกติที่ผู้อื่นจะให้ในการเช่นนั้น          เมื่อเสด็จประพาสบ้านนายช้าง ใคร ๆ สนุกหมดเว้นแต่พระยาโบราณผู้แทนเทศากรุงเก่า (๑) ซึ่งไปในท้ายเรือพระที่นั่ง ถูกบังคับให้ซ่อนอยู่ในประทุน เพราะคนแถวนั้นรู้จัก ต้องส่งข้าวส่งน้ำพระยาโบราณเหมือนกับคนโทษ ต่อเรือออกแล้วจึงพ้นทุกข์ เสด็จมาถึงบางปะอินเวลาบ่าย ๕ โมง ทรงรถไฟพิเศษกลับกรุงเทพฯในวันนั้น เป็นจบเรื่องระยะมทางเสด็จประพาสต้นเท่านี้                                                                                            นายทรงอานุภาพ ป.ล. เสด็จกลับมาถึงกรุงเทพฯแล้ว รุ่งขึ้นนายช้างกับยายพลับพาลูกหลานลงมาเกือบหมดครัว แกเที่ยวสืบถาม เมื่อได้ความว่าใครได้ไปตามเสด็จที่บ้านแกบ้าง ก็เที่ยวไปกราบไหว้ขอขมาไม่เลือกหน้า ดูน่าสงสาร ฉันถามแกว่าทำไมจึงได้รู้ว่าพระเจ้าอยู่หัว แกบอกพอเสด็จแล้วพวกเพื่อนเขาพากันถามข่าว มีผู้ที่จำพระเจ้าอยู่หัวได้มาบอกยืนยันว่าพระเจ้าอยู่หัวแน่ แกเห็นสมด้วยเงินที่พระราชทานถึง ๔๐๐ บาท เกินกว่าผู้ใดนอกจากพระเจ้าอยู่หัวจะพระราชทาน ก็ยิ่งตกใจ จึงรีบจัดเรือพาลูกหลานล่องลงมากรุงเทพฯ ขอให้พาเข้าเฝ้า จะไปกราบทูลขอขมาพระเจ้าอยู่หัวด้วย แต่จะได้เฝ้าแล้วหรือยังฉันยังไม่ทราบ .................................................................................................................................................... (๑) พระยาโบราณราชธานินทร์(พร เดชะคุปต์) จากบล็อกของคุณกัมม์ http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=rattanakosin225&month=21-03-2007&group=2&gblog=36 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 28 เม.ย. 52 11:25:35 ]

ความคิดเห็นที่ 109 ตอบคำถามคุณ CVTบ้านโป่ง นะครับ เรื่องภาพที่ 68 ต้องขออภัยที่ไม่ทันสังเกตนะครับ ขอเวลาสอบถามผู้รู้อีกซักนิด หากได้รับคำตอบแล้วจะมาแจ้งนะครับ จากคุณ : secret letter - [ 28 เม.ย. 52 11:26:32 ]

ความคิดเห็นที่ 110 วันนี้ได้รับแจ้งจากคุณใบนทว่าจะมาอัพเดตเรื่องราวเพิ่มเติมอีกเพียบ ติดตามชมนะครับ... จากคุณ : secret letter - [ 28 เม.ย. 52 11:35:50 ]

ความคิดเห็นที่ 111 อยากดูรูปนายช้างที่แต่งกายแบบคนจีน ที่เป็นรูปคู่ นั่งที่โต๊ะครับ จากคุณ : CVTบ้านโป่ง - [ 28 เม.ย. 52 11:45:06 ]

ความคิดเห็นที่ 112 รูปครับ ไม่ทราบว่าใช่รูปที่ขอเหรอป่าวครับ จากคุณ : secret letter - [ 28 เม.ย. 52 11:52:59 ]

ความคิดเห็นที่ 113 คุณจดหมายลับ เป็นอีกรูปครับ เป็นรูปที่แขวนอยู่ข้างหลัง ตอนที่สัมภาษณ์ทายาทนายช้างครับ เป็นรูปนายช้างใส่กางเกงแพรจีนสีดำ กับผู้หญิงที่เห็นไม่ถนัดครับ นายช้างจะหนุ่มกว่าภาพใน คคห ๑๑๒ ครับ จากคุณ : CVTบ้านโป่ง - [ 28 เม.ย. 52 12:01:40 ]

ความคิดเห็นที่ 114 เรื่องของตาช้างและยายพลับเป็นเรื่องยาว ตาช้างและยายพลับได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าหลวงอีกเมื่อเสด็จประพาสต้นครั้งที่สองวันที่ ๕ สิงหาคม ร.ศ. ๑๒๕ ๕ โมงเช้าถึงบ้านตาช้าง หมื่นปฏิพัทธภูวนาถ ทั้งผัวทั้งเมียและลูกลงมาเต้นอยู่ที่ท่าน้ำ ดาดปะรำแต่สะพานไปจนถึงบันไดเรือน ปูพรมทางบนเรือนนั้น ปลูกหอใหม่สำหรับรับเสด็จแต่งหรูอย่างกุฏิพระ คือติดนาฬิกาทุกเสา ๑๒ เรือน ติดรูปมีพระรูป และรูปสมเด็จพระวันรัตน์เป็นต้น เขากวาง ตู้ถ้วย กระจกเงาเป็นต้น มีถ้วยชา หีบหมากเงิน เชี่ยนหมาก ชาก็พอกินหมากก็กินได้ ผู้คนญาติแน่นหนา ลูกแต่งตัวเต็มยศปุกปุยเต็มที่ ที่จริงทำให้เรือนนั้นสบายขึ้นมา แต่ร้อนจัดสู้โรงที่เคยทำครัวแต่ก่อนซึ่งแกย้ายไปปลูกห่างเรือนออกไปนั้นไม่ได้ คราวนี้พื้นเต็มเรียบร้อย แต่โรงนั้นก็โรงเก่านั่นเอง มีปลูกขึ้นใหม่หว่างเรือนและโรงที่ทำครัวหลังหนึ่งมุงกระเบื้องรอดปิดกระดาษเสา ว่าเป็นโรงพิธีฉลองตรา มีหนังสือถวายพระราชกุศลหรือใบอุทิศถวายเรือนฉบับหนึ่ง ว่าได้ลงทุนฉลองตราสิ้นเงิน ๔๐๐๐ บาท ฉลองพระไล (๑) ลูกด้วย มีงาน ๗ วันคนแน่นหลามไปหมด จนเขาพากันว่าจะเกิดเหตุ แต่ก็ไม่มีอะไรจนตลอดงาน มียี่เกมีเพลงและอะไรอีกอย่างหนึ่ง เรือนที่ทำถวายนี้ลงทุน ๑๕๐๐ บาท เสร็จการปราศรัยแล้วลงไปทำครัว นางลูกสาวแกงไก่ ยายพลับแกงบะฉ่อแก้ซึ่งมีผู้ใส่น้ำปลาครั้งก่อน แต่เสียงยายพลับเบาไปไม่จ้าเหมือนครั้งก่อน ตาช้างว่าคราวนี้สนุกกว่าคราวก่อน แต่ยายพลับว่าคราวก่อนสนุกกว่าคราวนี้ ได้ให้หีบเงินตรา จ.ป.ร.ยายพลับ นายช้างลูกดุมเงินลงยาใหญ่ นางลูกสาว ๒ คนผ้าห่ม มีหนังสือชื่อ เจ๊กขันซองบุหรี่เงิน พาลูกเจ๊กขันมาขอชื่อ เป็นผู้ชายน่าเอ็นดูดี ให้ชื่อ เจอ ถ่ายรูปเรือนและทั้งครัว บ่าย ๒ โมงเศษได้ออกเรือ ตาช้างตามส่งไปถึงป่าโมกข์ สะพานป่าโมกข์ทำสูงน้ำมาก เดิมคิดว่าจะไปให้ถึงอ่างทองเสียทีเดียว แต่เห็นเวลาบ่าย ๔ โมงแล้ว ถ้าจะไปถึงคงย่ำค่ำเลยจึงหยุดที่ป่าโมกข์ หม่อมอมรวงศ์ (๒) มาคอยอยู่ มีราษฎรมามากเหมือนเทศกาลไหว้พระ แต่ถามดูก็ได้ความว่านัดกันมารับเสด็จเท่านั้น ขึ้นถ่ายรูปนมัสการพระตามเคย     ........................................................................................................................................................................... (๑) พระไล บุตรนายช้างนางพลับ ได้ลงมาบวชอยู่วัดเบญจมบพิตรแล้วได้เป็นเปรียญ (๒) หม่อมอมรวงศ์วิจิตร (ม.ร.ว. ปฐม คเนจร ณ อยุธยา) ผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง ต่อมาได้ไปเป็นปลัดมณฑลอีสาน ไปป่วยถึงอนิจกรรมในราชการ พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จากบล็อกของคุณกัมม์ http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=rattanakosin225&date=26-03-2007&group=2&gblog=51 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 28 เม.ย. 52 15:39:33 ]

ความคิดเห็นที่ 115 การเสด็จประพาสต้นครั้งแรก ร.ศ. ๑๒๓ เป็นการเสด็จทางเรือและทางรถไฟเป็นหลัก มีจุดเริ่มต้นจากพระราชวังบางปะอินเมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๔๗ ผ่านจังหวัดปทุมธานี นนทบุรี กรุงเทพฯ ธนบุรี สมุทรสาคร ราชบุรี สมุทรสงคราม เพชรบุรี นครปฐม สุพรรณบุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา กลับสู่บางปะอิน แล้วเสด็จโดยทางรถไฟกลับสู่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๔๗ ในการเสด็จประพาสต้น ร.ศ. ๑๒๓ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จผ่านและประพาสสถานที่ต่าง ๆ ดังนี้ ๑๔ กรกฎาคม ๒๔๔๗ เสด็จโดยทางชลมารค ออกจากบางปะอินมาตามแม่น้ำเจ้าพระยาถึงเกาะเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เสด็จประพาสวัดปรมัยยิกาวาส และสวนกระท้อนของนายบุตรที่แม่น้ำอ้อม แล้วเสด็จต่อไปยังวัดเขมาภิรตาราม จังหวัดนนทบุรี ประทับแรมที่หน้าวัด ๑๕ กรกฎาคม ๒๔๔๗ เสด็จเข้าคลองบางกอกใหญ่ คลองภาษีเจริญ ประทับแรมหน้าวัดหนองแขม จังหวัดธนบุรี ๑๖ กรกฎาคม ๒๔๔๗ เสด็จเข้าคลองดำเนินสะดวก หลักหก ประทับแรมที่วัดโชติทายการาม อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี ทรงเรือเล็กประพาสทุ่ง และทรงแวะบ้านยายผึ้งและเจ๊กฮวด ๑๗ กรกฎาคม ๒๔๔๗ เสด็จจากวัดโชติทายการาม ออกสู่แม่น้ำแม่กลอง ถึงเมืองราชบุรี ประทับพักที่หน้าบ้านเทศา แล้วเสด็จโดยรถไฟผ่านบ้านปากท่อ ถึงเมืองเพชรบุรี เสวยพระกระยาหารค่ำแล้วเสด็จกลับเมืองราชบุรีโดยทางรถไฟ ๑๘ กรกฎาคม ๒๔๔๗ เสด็จประพาสตลาดเมืองราชบุรี แล้วเสด็จไปทอดพระเนตรแห่นาคที่วัดสัตนาถ ช่วงบ่ายทรงเรือมาด ๔ แจว มีเรือไฟเล็กลากล่องน้ำประพาสแม่น้ำอ้อม ถึงบ้านวัดเพลง อำเภอวัดเพลง จังหวัดราชบุรี ทรงซื้อเรือมาด ๔ แจว พระราชทานชื่อว่าเรือต้น ๑๙ กรกฎาคม ๒๔๔๗ เสด็จโดยเรือมาดแจวประพาสทุ่งทางฝั่งตะวันออกของเมืองราชบุรี ๒๐ กรกฎาคม ๒๔๔๗ เสด็จโดยรถไฟชั้น ๓ ปะปนกับราษฎร ไปยังเมืองโพธาราม เสวยพระกระยาหารค่ำ แล้วประทับเรือประทุน ๒ แจวที่เช่าเหมาลำล่องกลับเมืองราชบุรี ๒๑ กรกฎาคม ๒๔๔๗ เสด็จประพาสตลาดราชบุรี แล้วเสด็จโดยเรือมาด ๔ แจว มีเรือต้นที่ซื้อใหม่เป็นเรือพระที่นั่งรอง พ่วงเรือไฟเล็กเข้าทางแม่น้ำอ้อม ประพาสตลาดปากคลองวัดประดู่ เสด็จเข้าคลองประดู่ ประทับเสวยพระกระยาหารเช้าที่วัดประดู่ จังหวัดสมุทรสงคราม ทรงแวะบ้านตาหมอสี แล้วเสด็จไปตามแม่น้ำอ้อมออกสู่แม่น้ำแม่กลอง ประทับเสวยพระกระยาหารค่ำที่บ้านนายอำเภออัมพวาโดยไม่แสดงพระองค์ให้นายอำเภอและชาวบ้านทราบ ประทับแรมที่เมืองสมุทรสงคราม ๒๒ กรกฎาคม ๒๔๔๗ เสด็จทอดพระเนตรวัดพวงมาลัย อำเภอเมือง สมุทรสงคราม ประพาสตลาดคลองอัมพวา วัดดาวดึงส์ บ้านกำนันจัน อำเภออัมพวา แล้วเสด็จกลับที่ประทับแรมเมืองสมุทรสงครามผ่านทางคลองแม่กลอง ๒๓ กรกฎาคม ๒๔๔๗ เสด็จที่ว่าการเมืองสมุทรสงคราม และวัดอัมพวันเจติยาราม อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม ๒๔ กรกฎาคม ๒๔๔๗ เสด็จลงเรือฉลอม ประพาสละมุบริเวณปากอ่าวแม่กลอง แล้วเสด็จออกจากปากน้ำแม่กลองเข้าสู่ปากน้ำบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี เสด็จลงเรือไฟศรีอยุธยาแล่นไปตามแม่น้ำเพชรบุรี ประทับบ้านพระยาสุรพันธ์ ๒๕ กรกฎาคม ๒๔๔๗ เสด็จประพาสทางเรือข้างเหนือน้ำ ๒๖ กรกฎาคม ๒๔๔๗ เสด็จทางเรือประพาสบางทะลุ ประทับแรมที่บางทะลุ จังหวัดเพชรบุรี ๒๗ กรกฎาคม ๒๔๔๗ เสด็จโดยเรือฉลอมจากบางทะลุออกทะเลมาเข้าบ้านแหลม กลับสู่เมืองเพชรบุรี ๒๘ กรกฎาคม ๒๔๔๗ เสด็จประพาสพระนครคีรี จังหวัดเพชรบุรี ๒๙ กรกฎาคม ๒๔๔๗ เสด็จประพาสวัดต่าง ๆ ในเมืองเพชรบุรี แล้วเสด็จโดยกระบวนเรือใหญ่ล่องไปประทับแรมที่บ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี ๓๐ กรกฎาคม ๒๔๔๗ เสด็จโดยเรือเป็ดทะเลออกจากปากน้ำบ้านแหลม ผ่านปากน้ำแม่กลอง บ้านโรงกุ้ง ถึงท่าจีน ประพาสตลาดท่าฉลอม เสวยพระกระยาหารค่ำที่วัดโกรกกราก อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร ๓๑ กรกฎาคม ๒๔๔๗ เสด็จโดยกระบวนต้นออกจากเมืองสมุทรสาครไปตามลำน้ำท่าจีน เสวยพระกระยาหารเช้าที่วัดบางปลา จังหวัดสมุทรสาคร เสวยพระกระยาหารค่ำที่วัดตีนท่า ประทับแรมที่บ้านงิ้วราย อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ๑ สิงหาคม ๒๔๔๗ เสด็จโดยทางรถไฟประพาสพระปฐมเจดีย์ แล้วเสด็จโดยทางเรือประพาสวัดพระ  ประโทน พิพิธภัณฑ์วัดพระประโทน เสวยพระกระยาหารค่ำที่บ้านพระยาเวียงไนย ประทับแรมที่บ้านงิ้วราย ๒ สิงหาคม ๒๔๔๗ เสด็จประพาสคลองภาษี แล้วเสด็จมาประทับแรมที่บ้านสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี ๓ สิงหาคม ๒๔๔๗ เสด็จประพาสบ้านสองพี่น้อง เสวยพระกระยาหารเย็นที่วัดบางสาม ประทับแรมหน้าวัดบางบัวทอง (ปัจจุบันคือวัดรางบัวทอง) จังหวัดสุพรรณบุรี ๔ สิงหาคม ๒๔๔๗ เสด็จโดยกระบวนเรือไฟ ผ่านบางปลาม้า แล้วเสด็จต่อโดยเรือแจวไปถึงเมืองสุพรรณบุรี ประทับที่สุขุมาราม (บ้านเจ้าคุณสุขุม) แล้วเสด็จประพาสข้างเหนือน้ำ เสวยพระกระยาหารค่ำที่วัดแค ประทับแรมที่เมืองสุพรรณบุรี ๕ สิงหาคม ๒๔๔๗ เสด็จทอดพระเนตรที่ว่าการเมืองสุพรรณบุรี วัดมหาธาตุ หลักเมือง และวัดป่าเลไลยก์ แล้วเสด็จโดยทางเรือล่องมาประทับแรมที่บางปลาม้า ทรงเรือพระที่นั่งเล็กประพาสทางใต้ ประทับเสวยพระกระยาหารค่ำที่วัดบางยี่หน ๖ สิงหาคม ๒๔๔๗ เสด็จโดยกระบวนเรือใหญ่ เข้าคลองบางปลาม้า คลองจระเข้ใหญ่ ถึงบ้านผักไห่ ประทับแรมที่บ้านหลวงวารี ทรงเรือเมล์ของหลวงวารีประพาสข้างเหนือน้ำ ๗ สิงหาคม ๒๔๔๗ เสด็จโดยกระบวนต้นขึ้นไปทางบางโผงเผง จังหวัดอ่างทอง ผ่านบางหลวงอ้ายเอียง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เสวยพระกระยาหารเช้าที่บ้านนายช้าง นางพลับ ก่อนเสด็จสู่บางปะอิน แล้วจึงเสด็จโดยรถไฟพิเศษกลับสู่กรุงเทพฯ http://pioneer.netserv.chula.ac.th/~pwannasi/data2.doc บ้านนายช้าง นางพลับ เป็นสถานที่สุดท้ายที่พระพุทธเจ้าหลวงเสด็จในการประพาสต้นครั้งนี้ และเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องเล่าขานถึงความสัมพันธ์ระหว่างราษฎรกับพระเจ้าแผ่นดินอันแนบแน่นตราบจนกระทั่งทุกวันนี้ จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 28 เม.ย. 52 16:23:10 ]

ความคิดเห็นที่ 116 มาจากห้องศาสนาค่ะ มาแอบอ่านกระทู้ด้านประวัติศาสตร์ที่นี่อยู่บ่อยๆ จากคุณ : สุภวิโมกข์ - [ 28 เม.ย. 52 20:04:44 ]

ความคิดเห็นที่ 117 ค่ำคืนนี้ก็ผ่านไปอีกตอนสำหรับเสด็จประพาสต้น เมืองสามโคก จากคุณ : CVTบ้านโป่ง - [ 28 เม.ย. 52 21:52:13 ]

ความคิดเห็นที่ 118 เบื้องหลังสารคดีเสด็จประพาสต้น ตอนเสด็จประพาสนครปฐม-สุพรรณบุรี-อยุธยา จากคุณ : ใบนท - [ 29 เม.ย. 52 16:08:13 ]

ความคิดเห็นที่ 119 สนุกมากค่ะ  เป็นบุญของคนไทยที่เกิดใต้ร่มบรมโพธิสมภาร จากคุณ : ขอบพระคุณทุกท่านค่ะ (ป้าป้าป้า) - [ 29 เม.ย. 52 19:46:22 ]

ความคิดเห็นที่ 120 ได้ความรู้อีกแล้ว ขอบคุณ เจ้าของกระทู้ มากมายเลยครับผม ^_^ จากคุณ : Mr.Nuke - [ 30 เม.ย. 52 08:21:55 ]

ความคิดเห็นที่ 121 สวัสดีครับ ขอบพระคุณสำหรับเกียรติที่บล็อกรัตนโกสินทร์ ๒๒๕ ได้รับให้ร่วมกระทู้ สำหรับเรื่องเสด็จประพาสเมืองราชบุรีนั้น ตอนนี้กำลังอ่านเรื่องเสด็จประพาสเมืองไทยโยค คราวปีฉลูนพศก จ.ศ.๑๒๓๙ ขาเสด็จกลับ  เสด็จพระราชดำเนินกลับทางเมืองราชบุรี  ทรงจดหมายเหตุไว้หลายเรื่อง         สร้างวังที่เขาสัตนารถ  เขานี้สูง ๑๔ วา ศอกคืบ ๖ นิ้ว เดิมเป็นวัด  มีพระเจดีย์ วิหารพระนอน โบสถ์กับศาลา ปรักหักพังไม่มีสงฆ์อยู่ ครั้นเสด็จมาเมื่อปีมะเมียตรีศก จ.ศ. ๑๒๓๓  จึงทรงขอแลกเปลี่ยน  สร้างวัดถวายให้ใหม่  เหมือนเช่นสมเด็จพรนะบรมชนกนาถเปลี่ยนวังลพบุรี  วัดที่สร้างใหม่พระราชทานนามว่า วัดสัตนารถปริวัตร  สมเด็จเจ้าพระยาเอาพระยาเพชรบุรีและนายงานเมืองเพชรบุรี  ที่เคยทำพระนครคิรีแต่ก่อนมาทำ  ทรงเรียกว่าเขามอ  โปรดฯ ให้เสด็จย่า (กรมพระยาสุดารัตนราชประยูร) ประทับในคราวนั้น           อีกเรื่องหนึ่ง  ที่น่าสนใจและหลายคนยังไม่ทราบเรื่อง  ครั้งนั้นราชทูตโปรตุเกสเข้ามาเฝ้า  ท่านกรมท่าได้ยินข่าวลือว่าเมืองราชบุรีความเจ็บไข้ชุม  ไม่อยากออกมา  แต่ถ้าพระเจ้าอยู่หัวจะให้ออกมาก็จะออกมา  ทรงจดหมายเหตุไว้ว่า  ....เราจึงรอไว้ปรึกษาสมเด็จเจ้าพระยาก่อน  ครั้นมาถึงราชบุรี  สมเด็จเจ้าพระยาท่านว่า  ขอให้ออกมารับที่นี่เถิด  จะได้เป็นเกียรติยศ  เหมือนครั้งสมเด็จพระนารายณ์เป็นเจ้ารับราชทูตฝรั่งเศสของสมเด็จพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ที่เมืองลพบุรี...  ทรงเห็นชอบด้วย  จึงตกลงรับราชทูตโปรตุเกสที่เมืองราชบุรีเต็มตามตำรา  สมเด็จเจ้าพระยาทำพระที่นั่งรับราชทูตถวาย  ลงแรงและความคิดจะรับแขกเมืองให้เป็นเกียรติยศได้  ทรงหมายเหตุไว้ว่า ....และเรามาเห็นที่ก็เห็นว่าสมควรพอจะรับแขกเมืองได้  ดูเหมือนจะกว้างกว่าท้องพระโรง ซึ่งสมเด็จพระนารายณ์เป็นเจ้ารับเชฟเวลเลียเดอโชมอนต์แต่ก่อนเสียอีก  แล้วเมืองโปรตุคอลนี้ก็เป็นพระราชไมตรีกับกรุงสยามมาช้านาน  คู่กันกับเมืองฝรั่งเศสและวิลันดา  ท่านรับฝรั่งเศสคราวก่อนที่เมืองลพบุรี  ครั้งนี้รับโปรตุเกสที่เมืองราชบุรีก็เห็นจะพอได้กันเป็นการดีอยู่  จึงได้ตระเตรียมการที่จะรับให้ได้  เต็มตำราทุกอย่าง  มิให้ขาดเหลือตามแบบอย่างเช่นรับที่กรุงเทพฯ  คุณสรุวงศ์ได้ไปเรียกช้างเมืองศรีสวัสดิ์ลงมา  และให้เจ้าพนักงานกลับไปจัดสิ่งของพร้อมทุกอย่าง  ในท้องพระโรงตั้งเครื่องสูง  ตามระหว่างช่องประตูพอครบ ๑๖ ช่อง  ที่กลางยกเป็นแท่นขึ้น ๒ ชั้นหุ้มด้วยสักหลาดแดง ตั้งเก้าอี้โธรนใหญ่  มีเครื่องพานพระขันหมากและง้าวทั้งสองข้าง  ปืนตั้งบนนั้น  แต่เศวตฉัตรไม่มี  ครั้นจะยกขึ้นก็เป็นเดือนสามแต่เห็นว่าพอดีแล้ว  ถึงที่ลพบุรีก็คงไม่มี  เพราะเสด็จออกที่พระแกล  ข้างพระแท่นมีมหาดเล็กเชิญพระแสงตีนตองข้างละ ๒ คนเป็น ๔ คน  มีหุ้มแพรยืนหลังโธรน ๔ คน  ต่อออกไปริมหน้าโธรน.... เมืองราชบุรีเป็นเมืองสำคัญอีกเมืองหนึ่ง สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินได้เสด็จพระราชดำเนินทุกพระองค์เสมอมา ในกระบวนการประพันธ์แบบที่เรียกกันว่า พรรณนาโวหาร  ไม่มีใครเกินพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวอีกแล้ว  และพระราชนิพนธ์เสด็จประพาสไทรโยคเป็นที่หนึ่งในกระบวนการประพันธ์แบบพรรณนาโวหาร  เอาไว้มีโอกาสจะคัดมาลงไว้ให้ห้องสมุดนะครับ แก้ไขเมื่อ 01 พ.ค. 52 09:08:21 แก้ไขเมื่อ 30 เม.ย. 52 10:07:32 จากคุณ : กัมม์ - [ 30 เม.ย. 52 09:17:19 ]

ความคิดเห็นที่ 122 คุณกัมม์กลับมาแล้ว ขอเชิญร่วมตามเสด็จด้วยกันนะคะ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำค่ะ หลังจากจบเสด็จประพาสต้น ก็จะนำเสนอเสด็จประพาสหัวเมืองต่อค่ะ แล้วก็มีเรื่องเสด็จประพาสไทรโยครวมอยู่ด้วย ถ่ายทำไปบางส่วนแล้ว แต่ถ้ามีข้อมูลอื่นๆ ที่น่าสนใจ แนะนำมาได้นะคะ  บางเรื่องเราก็รู้ไม่มากนักหรอกค่ะ จากคุณ : ใบนท - [ 30 เม.ย. 52 10:07:43 ]

ความคิดเห็นที่ 123 ทวงภาพใน # 113 ครับ จากคุณ : satitp - [ 30 เม.ย. 52 17:53:42 ]

ความคิดเห็นที่ 124 คคห ๑๒๓ อยู่นี่ครับ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K7807738/K7807738.html#56 เบื้องหลังสารคดีเสด็จประพาสต้น ตอนเสด็จประพาสนครปฐม-สุพรรณบุรี-อยุธยา ความคิดเห็นนี้ได้แตกไปยังกระทู้ K7807738 http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K7807738/K7807738.html จากคุณ : CVTบ้านโป่ง - [ 30 เม.ย. 52 18:52:10 ]

ความคิดเห็นที่ 125 ตามมาเป็นกำลังใจให้คุณ จขกท ครับ กระทู้สนุก  มีประโยชน์ ขอบคุณที่เรียบเรียงมาให้ชมครับ แก้ไขเมื่อ 30 เม.ย. 52 21:03:47 จากคุณ : นายแบบแอบรักเธอ - [ 30 เม.ย. 52 20:49:38 ]

ความคิดเห็นที่ 126 ขอบคุณมากค่ะ ตามอ่านตลอดเลย จากคุณ : mon_m&m - [ วันแรงงาน 09:53:37 ]