ความคิดเห็นที่ 1 ขอนำทุกท่านเดินทางสู่นครปฐมกันค่ะ จากคุณ : ใบนท - [ 29 เม.ย. 52 16:10:04 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ในสมัยรัชกาลที่ 5 พระองค์มีพระราชดำริให้ย้ายเมืองจากตำบลท่านา อำเภอนครชัยศรี มาตั้งที่บริเวณพระปฐมเจดีย์ เหมือนที่เคยตั้งมาแล้วในสมัยโบราณ เมืองนครปฐมจึงตั้งอยู่ต่อมา จนตราบเท่าทุกวันนี้ จากคุณ : ใบนท - [ 29 เม.ย. 52 16:10:58 ]

ความคิดเห็นที่ 3 วันที่ 1 สิงหาคม พุทธศักราช 2447 ที่สถานีรถไฟอำเภองิ้วรายแห่งนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ประทับรถไฟเสด็จพระราชดำเนินสู่จังหวัดนครปฐม เพื่อนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ จากคุณ : ใบนท - [ 29 เม.ย. 52 16:11:47 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เมื่อพระองค์เสด็จพระราชดำเนินถึงสถานีรถไฟนครปฐม พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินยังองค์พระปฐมเจดีย์ ปูชนียสถานที่สำคัญของเมือง จากคุณ : ใบนท - [ 29 เม.ย. 52 16:13:26 ]

ความคิดเห็นที่ 5 องค์พระปฐมเจดีย์แห่งนี้ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นระหว่าง พุทธศักราช 350-1000 เป็นพระสถูปลักษณะโอค่ำ มีความสูง 19 วา 2 ศอก ในปีพุทธศักราช 2396 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้บูรณะ โดยสร้างเจดีย์องค์ใหม่  หุ้มเจดีย์องค์เดิมไว้ โดยการบูรณะเสร็จสิ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จากคุณ : ใบนท - [ 29 เม.ย. 52 16:14:58 ]

ความคิดเห็นที่ 6 รัชกาลที่ 5 นอกจากจะทรงสานต่องานปฏิสังขรณ์องค์พระปฐมเจดีย์ ซึ่งเริ่มมาแต่รัชกาลก่อน จนแล้วเสร็จ พระองค์ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประดับองค์เจดีย์ด้วยกระเบื้องเคลือบสีเหลืองส้ม ที่สั่งมาจากเมืองจีน และสร้างพระระเบียงชั้นนอกรอบองค์พระปฐมเจดีย์ โดยเสด็จพระราชดำเนินมาทรงดูแลการก่อสร้างด้วยพระองค์เอง จากคุณ : ใบนท - [ 29 เม.ย. 52 16:16:43 ]

ความคิดเห็นที่ 7 บริเวณซุ้มพระปฐมเจดีย์ยังเป็นที่ประดิษฐานพระร่วงโรจนฤทธิ์   พระพุทธรูปที่ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงได้รับมาจากเมืองศรีสัชนาลัย  ซึ่งเดิมมีสภาพชำรุดเหลือแต่พระพักตร์ พระกร และพระบาท รัชกาลที่ 6 จึงโปรดให้หล่อพระพุทธรูปนี้ขึ้นมาใหม่ แล้วนำไปประดิษฐานที่ซุ้มพระปฐมเจดีย์ ในวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2458 จากคุณ : ใบนท - [ 29 เม.ย. 52 16:17:36 ]

ความคิดเห็นที่ 8 จากองค์พระปฐมเจดีย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ประทับเรือเล็กล่องมาตามคลองเจดีย์บูชา เพื่อเสด็จประพาสที่วัดพระประโทณเจดีย์ จากคุณ : ใบนท - [ 29 เม.ย. 52 16:18:58 ]

ความคิดเห็นที่ 9 พระประโทณเจดีย์ เป็นหนึ่งในศาสนสถานของนครปฐมที่สร้างขึ้นโดยผู้คนในสมัยทวารวดี   เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระศากยมุนี รูปทรงเดิม  เป็นทรงโอคว่ำ ตามลักษณะของเจดีย์สมัยทวารวดี เดิมมีสภาพเป็นเนินดินทับถมรกร้างมานานนับพันปี จากคุณ : ใบนท - [ 29 เม.ย. 52 16:19:23 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ลืมรูปค่ะ จากคุณ : ใบนท - [ 29 เม.ย. 52 16:20:02 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ในสมัยรัชกาลที่ 4 มาถึงรัชกาลที่ 6 ได้มีการสร้างวัดพระประโทณเจดีย์ขึ้น และขุดพบโบราณวัตถุในสมัยทราวดีเป็นจำนวนมากรอบๆ พื้นที่ จากคุณ : ใบนท - [ 29 เม.ย. 52 16:20:40 ]

ความคิดเห็นที่ 12 พระเจ้าน้องยาเธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงพระนิพนธ์เหตุการณ์ในวันที่สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จประพาสพระประโทณเจดีย์ไว้ว่า พระองค์ได้มีพระราชปฏิสันถารกับเจ้าอาวาสพระประโทนเกี่ยวกับโบราณวัตถุที่ขุดค้นพบในวัดด้วยว่า มาพบมิวเซียมใหญ่ซึ่งโจษกันว่ามีอยู่นั้น คือท่านสมภารวัดพระประโทนเป็นผู้เก็บรวบรวมสะสมของโบราณที่ขุดได้ในแถววัดพระปฐมพระประโทนไว้มาก แต่ข่าวว่าเก็บซุกซ่อนมิยอมให้ผู้หนึ่งผู้ใดดูเป็นอันขาด ครั้นเสด็จไปถึง ไปถามถึงเรื่องของเก่า ท่านสมภารก็ยินดีเชิญเสด็จเข้าไปในกุฏิ แล้วยกหีบห่อของโบราณที่ได้สะสมไว้มาถวายให้ทอดพระเนตร และยอมให้ทรงเลือกแต่จะพอพระราชประสงค์ ทรงเลือกได้เครื่องสัมฤทธิ์ของโบราณ คือพระพุทธรูปเป็นต้น ซึ่งเป็นของแปลกดีหลายอย่าง จากคุณ : ใบนท - [ 29 เม.ย. 52 16:22:06 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ส่วนหนึ่งของโบราณวัตถุที่มีการขุดค้นพบในวัดในช่วงที่ผ่านมา ปัจจุบัน โบราณวัตถุบางส่วนได้ถูกนำไปเก็บรักษา และจัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระปฐมเจดีย์ จากคุณ : ใบนท - [ 29 เม.ย. 52 16:22:48 ]

ความคิดเห็นที่ 14 รุ่งเช้าวันที่ 2 สิงหาคม พุทธศักราช 2447 ขบวนเสด็จประพาสต้น ได้เดินทางออกจากบ้านงิ้วราย ล่องไปตามแม่น้ำท่าจีน มุ่งหน้าสู่อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี ในวันนั้น พระเจ้าน้องยาเธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้เสด็จล่วงหน้าขึ้นมาก่อน เพื่อจัดเตรียมพลับพลาที่ประทับ จากคุณ : ใบนท - [ 29 เม.ย. 52 16:24:32 ]

ความคิดเห็นที่ 15 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จแวะประพาสที่คลองภาษี  อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม ปัจจุบัน บริเวณดังกล่าวคือที่ตั้งของตลาดรางกระทุ่ม หาภาพไม่เจอ ขอข้ามนะคะ จากคุณ : ใบนท - [ 29 เม.ย. 52 16:25:20 ]

ความคิดเห็นที่ 16 คคห ๑๑ เห็นสภาพพระประโทนเจดีย์ แล้วเศร้าใจกับการบูรณะของหน่วยงานที่รับผิดชอบมากเลย จากคุณ : CVTบ้านโป่ง - [ 29 เม.ย. 52 16:25:40 ]

ความคิดเห็นที่ 17 คห.16 ไม่อยากตำหนิกรมศิลป์นะคะ แต่มันน่าเศร้าใจจริงๆ หลายครั้งที่การบูรณะ เหมือนกับการสร้างใหม่ แล้วทำให้แย่กว่าเดิม เช่น พระตำหนักที่เกาะสีชัง เคยไปก่อนที่จะบูรณะ ดูขลังกว่าตอนทำใหม่เสียอีก จากคุณ : ใบนท - [ 29 เม.ย. 52 16:27:50 ]

ความคิดเห็นที่ 18 วันที่ 3 ส.ค.พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพ ทรงเลือกวัดบางบัวทอง  ซึ่งตั้งอยู่ที่ ต.บ้านกุ่ม อ.สองพี่น้อง   เป็นที่ตั้งพลับพลาที่ประทับ แต่ปัญหาก็คือ เนื่องจากเป็นการเสด็จประพาสต้น ที่ไม่ได้มีการเตรียมการล่วงหน้าเกี่ยวกับหมายกำหนดการ และสถานที่ประทับในแต่ละวัน ดังนั้น การจัดเตรียมพลับพลาที่ประทับให้สำเร็จภายในเวลาอันจำกัด จึงเป็นสิ่งที่พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพ ทรงกังวลเป็นอย่างยิ่ง   ฉันออกนึกหนักใจว่า เวลามีเพียงราว ๘ ชั่วโมง ไม้ไล่ผู้คนและเครื่องมือก็ไม่มี จะทำอย่างไรจึงจะมีที่ประทับทันเสด็จ ฉันทูลถามกรมหลวงดำรง ท่านรับสั่งว่า มีมากันเท่านี้ ก็ลองดูว่าจะทำได้อย่างไร มีรับสั่งให้เรียกประชุมอำเภอกำนันผู้ใหญ่บ้านพร้อมกัน แล้วรับสั่งว่า วันนี้เจ้านายของพวกเราจะเสด็จมาประทับแรมที่ตรงนี้ เราต้องช่วยกันแผ้วถาง และทำสะพานที่จะจอดเรือพระที่นั่งให้ทันเสด็จ พวกแกและชาวบ้านแถวนี้ ยังไม่ได้เคยรับเสด็จเลย และที่ยังไม่ได้เคยเห็นเจ้านายของพวกแกเอง ก็จะมีเป็นอันมาก ให้กำนันผู้ใหญ่บ้านไปเที่ยวป่าวร้องราษฎรในแถวนี้ มาช่วยกันรับเสด็จพระเจ้าอยู่หัว มีมีดพร้าเครื่องมือให้เอามาด้วย ช่วยกันทำรับเสด็จสักที จะได้หรือไม่ จากคุณ : ใบนท - [ 29 เม.ย. 52 16:29:52 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ภายในเวลาเพียงสองชั่วโมง กำนันและผู้ใหญ่บ้าน ก็สามารถติดตามลูกบ้านมาช่วยทำงานได้ประมาณ 3-4 ร้อยคน ทุกคนต่างเต็มใจที่จะรับเสด็จด้วยกันทั้งนั้น แม้แต่ผู้หญิงที่ไม่ได้ถูกขอแรงทำงาน  ก็อาสามาปรุงอาหารเลี้ยงคนงาน บางคนก็นำอาหารมาช่วย แม้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพ จะประทานเงินเป็นค่าตอบแทน แต่ก็ไม่มีใครรับแม้แต่คนเดียว ทุกคนปรารถนาที่จะรับเสด็จพระเจ้าอยู่หัวกันอย่างเต็มที่  จนกระทั่งเวลาประมาณบ่าย 4 โมง พลับพลาที่ประทับก็แล้วเสร็จ   มีการจัดเลี้ยงกันอย่างสนุกสนาน   เป็นบรรยากาศที่พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพ ทรงบรรยายไว้ว่า ใครได้เห็นแล้วก็ต้องยินดี ด้วยเห็นได้ว่า ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน มีความสวามิภักดิ์ต่อพระเจ้าอยู่หัวเพียงใด จากคุณ : ใบนท - [ 29 เม.ย. 52 16:30:28 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ในระหว่างที่พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพ ทรงจัดเตรียมพลับพลาที่ประทับที่วัดบางบัวทองนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จประพาสคลองสองพี่น้อง หลังจากนั้น กระบวนเรือพระที่นั่งได้พักทำครัวเย็นที่วัดบางสาม ซึ่งอยู่ที่ ต.บางตะเคียน อ.สองพี่น้อง จากคุณ : ใบนท - [ 29 เม.ย. 52 16:31:11 ]

ความคิดเห็นที่ 21 รุ่งเช้าของวันที่ 4 สิงหาคม พุทธศักราช 2447  กระบวนเรือประพาสต้นของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เดินทางออกจากพลับพลาที่ประทับในวัดบางบัวทอง อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี  มุ่งหน้าสู่ตัวเมืองสุพรรณบุรี จากคุณ : ใบนท - [ 29 เม.ย. 52 16:33:08 ]

ความคิดเห็นที่ 22 เข้าสู่สารคดีตอนที่ 7 นะคะ ขอเล่าอย่างรวดเร็ว จากคุณ : ใบนท - [ 29 เม.ย. 52 16:34:04 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ในจดหมายเหตุเสด็จประพาสต้น พระนิพนธ์ในพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพ พระองค์ทรงบันทึกไว้ว่า วันที่ 4 สิงหาคม พุทธศักราช 2447 กระบวนเรือพระที่นั่ง ได้เดินทางมาในคลองบางปลาม้า แต่เนื่องจากบางช่วงน้ำในคลองตื้น กระบวนเรือไฟจึงผ่านไปไม่ได้ เมื่อถึงบางปลาม้าจึงต้องประทับเรือแจว ล่องมาเรื่อยๆ และมาจอดที่สุขุมาราม เป็นแห่งแรก จากคุณ : ใบนท - [ 29 เม.ย. 52 16:35:03 ]

ความคิดเห็นที่ 24 รายละเอียดเกี่ยวกับบ้านหลังนี้ในพระนิพนธ์ ชื่อสุขุมารามที่เรียกกัน เรียกตามได้ยินรับสั่ง เห็นจะเป็นชื่อพระราชทาน ไม่ได้ยินพวกชาวสุพรรณเขาเรียก ความจริงนั้น ที่ตรงนั้น เป็นบ้านเดิมของเจ้าคุณสุขุม  ญาติวงศ์ของท่าน ยังอยู่หลายคน ได้พากันมารับเสด็จเฝ้าแทน ดูทรงพระกรุณามาก แต่คำว่าอารามๆ เคยได้ยินเป็นชื่อวัด นี่ทำไมจึงเอามาพระราชทานต่อท้ายชื่อบ้านเจ้าคุณ ข้อนี้ฉันตรองไม่เห็น จากคุณ : ใบนท - [ 29 เม.ย. 52 16:35:36 ]

ความคิดเห็นที่ 25 เจ้าของบ้านหลังนี้ คือเจ้าพระยมราช (ปั้น สุขุม) ชาวสุพรรณบุรี ซึ่งได้มีโอกาสรับราชการในสมัยสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง จนได้รับความไว้วางพระราชหฤทัย ให้เป็นเสนาบดีดูแลกระทรวงที่สำคัญถึงสามกระทรวง ได้แก่  กระทรวงมหาดไทย  กระทรวงนครบาล และกระทรวงโยธาธิการ จากคุณ : ใบนท - [ 29 เม.ย. 52 16:36:13 ]

ความคิดเห็นที่ 26 เจ้าพระยายมราช รับราชการสนองพระเดชพระคุณตั้งแต่รัชกาลที่ 5 เรื่อยมาจนถึงสมัยรัชกาลที่ 8 ท่านได้ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เมื่อปี 2477 ร่วมกับพระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพยอาภากับกรมหมื่นอนุวัติจาตุรนต์ และได้บริหารราชการในตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ สืบต่อมา จนถึงแก่อสัญกรรมในปี 2481 จากคุณ : ใบนท - [ 29 เม.ย. 52 16:36:52 ]

ความคิดเห็นที่ 27 จากชื่อเดิมที่สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงพระราชทานว่า สุขุมาราม พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเคยประทับที่บ้านหลังนี้สองครั้ง ได้พระราชทานชื่อใหม่ให้ว่า บ้านยะมะรัชโช จากคุณ : ใบนท - [ 29 เม.ย. 52 16:37:28 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ปัจจุบัน บ้านหลังดังกล่าว ยังคงตั้งอยู่ที่เดิม ใกล้กับสะพานอาชาสีหมอก  ไม่ไกลจากโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช จากคุณ : ใบนท - [ 29 เม.ย. 52 16:38:04 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ลักษณะบ้านเป็นเรือนหมู่  ปัจจุบันเหลือตัวเรือนเดิม  เรือนนอนสองหลัง  หอกลางหนึ่งหลัง  หอนั่งสร้างใหม่แทนของเดิมอีกหนึ่งหลัง จากคุณ : ใบนท - [ 29 เม.ย. 52 16:38:38 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ทุกหลังอยู่ในสภาพทรุดโทรม  ซึ่งมูลนิธิกองทุนพระยาสุนทรสงคราม (ปุย สุวรรณศร) กำลังทำโครงการบูรณะขึ้นใหม่ ให้กลับมามีสภาพดังเดิม จากคุณ : ใบนท - [ 29 เม.ย. 52 16:39:12 ]

ความคิดเห็นที่ 31 จากบ้านเจ้าพระยายมราช พระองค์ได้ประทับเรือพระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินต่อไปยังวัดแค และได้แวะเสวยพระกระยาหารที่วัดแห่งนี้ จากคุณ : ใบนท - [ 29 เม.ย. 52 16:40:41 ]

ความคิดเห็นที่ 32 วัดแค ตั้งอยู่บ้านค่ายเก่า  ตำบลรั้วใหญ่  ฝั่งตะวันตกของริมแม่น้ำสุพรรณ  คนทั่วไปรู้จักวัดแค จากวรรณคดีเรื่องขุนช้าง - ขุนแผน  ด้วยเป็นวัดที่เณรแก้วหรือขุนแผนได้มาเรียนวิชากับสมภารคง  ปัจจุบัน จังหวัดสุพรรณบุรี ได้สร้างเรือนไทยโบราณ ภายในบริเวณวัด ที่เรียกกันว่า  “คุ้มขุนแผน”   เพื่ออนุรักษ์เรือนไทยแบบโบราณให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา จากคุณ : ใบนท - [ 29 เม.ย. 52 16:41:21 ]

ความคิดเห็นที่ 33 วันที่ 5 สิงหาคม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทอดพระเนตรสถานที่สำคัญอีกหลายแห่งของจังหวัดสุพรรณบุรี ที่สำคัญได้แก่ วัดพระศรีมหาธาตุ จากคุณ : ใบนท - [ 29 เม.ย. 52 16:42:53 ]

ความคิดเห็นที่ 34 กรุพระในองค์พระปรางค์นี้ เป็นต้นกำเนิดพระพิมพ์ผงสุพรรณบุรี ที่โด่งดัง อันเป็นหนึ่งใน “เบญจภาคี 5 พระเครื่องยอดนิยม จากคุณ : ใบนท - [ 29 เม.ย. 52 16:43:56 ]

ความคิดเห็นที่ 35 พระองค์ยังได้เสด็จประพาสศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ซึ่งพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพ ได้ทรงบันทึกไว้ในภายหลังว่า การเสด็จประพาสครั้งนี้ สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ร่วมกับชาวจีนในตลาดสุพรรณบุรี เพื่อบูรณะซ่อมแซมศาลหลักเมืองแห่งนี้ จนเป็นที่มาของอาคารรูปทรงเก๋งจีน ครอบทับศาลแบบไทย จากคุณ : ใบนท - [ 29 เม.ย. 52 16:44:46 ]

ความคิดเห็นที่ 36 จากนั้น กระบวนเรือพระที่นั่งได้ล่องกลับมาประทับแรมที่บางปลาม้า และสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงได้ประทับเรือเล็ก ล่องลงมาประพาสทางด้านใต้ และประทับเสวยพระกระยาหารเย็นที่วัดบางยี่หน อำเภอบางปลาม้า จากคุณ : ใบนท - [ 29 เม.ย. 52 16:45:45 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ภายในวัดยังปรากฎสิ่งของพระราชทานอีกหลายชิ้น ซึ่งระบุปีที่สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงได้พระราชทานไว้ให้แก่วัด คือ ปีพุทธศักราช 2452 ได้แก่ ปิ่นโต และเรือโบราณ จากคุณ : ใบนท - [ 29 เม.ย. 52 16:53:40 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ปิ่นโตพระราชทาน จากคุณ : ใบนท - [ 29 เม.ย. 52 16:54:15 ]

ความคิดเห็นที่ 39 อีกภาพ จากคุณ : ใบนท - [ 29 เม.ย. 52 16:54:50 ]

ความคิดเห็นที่ 40 เรือโบราณ จากคุณ : ใบนท - [ 29 เม.ย. 52 16:55:11 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ลืมรูปอีกแล้ว แก้ไขเมื่อ 29 เม.ย. 52 16:55:51 จากคุณ : ใบนท - [ 29 เม.ย. 52 16:55:31 ]

ความคิดเห็นที่ 42 คุณใบนทไปเร็วเป็นเรือด่วนเลย ขออนุญาตขึ้นเรือที่ท่าบ้านยะมะรัชโชก็แล้วกัน คุณ NickyNick เคยเขียนถึงบ้านหลังนี้ไว้และฝากคำถามไว้ว่า ใครเป็นผู้ปลูกต้นพิกุลที่บ้านหลังนี้ระหว่าง รัชกาลที่ ๕ กับรัชกาลที่ ๖ พระมหากษัตริย์ผู้ทรงปลูกต้นพิกุล ที่บ้านยะมะรัชโช : บ้านเกิดของเจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2006/12/K4986346/K4986346.html ต้นพิกุลอยู่ตรงที่วงไว้ ทางมุมทิศตะวันตกเฉียงใต้ของตัวบ้าน จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 29 เม.ย. 52 16:56:16 ]

ความคิดเห็นที่ 43 รูปเรือโบราณค่ะ จากคุณ : ใบนท - [ 29 เม.ย. 52 16:56:35 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ขอพักทานข้าวก่อนนะคะ ออกซิเจนในสมองกำลังลด เดี๋ยวมาต่อค่ะ ขอบคุณคุณเพ็ญชมพูค่ะ จากคุณ : ใบนท - [ 29 เม.ย. 52 16:57:27 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ไปเรื่อย ๆ เหนื่อยก็พัก เอาข้าวต้มสามกษัตริย์มาฝากคุณใบนท จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 29 เม.ย. 52 17:07:32 ]

ความคิดเห็นที่ 46 มาทักทายผู้ร่วมเดินทางทุกท่านครับ จากคุณ : secret letter - [ 29 เม.ย. 52 17:10:13 ]

ความคิดเห็นที่ 47 คคห ๔๔ ขอให้สนุกกับการเติมพลัง แล้วรีบมาต่อนะครับ กลับถึงบ้านผมจะได้มาต่อครับ จากคุณ : CVTบ้านโป่ง - [ 29 เม.ย. 52 17:45:01 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ขอบคุณข้าวต้มสามกษัตริย์ชามพิเศษ จากคุณเพ็ญชมพูนะคะ ท้องอิ่มแล้วเราเดินทางกันต่อดีกว่า ยังลงรูปเรือโบราณไม่ครบเลย จากคุณ : ใบนท - [ 29 เม.ย. 52 17:46:12 ]

ความคิดเห็นที่ 49 อีกมุมหนึ่งของเรือ จากคุณ : ใบนท - [ 29 เม.ย. 52 17:46:45 ]

ความคิดเห็นที่ 50 จากจังหวัดสุพรรณบุรี สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงได้เสด็จพระราชดำเนินยังจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผ่านทางคลองบางปลาม้า เข้าสู่คลองจระเข้ใหญ่ เขตอำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และที่นี่เอง ที่พระองค์ได้ทรงพบกับเพื่อนต้นคนสำคัญอีกคนหนึ่ง และเป็นคนที่สร้างเรื่องราวสนุกสนานมากมาย ที่เป็นที่จดจำมาจนถึงทุกวันนี้ คนนั้นก็คือ นายช้าง จากคุณ : ใบนท - [ 29 เม.ย. 52 17:49:07 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ในพระนิพนธ์ของพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพ ทรงบันทึกไว้ว่า บ้านเล็กๆ ของกำนันแห่งบ้านบางหลวงอ้ายเอียงหลังนี้ เป็นบ้านที่กระบวนเรือได้เลือกใช้เป็นที่ทำครัว   ในวันนั้น นายช้าง และอำแดงพลับ ซึ่งเป็นพ่อตาและแม่ยายของกำนัน ได้ออกมาต้อนรับอย่างแข็งขัน ด้วยเข้าใจว่า เป็นขบวนของผู้ตามเสด็จพระเจ้าอยู่หัว ภาพอำแดงพลับ ผู้เป็นภรรยา จากคุณ : ใบนท - [ 29 เม.ย. 52 17:52:06 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ข้อความตอนหนึ่งในพระนิพนธ์ของพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวดำรงราชานุภาพเล่าไว้ว่า ดูท่าทางนายช้างจะรู้จักผู้ลากมากดีกว้างขวาง พอเห็นพวกเรา ก็ไม่ต้องไต่ถามว่าใครเป็นใคร เข้าใจเอาทีเดียวว่า เราเป็นพวกขุนนางที่ตามเสด็จมาข้างหลัง บอกว่าเสด็จไปเมื่อสักครู่นี้เอง เชิญให้พวกเราเข้าไปนั่งบนแคร่ในโรงยาว หาน้ำร้อนน้ำชามาตั้ง แล้วเข้าไปนั่งเคียงไหล่สนทนากับพระเจ้าอยู่หัว มิได้มีรู้สึกสงสัย ที่เราคาดว่า แกกว้างขวางทางรู้จักผู้ลากมากดี ก็สมดังคำที่แกเล่า ว่าแกเคยลงไปบางกอกบ่อยๆ และบุตรชายของแกก็บวชเป็นเณรอยู่ที่วัดเบญจมบพิตร แกรู้จักขุนน้ำขุนนางมาก ถึงพระเจ้าอยู่หัวแกก็เคยเฝ้า มีใครสอดเข้าไปตรงนี้ว่า แกจำพระเจ้าอยู่หัวได้หรือไม่ แกกลับขู่เอาว่า ทำไมจะจำไม่ได้ เคยเฝ้าแล้ว และพระรูปก็ยังมีติดอยู่บนเรือน เลยชวนพวกเราขึ้นไปบนเรือน ไปนั่งคุยที่หอนั่งอีกพักหนึ่ง หลังจากเสวยพระกระยาหารเรียบร้อยแล้ว  นายช้างได้ปรารภว่า อยากจะได้ปืนเมาเซอร์สักกระบอกหนึ่ง และเขาได้ขอให้คุณ ซึ่งก็คือพระเจ้าอยู่หัว ให้ช่วยเป็นธุระหาซื้อให้  ซึ่ง "คุณ" หรือพระเจ้าอยู่หัว ก็ยินดีรับเป็นพระธุระ ที่จะให้นายช้างได้ปืนเมาเซอร์ดังประสงค์ จากคุณ : ใบนท - [ 29 เม.ย. 52 17:58:01 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ภาพบ้านนายช้างสมัยก่อน จากคุณ : ใบนท - [ 29 เม.ย. 52 17:59:08 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ภาพบ้านนายช้างปัจจุบัน จากคุณ : ใบนท - [ 29 เม.ย. 52 17:59:50 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ก่อนเสด็จพระราชดำเนินออกจากบ้านนายช้าง สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงได้พระราชทานธนบัตรซองหนึ่ง จำนวนเงินประมาณ 400 บาท ตอบแทนที่นายช้างรับเสด็จ และเมื่อพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินกลับแล้ว นายช้างจึงได้ทราบว่า ผู้ที่จากไปนั้นคือพระเจ้าอยู่หัวแน่นอน  เมื่อทราบเข้าดังนั้น  ก็ตกใจเป็นอย่างยิ่ง รุ่งขึ้น รีบจัดเรือพาลูกหลานเกือบหมดครอบครัว ล่องลงมากรุงเทพฯ เพื่อจะไปเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ขอพระราชทานอภัยโทษ ไม่เพียงสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงจะพระราชทานอภัยโทษเท่านั้น แต่พระองค์ยังพระราชทานปืนเมาเซอร์ตามที่นายช้างต้องการ พร้อมกับทรงแต่งตั้งเป็น หมื่นปฏิพัทธภูวนาถ  ถือเป็นเพื่อนต้นที่พระองค์ทรงคบหานับแต่นั้นมา จากคุณ : ใบนท - [ 29 เม.ย. 52 18:01:10 ]

ความคิดเห็นที่ 56 อันนี้เป็นรูปที่คุณ CVT บ้านโป่งอยากได้ภาพที่แขวนอยู่ด้านหลัง ในภาพเป็นทายาทของนายช้างค่ะ ในการเสด็จประพาสต้นครั้งที่ 2 พระองค์ทรงแวะที่บ้านนายช้างนี้เช่นกัน และได้พระราชทานของที่ระลึกแก่นายช้างด้วย ซึ่งทีมงานจะนำเสนอ ในช่วงการเสด็จประพาสต้นครั้งที่ 2 นะคะ จากคุณ : ใบนท - [ 29 เม.ย. 52 18:02:54 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ขอจบการเสด็จประพาสต้นครั้งแรก ไว้เพียงเท่านี้ค่ะ เรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างการเสด็จประพาสต้นครั้งนี้  พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพ ทรงนำมาตีพิมพ์ในหนังสือทวีปัญญารายเดือน ในปี 2449  ซึ่งได้รับความนิยมจากผู้อ่านอย่างกว้างขวาง หลังจากนั้น ภายหลังพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคต พระองค์จึงทรงนำมารวมเล่มและตีพิมพ์อีกครั้ง ในปี 2453 และมีการนำมาตีพิมพ์ซ้ำอีกหลายครั้ง จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ซึ่งเรื่องราวทั้งหมด สะท้อนให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า เหตุใดสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง จึงทรงเป็นที่รักใคร่ของอาณาประชาราษฎร์ทั่วทั้งแผ่นดิน ตราบจนถึงปัจจุบัน หลังจากนี้ จะเป็นการเสด็จประพาสต้นครั้งที่สอง รอคุณจดหมายลับมาต่อค่ะ แก้ไขเมื่อ 29 เม.ย. 52 18:05:12 จากคุณ : ใบนท - [ 29 เม.ย. 52 18:04:46 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ขอตามไปเที่ยวด้วยคนนะคะ จากคุณ : Yogurt Cheese - [ 29 เม.ย. 52 18:14:13 ]

ความคิดเห็นที่ 59 รับเรื่องต่อครับ แต่ขอเวลาทำข้อมูลและภาพประกอบหน่อยนะครับ จากคุณ : secret letter - [ 29 เม.ย. 52 18:21:46 ]

ความคิดเห็นที่ 60 คคห ๕๖ ใช่เลยครับ ถูก กำลังรอคุณจดหมายลับทำข้อมูล อย่างใจจดใจจ่อ จากคุณ : CVTบ้านโป่ง - [ 29 เม.ย. 52 19:42:40 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ระหว่างรอขอคั่นรายการด้วย บ้านยะมะรัชโช ครับ จากคุณ : CVTบ้านโป่ง - [ 29 เม.ย. 52 20:20:39 ]

ความคิดเห็นที่ 62 ตราประจำตัวเจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) เป็นรูปคนปั้นหม้อ จากหนังสือพิมพ์แจกในงานพระราชทานเพลิงศพ วันที่ ๑๐ เมษายน ๒๔๘๒ จากคุณ : CVTบ้านโป่ง - [ 29 เม.ย. 52 20:30:43 ]

ความคิดเห็นที่ 63 คุณจดหมายลับมากระซิบบอกว่า ขอเป็นวันพฤหัสนะคะ ตอนนี้ งานอื่นเข้า ขอไปเคลียร์ก่อน จากคุณ : ใบนท - [ 29 เม.ย. 52 20:33:33 ]

ความคิดเห็นที่ 64 คุณ CVTบ้านโป่ง  คะ ข้างในหนังสือเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับอะไรคะ ปกดูดีมากเลย พึ่งทราบว่า ตราประจำตัวท่าน เป็นรูปนี้ มีความหมายชัดเจนมากเลยค่ะ จากคุณ : ใบนท - [ 29 เม.ย. 52 20:35:06 ]

ความคิดเห็นที่ 65 คคห ๖๔ หนังสือเล่มนี้ผมยอมควักเงินซื้อจากร้านขายหนังสือเก่าที่เซ็นทรัล ลาดพร้าว ด้วยราคา ๘๕๐ บาท เมื่อปี ๒ ก.ค. ๒๕๓๒ ตอนนั้นมีตังค์อยู่ในกระเป๋าพันกว่าบาท ชั่งใจอยู่นานครับกว่าจะกัดฟันซื้อ เพราะความผูกพันเป็นพิเศษ ซื้อทั้งที่ไม่มีตังค์ ซื้อทั้งๆที่หนังสืออยู่ในสภาพสมบูรณ์เพียง ๘๐% ปกในครับ จากคุณ : CVTบ้านโป่ง - [ 29 เม.ย. 52 20:56:06 ]

ความคิดเห็นที่ 66 มาร่วมคณะประพาสต้น เห็นข้าวต้มสามกษัตริย์ของคุณเพ็ญชมพูแล้วอยากชิม จะอร่อยเหมือนชามที่กรมพระยาดำรงฯท่านเคยเสวยแล้วสรรเสริญหรือเปล่าหนอ อาราม นอกจากจะแปลว่าวัดอีกความหมายหนึ่งแปลว่า สวน แต่สุขุมารามในที่นี้เข้าใจว่าร.5 ท่านล้อเลียนเจ้าพระยายมราชซึ่งเคยเป็นเด็กวัด และบวชเป็นเปรียญอยู่วัดหงส์รัตนาราม ฝั่งธนบุรี จากคุณ : วสันดิลก - [ 29 เม.ย. 52 20:56:18 ]

ความคิดเห็นที่ 67 แหม ... ขอห้อยท้ายท่านมหาฯ ไปอีกสักคน หวังว่าเรือจะไม่หนักเกินไป อิอิ จากคุณ : jassb1 - [ 29 เม.ย. 52 21:02:13 ]

ความคิดเห็นที่ 68 ตามเสด็จไม่ทัน เพิ่งกับจากพักร้อน ขออนุญาตเพิ่มเรื่อง เขาสัตนารถ  กับ รับราชทูตโปรตุเกสที่เมืองราชบุรี ไว้เป็นน้ำจิ้มก่อนนะครับ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K7798950/K7798950.html#121 จากคุณ : กัมม์ - [ 30 เม.ย. 52 09:24:24 ]

ความคิดเห็นที่ 69 ชอบค่ะ ขอติดตามขบวนไปด้วยคน จากคุณ : สุภวิโมกข์ - [ 30 เม.ย. 52 09:31:39 ]

ความคิดเห็นที่ 70 จริงๆ ทีมงานก็มีความรู้ไม่มากนักนะคะ อาศัยท่านผู้รู้หลายๆ ท่าน แบ่งปันข้อมูลให้ สารคดีโทรทัศน์มักจะมีข้อจำกัดเรื่องเวลา ทำให้บางครั้ง นำเสนอข้อมูลได้ไม่มากนัก คิดว่า การนำมาตั้งกระทู้ในห้องนี้ จะได้เป็นเวทีแลกเปลี่ยนข้อมูลที่แต่ละท่านเคยศึกษา และเป็นสนาม ให้ผู้อยากรู้ ได้เข้ามาเก็บเกี่ยวข้อมูลเพิ่มเติม หวังว่า คงจะได้รับคำแนะนำ จากทุกท่านนะคะ จากคุณ : ใบนท - [ 30 เม.ย. 52 09:56:09 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ผมยังอ่านไม่เจอเรื่องต้นพิกุลที่บ้านยะมะรัชโชเลยครับ จากคุณ : CVTบ้านโป่ง - [ 30 เม.ย. 52 10:10:05 ]

ความคิดเห็นที่ 72 เรื่องบ้านยะมะรัชโช ยังหาเรืองต้นพิกุลไม่เจอเหมือนกันค่ะ ในวันที่ 20 ต.ค. รศ. 127 รัชกาลที่ 5 ได้เสด็จประพาสลำน้ำมะขามเฒ่า และทรงแวะที่บ้านนี้อีกครั้ง ในพระราชนิพนธ์ก็ไม่ได้พูดเรื่องการปลูกต้นพิกุลเลย ทรงเล่าไว้เพียงว่า ลงมาจอดที่บ้านพระยาสุขุม ตามเคย แต่แปลกมากอีกเหมือนกัน คราวก่อนจะขึ้นไปบนบ้านต้องเดินปีนตลิ่ง คราวนี้พอเสมอน้ำแฉะๆ สุพรรณไม่เปลี่ยนแปลกรูปอะไร นอกจากที่น้ำมากและน้ำน้อย จากคุณ : ใบนท - [ 30 เม.ย. 52 10:18:23 ]

ความคิดเห็นที่ 73 มาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเสด็จประพาสสุพรรณบุรีค่ะ ลืมเรื่องวัดป่าเลไลยก์ วัดสำคัญของชาวสุพรรณบุรี จากคุณ : ใบนท - [ 30 เม.ย. 52 10:20:19 ]

ความคิดเห็นที่ 74 หลวงพ่อโต ที่ทุกคนเคารพ สร้างตามแบบทวารวดี เป็นปางปฐมเทศนา  ภายหลังมีการบูรณะขึ้นใหม่เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปิดทอง ปางป่าเลไลย์ มีขนาดสูง 23 เมตร จากคุณ : ใบนท - [ 30 เม.ย. 52 10:21:24 ]

ความคิดเห็นที่ 75 เอาข้างในหน้งสือ  # ๖๒ มาฝากคุณ CVTบ้านโป่ง และคุณใบนท จากบล็อกของคุณ twojay http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=twojay&date=25-06-2007&group=16&gblog=10 แก้ไขเมื่อ 30 เม.ย. 52 13:19:19 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 30 เม.ย. 52 13:17:59 ]

ความคิดเห็นที่ 76 ขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติมค่ะ ชักอยากอ่านหน้าอื่นๆ ของหนังสือเล่มนี้ซะแล้วสิ จากคุณ : ใบนท - [ 30 เม.ย. 52 13:26:00 ]

ความคิดเห็นที่ 77 คคห ๗๕ ขอบคุณครับคุณเพ็ญชมพู คุณ twojay เอาลงเว็บแล้ว ผมกำลังคิดว่าจะทำยังดีถึงเอาเล่มนี้ลงเว็บ เพราะสัปดาห์ที่แล้วเพิ่ง scan หนังสือชีวิวัฒน์ ลงบล๊อกของผม หนังสือหลุดไปหลายแผ่น น้ำตาร่วงเลยครับ ชีวิวัฒน์พิมพ์ปี ๒๕๐๔ สภาพสมบูรณ์กว่าเล่มนี้ซึ่งพิมพ์ปี ๒๔๘๑ มาก ขืนผมเอาไปแบะอ้า scan ทั้งเล่ม คงต้องเอาผ้าห่มมาซับน้ำตาเลยครับ แสดงว่าดวงวิญญาณท่านเจ้าพระยายมราช(ปั้น สุขุม) เห็นใจผม   จากคุณ : CVTบ้านโป่ง - [ 30 เม.ย. 52 13:50:23 ]

ความคิดเห็นที่ 78 # ๓๑ จากบ้านเจ้าพระยายมราช พระองค์ได้ประทับเรือพระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินต่อไปยังวัดแค และได้แวะเสวยพระกระยาหารที่วัดแห่งนี้ เรื่องนี้มีตำนาน ในการเสด็จประพาสต้นครั้งแรกนี้ นอกจากจะมีเรื่องเจ๊กฮวดมหาดเล็ก, เรื่องของตาช้าง ยายพลับ แล้ว ก็ยังมีเรื่องเล่าถึงขรัวตากันให้อ่านกันอย่างน่าครื้นเครง บันทึกจากคำบอกเล่าของชาวบ้าน - ในหนังสือ "ประวัติวัดแค"  ม.๑ ต.รั้วใหญ่ อ.เมืองฯ จ.สุพรรณบุรี   พิมพ์ครั้งที่ ๕  เมื่อ  ๕ ธันวาคม ๒๕๓๒ เล่าโดยคุณ NickyNick เกร็ดกระทู้ - เมื่อพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จประพาสต้นวัดแคเมืองสุพรรณ : บันทึกเพิ่มเติมที่หน้าประวัติศาสตร์ไม่ได้จารึกไว้ http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2006/07/K4550674/K4550674.html บ่าย ๔ โมงเย็นของวันที่ ๔ สิงหาคม  ร.ศ.๑๒๓ (พ.ศ.๒๔๔๗) มีชายกลุ่มหนึ่งจำนวน ๓ คน พายเรือเล็กมาจอดที่ท่าวัดแค แล้วชายทั้งสามขึ้นจากเรือมาที่ลานวัด   เห็นลูกศิษย์วัดวิ่งเล่นอยู่ที่ลานวัดก็ถามว่า   "หนู กุฏิเจ้าอาวาสอยู่ไหน ท่านอยู่หรือไม่"   เด็กลูกศิษย์ชี้มือบอกไปว่า อยู่กุฏินั้น และอาจารย์ก็อยู่ที่นั่นด้วย แล้วก็เล่นสนุกกันตามประสาเด็กต่อไป ชายกลุ่มนั้นเดินขึ้นไปบนกุฏิ เห็นขรัวตากันกำลังนั่งพิงหมอนอิงอย่างเอกเขนกสบายอารมณ์ แล้วชายกลุ่มนั้นนั่งยอง ๆ ลง ยกมือไหว้ ขรัวตากันจึงถามว่า   "เป็นใครกัน มาจากที่ไหน มีธุระอะไรหรือ" ชายคนหนึ่งในกลุ่มนั้นดูจะอาวุโสกว่าเพื่อน ตอบว่า เราทั้งสามเป็นมหาดเล็กของพระพุทธเจ้าหลวง พระองค์กำหนดจะเสด็จมาประทับที่วัดแคเย็นวันนี้ ให้เขาทั้งสามมาบอกข่าวล่วงหน้า พอขรัวตากันได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกดีใจ และตื่นเต้นเป็นอันมาก  ต้อนรับขับสู้มหาดเล็กทั้งสามอย่างกุลีกุจอ รีบชงน้ำร้อนน้ำชาให้ แล้วเอ่ยปากถามว่าพระพุทธเจ้าหลวงจะเสด็จตอนเย็นจริง ๆ หรือ มหาดเล็กคนนั้นตอบว่า  "เสด็จแน่ ๆ" ขรัวตากันกระตือรือร้น ในคำตอบของมหาดเล็กยิ่งนัก   รีบสั่งให้พระเณรที่วัดเตรียมตัวไว้ให้พร้อม เมื่อพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จมาจะได้สวดชะยันโต โดยไม่ให้เสียเวลา   กำชับกำชาลูกศิษย์วัดไม่ให้เล่นเอะอะจุ้นจ้าน ขรัวตากันเป็นพระที่ชอบคุย และคุยเก่งพอสมควร นั่งคุยอยู่กับมหาดเล็กกลุ่มนั้นอยู่เป็นนาน แต่ในใจห่วงกังวลว่า พระพุทธเจ้าหลวงจะเสด็จตอนไหนกันแน่ เพราะมหาดเล็กทั้งสามมาส่งข่าวให้ทราบแล้ว ชรอยมหาดเล็กผู้นั้นเห็นขรัวตากันชอบกินหมาก จึงหยิบหมากขึ้นมาคำหนึ่ง วางไว้ข้าง ๆ ขรัวตากัน โดยไม่ได้ถวาย แล้วทำทีเป็นเดินไปชมโน่นชมนี่บนกุฏิ แล้วเดินกลับมาที่ขรัวตากันนั่งอยู่ พร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นว่า "อ้าว!  ท่านอาจารย์ หมากคำนั้นหายไปไหนเล่า ท่านฉันเสียแล้วใช่ไหม ผมไม่ได้ประเคนไม่เป็นอาบัติหรืออาจารย์" "อ้อ! ไม่เป็นไร อยู่ในหัตถบาส (หมายถึง  อยู่ใกล้หรืออยู่ในองค์ประเคน  ใช้สำหรับพระสงฆ์) ฉันได้ ไม่เป็นไรหรอก" แล้วขรัวตากันก็เคี้ยวหมากหยับ ๆ ต่อไป มหาดเล็กคนนั้นหัวเราะชอบใจ ที่ขรัวตากันมีปฏิภาณและไหวพริบดี แก้ไขเมื่อ 01 พ.ค. 52 10:42:21 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ วันแรงงาน 10:41:33 ]

ความคิดเห็นที่ 79 ขณะที่นั่งคุยกันอยู่นั้น มหาดเล็กชี้มือไปยังที่ซึ่งหลวงตากัน จัดให้ในหลวงประทับว่า "นั่นที่อะไร ทำไว้สำหรับใครกัน ฉันขึ้นไปนั่งได้หรือไม่" ขรัวตากันรีบตอบสวนควันขึ้นมาทันทีว่า "อ๊ะ! อ๊ะ! ไม่ได้   ไม่ได้  นั่นจัดไว้สำหรับเป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้าหลวง คุณเป็นมหาดเล็กธรรมดาธรรมดา  ขืนขึ้นไปนั่งเป็นขี้กลากแน่ ๆ" ขรัวตากันตอบชนิดหน้าเฉยตาเฉย มหาดเล็กผู้นั้นหัวเราะ และชักนึกสนุก เมื่อคุยกับหลวงตากัน จึงถามว่า "อาจารย์ รู้จักพระพุทธเจ้าหลวงไหม" ขรัวตากัน หัวเราะเอิ๊กลงลำคอ ตอบอย่างยิ้มย่องผ่องใสว่า "พุทโธ่ ทำไมจะไม่รู้จัก เคยเห็นรูปในหลวงมาแยะต่อแยะแล้ว อย่าว่าแต่ใกล้ ๆ เลย แม้แต่ไกล ๆ ก็จำไม่พลาด" ขณะที่ขรัวตากันพูดอยู่นั้น นึกเฉลียวใจขึ้นมาว่า เอ!  มหาดเล็กคนนี้รูปร่างหน้าตาคล้าย ๆ กับพระพุทธเจ้าหลวงเสียด้วย เอาไว้หนวดที่ริมฝีปากเหมือนกัน หรือว่าจะใช่   หรือไม่ใช่ ความคิดสับสน ถกเถียงกันอลวน ฮื้อ! คงไม่ใช่พระพุทธเจ้าหลวงหรอกน่า พระพุทธเจ้าหลวงท่านจะแต่งตัวธรรมดาอย่างนี้หรือ และชายคนนี้บอกว่า เขาเป็นมหาดเล็กหลวงของพระพุทธเจ้าหลวง จะเป็นพระพุทธเจ้าหลวงไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด อาจจะเป็นมหาดเล็กที่มีเค้าหน้าคล้ายกับพระพุทธเจ้าหลวงก็ได้ มหาดเล็กคนนั้นหัวเราะชอบใจขรัวตากันเป็นอย่างมาก จึงพูดขึ้นว่า "เอ! พระพุทธเจ้าหลวงทำไมจึงไม่เสด็จสักที  ช้าจัง บางทีพระองค์อาจจะมีธุระหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ   เอ! ชักจะหิวข้าวเสียแล้วซิ นี่ก็แดดล่มลมตกโขแล้ว อาจารย์ขอยืมสถานที่ทำอาหารหน่อยได้ไหม" ขรัวตากันตอบว่า "ได้ ! ได้ ! ตามสบาย" แล้วลุกขึ้นเรียกเด็กลูกศิษย์วัดมาช่วยกัน "เฮ้ย ! อ้ายติง  อ้ายผาก อ้ายถม เอ็งไปบอกพวก ๆ ของเอ็งมาช่วยกันหน่อย" แล้วหันมาถามมหาดเล็กผู้นั้นว่า จะต้องการอะไรบ้าง ขอให้บอกอย่างไม่ต้องเกรงใจ มหาดเล็กผู้นั้นบอกว่า อยากได้ตุ่มมังกรขนาดย่อม เอามาใส่น้ำและพริก เพื่อนำเอามาทำแกงเผ็ด แล้วขรัวตากันให้คนไปหามาจนครบตามความต้องการ พวกเด็ก ๆ ลูกศิษย์วัด ต่างมาช่วยกันกุลีกุจอ ถังตักน้ำหายาก เด็ก ๆ จึงเอาบาตรไปตักน้ำ ตักกันไป เล่นกันไปเป็นที่สนุกสนาน ชั่วครู่น้ำก็เต็มตุ่มมังกร ขณะนั้นเองฝนเริ่มตกลงมาปรอย ๆ อย่างน่าอัศจรรย์ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีเค้าว่าฝนจะตก "เอ! ในหลวงทำไมยังไม่เสด็จมาซักที ฝนก็ตกพรำ ๆ แล้ว ปกติในหลวงเสด็จไปไหน ฝนตกที่นั่น" ขรัวตากันกล่าวขึ้นลอย ๆ รู้สึกว่าจะผิดหวัง จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ วันแรงงาน 10:52:07 ]

ความคิดเห็นที่ 80 การหุงหาอาหารเสร็จเรียบร้อยจวนจะใกล้ค่ำ ทุกคนขึ้นไปรับประทานอาหารกันบนศาลาการเปรียญ เพราะกว้างขวางกว่าบนกุฏิ  จนกระทั่งทั้งสามมหาดเล็กรับประทานอาหารเสร็จ ในหลวงก็ยังไม่เสด็จ ขรัวตากันออกจะเก้อ และผิดหวังมาก เพราะคิดว่าเดี๋ยวก็มืดแล้ว ไหนเลยในหลวงจะเสด็จ แต่ในใจคิดว่าวันนี้ไม่เสด็จ อาจจะเสด็จพรุ่งนี้ก็เป็นได้น่า ทำให้ขรัวตากันยังไม่สิ้นหวังเสียเลยทีเดียว การรับประทานอาหารของมหาดเล็กทั้งสามเสร็จเรียบร้อยแล้ว มหาดเล็กผู้อาวุโสกว่าเพื่อนเรียกตาเดช  ซึ่งเป็นทายกวัดมาถามว่า  ที่วัดแคมีพระภิกษุกี่รูป  ตาเดชบอกว่า พระลูกวัด ๑๐ รูป ขรัวตากันอีก ๑ รูป เป็นสมภารเจ้าวัด  รวมเป็น ๑๑ รูปด้วยกัน มหาดเล็กผู้นั้นถวายกัปปิยภัณฑ์ ให้ขรัวตากันเจ้าอาวาส ๓ ตำลึง พระลูกวัดรูปละ ๑ ตำลึง ซึ่งตาเดชก็รับไว้ พอใกล้ค่ำมหาดเล็กทั้งสามลาขรัวตากัน พายเรือเล็กเลี้ยวคุ้งน้ำหายไป หลวงตากันมองตามมหาดเล็กทั้งสามด้วยหัวใจลอย พอรุ่งเช้า มหาดเล็กทั้งสามคนเดินขึ้นมาบนวัดอีก ขณะนั้นขรัวตากันตื่นขึ้นมากำลังสวดมนต์อยู่ มหาดเล็กผู้อาวุโสเดินมายังกุฏิที่ขรัวตากันตะโกนขึ้นไปว่า "อาจารย์  อาจารย์ตื่นหรือยัง" ขรัวตากันรีบเปิดหน้าต่างกุฏิโผล่หน้าออกไปดู  พอขรัวตากันโผล่ศีรษะออกไป มหาดเล็กผู้อาวุโสจึงพูดว่า "อาจารย์  ฟ้าลานะ" พร้อมกันนั้นยกมือทั้งสองขึ้นนมัสการลาขรัวตากัน ขรัวตากันพอได้ยินคำว่า  "ฟ้าลานะ"  เท่านั้น  ทำเอาหัวใจแทบหยุดเต้น จะเป็นลมหน้ามืดเสียให้ได้  พลันขรัวตากันหวนนึกถึงเรื่องราววันวานตอนเย็น  ค่อย ๆ กระจ่างขึ้นมาในสมอง  นึกชังน้ำหน้าตัวเองยิ่งนัก  พุทโธ่เอ๋ย ! มีตาหามีแววไม่ ขรัวตากันคุมสติได้ในบัดดล เรียกร้องเด็กลูกศิษย์วัดเสียงหลงให้รัวระฆังเรียกพระไปที่ศาลาการเปรียญทันที แล้วขรัวตากันเองรีบครองจีวรเดินงุด ๆ ไปบนศาลาการเปรียญโดยไม่พูดไม่จา จะพูดอะไรก็พูดไม่ออก เงอะ ๆ งะ ๆ ทำเพียงชี้มือชี้ไม้โบ๊เบ๊ไม่ได้เรื่อง พอดีพระภิกษุมาครบจึงสวดชะยันโตเพื่ออวยพรและส่งเสด็จมหาดเล็ก  คือ พระพุทธเจ้าหลวง  นั่นเอง จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ วันแรงงาน 10:52:51 ]

ความคิดเห็นที่ 81 ต่อมาอีก ๔-๕ เดือน  มีพระราชสาส์นมาจากพระบรมมหาราชวัง พอขรัวตากันได้รับพระราชสาส์นก็ไม่เป็นอันกินอันนอน   หวาดผวากลัวไปต่าง ๆ นานา เพราะขรัวตากันไม่ค่อยจะรู้ขนบธรรมเนียมในพระราชวัง กลัวจะไปทำไม่ถูกพระราชอัธยาศัยก็จะได้รับคำตำหนิติเตียน แต่แล้วหลวงตากันก็ตัดสินใจ ฮึ! เป็นไงเป็นกันไม่ถึงกับตายหรอกน่า ดังนั้นพอใกล้จะถึงวันกำหนดเข้าพระบรมมหาราชวัง ขรัวตากันคัดเอาลูกศิษย์ก้นกุฏิติดตามไปด้วย ๒ คน การเดินทางสมัยโน้นยังไม่มีเรือกลไฟ ขรัวตากันจึงเอาเรือมาดมีประทุนแจวไป โดยมีลูกศิษย์แจวหัวแจวท้าย รอนแรมเรื่อยไป กว่าจะถึงกรุงเทพฯ ก็เป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๔-๕ วัน เมื่อไปถึงพระบรมมหาราชวังแล้ว ก็ไม่มีอะไร  พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงมีพระราชประสงค์จะทรงสนทนาปราศรัยกับขรัวตากันเท่านั้น แล้วพระพุทธเจ้าหลวงพระราชทานเครื่องไทยทานมาหลายอย่าง อาทิ เช่น     เรือเล็กขนาดยาว ๓ วา ๑ ลำ     ขันทองเหลือง     ผ้าไตร     ผ้าสังฆาฏิ  ปักอักษรย่อ "จปร."     ปิ่นโต     ตู้ใส่หนังสือ ด้านหน้า ด้านข้าง เป็นกระจก   ด้านหลังทึบกระหนกเป็นลายดอกไม้  และประแจจีน  เท้าสิงห์ศิลปคล้ายฝีมือจีน  สูง ๙๗ ซม. กว้าง ๘๘ ซม. ลึก ๔๕ ซม.  พร้อมด้วยหนังสือ ตู้ใบนี้ยังคงรักษาอยู่ที่วัดแค ส่วนไตร จีวร สังฆาฏิ ฯลฯ หมดสภาพไป ขรัวตากันกับลูกศิษย์สองคนภูมิใจยิ่งนัก โยงเรือลำที่พระราชทานมากับเรือแจว ค่ำที่ไหนขรัวตากันก็เข้าพักวัดนั้น ขรัวตากันคุยฟุ้งว่า พระพุทธเจ้าหลวงโปรดให้เข้าไปฉันภัตตาหารในพระบรมมหาราชวัง แล้วพระราชทานสิ่งของต่าง ๆ มาหลายอย่าง ชวนเจ้าอาวาสวัดนั้น ๆ ที่ขรัวตากันพักแรมไปดูของในเรือ  เป็นการคุยโอ่อย่างไม่หยุดปาก เมื่อกลับมาถึงวัดแค ขรัวตากันคุยฟุ้งยิ่งขึ้น กว่าจะหยุดคุยก็อีกหลายวันทีเดียว จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ วันแรงงาน 10:57:49 ]

ความคิดเห็นที่ 82 ต่อมาในราว ๔ ปี  พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  เสด็จประพาสไปทางแม่น้ำมะขามเฒ่า (ต้นแม่น้ำท่าจีน) เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๔๕๑  ผ่านอำเภอเดิมบางนางบวชเรื่อยมาจนถึงวัดแค "วันที่ ๒๐ ตุลาคม (พ.ศ.๒๔๕๑) วันนี้จะลองไปต้นน้ำ ได้จัดการให้แตรเป่านำกระบวน แล้วตัวเองก็ลงมาในเรือพระที่นั่งหน่อยหนึ่ง จึงลงเรือศรีเทพ แวะ ๆ เวียน ๆ  ให้ล้าลงไปหมายจะมาท้ายกระบวน แต่ไม่สำเร็จอย่างเพราะพวกนแม่น้ำไม่รู้จักแตร รู้แต่ว่าเสด็จมาเรือเล็กข้างหลัง หรือจะจำเรือศรีเทพได้ แตรเป่าก็เฉย ตาพวกผู้ใหญ่บ้านก็ไม่คำนับ นักเรียนก็ไม่ร้องเพลง เรือที่ผ่านลงมาเท่าไร ๆ ก็เฉย เฉพาะเรือศรีเทพไปที่ไหนได้คำนับและร้องเพลงกันที่นั่น พวกคอยรับเสมาก็คอยตามเรือศรีเทพและเวียนอยู่จนปล่อยเรือแจวลงไปหมดแล้ว คราวนี้ถึงเรือไฟยิ่งร้ายหนักขึ้น ในการที่จะห้ามกะลาสียืนคำนับนั้นพ้นวิสัย ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งประกาศให้คนรู้ เลยไม่มีผลสำเร็จอะไรได้เลย  จนต้องหยุดทำกับข้าวกันใต้ต้นไม่ดื้อ ๆ   ที่ทำนั้นเยื้องจากวัด สักครู่หนึ่งพวกนักเรียนแลพบ อุตส่าห์เดินเลียบตลิ่งลงมาจากพ้นเขตวัด พอตรงเรือก็ร้องสรรเสริญบารมี  ทำจำจะต้องผิด ให้เป็นพระเกียรติยศ เลยต้องทนตื้อเอาเฉย ๆ  เมื่อเรือผ่านวัดแคที่เคยไปทำกับข้าวครั้งก่อน เป็นที่เรียบร้อยดีมาก คงจะนึกได้นั้น เดี๋ยวนี้ศาลาที่หัวโดนนั้นได้รื้อเสียแล้ว  รูปร่างหน้าตาเปลี่ยนแปลกไป  ถ้าไม่ถามทีจะจำไม่ใคร่ได้ ........" ทั้งนี้เป็นการแสดงว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  ทรงมีพระราชหฤทัยผูกพันอยู่ไม่น้อยทีเดียว จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ วันแรงงาน 11:06:44 ]

ความคิดเห็นที่ 83 หลวงตากัน กับ นายช้าง นี่ราคาคุยเหมือนกันเลย จากคุณ : CVTบ้านโป่ง - [ วันแรงงาน 20:22:17 ]

ความคิดเห็นที่ 84 ตามขบวนเสด็จมาต่อที่กระทู้นี้นะครับ จากคุณ : secret letter - [ 4 พ.ค. 52 17:43:38 ]