ความคิดเห็นที่ 1 คิดเหมือนกันครับ ไทยเราน่าจะรองจากฟิลิปปินส์นี่แหละ จากคุณ : ชาเขียว - [ วันแรงงาน 13:21:17 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ซีเมโจไต๊ ซีเมโจไต๊ ซีเมโจไต๊ ... คงอันดับกลางๆแหละดูจากสภาพแล้ว ปล.อยากกินชาเขียว ...ขอตัวออกไปซื้อก่อน จากคุณ : เลอนัก - [ วันแรงงาน 13:45:53 ]

ความคิดเห็นที่ 3 น่าจะน้อย ศิลปะวัฒนะธรรมของไทย รวมถึงศาสนา ถูกมองด้วยกรอบของบุรุษทั้งหมด  เรื่องเล่าอย่างขุนช้างขุนแผน  พระอภัยมณี และอื่นๆ ตัวละครที่เป็นผู้หญิงถูกลดค่าทางสังคมทั้งหมด นางยักษ์ผีเสื้อสมุทรที่เป็นเมียหลวงถูกมองว่าเป็นมารร้าย ขณะที่พระอภัยมีเมียหลายคนกลายเป็นสิ่งที่ดี     ในสังคมชนบทเองผู้หญิงก็ยังเป็นเพศที่มีบทบาทรองจากผู้ชาย เป็นผู้หญิงประเภท ต้วมเตี้ยม อยู่แต่ในบ้าน แต่ในสังคมเมือง มีผู้หญิงเก่งๆเยอะ มีบทบาทมากขึ้นและยืนในสังคมได้ แก้ไขเมื่อ 01 พ.ค. 52 14:10:06 จากคุณ : the author - [ วันแรงงาน 14:07:03 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ก็ไม่แย่จนเกินไปครับ ซึ่งปัจจุบันสามารถก้าวขึ้นมามีบทบาทในสังคมได้ เช่นตำแหน่งต่างๆในสังคม โดยไม่กีดกันทางเพศมาเป็นองค์ประกอบ จากคุณ : หนุ่มรัตนะ - [ วันแรงงาน 14:18:21 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ขออนุญาตคิดต่างแล้วผมจะโดนรุมสับไหมครับ .. ++ผมว่าสังคมไทยผู้หญิงเป็นใหญ่นะครับ ถ้าชนบทบางภูมิภาค ผู้ชายต้องแต่งงานเข้าบ้านผู้หญิงและต้องช่วยฝ่ายหญิงทำงานนะครับ แถมจะไปอยู่บ้านเขายังต้องหาสินสอดให้เขาอีก และโดยมากสมบัติคนเฒ่าคนแก่มักยกให้ลูกสาวคนเล็กเพื่อเลี้ยงดูพ่อแม่นะครับ  สิ่งสำคัญหลายๆอย่าง ก็มักจะมีคำว่าแม่ แสดงถึงความสำคัญของเพศแม่นะครับ เช่นแม่บท แม่น้ำ แม่กุญแจ เป็นต้น ++แล้วจากการสังเกตุนะครับ การเรียกร้องสิทธิสตรี ต่อ บุรุษ ผมยังไม่เคยเห็นการออกมาประท้วง หรือ ต่อต้านเลย เอาง่ายๆเสื้อแดงกับเสื้อเหลือง ผ่านไปไม่กี่ปีเราเห็นคนถูกฆ่าเพราะเห็นแตกต่างนับสิบคน ยังไม่รวมพวกเถียงกันเพราะอุดมการณ์แตกต่าง  แต่เท่าที่สังเกตุมายังไม่พบการฆ่าฟันผู้หญิงที่เรียกร้องความเสมอภาคทางเพศเลยนี่ครับ ทั้งๆที่คนเสียผลประโยชน์คือผู้ชาย ++ จากการสังเกตุลักษณะนิสัย ส่วนตัวของผู้หญิง หลายต่อหลายคนในสังคม ผมสังเกตุว่า อุดมการณ์เปลี่ยนไปตามอารมณ์ เช่นคุณระเบียบรัตน์ เมื่อสัก10กว่าปีก่อน ป้ายังใช้คำว่า "xน้า-ตัว-เมีย" ด่าทอผู้ชายเลยครับแล้วเหตุใดวันเวลาผันผ่าน กลายเป็นว่าคำนี้ คือคำดูถูกผู้หญิง??? แล้วที่เร็วๆนี้ที่คุณระเบียบรัตน์สอนผู้หญิงว่า " ภรรยาที่ดีต้องเป็นกะหรี่ของผัว " เชื่อไหมครับว่าไม่เกิน10ปีต้องมีผู้หญิงออกมาพูดทำนองว่า " เป็นการลดคุณค่าของผู้หญิง เป็นค่าตีกรอบผู้หญิงให้ดูด้อยค่า " อะไรทำนองนี้ เชื่อม่ะล่ะ สังเกตุมาหลายสิบปีแระ ผู้ชายถูกว่าเอาเปรียบหมดนั่นแหละ ปัญหาคือเรื่องความรู้สึกมากกว่า ถ้าคุณมั่นใจก็ไม่มีใครเอาเปรียบคุณหรอกครับ คือถ้าจะถามผมนะ ผู้หญิงไทยน่าจะอยู่อันดับ1ของเอเชียครับ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า ประเทศโลกมุสลิม อย่างปากีสถาน หรือ อินโดนีเซีย ประเทศเขากดขี่ผู้หญิงเหตุใดยังสามารถมีผู้นำประเทศเป็นผู้หญิงได้ ยังไม่รวมอินเดียที่ว่ากดขี่นัก กดขี่หนา ผมว่าทุกอย่างมันมีช่องทางไปได้เสมอๆแหละ คงไม่ได้แย่เหมือนถ้อยคำที่ถูกขุดขึ้นมาใช้หรอกมั้งครับ อีกอย่างผมเองก็มีญาติผู้ใหญ่หญิงที่เป็นนักการเมืองระดับชาติ และ ระดับท้องถิ่นหลายคน ก็ไม่เห็นว่ามันยากลำบากสักเท่าใด เพศไม่เกี่ยวหรอกครับ ขึ้นอยู่กับความสามารถมากกว่า ต้องมองด้วยว่า ผู้ชายก็ไม่ได้นั่งมือหงิก เฉยๆ เขาก็ดิ้นรนไม่แพ้กับคุณ ขออภัยที่ต้องออกมาค้านเพศแม่นะครับ เข้าใจว่าเราถูกปลูกฝังมาว่า ผู้ชายเป็นฝ่ายกดขี่ และใครก็ตามที่ไม่ให้เกียรติ์เพศแม่ถือว่าเป็นคนไม่ดี ยังไงมันเป็นแค่ความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ อย่าด่าผมเลย จากคุณ : ด้านมืดในใจคุณ - [ วันแรงงาน 16:42:21 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ผมว่าประเทศไทยปัจจุบันนี้ผู้หญิงมีสิทธิเสมอภาคผู้ชายมากๆเลยนะครับ ตัวผมเองแทบไม่เคยได้ยินคำดูถูกดูแคลนผู้หญิงในเชิงแบ่งแยกทางเพศเลย นิยายละครเก่าๆก็จริงครับที่มีความไม่เท่าเทียมกัน (ขุนแผนมีเมียเยอะคือดี นางวันทองลังเลจะว่าจะเลือกใครดีคือสมควรตาย) แต่ผมว่าต้องดูนิยายสมัยนี้ซิครับถึงจะเป็นปัจจุบัน เรื่องหน้าที่การงานก็ดูไม่มีการกีดขวางเพราะเรื่องเพศ ผู้หญิงทำงานเป็นใหญ่เป็นโตตั้งเยอะ แต่ยังไม่มีเป็นนายกเท่านั้นเอง ซึ่งผมคิดว่าเป็นเพราะผู้หญิงเล่นการเมืองน้อยเองอยู่แล้วด้วย แต่ว่า...ฟิลลิปปินส์ทำไมถึงเป็นที่หนึ่งหรือครับ จากคุณ : HotChoc - [ วันแรงงาน 17:43:17 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ผมนึกอะไรไม่เหมือนชาวบ้านอย่างนึงจะโดนด่าไหมนี่ ผู้หญิงเรียกร้องสิทธิสตรี เพื่อต้องการความเท่าเทียมกันในเรื่องต่างๆของสังคม แต่ทำไมบนรถเมล์ ถึงมีป้ายบอกว่าโปรดเอื้อเฟื้อที่นั่งแก่เด็ก สตรี และคนชรา จะบอกว่าเป็นความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ที่บุรุษเพษพึงกระทำก็คงพูดได้ไม่เต็มปากนัก เพราะผู้หญิงบอกว่า สิทธิต้องเท่าเทียมกัน หรือว่าจะเอาเรื่องทางกายภาพมาบอกว่า เพศหญิงเป็นเพศที่อ่อนแอ ก็คงบอกได้ไม่เต็มปากนักกับเงื่อนไขเรื่องความเท่าเทียม หรือเป็นเพราะวัฒนธรรมของสัตว์โลก ที่เพศผู้คือเพศที่ต้องเสียสละ(ในการดำรงชีวิตของสัตว์โลกส่วนใหญ่) ปล.ผมจะโดนรุนยำไหมนี่ แก้ไขเมื่อ 01 พ.ค. 52 19:33:36 จากคุณ : อัครวรมัน - [ วันแรงงาน 19:28:14 ]

ความคิดเห็นที่ 8 สิทธิตามกฎหมายน่ะเท่าเทียมกันแล้วครับ ทั้งสิทธิการได้รับมรดกเท่ากัน การเลือกตั้ง การจัดการทรัพย์สินภายในบ้าน การแบ่งสมบัติกันหลังจากหย่าขาด ฯลฯ ซึ่งเมื่อก่อนผู้หญิงเกือบทุกท้องถิ่น ในโลกจะเสียเปรียบในเรื่องนี้มาก ที่ยังหลงเหลือเป็นปัญหาไม่ใช่เรื่องสิทธิ แต่เป็นวัฒนธรรมประเพณีบางอย่างที่ยังทำให้ฝ่ายหญิงเสียเปรียบอยู่ จริงๆแล้ววัฒนธรรมที่ทำให้ฝ่ายชายเสียเปรียบก็มีแต่ไม่รู้ทำไมถึง ไม่ค่อยพูดถึงกัน (จำพวกหน้าที่สุภาพบุรุษค่า สินสอด ฯลฯ) จากคุณ : Lowfailer - [ วันแรงงาน 20:00:28 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ในหลายๆแง่ผมว่าไทยมีระดับการสิทธิสตรีสูงมากกจนน่าประหลาดใจ ผมไม่ได้หมายถึงหน้าที่การงานหรือสถานะทางสังคม แต่เป็นทางารกระทำและทางใจของคนทั่วไปมากกว่า ในหลายๆประเทศที่พัฒนาแล้วก็ยังมีการกดขี่ข่มเหงผู้หญิงเป็นเรื่องปรกติ เช่นทางแสกนดิเนเวียที่มีการFamily Abuseค่อนข้างสูง(โดยเฉพาะเวลาเมา) แต่ของไทย"ถ้า"อยู่ในตัวเมืองหรือ"ชนบท"(จริงๆ)จะมีการข่ใหงผู้หญิงน้อยมากจนเกือบไห้ความเคารพเลยทีเดียว ซึ่งถ้าไปดูตามบันถึกเกี่ยวกับคนไทยสมัยอยุธยาแล้วจะพบว่า"ผู้หญิงเป็นใหญ่ในบ้านในเรือนไม่ไช่บุรุษ" นั่นเป็นเพราะสมัยก่อนชายไทยต้องเกณฑ์ปีละ6เดือน ทำไห้ผู้หญิงต้องทำทุกอย่างในบ้านและได้รับอภิสิททางสังคมสูงขึ้นไปอีกตามการงานของสามี ทำไห้บันทึกของชาวยุโรปนั้นถึงกับประหลาดใจและทึ่งกับสะถานะทางสังคมของผู้หญิงไทยสมัยก่อน แต่ก็ปฏิเศษไม่ได้ว่าความเป็นใหญ่ของบุรุษนั้นเป็นเรื่องจริง เพราะสามีสามารถขายภรรยาหรือบุตรได้ตามต้องการ แต่ผมอยากแย้งว่านั่นเป็นแค่ในระดับไพร่ชั้นต่ำที่ไม่สามารถหาเลี้ยงตัวเองได้มากกว่า ไม่ไช่ทุกๆคนจะเป็นแบบนั้น และหากมองในแง่ของประวัติศาสตร์แล้ว....มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ทั่วโลกเขาทำกัน แต่เราแค่เลิกช้ากว่ายุโรป ถ้าเราเลิกก่อนยุโรปเราก็คงไปข่มเขาแบบเดียวกันนั่นละ ปล.สถานะของหญิงไทยสูงกว่าชาติเอเชียโดยรวม แต่ด้อยกว่ายุ่โรปตะวันตกและบางรัฐของอเมริกาเท่านั้น ปล2.ความก้าวร้าวของสามีถือเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมใหนๆ สำคัญที่ว่าผู้ชายจะมีสำนึกพอที่จะคุมตัวเองและสำนึกผิดได้หรือปล่าว ปล3.ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ไม่รวมพวกSMกับผู้หญิงบางประเภทที่ชอบไช้ความรุณแรงกับผู้ชาย จากคุณ : Gray Fish - [ วันแรงงาน 20:02:11 ]

ความคิดเห็นที่ 10 คือถ้าทุกวันนี้ เราไม่มีระบบนามสกุลที่ลูกต้องถือตามพ่อ ที่เอาอย่างยุโรป หรือวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่จากจีนและอินเดีย ผู้หญิงเป็นใหญ่ในภูมิภาคนี้ นี่เป็นลักษณะเด่นของชนเผ่าในภูมิภาคแม่น้ำโขง ซึ่งเคยมีคนทำวิจัยเกี่ยวกับสิทธิสตรีแบบนี้หล่ะ   ถ้าตัดเรื่องนามสกุลและธรรมเนียมจากอินเดียที่ชายเป็นใหญ่ เราจะเห็นว่า นับตั้งแต่ลูกเกิดออกมา เขานับสายเลือดกันทางแม่ แม้ไม่มีระบบนามสกุลก็ตาม เพราะเมื่อแต่งงาน ชายจะต้องแต่งเข้าบ้านหญิง หาสินสอดให้หญิง แต่ฝ่ายหญิงเป็นคนเลือกเองว่าจะรับหรือไม่รับทำผัวหรือไม่ ก็คือหญิงมีอิสระในการเลือกคู่ครอง มากกว่าการคลุมถุงชน อย่างแบบจีนหรืออินเดีย แม้แต่ในเกาหลีเรายังเห็นตามละครพวกแม่สื่อแม่ชัก เมื่อแต่งแล้วก็ ไปเป็นครอบครัวกับญาติฝ่ายหญิง ไปเป็นลูกของพ่อตาแม่ยาย แล้วก็ต้องอยู่บ้านพ่อตาแม่ยาย จนกว่าจะได้ลูกคนแรกถึงจะย้ายออกได้หรือไม่ย้ายก็แล้วแต่ ถ้าเห็นจีน อินเดีย เกาหลี แน่นอนหญิงต้องไปอยู่กับชาย ไปรับใช้พ่อแม่และครอบครัวฝ่ายชาย ไม่มีปากมีเสียง อยู่แบบเจียมตัวมากๆ ถ้าถามว่าอยู่ลำดับที่เท่าใด คงบอกเป้นตัวเลขไม่ได้ แต่น่าจะอยู่ระดับต้นๆ เพียงแต่ว่าพวกตำแหน่งข้าราชการหรือนายพลนายพันที่เป็นหญิงใหญ่โต เรายังไม่ค่อยเห็นกันเท่าไหร่ อาจจะเพราะค่านิยมที่เดิม งานพวกนี้เป็นเรื่องของฝ่ายชาย ฝ่ายหญิงเป็นผู้หนุนหลัง  แต่อีกไม่นานก้คงจะมี จากคุณ : Viengวิไล - [ วันแรงงาน 21:39:34 ]

ความคิดเห็นที่ 11 เอ้า มาลงเรือด้วยคน เห็นด้วยกับตั้งแต่ #1 ยัน #10 แบบว่าขี้เกียจเขียนซ้ำ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ วันแรงงาน 22:01:18 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ในแง่กลับกัน ผู้ชายเป็นฝ่ายถูกกดขี่หรือเปล่า? พอดีเพิ่งสังเกตการณ์มาหยกๆ ลูกสาวผมมันมีรุ่นพี่เทียวไล้เทียวขื่อกันอยู่ โทรศัพท์คุยกันทีละชั่วโมงเพราะมันใช้โปรโมชั่นโทรฯฟรีอะไรก็ไม่รู้ ไอ้เราก็เหล่ๆอยู่แต่ไม่ได้ว่าอะไร เมื่อวานนี้ไปรับกลับจากเรียนพิเศษ นั่งหน้าหงิก นึกเดาว่าคงมีเรื่องทะเลาะกันแหงๆ จริงด้วย สักพักก็มีโทรฯเข้ามา ลูกสาวผมมันรับสายแล้วก็กระชากเสียง "ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ไม่มีอะไรจะคุย ไม่ต้องโทรฯมาอีกนะ แล้วก็ไม่ตัองโทรฯเข้าบ้าน" ว่าแล้วก็ปิดเครื่องฉับ ผมทนสงสัยไม่ไหวก็เลยถามว่ามันเรื่องอะไร ทำไมไม่พูดกันดีๆ ลูกสาวผมมันบอกว่า ไม่ได้ อยากวางหูใส่มันก่อน ถือว่าเสียมารยาทมาก ต้องดัดสันดาน ตอนเช้า ผมต้องขับรถไปส่งลูกสาวไปเรียนพิเศษ เห็นยกหูโทรศัพท์คุยกันระริกระร่วน พี่อย่างนั้น พี่อย่างนี้ ก็เลยถามว่า ดีกันแล้วเหรอ ลูกสาวพยักหน้าบอกว่า ใช่ เมื่อคืนส่ง SMS มาง้อหลายสิบครั้ง เห็นว่าเข็ดแล้วก็เลยดีด้วย เวรกรรมของเอ็งจริงๆ ไอ้หนุ่มเอ๋ย นี่แค่มันอายุสิบหกเองนะ ลายออกแล้ว จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ วันแรงงาน 22:20:17 ]

ความคิดเห็นที่ 13 จำได้ว่าเมื่อตอนวันสตรีสากลปีที่แล้วมีจัดอันดับด้วยค่ะ แต่จำไม่ได้แฮะ-*- แต่จำได้ว่าของไทยเป็นเลขหลักเดียว จากคุณ : BoOKend - [ วันแรงงาน 23:04:15 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เมื่อพูดเรื่องสิทธิสตรีผมก็ขอยกมาสักเรื่องก็แล้วกัน "เรื่องสินสอด" เอาล่ะเข้าเรื่องเลย ผมว่าฝ่ายชายหลายๆคนน่าจะเคยรู้สึกคราบแครงใจมาบ้างว่าทำไมฝ่ายชายถึงได้ต้องเป็นฝ่ายเอาสินสอดไปให้ฝ่ายหญิงทั้งๆที่รายได้เราก็พอๆกัน ปัญหาจริงๆมันอยู่ที่ประเพณีบางอย่างของเรามันล้าหลังไม่ยอมก้าวตามโลกให้ทัน ในอดีตฝ่ายชายส่วนใหญ่เป็นฝ่ายหารายได้มาจุนเจือครอบครัว ส่วนฝ่ายหญิงก็เป็นแม่บ้านแม่เรือนหรืออาจมีรายจากการขายผัก ขายปลา ขายขนมแต่ก็ไม่มาก แล้วยิ่งฝ่ายชายรับราชการกินเงินหลวงก็ย่อมต้องมีเงินไปสู่ขอฝ่ายหญิงซึ่งหารายได้ไม่ได้ผมว่ามันเป็นเรื่องสมควรแล้วที่ฝ่ายชายจะมีหน้าที่นำสินสอดไปสู่ขอฝ่ายหญิง ต่อมายุคปัจจุบันฝ่ายชายฝ่ายหญิงเราหารายได้ๆมากพอๆกัน แล้วบ้านเราก็ไม่ได้มีการกีดกันผู้หญิงในด้านการทำงานเลย แต่แล้วทำไมฝ่ายชายยังต้องเป็นฝ่ายนำสินสอดไปให้ฝ่ายหญิงอีกทั้งๆที่มีรายได้ๆเหมือนกัน ซึ่งผมคิดว่าประเพณีนี้มันไม่เหมาะกับยุคสิทธิสตรีก้าวหน้าเลย แล้วองค์กรสิทธิก็ไม่เคยเอยถึงเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ เห็นมีแต่เรียกร้องเรื่องหน้าที่การงาน เรื่องเมียหลวงเมียน้อย แล้วก็เรื่องการใช้ความรุนแรง และหลังๆก็เริ่มมีการเรียกร้องเรื่องยืนบนรถเมล์ที่สุดแสนจะไร้สาระเพิ่มขึ้นอีก แต่เรื่องสินสอดกลับไม่มีการพูดถึงเลย ซึ่งก็ทำให้ผมสังเกตได้ว่าถ้าเรื่องไหนที่ฝ่ายหญิงเสียเปรียบก็จะมีการอ้างวัฒนธรรมประเพณีมาแก้เกี้ยวเสมอ ผมจะบอกฝ่ายหญิงที่เป็นเฟมินิสทั้งหลายให้นะคับ ที่เมืองนอกเวลาคุณขึ้นรถโดยสารเค้าไม่มีการสละที่นั่งให้คุณหรอกคับ เค้าใช้กฎใครมาก่อนได้ก่อนคับ แล้วสมมุติคุณมีเรื่องกับผู้ชายคุณไปด่าเค้าเสียๆหายๆเค้าจะฟ้องคุณข้อหาหมิ่นประมาท คุณจะไปอ้างไปด่าว่าเค้าหน้าตัวMaerมีเรื่องกับผู้หญิง เพื่อที่จำให้เค้าอายไม่กล้ามีเรื่องกับคุณ แต่ขอโทษคับเค้าไม่รู้เรื่องเผลอๆเค้าจะเอาเรื่องคุณมากกว่าเดิมอีก อย่างที่บอกแหละคับบ้านเค้าเท่าเทียมกันจริงๆ แต่องค์กรสิทธิสตรีบ้านเรามันก็แค่องค์กรแสวงประโยชน์องค์กรนึงไม่ได้ศักดิ์สิทธิอะไรเลยในสายตาผม แก้ไขเมื่อ 01 พ.ค. 52 23:43:06 แก้ไขเมื่อ 01 พ.ค. 52 23:42:33 จากคุณ : tabuya - [ วันแรงงาน 23:39:36 ]

ความคิดเห็นที่ 15 โหะๆๆ ... เห็นด้วยทุกกระบวน โดยเฉพาะของคุณ(ตา)แอ๊ด ณ ปากเกร็ด ชายไทย กำลังถูกริดรอน และกดขี่เสรีภาพ ... ภายใต้อิทธิพลของสตรีเพศ จากคุณ : jassb1 - [ 2 พ.ค. 52 01:49:28 ]

ความคิดเห็นที่ 16 มาเปรียบเทียบข้อได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างหญิงชายในประเทศไทยกันจะดีกว่า ก่อนอื่นมาดูข้อเสีัยเปรียบของผู้หญิงที่เห็นได้ชัดๆ (ladies first) 1. เรื่องประเพณีที่เกี่ยวกับศาสนาบางอย่างเช่น ผู้หญิงบวชพระไม่ได้ หรือบางทีโดนแบบเจ๊ระเบียบรัตน์นั่นแหละ ที่เธอโวยวายเรื่องเข้าวัดพระธาตุดอยสุเทพไม่ได้ หรือถ้าเป็นมุสลิมผู้หญิงจะมีผัว 4 คนเหมือนผู้ชายมีเมีย 4 คนบ้าง ก็ไม่ได้ ^ ^ อันนี้แก้ลำบาก เว้นเสียแต่จะเปลี่ยนศาสนาไปเลย 2. ยังมีผู้ชายไทยอีกเป็นจำนวนมากที่หัวโบราณมากๆ คืออยากได้ผู้หญิงบริสุทธิ์ แต่ตัวผู้ชายเองต้องผ่านผู้หญิงมาเยอะๆก่อนแต่งงาน ^ ^ อันนี้แก้ข้อเสียเปรียบได้โดยการสวมหน้ากากเข้าหากัน  ทำงี้นะ ผู้หญิงก่อนแต่งงานก็หาประสบการณ์ทางเพศให้เพียบเลย ให้สนุกมากๆ แล้วพอแต่งงาน คืนแรกก็แกล้งทำเป็น ไร้เดียงสา พอผู้ชายถูกเนื้อต้องตัวหน่อย ก็หนีบขาไว้แน่นๆ แล้วเอามือปิดหน้าทำเป็นขวยเขิน ผู้ชายที่่มันหัวโบราณแบบเนี้ย มันก็ย่อมต้องโง่พอที่จะเชื่อได้ว่าเธอเป็น virgin จริง ...หละน่ะ ก๊ากๆๆๆๆๆๆๆ.... หมายเหตุ อันนี้ผู้หญิงฝรั่งเป็นตรงกันข้ามกัน นั่นก็คือผู้หญิงที่เป็น virgin จริงๆจะ"แกล้งทำเป็นช่ำชองเพราะกลัวผู้ชายจะไม่ชอบที่เธอนอนนิ่งๆ ไม่ทำอะไร" 3. แต่งงานแล้วผู้ชายมีบ้านเล็กบ้านน้อย กลายเป็นเท่ห์ แต่ผู้หญิงมีชายอื่นกลายเป็นโดนประนามเหมือนในวรรณคดีไทย ผู้ชายหลายใจกลายเป็นพระเอกไป ^ ^ ข้อเสียเปรียบอันนี้พอแก้ไขได้ นั่นก็คือว่า ให้ผู้หญิงแกล้งทำซื่อสัตย์ต่อสามี พอสามีเผลอ ก็มีชู้มันเสียเลย แต่ก็ต้องแอบๆทำ แล้วก็ถือว่า "เจ้ากันไป" 4. ผู้หญิงมักจะเป็นฝ่ายโดนทารุณกรรม   ^ ^ ยังพอมีวิธีแก้ ดังต่อไปนี้ ก. ต่อสู้ด้วยด้วยร่างกาย  กรณีนี้ ผู้หญิงก็แค่ไปฝึกวรยุทธ์ให้เก่งๆ ถ้ามีวิชาดีๆ ก็สามารถเอาชนะคนตัวใหญ่กว่าได้สบายๆ ในนิยายกำลังภายใน ผู้หญิงเป็นจอมยุทธ์เหนือชั้นกว่าผู้ชาย มีเยอะแยะไป ข. ต่อสู้ด้วยสมอง ตามวิชา Macrobiotics เขาถือว่า ใครก็ตามที่เป็นใหญ่ในครัวก็เป็นใหญ่ในบ้าน นั่นก็คือ ผู้หญิงที่รู้ ทฤษฎี Macrobiotics ลึกๆ จะรู้ว่า อาหารชนิดไหนผู้ชายกินแล้วก้าวร้าว และจะทำร้ายเธอมากยิ่งๆขึ้น ดังนั้นเธอจึงทำอาหารประเภทที่ทำให้ผู้ชายกินแล้วกลายเป็นจิตใจอ่อนโยน เืชื่องเหมือนลูกแมว ก็ย่อมทำได้ แก้ไขเมื่อ 02 พ.ค. 52 07:33:28 แก้ไขเมื่อ 02 พ.ค. 52 06:00:24 จากคุณ : fortuneteller - [ 2 พ.ค. 52 05:01:00 ]

ความคิดเห็นที่ 17 คราวนี้มาถึงข้อเสียเปรียบของผู้ชาย 1. หญิงชายอยู่กันตามลำพัง 2 ต่อสอง เกิดผู้ชายแหกปากว่า "โดนข่มขืน" ก็ไม่มีใครเชื่อ แต่ในทางกลับกัน ถ้าผู้หญิงกรี๊ดขึ้นมาว่า "โดนข่มขืน" กว่าผู้ชายจะแก้ตัวได้ว่าจริงๆหรือไม่จริง ก็โดนเสียเละแล้ว เช่น โดนตำรวจซ้อม โดนตำรวจไถเงิน ผู้ชายติดคุกนานกว่าคดีจะเสร็จสิ้น หมายเหตุ กฎหมายประเทศที่ฟรีเซ็กส์ กลายเป็นผู้หญิงเสียเปรียบมากๆ เพราะกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าผู้ชายผิด ผู้หญิงจะต้องไปให้การ อธิบายโดยละเอียดว่า โดนข่มขืนด้วยวิธีการแบบไหน ซึ่งผู้หญิงบางคนทนไม่ไหว กลายเป็นเสียสติไปเลย ู^ ^ ในเมืองไทยเรื่องนี้ผู้หญิงชนะผู้ชายลอยลำเลย ผู้ชายที่โดนกล่าวหา ถึงจะพิสูจน์ได้ว่าไม่ผิดจริง แต่ก็บอบช้ำมากมาย  บางทีตอนโดนตำรวจซ้อมนะ โดนกระบองไฟฟ้าจี้ไข่ จน "ศูนย์พันธฺ์" ไปเลยก็มี วิธีที่ผู้่ชายจะแก้ไขข้อเสียเปรียบอันนี้นะ ทำได้ยากมากๆเลย...เรานั่ืงคิดอยู่หลายปี แล้วสรุปได้ว่า ทำแบบ David Bowie นักร้องอังกฤษน่ะ ดีที่สุด คือชอบแต่้งตัวเป็นผู้หญิงสวยๆ ให้ทุึกคนตายใจว่า เขาไม่มีทางที่จะไปข่มขืนผู้หญิงที่ไหนได้ จนทำให้สาวๆตั้งหลายคนอยากรู้ว่า "เขาเป็นกะเทยจริงหรือกะเทยปลอม ก็เลยลงทุนมานอนด้วยเพื่อพิสูจน์ความจริง ผู้หญิงพวกนั้นเลยโดน David ฟันไปเรียบหมดเลยอ้ะ" 2. ถ้าผู้ชายโดนผู้หญิงขู่ จะใช้กำลัง พอผู้ชายจะใช้กำลังตอบ ผู้ชายก็ตกที่นั่งลำบาก ยกตัวอย่างเช่นเรานอนๆอยู่ในบ้าน โดนผู้หญิงมาท้าชกเหยงๆอยู่ข้างล่าง (ตอนนั้นเช่า apartment อยู่แถวๆกิ่งเพชร)  เจอแบบนี้เข้า ยอมรับเหมือนกันว่า "งง ไม่รู้จะทำไงดี...?????!!!!!"  เราเลยไม่กล้าออกมา ได้แต่โทรเรียกตำรวจ บอกว่า มันส่งเสียงหนวกหูรบกวนชาวบ้าน เพราะถ้าเราออกไปเผชิญหน้านะ เกิดชกแพ้ เราก็เจ็บตัวฟรี ถ้าชกชนะ พอขึ้นโรงพัก ก็เหมือนคดีข่มขืน นั่นก็คือว่า "ผู้ชายต้องเป็นฝ่ายผิดแบเบอร์แหงๆเลย" ^ ^ วิธีแก้ ยอมรับว่า ยังหาวิธีดีๆไม่ได้เลยอ้ะ ถ้าใครรู้ช่วยตอบด้วย 3. ผู้ชายที่หล่อเหลามากๆ เกิดอยู่ดีๆมีความต้องการทางเพศมากๆ แล้วเขาเดินไปอ่อยเหยื่อหวังจะได้สาวๆสวยๆมานอนด้วยนะ ถ้าไม่มีเงินหละ คงประสบความสำเร็จได้ยากมากๆ แต่ในทางกลับกัน ผู้หญิงที่สวยมากๆ ไม่มีเงินเลยสักเก๊เดียว อยากได้ผู้ชายมานอนด้วย ไม่ต้องออกแรงหาหรอก อยู่ดีๆ หนุ่มๆมาเสนอหน้ากันเองจนยั๊วเยี้ย ให้ทั้งเงิน ให้ทั้งความสุขทางเพศ ^ ^ วิธีแก้ข้อเสียเปรียบอันนี้ ยากสสสสส... มีอยู่วิธีเดียวน่ะ ให้ผู้ชายไปตอนซะ  หรือไม่ก็กินหรือฉีดฮอร์โมนเพศหญิงไปเลย ผู้ชายจะได้หมดอารมณ์ทางเพศ นกเขาไม่ขันเสียอย่าง ขีวิตก็ไม่วุ่นวาย ไม่ต้องเสียเงินซื้อบริการทางเพศ 4. ผู้ชายต้องเสียค่าสินสอดให้ผู้หญิง ^ ^ วิธีแก้ ต้องหาเมียเป็นแขกอินเดียซะ ตอนนี้เราก้อกำลังประกาศหาคู่เป็นสาวอินตระเดีย อยู่อ้ะ...อยากได้หุ่นดีๆ ผิวคล้ำๆ ผมยาวๆหยิกๆ หน้าคมๆ ตาสวยๆ รวยๆ ไม่หึงไม่หึง...สาวๆคนไหนมีคุณสมบัติเพียบพร้อม ตามนี้นะ รีบติดต่อมาไวๆเหมือนชื่อบะหมี่ได้เลยอ้ะ...555+++... แก้ไขเมื่อ 02 พ.ค. 52 07:30:12 แก้ไขเมื่อ 02 พ.ค. 52 05:55:56 จากคุณ : fortuneteller - [ 2 พ.ค. 52 05:47:30 ]

ความคิดเห็นที่ 18 น่ากลัวว่าอีกหน่อย   อาจจะมีคนมาเรียกร้องให้ผู้หญิงทุกคนต้องเข้ารับการเกณฑ์ทหารเหมือนผู้ชาย     เพราะสิทธิเท่าเทียมกันแล้วหน้าที่ก็ต้องเท่าเทียมกันด้วย    เมื่อผู้ชายมีหน้าที่ต้องเกณฑ์ทหาร   ผู้หญิงก็ต้องมีหน้าที่ต้องเกณฑ์ทหารด้วย    ไม่รู้ว่าองค์กรสิทธิสตรีจะว่ายังไง จากคุณ : zodiac28 - [ 2 พ.ค. 52 22:02:06 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ในประเทศอินโดนีเซียปัจจุบัน ก็มีอยู่เมืองหนึ่งที่ผู้หญิงเป็นใหญ่นะ ผู้ชายในหมู่บ้านไม่ต้องทำงาน มีบ้านแยกกันอยู่คนละหลัง โดยผู้ชายในหมู่บ้านจะทำหน้าที่เป็นผู้สืบพันธุ์อย่างเดียวเลย อันนี้เพื่อนอินโดฯ บอกมานะครับ เห็นว่าคุยเรื่องนี้อยู่เลยยกมาไว้ด้วย :o) จากคุณ : พลายแป้ง - [ 2 พ.ค. 52 23:06:13 A:128.178.253.29 X: TicketID:120371 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ^ ู^ อันนั้นเรียกผู้หญิงเป็นใหญ่เหรอคะ ได้ทำงานหาเลี้ยงครอบครัวเนี่ยนะ... จากคุณ : superkoy - [ 3 พ.ค. 52 00:02:40 ]

ความคิดเห็นที่ 21 คห18. คงไม่ถึงให้เกณฑ์ทหาร หรือ ต้องหาสินสอดมาขอผู้ชายแต่งงาน หรอกครับ ส่วนตรงนี้ผมว่าผู้ชายอย่างเราๆน่าจะเสียสละได้นะครับ แต่ที่ผมอยากจะท้วงติง เพราะจากที่สังเกตุเป็นการส่วนตัวร่วมๆ10ปี พบว่า 1.การที่ผู้ชายสักคนรวบรวมความกล้าออกมาตำหนิ หรือ ด่าทอ ผู้หญิงได้สักคนมันเป็นเรื่องยากมาก ถ้าจะทะเลาะกัน -ผู้หญิงก็มักจะอ้างฉันเป็นเพศแม่แกนะ ( อ้าวเกี่ยวอะไรกับแม่วะ อย่าลามๆ ) -ทะเลาะกับผู้หญิงแสดงว่าเป็น xน้า-ตัว-เมีย ( อ้าว ไรวะ ) -ด่าผู้หญิง ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษ ( แล้วทีด่ากุ ทำไมไม่คิด ) ขณะที่ผู้หญิงอยากด่าผู้ชายสักคนสามารถทำได้ทันที หากด่าได้มันส์ และ แรง สามารถออกหนังสือขายได้รับทรัพย์ไป สรุปว่า ถ้าทะเลาะกับผู้หญิงคนหนึ่งเท่ากับว่าต้องทะเลาะกับผู้หญิงครึ่งกาแล็คซี่ แค่การโต้แย้งขั้นพื้นฐานยังทำไม่ได้เลย กรอบของความเป็นสุภาพบุรุษมันกว้างมากเลยนะ. 2.สมมุติว่า สังคมบอกว่า การลุกให้สตรีนั่งบนรถเมล์เป็นสิ่งที่ดี แล้ววันหนึ่งผ่านไปอาจจะเป็นสิบปี หรือ ยี่สิบปี ผู้หญิงรู้สึกว่าการที่ผู้ชายลุกให้นั่งบนรถเมล์เนี่ย เป็นการดูถูกความสามารถผู้หญิง ....ผู้หญิงก็อาจเรียกร้องการกระทำของสุภาพบุรุษทั้งหลายว่าเป็นการดูถูกผู้หญิงก็ได้ ข้อนี้ผมพยายามสื่อว่า ไม่ว่าจะซ้าย หรือ ขวา ผู้หญิงก็สามารถหยิบประเด็นด่าทอผู้ชายได้หมด ง่ายๆเลยครับ เรื่องสินสอดผู้ชายลำบากตาแทบถลนจะเอาเมียสักคนหาเงินเก็บเกือบตาย วันหนึ่งผ่านไปอาจจะพรุ่งนี้ หรือ ห้าปีข้างหน้า พวกเฟมินิสต์อาจจะเรียกร้องว่า " สินสอดเป็นการตีค่าราคาตัวผู้หญิงเหมือนวัตถุ " ผ่าง~~~~ โดนด่าอีก ยังไงเสียก็โดนด่า ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า แล้วที่ผ่านๆมาล่ะ เช่นการเป็นแม่บ้านที่ผู้หญิงต้องอยู่บ้าน มันเป็นข้อตกลงทางสังคมสมัยนั้นหรือไม่? ถ้าใช่จะบอกว่าผู้ชายเป็นฝ่ายผิดก็ไม่ถูก ก็เมื่อคนในสังคมประกอบด้วยชายและหญิง เป็นคนร่วมกันตีตราขึ้นมา ผมไม่อยากให้ผู้หญิงมีอคติทางเพศมากเกินไป คนเราชายหญิง ต่างก็มีดีเป็นของตัวเองแหละครับ สงสารผู้ชายหน่อย เห็นด่าแล้วเงียบ เพราะเขาเถียงคุณไม่ได้ต่างหาก แหม๋ คุณผู้ชายก็กลัวไม่แมนนี่นา(ย้อนกลับไปข้อ1มันคาอกอยู่)~~ แล้วสมมุติว่าเรื่องหนึ่ง กำหนดรหัสว่า x ถ้าผู้หญิงหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาพูดซ้ำๆๆๆๆ ด้วยความที่เป็นเพศแม่ เพศที่ทุกคนเคารพรัก เป็นเพศที่ให้กำเนิด ( ทั้งๆที่เพศให้กำเนิดเรามีแค่คนเดียว ) พูดกรอกหูซ้ำทุกวันๆ จากสิ่งที่มันเป็นแค่อคติของคนกลุ่มเดียว การตอกย้ำทุกวันๆ และไม่มีใครคัดค้าน จนวันหนึ่งมันจะกลายเป็นทษฎีที่ทุกคนยอมรับ (เขาอาจไม่ได้กดขี่ผู้หญิงจริงๆก็ได้นะ ) ยกตัวอย่างเช่น คำว่า xน้า-ตัว-เมีย ผมเชื่อว่าทุกคนเคยได้ยินผู้หญิงพูดคำนี้ ผมเชื่อว่าผู้หญิงทุกคนเคยเอ่ยคำนี้ออกมาตำหนิผู้ชาย แล้ว ณ.ตอนนี้ผู้หญิงได้เล่นประเด็นคำนี้ออกมาหาว่าเป็นคำดูถูกผู้หญิง ทั้งๆที่เมื่อก่อนคนในสังคมก็พูดกัน แล้วผู้หญิงนี่แหละตัวดีที่ชอบพูด ถ้าทุกคนในนี้ หรือ ผมเพิกเฉย เหมือนที่แล้วๆมา ลูกหลานเราในอนาคต สัก10ปีข้างหน้า เวลาอ่านหนังสือก็จะรับรู้ว่า สังคมไทยผู้ชายนั้นกดขี่ผู้หญิงด้วยคำดูถูก และ ด่าทอ ทั้งๆที่คำนี้ไว้ด่าผู้ชายชัดๆ แล้วถ้าไม่ใช่เรื่องนี้ล่ะ ?เรื่องอื่นๆล่ะ? แล้วเรื่องที่ผู้หญิงพูดก่อนหน้านี้ 50ปี หรือ 100ปีก่อน นั้นล่ะ??เชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน?? คือผมว่าเฟมินิสต์ลดละอคติทางเพศลงบ้างก็ดีไม่น้อยนะครับ อยู่ด้วยกันในสังคมก็น่าจะเห็นใจกันบ้าง การปลูกฝังให้เห็นส่วนดีๆของเพศตรงข้าม ผมว่าน่ายกย่องมากกว่าการปลูกฝังให้เห็นแต่ความชั่วร้ายของเพศตรงข้ามนะครับ ปล...ผมบ่นๆเท่านั้นแหละครับ ต้องขอขอบคุณเว็บ pantip ที่เปิดพื้นที่ให้ระบายออกบ้าง ถ้าบางเว็บนี่โดนลบไปนานแล้ว อิอิ จากคุณ : ด้านมืดในใจคุณ - [ 3 พ.ค. 52 00:12:30 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ที่หลายๆท่านยกมาพูดเรื่องสินสอด   เดี๋ยวถ้าเรื่องนี้ออกไป องค์กรสตรีทั้งหลายก็จะออกมาบอกว่า ก็คุณเอาลูกสาวเขามา ก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนค่าน้ำนมสิ พ่อแม่เขาเลี้ยงมาอย่างยากลำบาก  อยู่ดีๆไปเอาลูกสาวเขามาฟรีๆได้ยังไง เห็นแก่ตัว ผมมีญาติคนนึง มีลูกสาว 3 คน เขาดีใจมากๆ บอกว่า จะเอาทุนคืนจากค่าสินสอด .....สรุปว่า การแต่งงาน ไม่ใช่เป็นการช่วยกันสร้างครอบครัวสร้างฐานะ สร้างความสุึขให้กับชีวิตของลูกหลานซะแล้ว? กลายเป็นการถอนทุนคืน?? จากคุณ : เจ้าชายโดดเดี่ยว - [ 3 พ.ค. 52 09:17:04 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ว่ากันทางกฎหมายมีเรื่องหนึ่งที่ไม่เท่าเทียม และเป็นเรื่องสำคัญ คือผู้หญิงที่แต่งงานจดทะเบียนสมรสแล้ว ถ้าทำงานอิสระ รายได้จะต้องเอามารวมคำนวณเป็นรายได้ของสามีครับ กฎหมายนี้เท่ากับบอกว่า ผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว ถ้าเป็นลูกจ้างกินเงินเดือนให้เป็นได้ แต่ไม่ควรทำงานอิสระครับ เป็นกฎหมายที่ผมว่าควรแก้มานานแล้ว จากคุณ : CrazyHOrse - [ 3 พ.ค. 52 12:05:01 ]

ความคิดเห็นที่ 24 คห.23 อ่อกฎหมายข้อนั้นนี่เอง อ่านเจอมาพอดี...ไม่เท่าเทียมตรงไหนล่ะครับ? เมื่อภรรยามีรายได้แล้วต้องนำไปคิดรวมกับฐานรายได้ของสามี เมื่อเป็นเช่นนั้น ฐานรายได้ของสามีก็มากขึ้นทำให้ต้องเสียภาษีมากขึ้น เงินเข้ารัฐสบายไปเลย ก็แค่แก้กฎหมายต่างคนต่างจ่ายแค่นั้นเอง อยากทราบว่าภรรยาจะเสียเปรียบตรงไหนเมื่อสามีเป็นคนจ่ายภาษีให้ โอเคๆๆ จะแก้กฎหมายก็ไม่ว่านะแต่หาว่าเอาเปรียบนี่สิ ตรรกะนี้ผมไม่ยอมรับด้วยสิ สิ่งที่คุณคิดเท่ากับตอกย้ำแนวคิดของผมที่ว่า " ในสายตาเฟมินิสต์นั้นผู้ชายคือตัวโกงส่วนผู้หญิงคือนางเอกที่น่าสงสารเจอตัวโกงกลั่นแกล้ง " แล้วคำที่คุณอ้างมาว่า.. "กฎหมายนี้เท่ากับบอกว่า ผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว ถ้าเป็นลูกจ้างกินเงินเดือนให้เป็นได้ แต่ไม่ควรทำงานอิสระครับ" กฎหมายมันบีบบังคับเช่นนั้นจริงๆหรือครับ ? หรือว่าคุณได้แนวคิดสตรีนิยมมาใช้??? เมื่อมีกฎหมายฉบันนี้ทำให้ผู้หญิงไม่กล้าทำงานอิสระจริงๆหรือ? โอ้โหโยงได้เทพมากๆ แล้วภาษีไทยก็จ่ายในอัตราก้าวหน้าถ้าจ่ายแพงก็ต้องใช้กรอบเดียวกันทั้งหญิงชายอยู่แล้ว รายได้มากขึ้นก็ต้องจ่ายมากขึ้นเท่านั้นเอง ยังไม่เคยได้ยินว่าผู้หญิงกินเงินเดือนไม่กล้าทำงานอิสระเพราะกฎหมายข้อนี้ขวางไว้อยู่ เคยแต่ได้ยินว่าเก็บเงินได้ก้อนหนึ่งจะออกไปทำงานอิสระข้างนอกเอง อย่าเวอร์ขอร้อง ใส่ร้ายกันชัดๆ ....ยังมีหลายๆอย่างที่ผู้หญิงเองก็ได้เปรียบนะครับแต่ไม่มีใครพูด แต่เอ่อ (ไม่ต้องพูดก็ดี) ยกตัวอย่างเช่น สามีภรรยาเลิกกันแล้ว ภรรยาเอาบุตรไปเลี้ยงดูสามารถฟ้องร้องให้ฝ่ายสามีส่งเสียค่าเลี้ยงดูบุตรได้ แต่เท่าที่โตมาจนอายุปูนนี้ ผมยังไม่เคยได้ยินว่า ฝ่ายสามีฟ้องศาลให้ภรรยาส่งเสียค่าเลี้ยงบุตรเลย พูดง่ายๆลูกก็อยากได้ เงินก็จะเอา  สุดท้ายก็เห็นแก่ตัวเหมือนกันนั่นแหละครับ อย่าให้ร้ายกันเลย ผมขอร้องเถอะครับ... จากคุณ : ด้านมืดในใจคุณ - [ 3 พ.ค. 52 18:01:50 ]

ความคิดเห็นที่ 25 #23 ตรงนี้ก็เป็นส่วนที่ฝ่ายเฟมินิสต์เข้าใจผิดกันเยอะ กฎหมายนี้ไม่ได้มีวาระซ่อนเร้นแอบกดขี่ผู้หญิงแต่อย่างใด ตามกฎหมายแล้วทรัพย์สินของสามีและภรรยารวมทั้งรายได้หลังการแต่งงาน ถือว่าเป็นหน่วยเดียวกัน เพื่อความสะดวกในการจัดการทรัพย์สินภายในบ้าน และความสะดวกในการเก็บภาษีเท่านั้น ที่ให้ถือว่ารายได้ของสามีภรรยาเป็นหน่วยเดียวกัน เพราะเขาถือว่าที่ชายหรือหญิงสามารถหาเงินเข้าครอบครัวได้ เพราะมีอีกฝ่าย คอยเกื้อหนุน แม้ว่าอีกฝ่ายจะทำหน้าที่เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้านอย่างเดียว ก็ถือเป็นรายได้ร่วมกันเพราะการจัดการบ้านให้น่าอยู่ มีส่วนทำให้อีกฝ่ายหนึ่งมีกำลังใจทำงาน - ขอ Edit เอาส่วนที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดออกครับ แก้ไขเมื่อ 05 พ.ค. 52 20:50:08 แก้ไขเมื่อ 03 พ.ค. 52 20:11:53 จากคุณ : Lowfailer - [ 3 พ.ค. 52 19:57:33 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ผมไม่ใช่เฟมมินิสต์ ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขา(หรือเธอ) เรียกร้องอะไร แล้วก็ไม่ได้เป็นนักกฎหมาย ผมก็ประเมินตามพื้นฐานความคิดของผม ผมก็สนใจแค่ว่าผลของกฎหมายนี้ทำให้พฤติกรรมของคนเป็นอย่างไร ผมมองแค่ว่ากฎหมายที่ระบุไว้อย่างนี้ จะเกิดเงื่อนไขต่อไปนี้ - สามีกับภรรยาเป็นลูกจ้างทั้งคู่ คำนวณภาษีบนสองฐาน - สามีทำงานอิสระ ภรรยาเป็นลูกจ้าง คำนวณภาษีบนสองฐาน - สามีเป็นลูกจ้าง ภรรยาทำงานอิสระ คำนวณภาษีบนฐานเดียว - สามีและภรรยาทำงานอิสระทั้งคู่ คำนวณภาษีบนฐานเดียว เห็นได้ว่า โดยกฎหมายฉบับนี้ ถ้าภรรยาทำงานอิสระเมื่อใด สามีภรรยาคู่นี้จะต้องคำนวณภาษีบนฐานเดียว ซึ่งทำให้ต้องจ่ายภาษีมากกว่า (คิดบนพื้นฐานว่ามีรายได้เท่ากัน) ดังนั้นการที่ผมตีความว่ากฎหมายฉบับนี้ไม่สนับสนุนให้ฝ่ายหญิงทำงานอิสระ ผิดตรงไหนครับ? แล้วนักกฎหมายเอาตรรกะอะไรมาตัดสินว่าคู่สามีภรรยานั้น ภรรยาไม่ควรทำงานอิสระ ควรเป็นลูกจ้างกินเงินเดือน จากคุณ : CrazyHOrse - [ 3 พ.ค. 52 22:51:28 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ตอนที่คุณ CrazyHorse ให้ความเห็นแรกออกมา ผมก็คิดว่าเป็นเรื่องการจ่ายภาษีเท่านั้น ไม่ได้คิดไปไกลขนาดนั้น คุณแม่ผมเองก็อยู่ในกรณีนี้ คือต้องนำรายได้ไปรวมกับของพ่อเพื่อจ่ายภาษีในนามของพ่อ คุณแม่ผมก็ไม่พอใจนะครับ แต่คิดว่าเป็นจากการที่ต้องจ่ายภาษีเพิ่มมากกว่าเรื่องความไม่เท่าเทียมกัน ในมุมมองของเฟมินิสต์ก็คงมองว่าการเสียภาษีในชื่อสามี คนเป็นสามีถือเป็นผู้นำรายได้หลักเข้าบ้าน และถือภรรยาเป็น dependent ที่สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ใช่ไหมครับ ในขณะที่ความเป็นจริงบางบ้านภรรยาทำงานอิสระได้เงินเข้าบ้านมากกว่าเงินเดือนสามี 5-10 เท่าก็มี แต่ในทางกฎหมายภาษีเธอเหล่านั้นเป็น dependent ไงครับ ผมขอมองโลกแง่ดีว่าตอนที่กฎหมายภาษีนี้ออกมา สภาพสังคมอาจไม่เหมือนปัจจุบัน ไม่มีคนทำงานอิสระมากนัก และรายได้จากงานอิสระอาจมีไม่มาก กฎหมายถึงออกมาแบบนี้ ถ้าพิจารณาตามตรงให้ถึงจุดที่คุณ CrazyHorse ยกมา ผมก็ว่าใช่ครับที่กฎหมายนี้ไม่เอื้อให้ภรรยาไปทำงานอิสระ เพราะถ้าไปทำก็มีโอกาสเสียภาษีสูงกว่าทำงานเป็นลูกจ้าง แต่นี่จะเป็นความตั้งใจของผู้ออกกฎหมายหรือไม่ก็ไม่ทราบได้ ดังนั้นก็เลยขอถามคุณ Lowfailer กับ คุณด้านมืดในใจคุณ ละกันว่า intent หรือความตั้งใจของกฎหมายภาษีคืออะไร ทำไมไม่ยอมให้ภรรยาที่ทำงานอิสระสามารถจ่ายภาษีแยกได้ ในขณะที่ยอมให้สามีทำได้ครับ จากคุณ : HotChoc - [ 4 พ.ค. 52 16:38:34 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ผมเห็นด้วยกับคุณ HotChoc ว่ากฎหมายพวกนี้เขียนในสภาพสังคมที่ีแตกต่างจากปัจจุบันมาก ถ้าปรับเป็นว่าสำหรับ คู่สามีภรรยา รายได้จากงานอิสระให้คิดรวมกันเป็นรายได้ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง (จะเป็นฝ่ายไหนก็ได้ แทนที่จะเป็นฝ่ายชายฝ่ายเดียวอย่างที่เป็นอยู่) แค่นี้ก็หมดปัญหาไปได้ว่าเป็นการจำกัดสิทธิ์สตรี แต่เรื่องนี้ ยังพิจารณา(ออกนอกเรื่อง)ต่อได้อีกว่าหากแก้เป็นดังข้างต้นแล้ว ก็จะกลายเป็นว่า กฎหมายนี้ไม่สนับสนุนให้คู่สมรสประกอบการอิสระ ชอบให้เป็นลูกจ้างมากกว่า ดังจะเห็นได้ว่า หากมีรายได้เท่ากัน ครอบครัวที่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดทำงานอิสระต้องเสียภาษีมากกว่าเป็นลูกจ้าง ผมยังนึกไม่ออกว่าสังคมเราได้อะไรจากการที่คนเป็นลูกจ้างมากกว่าทำงานอิสระ ควรแก้ให้สามารถคิดคำนวณรายได้แยกกันอย่างอิสระไปเลยหรือไม่ หรือเอาแค่แก้ให้พ้นเรื่องกีดกันทางเพศก็พอ หรือจะช่างหัวมัน เอาอย่างที่เป็นอยู่นี่แหละ จะเหลวไหลเลอะเทอะอย่างไรก็ไม่สนใจ เอาไงดี จากคุณ : CrazyHOrse - [ 4 พ.ค. 52 18:46:14 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ผมต้องขอโทษคุณ CrazyHOrse ด้วยครับ ใน #25 ผมไม่ได้มีเจตนาที่จะกล่าวถึงคุณ CrazyHOrse เพียงแต่ต้องการจะตำหนิพวกองค์กรสิทธิ์ฯบางพวกที่ชอบเรียกร้องสิทธิแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ จัดสัมนาทำเป็นเรื่องใหญ่โต แต่ด้วยความอ่อนหัดและขาดความรอบคอบในการเขียนของผมทำให้ข้อความที่เขียนออกมา เหมือนกับผมกำลังว่ากล่าวคุณ CrazyHOrse หากทำให้เกิดความขุ่นเคืองใจก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ สาเหตุที่การคำนวนภาษีเงินได้ให้เอารายได้ของภรรยามารวมเป็นของสามี มีที่มาจากสภาพสังคมในอดีตอย่างที่คุณ HotChoc ตั้งข้อสงสัยไว้นั่นแหละครับ แต่ไม่ได้มีนัยยะในการกดขี่เพศหญิงอย่างที่พวกเฟมินิสต์เข้าใจผิดกัน ที่จริงแล้วกลับเป็นการกดขี่คนทั้งประเทศต่างหาก ในอดีตผู้หญิงไม่ค่อยจะมีบทบาทในการหารายได้เข้าครอบครัวนัก เงินได้ที่จะนำมาคิดภาษีจึงน้อยหรือไม่มีเลย ทำให้ผู้ชายบางคนหาทางหลบเลี่ยงภาษีโดยแอบโอนให้รายได้บางส่วนให้ภรรยา เพื่อที่จะได้เสียภาษีในอัตราที่น้อยลงกว่าที่ควรจะเสีย พอมีกรณีนี้เกิดขึ้นบ่อยๆเข้า เลยมีคนคิดแก้ปัญหาด้วยวิธีการแบบไทยๆ คือ จับเอารายได้ของทั้งสามีภรรยามาคิดรวมกันซะเลย แล้วสงสัยว่ารัฐบาล คงจะติดใจในความรวดเร็ว (มัก)ง่าย แถมได้เงินภาษีมากขึ้น เลยปล่อยให้กฎหมายคงกระพันมาเกือบ 60 ปี แม้ว่าผู้หญิงในสมัยต่อมาเริ่มยืนหยัดได้ด้วยตนเองมีบทบาทในการหารายได้เลี้ยงดูครอบครัว รัฐก็ยังดื้อแพ่งไม่ยอมแก้กฎหมายอยู่นั่นแหละ ทำให้คู่สามีภรรยาต้องเสียภาษีเยอะกว่าที่ควรจะเสีย นี่แหละที่เป็นการขูดรีดที่ทั้งชายหญิงต่างก็ได้รับผลกระทบ ส่วนการที่ภรรยาสามารถขอแยกยื่นภาษีได้ เฉพาะรายได้ที่มาจากเงินเดือน ผมกลับมองว่าเป็นคุณต่อผู้หญิงมากกว่าครับ เพราะตามปกติรายได้ทุกอย่างของฝ่ายหญิง จะถูกนำไปรวมเป็นของฝ่ายชาย แต่ถ้าผู้หญิงมีรายได้จากเงินเดือนก็เลือกได้ว่าจะคิดรวมหรือแยก ทำให้วางแผนประหยัดค่าภาษีลงไปได้ น่าจะเป็นแรงจูงใจที่ดีที่จะทำให้ผู้หญิงกล้าลุกขึ้นมา ออกไปหางานทำนอกบ้าน แทนที่จะนั่งเลี้ยงลูกอยู่บ้านเฉยๆ การคำนวนภาษีอย่างเป็นธรรมต้องต้องแยกการคิดภาษีของสามีกับภรรยาออกจากกัน ซึ่งผมสนับสนุนเต็มที่เพื่อให้เราได้เสียภาษีตามที่ควรจะเป็น แต่ถ้าใครเอาประเด็นนี้มาหาเรื่องด่าผู้ชาย จัดงานสัมนากันเป็นวาระใหญ่โต แล้วดันไม่หาข้อมูลก่อนเผยแพร่อคติผิดๆออกไป อันนี้ผมเถียงสุดติ่ง แก้ไขเมื่อ 05 พ.ค. 52 11:55:13 จากคุณ : Lowfailer - [ วันฉัตรมงคล 11:50:51 ]

ความคิดเห็นที่ 30 อืม ไม่ได้รู้สึกว่ามีสิทธิน้อยกว่าผู้ชาย ป้ายบนรถเมล์เราว่าเอาออกก็ได้ ผู้หญิง เด็ก คนชรา ผู้ชาย ก็คนเหมือนกัน รู้สึก เหนื่อย เมื่อยได้เหมือนกันแหละ เราเองไม่เคยตำหนิผู้ชายว่าไม่ลุกให้เลยนะนะ แต่ก็รู้สึกขอบคุณและเกรงใจเวลามีคนลุกให้ สำหรับเรา ถ้ามีคนแก่แถวนั้นเรามักจะลุกให้คนแก่ ผู้หญิงท้อง คนพิการ นั่งก่อน แต่เด็กนี่เราว่าไม่มีความจำเป็นต้องลุกให้นั่งเลย ส่วนพ่อเราเท่าที่สังเกตุจะชอบลุกให้สาวๆนั่งเป็นพิเศษ ไม่ได้สำนึกเล้ยว่าตัวเองน่ะ คนชรา เอาเป็นว่า เราร่วมสนับสนุนให้เปลี่ยนป้ายบนรถเมล์ เอาเด็ก และ สตรี ออกไปได้ค่ะ จากคุณ : มาลัยฯ - [ 7 พ.ค. 52 23:15:21 A:124.120.229.209 X: TicketID:108292 ]