ความคิดเห็นที่ 1 มันฟังดูขัดๆกันนะคะ ถ้าอยากพูดได้ก็ต้องฝึกพูด ซึ่งเราจะได้ทักษะการฟังมาด้วยเป็นของเเถม จากคุณ : ochita - [ 3 พ.ค. 52 23:01:39 ]

ความคิดเห็นที่ 2 จากประสบการณ์ตัวเอง..อิอิ..ฟังก็คือฟัง ...พูดก็คือพูด..มันคนละทักษะอะคับ..คิดว่า เป็นไปได้ยาก ...ผมก็เคยฝึกแบบนั้นมาบ้าง..มองไม่เห็นความก้าวหน้าเลย...ก็เลยเปลี่ยนเป็น..ฟังด้วย พูดไปด้วย..คราวนี้..ไปได้ดีมาก พอใจที่ได้ฝึกแบบฟังไป พูดไป และ ขอขอบคุณ คุณ K.Senior ที่ช่วยแนะนำ เวป www.voanews.com ทำให้ ทักษะการฟัง พูด ของผม เดินทางไปไกลกว่าที่ผมคาดคิด ขอบคุณจริง ๆ จากคุณ : บ้านบีซี - [ 3 พ.ค. 52 23:14:44 ]

ความคิดเห็นที่ 3 มันไม่ใช่ว่าเราฟังอย่างเีดียว ไม่พูดเลย แล้วจะพูดได้นะครับ เด็กๆเขาฟังแล้วก็พูดตามไปเรื่อยๆ ตอนแรกๆก็เด็กก็พูดผิดๆถูกใช่ไหมครับ แต่สักพักพูดได้เอง ดังนั้นยังไงก็ต้องพูดครับ อีกอย่าง เด็กไม่ว่าจะเป็นคนเชื้อชาติใด จะพูดสำเนียงตามถิ่นที่อยู่ ไม่ได้พูดตามเชื้อชาติใช่ไหมครับ คือเด็กชาวจีนไปอยู่เอธิโอเปียก็จะพูดเอธิโอเปียได้คล่องเลย ไม่ใช่ว่าพูดจีนได้คล่อง ดังนั้นเรื่องภาษาทั้งหลายเป็นสิ่งที่เรียนรู้ที่หลังทั้งนั้น (acquired skills) นักวิจัยด้านนี้เขาสรุปไว้ว่า ตอนแรกที่เด็กเรียนรู้ได้เร็วเพราะเขาไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้ว่าเสียงที่ได้ยินจะออกเสียงอย่างไร ก็ต้องเลียนแบบผิดบ้างถูกบ้างจนออกเสียงได้เหมือน ช่วงนี้เป็นช่วงที่เรียกว่าเป็นการสร้าง model ขึ้นในความจำของเด็ก และ model นี้จะคงอยู่ค่อนข้างถาวรเมื่อสร้างขึ้นมาแล้ว ต่อไปเมื่อเด็กได้ยินเสียงนี้อีัก ก็จะใช้ความจำที่มีบอกได้เลยว่าเป็นเสียงอะไร ปัญหาอยู่ที่เมื่อไปเรียนภาษาที่สอง ซึ่งมีการออกเสียงไม่เหมือนภาษาแรกที่คนเราเรียนกันมา คนส่วนมากจะพยายาม match เสียงในภาษาที่สองเข้ากับ model ที่มีอยู่แล้ว (คือภาษาแรก) ซึ่งบางเสียงมันก็ไม่ตรงซะทีเดียว ในภาษาอังกฤษจะมีบางเสียงที่คนไทยฟังแล้วแยกไม่ออก ก็เพราะตรงนี้ เนื่องจากสองเสียงในภาษาอังกฤษนี้ถูก match เข้าเป็นเสียงภาษาไทยเสียงเดียว (ในกระบวนการรับรู้ของคนไทย) เช่น sh/ch เราไปจับคู่กับ ชอ, t/th ไปคู่กับ ทอ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ผมว่าฟังแล้วพยายามออกเสียงตามก็ยังดีกว่าอ่านแล้วพยายามออกเสียงตามละกันครับ แต่ก็ขอให้รู้ไว้ว่ามันไม่ได้ง่ายๆเหมือนตอนที่เราเรียนภาษาที่หนึ่งอีกต่อไปแล้ว แก้ไขเมื่อ 03 พ.ค. 52 23:20:13 จากคุณ : HotChoc - [ 3 พ.ค. 52 23:19:21 ]

ความคิดเห็นที่ 4 อันนั้นมันเกิดขึ้นในเด็กเพราะอวัยวะในการออกเสียงและการสั่งงานจากสมองเขายังไม่แข็งแรงพอหรือเปล่าครับ แต่ถ้าเราเป็นผู้ใหญ่มาแล้วฟังไป พูดไป ผมว่าเราน่าจะดีกว่า หนึ่งคือฝึกระบบสั่งการในสมองทำงานสัมพันธ์กับอวัยวะออกเสียงที่เราไม่คุ้นเคย พอบ่อยๆ ไปเราก็ชิน จากคุณ : kengkiki - [ 3 พ.ค. 52 23:55:27 ]

ความคิดเห็นที่ 5 .. จากคุณ : jasonthe13th - [ 4 พ.ค. 52 00:05:30 ]

ความคิดเห็นที่ 6 การฟังคือภาค input ฟังมากๆ ก็ตุน input ไว้ได้มาก เปรียบเหมือนคุณตุนกระสุนปืนไว้เยอะเลย แต่หากคุณไม่เคยซ้อมยิงแม้สักนัด อย่าว่าแต่แม่นไม่แม่นเลย วิธีจับปืนยังไม่ถูกต้องเลยมั้ง แก้ไขเมื่อ 04 พ.ค. 52 06:31:17 จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม - [ 4 พ.ค. 52 06:30:24 ]

ความคิดเห็นที่ 7 วิธีการแบบนี้เขาเรียก The natural approach เป็นแนวคิดหนึ่งในหลายๆแนวคิดในการสอนภาษาต่างประเทศให้กับผู้เรียน คิดค้น+พัฒนาโดย Tracy Terrell กับ Stephen Krashen เริ่มในช่วงปี1977 ได้รับความนิยมอยู่มากพอสมควรในอเมริกาและในต่างประเทศ อย่างของประเทศไทยเราเอง AUA ก็เอาวิธีการสอนแบบนี้มาใช้สอนภาษาไทยให้กับคนต่างชาติ อันนี้ผมรู้เพราะว่าเคยไปดูงานสอนที่ AUA สมัยเรียนวิชา English Language Teaching Methodology การสอนจะไม่จำกัดในเรื่องจำนวนของผู้เรียน (ตอนไปดูการสอนมีนักเรียนในชั้นกว่า 30 คน) ไม่มีกิจกรรมหรือปฎิสัมพันธ์โต้ตอบใดๆเกิดขึ้นระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน หรือผู้เรียนกับผู้เรียน การเรียนการสอนจะใช้เจ้าของภาษาสองคน (คนไทย) มาพูดคุยโต้ตอบให้ผู้เรียนฟังโดยมีสื่ออุปกรณ์ต่างๆทั้งสิ่งของ รูปภาพ และการแสดงท่าทางประกอบ เนื้อเรื่องเป็นเรื่องสนทนาในชีวิตประจำวัน และเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับประเทศไทย โดยวิธีการสอนแบบนี้เขาเชื่อว่า ผู้เรียนจะยังไม่พร้อมที่จะพูดหรือแสดงออกทางภาษาถ้ายังไม่ได้รับ input ที่มากพอเหมือนเด็กทารกที่เริ่มแรกจำเป็นที่จะต้องฟัง ฟัง และก็ฟัง ไม่ต้องทบทวน ไม่ต้องจำ ห้ามแม้แต่การอ้าปากหัดพูดเพราะเขาเชื่อว่าถ้าทำแบบนั้นจะไประบบกวนระบบการจำภาษาที่ถูกต้อง จำนวนชั่วโมงเขาว่าจะได้ผลก็นับเป็นหลายๆร้อยชั่วโมงขึ้นไป ยิ่งฟังมากยิ่งดี (ในหลักสูตรคิดเป็นคอร์สๆละ 200 ชั่วโมง ต้องมานั่งฟังอย่างนี้ทุกๆวันวันละ 1-3 ชั่วโมงใช้เวลาเป็นปีๆ) http://www.auathai.com/home.html http://www.algworld.com/ http://www.algworld.com/approach.php อาจารย์ฝรั่งคนที่เป็น director ของหลักสูตรบอกว่าแกเองก็เรียนภาษาไทย+ออกเสียงได้เหมือนคนไทยด้วยวิธีการแบบนี้ เรียนมาเป็น 10 ปีจนพูดได้ ซึ่งผมเองคิดว่าภาษาไทยแกดีมากก็จริงโดยเฉพาะการฟัง แต่การออกสียงก็ยังมีสำเนียงฝรั่งอยู่ดี และมันนานไปหรือเปล่า...สงสัยว่าถ้าเรียนด้วยวิธีอื่นจะเก่งกว่าไหม อีกทั้งไม่ได้ติดตามและยังไม่เห็นผลผลิตชัดเจนจากคนที่เรียนในหลักสูตรนี้กับตาจนสรุปได้ว่ามันได้ผลดีจริง ส่วนตัวแล้วยังไม่เชื่อวิธีการสอบแบบนี้นัก และคงไม่สนุกแน่ที่ต้องมานั่งฟังอย่างเดียว ยิ่งช่วงแรกที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย มันคงเบื่อม๊ากๆ อ่อ เห็นว่าเขาเคยคิดใช้การสอนแบบนี้จากโฆษณาใบปลิวกับภาษาอังกฤษ และภาษาญี่ปุ่นแต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้รับการตอบสนองกับผู้เรียนคนไทยซักเท่าไรก็เลยเหมือนว่าหลักสูตรจะไม่ได้เปิดสอนอย่างเป็นทางการในตอนนี้... แก้ไขเมื่อ 04 พ.ค. 52 08:00:00 แก้ไขเมื่อ 04 พ.ค. 52 07:56:40 จากคุณ : โจโฉ (joechou) - [ 4 พ.ค. 52 07:50:38 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ^ ^ โห ดูเป็นคอร์สอึดยังไงไม่รู้นะครับ ผมไม่รู้จะได้จริงรึเปล่า มันดูขัดๆกันแหะ แต่ถ้ามีคนได้จริง มันก็ต้องได้นะ 555 แต่ผมไม่กล้าฝึกวิธีนี้อะครับ ดูมันล่องลอย จากคุณ : *omega* - [ 4 พ.ค. 52 09:00:56 ]

ความคิดเห็นที่ 9 จริงนะ ผมก็เชื่ออย่างนั้น ฟังให้คุ้น ฟังให้เยอะๆ พอซึมซับเเล้ว คุณจะพูดคำนั้นได้ทันที ทำเเบบนี้กับทุกๆคำ คุณจะพูดได้ทุกคำได้ทันทีเช่นกัน ทำเเบบนี้กับทุกไวยกรณ์ คุณจะพูดได้โดยไม่ผิดอีกตลอดไป จากคุณ : Thaumaturge - [ 4 พ.ค. 52 10:23:47 ]

ความคิดเห็นที่ 10 คห. 7 ผมก็เคยได้ยินเรื่องนี้เหมือนกัน อยากรู้มากๆๆๆ ว่ามันได้ผลขนาดไหน จากคุณ : jasonthe13th - [ 4 พ.ค. 52 10:47:22 ]

ความคิดเห็นที่ 11 โดยส่วนตัว หากฟังอย่างเดียวโดยไม่ฝึกพูดเลย ไม่คิดว่าจะได้ผล ฟังออกกับพูดได้มันไม่เหมือนกัน ผมฟังออกดี แตช่วงไหนที่ผมไม่ค่อยได้พูดฝรั่ง พอจะพูดก็ยังติดๆ ขัดๆ แล้วคนที่ไม่หัดพูดเลย อยู่ๆ จะพูดได้หรือ คิดว่าจะทำอะไรก็ต้องฝึกทั้งนั้น คนเรามี learning curve อยู่ เหมือนต้มน้ำ อยู่ๆ จะให้เดือดเลยก็คงไม่ได้ มันต้องมีช่วงสะสมความร้อน จากคุณ : สงสัย - [ 4 พ.ค. 52 12:33:38 A:161.200.255.162 X: TicketID:106200 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก นอกจากจะไปเกิดใหม่ 55 เราคิดว่ามันก็เป็นไปได้ค่ะ จากคุณ : หนูฟั่นเฟือน - [ 4 พ.ค. 52 12:50:10 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ตามที่ #7 บอกนะครับ พวกวิธีการเรียนรู้ที่นำมาโฆษณาเนี่ยะ มันมีทฤษฎีอะไรรองรับหรือเปล่า และวิธีเรียนรู้นี้น่ะมันตรงตามที่ทฤษฎีตั้งไว้หรือเปล่า ทฤษฎีที่ผมอธิบายไปมันก็คล้ายกับที่ Prof. Krashen บอกนะครับ ว่าการเรียนรู้ภาษาโดยเฉพาะภาษาที่หนึ่งนั้นเราเรียนรู้ด้วยการฟังและพูดตาม ไม่ได้เป็นการตั้งใจเรียน grammar สร้างประโยคผัน verb ตามที่เราเรียนในห้องเรียน (แบบนี้เรียกว่าเป็น learning) เป็นการเรียนรู้แบบที่ prof Krashen บอกว่าเป็น subconscious คือผู้เรียนซึมซับไปเอง (เป็นแบบ acquisition ตามนิยามของ professor) แต่จุดสำคัญก็คือในการที่จะ acquire knowledge แบบนี้นั้นต้องมี "meaningful interaction" คือการปฏิสัมพันธ์อย่างตั้งใจด้วยภาษาที่เราต้องการซึมซับ แต่ให้เน้นที่ความหมายที่เราต้องการสื่อสาร ไม่ต้องเน้นที่รูปแบบ (ว่าผัน verb ตรงไหม subject-verb ตรงกันไหม) แต่ไม่ได้หมายความว่าให้ฟังไปเรื่อยๆอย่างเดียว แค่ผู้สอนไม่บังคับให้นักเรียนพูด ให้นักเรียนพูดเมื่อเขาพร้อมเท่านั้นเอง ในการเรียนรู้ด้านดนตรีก็มีสองแนวทางที่เหมือนกับเรื่องนี้ คือการเรียนด้วยหูกับการเรียนตามตัวโน้ต การเรียนตามตัวโน้ตก็เริ่มจากการเรียนเรื่องบันไดเสียงก่อน เรียนการอ่านโน้ตและเรียนคีย์ที่ตรงกับสัญลักษณ์ของโน้ตนั้น จากนั้นค่อยเริ่มเล่น ก็เหมือนการเรียนภาษาอังกฤษตามหลักสูตรที่เรียน"รูปแบบ"ก่อน เรียนวิธีการออกเสียงพื้นฐาน จากนั้นค่อยพูด ส่วนการเรียนด้วยหูก็คือฟังก่อนว่าเพลงนี้เล่นอย่างไร จากนั้นก็เล่นตามให้มันตรงกับที่เราได้ยิน คนสอนอาจสอนทริคในการสร้างเสียงให้เท่านั้นเอง ประเด็นสำคัญคืออย่างไรคนเรียนก็ต้องเล่นครับ ถ้าคุณฟังเพลงไวโอลิน Paganini Caprice #24 บ่อยๆ ฟังจนเป็นล้านรอบ คุณอาจจะบอกได้ว่าผู้เล่นคนนี้เล่นดีไม่ดีอย่างไร คนไหนเล่นผิดตรงไหน แต่คุณจะไปเล่นเองโดยไม่ได้ฝึกเล่นมาเลยได้ไหมล่ะครับ วิกิเรื่อง acquisition vs learning http://en.wikipedia.org/wiki/Acquisition-learning_hypothesis ถ้าสนใจลองอ่านบทความสรุปนี้ก่อนได้ http://www.sk.com.br/sk-krash.html ถ้าสนใจมากขึ้นก็ลองไปอ่านหนังสือต่อได้ Krashen, Stephen D.  Principles and Practice in Second Language Acquisition.  Prentice-Hall International, 1987. Krashen, Stephen D.  Second Language Acquisition and Second Language Learning.  Prentice-Hall International, 1988. จากคุณ : HotChoc - [ 4 พ.ค. 52 16:08:25 ]

ความคิดเห็นที่ 14 โห สุดยอด แต่ละคนความรู้แน่นทั้งนั้น เด๋วขอไปอ่านก่อน http://www.sk.com.br/sk-krash.html อันนี้ไม่ไหวอะ อ่านแล้วหลังๆไม่ค่อยเข้าใจ อิอิ แก้ไขเมื่อ 04 พ.ค. 52 19:57:44 จากคุณ : jasonthe13th - [ 4 พ.ค. 52 19:26:52 ]

ความคิดเห็นที่ 17 สิ่งที่คุณจะได้จากการฟังภาษาอังกฤษบ่อยๆ และเข้าใจว่าเค้าหมายถึงอะไร คือ เวลาคุณต้องการจะพูดประโยคนั้น สิ่งที่คุณได้ยินบ่อยๆ จะโผล่ขึ้นมาในหัวสมองทันที  ไม่ต้องมาคิดแกรมม่าร์ หรือ หาคำศัพท์  ดังนั้น ถ้าจะบอกว่า พูดได้ จริงมั้ย คิดว่ามีส่วนจริง  แต่ทีนี้เรื่องออกเสียงเป็นอีกเรื่องนึง  ถ้าไม่เคยฝึกออกเสียง การที่จะออกเสียงให้ชัดและถูกนั้นอาจจะยาก โดยเฉพาะคำบางคำที่มีเสียงที่ไม่มีในภาษาไทย ข้อเสียที่เห็นคือ ถ้าคุณไม่ได้มีพิ้นฐานภาษาอังกฤษที่ดี คุณอาจจะไม่สามารถประยุกต์ ประโยคได้  หรือ นำประโยคที่ได้ยินมาประยุกต์กับสถานการณ์ที่ใกล้เคียงกัน (แต่อยากใช้คำอื่น)  มันก็จะเหมือนกับคุณ จำประโยคที่ได้ยินไว้ในหัวนั่่นแหละ แต่คุณอาจไม่ได้พยายามท่องมันนะ  คุณฟังบ่อยๆ มันจะจำได้เอง  เหมือนคุณฟังเพลงซีดี แผ่นนึง บ่อยๆ  คุณจะจำได้เลยว่า พอจบแล้ว ไอ้เพลงต่อไปมันขึ้นดนตรียังไง (แม้ว่าจะไม่รู้ชื่อเพลง และคุณไม่เคยพยายามที่จะจำด้วยซ้ำไป) จากคุณ : Tiger อู๊ด - [ 9 พ.ค. 52 17:21:02 ]