ความคิดเห็นที่ 1 ทำการ์ดคำศัพท์ ไว้พกติดตัว ครับ จากคุณ : thoorn - [ 4 พ.ค. 52 14:54:22 ]

ความคิดเห็นที่ 2 สำหรับผมอ่านบ่อยๆครับ แต่เวลาสะกดจะจำไม่ค่อยได้ แต่ถ้าเจอในประโยคพอเดาได้บ้าง จากคุณ : นายครรชิต - [ 4 พ.ค. 52 14:56:57 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เห็นมีคนหัวใสโฆษณาขายหลักสูตร DIY MIND MAP 6 วัน 18,000 บาท แน่ะ!...มีคนอยากเรียนภาษาอังกฤษหลงเชื่อกันบานเลยหละ ป่่านนี้คนสอนรวยเละไปแล้ว.... แต่ของเรามีดีกว่านั้นอีก...มีระบบใหม่ เราคิดขึ้นเอง ใช้เครื่องมือไฮเทค ยุค IT ช่วยด้วย ตอนนี้เอาไว้ใช้สอนตัวเอง...แต่ปิดไว้เป็นความลับก่อน... ถ้าใครสนใจก็มาลงชื่อไว้ เดี๋ยวเราจะไปโฆษณาใน pantipmarket...แต่เอจะคิด course หนึ่งเท่าไหร่ดีหว่า...???!!...เผื่อเราจะรวยเละกับเขาบ้าง...555+++... แก้ไขเมื่อ 04 พ.ค. 52 15:18:32 จากคุณ : fortuneteller - [ 4 พ.ค. 52 15:17:43 ]

ความคิดเห็นที่ 5 อย่าจำคำ Eng-Th แบบ 1-1 แต่ให้เข้าใจรากศัพท์ ความหมายของ affix ในคำ จากคุณ : Azure_Mile - [ 4 พ.ค. 52 17:17:05 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ความคุ้นเคยค่ะ สมัยเด็กๆก็ต้องท่องจำ อัดมันเข้าไปล่ะนะ (ไม่ชอบ แต่มาคิดๆดูแล้วซึ้งบุญคุณครูชะมัดเลย) ตอนนี้ก็จำจากการเจอบ่อยๆค่ะ จากคุณ : kurika - [ 4 พ.ค. 52 18:20:49 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ขนาดตอนอยู่ ม.ศ.4  สอบอังกฤษได้ที่ 1 ของ รร. ผมก็ยังรู้สึกว่าความจำศัพท์ตัวเองห่วยเลย บางทีเจอแล้วเจออีกคำเดิมๆ นี่แหละ ก็ยังต้องเปิดดิกหาความหมายอีก ที่เป็นเช่นนั้นเพราะชม.การอ่านและเขียนยังน้อยไป (อาจมากกว่านักเรียนคนอื่นๆ ไม่งั้นคงไม่ได้ที่ 1) ที่จะจำได้อย่างขึ้นใจ มาเริ่มจำศัพท์ต่างๆ ได้มากถึงระดับที่แทบจะไม่ต้องเปิดดิกก็ตอนอยู่มหาวิทยาลัยปี 2 เพราะปี 1 อ่านอังกฤษทุกวัน อย่างน้อยวันละ 6 ชม เปิดดิกจน Oxford Advanced Learners' Dictionary 2nd Edition พังไปกับมือเลยครับ สรุปง่ายๆ อ่านบ่อย เขียนบ่อย มันก็จะจำได้เอง ก็เหมือนภาษาไทยแหละครับ คนทั่วไปบางทีก็จะสะกดคำไม่ถูกเพราะไม่ได้อ่านบ่อย เขียนบ่อย แค่พูดและฟังบ่อยเท่านั้น การเรียนภาษาไม่มีทางลัด อยากเก่ง ต้องฝึกทักษะอย่างเข้มข้น อย่างน้อยวันละ 3 ชม ขึ้นไป ถ้าน้อยกว่านี้ รับรองผลยากครับ อ่านไปไม่นานก็ลืมศัพท์ ต้องเปิดอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากคุณ : K.Senior - [ 4 พ.ค. 52 18:23:33 ]

ความคิดเห็นที่ 8 คุณหมอดูคิดฟรีได้ไหม ผมไม่มีตังค์ T_T จากคุณ : R a z i e x Q - [ 4 พ.ค. 52 18:32:06 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เขียนคำศัพท์บน post it แล้วแปะตรงที่เป็นสิ่งนั้น ไม่ก็ติดทั่วบ้านไม่ต้องเสียเวลาท่อง แต่ถ้าอยากได้ศัพท์ที่แบบสูงๆก็เรียน latin root คะช่วยได้มากถึงมากที่สุด จากคุณ : janziie - [ 4 พ.ค. 52 22:51:21 ]

ความคิดเห็นที่ 10 จำรากศัพท์ แต่เอาเข้าจริง ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องจริงจังขนาดนั้นก็ได้ ให้เดาความเอาจากบริบทเอา ยกเว้นแต่ว่า จำศัพท์ไม่ได้ซักตัวจริง ๆ จากคุณ : Roh_Z - [ วันฉัตรมงคล 01:05:59 ]

ความคิดเห็นที่ 11 นั่ง download และทดสอบ software หลายตัวจนตาค้าง เลยเข้ามาปั่นกระทู้นี้เล่นๆ วิธีจำคำศัพท์ให้ได้มากๆนั้น อ่านบ่อยๆมันจำได้ไปเอง แต่จริงๆแล้วมันมีเทคนิคลับหลายอย่างที่เราคิดไว้  ....แนวคิดบางอย่างมันก็มาจาก Tony Buzan (คนที่เขียนหนังสือ Mind Map นี่หละ แต่เครื่องมือไฮเทคที่เราใช้นั้น เราไม่ได้ใช้ mind map software ของเขาหรอก) และแนวคิดจากนักจิตวิทยา กับนักคณิตศาสตร์อีก 2-3 คน ประกอบกับความคิดของตัวเองผสมผสานไปด้วย หลักการก็มีอยู่ว่า 1. จะจำสิ่งใหม่ๆ เราต้องหาความสัมพันธ์กับสิ่งใหม่ๆกับสิ่งที่เรารู้อยู่แล้ว  หรือที่เราเรียกว่า memorization by association นั่นเอง 2. การจำศัพท์ มันไม่ใช่ท่องเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา คำศัพท์แต่ละคำ กว่าจะจำได้ ต้องอ่านซ้ำบางทีเกิน 10 ครั้ง ดังนั้น ตามกฎข้อ 1. ในการอ่านแต่ละครั้ง เราจะต้องมีตัวอย่างประโยคที่หลากหลาย ที่แสดงเหตุและผลที่ดีว่าคำศัพท์นั้น มีความหมายแบบไหน และใช้สร้างประโยคได้อย่างไรอย่างเป็นธรรมชาติ 3. ความสัมพันธ์สร้างได้โดยการจัดหมวดหมู่ เช่น จัดแยกประเภทตามชนิดของสาขาวิชา ที่น่าจะเจอ จัดตามรากศัพท์ภาษา Greek และ Latin จัด ตามกลุ่มของมันแบบ sets และ subsets เช่น ฟาร์ม โรงสี ชาวนา เครื่องมือทำนา เครื่องมือเก็บเกี่ยว เครื่องสีข้าว ข้าวเปลือก ข้าวสาร เปลือกข้าว รำข้าว ฟางข้าว ฯลฯ .......ทำ cross references ไปยังศัพท์ที่มีความหมายคล้ายกันหรือตรงกันข้ามกัน 4. การจำศัพท์ ตอนแรกๆอย่าไปเน้นจำศัพท์หรูหราที่คนเขาไม่ค่อยใช้กัน (ไม่ต้องรีบอยากเท่ห์) แต่ให้เน้นจำศัพท์ธรรมดาๆนี่แหละ แต่ “ต้องใข้ให้เป็น”  นั่นก็คือ พยายามเน้นว่า มันสร้างประโยคได้พลิกแพลงกึ่อย่าง และเมื่อนำไปผสมกับคำศัพท์ตัวอื่นเป็นกลุ่มคำ (ที่เรียกว่า collocations แล้ว ความหมายมันเปลี่ยนแปลงไปได้กี่อย่าง เช่น ไปดูตัวอย่างของ การที่คำศัพท์ตัวเดียวเปลี่ยนความหมายไปได้เรื่อยๆ (ตาม collocations) ไปอ่าน คคห 13 ใน คคหนี้ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K7779138/K7779138.html แก้ไขเมื่อ 05 พ.ค. 52 05:21:48 แก้ไขเมื่อ 05 พ.ค. 52 05:08:33 จากคุณ : fortuneteller - [ วันฉัตรมงคล 05:08:00 ]

ความคิดเห็นที่ 12 คำศํพท์ที่สำคัญอีกประเภทหนึ่งก็คือ คำศัพท์ที่มี “พฤติกรรมเฉพาะตัว” ซึ่งถ้าไม่รู้ “พฤติกรรมเฉพาะตัว” ของมัน จะทำให้สร้างประโยคผิดได้ง่าย ก็ต้องจำมันไว้เป็นลำดับต้นๆ เช่น ไปอ่าน คคห 10 กับ 11 จากกระทู้นี้ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K7806691/K7806691.html ในกระบวนการเรียนรู้เช่นนี้  สำหรับคนที่เรียนในระดับ elementary ไปถึง intermediate (ซึ่งถ้าเราจะใช้สอนคนอื่น)  มันมี software สำเร็จรูป ที่มี user interface น่าใช้งานมากๆ ให้ทำแบบฝึกหัดและจดจำ หัดออกเสียง บันทึกเสียงตัวเอง เทียบกับเสียง software . แต่พอไปถึง ขั้น advanced แล้ว ซึ่งเราใช้สอนตัวเองนั้น จะเปลี่ยนเป็น software บางอย่าง ที่ใช้งานง่ายกว่า diy mind map หลายเท่า (แต่มีประสิทธิภาพในการเรียนภาษาอังกฤษมากกว่า)   ส่วนใหญ่ มันก็จัดแยกประเภท และทำ cross references โยงถึงกัน ตาม ความสัมพันธ์ที่พอจะมองเห็น และมีการ index ข้อมูล เพื่อให้ search ได้ง่าย โดยใช้ Google Desktop Search หรือใช้ Windows Desktop Search  ซึ่งบางที่มีการใช้งานประสานกันระหว่าง software ตัวอื่นๆอีกด้วย เช่น มันมี dictionary (ที่เป็น software) บางตัว ซึ่ง พอ search จาก Windows Desktop Search ผ่าน software อีกตัวหนึ่ง มันจะ index คำศัพท์ จาก entries (คำศัพท์ที่ป้อนเข้าไป) และจาก dictionaries ทั้งหมด (ซึ่งเป็น software อีกหลายๆตัว) ที่ติดตั้งอยู่บนคอมพิวเตอร์  และจาก SERP’s (search engine results pages).......... เนื่องจากบ่อยครั้งที่เราเรียนรู้ “ความหมาย และการใช้งาน” จาก webpages ที่เราค้นเจอด้วย google แล้ว index เอาไว้ ก็มี ......... จากคุณ : fortuneteller - [ วันฉัตรมงคล 05:12:35 ]

ความคิดเห็นที่ 13 หมายเหตุ 1. ทุกอย่างที่ทำได้เป็นระบบที่ซับซ้อน แต่ well organized และใช้ประสานงานกันได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด กว่าจะคิดได้ต้องใช้เวลา download และทดสอบ software หลายๆตัวอยู่นาน และ ซึ่งต้องมีความรู้เรื่อง ระบบคอมพิวเตอร์มากพอที่จะป้องกัน virus (โดยไม่ใช้ antivirus software เลย) และป้องกันไม่ให้ operating system มันรวน เมื่อ install และ uninstall software เป็นจำนวนมากมายหลายชนิด และมีการโอนย้ายข้อมูลเป็นจำนวนมากภายในแต่ละวัน...!!!  ... และจะต้องมีความรู้พอที่จะติดตั้ง operating system ใหม่ หรือแม้กระทั่งแก้ปัญหา hardware ได้ด้วยตนเอง (ในระหว่างกระบวนการทดสอบ software) หากว่าเจอ “ของแข็ง” จนระบบมันล่ม ...คือจริงๆแล้วกว่าจะค้นวิธีการเรียนการสอนแบบนี้ได้เจอนั้น ต้องอาศัยตรรกะที่แม่นยำ และความรู้ IT บ้างพอสมควร ...ซึ่งเมื่อสมัยก่อน เราซื้อหนังสือภาษาไทยมาอ่าน  แต่ในช่วงหลังๆ เราใช้ google หาบทเรี่ยน แล้วเรียนเอง อ้ะ จริงแล้วเรื่องทุกเรื่องที่เราเรียนรู้มาในชีวิต เราเรียนแบบ "มวยวัด" เกือบหมดเลยหละ เพราะเราขึ้เกียจเข้าไปเรียนในมหาลัย ไม่ชอบเรียนตามกรอบที่อาจารย์สั่งสอน... เราอยากคิดอะไรหลายๆอย่างเป็นเอง  แม้กระทั้งตำราฝึกลมปราณเวลา เราเอามาฝึก ฝึกไปฝึกมานะ เราก้อเดินลมปราณย้อนทิศทาง มันแบบแผลงๆ เอาเสียเฉยๆ จนบางครั้งประสาทกลับไปเลย ก็มี...555+++... หมายเหตุ 2 การเรียนระดับ advanced นั้น ในแต่ละ entry (คำศัพท์หลักที่ป้อนเข้าไป) นั้น จะ “ไม่มี” definitions เลย แต่จะมีแค่ตัวอย่างประโยคเท่านั้น  ซึ่งตัวอย่างประโยคทั้งหลาย ก็จะมี การ index ไปตามกฎเกณฑ์ของ grammar โดยเฉพาะอย่างยิ่ง grammar ที่ต้องใข้ใน writing ยกตัวอย่างเข่น การจัดหมวดหมู่ของ paragraph ตามประเภทของการใช้ punctuation ตามประเภทของการใช้ verb tense การจัดหมวดหมู่ตามลักษณะที่เอา clauses ต่างๆ มาเขื่อมกันเป็นประโยค การจัดลำดับคำ การแปลเป็นไทยยาก (ในกรณีที่เรียนจากงานแปลหนังสือของตัวเอง)  ตามลักษณะของ sentence structure ..และจัดหมวดหมู่ตามเหตุผลอื่นๆอีก....เช่น จัดเก็บรวบรวม paragraphs ที่มี metaphors แปลกๆ ซึ่งยากต่อการตีความ...เพื่อหัดนำไปเขียนเอง เพื่อจะได้ปรับปรุงการเขียนของตัวเองให้มีสีสั้นมากกว่าเดิม ....ฯลฯ... ที่ไม่จด definitions (นิยาม) เลย (เพื่อไม่ให้เสียเวลา input ข้อมูล แต่เน้นเฉพาะ input ตัวอย่างประโยค (ด้วยการ copy and paste จาก ebooks หรือ webpages)  เป็น paragraphs นั่นก็เพราะว่า ในกระบวนการเรียนรู้ จะต้องมีการ ย้อนกลับมาอ่านบ่อยๆ เป็นระยะๆ โดยจัดทำ schedule ของการทบทวน ว่าเพิ่งทวนไป ก็ทวนซ้ำน้อยลง แต่ถ้ายังไม่เพิ่งทวน ก็ทวนมากขึ้น ถ้าจำไม่ได้ก็ไม่ต้องกลัว เนื่องจาก entries ทั้งหมด เรา index ไว้ให้ search (หานิยาม) ง่ายอยู่แล้ว เพียงแค่เอา mouse click ก็หานิยามออกมาอ่านทวนได้สบายๆอยู่แล้ว ................ คือจริงๆ แล้วหลักการเรียนคำศัพท์ ให้จำได้นั้น "ไม่ใช่เรียนแต่ว่า มันแปลว่าอะไร แต่ต้องเรียนรู้ว่ามันนำไปสร้างประโยคอย่างไร จึงจะถูกต้อง และดูสวยงามอีกด้วย" และในกระบวนการของการเรียนสร้างประโยค กลไกในสมอง มันหา relationship นั่นแหละ จึงทำให้จำได้ ดังนั้นเราจึงาเรียกวิธีการจำศัพท์ตามระบบของเราว่า "memorization by association" นั่นเอง จริงๆแล้วเราแค่เขียนย่อๆ แต่มันยังมีรายละเอียดอีกมากมาย ในกระบวนการเรียนการสอน ที่อาศัยเครื่องมือไฮเทคยุค IT .(งานวิจัยลับๆส่วนตัว เช่นเรี่ยนด้วย เทคนิคจากสาขาวิชา parapsychology ปิดไว้เป็นความลับ) เทคนิคโดยประมาณ ที่ เล่าให้ฟังนี้ ตอนจบ “เราคงเก็บไว้สอนตัวเอง เท่านั้น” คงไม่มีปัญญาไปเปิดสอน 6 วันได้เงิน คนเรียนหัวละ 18,000 บาท เหมือนกับคนที่สอน DIY MIND MAP นั่นก็เพราะว่า เราไม่มีเครื่องมือที่จะทำการตลาดได้ แล้วเราก็ไม่มีสถานภาพทางสังคมที่ดูน่าเชื่อถือ พอที่จะไปโฆษณาชวนเชื่อได้   “มันก็เลยไม่มีใครหลวมตัวเอาเงินตั้งเยอะ มาจ่ายให้เรา” ....น่ะสิ...หรือว่ามี..??? !!!!...555+++.... แก้ไขเมื่อ 05 พ.ค. 52 05:46:52 แก้ไขเมื่อ 05 พ.ค. 52 05:19:14 จากคุณ : fortuneteller - [ วันฉัตรมงคล 05:15:50 ]

ความคิดเห็นที่ 14 วิธีการเรียนคำศัพท์ ให้จำได้จริงๆ  จริงๆเเล้ว เเค่ เจอคำศัพท์นั้นคำเดียว หลายๆครั้งก็พอ ไม่จำเป็นต้องไปท่อง จะยิ่งดีถ้าไม่ผ่านการอ่าน เพราะคนเราจำทุกอย่างเป็นภาพไม่ใช่ตัวอักขระ เพราะงั้นเรียนคำศัพท์ เรียนเองได้ เห็นมีขายหนังสือที่รวมรูปต่างๆเเยกเป้นหมวดๆ เช่น ศัพท์ในสวน ในที่ทำงาน ในห้องต่างๆในบ้าน ฯลฯ รวมๆกว่า 5000 คำ ก่อนไปเรียนรู้ศัพท์เฉพาะทางมากขึ้น อย่างคำว่า manage อาจดูเเล้วไม่เห็นภาพของคำนี้โดยตรง เเต่ถ้าเราถูกสอนคำนี้จากสถานการณ์ที่ทำให้เราเข้าใจ เเละเจอเรื่องเดิมหลายๆครั้ง คุณก็จะจำได้เอง โดยไม่ต้องพึ่งดิคเลย คุณก็เพียงเเค่จำศัพท์ทั้งหมดในลักษณะเเบบนี้ ก้จะจำได้โดยถาวร จากคุณ : Thaumaturge - [ วันฉัตรมงคล 09:28:18 ]

ความคิดเห็นที่ 15 เรื่องการสะกดหรือออกเสียง เป็นเพราะคุณเริ่มด้วยวิธีลัด  คือเริ่มจากการอ่าน ไม่ได้ผ่านการฟังก่อน จึงไม่รู้ว่าเเท้จริงเเล้ว มันอ่านว่าอย่างไร (นี่เฉพาะกรณีที่คุณอ่าน Phonetics ไม่ได้) ซึ่งเเตกต่างจากเจ้าของภาษาที่ฟังก่อนที่จะพูด ปัญหาเเรกๆก็เป็นเพียงพูดไม่ค่อยชัด เเต่ซักซ้อมพูดไปเรื่อยๆฟังบ่อยๆก็ชัดเอง เเม้เเต่คำว่า record โดยมากก็อ่านเเต่ 'เรค เคิดๆ เเต่ถ้าคำนี้เป็น กริยา มันก็ออกเสียงเป็น รี 'คอด หรือคำว่า vice versa ไว'ซะ เวอ'ซะ ถ้ามาท่อง คุณจะท่องเลยว่า ไวซ์ เวอร์ซ่า ถ้าจะมานั่งท่องให้ครบ คงเป็นเรื่องยาก การเรียนรู้ศัพท์ควรค่อยเป็นค่อยไป อย่าไปเร่งสปีด ยัดใส่สมอง สมองคนรับข้อมูลได้หมดก็จริง เเต่ไม่เร็วอย่างการ copy & paste ในสมองกล ก้เคยท่องศัพท์มาเยอะมากตอนมัธยมเเละมหาลัย ผมใช้วิธีจดใส่กระดาษ จากการเปิดดิคทุกหน้า จดเฉพาะศัพท์ที่ดูมีประโยชน์เเละศัพท์ที่สะดุดตา จนจบเล่ม เชื่อมั้ยว่า ยังไงก็จำไม่ได้หมด เพราะมันเยอะเกิน จำมันไม่เร็วเท่าจด จำได้บ้าง พอไม่ได้ใช้ ก็ได้เเต่ คับคล้ายคับคา เเละหลังจากจบมหาลัย ก็เริ่มมาเขียน thesaurus กับ encyclopedia ขนาดผมเองเจอศัพท์เดิมๆเยอะเเยะ เวลานึกจะเขียนอะไร มันยังติดๆบ้างเลย ก็มาเล่าเป็นประสบการณ์ว่า การท่องๆเเม้จะหลายครั้งก็ตาม เเล้วไม่ได้ใช้ หรือใช้น้อย มันก็ลืม เเละท่องโดยตัวหนังสือ มันไม่มีประโยชน์ ถ้าจะดี ถ้าอยากจะจำคำนึงๆได้เเบบถาวร ก็ควรใช้วิธีฟัง ฟังนี่จากออดิโอ้ก็ดี เเละฟังเรื่องนึงหลายๆเที่ยว พอไปเจอศัพท์เดิมในเรื่องอื่นๆ คุณจะเริ่มเข้าใจดีขึ้นไปตามลำดับ เช่นเดียวกันที่ ณ ตอนนี้คุณพูดภาษาไทยได้ดี คุณเองก็ไม่ได้ผ่านการท่องศัพท์ภาษาไทยมาเยอะๆถึงจำได้ หรือถึงสามารถพูดได้ จากคุณ : Thaumaturge - [ วันฉัตรมงคล 09:57:54 ]

ความคิดเห็นที่ 16 อ่านๆดูคงต้องใช้เวลาอีกนานเลย จากคุณ : fete - [ วันฉัตรมงคล 12:27:10 ]

ความคิดเห็นที่ 17 จริงๆแล้วการเรียนศัพท์ภาษาอังกฤษเพื่อ 1. อ่านให้เข้าใจ 2. แปลอังกฤษเป็นไทยให้ได้ถูกต้อง นั้น ตลอดชีวิตของการเรียนภาษาอังกฤษมา "เราไม่เคยจดศัพท์เลย" เพราะอะไร? ตอบ เพราะมันไม่จำเป็น เนื่องจากว่า ไม่ว่าเราจะอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความรู้หรือความบันเทิง หรือเพื่อแปลหนังสือไปตีพิมพ์ เราจะอ่าน (ebooks...คือว่าไม่ชอบอ่านหนังสือเป็นเล่มๆน่ะ) หรือเราจะทำงานแปล (แปลจาก ebooks) บน computer ที่มี dictionaries ที่เป็น software ติดตั้งอยู่เกือบ 20 ชุด และ computer เราก็ต่อกับเน็ตความเร็วสูง ซึ่งมี online dictionaries (นับร้อยๆพันๆชุด) กับ google ให้ช่วยค้นหาศัพท์และข้อมูลต่างๆได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น เราไม่จำเป็นต้องเรียนศัพท์บ้าแบบท่อง dictionaries เป็นเล่มๆยัดใส่สมองเข้าไปแบบบ้าเลือด เนื่องจาก แค่ใช้ mouse หรือ key อะไรแพล็บเดียว ก็ค้นศัพท์ ค้นข้อมูล เพื่อทำความเข้าใจ และเพื่อการแปลได้แล้ว.... แต่การจดศัพท์ เพื่อจดจำ ด้วยวิธีที่เรียกว่า memorization by association ที่เราคิดค้นขึ้นมา ซึ่งเล่าให้ฟังใน คคห 12 กับ 13 นั้น มาจากเหตุผลที่ว่า ตอนเราแปลหนังสือ เราพบ ลีลาการเขียนภาษาอังกฤษที่สวยงามมากๆ เช่นมีการใช้ metaphors ที่มีสีสันและเข้าใจยาก (ซึ่งน่าจะนำไปใช้ในการเรียนการสอนการแปลได้)  และจุดต่างๆหลายๆจุด ในหนังสือ ที่นักเขียนฝรั่งใช้ภาษาซึ่งกระตุ้นกระตุ้นต่อมการเรียนรู้ grammar และ sentence structure เพื่อนำไปปรับปรุง writing ของเรา ... บ่อยครั้งที่ พอรีบๆแปลเอกสาร หรือแปลหนังสือเสร็จ ส่งงานไป เมื่อก่อนไม่เคยจดไว้ พอทำงานเสร็จ ได้ความรู้มาแค่ 2 อย่างคือ 1. ทักษะในการตีความ ในขณะที่อ่านลีลาการเขียนแบบแปลกๆ ที่เราเอามาสะสมไว้ในสมอง 2. จำศัพท์ได้แค่ "บางส่วน" ที่แปลผ่านไป แต่ถ้าจะนำไปใช้เขียนประโยคเอง ก็ "จำไม่ค่อยจะได้" แล้วว่าจะเขียนยังไง จึงจะสวยงามเหมือนนักเขียนคนนั้น และไอ้ครั้นจะไปตามหาข้อความเหล่านั้นมาอ่านอีก (เพื่อตอกย้ำความทรงจำ)  มันก็หาลำบาก ต้องไปนั่งอ่านหนังสือใหม่ทั้งเล่ม... แล้วเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา เราก็ไปอ่านเจอข้อความที่นักแปลท่านหนึ่ง (ซึ่งแปลหนังสือจนคนอ่านอ่านไม่ทัน) ให้สัมภาษณ์ไว้ "อย่างน่าสงสาร" ว่า "ผมแปลหนังสือมาหลายร้อยเล่ม แต่ผมเขียนภาษาอังกฤษไม่เป็นครับ คืนอาจารย์ไปหมดแล้้วครับ แต่ผมแปลเก่งครับ..." ... ไปไปได้ยังไงกันหว่า...??!!!...คือว่าอะนะ เราไม่อยากเป็นแบบเขาน่ะ...สิ่งที่เขาพูดน่ะ ฟังดูแล้วมัน "แย่มากๆ" เลยหละ...ฮือๆๆๆ... ก็เลยทีแรกคิดว่า จะจดคำศัพท์และคำแปล ลงไปใน CAT (computer assisted translation) tool แต่ มันก็ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย เนื่องจาก "มันทำให้งานแปลเราล่าช้าลง" ดังนั้น เพื่อความรวดเร็ว เราจึง copy and paste แค่เพียง paragraphs ที่สวยงาม เอาไว้เท่านั้้น (โดยไม่จดนิยามของคำศัพท์)  แต่เราจะจัดเป็นหมวดหมู่ตามลักษณะดังที่ได้อธิบายไว้แล้ว ใน คคห 12 กับ 13 เพื่อวัตถุประสงค์หลักคือ 1. เอาไปสอนตัวเองให้หัดเขียน โดยกาีรศึกษาจากลีลาการเขียนของนักเขียนฝรั่งที่มีชื่อเสียง 2. ข้อความที่จัดเก็บไว้อย่างเป็นระเบียบในลักษณะคล้ายๆ corpus นั้น ในอนาคตสามารถใช้ประโยชน์ได้คือ    ก. เอาไปดัดแปลเพื่อตีพิมพ์เป็นตำราการแปล  ข. เอาไปดัดแปลงเพื่อตีพิมพ์เป็น dictionary (ที่มีตัวอย่างประโยคเพียบพร้อม)    ค. เอาไปเล่นแร่แปรธาตุเพื่อ ทำเป็นบทเรียน หรือตำราภาษาอังกฤษ (เพื่อตีพิมพ์) ได้ หรือเอาไป present ที่ workshop ได้  ง. ในกรณีที่มีใครอยากเรียน reading comprehension หรือการแปล หลักสูตรเร่งรัด (แต่คงไม่มีใครบ้าอยากเรียน) บางทีเราเอาไปใช้ ทำเป็น สื่อการสอนได้ เผื่อจะรวยแบบคนที่สอน DIY MIND MAP ได้บ้าง ยังไงล่ะ ฝันเฟื่องอีกแล้วนะ....555+++...  ทั้งนี้ และทั้งนั้น สิ่งที่เราทำไป  มันก็เป็นเพียงแค่ กิจกรรม การ exercise สมองของเราเท่านั้นเอง เนื่องจาก  "ว่างมาก! ต้องหาอะไรทำแก้เซ็งน่ะ...555+++..." แก้ไขเมื่อ 05 พ.ค. 52 13:01:45 แก้ไขเมื่อ 05 พ.ค. 52 12:57:36 จากคุณ : fortuneteller - [ วันฉัตรมงคล 12:51:12 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ิิอยากจะบอกว่าเราก็เป็น  เขียนไม่ได้สัปรดเลย แต่ถ้าให้อ่านเอาความ  อ่านตีความ  แปลได้หมด  ฮือๆๆๆ ถ้าอยากจำศัพท์เร็ว ๆ  ให้อ่านหนังสือประเภทเดียวกันเยอะ ๆ   สังเกตจากตัวเองเรียนบริหาร  อ่านแต่หนังสือแนวนี้  ก็จะได้ศัพท์ประเภทนี้เต็มไปหมด  แต่ถ้าให้ไปอ่านหนังสือวงการอื่นจะไม่เข้าใจศัพท์เฉพาะของเค้าเลย หรือจะลองจากหนังสืออ่านเล่น แนวสืบสวน สยองขวัญ  โรมานซ์ ก็ให้อ่านไปเรื่อย ๆ สักไม่เกิน 5 เล่ม  ศัพท์ที่เจอบ่อย ๆ ก็จะขึ้นใจเอง จากคุณ : susijang - [ 6 พ.ค. 52 00:48:32 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ติดตามการให้ความเห็นของคุณหมอดูมานานแล้ว รู้สึกทึ่งวิธีคิด วิธีเรียบเรียงความคิดออกมาเป็นตัวอักษร (ถูก ผิด ไม่ทราบ แต่อ่านได้อารมณ์ ชวนติดตามดี) คนเก่ง ๆ ในห้องนี้มีเยอะนะ แต่คุณเป็นคนที่ชวนให้ติดตาม แหม อยากเจอตัวเป็น ๆ จากคุณ : แก่เกินแกง - [ 6 พ.ค. 52 13:22:46 A:165.156.150.1 X:203.154.146.54 TicketID:135447 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ตอบคุณ susijang คคห18 ที่คุณว่า "อยากจะบอกว่าเราก็เป็น  เขียนไม่ได้สัปรดเลย แต่ถ้าให้อ่านเอาความ  อ่านตีความ  แปลได้หมด  ฮือๆๆๆ" ตอบ การ copy and paste ข้อความภาษาอังกฤษสวยๆ ที่เรา ที่เพิ่งทำเพื่อ "เรียนเจาะลึก" นี้ บ่อยครั้งที่เราเก็บสะสม "ศัพท์ง่ายๆ" แต่ในรูปแบบที่นักเขียนฝรั่งเขียนได้พลิกแพลงแบบ "เหลือเชื่อ" จริงๆ ...ซึ่งเราคิดว่า "โหมันคิดมาได้ไงกันเนี่ย" ....เราถึงต้องเก็บสะสมประโยคพวกนี้ไว้จดจำยังไงล่ะ การเรียนศัพท์อย่าเพิ่งไปพยายาม เรียนศัพท์หรูๆก่อน แต่พยายามเรียนศัพท์ง่ายๆ แล้วเอาไปใช้ให้ถูกต้องก่อน (learn to understand and compose) แล้วศัพท์หรูๆ มันจะได้เองทีหลัง เพราะถ้า learn to understand อย่างเดียว คุณจะลงเอยเหมือนนักแปลที่น่าสงสารท่านนั้นที่แปลหนังสือมาตั้งหลายร้อยเล่มแล้ว แต่ก็ยังเขียนภาษาอังกฤษไม่เป็นภาษาคน ที่คุณพูดว่า "อ่านหนังสือวงการอื่นจะไม่เข้าใจศัพท์เฉพาะของเค้าเลย หรือจะลองจากหนังสืออ่านเล่น แนวสืบสวน สยองขวัญ  โรมานซ์ ก็ให้อ่านไปเรื่อย ๆ สักไม่เกิน 5 เล่ม  ศัพท์ที่เจอบ่อย ๆ ก็จะขึ้นใจเอง" ตอบ อย่าเพิ่งมั่นใจนักนะ เราเห็นคนถามกันใน pantip ว่าอยากอ่านหนังสือภาษาอังกฤษให้เก่งอังกฤษ เห็นมีคนแนะนำ Agatha Christie เราก็เลยลองอ่านดูบ้าง และพบ "หลุมพราง" มากมาย ที่ทำให้คนที่ไม่ใช่้เจ้าของภาษา อ่านแล้วเข้าใจผิดหน้ามือเป็นหลังมือไปเลยหละ เราว่า นักแปล ที่แปล Agatha Christie สมัยยังไม่มี Internet ที่จะค้นข้อมูลได้ ถ้ากลับมาตรวจทานงานแปลอีกรอบ จะพบว่า "แปลผิดจังๆมากมายเพราะอ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษไม่เข้าใจและหลงคิดว่า อ่านเข้าใจ" ....จริงๆแล้วเราเคยปั่นกระทู้เรื่องความยากของหนังสือ Agatha Christie ไว้ ถ้าหาเจอจะเอามาแปะให้ดู ส่วนหนังสือ romance นั้น นับว่ายิ่งยากกว่าหนังสือนักสืบ เนื่องจากมีการใช้ American slang มากมาย อีกทั้งในส่วนที่เป็น love scene หรือที่ภาษาไทยเรียกว่า"บทอัศจรรย์" นั้น ก็มีการใช้ metaphors "จินตนาการหลุดโลก" มากมาย ถ้าคนอ่านคิดตามเกมแบบฝรั่งไม่ทัน เขาจะคิดได้แค่ มีเสียงลมพัด ฟ้าร้อง คลื่นกระแสไฟฟ้าตรงนั้นตรงนี้ ตี๊บตาบ ตี๊บตาบ ...อะไรต่อมิอะไร etc ฮ่าๆๆๆๆ... แต่ถ้าคิดตามเป็น เขาจะรู้ว่า "คำพูดสุภาพ" พวกนี้นะ แท้จริงแล้วเป็นการบรรยานยฉาก "การร่วมเพศ" อย่างดุเดือด ... เราเคยแปลหนังสือ romance มาแล้ว มันโครตจะยากมากๆเลยหละ... เราเลยรู้ดีว่่า ถ้าคนที่ไม่เชี่ยวชาญด้าน reading comprehension มากจริงๆ หรือถ้าไม่เคยอ่านนิยายภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เด็กๆจนรู้ทางหนีทีไล่ นะ พออ่านแล้ว บอกว่า "อ่านแค่ไม่กี่เล่มก็รู้หมดนะ" เรารับรองได้เลยว่า "แสดงว่าเขาอ่านแล้วเข้าใจผิดหน้ามือเป็นหลังมือ หลายแห่ง แต่หลงคิดว่า อ่านรู้เรื่อง" แก้ไขเมื่อ 06 พ.ค. 52 13:38:40 แก้ไขเมื่อ 06 พ.ค. 52 13:32:53 แก้ไขเมื่อ 06 พ.ค. 52 13:26:52 จากคุณ : fortuneteller - [ 6 พ.ค. 52 13:25:42 ]

ความคิดเห็นที่ 21 เอ่อ เพิ่งเจอประโยคสวยๆจากหนังสือที่กำลังแปล ก็เลยเอามาแปะให้คนอยากเรียน vocab ดูเป็น sample (เพื่อเปรียบเทียบวิธีการที่เราเรียน กับวิธีการที่คนอื่นเรียน) ตามที่เราบอกว่า เราเรียน "vocab" นั้น เราไม่ได้เรียนแบบที่นักเรียนเตรียมสอบเรียนท่องศัพท์จากติวเตอร์ที่สอนกันเกร่อ พวกติวเตอร์่ชอบขาย course ที่เรียกว่า "vocab" กันนัีกเีชียว แต่จริงๆแล้วมันน่าจะเรียก ว่า "reading comprehension" เสียมากกว่า  นั่นก็เพราะว่า จากประสบการณ์ในการทำงานแปลของเรานั้น เราพบว่า ต่อให้รู้ศัพท์ว่ามันแปลว่าอะไร แต่บางที (ด้วยสาเหตุหลายประการ) นักแปล (ที่กระดูกอ่อนๆ) ก็ยังอ่าน ภาษาอังกฤษต้นฉบับไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำไป   ตอนนี้ เรายังไม่สาธิต ประโยคยากๆ ที่ "ต่อให้รู้ศัพท์ทุกคำ บางทีก็ยังอ่านภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่อง" แต่เราจะสาธิต ลักษณะของ ข้อความ "ง่ายๆ" ที่เรา "ชอบ" copy and paste  (ที่เราทำเพื่อการเรียนรู้ของเราเอง) เช่นประโยคนี้เป็นต้น Then he jammed the truck into gear and popped the clutch, lurching onto the highway. The whole thing had taken under two minutes. ศัพท์ง่ายๆทั้งนั้นเลย... แต่ learners ทั่วๆไป ควรสังเกตให้ดีๆว่าฝรั่งนักเขียนเขาใช้คำศัพท์ง่ายๆเหล่านี้สร้างประโยคให้มีสีสันได้อย่างไร (ซึ่งเราควรหัดเลียนแบบ) เช่น jammed the truck into gear popped the clutch lurching onto the highway   นี่แหละคือ การ "อ่าน" แล้ว "แยกธาตุ" เพื่อ "หัดเขียน"... ไม่ใช่ท่องแต่คำศัพท์เป็นจำนวนมากมายก่ายกองในสมอง แต่ "ไม่รู้วิธีใช้คำศัพท์มาเขียน" .... หลักการที่สำคัญ ก็คือ พยายามเรียนรู้การใช้ศัพท์ง่ายๆ แบบที่คนที่ไม่ใช่เจ้าของภาษาอังกฤษ นึกไม่ถึง โดย "สังเกต" ดูว่าฝรั่งเจ้าของภาษาใช้คำศัพท์ผสมผสานกันในแนวคิดของพวกเขาอย่างไร แล้วเราก็พยายามเลียนแบบพวกเขา  นี่แหละคือเคล็ดลับในการเรียน "อ่านเพื่อเขียน" หรือที่เราเรียกว่า reading towards writing นั่นเอง... แก้ไขเมื่อ 07 พ.ค. 52 02:11:48 แก้ไขเมื่อ 07 พ.ค. 52 02:02:53 แก้ไขเมื่อ 07 พ.ค. 52 01:59:26 จากคุณ : fortuneteller - [ 7 พ.ค. 52 01:56:38 ]