ความคิดเห็นที่ 1 ตามมารับบัญชาอาจารย์สื่อฯ จากกระทู้ที่แล้วครับ เรื่องข้าวเหนียวร้อนนี่ผมมีวิธีแก้ครับ คิดออกกันเดี๋ยวนั้นเลยก่อนที่นิ้วจะพองคือช่วงว่างรอพระท่านเดินมาก็เอามือจกปั้นเป็นก้อนๆรอก่อนเลยครับปั้นได้ประมาณ 20 ก้อน พอพระท่านเดินมาก็หยิบไอ้ก้อนข้าวเหนียวก้อนที่ปั้นแล้วใส่เลยครับ เพราะข้าวเหนียวจะเย็นแล้วตามรูป จากคุณ : ryzon - [ 6 พ.ค. 52 11:42:04 ]

ความคิดเห็นที่ 2 แล้วก็ใส่บาตรโลด จากคุณ : ryzon - [ 6 พ.ค. 52 12:14:08 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ที่ผมไปวังเวียง-หลวงพระบาง ไปเองครับ แบคแพคไปแบบที่ใน BP ทำกัน เริ่มต้นก่อนขึ้น อินเตอร์บัสที่หนองคายก่อนครับ คนละ 60 บาท แนะนำให้รีบซื้อเพราะมิฉะนั้นจะได้ยืนตามรูป จากคุณ : ryzon - [ 6 พ.ค. 52 12:18:27 ]

ความคิดเห็นที่ 4 จุดที่ซื้อตั๋วครับมีตารางเวลาบอกครบ จากฝั่งเวียงจันทร์ก็เวลาเดียวกัน ต้องโชว์พาสสปอร์ต หรือ บัตรผ่านครับ ไม่งั้นไม่ขายให้ครับ จากคุณ : ryzon - [ 6 พ.ค. 52 12:20:16 ]

ความคิดเห็นที่ 5 แม่น้ำโขงครับ ตอนข้ามกลางสะพาน จากคุณ : ryzon - [ 6 พ.ค. 52 12:21:48 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เล่าข้ามไปครับ รถออกจากขนส่งแล้วจะจอดตรง ตม. ฝั่งไทยก่อน ให้กรอกใบขาออกอะไรนี่แหละครับ  คนเยอะแค่ไหนอย่าตกใจครับเพราะรถจะรอเราครับ การข้ามไปฝั่งลาวไปได้หลายทางครับ บางคนชอบเหมาสามล้อจากหนองคายมาทำเรื่องเองเพื่อจะแวะ DUTY FREE ซึ่งส่วนตัวผมไม่ค่อยชอบครับเพราะแพง ถามราคามาแล้ว จากขนส่งไป ด่านฝั่งไทยประมาณ 30- 40 บาท  จะข้ามไปฝั่งลาวยังไงผมลืมถาม แต่จาก ด่านลาวเข้าเวียงจันทร์ รถคิด 300 บาท / คัน ถ้าได้คนหารก็ดีไป และผมมองว่าของ DUTY FREE ก็ไม่ได้ถูกอะไร เหล้าหรือกาแฟนอกซื้อในไทยยังถูกกว่าเลยครับ กลับมาที่อินเตอร์บัสต่อ จากนั้นรถพาเราข้ามมาด่านฝั่งลาว ก็ลงมาทำเรื่องเข้าเมืองโดยกรอกใบขาเข้า โดยมากพนักงานในอินเตอร์บัสจะหยิบมาให้ ถ้าไม่มีก็ไปขอที่ช่องของ ตม.ลาวได้ครับ รถรอเราเหมือนเดิมครับ จากนั้นก็เข้าเวียงจันทร์ ด่านฝั่งลาวครับ จากคุณ : ryzon - [ 6 พ.ค. 52 12:35:24 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ตอนแรกก็คิดครับว่าจะหารถไปวังเวียงยังไง พอไปถึง ก็ไม่ยากครับ ลงรถปุ๊บมีคนมาทักปั๊บ "น้องไปวังวียงหรือเปล่า" จากนั้นก็เจรจาต้าอ่วยกันสรุปได้ว่าค่ารถไปคนละ 60,000 กีบ ถ้าจ่ายเงินไทย 250 บาท เป็นรถทัวร์ต้องไปขึ้นที่บริษัทฯในเมือง เสียค่าสามล้ออีกคนละ 30 บาท อัตราแลกเปลี่ยนวันที่ผมไป 241 กีบ / 1 บาท รูปรถบัสที่นั่งไปครับ ทั้งคันมีหัวดำอยู่ 2 คนครับ แก้ไขเมื่อ 06 พ.ค. 52 12:51:03 จากคุณ : ryzon - [ 6 พ.ค. 52 12:47:44 ]

ความคิดเห็นที่ 8 รถวิ่งจากเวียงจันทร์ประมาณ 3 ชั่วโมง ระยะทางไม่ไกลประมาณร้อยกว่ากิโล แต่ขับช้าครับ พอรถไปถึงวังเวียงประมาณบ่ายสองร้อนดีแท้ รถเอาไปปล่อยตรงรีสอร์ตซักที่ แพงเอาเรื่องเหมือนกันที่พักคืนละ 30 เหรียญยูเอส ได้ยินดังนี้กะเหรี่ยง 2 คน(ยืมสำนวนอาจารย์สื่อฯมาใช้ครับ) ก็เดินเข้าเมืองหาที่พักละครับ มีคนมาชวนตลอด ส่วนใหญ่เป็นเกสเฮ้าส์ในเมืองมีตั้งแต่ 160 ยัน 400 บาท แต่คนที่ไปด้วยกันประกาศิตมาแล้วว่าจะริมน้ำ เลยต้องก้มหน้าหาต่อไปตอนนั้นร้อนก็ร้อน หิวก็หิวทั้งวันกินแค่กาแฟกับปาทองโก๋ที่หนองคายไป แถมคืนก่อนนั่งรถไฟมานอนไม่ค่อยหลับอีก แล้วตะละแม่แกจะเอาที่พักริมน้ำแต่ถูกอีก แล้วตูจะไปหาที่ไหนฟะ เหมือนฟ้ามาโปรด ระหว่างเดินหาอยู่มีหนุ่มลาวหน้าตาดี(ภรรยาแกสวยด้วย) มาทาบทามกะเหรี่ยง 2 คน ที่งกๆเงิ่นๆอยู่ ว่าสนใจไหม มีบังกาโลริมน้ำเหลืออยู่หลังหนึ่ง คืนละ 600 บาทเป็นเงินลาวก็ 150,000 กีบ มีแอร์ มีน้ำอุ่น มีทีวีไทย แล้วก็ร่ายยาว พร้อมคะยั้นคะยอบอกไปดูก่อนก็ได้  ป้าดโธ่... แค่บอกอยู่ริมน้ำ คืนละ 600 บาทตูก็เอาแล้วไม่ต้องสาธยายยืดยาว ตูร้อนเฟ้ย พอดูเสร็จก็ตกลงทันทีเลยครับ ที่พักตามรูปครับ แก้ไขเมื่อ 06 พ.ค. 52 13:43:24 จากคุณ : ryzon - [ 6 พ.ค. 52 13:06:48 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ข้างใน ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1 กว้างพอประมาณครับ จากคุณ : ryzon - [ 6 พ.ค. 52 13:11:31 ]

ความคิดเห็นที่ 10 วิวที่มองออกไปครับ จากคุณ : ryzon - [ 6 พ.ค. 52 13:14:35 ]

ความคิดเห็นที่ 11 มองลงไปที่แม่น้ำซอง มีเด็กๆเล่นน้ำคับ จากคุณ : ryzon - [ 6 พ.ค. 52 13:16:20 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ตรงนี้จะเป็นบาร์ครับ ให้สั่งเครื่องดื่มขณะเล่นน้ำ ถ้าไม่สั่งคิดค่านั่ง 10,000 กีบครับ(ประมาณ 40 บาทครับ) จากคุณ : ryzon - [ 6 พ.ค. 52 13:21:13 ]

ความคิดเห็นที่ 13 วิวทั่วไปครับ จากคุณ : ryzon - [ 6 พ.ค. 52 13:23:52 ]

ความคิดเห็นที่ 14 หลังเช็คอิน เล่นน้ำ(อาบน้ำ)แล้ว ก็ไปหาของกินครับ เนื่องด้วยเป็นเด็กสมัยใหม่ทั้งคู่ไม่กินผักครับ เลยล่ออาหารฝรั่งยืนพื้นครับ ซึ่งหากินไม่ยากในวังเวียง มื้อแรกหน้าตาอย่างนี้ครับ จากคุณ : ryzon - [ 6 พ.ค. 52 13:25:35 ]

ความคิดเห็นที่ 15 แล้วก็เรียบครับ มื้อนี้รวมเบียร์ลาว 1 ขวดหมดไป 76,000 กีบ ครับ ขอตัวไปทำงานก่อนครับ แก้ไขเมื่อ 06 พ.ค. 52 13:36:59 จากคุณ : ryzon - [ 6 พ.ค. 52 13:34:02 ]

ความคิดเห็นที่ 16 แหม เห็นแม่ย่านางที่ไปด้วยแล้ว ก็ต้องบอกว่า อย่าขัดใจได้ละเป็นดีที่สุดครับ ขอแก้ข่าวหน่อย ที่คุณพี่เจ๊ หาว่าผมนอนหลับทับบุญไม่ยอมตื่นเช้าไปจกบาตรข้าวเหนียวกับคุณพี่เจ๊นั้น   ความจริงแล้ว มันมีเบื้องหลังครับ เพราะวันนั้นที่คุณพี่เขาย้อนยุคเป็นเจ้าหญิงมณีลัยไปนั่งพับเพียบ (ได้ 30วิ ก็ขอเก้าอี้โรงแรมมานั่งแทน)จกข้าวเหนียวนั้น ไม่รู้ว่าเพราะบุญบารมีของเจ้าหญิงมณีลัยมาแต่ชาติปางก่อนหรือไร  แค่เตรียมตั้งท่าจกข้าวเหนียวใส่บาตรเท่านั้นแหละ ไฟฟ้าดับทั้งหลวงพระบาง ! เหตุฉะนี้แล้ว ด้วยบุญบารมีที่สั่งสมมาแต่ชาติปางก่อน  กระผมคงเป็นแค่ไพรราบพลเลว เลยมิอาจหาญไปเทียบทำบุญร่วมขันกะคุณพี่เจ๊เขาได้ แต่ไม่ใช่ว่าจะนอนหลับทับบุญนะครับ แต่ด้วยสำนึกในหน้าที่ไกด์อาสาที่ดี รู้ว่าเช้ามาหลังปฎิบัติภารกิจสร้างบุญเสริมบารมี ลูกทัวร์ต้องต่อด้วยเบรกฟาสต์ทันที ทีนี้เมื่อไฟฟ้าดับกันทั้งเมือง แล้วจะหาน้ำร้อน น้ำชามาต้มมาชงกาแฟอย่างไรละครับ ก็เลยต้องวิ่งวุ่นหาวิธีทำให้น้ำร้อนแทนกระติกน้ำไฟฟ้าจากเมืองจีนใบใหม่ที่เป็นความภูมิใจของรีสอร์ทนี้ให้ได้ แถมได้บ๋อยหนุ่มหน้าแฉล้ม หุ่นอ้อนแอ้น ก็ไม่ค่อยจะให้ความร่วมมือ เพราะมันมีฝรั่งที่น่าจะออกสำเนียงเยอรมัน ทำท่ากระหริ่มกระเหรี่ย หยอกล้อไอ้บ่าวละอ่อนนั้นไม่หยุด มันเลยมวแต่ไปฉอเลาะเสิร์ฟอยู่กะเจ้าเยอรมันนั่นเสียแทน แหม หนุ่ม ๆ เลยเกือบได้ตบแย่งผู้ชายกันให้สาว ๆ ดูซะแล้ว จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 6 พ.ค. 52 14:28:39 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ส่วนชุดทหารโซเวียต ลองหาสารคดีสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มาดูครับ ลักษณะชุดเขาจะเป็นแบบนี้แหละ เดี๋ยวจะลองหาภาพมาให้ดูชัด ๆ อีกที ตอนที่ทหารโซเวียตจับมือกับจีไอในเบอร์ลิน ส่วนหมวกทหารรถถัง มันจะมีลักษณะเฉพาะครับ  เป็นซี่ ๆ เห้มือนหมวกที่นักกีฬาจักรยานเขาใช้กัน  เพราะทหารรถถังเขาต้องติด ว.ในหมวกเพื่อสั่งการด้วย หมวกแบบนี้ในร้านขายของที่ระลึกมีขายครับ แต่แพงและขนาดเล็กมาก เลยไม่ได้ซื้อมา เพราะคงเอามาทำอะไรไม่ได้นอกจากตั้งโชว์ให้ฝุ่นจับเฉย ๆ ส่วนคุณหมอ ฮา ฮา ยี นั่น ผมเชื่อว่าไม่ใช่ไม่รู้หรอก ถ้าพินิจพิจารณาแบบคนตั้งใจทำการบ้านจริง ๆ ก็น่าจะตอบได้ แต่นี่ดูแล้ว ประเภทเด็กเขี้ยว ขี้เกียจทำการบ้าน แล้วหาโอกาสลักไก่แทนมากกว่ามั๊ง อย่างนี้มันต้องแฉ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 6 พ.ค. 52 14:33:18 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ภาพนี้เป็นภาพทหารรถถังโซเวียตในวันที่บุกเข้ากรุงเบอร์ลินครับ ข้าง ๆ รถถัง เราจะเห็นทหารประจำรถถังที่ใส่หมวกอย่างทีว่านี้ ส่วนข้างหลังถัดไป จะเห็นชุดที่มีเสื้อคลุมไหล่และหมวกหนีบ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 6 พ.ค. 52 15:00:29 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ขยายเฉพาะรูปทหาร เครื่องแบบพวกนี้เป็นเครื่องแบบทหารโซเวียตสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ครับ สมัยนี้ไม่แต่งกันแล้ว เพราะเทคโนโลยีก้าวไปไกล เพราะฉนั้นเมื่อเราเห็นภาพปูนปั้นนูนต่ำที่แสดงเครื่องแบบชัดเจนก็ทราบได้ว่าคือทหารของใคร หน่วยไหน เพราะเป็นชุดทหารอเมริกันสมัยนั้น จะเป็นอีกแบบ ยิ่งเยอรมันยิ่งต่างไปกันใหญ่ ภาพนี้ขยายขึ้นมาอีกนิด จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 6 พ.ค. 52 15:03:35 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ลองเทียบดูอีกทีครับ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 6 พ.ค. 52 15:06:16 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ที่อยากไปยุโรปตะวันออก มีเหตุผหลักอยู่ 2 ข้อครับ อย่างแรก คือ อยากไปเห็นปราสาทในยุคกลาง ซึ่งตอนนั้นยุโรปตะวันออกเป็นศูนย์กลาง เพราะการพัฒนาการทางเรือเพื่อเดินทางค้าขายยังไม่เกิดขึ้นทำให้ยุโรปกลางที่หลายแห่งไม่ติดทะเล จึงไม่ใช่ปัญหาในการพัฒนาความเจริญ ยุคนั้น นอกจากปราสาทที่เกิดจากเจ้าขุนมูลนาย อัศวิน ที่เกิดขึ้น หลังจากอาณาจักรโรมันล่มสลาย และอัศวินได้เดินทางไปทำสงครามครูเสดแล้ว ยังมีโบถส์วิหาร ในระดับ มหาวิหาร จำนวนมาก เนื่องจากในยุคกลางเป็นยุคที่เกิดการแตกแยกทางศาสนาเป็น 2 นิกาย คือ โปรแตสแตนส์ที่ประกาศแยกตัวออกมาจากคาธิลิก ทำให้เกิดสงคราม 2 นิกายถึง 30 ปี สร้างความเสียหายให้กับยุโรปเหลือคณา จุดเริ่มต้นของความขัดแย้งนี้ก็เริ่มที่ปรากนี่แหละครับ อีกเหตุผลหนึ่ง คือ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศเหล่านี้ถูกโซเวียยึดครอง และบังคับให้กลายเป็นคอมมิวนิสต์ ทั้งเชคโกสโลวาเกีย และฮังการี และกว่าจะพ้นจากความเป็นคอมมิวนิสตืได้ ก็เมื่อยุค 80 ปลาย ๆ ความเป็นคอมมิวนิสต์มาก่อนนี่แหละครับ คือเสน่ห์ที่น่ามอง เพราะนอกจากจะเห็นสถาปัตยกรรมที่สะท้อนความเชื่อในเรื่องลัทธิ (ประเภทรูปปั้นเลนิน มาร์ก ไม่ต้องหาครับ ไม่เหลือแล้ว) ยังได้เห็นความเป็นจริงที่ว่าคอมมิวนิสต์จะสร้างความอยู่ดีมีสุขให้กับประชาชนได้จริงหรือไม่ เพราะในช่วงสงครามเย็นนั้น ต่างฝ่ายต่างโปรปะกันดาตัวเอง  แถมยุโรปตะวันออกยังกางกั้นไว้ด้วยม่านเหล้ก เลยมีแต่เสียงเล่าลือ ไม่รู้อะไรจริง ไม่จริง อีกประเด็นพ่วงท้าย คือ หลังจากเปิดม่านเหล้กแล้ว โลกก้ได้เห็นความสวยงามของยุโรปตะวันออกอีกครั้ง  หนังฮอลีวู๊ดเข้าไปเจาะเมืองปรากออกมาอวดสายตาชาวโลกในหนังเรื่อง the mission impossible ที่ไปใช้โลเกชั่นที่นั่น อย่างสวยงาม อยากเห็นครับ ประการสุดท้าย คือ มีคนที่ได้ไปปรากมาก่อนผม แล้วมีของฝากเป็นดีวีดีกรุงปรากมาให้ดู  เห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่อยากจะไปเห็นด้วยตาตัวเองสักครั้ง นอกจากเรื่องพวกนี้แล้ว ก็มีเรื่องไม่เข้าท่าที่ไปทำเอาไว้อีกตั้งเยอะครับ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 6 พ.ค. 52 15:18:39 ]

ความคิดเห็นที่ 22 แต่จากเมืองไทย ถ้าบินการบินไทย เราต้องไปลงที่มิวนิคก่อน ด้วยเราบินไปตอนกลางวัน และเวลาที่นั่นช้ากว่าเรา 6 ชั่วโมง  เมื่อไปถึงจึงไม่เห็นอะไรเลย เพราะมืดแล้ว แถมต้องตรงดิ่งเข้าที่นอนอีกต่างหาก โรงแรมมาตรฐานเยอรมันนี่สุดสอดครับ  เรื่องความสะอาดนั้น ต้องเรียกว่าที่ 1 จริง ๆ แม้จะเป็นโรงแรมเล็ก ๆ ใก้ลสนามบิน แต่มาตรฐานสูงทั้งในเรื่องความสะอาดและห้องพัก รวมทั้งอาหารการกินด้วย ที่สำคัญ คือ มีเจ้าขวดนี้ตั้งหราตั้งแต่คืนแรกที่เข้าพักเลย จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 6 พ.ค. 52 15:30:49 ]

ความคิดเห็นที่ 23 อย่าถามรสชาติว่าเป็นยังไงเลยครับ เพราะเจ้าขวดนี้หลดมือไปถึงแขกที่เข้าพักคนต่อไปได้ เพราะเยอรมันนั้นไม่ค่อยมีชื่อในเรื่องการทำไวน์แดง แถมราคายังเรตโรงแรมอีกต่างหาก เพราะแอบแวบซุปเปอร์มาร์เก็ตที่สนามบินแล้ว เห็นราคาไวน์จากสเปน ฝรั่งเศส อิตาลี ราคาไม่น่าเกลียด ก็เลยกะว่า เดี๋ยวค่อยหาเอาบ่อหน้าได้ ก็เลยปล่อยผ่านไปก่อน ซึ่งถ้าหากคนที่เขารู้ว่าไวน์ยี่ห้อนี้มันดีสมราคา หรือ ดีกว่าราคาที่เห็น ก็ช่วยบอกหน่อยนะครับ จะได้ตีอกชกตัวให้สมค่าโง่หน่อย จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 6 พ.ค. 52 15:38:37 ]

ความคิดเห็นที่ 24 อิจฉาอาจารย์สื่อฯไปนอก ได้ตระเวณชิมไวน์ ผมไปลาวได้แต่ขวดนี้นะครับ กินตามร้านอาหาร 10,000 กีบ ซื้อตามโชว์ห่วย 8,000 กีบ ครับ จากคุณ : ryzon - [ 6 พ.ค. 52 18:04:27 ]

ความคิดเห็นที่ 25 บรรยากาศในเมืองวังเวียงตอนเย็นครับ จากคุณ : ryzon - [ 6 พ.ค. 52 18:05:40 ]

ความคิดเห็นที่ 26 บรรยากาศในร้านอาหารครับ มีฝรั่งมานั่งเอกเขนกดูหนังทั้งวันครับ ส่วนใหญ่เป็นหนังซีรี่ย์ของฝรั่งเค้า ร้านไหนไม่มีนี่ ฝรั่งไม่เข้าร้านครับ จากคุณ : ryzon - [ 6 พ.ค. 52 18:10:23 ]

ความคิดเห็นที่ 27 บรรยากาศในเมืองอีกรูป ให้ตะละแม่เค้ามาเป็นนางแบบ ถ้าไม่ให้แกจะโกรธ จากคุณ : ryzon - [ 6 พ.ค. 52 18:13:43 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ใครรู้มั่งครับนี่ต้นอะไร ดอกสวยดีครับ จากคุณ : ryzon - [ 6 พ.ค. 52 18:16:05 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ไปวังเวียงมีกิจกรรมไม่ควรพลาดครับ คือพายเรือคายัค กับ ล่องห่วงยาง ผมเลือกอันหลัง วิธีการไม่ยุ่งยากมีร้านให้เช่าอยู่ ถามที่พักเราก็ได้ว่าเช่าที่ไหนจากนั้นไปติดต่อเค้าจะคิดดังนี้ ค่าเช่า 55,000  กีบ ค่ารถไปส่งต้นน้ำ 10,000 กีบ ถ้ามีไม่ถึง 4 คนแล้วเราจะไปก่อนรับผิดชอบส่วนต่างครับ ค่ามัดจำ 50,000 กีบ (จะได้คืนตอนกลับมา) จากนั้นได้ห่วงยางมา รถจะพาเราไปส่งต้นน้ำ ห่างจากเมืองประมาณ 4 กม. เสียดายไม่ได้เอากล้องไปเพราะกลัวเปียกนะครับ ตรงจุดล่องเค้าจะมีโหนเชือกด้วยผมเรียกไม่ถูก  จากนั้นก็ล่องห่วงยางลงมา ล่องไปด้วยเอารองเท้ามาพายด้วย เสียเวลาเกยตื้นด้วย ลอยมาถึงที่พักใช้เวลาประมาณ 2 ชม. กว่าๆ ครับ ขณะล่องก็จะมีร้านอยู่ตามทางให้แวะซดเบี้ยร์ได้ รู้มาว่าฝรั่งมาล่องแต่เช้า ล่องไปกินไป มาถึงเมืองก็เย็นนะครับ รูปตัววอย่าง ถ้าคนตัวเบาจะล่องสนุกกว่าครับเพราะกินน้ำไม่ลึก แก้ไขเมื่อ 06 พ.ค. 52 21:56:58 จากคุณ : ryzon - [ 6 พ.ค. 52 18:25:51 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ดอกหางนกยูงครับ ที่เนื้อเพลงเขาว่า "ปลูกยูงทองไว้เคียงโดม"นั่นแหละ ไปถึงลาวแล้วลองหาดอกจำปามาให้ดูหน่อยสิครับ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 6 พ.ค. 52 20:30:36 ]

ความคิดเห็นที่ 31 กระทู้อะไรเนี่ย  วันเดียววิ่งกระฉูดไป 30 โพสต์แล้ว ดีจิรง  ได้เที่ยว สองเมืองในคราวเดียวกัน ขอบคุณไกด์กิติมศักดิ์ทั้งสองท่านค่ะ นั่งอ่านสลับกันไปมา  เพลินไปเลย จากคุณ : Gasalong - [ 6 พ.ค. 52 20:57:51 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ต้นหางนกยูงครับ คนลาวเรียกว่าต้นฝาง ออกเมล็ดเป็นแผงและแกะเอาเมดข้างในทานได้ คนลาวเรียกว่าหมากฝาง ถ้ามาลาวคราวหน้าลองทานดูนะครับจะติดใจอย่างแรง หมากฝางเป็นตัวเลือกอย่างนึงของขนมน้ำหวานในลาวครับ จากคุณ : คนพื้นที่ - [ 6 พ.ค. 52 22:06:18 A:115.84.65.12 X: TicketID:198023 ]

ความคิดเห็นที่ 33 เข้ามาลงชื่อตามธรรมเนียม คิดถึงลาวจัง อยากไปอีก ในบรรดาเพื่อนบ้านทั้งหมดนี่ผมชอบลาวที่สุด รองลงมาก็พม่า (เฉพาะท่าขี้เหล็ก) จากคุณ : Ronachai (amscmu) - [ 6 พ.ค. 52 22:39:36 ]

ความคิดเห็นที่ 34 เข้ามาเที่ยวสองฝั่งโลกด้วยคนครับ จากคุณ : โกฏิดารา (เทราสเฟียร์) - [ 7 พ.ค. 52 00:01:51 ]

ความคิดเห็นที่ 35 บนสะพานมิตรภาพมีรถประเภท shuttle bus วิ่งข้ามสะพานไปมาระหว่างด่านไทยกับด่านลาวครับ  ทำเรื่องหลุดจาก ตม. ได้ก็ยืนคอยหน้าด่านเลย   ค่ารถดูเหมือนจะคนละ 20 บาท  (ไม่แน่ใจครับ) จากคุณ : Dearance (Dearance) - [ 7 พ.ค. 52 12:16:03 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ขอบคุณทุกท่านที่เพิ่มเติมข้อมูลให้ครับ ที่ถามถึงเพราะตอนล่องห่วงยางนะครับ ล่องตอนแรกๆก็สนุกดี ลอยบ้าง เกยตื้นบ้าง ก็ลอยกันไป แต่พอลอยนานๆ ใกล้มืดก็กระวนกระวาย เอ... เมื่อไหร่จะถึงฟะ (จริงๆถ้าเบื่อล่องก็แวะขึ้นฝั่งเรียกรถกลับก็ได้ แต่ตะละแม่ที่ไปด้วยบอกลอยไปเรื่อยๆ) ลอยไปด้วยพายไปด้วย จนกระทั่งเห็นต้นหางนกยูงสีแดงๆไกลๆ จำได้ว่าข้างๆที่พักมีต้นหางนกยูงต้นเบ่อเร่อ เห็นแล้วดีใจมาก ตูลอยมาถึงซะที ก็อยากแนะนำครับถ้าจะล่องห่วงยางหรือพายเรือแล้วไม่อยากกังวลก็น่าจะมาลอยตอนเที่ยง หรือมาแต่เช้าเลยก็ได้ จะได้ไม่ต้องมากังวลอย่างผม อันนี้รูปของตะละแม่ครับสังเกตว่าห่วงยางกินน้ำไม่ลึกครับ แก้ไขเมื่อ 07 พ.ค. 52 13:07:12 จากคุณ : ryzon - [ 7 พ.ค. 52 12:56:32 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ไกด์รุ่นใหญ่อย่างอ.สื่อฯที่จะพาทัวร์ยุโรปยังไม่มา มาดูไกด์ผีตัวอ้วนๆ พาไปมั่วที่วังเวียงก่อนละกันครับ ต่อครับสำหรับคุณแม่บ้านที่ติดละครหลังข่าว ประเภทหลังสองทุ่มครึ่งต้องดูให้ได้ เดี๋ยวต่อไม่ติด ไม่ต้องกังวลครับ ที่ลาวรับทีวีไทยได้ครับชัดแจ๋ว ตามรูปครับ แก้ไขเมื่อ 07 พ.ค. 52 13:04:56 จากคุณ : ryzon - [ 7 พ.ค. 52 12:58:45 ]

ความคิดเห็นที่ 38 รูปวังเวียงยามเช้าถ่ายจากที่พักครับ จากคุณ : ryzon - [ 7 พ.ค. 52 13:00:59 ]

ความคิดเห็นที่ 39 อีกรูปครับ จากคุณ : ryzon - [ 7 พ.ค. 52 13:02:32 ]

ความคิดเห็นที่ 40 วังเวียงยามเช้าครับ เงียบสงบ มีเด็กๆขี่จักรยานไปโรงเรียน ตามรูปครับ จากคุณ : ryzon - [ 7 พ.ค. 52 13:09:56 ]

ความคิดเห็นที่ 41 โซนที่ผมอยู่หาอาหารท้องถิ่นกินยากครับ เลยกินแต่อย่างนี้ครับ ขนมปังฝรั่งเศสหรือบาเก็ตต์แรกๆกินก็ฝืดคอ แต่กินบ่อยๆก็อร่อยดีครับ ยิ่งอุ่นมาร้อนๆ กินกันจนดั้งงอกเลยครับ มื้อนี้หมดไป 40,000 กีบครับ หรือ 160 บาท ปล.กาแฟลาวอร่อยมากเลยครับ เข้มข้นกลมกล่อม ไม่บาดคอครับ จากคุณ : ryzon - [ 7 พ.ค. 52 13:13:43 ]

ความคิดเห็นที่ 42 หยิบผิดรูป รูปนี้ครบเซ็ตครับ หรือจะกินกาแฟอย่างเดียวแก้วละ 5,000 กีบ หรือ 20 บาทครับ จากคุณ : ryzon - [ 7 พ.ค. 52 13:16:26 ]

ความคิดเห็นที่ 43 กินเสร็จ ก็รีบกลับมาเก็บของเตรียมขึ้นรถไปหลวงพระบางต่อครับ เรื่องตั๋วรถถ้าเน้นสะดวกไม่คิดมากเรื่องเงินก็ซื้อที่เกสต์เฮ้าส์ที่เราพักนะครับ จะมีรถมารับถึงที่พาไปต่อรถทัวร์ที่ขนส่งหรือสนามบินก็แล้วแต่ ค่าตั๋วหรือปี้อยู่ที่ 90,000 - 95,000 กีบ แล้วแต่ว่าที่ไหนชาร์ตมากชาร์ตน้อย ถ้าไปซื้อเองผมว่าน่าจะประมาณ 80,000 กีบ แต่นั่นต้องซื้อตั๋วรถเองหารถไปขึ้นที่ขนส่งเองครับ ขอตัวไปทำงานก่อนครับ จากคุณ : ryzon - [ 7 พ.ค. 52 13:25:38 ]

ความคิดเห็นที่ 44 รูปเก่า ๆ ของเมืองวังเวียง สมัย พ.ศ. 2516 ครับ จากคุณ : Dearance - [ วันวิสาขบูชา 16:53:32 ]

ความคิดเห็นที่ 45 แถวนี้คงกลายเป็นร้านอาหาร บาร์ ไปหมดแล้ว ภาพจาก http://widetalks.ไม่อนุญาตให้โฆษณา/journal/item/1 จากคุณ : Dearance - [ วันวิสาขบูชา 16:57:30 ]

ความคิดเห็นที่ 46 อ้าว  เวบที่อ้างอิง  กลายเป็นไม่อนุญาตให้โฆษณาเฉยเลย เค้าโกรธรัยกันหว่า  -_-"] จากคุณ : Dearance - [ วันวิสาขบูชา 17:08:18 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ไปเที่ยวลาว   มิต้องแบกเงินไปเป็นเข่งเลยเหรอคะ ซื้ออะไรทีเป็นแสนๆกีบ หน้าตาเงินเขาเป็นยังไงคะ  ใครอยู่บนแบ๊งค์ ใช้เงินบาทได้หรือเปล่า  หรือเขารับแต่  ยูเอส  ดอลล่า จากคุณ : Gasalong - [ วันวิสาขบูชา 21:33:17 ]

ความคิดเห็นที่ 48 กำลังมึนกับวิทยานิพนธ์ครับ เพื่อนโทรมาถามจะทำอีกกี่เดือนเสร็จจะรับพร้อมกันไหม วันนี้ก็เลยทำครับ ได้ 2 บรรทัด เวรกรรมอีกกี่ปีจะเสร็จเนี่ย วันนี้เลยไม่ได้โพสอะไร แต่มาตอบคำถามพี่สาวกาสะลองครับ ไม่ยุ่งหรอกครับเค้าจะมีแบงค์ดังนี้ครับ 500  กีบ  ประมาณ   2  บาท แต่เวลาได้แบงค์นี้ผมจะรีบใช้เพราะร้านแลกเงินในเวียงจันทร์ไม่รับแลกครับ (รู้จากคนเกาหลีที่เจอะกันในเวียงจันทร์ครับ) 1,000 กีบ    ประมาณ   4   บาท แบงค์นี้ส่วนใหญ่จะเก่ามาก ได้มาก็รีบใช้เหมือนกันครับ 2,000 กีบ    ประมาณ    8    บาท 5,000 กีบ    ประมาณ    20     บาท 10,000 กีบ   ประมาณ    40     บาท 20,000 กีบ   ประมาณ    80     บาท 50,000 กีบ  ประมาณ    200     บาท   เงินไทยใช้ได้ครับผมยังใช้ซื้อตั๋วงรถไปวังเวียงเลยครับแต่ให้แลกพวกแบงค์ 20 แบงค์ร้อยไปเยอะๆครับ เพราะขืนใช้แบงค์ 500 แบงค์ 1,000 ไปได้ทอนกลับมาเป็นเงินกีบครับ ในอัตราแลกเปลี่ยนที่เราขาดทุนด้วยครับ ส่วนเงินยูเอสดอลล่าร์ ผมไม่มีวาสนาได้จับครับ ต้องรอรุ่นใหญ่อย่างคุณวิวันดา หรืออาจารย์สื่อฯ ของเรามาชี้แจงแถลงไขครับ ส่วนค่าครองชีพประมาณบ้านเรานะครับ แต่ถ้าอยู่ในเมืองใหญ่ๆอย่างหลวงพระบางหรือเวียงจันทร์แล้วเป็นคนกินยากอย่างผมอาจจะสูงกว่าครับ เช่นเบียร์ลาว(กินเกือบทุกวัน)ขวดละ 8,000 - 10,000 กีบ เลย์ซอง 20 บาทขาย 10,000 กีบ(นำเข้าฝั่งไทย) น้ำดื่ม 1 ลิตร 5,000 กีบ (เอาแบงค์ 50,000 ไปซื้อนี้แม่ค้ามีโกรธละครับ) เฝอชามละ 7,000 - 12,000 กีบ  ผมกินข้าวมื้อหนึ่งส่วนใหญ่เป็นอาหารฝรั่งมื้อหนึ่งก็ตกประมาณ 45,000 - 76,000 กีบ / 2 คนนะครับ  ที่กินถูกสุดก็ซื้อข้าวเหนียวหมูย่างในตลาดเช้าที่หลวงพระบางมาจกกัน 2 คนชุดหนึ่ง 15,000 กีบครับ ชอบมากตรงที่พ่อค้าหยิบข้าวเหนียวแล้วมาถามผมว่าข้าวเหนียวพอหรือเปล่า... กล่าวโดยสรุปค่าครองชีพพอๆกับบ้านเราครับ ถ้าเป็นคนกินยากอย่างผมก็สูงกว่าบ้านเราครับ แต่ข้อดีคือไม่มีอะไรล่อตาล่อใจให้ซื้อเลยครับ ได้ใช้เท่าที่จำเป็นจริงๆ เลยไม่ค่อยเปลืองนะครับ รูปเงินลาวครับเอามาผึ่งเพราะตกน้ำ ในรูปเหลือประมาณ ล้านกว่ากีบครับ ประมาณ 4,000 บาทไทยครับ รูปบนธนบัตรเป็นรูปท่านไกรสร พรหมวิหารครับ จากคุณ : ryzon - [ วันวิสาขบูชา 22:12:37 ]

ความคิดเห็นที่ 49 คุณ Dearance ครับ รูปคลาสสิคมากครับ รูปแรกน่าจะเป็นสนามบินใช่ไหมครับ ที่ผมไปเมืองวังเวียงเหมือนมี 2 ส่วนนะครับ โซนริมน้ำซองจะมีเกสต์เฮ้าส์ ร้านอาหาร ไว้บริการนักท่องเที่ยว(ฝรั่ง)นะครับ เหมือนถนนข้าวสารบ้านเราโซนนี้จะอยู่ตรงข้ามโรงพยาบาลวังเวียงครับ ส่วนคนในท้องที่อยู่ถัดขึ้นไปอีกประมาณ 1-2 กม. เป็นชุมชนอีกจุดหนึ่งแยกจากโซนตะกี้ ผมเล่าตามที่เห็นนะครับ แก้ไขเมื่อ 08 พ.ค. 52 22:20:23 จากคุณ : ryzon - [ วันวิสาขบูชา 22:19:47 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ครับ  เป็นรูปสนามบินสมัยที่ยังใช้งานอยู่ โดยอเมริกัน  จอมยุ่มย่ามแห่งโลก รูปนี้น่าจะถ่ายจากด้านในออกมายังถนนที่จะไปหลวงพระบาง เห็นได้นะครับว่าสภาพไม่ค่อยจะเปลี่ยนแปลงไปสักเท่าไหร่ ถ้าเป็นเมืองไทยล่ะก็  ด้านหน้าติดถนนจะเป็นอาคารพาณิชย์ ส่วนด้านในจะเป็นหมู่บ้านจัดสรร (ไม่ต้องถมดินอีกต่างหาก) จากคุณ : Dearance - [ 9 พ.ค. 52 08:36:24 ]

ความคิดเห็นที่ 51 เงินล้านกว่ากีบ   เปรียบเทียบเท่ากับบ้านเราล้านกว่าบาทได้หรือเปล่าคะ ถ้าคนที่โน่น  มีเงินล้านกีบ   ถือเป็นคนรวยหรือเปล่าคะ จากคุณ : Gasalong - [ 9 พ.ค. 52 21:27:10 ]

ความคิดเห็นที่ 52 เงินกีบ  คิดง่าย ๆ ก็ตัดศูนย์สองตัวท้ายออก  แล้วคูณด้วย 4 อย่างเช่น 1,000,000 กีบ  ตัดศูนย์ 2 ตัวท้าย เหลือ 10,000 คูณด้วย 4  ก็เป็น 40,000 บาท ครับคุณพี่  เป็นตัวเลขโดยประมาณ ^ ^ แก้ไขครับ  ตอนพิมพ์มึนไปหน่อย  ตัดศูนย์ 3 ตัวสุดท้ายครับ  ม่ายช่าย 2 ตัว 1,000,000 กีบ  ก็ 4,000 บาท ครับ  แหะๆ แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 52 16:58:13 จากคุณ : Dearance - [ 10 พ.ค. 52 09:01:09 ]

ความคิดเห็นที่ 53 แลกแบงค์ยี่สิบไปเยอะ ๆ นะถูกแล้วครับ เพราะถ้าใช้แบงค์ 500 หรือ แบงค์พันละเรื่องใหญ่เลย เพราะเขาจะทอนมาเป็นเงินกีบ  ใช้กันอาน ส่วนยูเอส ดอลล่าร์ ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าเลยครับ เพราะที่รับก็มีแต่หลวงพระบาง ประเภทร้านใหญ่ ๆ อย่างร้านวอล์กแมนที่ขายซีดี หรือร้านขายไวน์ และแน่นอนครับ ด้วยอัตราแลกเปลี่ยนที่เสียเปรียบมาก เมืองอื่น ๆ ก็ต้องร้านใหญ่ ๆ หน่อย ในเวียงจันก็ต้องร้านอาหารหรู ๆ ถึงจะรับ เงินไทยเนี่ยแหละครับ แต่แตกแบงค์ย่อยไปเยอะ ๆ ถ้าไม่คิดจะข้ามไปซื้อรถยนต์หรือเครื่องเพชร กระเป๋าหลุยส์ ฝั่งลาว ก็อย่าพกแบงค์พันไปเลยครับ นอกจากจะเผื่อไว้เสียค่าโรงแรมใหญ่ ๆ ที่จะคิดเป็นอัตราดอลล่าร์ และขึ้นราคาตามอัธยาศัย จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 11 พ.ค. 52 14:00:36 ]

ความคิดเห็นที่ 54 เห็นทางวังเวียงเขาโชว์ของกิน ก็เลยขอเอาของกินมาแข่งบ้าง เป็นขนมหวานหลังเมนคอร์ส ชื่อว่า ดัมปิ้ง ที่เข้าใจว่าเป็นชื่อรวม ๆ เพราะไปที่ไหน ก็มีขนมชื่อนี้ แต่หน้าตาแปลก ๆ ออกไป  รายละเอียดคงต้องให้ผู้เชี่ยวชาญอาหารฝรั่งจริง ๆ เขามาอธิบาย ส่วนผมแค่ให้มีอะไรเข้าปากก็โอเคแล้ว เห็นหน้าตาสะสวยแบบนี้ แต่รสชาติเหลือรับจริง ๆ แม้ว่าในหนังสือไกด์บุ๊คทุกเล่มจะบอกว่าถ้าไปออสเตรีย หรือประเทศแถบ ๆ นั้น ต้องหาโอกาสลองทานเจ้าดัมปิ้งให้ได้ แต่แค่ดัมปิ้งจานแรก ที่ได้ลองที่เชกก็ส่ายหน้าซะแล้วครับ โดยหารู้ไม่ว่า นี่คือด่านแรกของการที่ต้องฟันฝ่าผจญกับอาหารแบบยุโรปตะวันออก อดีตคอมมิวนิสต์เก่าไปอีกเกือบ 10 วัน ไม่ต้องบอกก็พอเดาได้ครับ ว่าทันทีที่กลับมา สั่งก๊วยเตี๋ยวต้มยำไปหนึ่งชามใหญ่ กินเหมือนคนตายอดตายอยากมาจากไหน พูดเรื่องก๊วยเตี๋ยว  นึกได้ว่าที่เมืองรีเกนเบิร์ก ออสเตรีย มีร้านอาหารไทยที่มีแม่ครัว คนพิจิตร ไปทำขายที่นั่นด้วย แต่เจ้าของเป็นฝรั่งนะ ก๊วยเตี๋ยวเนื้อชามละ 6 ยูโร 50 เซนต์ เกือบ ๆ 300 บาท ต่อชามที่อัตรา 47 บาทต่อ 1 ยูโร แต่ชามใหญ่พอสมควร น้ำเนื้อแน่น เส้นเยอะ เนื้อเยอะ แต่ขอโทษเถอะครับ มันเค็มราวกับกินก๊วยเตี๋ยวใส่กะปิ ถามได้ความว่า คนที่นั่นชอบรสเค็ม อาหารทุกอย่างต้องเค็มไว้ก่อน เราเห็นว่าเป็นคนไทยคุยถูกคอ (เพราะตอนไป กำลังมีเรื่องเสื้อแดงแนงฤทธิ์ที่เมืองไทย เขาเลยซักเราเป็นพิเศษ เพราะเขาไปตั้ง 10 ปีแล้ว) ก็เลยฝืนใจกินจนหมดชามใหญ่ ๆ กลับมานอกจากจะท้องอืดซะ ยังคอแห่งหิวน้ำอีก ไม่รู้ว่าไตยังทำงานดีอยู่หรือเปล่าเลย เข้าข่าย จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 11 พ.ค. 52 14:26:45 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ไปเชกก็ต้องขึ้นสะพานชาร์ลครับ เป็นจุดขายหลักของเมืองนี้เขา ตอนนี้กำลังรวบรวมข้อมูล เลยยังเขียนเป็นเรื่องเป็นราวไม่ค่อยได้ หายไป เดี๋ยวซือเจ๊วิ แกหงุดหงิดอีก ก็เลยขอวอบ ๆ แวบ ๆ แบบกระสืออย่างนี้ไปก่อนนะครับ ต้องเห็นใจหน่อย เพราะเราไม่ค่อยรู้เรื่องทางยุโรปเขา แค่เรื่องของพระนางเทเรซ่า แม่ยายแห่งยุโรปอย่างเดียว กว่าจะหาข้อมูลมาได้พอประมาณ ไม่ให้ไก่หลุดหมดเล้า ก็ต้องมานั่งแกะประกิตจนตาบวมแล้ว เลยเอารุปนี้มาขายเอาหน้ารอดไปพ้นวัน ๆ ก่อน เป็นรูปปั้นรูปสุดท้ายบนสะพานชาร์ล ซึ่งมีรูปปั้นนักบุญถึง 30 องค์ รุปนี้เป็นรูปของ เซนต์ ไอโอ saint Ivo ตามประวัติ ท่านเกิดเมื่อปี ค.ศ.1253 ที่เมือง Brittany  เป็นลูกชายเจ้าของที่ดิน ซึ่งหมายถึงว่าเป็นชนชั้นสูงในสมัยนั้น ท่านได้รับการศึกษาในด้านกฎหมาย และปรัชญาที่ปารีส และออรีนส์  จากนั้นจึงกลับมาเป็นนักกฎหมายที่บ้านเกิด ความสำคัญอยู่ที่ท่านเป็นนักกฎหมายที่ช่วยเหลือคนยากคนจน อุทิศตัวเพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้จนกระทั่งเสียชีวิตเมื่ออายุได้เพียง 50 ปี ด้วยคุณงามความดี ท่านจึงได้รับการยกย่องให้เป็นนักบุญองค์หนึ่ง และมีรุปปั้นอยู่บนสะพานชาร์ลแห่งนี้ครับ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 11 พ.ค. 52 14:40:46 ]

ความคิดเห็นที่ 56 แค่เริ่มต้น   ก็น่าสนใจแล้วค่ะ ค่อยๆพาเที่ยวไปทีละเมืองนะคะ     กำลังจินตนาการถึงยุโรปช่วงปลายๆของยุคกลางต่อเนื่องถึงยุคฟื้นฟูอยู่ค่ะ     ที่ประชาชนยังมึนงงสับสนกับชีวิต   ระหว่างความเชื่อเดิมๆแบบถูกปลูกฝังให้หลงไหลงมงายในไสยศาตร์   กับอีกฟากนึง ของนักคิดยุคใหม่ที่พยายามเอาวิทยาศาตร์เข้ามาอธิบายปรากฏการทางธรรมชาติ     ช่วงนั้นประชาชนคงสับสนพิลึก   แต่ไม่ทราบว่าเป็นเพระยุคมืดของยุโรป  มันกินเวลายาวนาน  จนไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นอีกต่อไป   หรือเป็นเพราะยุคฟื้นฟูของยุโรป  มันเกิดขึ้นรวดเร็วมาก  และให้คำตอบที่ค้างคาใจของผู้คนได้อย่างเป็นรูปธรรมและพิสูจน์ได้ก็ไม่ทราบนะคะ   จึงทำให้ยุคฟื้นฟูของยุโรป  ซึ่งกินเวลาเพียงไม่กี่ปี  แต่กลับเปลี่ยนแปลงโลกได้มากมายมหาศาล นักบุญต่างๆที่ปรากฏเป็นปติมากรรม  ตามสถานที่สำคัญๆ   ก็คงจะเป็นผู้ที่สร้างคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติ  ในช่วงรอยต่อนี้เป็นส่วนใหญนะคะ หมายถึงเป็นการต่อสู้ระหว่างยุคมืด  กับยุครู้แจ้งน่ะคะ จากคุณ : Gasalong - [ 12 พ.ค. 52 09:20:19 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ฝั่งทางขึ้นสะพานชาร์ลครับ สูงขนาดแหงนคอมองเหมือนกัน สังเกตุร่มบนสะพาน วันที่ไป แดดร้อน อุณหภูมิประมาณ 27 องศาทีเดียว ที่น่าสนุกคือ ทัวร์ไทยที่ลงไปสะพาน ลงจากรถ พร้อมเสวตเตอร์ หมวกไหมพรม ลองจอห์น และผ้าพันคอ ขณะที่ฝรั่งสาว ๆ เดินสวนมา ล้วนแต่สายเดี่ยวทั้งน้าน แถมที่สนามหญ้า หน้าสะพาน ยังมีฝรั่งเช๊กนอนอาบแดดกันระเนระนาดไปหมด  เดินแค่ไม่ถึงครึ่งสะพาน สาวน้อย สาวใหญ่จากเมืองไทยก็ต้องปลดเฟอร์นิเจอร์ออกที่ละชิ้น จนเหลือแต่เสื้อกับกางเกงอย่างละตัว แบบเดียวกับที่เดินแถวจตุจักรแหละครับ เพราะนอกจากจะร้อนแล้ว คนยังแน่นมาก เพราะใครที่มาเชีกไม่ว่าจะหัวดำ ผมแดง ก็ต้องมาเที่ยวที่นี่แหละ  ยิ่งอากาศดี ๆ (สำหรับฝรั่ง) คนยิ่งเยอะ แต่สำหรับคนไทย รู้สึกไร้อามรมณ์ยังไงก็ไม่รู้ เหมือนกับที่มีคนชวนไปดูพระอาทิตย์เที่ยวคืนที่นอร์เวย์ ด้วยค่าใช้จ่ายเกือบสองแสนนั่นแหละ ต้องบอกเจ้าเพื่อนตัวดีไปว่า "อ้ายหา ตรูอยู่เมืองไทย เห็นพระอาทิตย์มาตั้งแต่เกิด มันจะขึ้นตอนเที่ยงวันหรือเที่ยงคืน มันก็ดวงเดียวกันแหละวะ จะให้เสียเงินตั้งสองแสนไปดูพระอาทิตย์เนี่ยนะ ขอแค่สองหมื่นไปนอนเล่นภูเก็ตสักอาทิตย์ไม่ดีกว่าเรอะ" จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 13 พ.ค. 52 17:16:59 ]

ความคิดเห็นที่ 58 มุมนี้มองลงมาจากสะพาน เห็นบ้านเมืองที่ยังอนุรักษ์ไว้แบบเดิม ๆ ดูขลังดีครับ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 13 พ.ค. 52 17:19:40 ]

ความคิดเห็นที่ 59 บนสะพานมันแน่นประมาณนี้แหละครับ เพราะนอกจากนักท่องเที่ยวแล้ว ทางการเช๊ก ยังอนุญาตให้ศิลปินที่มีผลงานเป็นของตนเอง ขึ้นมาขายของหรือแสดงบนสะพานอีกด้วย ผมไม่รู้ว่าเขาใช้หลักเกณฑ์ในการอนุญาตยังไงนะ เพราะเห็นทุกคนจะติดบัตรที่หน้าอกด้วย จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 13 พ.ค. 52 17:28:41 ]

ความคิดเห็นที่ 60 อันนี้ก็บนสะพานฝั่งขวา เห็นบ้านเรือนอาคารเก่าอยู่ริมฝั่งน้ำ ส่วนรูปปั้นที่เห็นด้านข้างนั่นไม่แน่ใจว่าเป็นนักบุญท่านใดเหมือนกัน พยายามมองอยู่แต่ดูไม่ออก จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 13 พ.ค. 52 17:31:29 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ขายทั้งภาพวาดสะพาน และรับวาดภาพเหมือน(ลายเส้น)ให้นักท่องเที่ยวด้วย ก็ไม่ต่างจากป่าตองเท่าไรหรอกครับ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 13 พ.ค. 52 17:35:00 ]

ความคิดเห็นที่ 62 ด้านหลัง (ไม่รู้จะถ่ายด้านนี้ไปทำไม)ของรูปปั้น Saint Luitarda and Christ ตามประวัติ ท่านเป็นชาวเบลเยี่ยม เกิดเมื่อ 1182 และเสียชีวิตเมื่อ 1246 เป็นนักบุญที่เด่นในเรื่องของการช่วยเหลือเด็ก ๆ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 13 พ.ค. 52 17:41:37 ]

ความคิดเห็นที่ 63 รูปปั้นนักบุญ Saint  John of Nepomuk เป็นรูปปั้นนักบุญบนสะพชาร์ลที่ได้รับศรัทธาจากผู้มาเยือนมาที่สุดองค์หนึ่ง ตามประวัติท่านมาจากเมืองโปมุก ใกล้กับเมืองPilsen ที่ปัจจุบันอยู่ในเช๊ก และมีความสำคัในฐานะเมืองที่เริ่มต้นการคิดค้นเบียร์แบบ Plisen ครับ ท่านศึกษาทาง กม.ในปราก และมีบทบาทสำคัญในการเจรจาปัญหาความขัดแย้งระหว่าง อาร์ค บิชอป กับพระเจ้า Wenceslas IV  แต่สุดท้ายท่านถูกจับ และถูกทรมาน ก่อนที่จะจับโยนลงแม่น้ำที่สะพานชาร์ลแห่งนี้แหละครับ แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 52 14:40:30 จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 14 พ.ค. 52 14:26:20 ]

ความคิดเห็นที่ 64 สาเหตุที่ท่านถูกจับและโยนลงแม่น้ำวัตตาวา เบื้องล่างสะพานชาร์ลนั้น เพราะท่านเป็นผู้รับฟังคำสารภาพบาปจากพระราชินีแห่งโบฮิเมีย และไม่ยอมเปิดเผยว่า พระราชินีสารภาพเรื่องอะไร ก็น่าสงสัยว่าคงจะมีเรื่องคาใจระหว่าง K วาเซลลาส อยู่แล้วละครับ เลยระแวง ภาพนี้ คนจะนิยมมาขัดรุปสุนัขในภาพจนมันวาว ไม่ทราบเหมือนกันว่า มีความหมายอย่างไร ใครทราบบอกทีครับ ส่วนอีกด้านหนึ่งของภาพ เป็นภาพเหตุการณ์ที่ท่านโดนโยนลงแม่น้ำ เดี๋ยวจะลองหาภาพที่เห็นชัด ๆ มาดูอีกที  ตอนนี้ดูภาพเต็ม ๆ ของนักบุญเซนต์จอห์นก่อนครับ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 14 พ.ค. 52 14:54:52 ]

ความคิดเห็นที่ 65 กระทู้เปลี่ยนแนว กลายเป็น Lonely planet เข้ามาแก้ไขข้อความ.. เพราะตอนแรกเข้าใจผิดแบบงงๆ แต่ตอนนี้เข้าใจแล้วค่ะ แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 52 20:52:29 จากคุณ : honeytina - [ 14 พ.ค. 52 20:50:29 ]

ความคิดเห็นที่ 66 แหม... พลาดไปนี้ดดดด เดียว อาจารย์ใหญ่แกฟันหัวแบะแล้วยังตามเชือดทีละชิ้นๆๆ ดีนะที่หนังหนา ไม่ค่อยรู้สึกเจ็บ เอาของฝากคนรักแมวมาฝากพี่วิฯ ครับ มีเจ้านี่ติดไว้ข้างกาย ต่อไปนี้จะเดินทางก็หอบหิ้วกันไปได้ไม่ต้องวิ่งหาฝากคนช่วยเลี้ยงอีกแล้ว จะหิ้วเป็น handbag ขึ้นเครื่องยังได้เลย ตอนทำงาน ถ้าเธอชอบมาก่อกวนหรือนอนทับโน้ตบุค จะหยิบไปแขวนข้างฝาไว้ก็ยังได้ พี่วิฯ ต้องชอบแน่ๆ อิ อิ อิ จากคุณ : ha ha yee - [ 15 พ.ค. 52 09:21:05 ]

ความคิดเห็นที่ 67 5555555555 ระวังคนรักแมวตัวจริง เขาเคืองเอานา ส่วนคนรักน้องแมวไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ไปไหนมาไหนก็ใช้อุ้มเอาเองได้ ไม่ต้องพึ่งเครื่องมือช่วยเหมือนหมอหรอก จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 15 พ.ค. 52 14:32:12 ]

ความคิดเห็นที่ 68 ไม่ถึงขนาดแนะนำเรื่องท่องเที่ยวหรอกครับ แต่เห็นว่า เราคุยเรื่องประวัติศาสตร์ในหน้ากระดาษมานานหนักหนาแล้ว ก็เลยเพิ่มสีสันอีกสักหน่อย คราวนี้ก็ลองไปดูของจริงกันบ้าง เท่านั้นเอง จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 15 พ.ค. 52 14:33:54 ]

ความคิดเห็นที่ 69 หนูว่ามันเป็นการทรมานสัตว์มากกว่านะคะพี่หมอ เหมือนเขากำลังจะหามแมวไปเชือดเลยค่ะ จากคุณ : Gasalong - [ 15 พ.ค. 52 22:57:52 ]

ความคิดเห็นที่ 70 พอข้ามสะพานชาร์ลมาได้ก็เข้าเขตตลาดเมืองเก่า ที่มีร้านขายของเล้ก ๆ น้อย ๆ โดยเฉพาะหุ่นชัก ที่เช๊กนั้นได้ชื่อว่าเป็นแห่งแรกที่มีการบัญญัติ คำว่า robot  เกิดขึ้น ลานหน้าเมืองที่สำคัญ คือ หอนาฬิกา ซึ่งในสมัยเรเนสซองส์ คือ เรื่องสำคัญ เพราะหมายถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของเวลา และที่สำคัญ คือ เครื่องยืนยันว่า โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ เมืองใหญ่ ๆ ทั่วบุโรปจึงประกวดประชันกันเรื่องของนาฬิกา ที่มีทั้งความสวยและกลไก โดยเจ้าเครื่องนี้เมื่อถึงเวลาตี จะมีหุ่นโครงผี เดินออกมาตีระฆัง คนก้ไปออรอดูกันเต็มไปหมด ทั้ง ๆ ที่มันก็ตีอย่างนี้มาทุกวันเป็นร้อย ๆ ปีแล้ว จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 16 พ.ค. 52 00:36:30 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ชูแว้บ กลับมารายงานตัวครับ อาจารย์สื่อฯ แกพาไปยุโรปแล้ว มาดุยากจกอย่างผมไปลาวต่อครับ หลังจากเที่ยววังเวียงแล้ว ผมก็จับรถจากวังเวียงนะแหละไปหลวงพระบางต่อตามประสาคนไม่มีอัฐ  ไปตามทางหลวงหมายเลข 13  ระยะทางประมาณ 300 กม. ใช้เวลาวิ่ง 6 ชั่วโมง UP.....   ขึ้นเขาลงห้วยตลอดทางเลยครับ ดังรูป จากคุณ : ryzon - [ 18 พ.ค. 52 12:54:28 ]

ความคิดเห็นที่ 72 เจอโค้งไปโค้งมาอย่างนี้ตลอดทางนะครับแทบแย่ ผมยังคิดเลยครับว่าคนสมัยก่อนถ้าจะไปหลวงพระบางนี่เค้าไปกันยังไง ถ้าเดินนี่กี่เดือนจะถึงกันนี่ แนะนำเลยครับถ้ามีอัฐก็ขึ้นเครื่องบินไปหลวงพระบางเถอะครับ จากคุณ : ryzon - [ 18 พ.ค. 52 13:02:41 ]

ความคิดเห็นที่ 73 วิวระหว่างทางครับ มีแต่ขุนเขา... จากคุณ : ryzon - [ 18 พ.ค. 52 13:04:26 ]

ความคิดเห็นที่ 74 กับหมู่บ้านเล็กๆอย่างนี้ตลอดทาง อุ๊แม่เจ้า อยู่บ้านขัดไม่ไผ่ แต่มีจานดาวเทียมด้วย จากคุณ : ryzon - [ 18 พ.ค. 52 13:06:03 ]

ความคิดเห็นที่ 75 เพื่อนฝรั่งผมเล่นขี่มอไซด์จากวังเวียงไปหลวงพระบาง หรือกลับกันนี่แหละ ไม่แน่ใจ ผมว่าถ้าไม่ใช่หน้าฝนขี่มอไซด์ก็น่าสนุกดี สำหรับอดีตสิงห์นักบิดอย่างผม สมัยเรียนมช.นี่เคยคุยกับเพื่อนๆนักบิดแก๊งเดียวกันว่าจบไปจะออก big bike แล้วขี่เที่ยวให้ทั่วเมืองไทยเลย แต่มันก็เป็นแค่ฝันจนทุกวันนี้เลยครับ พูดถึงเรื่องขี่มอไซด์เที่ยวนี่ต้องลุง500 ครับ ตระเวณขี่เที่ยวจะทั่วเมืองไทยแล้ว ขอเพิ่มเรื่อง robot ครับ คนรู้จักคำนี้จากนิยายเรื่อง Rossum's Universal Robots แต่งโดยชาวเช็กที่ชื่อ Karel Capek แต่จริงๆแล้วคนที่คิดคำนี้ขึ้นมาเป็นพี่ชายของเขาที่ชื่อ Josef โดยแนะนำให้ใช้คำว่า roboti ซึ่งมาจากคำว่า robota ที่แปลว่า labour หรือ self labour และหมายถึง hard work ในภาษาเช็ก เครดิต wiki ครับ แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 52 21:35:45 จากคุณ : Ronachai (amscmu) - [ 18 พ.ค. 52 14:02:32 ]

ความคิดเห็นที่ 76 หาญกล้ามากครับที่ขึ้นรถประจำทางไปหลวงพระบาง เส้นทางนี้เขามีประวัติครบทุกอย่าง ตั้งแต่ขับรถตกเขา ถูกม้งปล้น รวมถึงขับรถไปชนชาวบ้าน (คาราวานทัวร์จากไทย) กว่าจะเคลียร์กันได้ เกือบติดคุกขึ้ไก่แนะ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 18 พ.ค. 52 14:04:36 ]

ความคิดเห็นที่ 77 ตัวหอนาฬิกาครับ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 18 พ.ค. 52 14:06:15 ]

ความคิดเห็นที่ 78 มุมกว้างขึ้นอีกนิด จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 18 พ.ค. 52 14:12:15 ]

ความคิดเห็นที่ 79 คนสองหน้า นกสองหัว ตัวจริง เรื่อง robot นี่คงมาจากพื้นฐานของคนที่นี้ด้วยมั๊งครับ เห็นเขาชอบเรื่องหุ่นกระบอกมาก มีหุ่นเชิดขายเยอะแยะไปหมด ทีแรกนึกว่าจะเป็นแค่สินค้าจากโรงงานมาวางขายนักท่องเที่ยว ปรากฎว่าคนขายเขาเชิดเป็นด้วยตัวพินอกคิโอเต้นแร๊ป เก่งมาก เสียดายถ่ายเป็นวิดีโอไว้ เลยไม่มีภาพมาให้ดู จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 19 พ.ค. 52 13:07:57 ]

ความคิดเห็นที่ 80 แม่น้ำวัตตาวา ที่เป็นแม่น้ำสายหลักในปราก  ถ่ายจากบนสะพานชาร์ลครับ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 19 พ.ค. 52 13:10:02 ]

ความคิดเห็นที่ 81 ยุคที่เรียกกันว่า ยุคกลาง ในนุโรปนั้น เขามักจะเริ่มนับกันตั้งแต่ ค.ศ.476 หรือเมื่อการสิ้นนยุคการปกครองของซีซาร์รอมิวรุส ออกุสตุส ที่แพ้สงครามกับพวกพันธ์เถื่อนทางเหนือ จนทำให้อาณาจักรโรมันที่ยิ่งใหญ่ต้องล่มสลาย การปกครองแบบรวมศูนย์ชนิดที่ว่า ถนนทุกสายมุ่งสู่กรุงโรม ก็เลยสิ้นสุดลงด้วย และหลังจากโรมันล่มสลาย หัวเมืองต่าง ๆ ที่เคยต้องคาราวะต่อโรม ก็แยกสายแยกตัวออกไปปกครองกันเอง ศูนย์กลางของยุโรปที่เคยเป้นศูนย์กลางของโรมัน ก็เคลื่อนขึ้นไปทางเหนือมากขึ้น เพราะในส่วนที่เป็นเยอรมัน ฝรั่งเศส และอังกฤษในปัจจุบัน มีพวกเถื่อนทางเหนือเข้ามาครอบครองและสร้างอาณาจักรกันเอง ไบแซนไทม์ ที่แยกตัวออกไปก่อน ก็ประคับประคองอารยธรรมแบบโรมันเอาไว้จนกระทั่งมาสิ้นสุดลงจากการขยายตัวของมุสลิม กรุงโรม ในฐานะศูนย์กลางของคริสตจักร ก็พยายามต่อสู้เพื่อรักษาความเป็นศูนย์กลางของจักรวาลเข้าไว้ โดยหลาย ๆ สิ่ง หลาย ๆ อย่าง ไม่ว่าแนวทางหรือการก่อสร้างที่อยู่บนพื้นฐานความศรัทธาแบบคาธอลิก ได้ทิ้งร่องรอยความยิ่งใหญ่ของยุคกลางเอาไว้ให้คนรุ่นหลังดู พร้อม ๆ กับเป็นต้นเหตุของการเสื่อมโทรมและล่มสลายของยุคกลางด้วยเช่นกัน ส่วนขุนนางต่าง ๆ ที่มีกระจายไปทั่วยุโรปก็ร่วมสร้างตำนานอัศวิน ปราสาทบนยอดเขา และทาสติดที่ดิน ด้วยระบบฟิวดัลลิสต์ พร้อมกับความร่วมมือกันระหว่างศาสนจักรและอาณาจักร ทำให้เกิดประวัติศาสตร์การทำสงครามศาสนาครั้งใหญ่ยิ่งที่เรียกกันว่า "สงครามครูเสด" และไม่ว่าจะเป็นความยิ่งใหญ่ของคริสตจักร มุสลิม ไบแซนไทม์ ปราสาท อัศวิน ฯลฯ ก็ล้วนต้องเดินทางมาถึงจุดล่มสลายหลังจากผลัดกันยิ่งใหญ่เกรียงไกรกันคนละช่วงเวลากันไปแล้ว ยุโรปในยุคกลาง การค้าขายทางทะเลยังไม่ใช่เส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจยุโรป ความสำคัญยังอยู่ที่ที่ดินและการเพาะปลุก  จุดศูนย์กลางของยุโรปในยุคกลาง จึงไม่ใช่เมืองที่ติดทะเลเหมือนยุคเรเนสซองค์ อย่างเวนิส และเชกก็เป็นเมืองที่สำคัญอีกเมืองหนึ่งที่ตั้งอยู่ใจกลางยุโรป โดยไม่มีพื้นที่ติดทะเล แต่เป็นที่ที่เจ้าหลาย ๆ เมืองในยุโรปปรารถนาที่จะมาสร้างปราสาทเอาไว้พักร้อนและล่าสัตว์ รวมทั้งยังเป็นที่เกิดเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ มากมายในประวัติศาสตร์ยุคกลาง หากไม่นับเรื่องอาณาเขตในปัจจุบัน หากแต่มองรวมไปถึงอาณาจักรออสเตรีย ฮังการี ที่ยิ่งใหญ่ข้ามศตวรรษมานถึงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 22 พ.ค. 52 12:49:43 ]

ความคิดเห็นที่ 82 ยุโรปยุคกลางเราเรียนกันตั้งสี่ปีแนะ อาจารย์สื่อเล่นสรุปเหลือกะจึ๋งเดียว ตบประเด็นเข้าเชกทันทีทันควันเหมือนคนกลัวจะตกรถไฟเที่ยวสุดท้ายงั้นแหละ อย่าไปเร็วนักสิคะ   คนแก่ตามไม่ทัน!!! จากคุณ : Gasalong - [ 23 พ.ค. 52 00:01:06 ]

ความคิดเห็นที่ 83 เดินลงสะพานมา ก็จะต้องผ่านเมืองเก่าที่เป็นจุดขายของเยอะ ๆ ตริกแคบ ๆ แบบเมืองโบราณ และมีหอนาฬิกากับโบถส์ ส่วนในปราสาทปราก ก็เป็นสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง เพราะเป็นจุดเริ่มต้นหลาย ๆ เรื่องที่สร้างความเปลี่ยนแปลงในยุโรปยุคกลาง จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 25 พ.ค. 52 14:37:15 ]

ความคิดเห็นที่ 84 ภายหลังการล่มสลายของอาณาจักรโรมัน  ยุโรปตะวันตกพยายามสร้างความเป็นตัวเองในยุคหลังโรมันขึ้นมา และที่พอจะเป็นหลักยึดเพื่อให้คนเถื่อนในสายตาของชาวโรมัน สามารถเป็นเจ้าของเมืองได้ ก็คือ คริสตจักร วาติกันพยายามที่จะสร้างหรือรักษาอำนาจคล้าย ๆ กับศูนย์กลางของโลก เหมือนโรมันเอาไว้ ขณะเดียวกัน คนเถื่อนในอดีต ก็พยายามที่จะยกตัวเองห้เทียบเท่ากับซีซาร์ของโรมให้ได้เช่นเดียวกัน การผสมผสานผลประโยชน์ที่ลงตัวของอาณาจักรกับศาสนจักร จึงอยู่ที่ตรงนี้ในช่วงแรกของการก่อร่างสร้างเมืองใหม่ของยุคยุโรปที่ไม่ใช่โรมัน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด คือ พระเจ้าชาร์ล เลอ มาญ ผู้ยิ่งใหญ่ ที่ได้รับการรับรองจากโป๊ปให้เป็นพระเจ้าแห่งอาณาจักรโรมันศักดิ์สิทธิ์ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 30 พ.ค. 52 15:04:35 ]

ความคิดเห็นที่ 85 ตามธรรมเนียมครับ  ต้องตามประกบอาจารย์สื่อฯ เค้าลางล่มสลายของจักรวรรดิโรมันมีมาตั้งแต่สมัยจักรรพรรดิคอนสแตนติน ที่ย้ายเมืองหลวงจาก โรม ไปคอนสแตนติโนเปิลในภาคตะวันออก หรือจักรวรรดิไบแซนไทน์ในเวลาต่อมา เพื่อหลีกเลี่ยงการคุกคามของพวกอนารยชน   แล้วตั้งจักรพรรดิขึ้นดูแลโรม ในฐานะมณฑลหนึ่งของจักรวรรดิขึ้นตรงกับจักรพรรดิที่คอนสแตนติโนเปิล  ซึ่งหลักเกณฑ์นี้ยังได้รนับการยอมรับทางนิตินัยตลอดมาถึงแม้ว่าในทางพฤตินัย ทันทีที่จักรพรรคิคอนสแตนตินสิ้นพระชมน์ จักรพรรดิที่โรมก็ประกาศไม่ขึ้นกับจักรวรรดิไบแซนไทน์ จากนั้นจักรวรรดิตะวันตกก็เปลี่ยนมือไปเป็นของอนารยชนเผ่าต่างๆ แต่ที่โรมยังพิเศษกว่าตรงที่ หลังจากโอโดอาเซอร์( Odoacer) หัวหน้าทหารรับจ้างชาวเยอรมันสังหารจักรพรรดิโรมันตะวันตกคนสุดท้ายลงและยึดอำนาจการปกครอง แต่บิชอปแห่งโรมซึ่งเป็น 1 ใน 4 บิชอป ที่สำคัญของจักรวรรดิโรมันยังคงอยู่ในเมือง(อีก 3 คนคือ บิชอปแห่งคอนสแตนติโนเปิล บิชอปแห่งอเล็กซานเดรีย และบิชอปแห่งแอนติออค ทั้ง 4 คนขึ้นตรงกับจักรพรรดิตามคติโรมันที่จักรพรรดิเป็นผู้นำทั้งทางโลกและทางธรรม คือผู้ที่อยู่ระหว่าง พระเยซูและมนุษย์)   บิชอปแห่งโรมยังคงดูแลคริสต์จักรในเขตจักรวรรดิโรมันตะวันตกเดิมทั้งหมด  เป็นผู้นำคริสต์จักร ในเขตตะวันตกทั้งหมดที่บรรดากษัตริย์อนารยชนทั้งหลายให้ความเคารพ แต่ในสายตาของจักรพรรดิโรมันตะวันออกบิชอปแห่งโรมมีฐานะเป็นแค่ข้าราชการคนหนึ่ง ตามสายการบังคับบัญชาแต่ดั้งเดิมบวกกับจักรวรรดิตะวันออกยังคงมีอิทธิพลในภาคใต้ของคาบสมุทรอิตาลี่... แก้ไขเมื่อ 03 มิ.ย. 52 22:34:23 จากคุณ : ryzon - [ 1 มิ.ย. 52 17:05:11 ]

ความคิดเห็นที่ 86 แกนหลักของยุโรปหลังการล่มสลายของอาณาจักรโรมันตะวันตก และการเข้ามารุกรานของพวกคนเถื่อน คือคริสตจักร  หลังจากการต่อสู้อย่างยาวนานของคริสกับโรมัน ฝ่ายศาสนาก็เริ่มเป็นฝ่ายมีชัยมากขึ้นเรื่อย ๆ การเติบโตของคริสตเกิดจากการเสนอทางเลือกใหม่ให้กับชาวบ้านที่อยู่ใต้การปกครองของโรมัน นั่น คือ ความเมตตา กรุณา ซึ่งอาจจะคนละมาตรฐานกับปัจจุบัน แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าการอยู่ใต้การปกครองของโรม วาติกันให้ความสำคัญเกี่ยวกับประเด็นนี้มาก แม้กระทั่งภาพสลักบนบานประตูทางเข้าวาติกัน ยังมีการแกะสลักภาพเปรียบเทียบสองอาณาจักร คือ อาณาจักรของพระผู้ป็นเจ้าที่มีแต่ความสงบ ร่มเย็น และเมตตา ขณะที่ชีวิตภายใต้อาณาจักรโรมัน มีแต่การกดขี่ทารุณโหดร้าย ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา การเกิดขึ้นของศาสนาหลัก ๆ ของโลก ล้วนมาจากพื้นฐานนี้เช่นเดียวกัน จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 2 มิ.ย. 52 13:54:50 ]

ความคิดเห็นที่ 87 ผลประโยชน์ที่ลงตัวระหว่างศานจักรกับอาณาจักรในช่วงที่โรมอ่อนแอสุดขีดนั้น เกิดจากการที่ทั้งสองฝ่ายต่างต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน   เช่น  ศานจักรก็ต้องการผู้คุ้มครองให้รอดพ้นจากการคุกคามของอานารยชนกลุ่มอื่นได้   และในขณะเดียวกัน   บิชอปแห่งโรมก็ต้องการที่จะเป็นอิสระจากคอนนสแตนตินโนเปิล   แต่โดยพฤตินัยแล้ว   ยังทำไม่ได้  อย่างที่น้องริวบอกมาข้างบนค่ะ ซึ่งในช่วงเวลานั้น   มือที่สามจึงไม่ใช่ใครที่ไหน    ก็พวกคนเถื่อที่เข้ามาตั้งหลักแหล่งหากินบ้าง เป็นทหารรับจ้างบ้าง  ที่อาศัยอยู่ตามแนวตะเข็บชายแดนโรม  เป็นตัวเร่งปฏิกริยาให้โรมันตะวันตกถึงกลาลล่มสลายเร็วขึ้น   ในด้านของอาณาจักรเอง  ก็ยังอยู่ในระหว่างตั้งไข่  ยังไม่เข้มแข็งพอที่ประกาศแยกตัวเองออกจากไบแซนไทน์  เมื่อทั้งสองฝ่ายถือศัตรูร่วมกันการเจราเพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ย่อมเกิดขึ้น   การแลกเปลี่ยนผลประโชยน์ที่ถือเป็นพันธะสัญญา ระหว่าง ศานจักร กับอาณาจักร  ตามที่อาจารย์สื่อเกริ่นไว้  ที่พอจำได้คร่าวๆคือยุคของ สันตปาปาสตีเฟ่นที่ 3   กับกษัตริย์  เปแปงที่ 3  ในราวประมาณ ค.ศ ที่ 8   เมื่อกษัตริย์  และทายาทของกษัตรย์แห่งราชวงค์คาโรลิงเจียน  ได้รับพิธีเจิมน้ำมนต์จากสันตปาปา   จากการที่กษัตริย์ และโอรส (ซึ่งก็คือคนเถื่อนที่บุรุกกรุงโรมนั่นเอง)    ได้รับการเจิมน้ำมนต์จากวัด     เท่ากับเป็นการมอบอาญาสิทธิ์ ให้กับบุคคลผู้นั้นว่าเป็นผู้ที่มีสิทธิพิเศษ ห้ามผู้ใดล่วงละเมิดขึ้นมาทันที   และหากมันผู้ใดกล้าล่วงละเมิดบุคลอันเป็นโอรสแห่งสวรรค์นี้แล้วไซร์  มันผู้นั้นจักได้รับการลงโทษหนักอย่างมหันต์ โทษหนักในที่นี้คือที่เขาเรียกว่า  การ "บัพพาชนียกรรม"   Excommunicate   ซึ่งการลงโทษแบบนี้  คืออะไร  ทำไมคนในยุคที่ยังมืดบอด  ถึงได้กลัวนักกลัวหนา   ก็วานผู้รู้ช่วยมาไขปริศนาให้ทีนะคะ ส่วนเราก็จะต่อเรื่องผลประโยชน์ที่เขาทำการแลกเปลี่ยนกันในช่วง  ค.ศ 8  อีกนิดนึงค่ะ   ทางด้านอาณาจักร ได้อะไรบ้างก็อย่างที่บอกไปแล้วค่ะ    คือ  น้ำมนต์เสกจากใบโอลีฟของท่านสันตปาปา เอามาประพรมหน้าผากของโอรสกษัตริย์  เพื่อแปลงจากคนธรรมดา ให้เป็นบุคคลวิเศษ และห้ามแตะต้อง ทางด้านศานจักรเขาก็ได้ขอ้แลกเปลี่ยนไปไม่ใช่น้อยนะคะ   คือ  กษัตริย์เปแปงที่ 3  ได้ช่วยปกป้องกรุงโรมให้รอดพ้นจาการคุกคามของพวกลอมบาร์ด   และจากการที่ตีเมืองทางเหนือได้  ซึ่งก็คืออิตาลีนั่นเอง    กษัตริย์เปแปงที่ 3 ก็หาได้เก็บไว้ครอบครองเองไม่  แต่กลับยกให้กับสันตปาปาเป็นผู้ครอบครองแทน เท่ากับเป็นการช่วยศานจักรขยายดินแดนให้กว้างใหญ่ออกไป   การที่เปแปงที่ 3   ยกดินแดนทางตอนเหนือที่ตีได้นี้ให้กับสันตปาปา  เรียกกันว่า "การบิจาคของเปแปง"   ซึ่งจะเป็นที่มาของการบริจาคผืนดินให้กับทางศานาในยุคต่อมาหรือเปล่าก็ไม่ทราบนะคะ จากคุณ : Gasalong - [ 2 มิ.ย. 52 14:05:12 ]

ความคิดเห็นที่ 88 นักรบเผ่าฮั่น เป็นตัวเร่งปฎิกิริยาการเปลี่ยนแปลงของยุโรปให้เร็วยิ่งขึ้น โดยเฉพาะ แอตติล่า ในศตวรรษที่ 5 ที่บุกฝ่ายุโรปเข้าไปได้ถึงอิตาลในปัจจุบัน (แอตติล่า เป็นตัวละครสำคัญอีกตัวนึงในหนัง night at the museum) การทำลายล้างของ ฮั่น รุนแรงมากจนถึงขั้นที่ชาวเมืองหลาย ๆ เมื่อแตกสลายสูญหายไป เปิดโอกาสให้ชาวเถื่อนรอบนอก เข้ามาแทนที่มากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากที่ แอตติล่า ถอนกำลังออกไปจากยุโรปจากฝีมือเจรจาของสันตะปาปาลีโอที่ 1 สิ่งเหล่านี้มีผลทำให้ชาวโรมัน หรือระบบการปกครองอาณาจักรโรมันที่เสื่อมถอยมาตลอด พังเร็วขึ้น ขณะที่ชาวเยอรมันที่มาจากกล่มคนเถื่อน และผสมผสานกับคนโรมัน จนเข้ามาเป็นแม่ทัพนายกองได้ เห็นว่า โรมันไม่สมควรเป็นของชาวโรมอีกต่อไปแล้ว โรมิวลุส กอกุสตุลุส จักรพรรดิ์องค์สุดท้ายทีเป็นโรมันแท้ ๆ ก็ถูปลดออกจากบัลลังก์ และมีคนเถื่อนเชื้อสายเยอรมันขึ้นครองโรมแทน โดยมีพระเจ้าทีโอโดริก ประกาศตนขึ้นเป็นจักพรรดิ์แห่งโรมแทน และพยายามฟื้นฟูความเป็นโรม และคริสต์ศาสนา เพื่อสร้างความศิวิไลให้กับอาณาจักรของตน จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 2 มิ.ย. 52 14:06:04 ]

ความคิดเห็นที่ 89 การลงบัพชนียกรรม ก็คือการขับออกจากศาสนา ในอีกความหมายหนึ่ง ก็คือหมดสิทธิขึ้นสวรรค์ ในยุคกลางเป็นอะไรที่น่ากลัวมาก กษัตย์ยังไม่กล้าหือ แต่หลังๆ ก็ไม่ค่อยศักดิสิทธิแล้ว เพราะคนดังๆ ของโลก ก็โดนกันหลายคนอาทิกาลิเลโอ นโปเลียนเป็นต้น จากคุณ : Pongkm (Pongkm) - [ 2 มิ.ย. 52 21:25:29 ]

ความคิดเห็นที่ 90 ความสัมพันธระหว่างศาสนจักรกับพระราชา แนบแน่นต่อกันมากกว่ายุคโรมัน ทำให้เกิดการเสริมส่งซึ่งกันและกัน ที่เป็นเช่นนั้น เพราะผู้ปกครองยุคหลังโรมัน ขาดการยอมรับ หรือศรัทธาในรูปแบบเดิม ๆ ที่โรมันเคยมี จึงต้องอาศัยบารมีของศาสนจักรมาช่วยส่งเสริม ขณะเดียวกันศาสนจักรโดยตัวเอง ก็ไม่สามารถสะสมกำลังเพื่อขยายอำนาจที่แท้จริง นอกจากอำนาจอันเกิดจากศรัทธาได้ จึงจำเป็นต้องมี "ของจริง"หนุนหลังอยู่ด้วย ที่เห็นได้ชัดก็กรณีของการสู้รบระหว่างโปรแตสแตนท์ และคาธอลิก ที่จริง ๆ แล้วไม่ใช่เพียงคู่กรณีต่างนิกายเท่านั้น แต่ยังมีแบคอัพเป็นกองกำลังจากเมื่องต่าง ๆ ที่เจ้าเมืองต้องการขยายอำนาจคอยหนุนหลังอยู่ด้วย กรณีราชอาณาจักรกับศาสตรจักรสัมพันธ์ซึ่งกันและกันอย่างเอื้อประโยชน์ต่อกันนั้น มีมาตั้งแต่สมัยของพระเจ้าคลอวิสที่ 1 ที่มีพื้นเพมาจากคนเถื่อนเผ่าแฟรงค์ และศรัทธาในศาสนจักร จนกระทั่งมีการบังคับให้ชาวแฟรงค์หันไปนับถือคาทอลิกด้วย ผลตอบแทนที่ได้รับ คือ การยอมรับและสนับสนุนจากโรม ถึงขนาดได้รับายาว่า "ดาบของพระเจ้า" แต่ที่สุด ๆ กว่านั้น เห็นจะเป็นรุ่นหลังที่มีพระนามว่า ชาร์ เลอ มาญ ที่ได้รับการสถาปนาจากพระสันตปาปาลีโอที่ 3 ให้เป็นจักรพรรดิแห่งอาณาจักรโรมันศักดิ์สิทธิ์ เทียบเท่ากับซีซาร์ของอาณาจักรโรมันโบราณ ที่ผู้คนยังถวิลหาความขลังแบบเป็นตำนานกันอยู่ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 2 มิ.ย. 52 23:43:22 ]

ความคิดเห็นที่ 91 ยุคกลางของยุโรปช่วงที่ว่านี้เป็นช่วงที่คนยังไม่มีการศึกษามั้งคะคุณ Pongkm   ไม่ใช่แต่ในยุโรปยุคกลางหรอกนะคะ  ที่ติดอยู่กับความเชื่องมงายแบบนี้ แถวๆบ้านเราเองที่การศึกษายังเข้าไปไม่ถึง  ก็ยังงมงายแบบนี้อยู่ แต่จะต่างกันบ้างก็ตรงที่ว่า  การฉวยโอกาสมันเข้มข้นต่างกันเท่านั้นเอง ในยุคกลางของยุโรปนั้น    จะหาความแน่นอนอะไรไม่ได้เลยทั้งด้านนการเมือง การปกครอง  และการครอบครองดินแดน  ทุกอย่างกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทั้งนั้น   ไม่มีใครที่มีอำนาจเบ็ดเสร์จเด็ดขาด  หรือไม่มีใครมีสิทธิในดินแดนใดๆ   ทุกอย่างยังต้องช่วงชิงกัน ดังนั้น   กุศโลบายต่างๆที่ผู้ต้องการมีอำนาจจะเอาต่อรองกับประชาชนได้  ก็คือ ความกลัว ค่ะ   การทำให้กลัว   กับความกลัว ที่เกิดขึ้นจากสิ่งที่มองไม่เห็นนั้นต่างกันนะคะ ความกลัวที่เกิดจากสิ่งที่เรามองไม่เห็น  บ้างอาจจะเรียกว่าความศรัทรา  หรือบางทีก็คือ งมงายนั่นเอง เมื่อประชาชนยังด้อยการศึกษา  การทำให้เขาเกิดความกลัว  จึงเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุด  ที่จะคอนโทรลพวกเขา และผู้ที่อำนาจเป็นปึกแผ่นมากที่สุดในยุคกลาง  ก็คือ พระค่ะ     แต่พระ  ไม่มีอาวุธนี่คะ    จะทำอย่างไรให้ประชชนเกิดความกลัวได้   อาวุธสิ่เดียวที่พระมีก็คือ   การสร้างความหวาดกลัวในสิ่งที่ประชาชนมองไม่เห็น   การอ้างว่า  สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้  หรือเป็นผู้ส่งสาน์ถึงพระเจ้า  เป็นคำกล่าวอ้างที่ถูกเอามาใช้กันอย่างแพร่หลาย จนกระทั่งเมื่อมีเหตุการณ์ที่อธิบายไม่ได้  พระก็จะบอกว่า  มันคือ  ปาฏิหาริย์   และ ปาฏิหาริย์  ก็คือ ปาฏิหาริย์    ไม่มีคำอธิบายใดๆ   ในขณะเดียวกัน   การฉวยโอกาสกับผู้ที่ยังล้าหลัง  แถวๆบ้านเรา  ก็มีให้เห็นอยู่บ่อย  จนบางทีก็อดโมโหไม่ได้ว่า  ทำไมโง่นักนะ  นั่นมันเป็นการหลอกลวงชัดๆ  ยังไปเชื่ออยู่ได้   แต่คนที่เขาเชื่อ จนงมงายแล้ว  ก็แทบจะจับเราโยนออกมาจากวัด   นี่ถ้าเป็นในสมัยโบราณนะ    เราคงถูกบัพชนียกรรมไปเป็นที่เรียบร้อยโรงเรียนร้อยเอ็ดไปแล้วมั้ง   ว่ามะ??? จากคุณ : Gasalong - [ 3 มิ.ย. 52 14:33:23 ]

ความคิดเห็นที่ 92 ส่วนกาลิเลโอ  กับ นโปเลียน  เขาเป็นเด็กวิทย์อ่ะค่ะ ก็เลยมีเหตุ  มีผล  พิจารณาว่าอะไร  จริงๆ    และอะไรคือแหกตา ถ้าจริง   เขาก็ขอพิสูจน์   แต่ถ้ายังพิสูจน์ไม่ได้   เขาก็จะยังไม่เชื่อ หลังยุคกลาง   ปัญญาชนรุ่นนี้เกิดขึ้นในยุโรปเยอะ   จนเกิดนักคิด  นักเขียนที่สงสัยในทุกเรื่องเกิดขึ้นมากมาย ความงมงายแบบยุคกลางจึงเหมือนถูกท้าทายอย่างแรง คริสต์ศาสนา  โรมันคาทอลิคจึงเกิดการแตกคอกันเอง  จนแยกเป็น โปแตสแตน์  และอื่นๆอีกมากมาย  ซึ่งมีหลายสาเหตุค่ะ   แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อนะคะ   สิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้เกิดการแตกคอ  คือ ผลประโยชน์ อีกแล้วค่ะ ไม่เว้นแม้แต่ทางศาสนา  ก็ยังไม่วายแสวงหานะคะ จากคุณ : Gasalong - [ 3 มิ.ย. 52 14:42:00 ]

ความคิดเห็นที่ 93 พระเจ้าชาร์ล เลอ มาญ เป็นผู้เริ่มประวัติศาสตร์ใหม่ หลังยุคโรมันตะวันตกล่มสลาย เพราะนอกจากจะเป็น k ที่สันตะปาปาแต่งตั้งใหเป็นจักพรรดิ์แห่งโรมันศักดิ์สิทธิ์เป็นพระองค์แรกนับตั้งแต่อาณาจักรโรมันล่มสลาย พระเจ้าชาร์ล ยังเป็น K องค์แรกที่ยังคับให้ประชาชนในราชอาณาจักรหันมานับถือศาสนาคริสต์ และทำพิธีล้างบาป ใครฝ่าฝืนอาจจะถูกลงโทษถึงตายได้ จุดเริ่มตรงนี้ ทำให้นอกจากสันตะปาปาจะได้เข้ามามีบทบาทในการแต่งตั้ง K ไปทั่วยุโรปแล้ว ยังทำให้คริสต์ศาสนา กลายมาเป็นวิชีวิตประจำวันที่ทรงอิทธิพลของคนเถื่อนที่เริ่มกลายร่างมาเป็นคนเมือง ซึ่งต่อจากนี้ ยังมีข้อกำหนดในวิถีชีวิตอีกมากมายตามมา ที่ทำให้เกิดข้อขัดแย้งมากมาย ทั้งด้านสร้างสรรค์และทำลาย จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 8 มิ.ย. 52 15:44:15 ]

ความคิดเห็นที่ 94 การ "บัพพาชนียกรรม"   (Excommunicate) มาดูในแง่การเมืองละกันนะครับ มันเหมือนการสะสมอำนาจนะครับ ในช่วงศตวรรตที่ 5-8 พระสันตปาปา มีฐานะเป็นเพียงข้าราชการคนนึงของจักรวรรดิไบแซนไทน์นิตินัย แต่ในทางพฤตินัยเป็นบุคคลที่ทรงอำนาจในยุโรปตะวันตก ขออธิบายถึงการปกครองในสมัยนั้นนิดนึง หลังสมัยจักรวรรรดิโรมัน(ตะวันตก)ล่มสลาย การคมนาคม การติดต่อจากส่วนกลางถูกตัดขาด หรือ กรุงโรมที่เคยรุ่งเรืองกลายเป็นความฝันไปแล้ว ทำให้ผู้คนในแต่ละท้องถิ่นต้องพึ่งพาขุนนางในท้องถิ่นของตนเพื่อรับการปกป้อง โดยสัญญาจะส่งส่วยให้ ในบางแห่งก็มอบที่ดินหรือยอมให้เกณฑ์แรงงานให้แลกกับการคุ้มครอง ซึ่งขุนนางท้องถิ่นก็จะรับการคุ้มครองจากขุนนางที่สูงขึ้นไป ทำให้เกิดระบบศักดินา เป็นลอร์ด-วัสซาลกัน ถึงตานี้ศาสนาที่คนนับถือกันมากคือศาสนาคริสต์ ยิ่งในยุคที่ความเป็นอยู่แร้นแค้น ผู้คนต้องการที่พึ่งทางใจ ซึ่งศาสนาคริสต์สอนให้เชื่อในพระเจ้า และพระเจ้าจะปกปักคุ้มครอง ทำให้พวกพระ,นักบวชในศาสนาคริสต์จึงได้รับการยอมรับจากทั้งชนชั้นล่างและชนชั้นสูงกอปรกับศาสนาคริสต์มีรูปแบบองค์กรที่ดีมาตั้งแต่สมัยโรมัน และเมื่อพวกเจ้าที่ดินบริจาคที่ดินให้กับโบสถ์ ลำพังพระคงไม่สามารถใช้ประโชน์เองได้หมด จึงให้คนมาเช่าที่ดินเพื่อทำประโยชน์และรับความคุ้มครองจากโบสถ์ โดยแลกกับคนที่มาเช่าต้องส่งส่วย และให้โบสถ์เกณฑ์แรงงาน ทำให้พระจึงมีฐานะเป็นเจ้าของศักดินาโดยกลายๆ และเจ้าของที่ดินที่เป็นพระขึ้นกับพระสันตปาปาที่โรม ตามโครงสร้างองค์กรทางศาสนาที่มีมาแต่เดิม ไม่ขึ้นกับกษัตริย์ในดินแดนที่ตนอยู่  โดยเจ้าที่ดินที่เป็นพระทั่วยุโรป(ที่เป็นโรมันคาทอลิก)ต้องส่งส่วยเข้าไปที่โรม จึงทำให้พระสันตปาปามั่งคั่งกว่ากษัตริย์องค์ใดของยุโรป ซึ่งพระสันตปาปานั้นถึงแม้จะมีอาณาเขตปกครองจริงๆแค่อิตาลี่ตอนกลาง(กรุงโรมและดินแดนรอบๆที่เปแปงถวายให้) แต่อิทธิพลนั้นแผ่ขยายไปทั่วยุโรปเท่าที่จะมีศาสนาคริสต์เผยแพร่ไปได้  แม้แต่จักรพรรดิแห่งไบแซนไทน์ยังต้องเกรงใจ และจากการที่พระเริ่มมีฐานะเป็นเจ้าที่ดินก็ทำให้การประกาศบรรพชนียกรรมของสันตปาปามีผลในทางปฎิบัติด้วย เพราะเมื่อพระสันตปาปาประกาศบรรพชนียกรรม พวกแรกที่ทำตามก็คือพระที่เป็นเจ้าที่ดินจะไม่ยอมส่งส่วยเกณฑ์แรงงานให้กษัตริย์ ทำให้เจ้าที่ดินอื่นๆที่อยู่ในอาณัติของกษัตริย์ทำตามเพราะกลัวว่าตัวเองจะโดนด้วย เมื่อเรียกเก็บส่วย เกณฑ์แรงงานไม่ได้ กษัตริย์ก็ตัวเปล่า ต้องยอมสยบอยู่ใต้อำนาจของพระสันตปาปา จากวิธีนี้ทำให้พระสันตปาปาจึงเป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในยุคกลาง ผ่านมาแล้วก็ไป จากคุณ : ryzon - [ 11 มิ.ย. 52 09:44:56 ]

ความคิดเห็นที่ 95 สันตะปาปา เริ่มเข้ามามีอิทธิพลทางการเมืองเหนือยุโรปใหม่ หลังยุคโรมัน เพราะเหตุที่นำสมัครพรรคพวกเข้ร่วมกับ เปแปง ซึ่งเป็นขุนนางของอาณาจักรพวกแฟรงค์ในสมัยยุคกลาง ทำการขับไล่ K ออกไป และตั้งตัวขึ้นเป็น K เสียเอง โดยเปลี่ยนราชวงศ์ใหม่ เป็นคาโลลินเจียน K เปแปง ตอบแทนบุญคุณในการช่วยเหลือของโป๊ปด้วยการยกที่ดินตอนกลางของอิตาลีที่เป็นของพวกลอมบารืด ที่เปแปง มีชัยให้เป็นรางวัล ทำให้เกิดธรรมเนียมการถวายที่ดินให้กับโป๊บ หลังจากนั้น โป๊บก็เริ่มสร้างอาณาจักรบนที่ดินที่ได้รับมอบมา จนมีสถานะประหนึ่งเจ้าครองนครผู้หนึ่ง อำนาจของโป๊บที่นำมาใช้เสมอในการกำราบผู้คนพลเมือง หรือกระทั่งเจ้าแผ่นดินในแว่นแคว้นต่าง ๆ คือ การบัพพาชนียกรรมนี่แหละ  ความหมายหรือการกระทำของการนี้ คือ การขับคนออกจากศาสนานั่นเอง  การขับออกจากศาสนาในสมัยนั้น ไม่ง่ายเหมือนแค่ไปเปลี่ยนศาสนาในบัตรประชาชนเหมือนสมัยนี้ หรือพวกเป็นพุทธตามทะเบียนบ้าน เพราะหากใครถูกขับออกจากศาสนา หมายถึง จะถูกตัดสิทธิไม่ให้ใครมาคบค้าสมาคมด้วย เข้าร่วมพิธีกรรมใด ๆ ก็ไม่ได้ (ชาวคริสตืต้องเข้าร่วมพิธีสำคัญ 7 อย่างในชีวิต) ทำพิธีฝังศพก็ไม่ได้ ตายไปก็ไม่มีสิทธิไปอยู่ในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า เรียกว่า ฆ่ากันทั้งเป็นเลยทีเดียว เหตุการณ์สำคัญ ที่ศาสนาเข้าไปมีส่วนร่วม และเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในยุโรป คือ การเข้าร่วมสงครามครุเสด ที่ทำให้ชาวยุโรปที่กำเนิดมาจากคนป่าเถื่อน ได้มีโอกาสเรียนรู้วิทยาการต่างๆ ที่สูญหายไปจากยุโรป แต่ไปโผล่ในหมู่พวกมุสลิม ทำให้เมื่อนักรบครูเสดกลับมาแล้วได้นำเอาความรู้เหล่านี้กลับมาด้วย จริง ๆ ก้ไม่ได้ตั้งใจหรอกครับ แต่ว่าติดมากับการปล้นสะดมอย่างหนักของนักรบครูเสด เพราะโป๊บที่ชักนำให้นักรบครูเสดเข้าร่วมรบ ได้ประกาศว่า รับรบผู้ใดที่เข้าร่วมในสงครามครั้งนี้ จะได้ไถ่บาปไปตลอดกาล นั่นเท่ากับว่า ไม่ว่าเขาจะทำอะไร ก้ไม่เป็นบาปกับชีวิตทั้งนั้น จึงล่อกันนัวทีเดียว จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 15 มิ.ย. 52 15:15:55 ]

ความคิดเห็นที่ 96 พูดถึงสงครามครูเสดแล้ว ต้องหนังเรื่องนี้เลยครับ จากคุณ : Ronachai (amscmu) - [ 16 มิ.ย. 52 16:17:51 ]

ความคิดเห็นที่ 97 Kingdom of heaven จากคุณ : Ronachai (amscmu) - [ 16 มิ.ย. 52 16:18:55 ]

ความคิดเห็นที่ 98 ดีนะหนังเรื่องนี้ เอาเรื่องราวของสงคราครูเสดมาทำได้เข้าท่าทีเดียว โดยเฉพาะพฤติกรรมของคริสเตียนนอกคอกที่วางกล้ามใหญ่โต สุดท้ายก็พ่ายกลยุทธิ์ทะเลทรายธรรมดา ๆ เสียดายกางเขนศักดิ์สิทธิ์ที่ว่าหายไปเพราะศึกครั้งนี้ด้วยนะสิ เรื่องสนุก ๆ ในยุคกลางยังมีอีกเยอะ อย่างเรื่องการมีโป๊ปถึง 3 องค์พร้อมกัน มันส์เขาหละ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 17 มิ.ย. 52 10:22:29 ]

ความคิดเห็นที่ 99 เรื่อง Kingdom of Heaven นี่ เขาเอาเค้าโครงส่วนหนึ้งจากเหตุการณ์จริงของสงครามครูเสดมาทำ จับความเอาตั้งแต่หลังจากที่ทัพของอัศวินชาวคริสต์เอาชนะมุสลิม และยึดเยรูซาเล็มไว้ในการปกครอง ถึงขั้นสถาปนา K กันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ชัยชนะที่คริสเตียนมีเหนือมุสลิมในครั้งนั้น มีบันทึกไว้ทั้งฝั่งคริสเตียนและมุสลิม ซึ่งตรงกันว่า มีการฆ่าชาวมุสลิมอย่างเหี้ยมโหด ชนิดเลืองนองท่วมถึงหัวเข่าเลยทีเดียว หลังจากมีชัยเหนือเยรูซาเล็มแล้ว ก็มีการสถาปนาอาณาจักรขึ้น โดยอัศวินที่ได้ชันนั้นส่วนใหญ่จะเป็นพวกแฟรงค์ (ริชาร์ดในสิงห์มาที่หลัง โผล่ตอนใกล้จบนิดเดียว) หรือพวกที่มาจากฝรั่งเศส K ที่ปกครองเยรูซาเล็มที่ในเรื่องเป็นโรคเรื้อนนั้น ชื่อ Baldwin IV และเมื่อสิ้นพระชนม์ลง ก้ได้หลานชายขึ้นครองแทนในชื่อ Baldwin V ที่ในหนังเป็นเด็กชายเล็ก ๆ นั่นแหละ ปัญหาคือมีการเมืองภายในทำให้ K ที่ยังทรงพระเยาว์ อายุไม่ยืน ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกที่ต้องสิ้นพะชนม์เมื่ออายุได้เพียง 8 ปีเท่านั้น (ในหนังพยายามบอกว่า เป็นโรคเรื้อนเหมือนกัน) หลังจากแผ่นดินสิ้น K ก็เกิดการแย่งอำนาจกัน ขุนนางคนสำคัญชิงอำนาจสถาปนาตนเองขึ้นเป็น Guy I โดยมี Reynald de Chatillon เป็นคนสนิท แต่ด้วยความละโมบ ภารกิจหลักของเรนัลด์ แทนที่จะช่วยทำนุบำรุงบ้านเมือง วัน ๆ แกกับมุ่งแต่จะปล้นกองคาราวานของพวกมุสลิมที่ต้องเดินทางผ่านไปเมกกะ คราวที่จะเกิดเรื่องใหญ่ ขุนนางเส็งเคร็งผู้นี้ นำกองกำลังไปดักปล้นขบวนคาราวานของมุสลิมกลุ่มหนึ่ง ซึ่งนอกจากจะได้เครื่องเพชรทองของมีค่าต่าง ๆ มากมายดังประสงค์แล้ว ยังมีเชลยคนสำคัญติดมาด้วย เชลยสาวคนนั้น คือ น้องสาวของซาลาดิน ทำให้เรนัลด์คิดการใหญ่ ส่งความไปยังซาลาดินขอค่าไถ่ตัวน้องสาวเป็นสมบัติกองโต อันว่า ซาลาดินนี้ คือ สุลต่านแห่งอียิปต์ที่มีพลานุภาพมาก นอกจากครองดินแดนไอยคุปต์แล้ว ยังแผ่อำนาจมาถึงเยเมน และดามัสกัสอีกด้วย ซาลาดีนมีเป้าหมายที่จะรวบรวมชาวมุสลิมที่กระจัดกระจายอยู่ในดินแดนต่าง ๆ ให้มาเป็นหนึ่งเดียวภายใต้ร่มธงของพระองค์ ซึ้งก็ประสบความสำเร็จด้วยดี จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 17 มิ.ย. 52 11:53:24 ]

ความคิดเห็นที่ 100 ลำพังแค่จับร้องสาวของซาลาดินที่กำลังจะเดินทางไปเมกกะก็สาหัสพอที่จะทำศึกกันได้แล้ว แต่อัศวินของ Guy I ยังทำเรื่องไม่หยุด เมื่อ Gerard de Ridefort นำกำลังอัศวินเข้าโจมตีขบวนของมาลิก อัลอัฟดุล ซึ่งเป็นลูกชายของซาราดีน ทั้ง ๆ ที่มีการขอผ่านแดนอย่างสันติกันอย่างถูกต้องแล้ว ศึกคราวนี้ อัศวินไม่ได้เคี้ยวหมูเหมือนคราวโจมตีคาราวานน้องสาวซาราดีน เพราะขบวนของลูกชายซาราดีนขนทหารมุสลิมมาเพียบ เมื่อถูกโจมตีก่อน นักรบมุสลิมจึงต่อสู้และได้ชัยเหนืออัศวินนอกคอกอย่างไม่ยากเย็นแต่อย่างใด เสียดายก็แต่ไรต์ฟอร์ด ตัวต้นคิด ดันหนีไปได้ แถมยังไปฟ้องนายตัวเองอีกว่าโดนมุสลิมรังแก ส่วนฟากซาราดีนนั้น เมื่อเจอเข้าไป 2 เด้งกับคนในครอบครัวตัวเองอย่างนี้ ก็สุดจะทน ทรงเกณฑ์ทัพชุดใหญ่เพื่อไปรบกับขุนนางเรนัลด์ให้เดี้ยงกันไปข้างนึง ฝั่งคริสเตียน เมื่อเจอคำเท็จของไรต์ฟอรืดเข้าให้ ก็เข้าใจว่าถูกมุลิมโจมตี กลายเป็นเรื่องสงครามศาสนาขึ้นมาอีก จึงจัดเกณฑ์กองทัพอัศวินเพื่อเตรียมทำศึกใหญ่ โดยมีอัศวินและไพร่ราบพลเลวในกองทัพนี้เกือบ 2 หมื่นคน แถมยังสั่งให้อาร์กบิชอปประจำกรุงเยรูซาเล็ม นำกางเขนศักดิ์สิทธิ์ที่เชื่อว่าเป็นส่วนหนึ่งของไม้กางเขนที่ใช้ตรึงพระเยซูร่วมขบวนทัพไปด้วย (ในหนังเน้นฉากนี้ด้วย) ทัพอัศวินและทหารราบถูกนำโดย K Guy I ที่ไม่เข้าใจในกลศึก พระองค์ประเมินทะเลทรายต่ำเกินไป ถึงขนาดเชื่อมั่นว่าจะเดินทัพผ่านไปได้โดยใช้เวลาไม่ถึงวัน แถมยังละทิ้งเสบียงและน้ำไว้เบื้องหลัง เพราะเกรงว่าจะเป็นเครื่องถ่วงกองทัพ ทำให้ชนะซาลาดีนช้าเกินไป แต่เมื่ออัศวินพร้อมชุดเกราะเต็มยศ เดินทางผ่านทะเลทรายที่ดูเหมือนจะกว้างไกลไม่มีที่สิ้นสุด พวกคริสเตียนก็รู้ความจริงว่าเขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการรบในทะเลทราย อัสวินและทหารราบใช้น้ำหมดไปอย่างรวดเร็ว และไม่มีมาเพิ่มเติม  เมื่อปะทะกับทหารของซาราดีนจึงแพ้อย่างง่ายดาย แม้จะพยายามเดินทางไปให้ถึงแหล่งน้ำ แต่สิงห์ทะเลทรายอย่างซาราดีนก็รู้เส้นทางดีเช่นกัน และนำทหรมาดักได้ทุกครั้ง ในหนังเสนอภาพความหิวโหยของอัศวินคริสเตียนไว้อย่างน่าดุ โดยเฉพาะเมื่อถูกซาราดีนจับได้ และมีการนำน้ำมาให้ Guy ดื่ม ไม่ใช่น้ำธรรมดา แต่เป็นหิมะที่ตักมาจากยอดเขา แสดงถึงความเกรียงไกรของทัพซาราดีนได้เป็นอย่างดี ว่าทัพ Guy นั้น ไม่มีแต่น้ำสักหยดจะดื่มกิน แต่ซาราดีน มีกระทั่งหิมะเย็นชื่นใจ สุดท้าย ทัพอัศวินก็พ่ายยับเยิน กางเขนศักดิ์สิทธิ์ถูกชิงไป อาร์กบิชอป แห่ง เยรูซาเล็ม ก็ถูกฆ่าตายในสนามรบ หลังศึกครั้งนั้น เหลืออัศวินรอดกลับมาเพียง 200 นาย กับไพร่ราบพลเลวอีกไม่ถึงพันเท่านั้นเอง และเป็นการปิดฉากความยิ่งใหญ่ของคริสเตียนในเยรูซาเล็มอีกต่างหาก ถ้าไม่นับศึก 2 ชาย ระหว่างซาราดีนกับริชาร์ด ใจสิงห์ นะ เพราะว่ากันว่า นอกจากจะเป็นศึกสุดยอดสุภาพบุรุษแล้ว ยังมีแอบหวานกันซะ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 17 มิ.ย. 52 12:14:44 ]

ความคิดเห็นที่ 101 ว่าแล้วต้องไม่พลาด พอผมเอาโปสเตอร์หนังมาแปะ อาจารย์สื่อต้องมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยมาเล่าให้ฟัง อ่านแล้วทำให้อยากกลับไปดูอีกซักรอบนึง แต่เปลี่ยนใจไปดูสะพานแสนไกลแทน จากคุณ : Ronachai (amscmu) - [ 20 มิ.ย. 52 12:21:51 ]

ความคิดเห็นที่ 102 เจ้าสะพานที่ไกลเกินไปก็สุกครับ ผมรู้สึกว่า อเมริกัน สร้างหนังเรื่องนี้ออกมาโดยมีวัเยอะวัตถุประสงค์แฝงเอาไว้เยอะ เพราะดู ๆ แล้วไม่ค่อยเน้นที่จะ "ด่า" นาซี เหมือนเรื่องอื่น ๆ นาซีในเรื่องนี้ แสนจะดี มีความเป็นมนุษย์ ประมาณว่า ตื่นกลัว หวาดระแวง หยิ่ง เยาะเย้ย ฯลฯ เหมือนมุษย์ธรรมดา ไม่ใช่เลือดเย็นไปซะยังกะแด๊กคิวล่า เหมือนอย่างบัญชีของชิลเล่อร์ แต่เป้าหมายตรง ๆ ของหนังสะพานที่ไกลไปนี่ มันฟัดมหามิตรอังกฤษโดยตรงทีเดียว ซึ่งก็ไม่ใช่ใคร แต่เป็นนายพลคนดังของอังกฤษที่อเมริกันแสนจะหมั่นไส้ อย่าง มอนโกเมอรรี่ นั่นแหละ หนังฮอลีวู๊ดในยุคนั้น ล้วนสร้างภาพ มอนโกเมอรี่ หนึ่งเดียวที่แสนจะน่าภูมิใจขององกฤษให้ดูเหมือนตัวตลกที่พยายามจะทาบรัศมีนักการทหารที่ยิ่งใหญ่ของสหรัฐฯให้ได้ โดยเฉพาะ แพตตัน ที่เป็นคู่แข่งขันโดยตรงกับมอนโกเมอรี่ ในการบุกปลดปล่อยยุโรป อย่างในหนัง แพตตัน ที่คว้ารางวัลไปมากมาย ก็สร้างภาพ 2 นายพลคู่กัดคนนี้ได้อย่างสนุกสนาน แพตตัน เป็นบุคคลิกแบบที่อเมริกันชอบ คือ คุยโว ขี้โอ่ ขี้อวด เหล้า บุหรี่ ไม่ขาดปาก แถมยังมีเสน่ห์กับสาวแก่แม่ม่ายไปทั่วอีกต่างหาก ขณะที่มอนโกเมอรี่ ตัวจริงเป็นนายพลที่เคร่งครัด และเป็นผู้มั่นคงในศิลธรรม ไม่โอ้อวด บุหรี่ เหล้า ไม่แตะ (น่าแปลกสำหรับลูกผู้ชายชาติทหารสมัย 60 กว่าปีก่อน) แต่จะเก่งยังไงก็จะมาชนะนายพลอเมริกันในฮอลีวู๊ดไม่ได้ ออปอเรชั่น มาร์เก็ต การ์เด้น แผนปฎิบัติการทางทหารที่ผิดพลาดมาที่สุดแผนหนึ่งในประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ไม่น่าเกิดขึ้นกับสัมพันธมิตรในช่วงที่นาซีอ่อนแรงจนแทบจะยืนไม่ไหวแล้ว นี่คือผลงานและความรับผิดชอบของมอเกอร์เมอรี่ตรง ๆ ฮอลีวูดและอเมริกันชนเลยชอบเรื่องนี้หนักหนา โดยเฉพาะประโยคปิดท้ายที่ว่า "สงสัยสะพานนี้มันจะไกลไป" ช่างสะใจอเมริกันเหลือเกิน จึงอยากจะเอาไปบันทึกลงแผ่นและเล่นผ่านเครื่องขยายเสียงครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อให้ทหารอังกฤษที่เข้าร่วมปฎิติการครั้งนั้น ซาบซึ้งใจกับวีรบุรุษของชาติตัวเองให้หนัก และแน่นอนว่า โลกจะได้จำไว้ว่า อย่ามาอาจหาญเทียบอเมริกันเด็ดขาด มิฉนั้น จะมีชะตากรรมไม่ต่างอะไรจากมอนโกเมอรี่ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 22 มิ.ย. 52 09:15:48 ]

ความคิดเห็นที่ 103 เรื่องของสันปตะปาปา 3 องค์ เป็นเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่งของยุโรปยุคกลาง เรื่องของเรื่องนั้นเริ่มจากพื้นฐานที่ว่า K หรือ โป๊ป เป็นผู้มีอำนาจมากกว่ากัน อำนาจที่อยู่เหนือไพร่พลเมืองของยุโรป ซึ่งหมายถึง แรงงาน แรงเหงื่อ และจำนวนเงิน ที่จะถูกรีดและส่งตรงมายัง 2 อาณาจักรนี้ เหตุการณ์ปฐมบท เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 1296 เมื่อโป๊ปโบนิฟาซ ที่ 8 กับฟิลลิปที่ 4 ของฝรั่งเศส ขัดแย้งกันในเรื่องของอำนาจในการจัดเก็บภาษีบาทหลวง ที่ฝ่าย K ทำการจัดเก็บอย่างไม่ไว้หน้า ขณะที่โป๊ปไม่เอาด้วย แถมยังออกแถลงการณืประนาม และกำหนดกฎให้ใหม่ว่า ถ้าหากอยากจะเก็บภาษีกับบาทหลวงนั้น ก็หาขัดไม่ หากแต่ต้องมาขออนุญาตกับโป๊ปก่อน และเมื่ออนุญาตเมื่อไรแล้วนั่นละ จึงจะมาล้วงกระเป๋าเอาตังส์บาทหลวงของฉันไปได้ ซึ่งแน่นอนว่า ฟิลลิป ก็รู้ได้ว่า ถ้าบ้าจี้ขอ ก็คงไม่มีวันได้รับอนุญาตหรอก จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 22 มิ.ย. 52 09:21:28 ]

ความคิดเห็นที่ 104 หลังจากการโต้แย้งกันในเรื่องของอำนาจในการจัดเก็บภาษีแล้ว อำนาจทางอาญาก็ยังไม่ลงรอยกันอีก เมื่อฟลลิปล้ำเส้นไปจัดการกับบิชอปูปหนึ่งในข้อหาทรยศต่อราชบัลลังก์ โบนิฟาซ รู้ข่าวเรื่องฟิลิปล้ำเส้นอีก ก็ฟิวส์ขาด (หรืออยากจะมีเรื่องกันอยู่แล้ว แค่หาอะไรก้ได้เป็นเหตุให้อ้างเท่านั้น) ออกแถลงการณ์ประกาศไปทั่วว่า K ทั้งหลายนั้น ไม่ได้มีอำนาจเหนือกว่าโป๊ป ซึ่งเป็นตัวแทนของอำนาจสูงสุดทางธรรม ที่ทำหน้าที่อยู่บนโลกมนุษย์ ดังนั้น K จะมาใช้อำนาจใด ๆ ก็ตามกับมนุษย์บนโลกนี้ที่ศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า โดยไม่ได้รับอนุมัติจากโป๊ปที่เป็นตัวแทนทำหน้าที่อยู่บนโลกมนุษย์ ไม่ได้ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 22 มิ.ย. 52 09:30:09 ]

ความคิดเห็นที่ 105 ไม่เพียงแค่ประกาศให้ฟิลลิปหัวเราะเยอาะเบ่นว่าเป็นเพียงแผ่นกระดาษเท่านั้น แต่โบนาฟาซ ยังแต่งตั้งให้เจ้าชายอัลเบิร์ตแห่งฮัมบูร์ก เป็นจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ให้มีอำนาจเหนือ K ทั้งปวงในยุโรปในขณะนั้นด้วย แน่นอนว่า ต้องมีอำนาจเหนือกว่า ฟิลลิป เป็นพิเศษ K อื่น ๆ ก็ไม่ค่อยกล้าจะหือกับโป๊ป เพราะอำนาจในการไล่คนออกจากศาสนายังศักดิ์สิทธิอยู่ แต่ไม่ใช่กับฟิลิป พระองค์โต้กลับด้วยการประกาศโทษโป๊บแห่งโรมองค์นี้ด้วยข้อกล่าวหาร้านแรงต่าง ๆ นา ๆ ที่หนักหนาที่สุดก็น่าจะเป็นการกล่าวหาว่า มีพฤติกรรมเป็นพวกรักร่วมเพศ อึ๊ย แล้วอย่างนี้จะอยู่ร่วมโลกกันได้ยังไง จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 22 มิ.ย. 52 13:13:14 ]

ความคิดเห็นที่ 106 และเช่นเดียวกัน ฟิลลิป ก็ไม่ได้แต่เพียงออกไปยืนด่าข้างรั้วบ้านให้แค่เหม็ขี้ฟัน  แต่พระองค์เล่นแรงกว่านั้นด้วยการสนับสนุนให้เกิดการกบฎต่อต้านโป๊บขึ้นในอิตาลี ด้วยการสนับสนุนคนใตระกูลโกลอนนา ซึ่งเป็นตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งในโรมที่ต้องการให้คนของตัวได้ตำแหน่งโป๊บเสียเอง จริง ๆ แล้ว คนในตระกูโกลอนนา ก็ไม่ค่อยชอบโป๊ปองค์นี้อยู่แล้ว และแสดงอาการต่อต้านอยู่เสมอ ๆ ยิ่งเมื่อได้รับแรงหนุนระดับชาติกันอย่างนี้ มีหรือจะยอมรั้งมือ แผนเด็ดของการก่อกบฎ คือ การเข้าไปจับโปปโบนิฟาซมาจัดการเชือดเสียเลย เอากันให้ตายไม่ต่างจากการทำศึกระหว่างแก๊งค์ประมาณนั้นทีเดียว แม้ว่าโบนิฟาซจะโชคร้าย พลาดท่าถูกโกลอนนาจับตัวไปได้ แต่ดวงก็ไม่ถึงฆาต ได้รับการช่วยเหลือออกมาได้ แต่ร่างกายและจิตใจก็บอบช้ำหนัก สุดท้าย ก็สิ้นพระชนม์ไปเองในเวลาไม่นานนัก หลังจากการจากไปของโบนิฟาซ โป๊บองค์ต่อมาก็อ่อนลงกับฟิลลิป ยิ่งเมื่อมาถึงสมัยของคลีเมนต์ที่ 5 ซึ่งเป็นชาวฝรั่งเศสเช่นเดียวกันกับฟิลลิปแล้ว ยิ่งเปลี่ยนนโยบายแบบหันหังกลับเลยทีเดียว ภารกิจยิ่งใหญ่และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ของสันตปาปา คือ การย้ายไปอยู่ที่เมืองอาวิญงในฝรั่งเศสแทนการอยู่ในกรุงโรม ที่เป็นสัญลักษณ์ของอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ต่อไป ทั้งนี้เพื่อแลกกับการที่ฟิลลิปจะทรงเลิกการไต่สวนความผิดของโบนิฟาซ ซึ่งมีเค้าลางว่าจะสร้างความเสื่อมเสียให้กับศาสนาจักรเสียมาก การย้ายตำหนักโป๊ปมาที่อาวิญง ทำให้ศาสนจักรและราชอาณาจักรที่ทรงอำนาจทั้งคู่ สามารถเดินไปในแนวทางเดียวกันได้ โดยมีอาณาจักรเดินนำหน้าอยู่นิด ๆ แต่อย่างน้อยก็เรียกได้ว่า พญาช้างสารไม่ต้องชนกัน หญ้าแพรกก็ได้พอมีเวลาทำมาหากินและเก็บเงินส่งเป็นภาษีไปเลี้ยงทั้งสองอาณาจักรได้เป็นกอบเป็นกำเหมือนเดิม จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 22 มิ.ย. 52 13:23:18 ]

ความคิดเห็นที่ 107 แม้ว่าโป๊ปอีกถึง 6 พระองค์จะยังทรงเลือกที่จะใช้อาวิญงเป็นราชสำนักของสันตะปาปา แต่ก็ใช่ว่า ที่นี่จะเยือกเย็นสงบให้สมกับการเป็นศูนย์กลางศาสนา เพราะยังมีชาวคาทอลิกอีกตั้งเยอะที่ไม่ค่อยพอใจที่ต้องเห็นราชสำนักวาติกันอยู่ในฝรั่งเศส ชาติที่แสนจะอหังการ์ โดยเฉพาะอังกฤษ ในสมัยที่อังกฤษยังเป็นคาทอลิกอยู่นั้น อังกฤษต้องทำสงครามกับฝรั่งเศสอยู่ตลอดเวลา ตามประสาประเทศผู้ยิ่งใหญ่พอกันในยุโรป โดยเฉพาะสงครามระดับตำนานอย่างสงครามร้อยปีระหว่างฝรั่งเศสกับอังกฤษ ที่ไม่รู้ว่าจะตะบี้ตะบันรบกันไปทำไมนานจขนาดนั้น แต่ชาติกับศาสนามันคนละเรื่องกัน ขณะที่คน 2 ชาติรบกันอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่นั้น ศาสนิกชนที่ดีของอังกฤษก็ยังต้องทำบุญไปให้โป๊ปที่อาวิญงอยู่เหมือนเดิม มันช่างช้ำใจนัก ยังไม่รวมถึง อิตาลี ที่ยังคนึงหาที่จะมีสันตะปาปาเป็นคนอิตาลีเหมือนที่เคยเป็นมา ไม่ใช่ต้องมาอยู่ใต้การปกครองของโป๊ปที่เป็นคนต่างชาติแถมอยู่ต่างเมืองกันอย่างนี้ ชาวคาทอลิกในอิตาลี จึงรวมตัวกันก่อขบถต่อสันตะปาปาที่อาวิญงขึ้น จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 22 มิ.ย. 52 13:32:26 ]

ความคิดเห็นที่ 108 การก่อขบถของคาทอลิกอิตาลีต่อสันตะปาปาชาวต่างชาติเกิดขึ้นในสมัยของเกรกอรี่ที่ 11 ซึ่งเป็นโป๊บที่ได้รับการแต่งตั้งที่อาวิญงเป็นองค์สุดท้าย การก่อกบฎเป็นเรื่องที่ อาวิญง รับไม่ได้ จึงมีการส่งทหารจากสำนักไปจัดการ นำโดย โรเบิร์ต แห่ง เจนีวา ไปปราบปราม มีการสูรบกันอย่างรุนแรงระหว่างทหารจากสำนักโป๊ปและชาวอิตาลี ที่นำโดยกลุ่มตระกูลที่ต้องการให้คนของตนขึ้นเป็นโป๊บ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ประชาชนทั่วไปก็สนับสนุนการกบฎครั้งนี้ เพราะมันมีเหตุผลเพียงพอสำหรับชาวโรมที่ไม่ต้องการที่จะสนับสนุนโป๊ปจากชาติอื่น แม้ว่าทหารของโรเบิร์ต จะสามารถสังหารผู้ต่อต้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่เกรเกอรี่ที่ 11 ก็ตระหนักดีว่า นั่นไม่ใช่วิถีทางการสร้างความสงบในหม่คาทอลิก  ดังนั้น พระองค์จึงมีนโยบายที่จะย้ายสำนักกลับไปที่โรมเหมือนเดิม แต่ว่าการเดินทางในสมัยนั้น ไม่ได้ลัดนิ้วมือเดียวเหมือนปัจจุบัน  การเดินทางจากเมืองอาวิญงไปโรม จำเป็นต้องขึ้นรถ ลงเรือ ข้ามน้ำข้ามทะเลไปอย่างยากลำบาก จนกระทั่งเมื่อถึงกรุงโรมแล้ว เกรเกอรี่ที่ 11 ถึงกับทรงพระประชวรจากอาการอ่อนเพลียในการเดินทาง และสิ้นพระชนม์ในเวลาต่อมาไม่นานนัก ทิ้งปมปัญหาสำคัญไว้ข้างหลัง คือ การถ่ายโอนอำนาจจากสำนักสันตะปาปาอาวิญงมายังโรมยังไม่เสร็จสิ้น แต่เนื่องจากกฎการเลือกสันตะปาปา จะต้องเลือกพระองค์ใหม่ ณ ที่องค์เก่าสิ้นพระชนม์ เพื่อป้องกันความสับสนและเป็นหลักประกันในการสืบทอดอำนาจเก่า แต่โรมตอนนั้น ยังไม่หายร้อนแรงจากกระแสการประท้วง  เมื่อมีการเปิดประชุมเพื่อเลือกสันตะปาปาพระองค์ใหม่  ก็มีฝูงชนมาห้อมล้อมกดดันที่ประชุมให้เลือกชาวอิตาลีขึ้นเป็นพระสันตะปาปาองค์ใหม่ จะด้วยแรงกดดันจากฝูงชน หรือเป็นเพราะความเหมาะสมก็ไม่ทราบได้ สุดท้ายที่ประชุมในวันนั้น ก็มีมติเลือก เออร์บันที่ 6 ขึ้นมาเป็นพระสันตะปาปาองค์ใหม่ โดยหวังว่า ความเป็นชาวอิตาลีของพระองค์จะช่วยทำให้สถานการณ์ดีขึ้น แต่การณ์กลับหาเป็นเช่นนั้นไม่ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 24 มิ.ย. 52 11:43:34 ]

ความคิดเห็นที่ 109 ก๊อกๆๆ มีใครอยู่บ้างคร้าบบบบ... มาทวงต้นฉบับ อิ อิ อิ จากคุณ : ha ha yee - [ 2 ก.ค. 52 08:22:44 ]

ความคิดเห็นที่ 110 โทษที  บ้านโดนตัดไฟ กดกริ่งไม่ได้ยิน ต้องเคาะประตูดัง ๆ หน่อย จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 3 ก.ค. 52 12:09:10 ]

ความคิดเห็นที่ 111 การเลือกโป๊ปครั้งนั้น เป็นไปตามแรงกดดันของฝูงชนอย่างปฎิเสธไม่ได้ เพราะพระคาร์ดินัลที่มีสิทธิเลือกจำนวน 16 รูป นั้น เป็นฝรั่งเศสเสีย 11 รูป อิตาลีเพียง  4 รูป และอีกรูปเป็นเสปน ถ้าเอาเสียงข้างมากแบบพวกมากลากไป อย่างไรเสีย โป๊ปองค์ใหม่ต้องเป็นฝรั่งเศส โป๊ปองค์ใหม่ก็รู้พระองค์เองว่า ที่ได้เลือกเพราะการเมืองจากการกดดันของฝูงชนอิตาลี  ดังนั้น จึงดำเนินนโยบายเอาใจอิตาลีตลอด จนกระทั่งสร้างความอึดอัดให้กับฝรั่งเศสเป็นอย่างยิ่ง พระคาร์ดินัลฝรั่งเศสทั้ง 11 รูปจึงประกาศว่า คราวที่แล้วที่คนใช้สิทธิลงคะแนนให้เพื่อ...เอ๊ย ให้เออร์บันนั้น เป็นเพราะฝูงชนกดดัน ขอให้เป็นโมฆะแล้ว ๆ กันไปแล้วกัน เลือกใหม่อีกทีแบบชิลด์ ๆ ไม่มีใครมาตั้งเวทีก่อม็อบทุบรถตะโกนด่าปาว ๆ แล้วละก็  ข้าพเจ้าจะขอเลือกคลีเมนต์ที่ 7 มากกว่า แน่ละว่าต้องไม่ใช่อิตาเลี่ยน แต่จริง ๆ คลีเมนต์ที่ 7 ก็ไม่ใช่ฝรั่งเศสเช่นเดียวกัน แต่พระองค์เป็นชาวสวิส แต่ตอนนั้น คงเพราะสถานการณ์ทางการเมือง ทำให้ไม่อยากเลือกฝรั่งเศสด้วยกันให้เป็นที่ครหา   แต่ไม่ว่าจะเชื้อชาติใด ภารกิจหลักของคลีเมนต์ที่ 7 ก็ยังคงต้องเป็นไปตามเสียงส่วนใหญ่ของคาร์ดินัลฝรั่งเศส นั่น คือ ย้ายสำนักสันตะปาปากลับไปอาวิญง คราวนี้ก็วุ่นสิครับ เพราะไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ใครจะเป็นโป๊บตัวจริงตัวปลอมก็ไม่ได้ตกลงกันมาก่อนเสียด้วย   ก็เลยอ้างสิทธิกันใหญ่ ว่าฉันตัวจริง ส่วนอีกคนนะตัวปลอม  ใครไปทำพิธีกับตัวปลอม ถือว่ายังไม่ผ่านพิธีรับศีลที่แท้จริงของคาทอลิก (ต้องรับศิลสำคัญ 7 ชนิดในชั่วชีวิตนึง) ใครขืนไปรับศีลกับโป๊ปตัวปลอม ตายไปตกนรกไม่รู้ด้วยนะเอ้อ เอากับเขาสิ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 3 ก.ค. 52 12:22:05 ]

ความคิดเห็นที่ 112 สถานการณ์โดยทั่วไป ทั้งสองพระองค์ต่างยันกันอยู่คนละเมือง คลีเมนต์ที่ 7 ยังปักหลักอยู่ที่อาวิญง ส่วนเออร์บัน ถือว่า ที่โรม คือศูนย์กลางโรมันคาทอลิก จึงไม่ถอยเหมือนกัน ขนาดพระคาร์ดินัลชั้นผู้ใหญ่ถึง 7 รูปเคยทูลขอให้ทรงลออกเสียเพื่อความสมานฉันท์ ยังสั่งประหารทิ้งทั้ง 7 รูปเลย แต่ทายสุดแล้ว เออร์บันทรงสิ้นพระชนม์ก่อน ทำให้เหลือเพียงคลีเมนต์ที่ 7 ที่อาวิญง ซึ่งก็สบายพระทัยขึ้นว่า คราวนี้ปัญหาคงจบลงเสียที แต่ยังก่อน แทนที่ชาวโรมจะยอมรับคลีเมนต์ที่ 7 ให้จบเรื่องสิ้นราว  แต่กลับทำห้อะไรยุ่งยากหนักขึ้นไปอีก นั่นคือเลือกพระสันตะปาปาองค์ใหม่ซะอีกแล้ว ทำให้นอกจากมีคลีเมนต์ที่ 7 ที่อาวิญง ตอนนี้ยังมีโบนิฟาซที่ 9 โผล่ขึ้นมาอีกพระองค์หนึ่ง สถานการณ์ก็ไม่ต่างอะไรกับเมื่อครั้งเออร์บันที่ 6 นั่นเลย แบบนี้ไม่ไหว  เหล่าคาทอลิกรู้สึกแย่กันมาก ๆ กับสถานการณ์แบบนี้ เพราะมันยิ่งทำให้ศรัทธาต่อสันตะปาปาตกต่ำลงเรื่อย ๆ จึงตกลงใจเรียกประชุมครั้งใหม่เพื่อแก้ปัญหา โดยเลือกเอาเมืองปิซา ที่มีหอเอนดัง ๆ นั่นแหละ เป็นสถานที่ประชุม เมื่อปี 1409 ผลการประชุมเพื่อยุติปัญหาที่คาทอลิกมีพระสันตปาปาถึง 2 พระองค์พร้อมกันนั้น ที่ประชุมเห็นว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะไม่ควรเป็นอย่างยิ่ง สมควรยุติปัญหานี้โดยเร็ว ด้วยการเสนอแต่งตั้งอเล็กซานเดอร์ที่ 5 ขึ้นเป็นสันตะปาปา ขึ้นมาอีกพระองค์หนึ่ง กลายเป็น 3 พระองค์เลยทีนี้ แหม มันน่าจับผู้เข้าร่วมประชุมคราวนั้นมาตัดหัวเสียบประจานมันซะให้หมดจริง ๆ เขาให้มาประชุมแก้ปัญหา เบิกทั้งค่าที่พัก ค่าเดินทาง เบี้ยประชุม แทนที่จะแก้ปัญหา หนอย ดันสร้างเพิ่มเข้าไปอีก สุดท้ายแล้วคาทอลิกทั้งหลายก็ต้องรับสภาพการมีพระสันตะปาปาพร้อมกันถึง 3 พระองค์อยู่อย่างนั้นจนปี 1417 เรื่องทั้งหมดจึงยุติ มีเพียงมาร์ตินที่ 5 เท่านั้นที่เป็นพระสันตะปาปาเพียงพระองค์เดียว สักที จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 3 ก.ค. 52 12:32:40 ]

ความคิดเห็นที่ 113 อีกเรื่องที่สำคัญในยุคกลาง คือ เรื่องการแตกนิกายโปรแตสแตนท์ ที่นอกจากจะทำให้เกิดสงครามใหญ่ในขณะนั้นแล้ว ยังส่งผลให้คริสต์แยกออกเป็น 2 ส่วนมาจนถึงทุกวันนี้ด้วย ในเรื่องมีรายละเอียดปลีกย่อยเยอะแยะครับ ค่อย ๆ ทยอยเล่าไปแล้วกันนะ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 3 ก.ค. 52 13:52:09 ]

ความคิดเห็นที่ 114 ขออนุญาติยกขึ้นไปครับ จากคุณ : ryzon - [ 4 ก.ค. 52 10:12:46 ]