ความคิดเห็นที่ 1 ข้อสังเกตว่า จากกฎหมายยุคโบราณของชาวยิวนั้น หญิงชาวยิวจะไม่สยายผมในที่สาธาระณะ และไม่สยายผมต่อหน้าผู้อื่นที่ไม่ใช่สามีของตน ดร.มอร์ตัน สมิธ ศาสตราจารย์ทางด้านโบราณคดี มหาวิทยาโคลัมเบีย ได้พบจดหมายที่ห้องสมุดของโบสถ์ที่ มาร์ซาบา ใกล้กับวิหารเยรูซาเลม จดหมายฉบับนั้นเขียนขึ้นใน ศตวรรษที่ 2 โดย คลีเมนต์แห่งอล็กซานเดรีย พระนักบวชส่งถึงเพื่อน กล่าวถึง บันทึกของมาระโก ศิษย์ท่านหนึ่งของพระเยซู แต่บทบันทึกนี้ไม่ได้ถูกกล่าวในไบเบิล ตอนพระเยซู เสด็จไปเพื่อให้ ลาซารัส ฟื้นขึ้นจากความตายนั้น มีตอนหนึ่ง “และพี่สาวของชายหนุ่มที่พระเยซูทรงรัก” เป็น พี่สาวที่พระเยซูทรงรัก ไม่ใช่ ชายหนุ่มที่พระเยซูทรงรัก ชายหนุ่มนั้นคือ ลาซารัส และพี่สายผู้นั้นคือ แมรี มีผู้ตั้งทฤษฏี สรุปว่า แมรี ดาลีน เป็นผู้ติดตามอย่างใกล้ชิด และเป็นสตรีคนเดียวในกลุ่ม ปรนนิบัติพระองค์อย่างใกล้ชิดด้วย กลายเป็นที่โปรดปราน มากกว่าปีเตอร์ ที่พระองค์ได้หวังสืบทอดภารกิจหลังจากพระองค์ไม่อยู่แล้ว ทำให้ปีเตอร์ ถูกตรึงกางเขนประหารชีวิต แต่ต่อมาชาวโรมันยอมรับในศาสนาคริสต์ และสถาปนานิกายโรมันคาทอลิก ปีเตอร์ท่านนี้ ก็กลายเป็น สังฆราชองค์แรกที่ยกย่อง แม้ตัวท่านจะสิ้นไปแล้ว เเต่ก็มีความพยายามทำให้ แมรีแมคดาลีน กลายเป็น หญิงโสเภณี เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือ จากคุณ : ยักษ์ท่าเตียน - [ 12 พ.ค. 52 16:34:41 ]

ความคิดเห็นที่ 2 โบสถ์รอสลิน ?? โบสถ์รอสลิน ผู้ก่อตั้งโบสถ์คือ วิลเลียม ซินแคล์ ญาติ ห่าง ๆ ของแอนดูร์ ซินแคล์ และผู้ที่ถูกอ้างว่าเป็นอัศวินเทมปลาร์ มีตำนานบอกว่าอัศวินใช้โบสถ์นี้ เป็นที่ซ่อน ของโบราณ ที่เขาค้นพบในระหว่างสงครามครูเสด รวมถึงโฮลี เกรล บางคนคิดว่ามันคือจอก แต่หลายคนเชื่อว่าเป็นข้อพิสูจน์สายเลือด โบสถ์นี้เต็มไปด้วยสลักปริศนาบางคนเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับโฮลีเกรล และมีภาพของพระเยซู และแมรีแมคดาลีน และบางคนก็เชื่อว่า แสดงเบาะแสความลับของเกรลอาจจะฝังอยู่ที่นี่ พร้อมกับทายาทและสายเลือด หน้าต่างบานหนึ่ง ดูเหมือนว่า แมรีแมคดาลีน จะเอนตัวเข้าหาผู้เป็นที่รัก อย่างรักใคร่ ความสำคัญของการสมรสศักดิ์สิทธิ์ มันเป็นแค่ปริศนาที่ว่า โฮลีเกรล เป็นคนหรือสายเลือดหรือไม่ ปริศนาของโรสลิน หนึ่งในการคาดเดาซ่อนเร้นอยู่ที่นี่ รากฐานของโบสถ์ทอดยาว 91 ฟุต อยู่ใต้พื้นโบสถ์ และมีห้องใต้ดินซึ่งไม่เคยถูกขุดสำรวจ ทำให้หลายคนเชื่อว่า เกรลถูกฝังอยู่ที่นี่ มีคนบางคนมาที่นี่พร้อมพลั่ว และบอกว่าขอขุดได้ไหม แต่ไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับโฮลีเกรล อัศวินเทมปลาร์ เก็บมันเอาไว้ โรสลิน มีผู้มาเยือน แสนคนต่อปี มากกว่าเมื่อ 10 ปีก่อนถึง 10 เท่า นักท่องเที่ยวที่มาโรสลิน มองหาสิ่งที่ลึกลับ โฮลีเกรล ไม่ใช่สิ่งของ แต่เป็นเส้นทาง หลายคนเชื่อว่า มันเก็บไว้ที่นี่ แต่ไม่เคยมีใครพบมันเลย จากคุณ : ยักษ์ท่าเตียน - [ 12 พ.ค. 52 16:41:35 ]

ความคิดเห็นที่ 3 รอสลีนนี้ เลื่องชื่อในเรื่องสัญลักษณ์ สัญลักษณ์ของศาสนาต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่ทั่วไป ทั้งภายนอกและภายใน ไม่ว่าจะเป็นกางเขน ของคริสต์ ดาวเดวิด ของยิว หรือดาวหกแฉกนั่นแหละตราสมาคม ฟรีมาสัน หรือสลาอิสระ พีระมิด ไม่ต้องบอก  ลวดลายกุหลาบ รวมทั้งสัญลักษณ์หน้าตาประหลาดแบบ เพนทาเคิล ดาวห้าแฉก แต่เบื้องลึกที่ยังน่าสงสัยก็คือ สัญลักษณ์ที่เกี่ยวกับศาสนาคริสต์มีค่อนข้างน้อยครับ ทำให้มีคำถามการคาดเดามากมายเกี่ยวกับความลับของรอสลีนแห่งนี้ หลายคนบอกว่า ผู้สร้างอาจใช้บางแห่งเป็นที่ซ่อนสมบัติ ของตระกูลที่ร่ำรวย แต่นักประวัติศาสตร์หลายคนเชื่อว่า อัศวินแห่งวิหารหรือ Knights templar ที่ลี้ภัยจากฝรั่งเศส มายังสก๊อตแลนด์ แน่นอนเขาก็ต้องมีสมบัติติดตัวมาด้วย จนกระทั่งได้รู้จักกับ เซนต์แคลร์ ผู้ก่อสร้าง ทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่แนบแน่น จึงเป็นไปได้ว่า ตระกูลเซนต์แคลร์อาจซ่อนความลับอะไรบางอย่างไว้โบสถ์แห่งนี้ จากคุณ : ยักษ์ท่าเตียน - [ 12 พ.ค. 52 16:48:40 ]

ความคิดเห็นที่ 4 แมรี่ แมคดาลิน จาก ปาเลสไตล์ มายัง ฝรั่งเศส !! แมรี่ แมคดาลิน ล่องเรือไปที่แมรี่ เดอลาแมร์ หมู่บ้านประมงเล็ก ๆ ของฝรั่งเศส ริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ในปี ค.ศ. 42 บางคนอ้างมาเธอมากับธิดาของพระเยซู (แมรี แมคดาลินมาที่นี่ พร้อมกับแมรี จาโคเบ และแมรี ซาโลเม ) สอบถามชาวบ้าน คิดว่าแมรี มาที่นี่ เธออยู่ในเรือ แล้วเรือก็แตก เธอมาถึงที่นี่ด้วยเรือ เล็ก ๆ ในศตวรรษแรกการเดินทางจากปาเลสไตล์ มายัง ตอนใต้ฝรั่งเศส เป็นเส้นทางการค้าที่มีการบันทึกไว้ แมรี อาจจะมาที่นี่จริง แต่ เธอจะมาหรือเปล่า และมากับพระธิดาของพระเยซูหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะโบสถ์ในเมืองนี้ อุทิศให้เธอ จากตำนานว่า แมรีแมคดาลีน มีลูกด้วย อาจจะเป็นไปได้แต่ไม่แน่ใจนัก ที่แน่ใจก็คือ คริสเตียนคนแรกมาที่นี่ แม้จะไม่มีหลักฐานแน่ชัด นักท่องเที่ยวก็ยังมาเยือนสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับแมรี ทุกคนอยากรู้เกี่ยวกับแมคดาลีน แนนซี แซฟฟอร์ต เป็นทัวร์ไกด์ในเมือง เธอค้นคว้าเรื่องการมาถึงของแมคดาลีน แนนซี กล่าวว่า เธอมากับเรือพร้อมซารา บางคนบอกว่าลูกของเธอชื่อซารา โบสถ์ในเมืองมีบันทึกการมาถึงของเธอ พระเยซู และ โฮลี เกรล ที่นี่ใช้สัญลักษณ์เป็นจอกครับ แต่บางคนเชื่อว่ามันหมายถึงสายเลือด หมายถึงทายาทของพระเยซู ในโบสถ์มีมุมหนึ่งที่อุทิศให้แก่นักบุญซารา เด็กหญิงที่มากับแมรี ด้วย บางคนเชื่อว่านี่คือธิดาของเยซูและแมรี จากคุณ : ยักษ์ท่าเตียน - [ 12 พ.ค. 52 16:53:11 ]

ความคิดเห็นที่ 5 พระเยซูสมรสแมรีแมคดาลีน และมีทายาท และลีโอนาร์โด ดาวินชี เป็นส่วนหนึ่งของสมาคมลับ ที่ปกปิดความรู้อันซ่อนเร้นนี้ จากผู้เขียนหนังสือเรื่อง โฮลี บลัด โฮลี เกรล ซึ่งเป็นหนึ่งในคนแรกที่บอกว่าเกรล ไม่ใช่จอก แต่เป็นสายโลหิตของพระเยซู เขาว่า หนังสือของเขาเป็นเพียง ทฤษฏี หนึ่งในทฤษฏีในหนังสือที่สนใจ นั่นก็คือความหมายของ โฮลี เกรล ถูกเข้าใจผิด ข้อเขียนแรกที่อ้างถึงโอลี เกรล อยู่ในบทกวี ภาษาฝรั่งเศส ในศตวรรษที่ 12 และในเอกสารยุคแรกหลายฉบับ โฮลี เกรล ถูกเขียนว่า Sangraal ต่อมานักเขียนได้แยกออกเป็นสองคำ ซาง – กราว ซึ่งหมายถึงจอกศักดิ์สิทธิ์ ในภาษาฝรั่งเศสยุคกลาง แต่หากแยกตัวอักษรออกมา จะกลายเป็น San graal ซึ่งหมายถึงสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ จากคุณ : ยักษ์ท่าเตียน - [ 12 พ.ค. 52 16:55:06 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ตามตำนานท้องถิ่น แมรี แมคดาลีน หนีจากปาเลสไตล์ โบราณ หลังจากพระเยซู ถูกตรึงกางเขน และล่องเรือมายังฝรั่งเศสตอนใต้พร้อม โฮลีเกรล ถ้าหากความหมายนั้นหมายถึง เธอมากับสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ ทายาทของพระเยซู แมรีแมคดาลีน มีชื่อเสียงไม่ดีนัก ในคัมภีร์ไม่ได้บอกว่าเธอเป็นโสเภณี เพียงแต่บอกว่าเธอคือคนบาป ในคำสอนเธอคือผู้หญิงซึ่งเป็นที่หนึ่ง เรียกเธอว่า อัครสาวก เป็นคนบาปและค้นพบความลับในพระเจ้า แมรีแมคดาลีน พิสูจน์ว่า การกลับตัวกลับใจนั้น เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ แมรีแมคดาลีน ไม่เคยเป็นโสเภณีเลยแม้แต่น้อย ในปี 591 พระสันตปาปา แกเกอรี เดอ เกรท ระบุผิดตัว สับสนเธอกับแมรีอีกคนหนึ่ง เกือบ 1,400 ปีต่อมา ศาสนาจักรคาทอลิกแก้ไขอย่างเป็นทางการ โดยบอกว่าเป็นการเข้าใจผิด การตีความผิดพลาดอย่างนี้ทำให้ หลายคนเชื่อว่า ศาสนจักรมีเจตนา ปิดบังบทบาทที่แท้จริง ของเธอในชีวิต กับพระเยซู และเชื่อว่า เธอเป็นชายาของพระองค์ จากคุณ : ยักษ์ท่าเตียน - [ 12 พ.ค. 52 17:00:10 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เป็นไปไหมที่แมคดาลีนมีลูกกับพระองค์ ? ที่แน่นอนก็คือ แมรี แมคดาลีนมีตำแหน่ง เคียงข้างพระเยซู ในฐานะที่สำคัญกว่า ศาสนาจักรบอกเอาไว้ ตำราโบราณ ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของพระคัมภีร์ใหม่ ถูกค้นพบในอียิปต์ ปี 1945 แสดงถึงความสัมพันธ์ ระหว่างแมรีแมคดาลีน กับพระเยซู แบบที่แตกต่าง “มิตรของพระเยซู คือแมรีแมคดาลีน พระองค์รักเธอยิ่งกว่าสาวกทั้งหมด และมักจะจุมพิตเธอบ่อย ๆ” ตำรานี้บอกว่าหมายถึง แมรี คือชายาของพระเยซู หรืออย่างน้อยเธอคือหนึ่งในสาวก ที่ทรงให้เกียรติ มากคนหนึ่ง จากคุณ : ยักษ์ท่าเตียน - [ 12 พ.ค. 52 17:03:13 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ในพระคัมภีร์ระบุว่า แม็กดาลีน.... ในพระคัมภีร์ระบุว่า แม็กดาลีน คือหนึ่งในประจักษ์พยานที่อยู่ในเหตุการณ์วันที่พระเยซูทรงถูกตรึงบนไม้กางเขนจนสิ้นพระชนม์ โดยเธออยู่กับพระเยซูจนกระทั่งพระศพถูกอันเชิญไปประดิษฐานไว้ในอุโมงค์ซึ่งเจาะไว้ในศิลา ที่สำคัญคือ เธอเป็นคนแรกที่ได้เห็นการฟื้นคืนชีพของพระเยซูในอีก 3 วันถัดมา และเป็นผู้นำสารเกี่ยวกับการฟื้นคืนชีพของพระองค์ไปบอกกับเหล่าสาวกคนอื่นๆ แม็กดาลีนคือหญิงสาวจากเมืองมักดาลา ซึ่งตั้งอยู่ทางเหนือของแคว้นกาลิลี ในพระคัมภีร์ระบุว่า เธอคือหญิงใจบาปที่ถูกผี 7 ตนเข้าสิงร่าง ก่อนที่จะได้พบกับพระเยซู และพระองค์ทรงเป็นผู้ที่ช่วยขับไล่ผีออกจากร่างของเธอ จากนั้น เธอก็ได้อุทิศตนเข้ามารับใช้พระเยซู แต่ก็มีบางคนที่เชื่อว่า เธอคือ หญิงสาวที่เคยเป็นโสเภณีมาก่อน แม้ว่าจะไม่มีการระบุไว้อย่างชัดเจนในพระคัมภีร์ก็ตาม จากคุณ : ยักษ์ท่าเตียน - [ 12 พ.ค. 52 17:08:07 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เช่นเดียวกับกรณีของความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งระหว่างแม็กดาลีนกับพระเยซู ถึงแม้จะเป็นที่ยอมรับกันว่า เธอคือสตรีที่มีความใกล้ชิดกับพระเยซูมากที่สุดในบรรดาสาวกทั้งหลาย แต่ในพระคัมภีร์ก็ไม่มีส่วนใดที่บอกว่าเธอและพระเยซูต่างมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวต่อกัน และที่สำคัญในพระคัมภีร์ก็ไม่มีเนื้อหาส่วนใดบ่งบอกว่าพระเยซูทรงแต่งงานแล้ว ตามตำนานที่เล่าถึงประวัติของนักบุญต่างๆ ระบุว่า แมรี่ แม็กดาลีน ใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่ที่บริเวณตอนใต้ของฝรั่งเศส โดยหลังจากที่พระเยซูสิ้นพระชนม์ได้ 14 ปี ชาวยิวได้จับตัวเธอไปพร้อมกับนักบุญคนอื่นๆ อีกหลายคนใส่เรือลำหนึ่งที่ไม่มีใบและพาย ซึ่งทั้งหมดถูกปล่อยให้ลอยไปตามกระแสน้ำในมหาสมุทร จนในที่สุดเรือได้ไปเกยตื้นที่ฝั่งทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส ที่นั่นเธอได้ใช้ชีวิตบั้นปลายเป็นนักพรตอาศัยอยู่ในถ้ำก่อนที่จะเสียชีวิตลงในวัย 72 ปี จากคุณ : ยักษ์ท่าเตียน - [ 12 พ.ค. 52 17:11:15 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ไบเบิลยังบอกด้วยว่า แมรีเป็นสาวในหมู่บ้านประมงที่เผชิญกับ เคราะห์กรรมจากการมีปิศาจเจ็ดตนเข้าสิง ซึ่งเป็นสิ่งปกติสำหรับสมัยโบราณ เมื่อผู้ใดเจ็บป่วยก็มักกล่าวหาว่าเกิดจากการกระทำของภูตผีปิศาจ แต่แท้จริงแมรีอาจเป็นโรคลมชัก หรือโรคจิต โรคประสาทที่กำเริบเป็นครั้งคราว และจากการพาตนไปให้จีซัสรักษา ทำให้ทั้งสองได้พบกัน และชีวิตของแมรีก็แปรเปลี่ยนไปนับแต่นั้น นอกจากนี้ การขับภูตผีปิศาจออกจากร่าง ก็ได้ทำให้เธอมีความบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ เมื่อหายจากโรคร้าย แมรีก็มีความเลื่อมใสศรัทธาในจีซัส และติดตามไปในฐานะสานุศิษย์ เริ่มแรกนั้น พวกเขาพำนักอยู่ในกาลิลี จาริกไปตามโบสถ์ยิว ประกาศว่าอาณาจักรแห่งพระเจ้าใกล้มาถึงแล้ว ส่วนจีซัสก็ทำการรักษาผู้เจ็บป่วย และแสดงปาฏิหาริย์ต่างๆ ให้ปรากฏเห็น จำนวนผู้เข้าร่วมกลุ่มก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดกลุ่มผู้เลื่อมใสก็มากล้นโบสถ์ จีซัสจึงต้องเผยแพร่คำสอนโดยออกไปใช้ลานกลางแจ้ง มีแมรีคอยปรนนิบัติอยู่เคียงข้าง จากเอกสารโบราณที่พบในอียิปต์ : แมรีกับจีซัสมีความใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก หลายคราที่จีซัสอยู่กับเธอตามลำพัง และสั่งสอนเป็นพิเศษ ซึ่งมีแต่เธอเท่านั้นที่จะหยั่งถึงได้ ความสนิทสนมนี้ก่อความไม่เข้าใจให้สานุศิษย์อื่น แมรี แม็กดาลีน ติดสอยห้อยตามองค์พระเยซูอยู่สามปี จากคุณ : ยักษ์ท่าเตียน - [ 12 พ.ค. 52 17:15:43 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ครั้นแล้วพระองค์ก็บอกแมรี แม็กดาลีน และสานุศิษย์ทั้งปวงให้ออกเดินทางจากกาลิลี ไปสู่เยรูซาเลมเพื่อฉลองเทศกาลพาสส์โอเวอร์ ล่วงเข้าสัปดาห์ เทศกาล แมรีกับสานุศิษย์หญิงอื่นๆวุ่นวายอยู่กับการตระเตรียม อาหารสำหรับฉลองวันพาสส์โอเวอร์ แม้ว่าสตรีจะไม่ได้ ร่วมใน “อาหาร มื้อสุดท้าย” แต่พวกเธอก็อยู่ในบริเวณนั้นด้วย และแมรีก็คอยปรนนิบัติจีซัส อย่างใกล้ชิดระหว่างเสวยกระยาหาร จากนั้น กลุ่มผู้ถือดาบและกระบองก็ได้บุกรุกเข้ามาจับกุมจีซัส พระองค์ทรงยินยอมอย่างสงบ พวกนั้นนำพระองค์ไปมอบให้แก่โรมัน แมรีรู้ดีถึงความโหดร้ายทารุณของโรมัน จีซัสอาจถูกทรมานหรือแม้กระทั่งสังหาร และแล้วเธอก็ได้ล่วงรู้ว่าพระองค์ถูกตรึงกางเขน เธอรีบรุดไปยังกอลโกธาที่ซึ่งจีซัสถูกทรมาน จากคุณ : ยักษ์ท่าเตียน - [ 12 พ.ค. 52 17:18:16 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ตลอดช่วงเวลาเจ็บปวดรวดร้าวอันยาวนาน จนสิ้นพระชนม์นั้น แมรีก็คอยเฝ้าอยู่ ณ ที่นั้น คัมภีร์คริสต์ประวัติกล่าวว่า เธอได้เห็นเขาฝังร่างพระองค์ลงในหลุมหิน แต่วันนั้นเป็นวันแซบบาธอีฟ กฎหมายยิวห้ามการเยี่ยม เยือนศพในวันศักดิ์สิทธิ์นั้น เธอจึงต้องรั้งรอจนถึงเวลาที่ได้อนุญาต เธอไปถึงสุสานเพื่อจะพบว่ามันเปิดอยู่ และร่างของจีซัสได้อันตรธานไปเสียแล้ว แมรีคาดคิดว่ามีผู้มาบุกรุกสุสาน เธอจึงร่ำไห้ด้วยความเศร้าโศก เธอไม่รู้ว่ากำลังจะได้เผชิญกับเหตุการณ์สำคัญยิ่งในประวัติศาสตร์มนุษย์ เพราะเมื่อเธอหันกลับมาก็ได้ เห็นจีซัสยืนอยู่และมีรับสั่งว่า “จงไปยังพี่น้องของเราและบอกพวกเขาว่า เรานั้นสืบทอดมาจากพระบิดาของเราและของเจ้า จากพระเจ้าของเราและของเจ้า” แมรีปฏิบัติตามที่ได้รับบัญชา เธอประกาศแก่เหล่าสานุศิษย์ว่า “ข้าได้เห็นพระองค์” และบอกถึงถ้อยคำที่พระองค์รับสั่ง นั่นเป็นบทบาทสุดท้ายของแมรีที่มีปรากฏในไบเบิล จากคุณ : ยักษ์ท่าเตียน - [ 12 พ.ค. 52 17:22:40 ]

ความคิดเห็นที่ 13 น่าสนใจมากๆเลยค่ะ สนใจเรื่องนี้อยู่พอดี ขอบคุณที่นำมาให้อ่านนะคะ จากคุณ : puy (puy_naka63) - [ 12 พ.ค. 52 17:34:26 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เพิ่งดู dvd ดาวินชี่ โค้ดมาพอดีเลยค่ะ จากคุณ : glorious - [ 12 พ.ค. 52 17:44:17 ]

ความคิดเห็นที่ 15 จากคุณ : กรประเสริฐ - [ 12 พ.ค. 52 17:51:46 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ผมคงไม่ยกข้อพระคัมภีร์ยาวเหยียดมาหักล้างเรื่องงี่เง่าแบบนี้ แนะนำให้ จขกท ลบกระทู้นี้ไปเสีย ผมไม่อยากให้ห้องสมุดต้องเปื้อนเลือด ผมพูดจริง จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม - [ 12 พ.ค. 52 18:54:37 ]

ความคิดเห็นที่ 17 จับแพะชนแกะ มั่วไปหมด แก้ไขเมื่อ 12 พ.ค. 52 19:36:09 จากคุณ : Savio - [ 12 พ.ค. 52 19:35:44 ]

ความคิดเห็นที่ 18 เห็นใจ จขกท เรื่องแบบนี้ทำร้ายความรู้สึกของหลายๆคน แต่ถ้ามองอีกแง่หนึ่ง คือ การหาความจริงในประวัติศาสตร์ กระทู้นี้คงอีกยาว หรือไม่ก็คงโดนลบแน่ จากคุณ : phi 1.618 - [ 12 พ.ค. 52 20:19:21 ]

ความคิดเห็นที่ 19 น่าสนใจค่ะูู^^ จากคุณ : Miracles in my life - [ 12 พ.ค. 52 20:23:21 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ต้องมีหนังสืออ้างอิงมากกว่านี้ครับ หรือไม่ก็ต้องใช้หลักฐานชั้นต้นที่เชื่อถือได้ อย่างน้อยต้องอ่านได้เอง หรือคนอ่านเทพมากๆ เชื่อถือได้ นิยายก็คือนิยายครับ อย่าสับสนกับความเป็นจริง คัมภีร์นอกสารบบก็มีเยอะแยะไป เต็มไปด้วยเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ ทำนองเดียวกับอรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา ที่แต่งเติมในสมัยหลัง จากคุณ : ปลาทองสยองเมือง - [ 12 พ.ค. 52 22:03:41 ]

ความคิดเห็นที่ 21 #18 มันไม่ใช่แค่ทำร้ายความรู้สึกหรอก แต่มันเป็นความมั่วนิ่ม จับแพะชนแกะ เอามายำเพื่อดิสเครดิตทางศาสนาให้มั่วไปหมด ถ้าใครเคยศึกษาศาสนาคริสต์มาบ้าง จะรู้ว่ามันมั่วนิ่มแบบสุดๆ ผมคงไม่ยกคำแก้มา เพราะกล่าวกันจนเหนื่อยแล้ว เมื่อครั้งเรื่องดาวินชีโค้ดบูมใหม่ๆ ลองไปรื้อหากระทู้เก่าๆ ในห้องศาสนาดูได้ และขอตำหนิ จขกท. ว่า เรื่องนี้มันเข้าข่ายโจมตีศาสนาขั้นรุนแรง ก่อนจะนำเรื่องพรรค์นี้มาโพสต์ ควรใช้วิจารณญาณ วิเคราะห์ให้ถ้วนถี่ก่อน จากคุณ : ปั๊ปโปะจัง - [ 12 พ.ค. 52 22:10:04 ]

ความคิดเห็นที่ 22 เห็นด้วยในเรื่องที่ควรแยกแยะ นิยายกับหลักฐานที่เชื่อถือได้ วันนั้นเดินอยู่ที่วัดมหาธาตุสุโขทัย คุยกับฝรั่งเรื่องดาวินชี่โค้ดนี่ล่ะ ฝรั่งถามว่าคนไทยคิดอย่างไร จำได้ว่าตอบไปหัวเราะไป ไม่ใช่หัวเราะคำถาม และไม่ใช่หัวเราะคำตอบ แต่เพราะมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เวลาตอบ ก็ต้องใช้น้ำเสียงอ่อน ๆ อีกต่างหาก ให้เขาสบายใจ รูปนั้น วาดในสมัยหลังไม่ใช่หรือ ไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่เลย นิยายน่ะ ตอบไปก็หวาด ๆ ในใจ กลัวฝรั่งถามเรื่องแอนนา เฮ้อ ฮอลลีวู้ดนี่นะ แต่เข้าใจเลยนะ ว่าคนอ่านรู้สึกอย่างไร ไม่สร้างสรรค์เลย มาจากสังคมแบบไหนกัน คิดทำร้ายคนอื่น เอาอย่างนี้ดีกว่า ตบโดนไปแล้วแก้มนึง เดี๋ยวยื่นอีกแก้มให้ตบ จะได้สบายใจ ว่าแต่ว่าเห็นคนอื่นเป็นทุกข์ จะสบายใจได้อย่างไรกัน อ้อ หรือถ้ามีหลักฐานข้อมูลที่น่าเชื่อถือกว่านี้ ก็ว่ามา รออ่านอยู่ จากคุณ : บุหงาส่าหรี - [ 12 พ.ค. 52 22:50:13 A:58.8.208.135 X: TicketID:208099 ]

ความคิดเห็นที่ 23 แนะนำให้เป็นกลางอย่างมีสติ กระทู้นี้น่ากลัวจริง  เป็นไปได้อย่าเรื่อง  การเมือง  ความเชื่อ  ศาสนา  มาคุยกันเลยดีกว่านะ จากคุณ : fays (by_faith) - [ 12 พ.ค. 52 23:14:02 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ข้อสงสัยในที่นี้ เป็นเพียงเเค่ทฤษฎีหนึ่งเท่านั้น ถ้าบอกว่า จับเเพะชนเเกะ มันก็คงไม่ใช่ซะทีเดียว..!! เรื่องราวต่าง ๆ ถ้าจะบอกว่าไม่มีมูล มันก็ไม่ใช่ซะทีเดียว..!! ถ้าอย่างนั้น ทุกอย่างคงจะเป็นเรื่องบังเอิญ เเละฟลุ๊คเป็นอย่างมาก..!! ทั้งนี้ ทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับการใช้วิจารณญาณ ของเเต่ละคน ที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อ ? แก้ไขเมื่อ 12 พ.ค. 52 23:39:36 จากคุณ : ยักษ์ท่าเตียน - [ 12 พ.ค. 52 23:22:18 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ประเด็นในที่นี้ นั้นคือ  Holy Grail  คืออะไร !!            พระคัมภีร์ที่ไม่รับการยอมรับ จากคริสจักร ..!!          การตามล่าเเละเผาทั้งเป็น เเม่มดในยุคกลาง จากคริสจักร..!!          การสังหารหมู่ อัศวิน เทมพลา ในคืนศุกร์ 13 เพราะกุมความลับ..!!          เเละอื่น ๆ....?? ข้อสงสัยทั้งหมดนี้ จึงทำให้มีนักประวัติศาสตร์ สืบหา ข้อมูลต่าง ๆ หลักฐาน สถานที่ จึงเป็นที่มาของเรื่องราวทั้งหมด เเละนั้นมันก็เป็นเพียงเเค่ ทฤษฎีหนึ่งเท่านั้น ? จากคุณ : ยักษ์ท่าเตียน - [ 12 พ.ค. 52 23:38:46 ]

ความคิดเห็นที่ 26 คัมภีร์ที่ไม่เป็นที่ยอมรับของคริสตจักรมีเยอะไปครับ เพราะมันมั่ว อยากเขียนอะไรก็เขียนขึ้นมา แล้วใส่ชื่อคนสมัยคริสตกาลให้มันดูศักดิ์สิทธิ์ขึ้น ถ้าเชื่ออะไรก็ได้ที่ใครก็ได้เขียนขึ้นมาทั้งหมด มันก็ไม่รู้จะเชื่ออะไรแล้วครับ เพราะมีเยอะเหลือเกิน ไตรภูมิพระร่วงยังแต่งขึ้นมาด้วยคัมภีร์ 30 กว่าเล่ม ที่เนื้อหาเกี่ยวกับลักษณะของจักรวาลไม่เหมือนกัน พุทธประวัติก็มีตั้งหลายเวอร์ชัน ของมหายานกับเถรวาทก็ไม่เหมือนกัน คุณจะพิสูจน์ยังไงว่าเรื่องไหนจริง เรื่องไหนไม่จริง เพราะมันเขียนขึ้นภายหลัง ดังนั้น เราต้องมีจุดยืนที่จะยืนยันสิ่งที่เราเชื่อครับ ไม่ยังงั้น ใครมานินทาพ่อแม่เรา เราก็เชื่อไปหมดน่ะสิครับ จากคุณ : ปลาทองสยองเมือง - [ 12 พ.ค. 52 23:49:24 ]

ความคิดเห็นที่ 27 น่าสนใจมากๆขอรับ... ผมว่ามันแล้วแต่ความเห็นของแต่ละคน สำหรับผมนั้น 50-50 หลายคนในที่นี้เห็นว่าเป็นการโจมตีความเชื่อของศาสนา หนัง The DaVinci Code ก็เคยโดนโจมตีประนามมาแล้วเหมือนกัน ไม่รู้ว่า Angels & Demons จะโดนบ้างหรือป่าว แต่การประนามดังกล่าวได้ถูกกลบเกลื่อนลงอย่างรวดเร็ว โดยความยอดนิยมของผู้ชมภาพยนตร์ คือ ตอนแรกผมก็ไม่เชื่อ เพราะเนื่องจากว่า เป็นการหมิ่นศาสนา เป็นการโจมตีความเชื่อของศาสนจักรอย่างรุนแรง แต่ผมก็ไปหาหนังสือ ตำราอะไรบ้าง ต่างๆนาๆ มีเนื้อหาเหมือนในหนังเยอะแยะมากมาย ทำให้ผมไคว้เขวไปบ้างเหมือนกัน ผมก็ไปคุยกับเพื่อนชาวต่างชาติเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย เพื่อนหรั่งผมคนนี้ ถึงกับพูดไม่ค่อยออก ตอบไม่ค่อยได้ เพราะเขาเองก็ไม่ค่อยรู้เหมือนกัน เพราะหนังก้อทำให้เขาไคว้เขวเหมือนกัน (เขาอาจจะไม่เต็มใจตอบก็เป็นได้ อิอิ) ผมอ่านกระทู้นี้ก้อน่าสนใจดี มีรูปที่ผมไม่เคยเห็นเยอะแยะมากมาย ผมก้อไคว้เขวเหมือนกัน อิอิ แต่ผมอยากจะให้มีความเป็นกลางของแต่ละความเห็น ดีกว่า ไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่โต เหมือนกระทู้ก่อน "ที่ในหลวงงดพระรราชทานเครื่องราฯวันฉัตรมงคล" นั่นอ่ะ (โดนลบไปแล้ว เหอๆ) ปล. อยากถามผู้รู้ว่า Angel & Demons มันต่อเนื่องกับ The DaVinci Code หรือป่าวขอรับ อิอิ จากคุณ : U4704570 - [ 12 พ.ค. 52 23:55:29 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ตอบ คห 27 Angels & Demons  นี้ไม่ค่อยต่อเนี่องกะ The DaVinci Code ครับ โดยส่วนตัวแล้วคิดว่า Angels & Demons  ดูน่าจะหมิ่นศาสนาน้อยกว่า  Davinci Code จะออกเป็นแนวสืบสวนซะมากกว่า สนุกกว่าด้วย สำหรับเรื่องแมรี นี่ ก็รับรู้เหมือนเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งเฉยๆครับ เพราะไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไร จริงหรือไม่ก็มีฝ่ายที่โต้เถียงกันอยู่แล้วครับ หากคิดจะโต้เถียงกันจริงๆ ก็ขอให้ใช้เหตุผล มากกว่าใช้ความเชื่อหรือความมั่ว จะได้เป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ได้ร่วมรับรู้ด้วยครับ จากคุณ : ธัมมนันทิ - [ 13 พ.ค. 52 01:04:54 ]

ความคิดเห็นที่ 29 พึ่งอ่าน The Davinci code จบเป็นรอบที่สอง เรื่อง แมดดาลีน น่าสนใจดี จากคุณ : บ้านนอกตั้งแต่เกิด - [ 13 พ.ค. 52 03:43:36 ]

ความคิดเห็นที่ 30 เทวา ซาตาน ออก แนวสืบสวน สอบสวน คล้ายๆกับหนัังแนวสอบสวน ทั่วๆไป + หนังฆาตกรรมต่อเนื่องนิดๆ + หักมุมหน่อยๆ ไม่ค่อยหมิ่นศาสนา เท่า ดาวินชี่ โค้ดน่ะค่ะ ในหนังสือเน้นการแก้ปริศนา ของพระเอก + การต่อสู้ของจิตใจของตัวเอกอีกคน ถ้าเทียบกับหนังสือในไทยแล้วก้อคล้ายๆกับ บุหงาตานี + บุหงาปารี น่ะค่ะ ส่วนเรื่อง มารี มักดาลา เราคิดว่า ไม่ว่า พระเยซูจะมี ชายา จริง  หรือไม่ สิ่งที่ สำคัญที่สุด คือ คำสอน ของ ท่านมากกว่า ที่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีจริงและสืบทอดมานานแล้ว จากคุณ : แมวเหมียวเกี่ยวใจ - [ 13 พ.ค. 52 07:43:26 ]

ความคิดเห็นที่ 31 เจ้าของกระทู้ไปอยู่ไหนมาครับ http://www.newmana.com/important/DaVinci_index.htm อ่านซะ จะได้เลิก..... จากคุณ : bmjas - [ 13 พ.ค. 52 08:18:55 ]

ความคิดเห็นที่ 32 เป็นที่รู้กันดีโดยทั่วไป สำหรับผู้ที่อยู่ในต่างประเทศ หรือได้ติดตามผลงานของ แดน บราว์น มาตั้งแต่ก่อนนิยายเล่มนี้ว่า ในวงการวรรณกรรม และนักวิจารณ์ จัดนิยายของแดน บาวร์นเป็นแนว Conspiracy Theory เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องแรกที่เขาเขียนแนวนี้ แต่เขาเขียนแนวนี้มาหลายเล่มแล้ว แล้ว Conspiracy Theory มันคืออะไรล่ะ? Conspiracy Theory หรือ ทฤษฎีสมคบคิด คือการพยายามอธิบายสาเหตุของเหตุการณ์ ปรากฏการณ์ หนึ่ง ๆ ออกมาในแง่ของเรื่องลับ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มหรือองค์กรลับซึ่งร่วมกันสมรู้ร่วมคิดอยู่เบื้องหลัง มากกว่าจะเป็นเรื่องของกลุ่มที่เปิดเผย หรือกระทำโดยปัจเจกชนทั่วไป เรื่องของ Conspiracy Theory มักจะเป็นเรื่องเท็จที่ถูกเสริมเติมแต่งออกมาเป็นวาระอันซ่อนเร้น มากกว่าจะเป็นสิ่งที่ปรากฏแจ้งเฉกเช่นปรากฏการณ์ปกติทั่วไปตามธรรมชาติ หรืออาจเรียกง่าย ๆ ว่า เป็น “ความจริงที่ถูกปรุงแต่งโดยไร้ซึ่งหลักฐานสนับสนุนที่เชื่อถือได้” คำว่า “Conspiracy Theory” นี้ ถูกใช้โดยนักวิชาการในการพูดถึงตำนานพื้นบ้าน เรื่องเล่า ที่มีลักษณะพิเศษ มักมีบทบรรยายที่ถูกเสริมเติมแต่งขึ้นมาจากจุดด่างพล้อยของตำนาน คำนี้ยังใช้อย่างหยาบ ๆ เพื่อแสดงถึงการตีความที่ผิด หรือพวกข่าวลือที่ผิด ๆ ที่ก่อความวิตกกังวลในวงกว้างด้วย ทฤษฎีหรือแนวคิดใดก็ตามที่ถูกตีตราว่าเป็น Conspiracy Theory จะถูกอุปทานในแง่ลบจากคนทั่วไปเอาไว้ก่อน ทฤษฎีสมคบคิด จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ทฤษฎีสมคบคิด (conspiracy theory) คือ เรื่องเล่า บทความที่สร้างขึ้นมาเพื่อความสนุกสนาน แสดงความคิดสร้างสรร หรืออาจมีวัตถุประสงค์ซ่อนเร้นอื่นๆเพื่อให้ประโยชน์/ให้โทษต่อบุคคลหรือกลุ่มบุคคลหนึ่งใด หรืออธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ลักษณะของทฤษฎีสมคบคิดโดยทั่วไปมีข้อเท็จจริงประกอบอยู่เพียงเล็กน้อย หรือส่วนหนึ่ง เพียงเพื่อเสริมให้เกิดความน่าเชื่อถือว่ามีหลักฐานสนับสนุนที่ดูเหมือนเกี่ยวข้องกันเท่านั้น อาจมีเหตุผลสนับสนุนจากความเชื่อส่วนบุคคล ความเชื่อเกี่ยวกับทางศาสนา การเมือง หรือวัฒนธรรมที่แตกต่างไป เรื่องเหล่านี้นักวิชาการจะไม่ใช้อ้างอิง ผู้อ่านควรใช้วิจารณญานก่อนที่จะเชื่อเรื่องนั้นๆ ประเทศสหรัฐอเมริกามีหน่วยงานที่จะดูแล และกลั่นกรองเรื่องเหล่านี้โดยเฉพาะ เดิมพบได้ในคอลัมน์เล็กๆหนังสือพิมพ์ประเภทเทบลอยด์ในต่างประเทศ ปัจจุบันพบได้มากในฟอร์เวิร์ดเมล เว็บไซต์ส่วนบุคคล และบล็อกต่างๆ ตัวอย่างของทฤษฎีสมคบคิด ฮิตเลอร์ และ เอลวิส เพลสลีย์ ที่จริงยังไม่ตาย แต่จัดฉากให้คนเข้าใจว่าตาย อเมริกาให้ ฮอลลิวู้ดสร้างภาพยนตร์ออกฉายทั่วโลก เพื่อกลืนให้ทั้งโลกตกเป็นของอเมริกา ที่จริง บุช เป็นคนบงการเบื้องหลังเครื่องบินชนตึกเวริ์ดเทรด เพราะจะได้หาเหตุบุกตะวันออกกลาง ศาสดาศาสนาต่างๆในโลกที่จริงเป็นมนุษย์ต่างดาว Conspiracy Theory ใน Da Vinci Code หนังสือดาวินชีโค้ด เป็นหนังสือที่ขาดความแม่นยำและหลักฐานในการสนับสนุนเนื้อหาในหนังสือ ประเด็นและเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้จัดว่าเป็น Conspiracy Theory เช่นเดียวกับตัวของแดน บราวน์ เอง ที่เป็น Conspiracy Buff สังเกตดูง่าย ๆ จากผลงานนิยายก่อนหน้านั้นของเขาที่ทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับเรื่องทาง Conspiracy ด้วยกันทั้งสิ้น ในความเป็นจริงแล้วแทบไม่มีข้อมูลข้อเท็จจริงใดสนับสนุนการกล่าวอ้างของเขาเลย ซึ่งนั่นมาจากกลลวงในการนำเสนอผลงานของแดน บราวน์ ที่ใช้ชื่อหรือแหล่งข้อมูลพูดแบบกว้าง ๆ ในการสนับสนุนเนื้อหาของเขา เช่น “นักประวัติศาสตร์” “นักเทววิทยา” “ข้อมูลทางประวัติศาสตร์” “สถาบันการศึกษาชั้นนำ” “หลักฐานที่เชื่อถือได้” “ข้อมูลทางวิชาการ” แหล่งข้อมูลอ้างอิงดังกล่าวเป็นการอ้างอย่างกว้าง ๆ และหยาบ ๆ แต่เมื่อมองอย่างผิวเผิน มันกลับทำให้หนังสือดาวินชีโค้ดนี้ดูน่าเชื่อถือ ดูสมจริงสมจัง และเป็นราวกับหนังสือที่ให้ข้อมูลทางวิชาการที่เชื่อถือได้ขึ้นมา และทำให้หลาย ๆ คนไม่กล้าตั้งคำถามต่อเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ เพราะส่วนตัวเองนั้นก็ไม่ค่อยรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของแต่ละประเด็นเท่าไหร่ แหล่งอ้างอิง * American Heritage Dictionary, "Conspiracy theory" * Barkun, Michael. 2003. A Culture of Conspiracy: Apocalyptic Visions in Contemporary America. Berkeley: University of California Press. ISBN 0520238052 * Dan Brown, “FAQ About Dan Brown,” www.danbrown.com/novels/davinci_code/faqs.html * Deception Point (2002)- Outlines NASA's role in a government conspiracy. จากคุณ : bmjas - [ 13 พ.ค. 52 08:19:39 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ลีโอนาโด้ ดาวินชี เป็นบุตรนอกสมรสของ พีโดร ดาวินชี (Pedro da Vinci) เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1452 ในเมืองชื่อ วินชี (Vinci) ซึ่งไม่ไกลจากเมืองฟลอเรนซ์ ( Florence ) ในประเทศอิตาลี เป็นหนึ่งในบุคคลที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ คุณอาจรู้จักหรือคุ้นเคยกับชื่อเขาในแง่ศิลปินนักวาดภาพที่มีชื่อเสียงของโลก แต่ในความเป็นจริงแล้วเขายังมีอัจฉริยภาพในศาสตร์อีกหลายแขนง เช่น วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และสถาปัตยกรรม เป็นคนที่เพียบพร้อมด้วยองค์ความรู้ในศาสตร์ต่าง ๆ จนถึงกับถูกเรียกว่า เรอนาซองแมน(Renaissance Man) เป็นสมญานามที่มอบให้กับคนที่เรียกได้ว่า “สมบูรณ์แบบ” และเป็นที่แน่นอนว่าในประวัติศาสตร์มีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้มาซึ่งสมญานามนี้ เขาได้ทิ้งผลงานภาพวาดและการวิจัยค้นคว้าที่เป็นมรดกที่ยิ่งใหญ่และมีค่ายิ่งของมวลมนุษยชาติจำนวนมาก อันดับแรกเรามาเรียกชื่อของเขาให้ถูกต้องกันเถอะ คำว่า ดา วินชี่ เป็นการบอกว่าเขามาจากเมืองวินชี่ ไม่ใช่ทั้งนามสกุลและไม่ใช่ทั้งชื่อ การเรียกเขาว่า "ดาวินชี่" ก็เหมือนเรียก "องค์ ดาไลลามะ แห่ง ธิเบต" อย่างสั้นๆว่า "แห่งธิเบต" แทนที่จะเรียกท่านว่า "ดาไลลามะ" นอกจากทีบบิงและบรรดาผู้เชี่ยวชาญในนิยายจะพร้อมใจกันเรียก ลีโอนาร์โด ว่า "แห่ง วินชี่" กันทั้งเล่ม แล้ว ยังตั้งชื่อหนังสือโดยใช้คำว่า ดาวินชี่ โค้ด อีก อ้างอิงย่อหน้าหนึ่งจากหนังสือ De-coding Da Vinci โดย Amy Welborn "ดังนั้น สิ่งที่อาจจะเห็นตรงกันได้ในตอนนี้ ก็คือ เราไม่ควรเชื่อ นักเขียนที่แม้แต่เรียกชื่อของบุคคลทางประวัติศาสตร์ผู้เป็นศูนย์กลางของนิยายยังไม่ถูกต้อง ว่าจะสอนประวัติศาสตร์แก่เราได้ เขาอาจจะสร้างความบันเทิงแก่เราในด้านอื่นได้ แต่อย่าให้เรายอมให้ “ Da Vinci Code ” มอบความคิด(ผิดๆ)ให้แก่เราเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ศาสนา หรือแม้แต่เรื่องศิลปะเลย จากคุณ : bmjas - [ 13 พ.ค. 52 08:19:56 ]

ความคิดเห็นที่ 34 มารีย์ มักดาเลนา สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งพระศาสนจักร Q : จริงหรือที่ศาสนจักรพยายามทำลาย นาง มารีย์ มักดาเลนา และพยายามตัดชื่อนางออกไปจากพระคัมภีร์ และบอกว่าเป็นโสเภณี? A : เป็นสิ่งตรงข้ามกับความจริงโดยสิ้นเชิง เพราะพระศาสนจักร แต่งตั้งมารีย์ มักดาเลนาเป็น นักบุญ โดยมีวันระลึกถึงท่านคือวันที่ 22 กรกฏาคม การเป็นนักบุญคือการได้รับการยกย่องจากพระศาสนจักร และจากคริสตชนทุกคนทั่วโลก ต้องให้เกียรติยกย่องเธอดุจวีรสตรีของพระศาสนาด้วย โดยนิยายเรียกเธอห้วนๆโดยตัดศักดิ์นักบุญที่นำหน้าออก เรามาดูประวัติท่านนักบุญที่พระศาสนจักรใช้สอนกัน นักบุญ มารีย์ มักดาลา วันระลึกถึงท่านคือ 22 กรกฏาคม มารีย์ เป็นหญิงสาวที่อาศัยอยู่ที่เมืองมักดาลา ในแคว้นกาลิลีได้เข้ามารับใช้พระเยซูคริสตเจ้าหลังจากที่พระองค์ได้ทรงรักษาเธอให้หายจากโรคปีศาจสิงแล้ว ( ลก 8:2 ) เธอได้มีส่วนในการปลงพระศพของพระเยซูเจ้า และเป็นคนแรกที่ได้พบพระคริสตเจ้าหลังจากเสด็จกลับคืนชีพ ( ยน 20:11-18 ) ไม่มีเหตุผลและพยานหลักฐานเพียงพอที่จะกล่าวว่ามาเรีย ชาวมักดาลาเป็นหญิงคนเดียวกันกับหญิงคนบาปคนนั้น ที่พระเยซูเจ้าได้ทรงประทานอภัยโทษให้ในบ้านของซีมอนฟาริสี ( ลก 7. 36-50 ) หรือกับ “มารีย์” น้องสาวของลาซารัสและมาร์ธาเลย พระศาสนจักรตะวันออกได้เคารพให้เกียรติหญิงทั้งสามนี้โดยแยกกันต่างหาก พิธีกรรมใหม่ของพระศาสนจักรได้พยายามชี้แสดงให้เห็นว่า “นักบุญ มารีย์ ชาวมักดาลา” เป็นผู้โชคดีคนแรกที่ได้เป็นประจักษ์พยานถึงการกลับคืนชีพของพระคริสตเจ้าแก่บรรดาพี่น้องและเป็นพระเยซูเจ้าเองที่ได้ส่งเธอไปบอกเรื่องนี้แก่บรรดาพี่น้องของพระองค์ด้วย ( บรรดาอัครธรรมทูต ) คำภาวนาทูลขอและข้อปฏิบัติ 1. ให้เราได้รู้จักขอโทษต่อพระเจ้าและต่อพี่น้องของเราด้วยใจจริง 2. ให้เราได้แสดงด้วยกิจการของเราว่าพระคริสตเจ้าผู้ได้ทรงกลับคืนชีพได้ ทรงช่วยเราให้เป็นอิสระพ้นจากบาป 3. โดยมีพระคริสตเจ้าอยู่เคียงข้าง ให้เราช่วยกันทำงานเพื่อให้มนุษย์ได้มีความรักใคร่ซึ่งกันและกัน 4. กับผู้ที่หมดหวังและผู้ที่ตกอยู่ในบาป ให้เราแจ้งแก่พวกเขาเหล่านี้ว่า “พระคริสตเจ้าทรงมีชีวิตอยู่ และพระองค์จะทรงช่วยพวกเรา” อ้างอิง http://www.catholic.or.th/historyxa/saints/july/jul11.html นอกจากนี้ จากบทความดังกล่าว จะเห็นว่าพระศาสนจักรเอง ยังพยายามสอนว่า มารีย์คนนี้ ไม่ใช่โสเภณีคนบาป เพราะมีความเชื่อท้องถิ่นบางแห่งจริงที่เชื่อว่าเธอเป็นคนเดียวกับหญิงโสเภณี แต่ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลไม่เคยระบุชื่อหญิงโสเภณีคนนั้นเลย ว่าชื่ออะไร แต่กระนั้น ทั้งที่เธอถูกเข้าใจในบางแห่งว่าเป็นคนเดียวกับโสเภณีที่กลับใจ พระศาสนจักร ก็แต่งตั้งเธอเป็นนักบุญอยู่ดี ดังนั้น พระศาสนจักรเอง ที่เป็นผู้พยายามสอนความเข้าใจที่ถูกต้องแก่คริสตชน และยกย่องให้เกียรติมารีย์ มักดาลีน แต่กลับถูกยัดบทบาทตรงข้ามให้ ศิลปินมากมายสามารถวาดภาพนักบุญท่านนี้โดยให้เกียรติได้อย่างเต็มที่โดยไม่จำเป็นต้องหลบๆซ่อนๆเลย ดังนั้นในความเป็นจริง พระคัมภีร์ที่แดน บราว์นอ้างว่าถูกบิดเบือนให้เธอเป็นโสเภณีเพื่อทำลายเธอ แท้จริง ไบเบิ้ลเขียนชัดเจนว่าเธอเกี่ยวข้องกับพระเยซูเพราะเหตุทีพระองค์เคยช่วยเธอไล่ผี ไม่เคยระบุว่าเธอเป็นโสเภณี และแม้แต่รูปวาดทางศาสนาของท่าน ก็เล่าเรื่องราวนั้น เหตุการณ์สำคัญของท่านนักบุญ ที่นิยายคงไม่กล้าพูดถึง เพราะแม้จะยืนยันความสำคัญของ นักบุญมารีย์ มักดาลา ต่อพระศาสนจักร แต่มันก็ขัดกับข้ออ้างอันหนึ่งที่นิยายอ้างไว้ในเรื่องการเป็นเพียงมนุษย์ของพระเยซู นั่นคือการที่ท่านนักบุญ เป็นสักขีพยานคนแรกของการกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้า มก 16:9 พระคริสตเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพทรงสำแดงพระองค์ หลังจากที่ทรงกลับคืนพระชนมชีพตอนเช้าตรู่วันต้นสัปดาห์แล้ว พระเยซูเจ้าทรงแสดงพระองค์แก่มารีย์ชาวมักดาลาเป็นคนแรก นางคือผู้ที่พระองค์เคยทรงไล่ปีศาจเจ็ดตนออกไป นางจึงไปบอกผู้ที่กำลังร้องไห้เป็นทุกข์ซึ่งเคยอยู่กับพระองค์ และมีศิลปินจำนวนมากวาดภาพเหตุการณ์นี้ของท่านไว้ จากคุณ : bmjas - [ 13 พ.ค. 52 08:22:42 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ดังนั้นจึงน่าตลกมาก ถ้าพระศาสนาจักรต้องการกำจัดท่านทิ้งจากพระคัมภีร์ไบเบิ้ล เพราะต้องการให้พระเยซูดูเป็นพระเจ้า เพราะไบเบิ้ลเองกลับบันทึกเหตุการณ์ที่ทำให้พระเยซูดูเป็นพระเจ้ามากๆนี้ โดยการระบุตัวท่านลงไปเป็น "พยานคนสำคัญ" ซะอย่างงั้น ยังมีรูปอีกมากมายที่เขียบนถึงท่านในความสำคัญนี้ โดยการถือขวดน้ำมันหอมที่ตั้งใจจะเอาไปชโลมพระศพ(แต่ไม่ได้ใช้เพราะทรงกลับคืนชีพ) จากคุณ : bmjas - [ 13 พ.ค. 52 08:23:01 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ดังนั้นจึงน่าสงสัยว่า ถ้า ลีโอนาร์โด ดาวินชี่ อยากจะวาดรูปท่านนักบุญมารีย์ มักดาเลนาจริงๆ เขาจะต้องวาดภาพท่านอย่างหลบๆซ่อนๆขนาดนั้นทำไม ในเมื่อศิลปินคนอื่นๆในยุคเดียวกันและก่อนหน้าจนถึงปัจจุบัน ก็สามารถวาดท่านอย่างให้เกียรติได้ในฐานะนักบุญเทียบเท่ากับนักบุญคนอื่นๆในพระศาสนจักรได้อย่างสบายๆ นอกจากนี้ยังมีโบสถ์มากมายที่ถูกสร้างอุทิศให้กับท่าน ไม่ว่าจะเป็นโบสถ์คาทอลิก โบสถ์แองกลิกลัน จนไปถึงโบสถ์ของทางออร์โธดอกซ์ จากคุณ : bmjas - [ 13 พ.ค. 52 08:23:26 ]

ความคิดเห็นที่ 37 Q : จริงหรือที่ศาสนจักรพยายามทำลาย และลดบทบาทของผู้หญิงลง เพื่อผู้ชายจะได้คงอำนาจสูงสุดไปตลอด ? A : ไม่เป็นความจริงเลย ศาสนจักรไม่เคยมองผู้หญิงเป็นศัตรูเลย ในบทปฐมกาล 2 : 18-25 ก็มีกล่าวไว้ว่าผู้หญิงเป็นผู้ช่วยเหลือผู้ชายที่ขาดเสียมิได้ พระเยซูและบรรดาสานุศิษย์ของพระองค์ก็เน้นยำความจริงในข้อนี้ และยกฐานะของผู้หญิงมาเทียบเท่ากับผู้ชาย ตัวอย่างจากสิ่งที่บันทึกในไบเบิ้ลฉบับพระธรรมใหม่เอง เช่นตอนที่พระองค์เทศนาสั่งสอนมารธา และ มารีย์โดยตรง (ลูกา 10 : 38-39) ซึ่งตรงนี้เป็นการล้มเลิกธรรมเนียมปฏิบัติเดิม ๆ ของชาวยิวโบราณเสียด้วยซ้ำ เพราะปกติจะมีการเข้มงวดและการแบ่งแยกระหว่างชายและหญิงในเรื่องทางศาสนา คือมักจะกีดกันผู้หญิงออกไปไม่ให้มีอิสระในเรื่องทางศาสนาหรือการรับพรเช่นเดียวกับชาย แต่พระคัมภีร์ไบเบิ้ล กลับสอนเรื่องการยกสิทธิสตรีเหล่านี้ และในพระศาสนจักรเองก็มีชื่อของผู้หญิงคนอื่นนอกจากนักบุญมารีย์ มักดาเลนาปรากฏเป็นบุญราศี เป็นนักบุญ หรือเป็นมรณสักขี ในจำนวนนับร้อยองค์ และบุคคลสำคัญที่สุดคือ พระมารดามารีย์ พระมารดาของพระเยซูเจ้า ที่เป็นราชินีของคณะนักบุญทั้งชายและหญิงของพระศาสนจักร ซึ่งมีศักดิ์สูงกว่านักบุญเปโตรที่นิยายอ้างว่า แย่งชิงตำแหน่งผู้นำกับนักบุญมารีย์มักดาเลนาอีกด้วย อ้างอิง * Irenaeus , Against Heresies , bk. 5 , chapter 19 * Women in the Church, www.jesusdecoded.com จากคุณ : bmjas - [ 13 พ.ค. 52 08:23:38 ]

ความคิดเห็นที่ 38 พระมารดามารีย์ สตรีศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแห่งพระศาสนจักร สตรีศักดิ์สิทธิ์ที่นิยายหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงอย่างมากโดยถูกเอ่ยถึงอย่างผ่านๆเพียง2ครั้ง เพราะการตอกย้ำการมีอยู่ของเธอมากเกินไปจะขัดกับข้อกล่าวหาที่นิยายตั้งไว้ว่า"พระศาสนจักรคาทอลิคทำลายสตรีศักดิ์สิทธิ์" เพราะสตรีศักดิ์สิทธิ์คนนี้มีบทบาทมากจนแทบจะเป็นโลโก้ของพระศาสนาจักรคาทอลิคไปแล้วด้วยซ้ำ พระมารดามารีย์คือใคร พระมารดามารีย์ หรือพระแม่มารีย์ หรือที่คริสตชนคาทอลิค เรียกสั้นๆว่า "แม่พระ" คือพระมารดาของพระเยซูเจ้า ผู้ซึ่งพระศาสนจักรคาทอลิค และออธโธดอค ให้ความเคารพพระนางเป็นพิเศษ ในฐานะ มารดาพระเจ้า สตรีผู้นี้คือสตรีที่มีผู้คนมอบความรัก และความเคารพให้ มากที่สุดในโลก และต่อไปนี้ เราจะได้เห็นถึงเกียรติมงคลอันรุ่งเรืองยิ่งของสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งพระศาสนจักร ที่คริตชนนิกายโรมันคาทอลิค และออธโธดอค กว่า1พันล้านคนทั่วโลก ถวายเกียรติแด่เธอรองจากพระเยซู สตรีผู้มีฐานะมารดาพระเจ้า ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ได้บันทึกฐานะของพระมารดามารีย์นี้ในฐานะมารดาพระเจ้า เมื่อตอนพระนางทรงครรภ์ และได้เสด็จไปเยี่ยมนางเอลีซาเบธ มารดาของนักบุญยอห์น บัสติส ขณะนั้น ทารกทั้งสองยังอยู่ในครรภ์มารดาของตน พระคัมภีร์บันทึกโดยนักบุญลูกาบทที่ 1 ข้อที่ 39-45 พระนางมารีย์เสด็จเยี่ยมนางเอลีซาเบธ หลังจากนั้นไม่นาน พระนางมารีย์ทรงรีบออกเดินทางไปยังเมืองหนึ่งในแถบภูเขาแคว้นยูเดีย พระนางเสด็จเข้าไปในบ้านของเศคาริยาห์และทรงทักทายนางเอลีซาเบธ เมื่อนางเอลีซาเบธได้ยินคำทักทายของพระนางมารีย์ บุตรในครรภ์ก็ดิ้น นางเอลีซาเบธได้รับพระจิตเจ้าเต็มเปี่ยม ร้องเสียงดังว่า “เธอได้รับพระพรยิ่งกว่าหญิงใด ๆ และลูกของเธอก็ได้รับพระพรด้วย ทำไมหนอ พระมารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้า จึงเสด็จมาเยี่ยมข้าพเจ้า เมื่อฉันได้ยินคำทักทายของเธอ ลูกในครรภ์ของฉันก็ดิ้นด้วยความยินดี เธอเป็นสุขที่เชื่อว่า พระวาจาที่พระเจ้าตรัสแก่เธอไว้จะเป็นจริง” ดังนั้นพระศาสนจักรคาทอลิคจึงถวายพระนามอีกพระนามหนึ่งให้กับพระแม่มารีย์อย่างเป็นทางการคือ "มารดาพระเจ้า" (Sancta Dei Genetrix) ในการสังคยนาที่เมืองเอเฟซัส ค.ศ. 431 ซึ่งถือเป็นเกียรติสุงสุดที่มนุษย์คนหนึ่งจะสามารถมีได้ และมนุษย์คนนั้นเป็น"ผู้หญิง จากคุณ : bmjas - [ 13 พ.ค. 52 08:25:26 ]

ความคิดเห็นที่ 39 พรหมจารีย์ผู้ควรเคารพและประกาศสรรเสริญ นอกจากนี้ พระศาสนจักรยังขนานพระนามแม่พระในฐานะที่เป็นการบอกแก่คริสตชนทุกคนอย่างแจ่มแจ้งว่าควรมีท่าที่อย่างไรต่อสตรีศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้ และแน่นอนว่า พระคัมภีร์ไบเบิ้ลก็บันทึกยืนยันเรื่องนี้เช่นกัน พระคัมภีร์บันทึกโดยนักบุญลูกาบทที่ 1 ข้อ 46 พระนางมารีย์ ตรัสว่า วิญญาณข้าพเจ้าประกาศความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า จิตใจของข้าพเจ้าชื่นชมยินดีในพระเจ้า พระผู้กอบกู้ข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทอดพระเนตรผู้รับใช้ต่ำต้อยของพระองค์ ตั้งแต่นี้ไป ชนทุกสมัยจะกล่าวว่าข้าพเจ้าเป็นผู้ทรงบุญ พระผู้ทรงสรรพานุภาพทรงกระทำกิจการยิ่งใหญ่สำหรับข้าพเจ้า พระนามของพระองค์ศักดิ์สิทธิ์ พระกรุณาต่อผู้ยำเกรงพระองค์แผ่ไปตลอดทุกยุคทุกสมัย ดังนั้น พระศาสนจักรคาทอลิคจึงถือตามพระคัมภีร์ข้อนี้คือ คริสตชนทุกกาลสมัยต้องเคารพและสรรเสริญพระมารดามารีย์ จึงได้ถวายพระนามแต่พระมารดามารีย์อีกคือ พรหมจารีย์ควรเคารพ(Virgo veneranda) และ พรหมจารีย์ควรประกาศสรรเสริญ(Virgo praedicanda) ถึงตรงนี้ท่านผู้อ่านเริ่มรู้สึกทะ:-)ๆบ้างไหมครับ ไหนว่าพระศาสนจักร และไบเบิ้ลต้องการทำลายสตรีศักดิ์สิทธิ์ไง แต่นี่ พระศาสนจักร กำลังสั่งให้คริสตชนทุกคนเคารพและสรรเสริญผู้หญิงที่ชื่อ"มารีย์" อยู่นี่นา แบบนี้ภาษากฏหมายเรียกว่า "แจ้งข้อกล่าวหาอันเป็นเท็จ" ครับ จากคุณ : bmjas - [ 13 พ.ค. 52 08:26:01 ]

ความคิดเห็นที่ 40 Holy Grail ตัวจริง เราจำได้ว่า นิยาย อ้างว่านักบุญ มารีย์ มักดาเลนา สำคัญนักหนาในฐานะ "จอกศักดิ์สิทธิ์" เพราะครรภ์ของเธอ เก็บสายโลหิตพระเยซูอยู่ แต่นิยายลืมอะไรไปหรือเปล่าว่า ยังมีครรภ์ของสตรีศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าอีกคนที่เก็บโลหิตของพระเยซู ซึ่งที่จริง ควรเรียกให้ถูกว่าเคยเป็นที่ประทับขององค์พระผู้เป็นเจ้าเองเลยทีเดียว และอีกเช่นกัน พระศาสนจักรยินดีถวายพระนามพระแม่ในฐานะ "ภาชนะ" จริงๆซะด้วย และแน่นอนว่า ขนานพระนามให้โดยมีพระคัมภีร์ไบเบิ้ลรองรับเช่นกัน ในเหตุการณ์ที่ทูตสวรรค์กาเบียรลมาแจ้งข่าวการแประสูติของพระนาง พระคัมภีร์บันทึกโดยนักบุญลูกาบทที่ 1 ข้อ28-38 ทูตสวรรค์เข้าในบ้านกล่าวกับพระนางว่า “จงยินดีเถิด ท่านผู้ที่พระเจ้าโปรดปราน พระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน” เมื่อทรงได้ยินถ้อยคำนี้ พระนางมารีย์ทรงวุ่นวายพระทัยมากทรงถามพระองค์เองว่า คำทักทายนี้หมายความว่ากระไร แต่ทูตสวรรค์กล่าวแก่พระนางว่า “มารีย์ อย่ากลัวเลย ท่านเป็นผู้ที่พระเจ้าโปรดปราน ท่านจะตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง ท่านจะตั้งชื่อเขาว่าเยซู เขาจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่และพระเจ้าผู้สูงสุดจะทรงเรียกเขาเป็นบุตรของพระองค์ พระเจ้าจะประทานพระที่นั่งของกษัตริย์ดาวิดบรรพบุรุษให้แก่เขา เขาจะปกครองวงศ์ตระกูลของยาโคบตลอดไปและพระอาณาจักรของเขาจะไม่สิ้นสุดเลย” พระนางมารีย์จึงทรงถามทูตสวรรค์ว่า “เหตุการณ์นี้จะเป็นไปได้อย่างไรเพราะข้าพเจ้าตั้งใจจะเป็นพรหมจารี” ทูตสวรรค์ตอบว่า “พระจิตเจ้าจะเสด็จลงมาเหนือท่านและพระอานุภาพของพระผู้สูงสุดจะแผ่เงาปกคลุมท่านเพราะฉะนั้น บุตรที่เกิดมาจะเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์และจะรับนามว่าบุตรของพระเจ้า" ดูซิ เอลีซาเบธ ญาติของท่าน ทั้ง ๆ ที่ชราแล้ว ก็ยังตั้งครรภ์บุตรชาย ใคร ๆ คิดว่านางเป็นหมัน แต่นางก็ตั้งครรภ์ได้หกเดือนแล้ว เพราะไม่มีสิ่งใดที่พระเจ้าจะทรงกระทำไม่ได้” พระนางมารีย์จึงตรัสว่า “ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า ขอให้เป็นไปกับข้าพเจ้าตามวาจาของท่านเถิด” แล้วทูตสวรรค์ก็จากพระนางไป จากเหตุการณ์นี้ พระคัมภีร์ระบุชัดว่า พระนางมารีย์เป็นที่รักยิ่งของพระเจ้า และพระจิตของพระเจ้า เสด็จลงมาในครรภ์พระนางเพื่อทำให้การปฏิสนธิของพระเยซูเจ้าเกิดขึ้นได้ทั้งที่เป็นยังพรหมจารีย์ และทั้งที่พระนางได้รับภาระกิจที่ยากลำบากและดูจะอันตรายต่อชีวิตในอนาคตเช่นนี้ กลับตอบรับทันทีด้วยความนอบน้อมและเปี่ยมศรัทธา ดังนั้น พระศาสนจักรจึงถวายพระนามอีก3พระนามนี้ให้แด่พระแม่คือ ภาชนะรองรับพระจิต (Vas spirituale) ภาชนะล้ำเกียรติ (Vas honorabile) ภาชนะยอดศรัทธา (Vas insigne devotionis) จากคุณ : bmjas - [ 13 พ.ค. 52 08:26:33 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ราชินีคณะนักบุญ และอัครสาวก เรารู้กันดีว่า พระศาสนจักรคาทอลิค จะยกย่องบุคคลที่ทำประกอบคุณงามความดีในโลกนี้ ตลอดจนมีความเชื่อความศรัทธาในพระเยซูเจ้าและพระเจ้าอย่างดี ตามแบบอย่างที่พระเยซูเจ้าสอน จนมั่นใจได้ว่าคนๆนี้ จะได้ไปสวรรค์แน่นนอน โดยประกาศให้เป็น "นักบุญ" และแน่นอนนี่คือเกียรติสูงสุดในฐานะคริสตศาสนิกชนที่พระศาสนจักรมอบให้ และแน่นอนว่าอัครสาวกทั้ง11คนที่เหลือ ตลอดจนผู้บันทึกพระคัมภีร์ไบเบิ้ลทั้ง4ท่าน และรวมทั้งมารีย์ มักดาเลนา ศิษย์หญิงคนสำคัญของพระเยซู ก็ล้วนได้รับการประกาศ ให้เป็น "นักบุญของพระศาสนจักร" (สิ่งนี้ทำให้ข้อกล่าวหาที่ว่าพระศาสนจักรทำลาย มารีย์ มักดาเลนา กระเด็นตกไปเช่นกัน) แต่สำหรับพระมารดามารีย์ สตรีศักดิสิทธิ์สูงสุดของพระศาสนจักรนั้น พระศาสนจักร ยินดีถวายพระเกียรติที่เหมาะสมกว่านั้นให้ด้วยความเคารพอย่างยิ่งนั่นคือตำแหน่งที่อยู่เหนือนักบุญทั้งหลายทุกคนตั้งแต่บัดนี้จนตลอดกาลคือ ราชินีคณะนักบุญ (Regina Sanctorum omnium) และ ราชินีคณะอัครสาวก (Regina Apostolorum) จากคุณ : bmjas - [ 13 พ.ค. 52 08:27:17 ]

ความคิดเห็นที่ 42 มารดาพระคริสตเจ้า ตำแหน่งที่ศักดิ์สิทธิ์และสำคัญในตัวเองอยู่แล้ว เพราะเหตุว่า สตรีที่พระเยซูเจ้ารักที่สุด และอยู่เคียงข้างพระองค์ตั้งแต่เกิดจนตาย จะเป็นใครถ้าไม่ใช่พระมารดามารีย์ แม่แท้ๆของพระองค์ น่าแปลกใจ ทำไมผู้แต่งนิยาย จึงเข้าใจว่าตำแหน่งของสตรีที่สำคัญที่สุดสำหรับพระเยซู เป็นตำแหน่ง "ภรรยา" แทนที่จะเป็น "มารดา" อันโดยสามัญสำนึกและ จารีตประเพณี หรือจริยธรรมคุณธรรมใดๆ ก็สามารถตอบและตัดสินได้โดยแทบไม่ต้องเสียเวลาคิดว่า ตำแหน่งมารดานั้น สำคัญกว่ามากมายขนาดไหน และแน่นอนว่าพระศาสนจักรก็ถวายพระนามพระแม่ว่า มารดาพระคริสตเจ้า(Mater Christi)และ มารดาพระผู้ไถ่(Mater Salvatoris) อันเป็นฐานะของสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่พระเยซูเจ้ารักมากที่สุดในโลก จากคุณ : bmjas - [ 13 พ.ค. 52 08:28:16 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ลีโอนาร์โด ดาวินชี่ กับสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของพระศาสนจักร ถึงตรงนี้คงไม่ต้องสงสัยเลยว่า สีโอนาร์โด ดาวินชี่ เองก็ไม่ต่างกับคริสตชนทั่วไปที่รักและให้เกียรติสตรีศักดิ์สิทธิ์คนนี้ และสิ่งนี้ยิ่งชัดแจ้ง... เมื่อเราพบว่า ลีโอนาร์โด วาดสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งพระศาสนจักรโดยแสดงความสูงส่งของเธออย่างชัดแจ้ง ลีโอนาร์โด เป็นคนที่รักและเคารพพระแม่มารีย์ มารดาของพระเยซูเจ้ามาก เพราะมีภาพกว่า7ภาพที่เขาวาดพระแม่ โดยน่าสังเกตุที่เขาไม่เคยวาดรูปนักบุญมารีย์ มักดาเลนาเลย ทั้งๆที่ภาพของท่านนักบุญมารีย์ มักดาเลนามีศิลปินคนอื่นมากมายในยุคสมัยเดียวกับเขาที่วาดออกมาหลายคนเพราะท่านเป็นนักบุญที่ดังและมีคนนับถือมากคนหนึ่งของพระศาสนจักร แต่ลีโอนาร์โดกลับกระหน่ำวาดภาพพระแม่มารีย์ มารดาของพระเยซูเจ้ามากมายหลายหลากแบบจริงๆ ภาพหนึ่งที่มีชื่อเสียงและมีความงดงามมากคือ ภาพการแจ้งข่าว(ทูตสวรรค์กาเบียรลการแจ้งข่าวการประสูติของพระเยซู) The Annunciation c. 1472-1475 Oil and tempera on panel 38 1/4 x 84 5/8 in. (98 x 217 cm) Galleria degli Uffizi, Florence ซึ่งภาพนี้บรรยายเหตุการณ์อัครเทวดากาเบียรลลงมาจากสวรรค์มาพบหญิงพรหมจารีย์ชื่อมารีย์ เพื่อบอกเธอว่าพระเยซูเจ้าจะมาบังเกิดในครรภ์ของเธอด้วยฤทธานุภาพของพระเจ้า ภาพนี้เหมือนภาพ การแจ้งข่าวการประสูติฯ ทั่วๆไปที่จะมีเทวดากาเบีรยล และมีพระแม่มารีย์อยู่ แต่ภาพนี้ ไม่ธรรมดาซะแล้วล่ะครับ เพราะเมื่อเรามองภาพนี้ดีๆ เราพบการจัดวางท่าทางที่แปลก คือ ในภาพนี้นั้นทูตสวรรค์ คุกเข่าและก้มตัวลงแสดงการคำนับและยกมือถวายพระพร ในขณะที่พระมารดามารีย์ยืดหลังตรงและยกพระหัตถ์ขึ้นรับการถวายพระพรนี้ และระดับศีรษะของเทวดาก็ต่ำกว่าระดับศีรษะของแม่พระพอดี นี่คือภาพของขุนนางที่เข้าคำนับถวายพระพรองค์ราชินี มากกว่าการปรากฏตัวของเทวดาต่อหญิงชาวบ้าน อันเป็นการบ่งบอกอย่างแจ่มแจ้งว่า ในความคิดของลีโอนาร์โด พระแม่มารีย์มารดาของพระเยซูเจ้า ยังมีศักดิ์สูงกว่าทูตสวรรค์ชั้นอัครเทวดาซะอีก!!! และนั่นแปลว่า ลีโอนาร์โด ได้วาดภาพนี้ในโดยตระหนักถึงพระนามของแม่พระพระนามหนึ่งที่พระสาสนจักรคาทอลิคเต็มใจถวายเกียรติเรียกพระนางคือ ราชินีนิกรเทวดา(Regina Angelorum) ซึ่งเป็นการประกาศอย่างแจ่มแจ้งและชัดเจน ถึงสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่ลีโอนาร์โด อุทิศพรสวรรค์ของเขา เพื่อถวายเกียรติแด่พระนางอย่างยิ่ง และในหัวใจของเขา สตรีศักดิ์สิทธิ์ของพระศาสนจักร คือมารีย์ มารดาของพระเยซูเจ้าอย่างไม่ต้องสงสัย และนอกจากนั้นเมื่อเรากลับไปเทียบกับภาพ The Last Supper เราพบว่า ภาพพระแม่มารีย์ภาพนี้ ใส่เสื้อสีเดียวกันกับพระเยซุเจ้าแบบไม่ต้องกลับตัวในตัวนอก ลีโอนาร์โดใช้โทนสีเดียวกันอย่างใกล้เคียงยิ่งกว่านักบุญยอห์นที่โดนบิดเบือนว่าเป็นนักบุญมารีย์ มักดาเลนา อย่างมาก ดังนั้นต่อให้เรื่องในนิยายเป็นจริง เราลองเอานักบุญมารีย์ มักดาเลนา มาแทนที่นักบุญเปโตร ท่านก็จะมีศักดิ์เป็นพระสันตะปาปาคนแรก(ที่เผอิญเป็นหญิง) ซึ่งเมื่อเอามาเทียบกับฐานะของพระมารดามารีย์ที่ลีโอนาร์โดยกให้สูงยิ่งกว่าเทวดา ก็ยังถือว่าต่ำกว่าของพระมารดามารีย์หลายเท่า ลำพังแค่ตำแหน่งภรรยาพระเยซู มันก็เทียบไม่ได้กับตำแหน่งมารดาของพระเยซูอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าพระศาสนจักรจะทำลาย มารีย์ มักดาเลนา เพราะจะรักษาอำนาจผู้ชาย แล้วสตรีที่มีตำแหน่งสูงกว่าเธอและเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ในพระศาสนจักรมาเสมอ ยังสูงเด่นตลอดกาล กลับปล่อยไว้ แถมยังยกย่องไม่ยอมหยุด ถ้าเช่นนั้นนอกจากขัดกันเองระหว่างข้อกล่าวหากับข้อเท็จจริงแล้ว ยังควรตั้งคำถามต่อไปว่า แล้วพระศาสนจักรยังจะทำลาย นักบุญ มารีย์ มักดาเลนา ไปให้ได้อะไรขึ้นมา เพราะสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่สูงกว่าตำแหน่งพระสันตะปาปา และยังสูงกว่าทูตสวรรค์ด้วยซ้ำ และเป็นสตรีที่พระศาสนจักรเคารพอย่างสูงเสมอมานาน2000ปี คือ พระนางมารีย์มารดาของพระเยซูเจ้านี่เอง จากคุณ : bmjas - [ 13 พ.ค. 52 08:30:06 ]

ความคิดเห็นที่ 44 อ่านช่วงนี้ สำหรับ คำอธิบายเกี่ยวกับ ภาพ the Last Supper http://www.newmana.com/important/DaVinci09.htm จากคุณ : bmjas - [ 13 พ.ค. 52 08:31:17 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ในฐานะ คาทอลิก คนหนึ่ง   ขอแถลงความจริง ด้งที่ยกตัวอย่างมาให้ข้างต้น แล้วคุณจะเข้าใจว่า นิยายของแดนบราวน์  หรือนี้ บิดเบือนประวัติศาสตร์ได้ขนาดไหน บิดเบือนความเป็นจริงได้ขนาดไหน จากคุณ : bmjas - [ 13 พ.ค. 52 08:32:51 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ภาพ The Last Supper ตาม link ที่คุณ bmjas ให้มา เป็นภาพเต็มๆ ไม่ใช่ไปตัดเอาส่วนหนึ่งมาอย่างที่ จขกท นำมาแสดง ถามคำเดียวว่า โต๊ะกินข้าวบ้านใครวะนั่งเรียงแถวกันแบบนั้น มันเป็นภาพทางธรรม แหกตาดูซะมั่ง จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม - [ 13 พ.ค. 52 09:46:34 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ขอลบข้อความยาวเหยียดของผมที่แสดงความเห็นไว้ก่อนหน้านี้ออกทั้งหมด เพราะผมเข้าห้องผิด นึกว่าเป็นห้องภาษาอังกฤษ ลืมดูว่าเป็นห้องรวม ก้อขอ อภัยคุณยักษ์ฯด้วยนะครับ เชิญคุณยักษ์ฯ ตามสะบาย ส่วนผมต้องขออภัย และรู้สึกหน้าแตกแต่คิดว่าหมอคงพอรับเย็บได้อยู่...ส่วนเรื่อง มารี แมคดาลีน กับพระเยซูเนี่ย ไม่สันทัดที่จะถก มันสองพันปีมาแล้วน่ะครับ ไปละครับ แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 52 14:15:20 แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 52 11:44:03 แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 52 11:43:00 แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 52 11:40:59 จากคุณ : เต๋านีโอ - [ 13 พ.ค. 52 11:38:42 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ความเชื่อในเรื่องนี้จะเป็นจริงหรือไม่ สำหรับผมไม่ได้มีผลกระทบอะไรเลย แต่มันส่งผลต่อความศรัทธาร่วม 2,000 ปีของคนทั่วโลก ชาวคริสต์จะออกมาโต้แย้งคงไม่แปลกนัก แต่ถ้าเค้ามีหลักฐานจริงๆล่ะ (สมมุตินะครับ) หลักฐานที่เชื่อถือได้ ก็สมควรที่จะรับฟังไม่ใช่เหรอครับ ถ้าตั้งหน้าตั้งตาโต้แย้งเพียงอย่างเดียว คงไม่เกิดการพัฒนาความรู้ใหม่ๆขึ้นมา ประวัติศาสตร์เป็นเรื่องอดีต เปลียนแปลงได้เสมอ ถ้าค้นพบหลักฐานใหม่ๆ เมื่อก่อนก็เคยเชื่อกันว่าโลกเป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาล แต่ตอนนี้ก็รู้กันแล้วว่าไม่ใช่ ต่อไปคงจะต้องมีความเชื่ออะไรที่ต้องเปลี่ยนแปลงอีกมากมาย แต่เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องของศรัทธา คงแตะต้องมิได้สินะ ผมก็มองดูด้วยความคิดแบบพุทธ ใดใดในโลกล้วน อิจจัง จากคุณ : phi 1.618 - [ 13 พ.ค. 52 12:46:45 ]

ความคิดเห็นที่ 49 หาก นิยายเรื่อง (ลีโอนาโด้)  ดาวีนซี โค้ด เป็นวิทยานิพน มหาลัยละก็ อาจารย์ให้ตกอย่างไม่ต้องสงสัยเลย เพราะประเด็นสำคัญ ที่ว่า "คาทอลิค พยายามลดบทบาทสตรีในศาสนา" แม้จะพยายามใส่บทว่า คาทอลิคพยายามลบ มาเรีย เมกดาเลน แล้ว แต่สตรีอีกคนที่มีความสำคัญกว่า กลับไม่เห็นกล่าวถึงเลย และ เรื่องที่ว่า ศาสนาจักรพยายามทำให้ พระเยซู เป็นพระเจ้ามากที่สุด อันนี้ ก็ตก เพราะ คาทอลิค สอนอยู่เสมอว่า พระเยซู เป็นทั้งมนุษย์และพระเจ้า ปล. ขอเข้ามาแก้ เพราะก่อนหน้านี้กำลังมึนหัว เรียบเรียงคำพูดผิด ตามคห. 51 แย้งมา แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 52 15:23:09 จากคุณ : bmjas - [ 13 พ.ค. 52 12:51:05 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ถึง 48 หลักฐานที่กล่าวถึงในนิยาย มันมีอยู่นะครับ แต่มันถือบิดเบือนนะซิครับ ตัวอย่างครับ พระคัมภีร์ฉบับฟิลลิป พระคัมภีร์ฉบับนี้ถูกเขียนอย่างเร็วที่สุดคือหลัง ค.ศ. 150 ซึ่งแน่นอนว่า นักบุญฟิลิปอัครสาวกเสียชีวิตไปนานแล้ว และไม่ใช่ผู้เขียนตัวจริง นิยาย ดาวินซีโค้ด อ้างว่า " จากบทพระวรสารนักบุญฟิลิปป์ภาษาอารมิคบันทึกว่า พระองค์รักเธอมากกว่าสานุศิษย์คนใดๆของพระองค์ พระองค์จูบเธอบ่อยหลายต่อหลายครั้ง และพระองค์สมรสกับเธอ ตามความหมายของคำว่า “เพื่อน” สมัยนั้นมีความหมายว่า “คู่สมรส” โดยท้าในหนังสือว่า ถ้าไปถามคนรู้ภาษาอาราเมอิกจะทราบ " ควาจริง 1. บทพระวรสารของนักบุญฟิลิปป์ไม่ได้เขียนในภาษาอารมิค!!! แต่เป็นภาษาทางคอปติค (Coptic) จากอียิปต์ และเป็นการแปลจากของภาษากรีกอีกที 2.ทีนี้เราไปถามคนรู้อาราเมอิกแบบที่เขาท้า จากคำกล่าวของศาสตราจารย์ เครก บลอมเบิร์ก (Craig Blomberg) จากการสัมนาที่เดนเวอร์ กล่าวไว้ว่า “ไม่มีคำทั้งจากภาษาฮีบรู และ อารมิค สำหรับคำว่า เพื่อน ที่สื่อแปลว่า คู่สมรส” ซึ่ง ศาสตราจารย์ มากาเร็ต มิตเชล (Margaret Mitchell) แห่งภาควิชาประวัติศาสตร์ศาสนจักรตอนต้น แห่ง มหาวิทยาลัย ชิคาโก้ ดิวินิตี้ สคูล ก็เห็นด้วย ศาสตราจารย์ มิตเชลยังกล่าวอีกว่า ดาวินซีโค้ดได้ถอดความแปลคำออกมาผิด ซึ่งคำต้นฉบับดังกล่าวมักถูกแปลว่า เพื่อน หรือ สหาย อยู่แล้ว Q:ในพระคัมภีร์ดังกล่าว บันทึกว่าพระเยซูจูบปาก นักบุญ มารีย์ มักดาเลนา จริงหรือ A: ความจริงคือ คัมภีร์ของฟิลลิป นั้นต้นฉับทรุดโทรมขาดวิ่นมาก และข้อความที่ระบุใจความสำคัญดังกล่าวมีรอยขาดวิ่นอยู่มากทีเดียว จนอ่านได้แบบนี้ "มารีย์ มักดาเลนา.......ต่อเธอมากกว่า.......สาวกคนอื่นๆ .......จูบเธอ.......บน......." เราไม่รู้ว่า ใครจูบกันแน่ และไม่รู้ว่า จูบบนอะไร บนมือหรือ? บนหน้าผากหรือ? บนแก้มหรือ? ดังนั้นรับประกันได้ว่าถ้าใครอ้างข้อความเต็มของเอกสารฉบับนี้ขึ้นมาได้ ย่อมมาจากการ "เดาเอาเอง" อย่างแน่นอน และคนที่อยากให้เรื่องนี้ดูเป็นเรื่องฉันท์ชู้สาวย่อมใส่คำว่า"ปาก"ลงไปบนช่องที่แหว่งนั้นโดยไม่ลังเล อย่างไรก็ดีผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่าตามแนวคิดหลักของคัมภีร์นอสติก ซึ่งมองว่าเรื่องทางโลกและเพศเป็นเรื่องต่ำช้า และเรื่องทางจิตคือเรื่องสูงส่งแล้ว ความสัมพันธ์ครั้งนี้น่าจะเป็นแบบพลาโตนิก(platonic) คือการแสดงออกซึ่งความรักที่ปราศจากอารมณ์เพศ หรือการแสดงออกถึงความรักในด้านจิตวิญญาณ(spiritual) มากกว่า อ้างอิง * Linda Kulman และ Jay Tolson (ร่วมกับ Katy Kelly) , “Jesus in America,” U.S. News และ World Report , December 22 , 2003 ( www.usnews.com [archives]) จากคุณ : bmjas - [ 13 พ.ค. 52 13:03:27 ]

ความคิดเห็นที่ 51 **49 จากการที่ ข้อความที่ 49 ได้เเก้ไขข้อความ ผมขอเเก้ด้วยครับ จะได้ไม่เป็นข้อโต้เเย้ง เอาเป็นว่า ผมให้ข้อมูลรูปภาพนี้ดีกว่า ^^ Black madonna หรือ มาดอนนา ดำ เป็นรูปเคารพ พระแม่มารี  ที่เเปลกออกไป มีลักษณะเป็น สีผิวจะเป็น สีดำ แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 52 01:44:50 แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 52 01:37:57 แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 52 01:35:19 จากคุณ : ยักษ์ท่าเตียน - [ 13 พ.ค. 52 13:17:21 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ผมจำรายละเอียดย่อยๆ ไม่ค่อยได้แล้วครับ แต่จำได้ว่าตอนที่อ่าน นี่มันขัดๆ ตลอดเวลาที่ อ้างถึงความเชื่อคาทอลิก ซึ่งมันไม่จริง เหมือนอยากจะเขียนอะไรก็เขียน (นิยายตูนิ ห้า ห้า) ที่ชัดๆ ก็เรื่อง พยามกำจัดผู้หญิง ออกไป สงสัยตาแดนบราวแกไม่รู้ว่า แม่พระ นี่ก็เป็นผู้หญิง เรื่องพระเยซูเป็นพระเจ้าเหมือนกันนะครับ คุณลองไปโรงเรียนคาทอลิก ไปจับเด็กคาทอลิก ป 6 มาคนนึง แล้วถามว่า หนูๆ พระเยซูเป็นพระเจ้า หรือมนุษย์ ถ้าเด็กคนนั้นเขาตั้งเรียนคำสอน เค้าจะตอบคุณว่า "เป็นพระเจ้าแท้ และมนุษย์แท้" พระศาสนาจักรคาทอลิกย้ำตลอดถึงความเป็นมนุษย์ ของพระเยซู ไม่ใช่จะยกให้เป็นพระเจ้าถ้าเดียวหรอก "เราสั่งสอนเป็นเอกฉันท์ให้ประกาศยืนยันว่าพระบุตรมีเพียงองค์เดียว คือองค์พระคริสตเยซูผู้เป็นเจ้า พระองค์เดียวกันนั้นเอง ผู้สมบูรณ์พร้อมในพระเทวภาพ และสมบูรณ์พร้อมในภาวะการเป็นมนุษย์ เป็นพระเจ้าแท้และมนุษย์แท้ องค์เดียวกันนั้น ประกอบด้วยวิญญาณ อันเปี่ยมด้วยเหตุผลและกาย ร่วมพระธรรมชาติเดียวกับ พระบิดาตามพระเทวภาพ และร่วมสภาวะเดียวกับเราในความเป็นมนุษย์ เหมือนกับเราทุกอย่าง ยกเว้นในเรื่องบาป" http://www.catholic.or.th/archive/catechism/catech13/ch070.html แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 52 15:18:18 แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 52 15:15:38 จากคุณ : AlleluiA - [ 13 พ.ค. 52 15:04:33 ]

ความคิดเห็นที่ 53 เรื่องการเป็นมนุษย์ หรือ การเป็นเทพ ขอย้อนไปนิดว่า นิยายจะนำเสนอว่า ศาสนจักร พยายามเรื่องพระเยซูเป็นพระเจ้าแต่เพียงอย่างเดียว และพระคัมภีร์ก็ตัดเรื่องราวของ มาเรีย เมกดาเลน ออกไป เพราะการแต่งงานของพระเยซู กับนาง  นั้นแสดงถึงความเป็นมนุษย์ของพระเยซู งั้นขอ Q : จริงหรือที่ว่า จักรพรรดิ คอนแสตนติน(กษัตริย์ที่ในนิยายอ้างว่าเป็นผู้รวบรวมและชำระพระคัมภีร์ที่เราอ่านกันอยู่ทุกวันนี้) ตัดเรื่องภรรยาของพระเยซูถูกตัดออก เพราะต้องการให้พระองค์ดูเป็นเทพ ? A : ไม่เป็นความจริงเลย ประการแรกพระเยซูไม่เคยมีภรรยาแต่อย่างใด และการเป็นโสดก็ไม่ใช่สิ่งที่บ่งบอกถึงความเป็นเทพแต่อย่างใด ในทางกลับกัน เทพเจ้ามากมายตามตำนานความเชื่อต่าง ๆ (ในสมัยก่อนและร่วมสมัยกับพระเยซู) กลับมีพระชายาด้วยกันทั้งสิ้น เช่นเทพทางฮินดู อียิปต์สแกนดิเนเวีย และตำนานอื่น ๆ ที่สำคัญคือจำนวนของชายานั้นมีมากกว่าหนึ่งเสียด้วยซ้ำ ยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่น เทพ ซุส ของกรีก มีภรรยามากมายทั้งที่เป็นเทพ เป็นภูต และเป็นมนุษย์ หรือแม้แต่การมีอะไรด้วยเฉยๆ หรือแม้แต่การเป็นชู้กับภรรยาของมนุษย์ แต่การมีภรรยามากมายมหาศาลนี้ก็ไม่ได้ทำให้ความเป็นเทพของซุสขาดหายไปแม้แต่น้อย ตรงข้าม พลังทางเพศดูจะเป็นสิ่งคู่กันกับความเป็นเทพชายในสมัยก่อนคริสตศาสนา หรือเทพกรีก โรมัน องค์อื่น ๆ ที่คอนแสตนตินเองก็เคยนับถือมา อย่าง Mars ก็เป็นชู้กับ Venus หรือจะ Apollo ก็มีเรื่องราวความรักทั้งกับสาวๆทั้งคน และภูติ และแม้แต่กับผู้ชายด้วยกันเอง ดังนั้นหากจักรพรรดิ์คอนแสตนตินต้องการทำให้พระเยซูดูเป็นเทพเจ้าเพราะติดมาจากศาสนาเดิมที่ตนนับถือจริงๆอย่างที่นิยายอ้าง พระองค์ก็น่าจะเพิ่มภรรยาให้พระเยซูมากๆ แทนที่จะตัดออก ในทางกลับกัน การทำให้พระเยซูไม่มีภรรยาเพื่อจะให้ทรงดูเป็นเทพ มันกลับเป็นสิ่งที่แตกต่างบุคลิคของเทพแบบเดิมๆในสายตาของผู้คนในยุคนั้นอย่างที่เรียกว่าเป็นคนละขั้ว ดังนั้นสิ่งนี้จึงขัดกับหลักเหตุผลและข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์โดยสิ้นเชิง จากคุณ : bmjas - [ 13 พ.ค. 52 15:30:44 ]

ความคิดเห็นที่ 54 Q:จริงหรือที่ชายชาวยิวทุกคนต้องแต่งงาน A:ไม่เป็นความจริง มีชายชาวยิวจำนวนมากที่ไม่แต่งงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลสำคัญ3คนในสมัยพระเยซูเจ้าเองคือ 1.นักบุญ ยอห์น บัสติส (ยอห์นผู้ที่พิธีล้าง) ซึ่งเราจะพบรูปเขาในวัยเด็กในภาพพรหมจารีย์แห่งหินผา 2.นักบุญยอห์น ผู้บันทึกพระวรสาร เราจะพบรูปของเขาได้ในภาพ The Last Supper คนที่โดนบิดเบือนโดยนิยายว่าเป็นนักบุญ มารีย์ มักดาเลนา 3.นักบุญเปาโล ท่านเขียนไว้ในจดหมายของท่าน(ค.ศ.50-60)ชัดเจนว่าท่านเลือกเป็นโสดเพื่อจะทำงานได้อย่างสะดวก ซึ่งท่านเหล่านี้ ไม่ได้ดูเป็นเทพขึ้นมาแต่อย่างใด(การเป็นเทพที่ดีต้องมีภรรยามากๆ) และโยเซฟัส นักประวัติศาสตร์ชาวยิวซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 1 ยืนยันว่าชาวยิวล้วนแต่มีคู่ครองจริง เว้นแต่ผู้ทรงศีลอย่างพระเยซูเท่านั้นที่ไม่จำเป็นต้องมีคู่สมรส ยิ่งไปกว่านั้นมีกลุ่มชาวยิวที่เคร่งศาสนาที่เรียกว่า พวกเอสซีน ซึ่งถือโสดเช่นเดียวกัน และนักบุญ ยอห์น บัสติส ก็อยู่ในกลุ่มนี้ด้วย และที่สำคัญ กลุ่มนี้เองเป็นกลุ่มเดียวกับที่บันทึก ม้วนหนังสือทะเลตาย(Dead Sea Scrolls) ด้วย จอหน์ เมียร์ ( John Meier ) จากมหาวิทยาลัยคาทอลิกแห่งอเมริกา ในหนังสือของเขา คือ อะ มาร์จินัล ยิว ( A Marginal Jew ) เมียร์ สรุปว่า “ เมื่อเราเราอ้างอิงจากแนวโน้มเหล่านี้แล้ว เราจะเห็นว่าในศตวรรษที่หนึ่งของคริสตศักราช มีบุคคลและกลุ่มที่โดดเด่น ที่ได้ครองตนเป็นโสดอยู่ เช่น พวกเอสเซนส์ และคุมรานไนท์ พวกเทราพัวเธ ยอห์นผู้ให้บัพติสมา พระเยซู เปาโล เอปิคเทตัส อะพอลโลเนียส และนักปรัชญาเร่ร่อนหลายคน การครองตนเป็นโสดเป็นสิ่งที่หายากและในบางครั้งเป็นทางเลือกในแง่บวกในศตวรรษที่หนึ่งหลังคริสตศกราช แต่ก็เป็นทางเลือกที่มีคนเลือกอย่างแน่นอน ” ( หน้าที่ 342 ) และผู้เชี่ยวชาญต่างเห็นพ้องกันว่า เรื่องพระเยซู สมรสกับ นักบุญมารีย์ มักดาเลนานั้น เพิ่งเกิดขึ้นในสมัยยุคกลาง(ศตวรรษที่14-15)นี่เอง และถูกแต่งในฐานะตำนาน ไม่ใช่คัมภีร์ และไม่เคยมีหลักฐานหรือบันทึกเชิงคัมภีร์ใดๆก่อนหน้านี้ที่กล่าวถึงเรื่องนี้ทั้งสิ้น อ้างอิง : * Richard Abanes , “The Truth Behind The Davinci Codes” จากคุณ : bmjas - [ 13 พ.ค. 52 15:31:59 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ความจำเป็นที่ศาสนจักรต้องลดบทบาทพระเยซูในฐานะมนุษย์คืออะไร ?? พระเยซูจะไถ่บาปให้มหนุษย์ได้อย่างไร ถ้าพระองค์ไม่อยู่ในสภาพของมนุษย์ เรื่องที่มันไม่จริง บางครั้งก็ยังมีคนตะแบงให้จริงให้ได้ ทั้งที่ไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อแม้แต่ชิ้นเดียว จากคุณ : ปั๊ปโปะจัง - [ 13 พ.ค. 52 16:31:20 ]

ความคิดเห็นที่ 56 สำหรับเรื่องที่พิสูจน์ว่า พระเยซู เป็นมนุษย์นั้น ก็เรื่องธรรมดาง่ายๆ อย่างที่เราเห็นกัน พระเยซู ยังต้อง ทานอาหาร ต้องดื่มน้ำ มีพระโลหิต และที่สำคัญ พระองค์ สิ้นชีพบนไม้กางเกง ส่วนก่อนหน้าที่ผมกล่าวว่า   ถ้านิยาย ต้องการแสดงความเป็นพระเจ้าของพระเยซู จึงต้องตัดเนื้อหาเกี่ยวกับมาเรีย แมกดาเลนออกไป คนเขียนนิยายคงลงไปว่า มาเรีย เมกดาเลนนี้แหละ ที่เป็นพยานคนสำคัญของการเป็นพระเจ้าของพระเยซู เพราะท่านเป็นคนแรก ที่ประจักการคืนมาจากความตายของพระเยซู ครับ จากคุณ : bmjas - [ 13 พ.ค. 52 17:10:33 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ดาวินชีโค้ด เป็นนิยายครับ ไม่ใช่บันทึกทางปวศ.หรือทางศาสนา ผมเป็นพุทธ แต่ก็พอเข้าใจความรู้สึกคนเคร่งคริสต์ที่แอนตี้ความคิดในนิยายเรื่องนี้นะ แต่ก็ต้องอย่าลืมอีกแหละว่ามันเป็นแค่นิยาย ขึ้นชื่อว่าเป็นนิยายแล้ว ย่อมต้องเสกสร้าง ปั้นแต่ง ด้วยจินตนาการเป็นธรรมดา เอาง่ายๆ พวกนิยายอิงปวศ.นี่ ก็มักจะบิดเบือนหรือเสริมแต่งเหตุการณ์ เรื่องราวที่ไม่มีในปวศ.เข้าไปประจำ เพื่ออะไร ก็เพื่อความบันเทิงไงละ เพีงแต่มันเป็นนิยายที่ดังมากและเนียนในการนำเสนอมากเสียจนคนส่วนมากเชื่อในเนื้อหาเท่านั้นเอง ซึ่งตรงนี้แดน บราว ควรจะชี้แจงให้ชัดเจน จากคุณ : eagle1000 - [ 13 พ.ค. 52 17:51:32 ]

ความคิดเห็นที่ 58 นิยายก็คือนิยาย เ็ป็นเรื่องแต่ง อย่าเอาเรื่องแต่ง กับเรื่องจริงมาปนกัน คนเขียนก็ไม่ได้บอกว่า นี่เป็นเอกสารทางประวัติศาสร์ ทุกอย่าเป็นเพียง "นิยาย" ตัวละครโลดแล่นอยู่ในจิตนาการของผู้เขียน ถ่ายทอดเป็นตัวหนังสือ ส่งต่อมายังผู้ัรับ ซึ่งเราก็แยกให้ออกว่า เรากำลังอ่านนิยาย ไม่ใช่ อ่านบันทึกประวัติศาสตร์ เหมือนเราดูเรื่อง แดจังกึม บุคคลนี้มีตัวตนในประวัติศาสตร์เำพียงสองสามบรรทัด แต่หนังทำออกมาได้เป็นหลายร้อยชั่วโมง แยกให้ออกระหว่างจินตนาการ และ ความจริงนะครับ จากคุณ : เบคู กะ อูเว - [ 13 พ.ค. 52 18:14:33 ]

ความคิดเห็นที่ 60 มาจองที่ไว้ก่อนค่ะ เดี๋ยวมาอ่าน จากคุณ : thezircon (thezircon) - [ 13 พ.ค. 52 18:50:18 ]

ความคิดเห็นที่ 61 อ่านแล้วสนุกดี เหมือนอ่านกระทู้ Mr.Terran ห้องหว้ากอเลย อ่านไปอ่านมา ไม่คิดว่าจะเป็นกระทู้ร้อนได้ขนาดนี้ จากคุณ : January Friend - [ 14 พ.ค. 52 00:12:34 ]

ความคิดเห็นที่ 62 ชาวคริสต์รบกวนช่วยตอบเรื่องการสยายผมเช็ดเท้าพระเยซูหน่อยครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : คุณฟิน - [ 14 พ.ค. 52 08:56:26 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ให้ตอบยังไงอะครับ ตอบตามที่แดนบราวน์บอกว่า มันเป็นการกระทำของภรรยาต่อสามีหรอครับ? ลองอ่านดู ลูกา บทที่ 7 ข้อที่ 36  - 50 มีคนหนึ่งในพวกฟาริสีเชิญพระองค์ไปเสวยพระกระยาหารกับเขา พระองค์ก็เสด็จเข้าไปในเรือนของคนฟาริสีคนนั้น แล้วเอนพระกายลง และดูเถิด มีผู้หญิงคนหนึ่งในเมืองนั้นซึ่งเป็นหญิงชั่ว เมื่อรู้ว่าพระเยซูทรงเอนพระกายลงเสวยอยู่ในบ้านของคนฟาริสีนั้น นางจึงถือผอบน้ำมันหอม มายืนอยู่ข้างหลังใกล้พระบาทของพระองค์ เริ่มร้องไห้น้ำตาไหลชำระพระบาทและเอาผมเช็ด จุบพระบาทของพระองค์ และชโลมพระบาทด้วยน้ำมันหอมนั้น ฝ่ายคนฟาริสีที่ได้เชิญพระองค์เมื่อเห็นแล้วก็นึกในใจว่า "ถ้าท่านนี้เป็นศาสดาพยากรณ์ก็จะรู้ว่า หญิงผู้นี้ที่ถูกต้องกายของท่านเป็นผู้ใดและเป็นคนอย่างไร เพราะนางเป็นคนชั่ว" ฝ่ายพระเยซูตรัสตอบเขาว่า "ซีโมนเอ๋ย เรามีอะไรจะพูดกับท่านบ้าง" เขาทูลว่า "ท่านอาจารย์เจ้าข้า เชิญพูดไปเถิด" พระองค์จึงตรัสว่า "เจ้าหนี้คนหนึ่งมีลูกหนี้สองคน คนหนึ่งเป็นหนี้เงินห้าร้อยเหรียญเดนาริอัน อีกคนหนึ่งเป็นหนี้เงินห้าสิบเหรียญ เมื่อเขาไม่มีอะไรจะใช้หนี้แล้ว ท่านจึงโปรดยกหนี้ให้เขาทั้งสองคน เพราะฉะนั้นจงบอกเราว่า ในสองคนนั้น คนไหนจะรักเจ้าหนี้มากกว่า" ซีโมนจึงทูลตอบว่า "ข้าพเจ้าเห็นว่า คนที่เจ้าหนี้ได้โปรดยกหนี้ให้มากกว่า" พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า "ท่านคิดเห็นถูกแล้ว" พระองค์จึงทรงเหลียวหลังดูผู้หญิงนั้น และตรัสแก่ซีโมนว่า "ท่านเห็นผู้หญิงนี้หรือ เราได้เข้ามาในบ้านของท่าน ท่านมิได้ให้น้ำล้างเท้าของเรา แต่นางได้เอาน้ำตาชำระเท้าของเรา และได้เอาผมของตนเช็ด ท่านมิได้จุบเรา แต่ผู้หญิงนี้ตั้งแต่เราเข้ามามิได้หยุดจุบเท้าของเรา ท่านมิได้เอาน้ำมันชโลมศีรษะของเรา แต่นางได้เอาน้ำมันหอมชโลมเท้าของเรา เหตุฉะนั้น เราบอกท่านว่า ความผิดบาปของนางซึ่งมีมากได้โปรดยกเสียแล้วเพราะนางรักมาก แต่ผู้ที่ได้รับการยกโทษน้อย ผู้นั้นก็รักน้อย" พระองค์จึงตรัสแก่นางว่า "ความผิดบาปของเจ้าโปรดยกเสียแล้ว" ฝ่ายคนทั้งหลายที่เอนกายอยู่ด้วยกันกับพระองค์ เริ่มนึกในใจว่า "คนนี้เป็นใครแม้ความผิดบาปก็ยกให้ได้" พระองค์จึงตรัสแก่ผู้หญิงนั้นว่า "ความเชื่อของเจ้าได้ทำให้เจ้ารอด จงไปเป็นสุขเถิด" เทพอีกแล้วครับงานนี้ Last Supper อยู่กลางโรงอาหารในวัด ไม่มีพระซักรูปดูออกว่า ลีโอนาโดวาดรูปผู้หญิง ต้องรออีก 500 ปี แดนบราวน์ถึงจะดูออก นี่อีกอยู่ดีๆมีผู้หญิงเดินเข้ามาเอาผมเช็ดเท้าให้พระเยซู ในบ้านฟาริสีแท้ๆ มันยังไม่สงสัยว่าหญิงคนนี้เป็นภรรยาพระเยซูเลยนะ (ลองไปอ่านไบเบิลดูเถิด แค่พระเยซูกระดิกตัวผิดนิดเดียว พวกฟาริสี นี่ก็จับผิดแล้ว) วิเศษสุดๆ ผ่านมา เกือบ 2000 ปี แดนบราวน์เพิ่งจะดูออกว่า ไอ้ทำอย่างนี้มันเป็นสามีภรรยากันแน่นอน สุดยอด แล้วข้อพระคัมภีร์ตอนนี้น่ะ เป็นการพบกันครั้งแรกเลยด้วย อยู่ๆ จะเป็นอะไรกันได้ไงครับ จากคุณ : AlleluiA - [ 14 พ.ค. 52 11:42:59 ]

ความคิดเห็นที่ 64 ผมอธิบายให้เป็นความรู้โดยข้อความยาวๆ ใน คห.59 กลับถูกลบ เซ็งเป็ด หมดอารมณ์แล้วครับ จงจมอยู่ในความไม่รู้ต่อไปเถิด จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม - [ 14 พ.ค. 52 11:44:29 ]

ความคิดเห็นที่ 65 อีกอย่างคือ หญิง ใน ลูกา บทที่ 7 กับ มารีอา มักดาเลนนา จะเป็นคนเดียวกันรึเปล่าก็ไม่แน่ครับ เพราะในพระวรสารเล่มอื่น ก็เรียกชื่อเลยว่า มารีอา มักดาเลนนา แม้แต่ ลูกา ในบทต่อๆมา ก็เรียกชื่อเลย ลูกา บทที่ 8 ข้อ 1 – 2 ต่อมาภายหลังพระองค์ก็เสด็จไปตามทุกบ้านทุกเมือง ทรงประกาศข่าวประเสริฐแห่งอาณาจักรของพระเจ้า สาวกสิบสองคนนั้นก็อยู่กับพระองค์ พร้อมกับผู้หญิงบางคนที่มีวิญญาณชั่วออกจากนางและที่หายโรคต่างๆ คือมารีย์ที่เรียกว่าชาวมักดาลา ที่ได้ทรงขับผีออกจากนางเจ็ดผี ถ้าเป็นผมมนะ ผมก็ว่าคงจะเป็นคนละคน เพราะถ้าเป็นคนเดียวกันทำไมท่านนักบุญไม่เรียกชื่อไปตั้งแต่บทที่ 7 ส่วนข้อข้างล่างนี่ก็เป็นอีกคนที่ถูกเข้าใจว่าเป็นมารีอา มักดาเลนนา ยอห์น บทที่ 8 ข้อที่ 1 - 9 แต่พระเยซูเสด็จไปยังภูเขามะกอกเทศ ในตอนเช้าตรู่พระองค์เสด็จเข้าในพระวิหารอีก และคนทั้งหลายพากันมาหาพระองค์ พระองค์ก็ประทับนั่งและสั่งสอนเขาพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีได้พาผู้หญิงคนหนึ่งมาหาพระองค์ หญิงผู้นี้ถูกจับฐานล่วงประเวณี และเมื่อเขาให้หญิงผู้นี้ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน  เขาทูลพระองค์ว่า "พระอาจารย์เจ้าข้า หญิงคนนี้ถูกจับเมื่อกำลังล่วงประเวณีอยู่ ในพระราชบัญญัตินั้นโมเสสสั่งให้เราเอาหินขว้างคนเช่นนี้ให้ตาย ส่วนท่านจะว่าอย่างไรในเรื่องนี้" เขาพูดอย่างนี้เพื่อทดลองพระองค์ หวังจะหาเหตุฟ้องพระองค์ แต่พระเยซูทรงน้อมพระกายลงเอานิ้วพระหัตถ์เขียนที่ดิน เหมือนดั่งว่าพระองค์ไม่ได้ยินพวกเขาเลย และเมื่อพวกเขายังทูลถามพระองค์อยู่เรื่อยๆ พระองค์ก็ทรงลุกขึ้นและตรัสกับเขาว่า "ผู้ใดในพวกท่านที่ไม่มีบาป ก็ให้ผู้นั้นเอาหินขว้างเขาก่อน" แล้วพระองค์ก็ทรงน้อมพระกายลงและเอานิ้วพระหัตถ์เขียนที่ดินอีก และเมื่อเขาทั้งหลายได้ยินดังนั้น จึงรู้สำนึกโดยใจวินิจฉัยผิดชอบ เขาทั้งหลายจึงออกไปทีละคนๆ เริ่มจากคนเฒ่าคนแก่จนหมด เหลือแต่พระเยซูตามลำพังกับหญิงที่ยังยืนอยู่ที่นั้น  เมื่อพระเยซูทรงลุกขึ้นแล้ว และมิได้ทอดพระเนตรเห็นผู้ใด เห็นแต่หญิงผู้นั้น พระองค์ตรัสกับนางว่า "หญิงเอ๋ย พวกเขาที่ฟ้องเจ้าไปไหนหมด ไม่มีใครเอาโทษเจ้าหรือ"  นางนั้นทูลว่า "พระองค์เจ้าข้า ไม่มีผู้ใดเลย" และพระเยซูตรัสกับนางว่า "เราก็ไม่เอาโทษเจ้าเหมือนกัน จงไปเถิด และอย่าทำบาปอีก" ดังนั้น มาริอา มักดาเลนนา อาจจะเป็น หญิงใน ยอห์น 8 หรือ ลูกา 7 หรือ ไม่ใช่ทั้งคู่ เลยก็ได้ จากคุณ : AlleluiA - [ 14 พ.ค. 52 11:46:54 ]

ความคิดเห็นที่ 66 อ้าว จ๊ะเอ๋กับคุณ AlleluiA พอดี ผมว่าช่างมันเถอะครับ เสียเวลาเปล่า ปล่อยมันไว้งั้นแหละ จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม - [ 14 พ.ค. 52 11:48:45 ]

ความคิดเห็นที่ 67 http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y7860530/Y7860530.html คุณชาญชิต ตอบไว้ชัดเจนดีมากๆครับ ลองพิจารณากันดู แดนบราวน์ นี่นึกจะหยิบข้อความอะไรในพระคัมภีร์มาอ้าง ก็ยกมาอ้างมั่วๆ ยกมาเป็นคำๆ คนอ่านก็เชื่อกันไปสิ เฮ่อ.... อีกอันที่รับไม่ได้เลย ที่บอกว่านักบุญมารีอา มักดาเลนนา แย่งตำแหน่งผู้นำพระศาสนาจักร กับ นักบุญเปโตร เนี่ย ตลกดี ห้า ห้า ^^ สวัสดีคับคุณหนุ่มไทยฯ เดี๋ยวผมว่าจะไปดู Angels กะ Demons พรุ่งนี้ ไปดูด้วยกันมั้ยครับ แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 52 15:46:54 จากคุณ : AlleluiA - [ 14 พ.ค. 52 15:32:54 ]

ความคิดเห็นที่ 68 ผมเป็นคริสตชน และขอยืนกราน ให้กระทู้นี้อยู่ต่อครับ โดยขอให้ท่านผู้อ่าน อ่านทุกความเห็น เราคริสตชนคือ ผู้เชื่อความจริง ถ้ามีคนสงสัยในความเชื่อของเรา เราคริสตชนก็ยินดีอธิบายความจริงที่เราเชื่อครับ^^ ______________________ กลับมาที่หัวกระทู้ ถ้าจขกท เชื่อว่า รูปที่ลูกศรชี้ คือนักบุญมารีย์ มักดาเลนาจริงละก็ รูปภาพthe Last Supper ก็ต้องมีคนทั้งหมด14คน (12อัครสาวก+พระเยซู+มารีมักดาเลนา) เอาล่ะ มานับกันเถอะว่ากี่คน? แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 52 19:42:50 จากคุณ : โยชูวาแห่งอัสซีซี - [ 14 พ.ค. 52 19:41:07 ]

ความคิดเห็นที่ 69 หวัดดี คุณโยฯ ขยันจริงนะ จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม - [ 14 พ.ค. 52 21:21:14 ]

ความคิดเห็นที่ 70 มนุษย์ชอบที่จะทำให้ผู้อื่นแปดเปื้อน โดยเฉพาะกับสิ่งที่สูงส่งกว่า โดยใช้เพียงคำมักง่ายว่า "วิทยาศาสตร์" ทั้งๆ ที่วิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่บริสุทธิ์กว่าความคิดของมนุษย์มากมายนัก จากคุณ : Aeykun - [ 14 พ.ค. 52 22:48:30 ]

ความคิดเห็นที่ 71 #70 " มนุษย์เอง " ก็ชอบที่จะทำให้ผู้อื่นเเปดเปื้อน โดยเฉพาะกับ นักวิทยาศาสตร์ ที่เสนอทฤษฐีใหม่ ๆ เเต่ขัดเเย้งกับหลักความเชื่อของศาสนา นั้น เป็นสิ่งที่ ไม่อาจยอมรับได้ เเละเป็นสิ่งที่เเตกต่าง จากความเชื่อ โดยใช้เพียงคำมักง่ายกล่าวโทษว่า " เป็นความเชื่อของพวกบูชาซาตาน " แก้ไขเมื่อ 15 พ.ค. 52 01:16:53 แก้ไขเมื่อ 15 พ.ค. 52 00:48:04 จากคุณ : ยักษ์ท่าเตียน - [ 15 พ.ค. 52 00:46:53 ]

ความคิดเห็นที่ 72 กาลิเลโอ เขียนบทความว่าดวงอาทิตย์ไม่ได้หมุนรอบโลก แต่เป็นโลกที่หมุนรอบดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นการสังเกตที่เกิดจากกล้องโทรทรรศ์ที่เขาประดิษฐ์ขึ้นเอง เขาได้ถูกนำขึ้นศาลศาสนาและถูกบังคับให้สารภาพบาป พร้อมทั้งแก้ไขข้อความในบทความว่าดวงอาทิตย์หมุนรอบโลก เขาตอบว่า “ไม่มีปัญหาใด ๆ ที่ข้าพเจ้าจะเขียนตามที่ท่านต้องการ แต่บทความของข้าพเจ้าจะไม่ถูกอ่านโดยพระอาทิตย์หรือโลกหรือดวงดาวใด ๆ พวกมันจะยังคงโคจรไปอย่างที่มันเป็นต่อไป” (ตามบันทึกบอกว่า กาลิเลโอ แบกกล้องโทรทรรศ์ติดตัวไปขึ้นศาลด้วย) ผู้นำศาสนาสั่งว่า “จงไปเปลี่ยนข้อความ” เป็นคำสั่งที่เด็ดขาด ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดการขัดแย้งต่อศาสนา จากคุณ : ยักษ์ท่าเตียน - [ 15 พ.ค. 52 00:52:21 ]

ความคิดเห็นที่ 73 อาจเป็นเพราะกาลิเลโอเป็นนักวิทยาศาสตร์คนสำคัญที่มีผลงานมากมาย เช่น เรื่องการแกว่งของลูกตุ้ม จุดศูนย์ถ่วงของวัตถุ การตกอิสระของวัตถุ (ที่เชื่อกันว่าทดลองที่หอเอนปิซา) กาลักน้ำ เป็นต้น จึงได้รับการลดย่อนโทษ ไม่ต้องถูกตรึงไม้กางเขนและเผาทั้งเป็นเหมือนจิออร์ดาโน บรูโน ผู้สนับสนุนทฤษฏีโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ของโคเปอร์นิคัส แต่กาลิเลโอยังคงต้องถูกคุมประพฤติกักบริเวณไปตลอดชีวิต (นิโคลัส โคเปอร์นิคัส (โปแลนด์ ค.ศ. 1473-1543) เป็นนักวิทยาศาสตร์คนแรก ๆ ที่บอกว่าโลกกลมและหมุนรอบดวงอาทิตย์ ส่วนจิออร์ดาโน บรูโน ถูกเผาทั้งเป็นในปี ค.ศ. 1600) ในที่สุดเพื่อแลกกับการไม่ต้องถูกตรึงไม้กางเขนและเผาทั้งเป็น   กาลิเลโอได้แก้ไขบทความของเขาโดยเลี่ยงไปเขียนไปในทำนองว่า “ตามความเชื่อทางศาสนาและตามการสังเกตของมนุษย์บนโลกแล้ว เราจะพบว่าดวงอาทิตย์หมุนรอบโลก” แล้วปิดท้ายว่า “ในความเป็นจริงไม่เป็นเช่นนั้น เพราะดวงอาทิตย์กับโลกไม่ได้นับถือศาสนา พวกมันจึงโคจรไปตามที่มันเป็น” (ส่วนที่ปิดท้ายนี้ถูกค้นพบภายหลังที่กาลิเลโอเสียชีวิตแล้ว) จากคุณ : ยักษ์ท่าเตียน - [ 15 พ.ค. 52 00:54:52 ]

ความคิดเห็นที่ 74 ดาวินชี่โคด กลับมาพร้อมๆ กับ แองเจิลแอนด์เดมอนส์ เหรอคับ ?? จากคุณ : MR. UNIVERSE - [ 15 พ.ค. 52 00:55:34 ]

ความคิดเห็นที่ 75 ความเป็นนักคิดของ กาลิเลโอ ก้าวล้ำยุคสมัยแถมยังฉีกตำราและทฤษฎีเดิม ๆ ออกไป ทำให้วาระสุดท้ายของชีวิต กาลิเลโอ เต็มไปด้วยความยากลำบาก และถึงกับ ตาบอด และถูกทาง วาติกัน บังคับให้ยอมรับว่า ทฤษฎี ที่เขาคิดค้นขึ้นมานั้นเป็นสิ่งที่ผิด ซึ่งถ้าหาก กาลิเลโอ ได้รับการสนับสนุนจากผู้คนในยุคโน้น บางทีคนรุ่นหลัง ๆ อาจจะได้ ทฤษฎีอื่น ๆ อีกหลายอย่างก็เป็นได้ จวบจน กาลิเลโอ เสียชีวิตไปนานหลายปี นักวิทยาศาสตร์รุ่นหลังถึงได้มีการหยิบเอาตำราและทฤษฎีของ กาลิเลโอ มาวิเคราะห์และยกย่องเขาในภายหลัง จากคุณ : ยักษ์ท่าเตียน - [ 15 พ.ค. 52 01:01:05 ]

ความคิดเห็นที่ 76 สำหรับเรื่องราวของกาลิเลโอที่คุณยักษ์ท่าเตียนหยิบยกขึ้นมานั้น นั้นถือเป็นความผิดพลาดของศาสนาจักรในอดีตครับ ซึ่งเรื่องของกาลิเลโอ และอีกหลายเรื่องในกรณีด้วยกันนี้ กระผมไม่มีข้อแก้ตัวกับข้อผิดพลาดเหล่านั้น แต่สิ่งหนึ่งที่ผมจะพูดได้ว่า "อำนาจที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทำให้คนเราเน่าเฟะ" ครั้งหนึ่งศาสนาจักรเคยมีอำนาจเหนือกษัตริย์ในยุโรป นั้นเป็นที่มาของความผิดพลาด และความเน่าเฟะในอดีตครับ ปัจจุบันนี้ก็มีเหมือนกัน เกิดขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกลตัวเราเท่าไร จากคุณ : bmjas - [ 15 พ.ค. 52 06:53:39 ]

ความคิดเห็นที่ 77 . แก้ไขเมื่อ 15 พ.ค. 52 11:29:08 จากคุณ : ศล - [ 15 พ.ค. 52 11:28:31 ]

ความคิดเห็นที่ 78 กาลิเลโอ เชื่อพระเจ้าครับ เช่นเดียวกับนักวิทยาศาสตร์อีกมากมายสมัยนั้น มันคนละเรื่องกับที่วาติกันทำ จากคุณ : AlleluiA - [ 15 พ.ค. 52 11:30:23 ]

ความคิดเห็นที่ 79 ผมว่าไป ๆ  มา ๆ  จะสร้างความแตกแยกกันมากกว่านะครับ ขอให้ต่างคนต่างเคารพ ซึ่งกันและกัน ใคร ๆ  ก็เคารพนับถือในสิ่งที่ตนเองศรัทธาอยู่  ตรงจุดนี้ต้องไม่ลืม ความเห็นแตกต่างได้  แต่อย่าแตกแยกนะครับ  ขอร้องแหล่ะ จากคุณ : POPEYE - [ 15 พ.ค. 52 12:01:11 ]

ความคิดเห็นที่ 80 เรื่องที่ว่า สภาไนซีอา กำหนดให้เยซูเป็นเทพ หลังจากตายหมายความว่ายังไงครับ แก้ไขเมื่อ 15 พ.ค. 52 13:35:04 จากคุณ : dajjal2546 - [ 15 พ.ค. 52 13:34:21 ]

ความคิดเห็นที่ 81 #76 คุณหมายความว่ายังไง อย่าตีวัวกระทบคราด จากคุณ : dajjal2546 - [ 15 พ.ค. 52 14:06:05 ]

ความคิดเห็นที่ 82 "อำนาจที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทำให้คนเราเน่าเฟะ" ปัจจุบันนี้ก็มีเหมือนกัน เกิดขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกลตัวเราเท่าไร ผมหมายความว่า เรื่องนั้นก็เกิดขึ้นอยู่ทั่วไป ทั่วโลกครับ ไม่ต้องไปยกตัวอย่างไหนไกลตัว ถ้ามองดีๆแล้ว ในบ้านเมืองเราก็มีเหมือนกันครับ จากคุณ : bmjas - [ 15 พ.ค. 52 19:04:29 ]

ความคิดเห็นที่ 83 #80 เรื่องที่พระเยซูเป็นพระเจ้า บรรดาอัครสาวกรู้ตั้งแต่สมัยพระเยซูยังอยู่ในโลกแล้วครับ ใครๆเค้าก็เชื่อกันแบบนั้น ไม่ใช่เพิ่งจะมาเชื่อกันเพราะ สภาสังคายนาไนซีอา   แต่สิ่งที่แดนบราวน์มาอ้างชุ่ยๆ ว่าสภาฯประกาศให้พระเยซูเป็นเทพน่ะ มันคือการตีความพระคัมภีร์ เพื่อตอบคำถามสำคัญ ที่ลึกซึ้งกว่าการที่บอกแค่ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า ซึ่งเกิดขึ้นในสมัยนั้น เพื่อให้เข้าใจตรงกันทั้งพระศาสนาจักร เช่น พระเยซูเป็นพระเจ้าหนึ่งเดียวกับพระบิดาตั้งแต่แรกหรือไม่, พระเยซูเป็นสิ่งสร้างของพระเจ้าหรือไม่ ซึ่งคำตอบมันก็อยู่ในไบเบิลนั่นแหละ คุณก็ลองไปอ่านไบเบิลเองแล้วกันว่า ตกลงสภาฯ ตีความไบเบิลผิดหรือไม่ มีอะไรนอกเหนือที่ไบเบิลบอกรึเปล่า จากคุณ : AlleluiA - [ 15 พ.ค. 52 22:04:03 ]

ความคิดเห็นที่ 84 5555 ผมว่าหลายคนนี่หลงกลเจ้าของกระทู้แล้วล่ะครับ ดูเจตนาเจ้าของกระทู้สิครับ ตั้งชื่อเรื่องแมรี่.... บางคนอาจจะคิดว่าเจตนาของเขาคงไม่ใช่การโจมตีพระศาสนจักร พอมีคนอธิบายเสร็จปุ๊ป คคห.71 เรื่มออกลาย เริ่มแสดงเจตนาที่แฝงไว้ เอาเรื่องกาลิเลโอมาต่อ ถ้าให้ผมเดานะ พอมีคนมาอธิบายกาลิเลโอเสร็จปุ๊ป เดี๋ยวก็เอาเรื่องใหม่มาต่ออีก ผมอ่านถึงคคห.71 พอเห็นเข้าก็รู้เจตนาแล้วล่ะว่าเขาต้องการโจมตี จากคุณ : taiyo - [ 15 พ.ค. 52 23:27:12 ]

ความคิดเห็นที่ 85 เรื่องกาลิเลโอ ก็มีอธิบายในเว็บเหมือนกัน http://www.newmana.com/yabb/index.php?topic=3784.0 จากคุณ : taiyo - [ 15 พ.ค. 52 23:32:19 ]

ความคิดเห็นที่ 86 เอ้ มาทายกันต่อไหมว่า เจ้าของกระทู้จะเอาเรื่องอะไรมาโจมตีอีก เรื่องที่2แล้วล่ะ มาทายเรื่องที่3กัน จากคุณ : taiyo - [ 15 พ.ค. 52 23:33:26 ]

ความคิดเห็นที่ 87 ผมเห็นด้วยว่าตอบกระทู้นี้ไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเจตนา จขกท. ไม่ได้ต้องการข้อเท็จจริง แต่ดูจากพฤติกรรมแล้ว ต้องการเพียงโจมตีศาสนามากกว่า เมื่อไหร่คนประเภทนี้จะหมดไปจากสังคมโลกเสียที จากคุณ : ปั๊ปโปะจัง - [ 16 พ.ค. 52 00:28:59 ]

ความคิดเห็นที่ 88 84# 555 ขอบคุณมากครับ ที่เสนอเเนะเเนวทางสว่างมาให้ผม ผมคิดว่ากระทู้นี้ อยากจะให้ช่วยกันสืบหาความจริงกันมากกว่านะ เรื่อง " เเมรี่ เเมคดาลีน " ส่วนเรื่องอื่น ๆ ถ้าไม่มีใครจุดประเด็นมา ผมก็ไม่เสริมต่อให้เมื่อยหรอก เเต่ก็มีคนพาผม ไปออกนอกทางซะได้ เเวะจิบน้ำชาข้างทางสักหน่อย คงไม่เสียหายหรอกนะ ก็เป็นเรื่องของคริสตจักรเหมือน ๆ กัน โธ ..โธ.. ที่ผมเอาเรื่องกาลิเลโอมาต่อเนี้ย ก็ขอให้คุณดูให้ถี่ถ้วนก่อนว่า ความเห็นที่ 70# เป็นผู้นำเรื่อง " วิทยาศาสตร์ " เข้ามาเกี่ยวข้องในกระทู้นี้ก่อนเองนะ ผมไม่ได้เป็นคนเริ่ม ผมเห็นว่า สามารถเเย้งได้ ก็เลยเอาเรื่องกาลิเลโอมาลงไว้ ก็เเค่นั้น ขอบคุณที่หวังดีครับ ^^ แก้ไขเมื่อ 16 พ.ค. 52 05:45:47 แก้ไขเมื่อ 16 พ.ค. 52 04:21:23 แก้ไขเมื่อ 16 พ.ค. 52 04:00:47 จากคุณ : ยักษ์ท่าเตียน - [ 16 พ.ค. 52 03:58:04 ]

ความคิดเห็นที่ 89 โธ...โธ... คิดว่าจะมีเรื่องที่3อีก จบซะงั้น 55555 *-* บายครับ แก้ไขเมื่อ 16 พ.ค. 52 14:24:22 จากคุณ : taiyo - [ 16 พ.ค. 52 14:23:54 ]

ความคิดเห็นที่ 90 ร้อนนนนนนนน วิจารณญาณ นะจ๊ะ วิจารณญาณ จากคุณ : Lighting Plankton - [ 16 พ.ค. 52 17:42:23 ]

ความคิดเห็นที่ 91 เราไม่เห็นว่าศาสนจักรจะไม่ให้ความสำคัญแก่มารี มักดาเลนานะ เพื่อนเราคนนึงที่เป็นคริสต์ก็ใช้ชื่อนักบุญมารี มักดาเลนา และรูปทั้งหลายหรือกระจกสีที่เห็นกันก็ทำกันสมัยหลังทั้งนั้น หน้างี้ฝรั่งเชียว ผมยาวเซอร์ เคยดูสารคดีว่ายุคที่พระเยซูมีชีวิตน่ะผู้ชายเค้าไว้ผมสั้นกัน จากคุณ : cheng (aristocrat) - [ 17 พ.ค. 52 19:54:34 ]

ความคิดเห็นที่ 92 สุดท้ายแล้ว กลับต้องมาเถียงกันเองอะ.... ประวิต์ศาสตร์ ก็มนุษย์เป้นผู้เขียนและเรียบเรียง... แก้ไขได้ ตามยุค ตามสมัย ตามจารีต ณ ช่วงเวลานั้น.. ไม่มีใครบอกได้จริงๆหรอกว่า จริง หรือ เท็จ... นี่แบบว่ากลางๆนะคะ ไม่ได้เข้าข้าง หรือเจตนาให้ร้ายใดๆ ถ้าพูดถึงแง่เหตุผล สิ่งที่ปรากฎบนพระคำภีร์ จะจริงกี่เปอร์เซนต์ เราก้สรุปไม่ได้หรอกค่ะ เช่นกัน กับเรื่องราวของศาสนาอื่นๆ รวมถึงพุทธ ด้วย... แต่ประเด็นมันคือ ตราบใดที่มีวิวัฒนาการของศาสตร์ต่างๆ ในโลกเพิ่มมากขึ้น ก้ย่อมต้องมีข้อคิด บทวิจารณ์ และความเชื่อ ซึ่งต่างออกไป ในโลกของความคิดที่เป้นอิสระ... ซึ่ง เชื่อว่า ถ้าในสมันคริสตกาล มีอิสระทางความคิดและการเสนอความคิดอย่างทุกวันนี้ อาจมีคนสืบหาความจริง หรือความไม่จริงเหล่านี้ก็เ้นได้ และพระคัมภีร์อาจไม่ได้บันทึกเช่นทุกวันนี้ก็ได้ จริงไหมคะ ทุกฝ่ายต่างก็มีหลักฐาน และแนวคิดของตนเอง... แต่ไม่ว่าอะไรจะสำคัญก็ตาม ศรัทธา... ศรัทธาที่เชื่อมั่นในคำสอน หลักปฏิบัติที่ดีๆ ที่ทุกศาสนาก็ล้วนสอนให้ดี อันนั้น สำคัญที่สุด มิใช่หรือคะ หรือแม้แต่ หลักทางวิทยาศาสตร์ ที่สอยให้เชื่อในสิ่งที่พิสูจได้ ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีเช่นกัน เชื่อว่า คงไม่มีข้อโต้แย้งไหน หรือการค้นคว้าใด จะทำมาเพื่อหลู่เกียรติของศาสนาใดหรอกค่ะ หากแต่เมื่ออยู่บนจุดยืนที่ต่างกันบ้าง การกระทำก็ต่างกันไปอีกหน่อย.... ปล. ความเห็นส่วนตัวนะคะ ถ้าลองมุมกลางๆ ลองมองว่าตัวเราไม่ได้ยึดอะไรเป็นหลักก้ได้ ไม่ได้ปกป้องใคร หรือทำลายใครนะคะ จากคุณ : vikvikky (vikvikky) - [ 20 พ.ค. 52 19:17:43 ]

ความคิดเห็นที่ 93 อยากเสนอความเห็นด้วยจัง แต่อ่านแล้วเสียว เพราะ เราก็ไม่เข้าใจเจตนาที่แท้จริงของจขกท. แต่ข้อมูลของเขาก็น่าสนใจ เพียงแต่มันหมิ่นเหม่ต่อความเชื่อของคนอื่นอย่างมาก หากย้อนไปในตอนที่สงสัยเรื่องความถูกต้องแท้จริงของนิยาย ดาวินชีโค้ดนั้น มีหนังสือ มีเว็บไซท์ มีกระทู้ มีคห. มากมายเมื่อเสนอข้อมูลเหล่านี้ ทั้งฝ่ายเชื่อ ฝ่ายไม่เชื่อ ฝ่ายไม่สน ฝ่ายเสนอเพิ่ม แต่ความเป็นจริงหลายอย่างในเรื่องนี้ก็คือ 1 หากยึดเอาหนังสือของแดนบราวน์เป็นเรื่องถกเถียงหลัก ก็คงบอกได้แค่ว่า หลักฐานตรงไหนไม่ตรง หรือ ไม่มั่นใจ แต่จะว่าผู้เขียนนั้น คงไม่ได้ อย่างที่ทราบกันแล้วว่า มันเป็นนิยาย มีหลายส่วนที่ผู้เขียนเสริมแต่งเพื่อความสนุก เพื่อวรรณศิลป์ และเพื่อขายได้ ทั้งยังอาจจะแทรกความเชื่อส่วนตัวเข้าไป เราก็ไม่ควรแย้ง เพราะมันเป็นความเชื่อ อย่าทำให้ความเชื่อของเราเสียไปเพราะเขาไม่เชื่ออย่างเรา 2 หนังสือของแดนบราวน์ทุกเล่ม มาจากหนังสือกึ่งสารคดี หรือ หนังสือความรู้เล่มอื่น แดนบราวน์ไม่ได้เป็นต้นเริ่มไอเดีย โดยเฉพาะดาวินชี่โค้ด มีนักประวัติศาสตร์(ทั้งจริงและเทียม)เขียนหนังสือที่เชื่อในประวัติศาสตร์ของศาสนาคริสต์ที่ต่างจากที่ตริสตจักรสอนอยู่มากมาย หากจะมาแย้งกัน ควรจะอ่านหนังสือเหล่านี้ก่อน ซึ่งหลายเล่มก็ไร้สาระจนเกินทน(แต่ก็ต้องอ่านจนจบเพราะจะได้รู้ สิ่งที่ผู้เขียนคิด และความเป็นมาของหลักฐานต่างๆ) เราเชื่อว่าหลายคนคงสนใจเรื่องเหล่านี้ เพราะอยากจะเถียงกันเถียงกับหนังสือต้นฉบับดีกว่าไปเถียงกับนิยายแดนบราวน์ หนังสือที่ควรอ่านเกี่ยวกับ ดาวินชี่โค้ด 1พระคริสตธรรมคัมภีร์ พันธสัญญาใหม่ ส่วนพระวารสาร ยอห์น ลูกา มารโก และมัธธาย 2Holy Blood, Holy Grail โดย Michael Baigent กับผู้เขียนร่วมอีก2คน หนังสือเล่มนี้เป็นต้นเค้าไอเดียหลักทั้งหมดของ ทฤษฎีสมรูร่วมคิดในดาวินชี่โค้ด เขียนเมื่อเกือบ30ปีที่แล้ว ยังคงเป็นหนึ่งในหนังสือขายดีในหัวข้อนี้ เท่าที่ทราบยังไม่มีแปล 3Women with the Alabaster Jar ของ Margaret Starbird เป็นอีกเล่มที่ให้อิทธิพลต่อนิยายดาวินชี่โค้ด เป็นมุมต่อมารี มักดาเลน เชิงสตรีนิยมเล็กน้อย 4 a History of the Bible ของ Fred Gladstone Bratton เป็นหนึ่งในหนังสือที่เกี่ยวกับประวัติการเรียบเรียงพระคัมภีร์ 5 the Birth of Christianity ของ John Dominic Crossan 6 Everything Mary Magdalene Boo ของ Meera Lester เล่มนี้อ่านเพลินๆ ให้ข้อมูลพื้นฐานที่มีจากทั้งตำนานและหลักฐาน 7 the Book that Jesus Wrote ของ Barbara Thiering เป็นการวิเคราะห์ พระวารสาร ยอห์น 8 Their Kingdom Come ของ  Robert Hutchinson เกี่ยวข้องกับ โอปุส เดอิ 9 the Sion Revelation ของ Lynn Picknett เขียนร่วมกับอีกคน เป็นเรื่องขององค์กรที่มีลักษณะเดียวกับ ไพรออรี่ เดอ ซีอง 10 the Gospel of Mary Magdalene แปลเป็นโดย Jean-Yves Leloup จากคัมภีร์โบราณภาษาคอปติค ยังมีอีกหลายเล่มที่ควรอ่าน เราเองก็ตามหาส่วนที่กล่าวถึงพระเยซูในพระคัมภีร์อัลกุรอาน ยังหาไม่เจออ่ะ ใครรู้ว่าอยู่ซูเราะห์ไหนบอกที หนังสือที่กล่าวมาเกือยทั้งหมด เขียนก่อนที่แดนบราวน์จะเขียนดาวินชี่โค้ด ใครอยากยืม(แปลว่าต้องคืน)หนังสือที่กล่าวมาติดต่อหลังไมค์ จ้ะ ชวน คุณ ยักษ์ท่าเตียน  ในคห.51 อ่านหนังสือ the Cult of the Black Virgin ของ Ean Begg เป็นข้อมูลเก่าแต่ยังคงเป็นผู้เขียนไม่กี่คนที่ศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง จากคุณ : แมวก่อนประวัติศาสตร์จากก้นครัว (แมวคาบมีด) - [ 27 พ.ค. 52 11:54:08 ]